หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 995-996
บทที่ 995 เตรียมพร้อมอย่างเหมาะสม
บนที่ราบทุนดรา
ลมพายุกรูเข้ามานำพาไอเย็นเยือกสีฟ้ากระจายออกไปทุกหัวระแหง ด้วยลมเย็นสุดขั้วนี้ทำให้ดินแดนแห่งนี้ราวกับดินแดนมรณะ
ภายใต้สภาพที่เลวร้ายแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกหรือขั้นเจ็ดก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน มิฉะนั้นผลที่ตามมาก็คือการทำลายล้าง
ทว่าขณะที่ลมพายุพัดเอาความเย็นเยือกไหลเข้ามาในดินแดนที่โหดร้ายแห่งนี้ ก็มีร่างเงาสูงโปร่งกำลังก้าวเดินจากระยะไกล
คนคนนั้นเดินช้ามาก ราวกับว่าใช้กำลังมหาศาลในทุกย่างก้าว ทว่าแม้จะมีฝีเท้าที่เชื่องช้าแต่กลับมั่นคงและแข็งแกร่งจนถึงจุดที่แม้แต่พายุก็ไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้
ชายคนนี้ก็คือมู่เฉิน ซึ่งเริ่มใช้ประโยชน์จากเจดีย์ชั้นสองเพื่อฝึกฝนพลังกาย
ชี่!
สายลมและไอเย็นเยือกสีฟ้ากวาดไปทั่วร่าง ทิ้งบาดแผลลึกลงบนผิวหนัง ซึ่งลึกมากจนสามารถมองเห็นกระดูกได้ แต่ขณะที่ผิวหนังกำลังฉีกขาดออกจากกันกลับไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว บริเวณบาดแผลวูบไหวด้วยแสงสีฟ้าจางๆ
ร่างของมู่เฉินกระตุก เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องความเจ็บปวดที่ร่างถูกฉีกขาด แต่เมื่อบาดแผลเปิดออก ไอเย็นก็แทรกซึมเข้าไปในบาดแผล ทำให้กล้ามเนื้อของเขาถูกแช่แข็ง ความปวดตีตามมาขึ้นมาจากนั้น
เท้าของมู่เฉินแข็งทื่ออยู่กลางอากาศก่อนที่จะย่ำลงไปด้วยปลายเท้าที่สั่นเทา คิ้วที่ขมวดแน่นก็ผ่อนคลายลง
เมื่อความเจ็บปวดมาถึงขีดสุด ความเย็นที่ทิ่มแทงก็ค่อยๆ หายไป เนื้อหนังที่ตายแล้วก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นใหม่ มู่เฉินสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเลือดเนื้อของเขาที่เกิดใหม่เหนียวแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในกล้ามเนื้อ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจในใจ จากนั้นเขาก็อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ การเพาะบ่มพลังกายของเขายากเย็นแสนเข็ญ ความเจ็บปวดที่เขาต้องแบกรับเกินกว่าการเพาะบ่มขุมพลังหลิง มิน่าล่ะจอมยุทธ์จำนวนมากถึงเน้นการฝึกฝนอยู่กับการเพาะบ่มขุมพลังหลิงมากกว่า
แต่การสัมผัสได้ว่าพลังกายแข็งแกร่งขึ้นเรียกว่ายอดเยี่ยมมาก
เมื่อปลอบใจตัวเอง มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง…
บนดินแดนเย็นเยือก ร่างอ่อนเยาว์ก้าวย่างออกไปขณะที่บาดแผลโหดร้ายปรากฏอยู่บนร่างไปทั่ว แต่ถึงกระนั้นเขายังคงอดทน กดความขมขื่นปรับพลังกายผ่านกระบวนการทุกข์ทรมานนี้
ขณะที่มู่เฉินเดินช้าๆ ผ่านเจดีย์ชั้นสอง
บรรยากาศนอกเจดีย์ก็ผิดแผกไป ที่มาก็เกิดจากเขานั่นเอง
นั่นเป็นเพราะบนหน้าจอชั้นสองจุดไฟที่เป็นตัวแทนของมู่เฉินล้าหลังคนอื่นไปอีกครั้ง
ฉากนี้ทำให้เหล่าจอมยุทธ์งงงวย หากเป็นเมื่อครู่พวกเขาคงจะเยาะเย้ยมู่เฉินไปแล้ว แต่หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พลิกตาลปัตรไปมา พวกเขาก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นนั้นอีก
แม้แต่หลิ่วชิงก็ไม่ได้หัวเราะเยาะ แม้จะเป็นคนใจแคบแต่นางไม่ใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้นางก็หน้าแตกยับไปครั้งหนึ่งเพราะมู่เฉิน ถ้าครั้งนี้นางไปหัวเราะเยาะเขาอีกก็สมองมีปัญหาแล้วจริงๆ
ดังนั้นนางจึงได้แต่สับสนเมื่อมองไปที่จุดแสง ริมฝีปากอ้าๆ หุบๆ หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดลง เพียงแค่ถลึงตามองไปที่จิ่วโยวพลางสาปแช่งในใจ ขอให้มู่เฉินกลับสู่สภาพเดิม เมื่อไรที่จงเถิงผ่านชั้นสาม นางก็จะทำให้จิ่วโยวอับอายอย่างสาสม
“พี่ใหญ่จิ่วโยว พี่ใหญ่มู่เฉิน เขา…” ใบหน้าของมั่วหลิงอัดแน่นด้วยความขมขื่นอีกครั้ง สถานการณ์ของมู่เฉินทำให้นางเป็นกังวล แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่เฉินมีทักษะซ่อนไว้ในแขนเสื้อมากมาย แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่ามู่เฉินจะล้มลง หากเป็นเช่นนั้นผู้ชมเหล่านี้คงจะเยาะเย้ยพวกนางอีกครั้ง
จิ่วโยวส่ายหัว ฉายสีหน้าสงบ “สังเกตสถานการณ์ต่อไปก่อน เขาต้องมีเหตุผลในการทำแบบนี้”
นางเข้าใจมู่เฉินดี เพราะนางเห็นเด็กหนุ่มที่อ่อนแอเมื่อหลายปีนั้นไล่ตามทันนางมากับตาในหลายปีนี้ กระทั่งสุดท้าย… ก็กำลังจะแซงหน้านางไป
ดังนั้นนางไม่คิดว่าเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณจะสามารถกีดขวางมู่เฉินได้อย่างแท้จริง
เวลาผ่านไปรวดเร็วภายใต้ความสนใจของทุกคน แต่ครั้งนี้ความสนใจส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่จุดแสงข้างหน้า แต่กลับเป็นคนที่เคลื่อนไหวช้าที่สุดข้างหลัง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการเห็นว่ามู่เฉินที่แรกเริ่มล้าหลังจะยังสามารถพลิกสถานการณ์กลายเป็นจอมยุทธ์คนแรกที่เข้าสู่ชั้นสองเพื่อแสดงปาฏิหาริย์ที่น่าตระหนกอีกครั้งไหม
ทุกอย่างจะได้ชัดเจนว่าสถานการณ์ก่อนหน้าเป็นเพราะโชคหรือความสามารถของเขากันแน่
“กลุ่มแรกกำลังเข้าใกล้ปราการด่านสองแล้ว…”
เวลาไหลผ่านช้าๆ ทันใดนั้นก็มีบางคนพูดขึ้นเสียงเบา ซึ่งทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน สายตาขยับขึ้นก็เห็นจุดแสงหลายจุดที่อยู่หน้าสุดเริ่มไปถึงปราการชั้นสองแล้ว
หากพวกเขาสามารถฝ่าปราการนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ชั้นสาม
“มู่เฉินดูเหมือนยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ?” บางคนตระหนักถึงมู่เฉินที่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ที่ด้านหลัง
ภาพนี้ทำให้สายตาหลายคู่วูบไหบ พวกเขาเริ่มสงสัยว่าการกระทำก่อนหน้าของมู่เฉินเป็นเพราะเขาใช้วิธีพิเศษบางอย่าง แต่ครั้งนี้เขาล้มเหลว
หลิ่วชิงรู้สึกโล่งใจก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยวด้วยสายตาเชือดเชือน ดูเหมือนว่าวิธีก่อนหน้าของชายหนุ่มคนนี้จะไม่ได้ผลแล้ว
ทว่าเผชิญกับการจ้องมองของหลิ่วชิง ใบหน้าจิ่วโยวยังคงสงบนิ่ง ขณะมองภาพนี้อย่างใจเย็น
“ทั้งเก้าคนเริ่มฝ่าปราการชั้นสองเพื่อเข้าไปยังชั้นสามแล้ว” เสียงอุทานสะท้อนอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นจุดแสงเหล่านั้นพุ่งเข้าหาปราการโดยตรงซึ่งนี่เป็นประตูนำสู่ชั้นสาม จากนั้นความเร็วของพวกเขาก็ช้าลง เห็นได้ชัดว่าทั้งเก้าคนกำลังเผชิญหน้ากับการขัดขวางที่รุนแรง
ทุกคนจับจ้องไปที่จุดแสง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันคนแรกที่ไปถึงชั้นสามจะเป็นหนึ่งในนั้น
สำหรับม้ามืดอย่างมู่เฉิน ดูเหมือนว่าจะสูญเสียความเจิดจรัสหมดสิ้นและยังรักษาตำแหน่งที่โหล่ไว้ที่ด้านหลังเหนียวแน่น
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วในชั้นสอง นอกจากมู่เฉินจอมยุทธ์ทั้งเก้าต่างได้เข้าสู่ปราการด่านสองและกำลังเคลื่อนไหวไปช้าๆ เพื่อไปจนถึงจุดสิ้นสุดของชั้นสองด้วยความเร็วประหนึ่งคลาน
“พวกเขากำลังเข้าชั้นสามแล้ว!”
ทันใดนั้นเสียงอุทานก็ดังก้อง ทำให้บรรยากาศที่หายใจไม่ออกนอกเจดีย์แตกเป็นเสี่ยงๆ ทุกคนเงยหน้าขึ้นกะทันหันก็เห็นจุดแสงเริ่มปรากฏในชั้นสามของเจดีย์ฝึกพลังกาย จุดแสงเหล่านั้นเข้าสู่ชั้นสามในเวลาใกล้เคียงกัน
“พี่ใหญ่จงเถิงก้าวเข้าสู่ชั้นสามแล้ว!”
ใบหน้าของหลิ่วชิงบิดเบ้เล็กน้อยจากความดีใจ จากนั้นนางกวาดมองไปที่ชั้นสองก็เห็นจุดแสงเดียวยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
“จิ่วโยวดูเหมือนว่าเจ้าไม่ใช่คนที่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายนะ!” ความไม่พอใจทั้งหมดก่อนหน้าที่นางประสบมาระเบิดออกอีกครั้ง นางมองจิ่วโยวด้วยอาการเย้ยหยัน
ทว่าใบหน้าของจิ่วโยวยังคงสงบนิ่งต่อการเย้ยหยันนั่น นางไม่ได้สนใจหลิ่วชิงสักนิดเดียว สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่จุดแสงหนึ่งเดียวในชั้นสอง
มั่วหลิงซึ่งอยู่ข้างๆ สาดสายตาใส่หลิ่วชิง นางรู้สึกว่าลิ้นของผู้หญิงคนนั้นน่ารำคาญเหมือนพวกอีกา
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะยังไม่ยอมรับความจริงข้อนี้”
เมื่อหลิ่วชิงเห็นสายตาของจิ่วโยว นางก็อดเค้นเสียงเย็นชาไม่ได้ หลังจากกระบวนการในเจดีย์ฝึกพลังกายนี้สิ้นสุดลง จิ่วโยวจะได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง
ไอ้เหลือขอแค่ผ่านชั้นแรกโดยวิธีการแปลกประหลาดบางอย่าง ต่อไปมันคงจะติดอยู่ในชั้นสองตลอดเวลาที่เหลือแล้ว
แค่มนุษย์ยังปรารถนาที่จะแข่งขันกับอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนฟ้า ช่างน่าขำสิ้นดี
ด้านนอกของเจดีย์สายตาหลายคู่จ้องไปที่จุดแสงสุดท้ายด้วยอารมณ์หลากหลาย เหมือนจะเสียดายที่ม้ามืดนี้อายุสั้นเหลือเกิน
ขณะที่บทสนทนาดังก้อง
หัวเรื่องอย่างมู่เฉินกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย ตอนนี้เขาอยู่บนจุดสูงสุดในดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้
ยอดเขานี้เป็นสถานที่สูงที่เดียวในชั้นสอง ก่อนหน้ามู่เฉินได้พบโดยบังเอิญ แต่เมื่อเขาปีนขึ้นมาบนยอดเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าน้ำแข็งสีฟ้าและลมพายุเย็นยะเยือกในสถานที่นี้รุนแรงมาก
ทันทีที่เขาปีนขึ้นไป หากร่างกายเขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาคงถูกฉีกออกเป็นก้อนเละไปแล้ว…
ทว่าความเจ็บปวดโหดหินก็ทำให้มู่เฉินตระหนักได้ว่าการฝึกฝนร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะรับแรงกดดันและนั่งลงอย่างเงียบๆ บนยอดเขานี้
ชี่! ชี่!
พายุลูกแล้วลูกเล่ากระหน่ำฉีกบาดแผลอย่างป่าเถื่อนบนผิวหนังของร่างมู่เฉิน ทว่าร่างกายของเขาสั่นเพียงครู่เดียว ก็ทนรับความเจ็บปวดไว้ได้ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองระยะไกล
เขารู้สึกได้ว่าคนอื่นอยู่ในชั้นสามแล้วในขณะนี้
ทว่าเขาไม่ได้กังวลเพราะเขาสามารถรู้สึกได้ว่าเมื่อไรที่ตนเองปรับตัวเข้ากับสถานที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ ร่างกายของเขาจะได้รับการพัฒนาเข้าใกล้ขั้นสองของกายามังกรหงส์
ในเวลานั้นถึงเป็นเวลาที่เขาจะเคลื่อนไหวต่อไป
สิ่งที่เรียกว่า ‘เตรียมพร้อมให้เหมาะสม’ เป็นเช่นนี้เอง
“ให้พวกเจ้า…นำไปก่อนเถอะ… เราจะพบกันใหม่อีกไม่ช้า”
พายุลมหนาวพัดผ่าน มู่เฉินที่นั่งอยู่บนยอดเขาก็ยิ้มบาง
บทที่ 996 สำแดงพลัง
ครืน!
ที่นี่เป็นพื้นที่สีเทาหม่นพร้อมกับสายฟ้าสร้างหายนะระหว่างฟ้าดินราวกับอสรพิษสีเงิน สายฟ้าแล่นแปลบปลาบเหนือเมฆดำ ซึ่งกวนตัวเต็มไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก รัศมีรุนแรงอย่างยิ่ง
ในสถานที่ที่สายฟ้าป่าเถื่อนฟาดใส่ไม่ยั้ง เงาร่างหลายร่างเหาะเหินอย่างระมัดระวังที่ระดับต่ำพร้อมกับแสงหลิงกะพริบอยู่รอบตัว แต่ละคนโฉบไปมาหลบสายฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช
นี่คือชั้นสามของเจดีย์ฝึกพลังกาย
จุดแสงเบื้องหน้าเป็นใครไม่ได้นอกจากจงเถิง หานซัน และคนอื่นๆ ที่เข้าสู่ชั้นสามเรียบร้อย
ก่อนหน้านี้พวกเขาเข้าสู่ชั้นสามเป็นชุดแรก แต่หลังจากก้าวเข้ามาความเร็วของพวกเขาก็ช้าลงมาก เห็นได้ชัดว่าความรุนแรงในชั้นสามลำบากยิ่งกว่าสองชั้นแรกหลายขุม
แสงหลิงพวยพุ่งรอบร่างจงเถิงก่อตัวเป็นขนนกสีทองที่เบื้องหน้า ขนนกเหล่านั้นสลักอักขระเต็มแน่นที่ลึกล้ำและโบราณกระจายความผันผวนคลุม
ทุกครั้งที่มีสายฟ้าฟาดลง ขนนกสีทองก็จะเปล่งแสงสีทองออกมา เพื่อล่อสายฟ้านั้นออกไป แม้ยังมีเศษเสี้ยวสายฟ้าที่ทำให้ผิวหนังเขาเจ็บปวด แต่ก็ยากที่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก
ขนนกนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่ากระเรียนฟ้า ซึ่งได้รับการกลั่นจากขนนกสีทองของกระเรียนปีกทองคำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความสามารถในการโจมตี แต่พลังป้องกันที่ทรงพลังก็เทียบเคียงได้กับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม
เห็นได้ชัดว่าจงเถิงเตรียมพร้อมเต็มที่เพื่อผ่านเจดีย์ฝึกพลังกายให้สำเร็จ
“ดูเหมือนว่าไอ้เหลือขอนั่นจะถูกเราทิ้งมาไกลมากแล้ว” ขณะที่เคลื่อนไหวจงเถิงก็เหลือบมองไปที่ด้านหลังอย่างไม่แยแส จนถึงตอนนี้เขายังไม่สามารถรับรู้ถึงคลื่นพลังของมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังไม่ผ่านชั้นสองมา
ความจริงนี้ทำให้เกิดรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากของจงเถิง มู่เฉินเป็นมนุษย์ที่น่าสนใจเลยทีเดียว ก่อนหน้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีการใดในการผ่านปราการชั้นแรกเพื่อเข้าสู่ชั้นสอง แต่น่าเสียดายที่เขาต้องกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
“ทำตัวเองขายขี้หน้า”
การกระทำของมู่เฉิน ทำให้การประเมินดังกล่าวเพิ่มขึ้นในใจของจงเถิง หากเขาอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ บางทีอาจไม่มีใครสนใจ แต่เขากลับโลภมากต้องการเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นตอนนี้ยิ่งเขาปีนสูงเท่าไรก็จะยิ่งเจ็บ รวมถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะถูกเหยียดหยามเพราะเขา
“แต่มั่วเฟิงจัดการยากซะจริง” จงเถิงมองไปในระยะไกล มีเปลวเพลิงสีแดงกลุ่มหนึ่งลุกโชติช่วงและในเปลวเพลิงนั้นร่างเงาของมั่วเฟิงก็ปรากฏขึ้นเลือนราง แม้ว่าทุกครั้งที่สายฟ้าฟาดลงจะทำให้มั่วเฟิงหยุดไปชั่วคราว แต่ประกายสายฟ้าก็จะถูกดูดซับโดยเปลวเพลิงสีแดง ซึ่งไม่สามารถขัดขวางมั่วเฟิงได้มาก
แม้ว่าจงเถิงจะไม่เคยปะทะกับมั่วเฟิง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าการคุกคามที่มาจากอีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอกว่าจิ่วโยวเลย ดังนั้นหากพวกเขาสู้กันก็คงจะลำบากไม่น้อย
“คนที่เหลือน่าจะสามารถเข้าถึงส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นสาม แต่ตรงนั้นก็เป็นขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว” สายฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วมิติ สายตาจงเถิงก็วูบไหวเบาๆ
นั่นเป็นเพราะตามข้อมูลที่เขารู้ ไม่ยากที่จะผ่านเจดีย์ฝึกพลังกายสามชั้นแรก ตราบใดที่มีการเตรียมตัวไว้พร้อม แต่สำหรับชั้นสี่อัตราการคัดออกจะน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน
ครั้งนี้คงมีเพียงครึ่งหนึ่งของคนเข้ามาสามารถเข้าสู่ชั้นสี่ได้ แต่จงเถิงก็ไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะต้องต่อสู้หนักหน่วงกับหานซันและมั่วเฟิงถ้าต้องการเป็นที่หนึ่ง แต่เขาก็มั่นใจที่จะได้หนึ่งในที่นั่งครึ่งหนึ่งในนั้น
“เมื่อไปถึงชั้นสี่ เราค่อยมาดูกันว่าใครได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย เผ่ากระเรียนฟ้าของข้าไม่กลัวความท้าทายของพวกเจ้าทุกคน!”
จงเถิงมองคนอื่นด้วยริ้วเย็นเยือกที่วูบไหวในจุดลึกของดวงตา จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก ขนนกสีทองเบื้องหน้าเปล่งแสงสีทอง ล่อสายฟ้าที่ฟาดลงมาออกไปไม่หยุด
ที่หน้าจอชั้นสาม
“อีกไม่นานจอมยุทธ์เก้าคนก็จะเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นสาม ว่ากันว่าเป็นนี่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในเจดีย์ฝึกพลังกาย คนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจะถูกคัดออก”
ด้านนอกของเจดีย์สายตาแต่ละคู่จับจ้องไปที่หน้าจอเกิดการสนทนาไปทั่ว
“ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากมู่เฉินเลย… หากทั้งเก้าคนไปถึงส่วนลึกที่สุดของชั้นสามและเขายังไปไม่ถึงละก็ งานนี้เขาถูกเตะออกทันทีแน่”
หลายคนเหลือบมองด้วยความสงสารไปที่จุดแสงที่ยังคงนิ่งอยู่ในชั้นสอง บางทีอีกไม่นานมู่เฉินก็จะถูกกำจัดและบังคับให้ออกจากเจดีย์ฝึกพลังกาย
ที่มุมหนึ่งหลิ่วชิงรู้สึกว่าความไม่พอใจในใจลดลงไปมาก ก่อนหน้านี้ชายคนนี้ทะยานขึ้นสูง แต่ตอนนี้ก็ร่วงกราวลงมา เขาไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองอับอาย เขายังทำให้เผ่าวิหคโลกันตร์ต้องอับอายไปด้วย
หลิ่วชิงหันไปมองจิ่วโยวก็ยังคงเห็นอีกฝ่ายคงไว้ซึ่งความสงบนิ่งเช่นเคย แต่กำปั้นที่ค่อยๆ กำแน่นก็เผยให้เห็นความกังวลในใจ
“หลังจากเจ้านั่นถูกกำจัด ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะมีสีหน้ายังไง!”
หลิ่วชิงหัวเราะเยาะในหัวใจ แม้ว่าจะมีครึ่งหนึ่งต้องออก แต่มู่เฉินเป็นคนเดียวที่ถูกกำจัดก่อนไปถึงชั้นสาม
ยืนอยู่ข้างจิ่วโยวใบหน้าของมั่วหลิงก็เต็มไปด้วยความกังวล เพราะนางรู้ว่าถ้ามู่เฉินถูกกำจัดด้วยวิธีนี้ ขนาดเทพเซียนยังรู้เลยว่าการเยาะเย้ยอะไรที่พวกนางต้องเผชิญ หากเรื่องนั้นส่งกลับไปที่เผ่าละก็ งานนี้มีหวังพวกตาเฒ่าหน้าเหี่ยวหน้าย่นคลั่งแน่…
“พี่ใหญ่จิ่วโยว…”
จิ่วโยวไม่ได้สนใจ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่จุดแสงจุดเดียวในชั้นสอง กระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้
“หืม?”
ขณะที่ความสนใจของจิ่วโยวเพ่งลงไป ทันใดนั้นม่านตาก็หดลงอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกว่าจุดแสงเหมือนจะกะพริบขึ้นเร็วขึ้น
บนดินแดนน้ำแข็งแห้งแล้ง
พายุเย็นเยือกและกระแสน้ำเยือกแข็งอัดแน่นทุกหัวระแหง ร่างสูงโปร่งยังคงนั่งอย่างเงียบๆ บนยอดเขาที่โดดเดี่ยวราวกับก้อนหิน
ชี่! ชี่!
พายุเหล่านั้นราวกับใบมีดพาดผ่านร่างมู่เฉิน แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือพวกมันไม่สามารถสร้างบาดแผลบนร่างกายของเขาได้ เนื้อหนังเต้นตุบๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายใต้แสงสีทองจางๆ
หากใครสังเกตร่างกายมู่เฉินอย่างใกล้ชิดก็จะเห็นว่ามีความแวววาวสีฟ้าจางๆ อยู่ใต้ผิวหนังของเขาซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีเย็นสุดขั้ว ถ้าเป็นเวลาอื่นก็เพียงพอแล้วที่จะแช่แข็งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกได้ แต่ตอนนี้ขณะที่มันไหลเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉิน กลับเหมือนมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งและทรงพลังพลุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างช้าๆ
บนใบหน้าของมู่เฉินไอเย็นสีฟ้าค่อยๆ ละลายไป เมื่อรัศมีเย็นสุดขั้วหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาก็ลืมตาขึ้นทันที
รัศมีสีฟ้าเย็นรวมตัวกันในรูม่านตาของเขา ชั้นบรรยากาศเบื้องหน้าแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งภายใต้การจ้องมองของเขาเหมือนมีลวดลายน้ำแข็งวาบผ่านในดวงตา
ฮา!
ไอหมอกสีฟ้าขุ่นกลุ่มหนึ่งพรูออกมาจากลำคอของมู่เฉิน ไอเย็นสุดขั้วถูกปล่อยออกมา เมื่อมวลลมแหลมคมที่ซัดมาจากทุกทิศทุกทางสัมผัสกับไอเย็นก็ถูกแช่แข็งทันที
แสงสีทองกำจายอยู่บนร่างของมู่เฉิน ความเย็นที่อัดแน่นในร่างกายก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอุ่นสบาย
ราวกับว่าความหนาวเย็นที่สุดระหว่างสวรรค์และโลกไม่สามารถคุกคามเขาได้อีกต่อไป
เขาก้มหน้าลงช้าๆ ก็เห็นว่าไม่เพียงแต่ลวดลายมังกรบนแผ่นอกขยายขนาดขึ้น แต่ดวงตาที่เปิดออกเล็กน้อยยังเริ่มขยับและค่อยๆ เปิดขึ้นมากกว่าเดิม
ฮึ่ม!
ดวงตามังกรเปิดออก แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งเดียว แต่การระเบิดของแรงกดดันมังกรแท้จริงกะทันหันก็ทำให้เกิดรอยแตกขึ้นบนยอดเขาที่มู่เฉินนั่งอยู่
ในเวลาเดียวกันลวดลายหงส์ฟ้าที่แผ่นหลังก็สยายปีกออกอย่างช้าๆ ไปถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
พลังอำนาจของมังกรและหงส์ฟ้ากวาดออกมา ยอดเขาก็ไม่อาจรับได้อีกต่อไป หินน้อยใหญ่ร่วงกราวลงมาจากรอยแตก
ยอดเขาเกิดการสั่นสะเทือน มู่เฉินก็ยืดตัวตรง ที่ลำตัวส่วนบนเปลือยเปล่าไม่มีพลังงานหลิงวนเวียนอยู่รอบตัวเลย ทว่าเมื่อพายุที่สามารถแยกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกรูเข้ามา ก็เหลือไว้เพียงรอยขีดข่วนสีขาวบนผิวของเขาเท่านั้น
ร่างกายของเขามีการพัฒนามากหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งการชำระครั้งนี้
เขาสามารถรู้สึกได้ว่าเข้าใกล้ขั้นสองของกายามังกรหงส์ยิ่งขึ้นไปอีกแล้ว
แต่สถานที่นี้ไม่สามารถช่วยชำระร่างกายเขาได้อีกต่อไป
“เสร็จแล้วสินะ…”
มู่เฉินกำมืออย่างช้าๆ รู้สึกได้ถึงพลังงานระเบิดภายในร่างกาย รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏที่มุมปาก จากนั้นสายตาก็มองไปทางไกล คนพวกนั้นน่าจะกำลังพยายามที่จะเข้าสู่ชั้นสี่แล้วสินะ?
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องใช้กำลังเต็มพิกัดแล้ว ไม่งั้นถ้าเขาถูกกำจัดด้วยวิธีนี้ก็คงเสียหน้ากับการที่จิ่วโยวมอบตำแหน่งนี้ให้…
เมื่อคิดถึงจุดนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาสะบัดนิ้วออก แสงสีทองกระจายบนแผ่นหลัง ปีกสีทองขนาดใหญ่แผ่ออกมาอย่างช้าๆ
ตู้ม!
ปีกกระพือทำให้เกิดลมพัดแรงฉีกขาดพายุในบริเวณนี้ทันที กระแสไอเย็นสีฟ้าไม่สามารถขัดขวางร่างของมู่เฉินได้อีก เขากลายเป็นร่างแสงพุ่งออกมาจากพื้นที่ด้วยเร็วที่ไม่สามารถอธิบายได้
เป็นความเร็วที่เกินกว่าจงเถิงและคนอื่นๆ หลายเท่า!
ทันทีที่มู่เฉินเคลื่อนไหว
ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์ฝึกพลังกายก็สามารถสัมผัสได้ พวกเขารีบเบนสายตาไป จากนั้นสีหน้าก็ตะลึงค้างกันหมด
หลิ่วชิงที่มีสีหน้าเยาะเย้ย ใบหน้าก็ค่อยๆ แข็งทื่อ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น