หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 989-994
บทที่ 989 อำนาจของค่ายกลระดับเทียน
“ค่ายกลระดับเทียน ตราประทับคิริเทวโลก!”
ตราประทับแสงมาพร้อมกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์กดทับลง ทำให้เกิดคลื่นปั่นป่วนที่น่าสะพรึงกวาดออก กระทั่งมิติก็แตกสลาย แรงกดดันของตราประทับขนาดหนึ่งจั้งนี้ทำเอาสีหน้าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดยังต้องเปลี่ยนแปลงไปเลยทีเดียว
นี่คือค่ายกลระดับเทียนของแท้!
เมื่อตราประทับศักดิ์สิทธิ์กดลงก็พุ่งเข้าใส่จงฮั้ว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดน่ากลัว ริ้วความกลัววูบไหวในดวงตา
เขาสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของตราประทับ พลังของมันเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างเขายังรู้สึกถึงการถูกคุกคามถึงชีวิต
อย่างที่ทุกคนทราบ แม้ว่าค่ายกลที่จัดตั้งโดยหลิงเจิ้นซือจะทรงพลังแต่ก็มีข้อบกพร่อง นั่นก็คือเวลาในการจัดเตรียมสร้างค่ายกล การเผชิญหน้าระหว่างจอมยุทธ์อาจถูกตัดสินได้ในพริบตา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ปกติหลิงเจิ้นซือจะไม่ได้คุกคามอะไรมาก
แต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเมื่อมู่เฉินขึ้นมาบนแท่นรับเขาก็ยืนยิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อน ผู้คนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าเขาพึ่งพาความช่วยเหลือของจิ่วโยว แต่ที่จริงเขากำลังสร้างค่ายกลทรงพลังซ่อนไว้ใต้พื้นดินต่างหาก
ก็อย่างที่รู้กัน เมื่อหลิงเจิ้นซือมีเวลามากพอ พวกเขาเป็นอะไรที่ยากจัดการ… และในเวลานี้จงฮั้วก็กำลังได้รับผลลัพธ์นี่
“ไอ้เวร!”
เมื่อความคิดนี้แล่นพล่านในใจ จงฮั้วก็ได้แต่สาปแช่งอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โยนความตื่นตระหนกทิ้ง พริบตาคลื่นหลิงในร่างก็ระเบิดออกมาโดยไม่ได้ยับยั้งเอาไว้
เวลานี้ถ้าเขาต้องการที่จะปกป้องตัวเอง เขาก็ต้องเทหมดหน้าตัก!
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตปะทุราวกับภูเขาไฟ ระเบิดออกอย่างรวดเร็วจากร่างของจงฮั้ว สร้างคลื่นกระแทกที่ครอบงำกวาดออกไป ระเบิดแม้กระทั่งอากาศบริเวณนี้
ขณะที่จงฮั้วเร้าคลื่นพลังงานทั้งหมดออกมา กระเรียนไฟก็ปรากฏขึ้นข้างหลัง ปีกใหญ่กระพือทำให้เกิดทะเลเพลิงเชี่ยวกรากกระจายออกไปทั่วขอบฟ้า
“ครืน!”
ท่าทางจงฮั้วเคร่งเครียดถึงขีดสุด ขณะที่ร่างกระตุกรุนแรง กระเรียนไฟที่ลุกโชนก็ส่งเสียงร้องกลายเป็นเพลิงสีแดงกวาดลงไป ก่อนที่จะหลอมรวมเข้ากับหอกของเขา ทันใดนั้นขนเพลิงนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนตัวหอก อุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายออกไป ทำให้มิติบิดเบือน
“กระเรียนไฟประลัย!”
จงฮั้วคำราม เขาไม่ลังเลอีกต่อไป หอกเปล่งเสียงดังสนั่น ทันใดนั้นภายใต้สายตานับไม่ถ้วน หอกก็กระแทกลงบนตราประทับแสงที่เบื้องล่าง
เคร้ง!
ทันทีที่เกิดการปะทะกัน อากาศบนแท่นรับก็แข็งค้าง ในเวลาต่อมาพายุทอร์นาโดที่ไม่อาจบรรยายได้ก็กวาดหายนะออกมาฉับพลัน ทำให้เกิดรอยแตกบนแท่นรับที่ด้านล่าง
สายตาของมู่เฉินสงบนิ่งขณะมองพายุหลิงอันครอบงำ ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงเร็วจี๋ เสียงแผ่วเบาสะท้อนก้องออกมา “คิริเทวโลกปราบปีศาจ!”
ตู้ม!
พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงกระบวนท่า ตราประทับศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกตึงไว้โดยหอกยาวสีแดงในมือของจงฮั้วก็กระตุก จากนั้นตราประทับก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่ลมหายใจก็ขยายขนาดถึงพันจั้ง ครอบคลุมครึ่งหนึ่งของแท่นรับเอาไว้เลย
นอกเหนือจากการขยายตัวของตราประทับคิริเทวโลก ภาพภูเขาที่ตั้งตระหง่านก็เผยความยิ่งใหญ่มากขึ้น ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้จิตใจของผู้คนถูกระงับเอาไว้
เมื่อตราประทับศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไป สีหน้าของจงฮั้วก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด เนื่องจากเขาสามารถรู้สึกได้ว่าเวลานี้พลังการปราบปรามที่มาจากตราประทับศักดิ์สิทธิ์ทบทวีคูณขึ้น
แคร็ก!
บนหอกยาวสีแดงขนเพลิงแตกเป็นเสี่ยงๆ กระทั่งตัวหอกยังหงิกงอลงเล็กน้อย ชัดว่าไม่อาจทนได้แล้ว
เม็ดเหงื่อหยดลงมาจากใบหน้าที่บิดเบี้ยวของจงฮั้ว อึดใจเขาก็ปล่อยหอกยาวซึ่งกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ออก ร่างเงาถอยกรูดกลับไป
ปัง!
ขณะที่ถอยกลับ หอกยาวสีแดงก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากพลังของตราประทับศักดิ์สิทธิ์
อ็อก!
เมื่อถอยหนีออกไป เลือดสดก็พ่นออกมาจากปาก คลื่นหลิงในร่างกายดิ่งฮวบลง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ทว่าเขาก็ยังกัดฟันพร้อมกับสายตามืดครึ้มลง แม้ว่าค่ายกลที่สร้างขึ้นโดยหลิงเจิ้นซือจะทรงพลังมาก แต่ตัวหลิงเจิ้นซือเองอ่อนแอมากเมื่อค่ายกลหายไป ดังนั้นหากได้โอกาสเหมาะ เขาออกเพียงกระบวนท่าเดียวก็จะจัดการมู่เฉินได้
ทว่าดูเหมือนมู่เฉินจะรู้ว่าจงฮั้วกำลังคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มเย็นชาปรากฏที่มุมปาก ในเมื่อเขาเลือกที่จะเคลื่อนไหวแล้ว เขาก็จะไม่ทิ้งภัยคุกคามใดๆ เอาไว้รอบตัวอีก
มู่เฉินกระทืบเท้าปรากฏตัวเหนือตราประทับศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่จางหาย ก่อนที่จะกระแทกฝ่ามือลงไปภายใต้สายตาหวาดผวาที่จ้องมองมาของจงฮั้ว
ตู้มมมมม!
เมื่อส่งฝ่ามือออกไป ตราประทับศักดิ์สิทธิ์ก็ทะยานออกไปทันทีราวกับภูเขามหึมา พุ่งลงมาที่จงฮั้วที่กำลังถอยหนีพร้อมกับเงาขนาดใหญ่
เมื่อเงาห่อหุ้มโดยรอบ ใบหน้าของจงฮั้วก็เปลี่ยนไปทันที เขาได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เทพลังทั้งหมดไปที่ท่อนแขน จากนั้นก็ตบตราประทับศักดิ์สิทธิ์พยายามผลักมันออกไป
ปัง!
ทว่าเมื่อฝ่ามือทั้งสองของเขาสัมผัสกับตราประทับศักดิ์สิทธิ์ ขาของเขาก็อ่อนแรง หัวเข่ากดลงลึกไปในพื้นพร้อมกับเสียงกระดูกหักที่มาจากแขน ทำให้แขนทั้งสองข้างบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
ตราประทับศักดิ์สิทธิ์เหมือนแบกภูเขาเทพขนาดมหึมาจริงๆ น้ำหนักเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถแบกรับไว้ได้!
วาบ
มู่เฉินปรากฏขึ้นเหนือตราประทับศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็กระแทกเท้าลงไปอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้นคลื่นก็ม้วนตัวออก ตราประทับทั้งแผ่นทิ้งตัวลงมา ทำให้จงฮั้วที่อยู่ข้างใต้ตกอยู่ในสถานะที่น่าสมเพชยิ่งกว่าเดิม แขนทั้งสองเกือบหัก เลือดหยดลงบนเสื้อผ้า สภาพน่าอนาถสุดๆ
แต่เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่ได้คิดสงสารจงฮั้ว สายตาฉายความไม่แยแสขณะกระทืบเท้าลงไปอีกครั้ง เขาตั้งใจทำให้จงฮั้วเป็นง่อยไปเลย
ทว่าจงฮั้วเหมือนจะรู้สึกถึงเจตนาสังหารของมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารีรอ เสียงคำรามแผดออก เปลวไฟสีแดงก็กวาดออกมาปะทะกับตราประทับศักดิ์สิทธิ์
ปัง!
มือทั้งสองของเขาฟาดลงไปกับพื้นขณะเลือดสดพ่นออกมา เลือดราวกับเปลวไฟ พริบตาร่างของเขาก็ปรากฏตัวห่างออกไปพันจั้ง ร่อนลงมาด้านนอกแท่นรับ
อ็อก!
เมื่อร่างร่อนลงไป เลือดก็กระอักเต็มปาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ไม่เหลือเค้าความมั่นใจแม้แต่น้อยเหมือนในตอนแรก ความกลัวและความตื่นตระหนกในดวงตาทำให้เขาดูราวกับหมาจนตรอก
เมื่อจงฮั้วหนีกระเสือกกระสนออกมาจากแท่นรับอย่างน่าสมเพช ความวุ่นวายก็ลุกฮือขึ้น จอมยุทธ์จำนวนมากจ้องมองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง แววตาแต่ละคู่ไหวระริกเนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่ามนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกจะยากที่จะต่อกรขนาดนี้
ฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า พวกหลิ่วชิงก็มีสีหน้าไม่น่าดู เมื่อพวกนางเห็นมู่เฉินเอาชนะจงฮั้วได้ ตอนนี้ใบหน้ากลายเป็นสีเขียวคล้ำ ความไม่เชื่ออัดแน่น
ไม่มีใครคิดว่าสถานการณ์ที่อยู่ในกำมือจะพลิกไปในพริบตา…
“ไอ้บ้านั่นเป็นหลิงเจิ้นซือขั้นเทียนตัวจริง เขาซ่อนตัวเองเอาไว้ลึกสุดใจเลยทีเดียว!” จอมยุทธ์คนหนึ่งของเผ่ากระเรียนฟ้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะที่พูด สายตาที่มองมู่เฉินมีริ้วความกลัวเพิ่มขึ้น ถ้าหลิงเจิ้นซือขั้นเทียนเตรียมพร้อมขึ้นมาละก็ เป็นเรื่องง่ายที่จะฆ่ากระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด
หลิ่วชิงกำมือแน่นพลางขบฟัน ขณะที่สีเขียวสลับสีขาวกระจายบนใบหน้า แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน มู่เฉินยังคงมีใบหน้านิ่งสงบ เขากระทืบเท้าลงไปตราประทับศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ สลายลง
ขณะเดียวกันเขาก็เงยหน้าขึ้นมองจงเถิงที่เผชิญหน้ากับจิ่วโยวด้วยสีหน้าเฉยเมยพูดเบาๆ ว่า “ถ้าเจ้ายังคิดอยู่ที่นี่ ก็อย่าโทษข้าที่ต้องลงมือด้วย”
พูดจบแสงหลิงก็เต้นระริกออกมาจากแขนเสื้อแล้วรวมเข้ากับพื้นที่นี้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นลวดลายแสงก็ปรากฏขึ้นเลือนราง เหมือนกำลังจะก่อร่างตัวค่ายกลระดับเทียนอีกชั้นหนึ่ง
เมื่อรู้สึกถึงไอสังหารคมชัดที่เบื้องล่าง จงเถิงก็ม่านตาหดเกร็ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างช่วยไม่ได้ เขาก้มหน้าลงมองไปที่มู่เฉิน พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ครั้งนี้ข้าประเมินเจ้าต่ำไป”
ครั้งแรกที่พบเขาไม่เคยมองมู่เฉินอยู่ในสายตา แต่ในขณะนี้เขาเข้าใจว่าภัยคุกคามที่มู่เฉินนำมายิ่งใหญ่กว่าจิ่วโยวหลายขุม มิน่าล่ะจิ่วโยวถึงมีความมั่นใจมากขนาดนี้
มู่เฉินไม่ได้โต้ตอบ แต่ลวดลายเรืองแสงกลับสว่างขึ้น…สว่างขึ้น คลื่นพลังงานที่น่าอัศจรรย์ใจก่อตัวขึ้นช้าๆ
ฮา
จงเถิงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด แสงเย็นยะเยือกวูบไหวในดวงตา ทว่าเขาก็เป็นคนเด็ดขาดและรู้ว่าตนเองไม่มีโอกาสมากนักในการปะทะกับจิ่วโยวและมู่เฉิน ดังนั้นจึงถอยออกไปทันที
“เจ้าชื่อมู่เฉินใช่ไหม? ข้าจะจำชื่อนี้เอาไว้ หากมีโอกาสข้าจะขอลิ้มลองความแข็งแกร่งของค่ายกลเจ้ามั่ง หวังว่าเวลานั้นเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงเย็นก็ดังก้อง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้
ทว่ามู่เฉินไม่สนใจกับการข่มขู่แบบนี้ เขาเงยหน้าขึ้นแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวด้วยรอยยิ้มบาง จากนั้นก็กวาดมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์
“ทุกคน ข้ามู่เฉินต้องการแท่นรับแห่งนี้ ไม่ทราบว่ายังมีปัญหาอะไรอีกไหม?”
ขณะที่พูดเขาก็ดีดนิ้ว แสงหลิงเชี่ยวกรากก็มารวมตัวกันบนแท่นรับ พิจารณาจากความซับซ้อนของลวดลาย ไม่มีใครรู้ว่ามีค่ายกลจำนวนเท่าไรถูกซ่อนอยู่ไว้กันแน่
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นดังนี้สายตาก็วูบไหว แต่สุดท้ายก็ละสายตากลับมา ยังไงที่นี่ก็มีแท่นรับสิบแท่น ไม่จำเป็นต้องเสียแรงกับอันที่จัดการยาก ไปชิงแท่นรับที่ยังไม่มีผู้ครองดีกว่ามาเสี่ยงสู้กับมู่เฉินและจิ่วโยว
เพราะทุกคนรู้ชัดว่าแท่นรับนี้ได้รับการสร้างแนวปราการโดยมู่เฉินเรียบร้อย การจะฝ่าเข้าไปคงมีจอมยุทธ์ไม่กี่คนที่มีความมั่นใจแบบนั้น
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นเขาส่งยิ้มให้จิ่วโยวดูท่าจะไม่มีใครกล้ามาชิงแท่นรับนี้อีกแล้ว
ในที่สุดเขาก็ได้รับที่นั่งของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณมาครอบครอง
บทที่ 990 เข้า
ด้านนอกของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ
คลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดออกมาราวกับพายุ ผืนดินยังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการต่อสู้ ในการแข่งขันชิงที่นั่งนี้ ทุกคนทุ่มกันสุดพลังเลยทีเดียว
ในแท่นรับสิบแท่น ตำแหน่งของมู่เฉินตัดสินเร็วที่สุดไม่เหมือนตรงจุดอื่น นับตั้งแต่เขาเอาชนะจงฮั้วแบบม้วนเดียวจบ ก็ไม่มีใครท้าทายเขาอีก
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขากลัวมู่เฉิน แต่เป็นเพราะแท่นรับตอนนี้เต็มไปด้วยลวดลายแสง ซึ่งได้ผสมรวมผืนฟ้าและผืนดิน กะพริบไหวราวกับหมู่ดาว
จอมยุทธ์บางคนเพ่งสายตาไปเมื่อเห็นลวดลายแสงที่อัดแน่นก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบ ไม่มีใครรู้ว่ามู่เฉินสร้างค่ายกลไว้จำนวนเท่าใด
แท่นรับนี้เป็นป้อมปราการค่ายกลชัดๆ ส่วนมู่เฉินที่อยู่ภายในก็อยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีทางแพ้…
นี่คือส่วนที่น่าสะพรึงกลัวของหลิงเจิ้นซือ ตราบใดที่มีเวลาเพียงพอพวกเขาก็จะสามารถสร้างปราการที่น่ากลัวได้ ผู้บุกรุกเข้าไปจะได้รับผลกระทบจากการทำลายล้างนี้
ภายใต้สายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็สะบัดนิ้วขณะที่เกลียวสัญลักษณ์หลิงยิ่งหลั่งไหลออกไปรวมตัวกันในมิติที่ว่างเปล่าเพิ่มอีก ก่อนที่เขาจะตบมือเบาๆ ใช้ประโยชน์จากเวลาที่มีเขาก็สร้างค่ายกลตราประทับคิริเทวโลกขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีค่ายกลระดับตี้จำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ภายใน เมื่อรวมเข้าด้วยกันพลังอำนาจของมันก็เรียกว่าน่าอัศจรรย์ใจเลยทีเดียว
ถ้าจงฮั้วกล้าเข้ามาอีกครั้ง มู่เฉินมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่รอดแน่
เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้น มู่เฉินก็ผ่อนคลายลง ยามนี้เขาไม่กลัวใครอีกแล้วและเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดไม่มีใครมีความสามารถที่จะยึดแท่นรับนี้ไปจากเขาได้
เมื่อคลายความตึงเครียด มู่เฉินก็มีอารมณ์ที่จะกวาดมองไปยังแท่นรับอีกเก้าแห่ง การต่อสู้ดุเดือดยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางคลื่นหลิงรุนแรงก็ปรากฏรูปร่างที่แตกต่างของเทพอสูร เสียงคำรามทุกรูปแบบดังก้องข้ามขอบฟ้า
เขามองไปที่แท่นรับที่มั่วเฟิงยืนหยัดอยู่เป็นลำดับแรก เมื่อเพ่งสายตาไปก็อดหดเกร็งม่านตาลงไม่ได้
คู่ต่อสู้ของมั่วเฟิงเป็นโฉมสะคราญที่มีปีกสีแดงเข้มกางออกที่ด้านหลัง ขนนกแสงนับไม่ถ้วนส่งเสียงหวีดหวิวรอบร่างนาง รัศมีแหลมคมครอบงำออกมา กรีดมิติกลายเป็นช่อง
นางเป็นอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนไฟที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด รัศมีคมกริบของนางแข็งแกร่งยิ่งกว่าจงฮั้ว นางเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามอย่างชัดเจน
แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่เฉียบแหลมนี้ สีหน้าของมั่วเฟิงก็ยังสงบเรียบขณะที่ถอยกลับ ดูเหมือนกำลังตกไปในจุดที่ถูกยับยั้งไว้จนไม่สามารถต่อสู้ได้
ทว่าเมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หรี่ลงขณะที่จ้องมองมั่วเฟิง นั่นเพราะเขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าคลื่นหลิงที่ล้อมรอบอีกฝ่ายกำลังเดือดขึ้นราวกับว่ากำลังเตรียมการอะไรอยู่
“นั่นคือ…”
มู่เฉินจ้องมองไปที่มั่วเฟิง ม่านตาก็หดลง
กีดดด!
มั่วเฟิงถอยไปจนถึงขอบแท่นรับในที่สุดก็หยุดลง สายตามองไปที่อัจฉริยะเผ่ากระเรียนไฟอย่างเรียบเฉย เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสียงลมดังหวีดหวิวขึ้นมาจากร่างกายเขา
บึ้ม!
ปีกหงส์ฟ้าสีแดงแผ่ออกที่ด้านหลังมั่วเฟิงมีขนาดประมาณร้อยจั้ง ตัวปีกกระพือวูบไหว เกลียวไฟสีแดงเข้มก็ก่อตัวกวาดออกไปทุกทิศทุกทางราวกับทะเลเพลิง
ขณะที่เพลิงเข้มข้นกวาดออก ภาพหงส์ฟ้าก็ก่อตัวขึ้น แรงกดดันทรงพลังที่อธิบายไม่ได้กระจายออกมา
เมื่อหญิงสาวเผ่ากระเรียนไฟเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนทันที นางตะโกนว่า “เจ้าไม่ได้มาจากเผ่าวิหคโลกันตร์เรอะ? ทำไมถึงมีเพลิงหงส์ฟ้าได้?!”
ที่เรียกว่าเพลิงหงส์ฟ้าสามารถได้รับจากการฝึกฝนของชนชั้นสูงของเผ่าหงส์ฟ้าเท่านั้น พวกมันมีพลังที่ครอบงำสามารถเผาท้องฟ้าต้มท้องทะเล ยิ่งกว่านั้นที่สำคัญก็คือเพลิงหงส์ฟ้าเหล่านี้สามารถปราบปรามเหล่าสัตว์อสูรกลางหาวได้ ซึ่งหญิงสาวเผ่ากระเรียนไฟก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ฉ่า! ฉ่า!
เพลิงสีแดงเข้มกวาดออกมาปะทะกับกระบี่ขนนก ทันใดนั้นกระบี่ขนนกก็ละลายลง เพลิงหงส์ฟ้าก็ราวกับตัวหนอน เคลื่อนไปยังหญิงสาวเผ่ากระเรียนไฟอย่างรวดเร็ว
ท่าทางของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างมาก นางรีบถอยร่น ไม่กี่อึดใจก็ถอยออกจากแท่นรับนี้ ก่อนที่จะจ้องเขม็งไปที่มั่วเฟิงแล้วสะบัดหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวคนนี้มีความเด็ดขาดแท้จริงเมื่อรู้ว่าด้วยเพลิงหงส์ฟ้านี้มั่วเฟิงจะยืนอยู่ในตำแหน่งผู้ชนะ นางไม่มีโอกาสชนะในการต่อสู้ครั้งนี้เลย การลากศึกออกไปรังแต่จะเสียเวลาเปล่า
มั่วเฟิงมองไปจอมยุทธ์หญิงเผ่ากระเรียนไฟที่ถอยกลับไป สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่ง ด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพลิงหงส์ฟ้าสีแดงก็หดตัวเข้ามาแล้วถูกเขากลืนกินกลับเข้าไป
เมื่อจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่ตั้งใจจะจัดการกับมั่วเฟิงเห็นฉากนี้ ท่าทางพวกเขาแข็งทื่อ ก่อนที่จะมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและหวาดเกรง
พวกเขาเห็นมั่วเฟิงมาในนามเผ่าวิหคโลกันตร์กับตา แล้วเขาจะปลูกฝังเพลิงหงส์ฟ้าได้อย่างไร? เขาเกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์ฟ้ายังไง?
“เพลิงหงส์ฟ้าเรอะ…”
มู่เฉินไม่แปลกใจกับภาพนี้ เนื่องจากเขาได้เห็นสิ่งนี้จากมั่วหลิงมาก่อนแล้ว สองพี่น้องต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเผ่าหงส์ฟ้าแน่นอน
ทว่ามู่เฉินก็ไม่เก็บมาคิดมากเกินไป ทุกคนย่อมมีความลับของตัวเอง ตัวเขาก็ไม่อยากไปขุดดูความลับของผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวระงับความคิดก่อนที่จะยิ้มบางให้มั่วเฟิง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันมั่วเฟิงน่าจะสามารถรักษาที่นั่งในแท่นรับนี้ได้แล้ว นั่นก็หมายความว่ากลุ่มของพวกเขาครอบครองที่นั่งสองที่ตามที่กำหนดไว้
มั่วเฟิงที่รับรู้ถึงการจ้องมองของมู่เฉินก็พยักหน้า เมื่อเขาเห็นแท่นรับของมู่เฉินที่ปกคลุมไปด้วยค่ายกลหัวใจของเขาก็สั่นเทา เขารู้สึกชัดเจนถึงภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากค่ายกล
ดูท่าความรู้ของมู่เฉินในศาสตร์ค่ายกลแข็งแกร่งกว่าความคาดหมายของเขามาก
ตู้มมมม!
หลังจากผลลัพธ์ถูกกำหนดจากแท่นรับของมู่เฉินและมั่วเฟิง แท่นรับอื่นๆ ก็เริ่มแสดงผลลัพธ์เช่นกัน คนแรกที่ทำให้ทุกคนตกใจคือหานซันจากเผ่าแรดอสูร
คู่ต่อสู้ของเขาก็คือสีคุนจากเผ่าอสูรกุญชรซึ่งมีความแข็งแกร่งคล้ายคลึงกัน พวกเขาทั้งสองต่างมีพละกำลังที่เหนือกว่าคนอื่น ดังนั้นการเผชิญหน้าของพวกเขาเหมือนศึกปะทะกันระหว่างพญาแรดและพญาช้างโบราณ ทุกครั้งที่ปะทะกันทำให้พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น
ทว่าหลังจากทั้งสองฟัดกันหลายร้อยกระบวนท่าหานซันก็เป็นผู้ชนะ เขากระแทกสีคุนหลุดออกจากแท่นรับในกระบวนท่าสุดท้าย
เมื่อสีคุนร่อนลงมาที่พื้นด้วยสีหน้าซีดขาว เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทะยานไปยังแท่นรับอื่นทันที เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้จุดอื่นจัดการง่ายกว่าหานซัน
ถัดจากหานซันที่ได้ครอบครองที่ แท่นรับต่อไปก็คือจงเถิงเผ่ากระเรียนฟ้า พลังของชายคนนี้ไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อเขาโจมตีด้วยพลังทั้งหมด จึงมีคนไม่มากนักที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ สุดท้ายเขาก็ได้ที่นั่งมาอย่างราบรื่น จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของเผ่ากระเรียนฟ้าก็ยืนคุมเชิงบนท้องฟ้าเหนือแท่นรับเพื่อข่มขวัญเผ่าอื่นๆ
หลังจากการต่อสู้ดุเดือดบนแท่นรับ ผลลัพธ์ก็ค่อยๆ กำหนดได้แล้ว…
อัจฉริยะจากเผ่านักกะกลืนฟ้า ลู่เจี่ย
เผ่ามังกรวานร เฉินจ้าน
และสีคุนเผ่าอสูรกุญชรที่พ่ายแพ้ให้กับหานซันมาก่อน…
มู่เฉินกวาดสายตามองไปก่อนที่จะหยุดลงตรงแท่นรับสุดท้ายก็ต้องอึ้งไปพร้อมกับคิ้วขมวดแน่น นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่าจอมยุทธ์ที่ครอบครองแท่นรับเป็นคนหน้าคุ้น ชายคนนี้ก็คือจอมยุทธ์จากเผ่าอีกาสายฟ้าที่พวกเขาปะทะกันในวงแหวนอุกกาบาต
ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่และได้แท่นรับไปเหมือนกัน
เมื่อมู่เฉินเห็นชายชุดดำเผ่าอีกาสายฟ้า อีกฝ่ายก็สัมผัสถึงได้ก็เงยหน้าขึ้น หลังจากได้เห็นมู่เฉินเขาก็ขมวดคิ้วก่อนที่จะมองไปที่แท่นรับซึ่งปกคลุมไปด้วยค่ายกล ดวงตาเขาก็หดลงเล็กน้อย
มู่เฉินไม่สนใจถอนสายตากลับไป หลังจากการต่อสู้ดุเดือดบนแท่นรับทั้งสิบในที่สุดบรรยากาศก็สงบลง จอมยุทธ์สิบคนคือคนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุด
เว้นแต่ไม่รู้ว่าใครจะประสบความสำเร็จที่ดีที่สุดในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณและได้รับโอกาสยอดเยี่ยมไป
ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ มู่เฉินก็มองไปที่เจดีย์โบราณกะดำกะด่าง ก่อนที่สายตาจะร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ โอกาสสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งอยู่ในนั้น
ในเวลาเดียวกันพายุคลื่นหลิงในบริเวณนี้ก็ค่อยๆ สงบลง โดยมีจอมยุทธ์ทั้งสิบยืนตระหง่านอยู่บนแท่นรับ แต่ละคนมีรัศมีที่น่าประทับใจ ชัดว่าล้วนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา
ครืน!
เมื่อพายุคลื่นหลิงสงบลง ทันใดนั้นเสียงโบราณก็ดังกึกก้องมาจากเจดีย์ ทุกคนสามารถมองเห็นแสงไหลเวียนอยู่บนพื้นผิวของเจดีย์โบราณ ซึ่งก่อตัวขึ้นเป็นลำแสงสิบสายล้อมรอบร่างเงาทั้งสิบเอาไว้
เมื่อลำแสงห่อหุ้มร่าง มู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงดูดที่พยายามดึงร่างกายเขาเข้าไป ดวงตาของเขาวูบไหว ก่อนที่จะหยุดการต่อต้าน
ฟิ้ว!
ลำแสงพุ่งกลับไปพร้อมกับนำตัวจอมยุทธ์ที่ได้ที่นั่งมาด้วย พวกเขาทะยานเข้าไปภายใต้สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วน เข้าไปในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ
จิ่วโยวมองมู่เฉินที่ถูกพาเข้าไปภายในเจดีย์ก็กำมือแน่น ต่อจากนี้ไปนางไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่มู่เฉินได้ เขาจะต้องพึ่งพาตนเองเพื่อความสำเร็จที่จะได้รับ…
บทที่ 991 ภายในเจดีย์
ขณะที่ลำแสงพามู่เฉินเข้าไปในเจดีย์โบราณ
เขาสามารถสัมผัสชัดเจนถึงคลื่นหลิงที่น่ากลัวและรุนแรงที่พลุ่งพล่านรอบตัว ระลอกคลื่นน่าขนพองสยองเกล้าทำให้เขาหวาดกลัวในใจ เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ นั่นเป็นเพราะการรั่วไหลเล็กน้อยของคลื่นหลิงที่น่ากลัวนี้อาจทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักเลยทีเดียว
ยามนี้มู่เฉินตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณแล้ว มิน่าล่ะถึงบอกว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นยังไม่กล้าพุ่งเข้ามาอย่างไร้ทิศทางในสถานที่แห่งนี้
ลำแสงพามู่เฉินผ่านอุโมงค์คลื่นหลิง หลายสิบลมหายใจต่อมาร่างกายของมู่เฉินก็กระตุก ระลอกคลื่นมิติปั่นป่วนเล็ดลอดออกมา ทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปทันที…
เมื่อความมืดมิดหายไป ทะเลทรายขนาดใหญ่ก็ถูกเผยที่เบื้องหน้าเขา ที่นี่ไม่มีลมพัดผ่าน ทั่วมิติดูเหมือนตายสิ้น ไม่มีพลังชีวิตใดๆ หลงเหลือสักน้อย
มู่เฉินเบลอไปเล็กน้อยเมื่อมองไปรอบๆ เขาตระหนักได้ว่าสถานที่ที่ตนเองยืนอยู่เป็นแท่นหินโบราณที่มีรัศมีหลิงแผ่ออกมา ก่อตัวเป็นม่านพลังล้อมรอบเขาไว้
“นี่คือภายในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณรึ?” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งจึงเงยหน้าขึ้น จากนั้นเขาก็เห็นดวงอาทิตย์สีเลือดหมูลอยอยู่เหนือทะเลทรายไม่มีที่สิ้นสุด ดูประหนึ่งลูกเพลิงสว่างโชติช่วง เมื่อแสงอาทิตย์ร้อนแผดเผาสาดส่องลงมาก็ราวกับว่าสามารถเผาโลกได้
“ดวงอาทิตย์นี้…”
ดวงตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่ดวงอาทิตย์สีเลือดหมู สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงเรื่อยๆ แม้ว่าแท่นนี้จะปิดกั้นทุกอย่างจากภายนอก แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าไอความร้อนในทะเลทรายนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าทะเลลาวาเลย
“หืม?” ขณะที่มู่เฉินเปิดประสาทการรับรู้ออกไปในทะเลทรายอันใหญ่โต ทันใดนั้นเขาก็ต้องมองไปอีกทางหนึ่งก่อนที่จะเติมเต็มคลื่นหลิงเข้าไปในดวงตา จากนั้นเขาก็มองเห็นแท่นหินแบบเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นไกลออกไปโดยมีร่างคนยืนอยู่บนแท่นเหล่านั้น พวกเขาก็คือจอมยุทธ์อีกเก้าคนที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าสู่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณนี้
เมื่อแต่ละคนปรากฏตัวก็ไม่ได้ตื่นตระหนกกับทะเลทรายตรงหน้า ดูท่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไว้
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อทั้งสิบคนปรากฏตัวจนครบ ม่านแสงที่ก่อตัวจากแท่นหินก็แปรปรวน แสงรวมกันที่เบื้องหน้าพวกเขาถักทอเป็นข้อความโบราณ
“เจดีย์ฝึกพลังกายแบ่งออกเป็นห้าชั้น ไม่มีกฎ ณ ที่แห่งนี้ ใครก็ตามที่สามารถเข้าสู่ชั้นห้าจะได้รับวิทยายุทธระดับเสินทงไป…”
คำพูดไม่กี่สิบคำทำเอานัยน์ตาของมู่เฉินร้อนผ่าว นั่นเพราะเจดีย์นี้มีวิทยายุทธระดับเสินทงของแท้อยู่จริง!
นั่นเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มเสียอีก กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังถูกล่อใจอย่างมาก!
ถ้าเขาฝึกฝนวิชานี้ได้ เขาก็จะสามารถปราบคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันทั้งหมดได้
มู่เฉินเลียริมฝีปากขณะที่ดวงตาฉายแววปรารถนา แม้ว่าเขาจะไม่ได้หันไปมองคนอื่น เขาก็สามารถบอกได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่าใครๆ ก็รู้สึกเหมือนเขาทั้งนั้น
วิทยายุทธระดับเสินทงเป็นวิชาที่แม้แต่อัจฉริยะเผ่าสัตว์อสูรต่างๆ ก็ไม่อาจฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย
ข้อความคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป เมื่อตัวอักษรเริ่มจางลงมู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าม่านแสงรอบตัวสลายไปราวกับว่ากำลังจะแตกออก
“กำลังจะเริ่มแล้ว!”
ดวงตาของมู่เฉินวูบไหว เขาไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย ด้วยความคิดวูบหนึ่ง เขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงขึ้นในใจแล้วกระจายออกไปห่อหุ้มร่าง
ปัง!
จังหวะที่มู่เฉินทำการป้องกันเสร็จสิ้น ม่านแสงเบื้องหน้าก็ทนต่อไปไม่ไหว สลายหายไปทันที…
ฉ่า!
ในช่วงเวลาที่ม่านแสงหายไป แสงแดดแดงฉานก็ส่องลงมา อุณหภูมิสูงอย่างน่ากลัวโอบล้อมเขาไว้ทันที ทำให้ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรง
ภายใต้อุณหภูมิที่สูงจนน่ากลัว ก่อนที่เขาจะทันได้หมุนเวียนคลื่นหลิงขึ้นมาอีกครั้ง เสื้อผ้าก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านทันที มิหนำซ้ำคลื่นหลิงที่ห่อหุ้มร่างก็ค่อยๆ ระเหยออกด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
อุณหภูมิที่น่ากลัวกระจายลงมา ทำให้ผิวหนังของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เลือดในร่างกายแสดงอาการเดือดพล่าน ทั่วสรรพางค์กายแผดเผาจากแสงแดดแรงกล้านี้
“ช่างเป็นอุณหภูมิที่น่ากลัวจริงๆ!”
ร่างกายมู่เฉินสั่นไหวเล็กน้อยขณะที่สูดหายใจ นี่คือเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณรึ? น่ากลัวอย่างแท้จริง แค่ชั้นแรกก็ทรมานอย่างแสนสาหัส ไม่รู้ว่าการทดสอบด่านต่อไปจะน่าอัศจรรย์เพียงใด
ตามการประเมินของมู่เฉิน หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ พวกเขาสามารถทนอยู่ได้ไม่เกินสองชั่วโมงก็จะถูกเผาไหม้
เขาเอี้ยวหน้ามองไปที่ทั้งเก้าแท่น ก็มองเห็นควันลอยขึ้นมาจากหัวของแต่ละคน ร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงดูราวกับกุ้งนึ่ง ท่าทางน่าสมเพชกันอย่างยิ่ง
ทว่าสถานการณ์นี้ก็คงอยู่ชั่วคราว ทั้งเก้าคนตอบสนองอย่างรวดเร็วและดำเนินการตอบโต้บางอย่าง
คนแรกที่คืนสภาพได้คือจงเถิงเผ่ากระเรียนฟ้า เขาโบกมือแสงสีทองก็พุ่งออกมาก่อร่างเป็นร่มสีทองอยู่ด้านบน ตัวร่มออกแบบเป็นภาพกระเรียนสีทองคำทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองกำจายออกจากร่มกั้นแสงอาทิตย์เอาไว้
เห็นได้ชัดว่าร่มสีทองนี้ไม่ใช่วัตถุธรรมดา แม้ว่าจะไม่สามารถปิดกั้นอุณหภูมิได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถปิดกั้นแสงสีแดงเลือดหมูที่น่ากลัวที่สุดไว้ได้ ด้วยวิธีนี้จงเถิงก็จะเดินทางผ่านทะเลทรายได้ง่ายขึ้น
ขณะที่จงเถิงงัดกลยุทธ์ออกมา คลื่นหลิงก็กำจายออกมาจากอัจฉริยะเผ่าอื่นๆ แต่ละคนใช้วิธีต่างๆ นานา เพื่อสกัดแสงสีแดงเลือดหมูนี้ไว้…
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เตรียมตัวมาพร้อม!
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ เปลือกตาก็อดกระตุกไม่ได้ ไอ้พวกนั้นโกงกันชัดๆ!
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ มองไปที่มั่วเฟิง อีกฝ่ายไม่ได้ใช้วิธีพิเศษใดๆ แต่ปีกหงส์ฟ้าสีแดงฉานแผ่อยู่ข้างหลัง ขณะที่แสงสีแดงแล่นแปลบปลาบก็กลายเป็นเปลวไฟห่อหุ้มร่างเขาไว้ ด้วยวิธีนี้เขาสามารถป้องกันตัวเองจากอุณหภูมิสูงได้
ตอนนี้มีเพียงมู่เฉินคนเดียวที่ไม่มีวิธีพิเศษใดๆ เขาทำเพียงห่อหุ้มร่างกายด้วยพลังงานที่มี ขณะที่ลำแสงสีแดงเลือดหมูทำให้เขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เมื่อเทียบกับอีกเก้าคนที่ใช้วิธีกันง่ายเช่นนี้ เขาก็ดูทนทุกข์มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อรู้สึกถึงความทรทุกข์ทรมาน สายตาอีกเก้าคู่ก็มองมา นอกจากมั่วเฟิงที่มองอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนที่เหลือมีความสุขบนใบหน้าที่เห็นความทุกข์ของคนอื่น
โดยเฉพาะจงเถิงและชายชุดดำที่มาจากเผ่าอีกาสายฟ้า ดวงตาทั้งสองฉายแววเยาะเย้ย ไอ้บ้านี่คิดจริงๆ หรือว่าจะแข่งขันกับอัจฉริยะเผ่าสัตว์อสูรต่างๆ อย่างพวกเขาได้โดยการใช้เพียงค่ายกลเรอะ?
เขาประเมินตัวเองสูงไปแล้ว
“ฮ่าๆ ทุกคนมาดูกันว่าใครที่จะไปถึงชั้นห้าก่อนกัน!” หานซันหัวเราะร่วน ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นลำแสงสีดำทะยานออกไป
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หลังจากเขาออกนำ คนที่เหลือก็เพิ่มความเร็วพยายามออกจากทะเลทรายแห่งนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อเข้าสู่ชั้นสองและได้โอกาสในการคว้าวิทยายุทธระดับเสินทงไป
มั่วเฟิงเป็นคนสุดท้ายที่ออกไป เขาเหลือบมองมู่เฉินอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงจะเปล่งขึ้นมา “แสงสีแดงในสถานที่นี้มีผลในการเผาผลาญคลื่นหลิง… หากเจ้าไม่สามารถทนได้ให้คิดว่าอยากออกไปแล้วเจ้าก็จะสามารถออกจากเจดีย์นี้ได้”
ในเจดีย์ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น ดังนั้นมั่วเฟิงจึงไม่มีวิธีช่วยเหลือมู่เฉิน ได้แต่เอ่ยเตือนเท่านั้น
“ขอบคุณพี่มั่ว เจ้าไปเถอะ” มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
มั่วเฟิงพยักหน้าไม่ลังเลอีกต่อไป ขนหงส์ฟ้าปรากฏขึ้นห่อหุ้มร่างกายไว้ ก่อนที่ร่างเขาจะกลายเป็นเปลวไฟทะยานออกไป
เมื่อทุกคนออกไปแล้วที่นี้ก็กลับสู่ความเงียบสงบ มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองอาทิตย์จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
เขาสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็วจากแสงแดดสีแดงเลือดหมูนี้ หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป เขาคงอยู่ได้ไม่นานมาก ก่อนที่พลังงานในร่างกายจะเหือดหายไปหมด
เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ ดังนั้นในสถานที่แห่งนี้มั่วเฟิง จงเถิงและคนอื่นๆ ที่มาจากเผ่าสัตว์อสูรแท้จริงจึงราวกับปลาได้น้ำ
มู่เฉินยืนอยู่บนแท่นขณะที่คลื่นหลิงอ่อนล้าลงเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าร่างกายร้อนระอุขึ้น ความเจ็บปวดรุนแรงจากการลุกไหม้กระจายไปทั่วทุกอณู กัดเซาะเลือดเนื้อของเขา
“เจดีย์ฝึกพลังกายนี้ต้องใช้พลังภายนอกอย่างเดียวถึงจะผ่านไปได้จริงหรือ?” มู่เฉินพึมพำก่อนที่จะจ้องมองมือตัวเอง จากนั้นก็กำแน่น แววตาค่อยๆ คลายลง
ในเมื่อเจดีย์ฝึกพลังกายถูกใช้เพื่อขัดเกลาพลังกาย ดังนั้นก็ต้องใช้ร่างกายเพื่อผ่านไป แม้ว่าจะทรมาน แต่ก็เป็นรูปแบบของการขัดเกลาสภาพร่างกายไม่ใช่เหรอ?
เหตุผลที่เขาเข้ามาในเจดีย์ฝึกพลังกายก็เพื่อทำให้พลังกายแข็งแกร่งขึ้น สำหรับโอกาสที่จะคว้าวิทยายุทธระดับเสินทงคือเรื่องต่อจากนี้ต่างหาก
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ตราบใดที่เขาสามารถทำให้ความต้องการแรกเสร็จสมบูรณ์ก็เพียงพอแล้ว
หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ มู่เฉินก็พรูลมหายใจออกยาวๆ และยิ้มบาง ก่อนที่คลื่นหลิงรอบตัวจะถูกถอนออก เขากางแขนปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดเปิดเผยภายใต้แสงสีแดงที่น่าสะพรึงกลัว
ดังนั้นอุณหภูมิที่รุนแรงจึงเริ่มกัดเซาะราวกับคลื่นลาวา
บทที่ 992 แสงสีแดงชำระร่าง
ฉ่า!
เมื่อคลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินหายไป แสงสีแดงก็แผ่ซ่าน อุณหภูมิสูงน่าสะพรึงก็พัดเข้ามาทุกทิศทาง
ผิวหนังของมู่เฉินถูกกัดกร่อนด้วยแสงสีแดง ความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งมาจากทุกรยางค์ในร่าง ทำให้เขาต้องสูดหายใจลึกสุดปอด
“นรกเอ้ย…”
มู่เฉินสาปแช่ง ด้วยความคิดในใจแสงสีทองก็ระเบิดออกมาจากร่าง บนแผ่นอกลวดลายมังกรแท้จริงก็ตื่นขึ้นแล้วเคลื่อนตัวไปรอบๆ ในเวลาเดียวกันแผลไฟไหม้ก็สมานกันอย่างรวดเร็ว
ไอความเย็นเบาบางกระจายออก ช่วยลดความเจ็บปวดรุนแรงลงหลายส่วน
เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ลดลงมู่เฉินก็โล่งใจ โชคดีที่ร่างกายเขาไม่ได้อ่อนแอ ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะทนต่อแสงสีแดงน่ากลัวนี้
“ต่อไปขอข้าลิ้มรสหน่อยว่าเจดีย์ฝึกพลังกายชั้นแรกจะน่ากลัวขนาดไหน”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองทะเลทรายในระยะไกล ร่องรอยความไม่ยอมแพ้ก็ปรากฏขึ้นในรูม่านตาสีดำ จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลก้าวย่างลงจากแท่นหินเดินเข้าไปในทะเลทราย
หลังจากไตร่ตรองไปครู่หนึ่ง เขาก็ไม่ได้เลือกเหาะเหินผ่านทะเลทรายแห่งนี้ แต่เลือกวิธีที่ช้าที่สุดโดยการเดินด้วยเท้าทั้งสองอันมั่นคง เนื่องจากเขาตัดสินใจที่จะใช้แสงสีแดงนี้ชำระร่างกาย จึงต้องเลือกวิธีที่ยากที่สุด
ชี่!
เมื่อฝ่าเท้าของมู่เฉินเหยียบลงไปบนพื้นทราย ควันสีขาวก็ลอยขึ้นมา เพียงแค่ก้าวแรกเขาก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังเดินเข้าสู่บ่อลาวาเหลว
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้มากนัก ขณะที่ก้าวเดินเขาก็อดทนต่อแสงสีแดงที่กำจายลงมา สองเท้าเริ่มออกเดินเข้าไปในส่วนลึกของทะเลทรายทีละก้าว…ละก้าว
ด้านนอกเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ
จอมยุทธ์เผ่าต่างๆ ล้วนมุ่งความสนใจไปที่เจดีย์หินนี้ สายตาของพวกเขายึดติดอยู่ที่ชั้นแรกของเจดีย์ ซึ่งมีแสงบางส่วนรวมตัวกันก่อตัวเป็นหน้าจอแสง แม้ว่าจะไม่เห็นร่างเงาในนั้นชัดเจน แต่ก็มีแสงกะพริบขึ้นมาสิบจุด
จุดแสงเหล่านี้แทนจอมยุทธ์ทั้งสิบที่เข้าสู่เจดีย์ ทุกจุดจะเป็นตัวแทนของหนึ่งคน ด้วยคลื่นหลิงที่กระเพื่อมไหว ทำให้คนภายนอกสามารถกะได้อย่างคร่าวๆ
ขณะนี้จุดแสงเก้าจุดกำลังพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
“จงเถิงเผ่ากระเรียนฟ้าเป็นคนแรก …” ทุกคนจ้องมองไปที่จุดแสงที่นำหน้า จากนั้นก็รู้ตัวตนของเขาได้จากคลื่นพลังงาน ซึ่งคนที่นำหน้าก็คือจงเถิงนั่นเอง
“จงเถิงปลุกสายเลือดกระเรียนปีกทองคำจึงครอบครองความเร็วที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะนำหน้าคนอื่น…”
“หานซันกับสีคุนก็ไม่ได้ทิ้งห่างจากกันมากนะ…”
“เหล่าอัจฉริยะที่เหลือก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา น่าจะมีโอกาสเข้าสู่ชั้นสองกันอยู่…” ที่ด้านนอกความสนใจของทุกคนอยู่ที่เจดีย์ บทสนทนาทุกประเภทดังไปทั่ว
“หืม เหมือนมีคนหนึ่งไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวเลยใช่ไหม?”
ขณะที่ทุกคนพูดกัน เสียงหัวเราะบาดแหลมของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังก้องขึ้น “จากระลอกคลื่นพลังที่กระเพื่อมอยู่ดูเหมือนจะเป็นมนุษย์จากเผ่าวิหคโลกันตร์นะ… ท่าทางค่ายกลจะไม่มีประโยชน์ในเจดีย์ฝึกพลังกายเลยเนอะ”
ทุกคนอึ้งไปเมื่อสังเกตเห็นว่าขณะที่ทั้งเก้าจุดเคลื่อนไปสู่ชั้นสองอย่างรวดเร็ว ก็ยังมีจุดจุดหนึ่งที่ไม่ได้ขยับเขยื้อน!
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากันแล้วเหลือบมองไปที่จิ่วโยวและมั่วหลิงด้วยแววตาน่าสนุก ก่อนหน้านี้กลยุทธ์ของมนุษย์ผู้นี้น่าตื่นตาตื่นใจนัก ไม่คิดว่าเมื่อเข้าสู่เจดีย์จะน่าสังเวชเช่นนี้ เสียประโยชน์จริงๆ
ใบหน้าของจิ่วโยวเคลือบด้วยไอเยือกเย็น นางจ้องมองคนที่ล้อเลียน ซึ่งก็คือหลิ่วชิงจากเผ่ากระเรียนฟ้า หลังจากที่มู่เฉินซัดจงฮั้วจนสะบักสะบอม นางก็หุบปากไปนาน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแกว่งปากหาเสี้ยนขึ้นมาอีกในตอนนี้ น่ารังเกียจเหลือเกิน
“ฮิๆ จิ่วโยวมองข้าก็ไม่มีประโยชน์นะ ดูเหมือนตำแหน่งที่พวกเจ้าต่อสู้จนเลือดตาแทบกระเด็นจะสูญเปล่าซะแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ” เมื่อหลิ่วชิงเห็นสีหน้าของจิ่วโยว นางก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มดีใจ ราวกับว่าได้ระบายความขุ่นเคืองลงไปหลายส่วน
“อย่าสำลักความสุขเกินไปนะ ระงับอกระงับใจบ้างเดี๋ยวจะเงยหน้าขึ้นไม่ได้อีกในภายหลัง” จิ่วโยวยกเปลือกตาขณะที่เค้นเสียง
หลิ่วชิงหัวเราะเสียงพลิ้ว “โอ้? งั้นข้าจะตั้งตารอให้ถึงตอนนั้นเชียวล่ะ”
จิ่วโยวปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก นางเลื่อนสายตาจ้องจุดแสงหนึ่งในเจดีย์ ก่อนที่คิ้วจะย่นเข้าหากันเบาๆ
“พี่ใหญ่จิ่วโยว พี่ใหญ่มู่เฉินกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” มั่วหลิงอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบถามอย่างสงสัย
จิ่วโยวยิ้มส่ายหน้าอย่างขมขื่น สายตาก็ฉายความสงสัย แม้ว่าเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณจะผ่านไปได้ยาก แต่ก็ไม่น่าจะเลวร้ายพอที่จะหยุดเขาตั้งแต่ชั้นแรก
จะต้องมีเหตุผลอื่นสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือว่าตอนที่เพิ่งเข้าไปเขาถูกรุมจากพวกที่เหลือแล้วได้รับบาดเจ็บ?
ความคิดนี้แล่นขึ้นในใจแวบเดียว ในบรรดาทั้งเก้าคน นอกเหนือจากจงเถิงและชายชุดดำเผ่าอีกาสายฟ้า คนที่เหลือก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเผ่าวิหคโลกันตร์ จากพื้นฐานทั้งสองคนนั่นยังไม่พอที่จะบีบให้มู่เฉินเข้าสู่สภาวะที่น่าสมเพชได้
นอกจากนี้ยังมีมั่วเฟิงอยู่ข้างๆ
“มู่เฉิน…เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” จิ่วโยวจ้องมองเจดีย์พลางกำมือเบาๆ จากนั้นก็พึมพำกับตัวเอง
แสงสีแดงสาดส่องลงบนทะเลทราย
โอบล้อมรอบพื้นที่เอาไว้จนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ซ่า ซ่า
ในทะเลทรายไร้ชีวิต เสียงฝีเท้ามั่นคงดังกึกก้อง หากมองไปก็จะเห็นคนคนหนึ่งกำลังก้าวเดินผ่านทะเลทรายไปอย่างช้าๆ
ชี่! ชี่!
เลือดหยดลงมาจากใบหน้ามู่เฉิน ก่อนที่จะตกลงสู่พื้นดินก็ระเหยไป ยามนี้ผิวของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จนถึงจุดที่กระทั่งเลือดเนื้อยังเผยออกมาภายใต้อุณหภูมิสูง
ความเจ็บปวดที่น่าสยดสยองกัดกร่อนจิตใจมู่เฉินอยู่ทุกช่วงเวลา ทำให้เขาเกือบล้มพับลงไป
แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดรุนแรง แต่ฝีเท้าของมู่เฉินก็ยังช้าและหนักแน่น แม้จะมีอาการปวดแสบปวดร้อนพล่านออกมาจากร่างกาย เขาก็ไม่ได้หยุดเดิน
นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าเมื่อแสงสีแดงน่าสยดสยองแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย แม้จะเกิดปฏิกิริยาปวดแสบปวดร้อน แต่เมื่อความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายดูเหมือนจะกลืนกินแสงสีแดงที่ทะลุผิวหนังเข้าไป
ทุกครั้งที่ร่างกายกลืนกินริ้วแสงสีแดง ก็จะมีพลังงานระเบิดปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ บนร่างของเขาที่มีแผดเผาจนแห้งกรอบ กลับมีคลื่นพลังความน่าพิศวงและกระฉับกระเฉงมารวมตัวกันอยู่ในส่วนลึก
แม้ว่าแสงสีแดงที่นี่จะสร้างความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย แต่ร่างกายของเขาก็จะได้รับการปรับแต่ง เมื่อเขาก้าวผ่านความเจ็บปวดรุนแรงได้
“แบบนี้จริงๆ…”
มือของมู่เฉินที่เหมือนถูกลอกหนังออกกำแน่นขึ้น เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังเต็มประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นหลังจากความเจ็บปวดรุนแรง
เขาเดินในทะเลทรายแค่หนึ่งชั่วโมงก็เกือบจะคลั่งแล้ว ทว่าการเพิ่มพูนของพลังกายก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเมินเฉยได้
ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงความแข็งแกร่งของพลังกายที่เพิ่มขึ้นไม่ด้อยกว่าการดูดซับตัวอ่อนโคลนโลหิตเลย
ลวดลายมังกรแท้จริงขยับเขยื้อนไปบนแผ่นอก เกล็ดบนร่างก็ดูแวววาวยิ่งขึ้น ส่วนลวดลายหงส์ฟ้าก็สยายปีกออกมา
ที่สำคัญที่สุดคือลวดลายทั้งสองเปิดดวงตาขึ้นมาอีกเล็กน้อย…
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้ริมฝีปากของมู่เฉินยกโค้งอยู่นาน แต่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ทำให้ร่างกายสั่นเทาและความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เขาเงยหน้ามองไปในระยะไกล ในส่วนลึกของม่านตาสีดำความสุขร้อนแรงก็พวยพุ่งออกมา เขาสามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายเริ่มคุ้นชินกับแสงสีแดงแล้ว
นอกจากนี้หากกระบวนการนี้ยังคงดำเนินการต่อไป ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งในเจดีย์แห่งนี้ ในเวลานั้นพลังกายของเขาจะแข็งแกร่งจนถึงจุดที่เขาปรารถนา
เว้นแต่เขารู้สึกได้ว่าเมื่อร่างกายค่อยๆ คุ้นชินกับแสงสีแดงในชั้นหนึ่ง การเพิ่มประสิทธิภาพของพลังกายก็เริ่มช้าลง น่าจะอีกไม่นานชั้นแรกก็จะไม่เป็นอุปสรรคต่อเขาอีก…
มู่เฉินเลียริมฝีปากแห้งผากไม่ลังเลอีกต่อไป เขาย่ำเท้าเดินหน้าต่อ ปล่อยให้ร่างดิ้นรนเงียบๆ ภายใต้แสงสีแดง
ขณะที่มู่เฉินเคลื่อนตัวช้าๆ ในชั้นแรก
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดความปั่นป่วนด้านนอกเจดีย์ ทว่าส่วนใหญ่เป็นอาการเยาะเย้ยถากถาง
“คิกๆ จิ่วโยวข้ารอมาครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่เห็นมีอะไรน่าประหลาดใจเลย ไม่สิ…ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เขาขยับตัวด้วยความเร็วปานหอยทากพิการต่างหาก…” เสียงหัวเราะร่าเริงของหลิ่วชิงดังก้องขึ้น ซึ่งอัดแน่นด้วยความสะใจ
“แม้เผ่าวิหคโลกันตร์จะมีความสามารถ แต่ก็ไม่ดีเลยนะที่สูญเสียที่นั่งไปเปล่าๆ ต้องรู้ว่าหลายเผ่าไม่ได้แม้แต่ตำแหน่งเดียว”
หลิ่วชิงปากคอเราะรายแท้จริง นางตั้งใจเรียกความเกลียดชังมาให้กับจิ่วโยว นอกจากนี้คำพูดของนางก็ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ เมื่อนางเอื้อนเอ่ยก็มีสายตาจ้องมองไปที่จิ่วโยวและมั่วหลิง แววตาทั้งหมดมีแต่ความไม่เต็มใจและความแค้นเคือง
จิ่วโยวสาดสีหน้าเย็นชาแต่ไม่พูดอะไร ดวงตายังคงจับจ้องอยู่บนหน้าจอแสง จุดแสงในชั้นแรกยังคงเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า
ราวกับว่าเขาไม่มีแรงที่จะไล่ตามคนอื่นแล้ว
ทว่าขณะที่จ้องมอง จิ่วโยวก็ต้องหดดวงตาทันที เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าจุดแสงที่เคลื่อนไหวช้าหยุดกะทันหัน
“มู่เฉิน… เขาเดินต่อไม่ไหวแล้วเหรอ?”
ในทะเลทราย
ฝีเท้าของมู่เฉินหยุดลง เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปดวงอาทิตย์สีแดงฉ่ำ จากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ
“พอสำหรับชั้นแรกแล้ว…”
มู่เฉินพึมพำ ก่อนหน้าเขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าร่างกายปรับตัวเข้ากับสถานที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ ความเจ็บปวดรุนแรงลดลงอย่างมีนัย ขณะเดียวกันการเพิ่มประสิทธิภาพของพลังกายก็ช้าลง
การชำระพลังกายในชั้นแรกมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
“ขอบคุณมาก…”
มู่เฉินยืดตัว ยิ้มให้กับดวงอาทิตย์ ก่อนที่แสงสีทองจะกระเพื่อมไหวบนร่างกาย ผิวหนังที่ถูกแผดเผาฟื้นสภาพทันที จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ระยะไกล
ตอนนี้พวกนั้นน่าจะใกล้เข้าถึงชั้นสองแล้วมั้ง?
อย่างนั้นมาลองดูว่าเขาจะสามารถไล่ตามพวกเขาได้หรือไม่…
บทที่ 993 ตามทัน
แสงสีแดงล้นปรี่ในจุดลึกของทะเลทรายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
ในที่สุดปลายทางก็เริ่มปรากฏขึ้น ที่บริเวณนั้นมีแสงสีแดงขนาดใหญ่ปกคลุมลงมา ราวกับเป็นปราการธรรมชาติที่สร้างเพื่อแยกฟ้าดินออกจากกัน
อุณหภูมิของแสงสีแดงเข้มสูงเป็นทบทวีอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เส้นใยแสงกระจายออกไป ทำให้มิติยังเกิดการบิดเบือนราวกับกำลังจะถูกแผดเผาอย่างสมบูรณ์
แสงสีแดงที่กระจายอยู่ในทะเลทรายเทียบไม่ได้กับปราการสีแดงนี้เลย
ยามนี้มีร่างหลายร่างยืนอยู่บนท้องฟ้าเบื้องหน้าปราการแสง ใบหน้าของพวกเขาน่าเกลียดเมื่อมองไปที่ปราการสีแดงเบื้องหน้า
“นี่คือปราการที่จะผ่านไปยังชั้นสอง…”
จงเถิงยืนอยู่ที่ด้านหน้า ลอยตัวบนท้องฟ้ามือจับคันร่มสีทองที่มีปีกกระเรียนสีทองกางออก ซึ่งลบล้างแสงสีแดงส่วนใหญ่ไป แต่ถึงกระนั้นร่างกายเขาก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและผิวที่แห้งผาก แม้แต่ใบหน้าก็แดงก่ำผิดปกติ
อีกด้านหนึ่งมั่วเฟิง หานซันและสีคุนก็มาถึงแล้ว พวกเขามองไปที่ปราการสีแดงที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าแสดงความเคร่งเครียด
พวกเขารับรู้ได้ถึงความยากลำบากที่จะต้องผ่านปราการสีแดงนี้ไป อุณหภูมิที่สูงเป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าประมาท หากพวกเขาพลาดต่อให้ไม่ตายก็ต้องลอกหนังไปชั้นหนึ่ง
ที่ข้างหลังยังมีร่างแสงหลายร่างทะยานเข้ามา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปราการแสงก็ไม่มีใครกล้าที่จะลองเข้าไปก่อน
แม้ว่าปราการสีแดงดูเหมือนจะครอบคลุมในรัศมีพันจั้งเท่านั้น
หากเป็นเวลาปกติก็จะใช้เวลาเพียงพริบตาที่จะเดินทางในระยะไกลเช่นนี้ แต่ในสถานที่แห่งนี้พันจั้งก็เหมือนกับเส้นทางแห่งความตาย ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว…
ความเงียบกินเวลาอยู่นาน สุดท้ายทุกคนก็ไม่คิดที่จะยืนรอต่อไปเรื่อยๆ จงเถิงเป็นคนแรกที่กัดฟันไม่พูดอะไร ร่างกายกระจายด้วยความแวววาวสีทอง ปีกสีทองคู่หนึ่งกางที่แผ่นหลัง บนพื้นผิวขนสีทองผุดขึ้นมาเป็นชั้นห่อหุ้มร่างกายราวกับชุดเกราะ
หลังจากใช้วิธีการนี้ป้องกันตัว จงเถิงก็ยังไม่ไว้ใจพลางยกร่มสีทองในมือขึ้น แสงสีทองกะพริบวูบไหว ประกายแวววาวสีทองก็โอบล้อมเขาไว้
หลังจากเสริมความแข็งแกร่งแนวป้องกันหลายระดับ จงเถิงก็วางใจขึ้น ฝ่าเท้าก้าวเข้าไปในแสงสีแดงโดยไม่ลังเล
ชี่! ชี่!
ทว่าทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่แสงสีแดง ใบหน้าของจงเถิงก็บิดเบี้ยว ควันสีขาวลอยขึ้นจากร่างกาย แม้แต่ชั้นขนทองคำก็เริ่มละลายลง
ความเจ็บปวดเหลือคณนา ทำให้จงเถิงรู้สึกเหมือนหนังศีรษะกำลังระเบิด
ทว่าจงเถิงเป็นอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนฟ้า ดังนั้นเขาไม่ถอยออกไปง่ายๆ อย่างแน่นอน เขาเร้าวิชาการป้องกันทั้งหมดพุ่งเข้าหาแสงสีแดง
ที่ข้างหลังเมื่อหานซันและสีคุนเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าให้จงเถิงผ่านเข้าคนเดียว ดังนั้นจึงนำทักษะต่างๆ ออกมาป้องกันตัวเองและพุ่งเข้าใส่
“อ้าก!”
แต่เห็นได้ชัดว่ามีบางคนประเมินค่าแสงสีแดงต่ำไป ไม่นานหลังจากพวกเขาก้าวเข้าไป แต่ละคนก็ปล่อยเสียงกรีดร้องแหลมหูร่างถูกไฟไหม้ ควันสีขาวลอยขึ้นให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังถูกทอด แม้ว่าร่างกายจะไม่ถูกเผาก็จริง แต่คลื่นหลิงในร่างลดลง ชัดเจนเกิดอาการบาดเจ็บขึ้น
ความปั่นป่วนนี้ทำให้หัวใจของหลายคนสั่นสะท้าน พวกเขาระวังตัวมากขึ้น ลดความเร็วลงขณะที่พยายามเคลื่อนตัวผ่านแสงสีแดง
ขณะที่ทั้งเก้ากำลังเคลื่อนผ่านแสงสีแดงอย่างช้าๆ พวกเขาก็ต้องหันขวับไปมองที่ด้านหลัง คิ้วขมวดแน่นเข้าหากัน เมื่อสักครู่พวกเขารู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงแปลกประหลาดแผ่ซ่านออกมา…
เหมือนจะมีใครไล่ตามมาอีกเหรอ?
ด้านนอกเจดีย์
“ดูเหมือนจงเถิง หานซันและคนอื่นๆ มาถึงช่วงสุดท้ายของชั้นแรกแล้ว ตราบใดที่พวกเขาผ่านตรงนี้ไปได้ พวกเขาก็จะก้าวเข้าสู่ชั้นสอง…”
ขณะนี้เมื่อทุกคนที่อยู่นอกเห็นจุดแสงเคลื่อนที่ช้าลงก็พูดคุยกันทั่ว แต่ไม่ได้มีความกังวลอะไร เนื่องจากคนที่เข้าไปล้วนเป็นอัจฉริยะของเผ่าซึ่งเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาระวังตัวก็น่าจะก้าวไปสู่ชั้นสองได้
“หืม?”
ขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับจอมยุทธ์ทั้งเก้า จู่ๆ เสียงอุทานก็ดังขึ้น “มู่เฉินเพิ่มความเร็วขึ้นแล้ว!”
ทุกคนตกใจไป รีบขยับสายตาไปที่จุดแสงหลังพวกที่กำลังเดินต้วมเตี้ยที่จู่ๆ ก็เริ่มเพิ่มความเร็วขึ้น
“หึ ในที่สุดก็เคลื่อนไหวเรอะ? แต่กว่าเขาไล่ตามไปทัน คนอื่นๆ ก็เข้าสู่ชั้นสองกันนานแล้วความสำเร็จนี้ไม่ต้องหวังที่จะได้รับโอกาสใดๆ หรอก” เมื่อหลิ่วชิงเห็นภาพนี้ก็เยาะเย้ยขึ้น
แต่เมื่อนางพูดจบความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นโดยรอบ จอมยุทธ์หลายคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นจุดแสงที่อยู่รั้งท้ายเดินทางด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ เขาเร่งไปยังจุดสิ้นสุดของชั้นแรกอย่างรวดเร็ว ท่าทางราวกับว่าทนทุกข์ทรมานของชั้นแรกขัดขวางเขาไม่ได้อีกต่อไป
“เร็วจริงๆ!”
“เขาเร็วกว่าจงเถิงเมื่อสักครู่ซะอีก!”
“ด้วยความเร็วนี้เขาคงจะตามทันอีกเก้าคนในไม่ช้า!”
“เป็นไปได้ยังไง? เขาไม่กลัวการทรมานในชั้นแรกรึไงถึงเดินทางด้วยความเร็วนี้?”
เสียงอุทานไม่หยุดหย่อนดังกึกก้อง ทุกคนฉายความไม่เชื่อบนใบหน้า พวกเขาไม่อาจจินตนาการเลยว่าคนที่พวกเขาคิดว่ายอมแพ้ไปแล้วจะเกิดพลังมหาศาลในเวลานี้…
ใบหน้าของหลิ่วชิงเขียวคล้ำจากความโกลาหลที่เกิดขึ้น สายตานางจับจ้องไปที่จุดแสงที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกัดฟัน “ต่อให้เดินทางเร็วแล้วมีประโยชน์อะไร? สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถผ่านปราการชั้นแรกไปได้หรอก!”
อีกมุมหนึ่งจิ่วโยวและมั่วหลิงก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ในกรณีนี้มู่เฉินยังมีโอกาสที่จะแข่งขันกับคนอื่นๆ เพียงแต่พวกนางไม่รู้ว่าสหายคนนี้ทำอะไรอยู่ตอนที่เขาเคลื่อนตัวราวกับหอยทากพิการ…
ภายใต้ความสนใจของทุกคน ในที่สุดจุดแสงรั้งท้ายก็ไล่ตามมาอย่างรวดเร็วจนประชิดกับอีกเก้าจุดแล้ว…
ในปราการแสงใหญ่โตสีแดงเข้ม
จอมยุทธ์ทั้งเก้าค่อยๆ แทรกตัวอย่างระมัดระวัง ด้วยชั้นการป้องกันที่ครอบคลุมร่างขัดขวางการละลายของพลังงานที่น่ากลัวของแสงสีแดงไว้ได้
“หืม?!”
ทว่าทันใดนั้นใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน พวกเขาหันขวับกลับไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งทะยานมาจากท้องฟ้าไกลโพ้น ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจก็มาปรากฏอยู่นอกปราการแสงสีแดงแล้ว
ความเร็วของร่างนี้ทำให้พวกเขาตกใจ ใครกันที่กล้าเดินทางรวดเร็วภายใต้แสงสีแดงที่น่ากลัว เขาไม่กลัวถูกเผาเป็นเถ้าถ่านเรอะ?
“นั่นคือ…” ขณะที่สายตานับไม่ถ้วนพุ่งไป ม่านตาแต่ละคู่ก็หดเกร็งลง
ภาพเงาค่อยๆ ชัดขึ้น ร่างชายหนุ่มสูงโปร่งหล่อเหลาก็ปรากฏเบื้องหน้าครรลองสายตา
“ไอ้มนุษย์บ้านั่น!”
“นั่นมู่เฉินเหรอเนี่ย?!”
ม่านตาของจงเถิงหดลง ดวงตามืดครึ้ม ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ มู่เฉินทำอย่างไรที่ไล่ตามมาจนทันในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากถูกสลัดออกจนรั้งท้าย? ความเร็วนี้เป็นสิ่งที่แม้เขายังด้อยกว่า!
เมื่อมั่วเฟิงเห็นภาพนี้ก็รู้สึกโล่งใจ มู่เฉินเป็นคนที่ทำให้ประหลาดใจได้เสมอ
“หึ ถึงเขาไล่ตามมาทัน แต่แสงสีแดงที่นี่มีพลังมากกว่าแสงภายนอกหลายเท่า ด้วยร่างกายมนุษย์ เขาจะถูกละลายด้วยแสงสีแดงทันทีที่ก้าวเข้ามา” บางคนเค้นเสียงเย็นชาอยู่ในใจ เห็นได้ชัดที่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะกล้าเข้าไปในปราการแสงสีแดง เพราะแม้แต่พวกเขายังต้องใช้ทักษะการป้องกันหลายชั้นถึงได้กล้าเคลื่อนตัวเข้าไปอย่างช้าๆ ได้
ทว่าขณะที่พวกเขาเค้นเสียงเย็น มู่เฉินก็ยิ้มบางที่นอกปราการแสงสีแดง ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในแสงสีแดงภายใต้ดวงตาที่เบิกกว้างของคนอื่นๆ
“รนหาที่ตาย! เขากล้าถึงขนาดใช้พลังกายอย่างเดียวโดยไม่ได้เร้าคลื่นหลิงอะไรออกมาป้องกันเลยเหรอ?!” เมื่อหลายคนเห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างไรก็ต้องเบิกตาค้างเฝ้ารอให้มู่เฉินขาดใจตาย
ชี่! ชี่!
เมื่อมู่เฉินก้าวเข้าสู่ปราการแสงสีแดง อุณหภูมิที่น่ากลัวก็กัดกร่อนทันที ทำให้เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ควันขาวพวยพุ่งขึ้นบนพื้นผิวร่างกาย ผิวถูกเผาไหม้และถูกทำลาย เสียงฉ่าที่ดังก้องไปทั่ว ทำให้เส้นขนทั่วสรรพางค์กายของคนมองลุกพรึ่บราวกับกำลังจะถูกแผดเผาเอง
ความเจ็บปวดที่น่าสะพรึงกลัวปกคลุมเข้ามาอีกครั้ง
ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้น แสงสีแดงที่นี่ครอบงำกว่าด้านนอกจริงๆ
ทว่าหลังจากผ่านการแผดเผาจากแสงสีแดงด้านนอก บวกกับการปรับสภาพที่มีประสิทธิภาพของกายามังกรหงส์ ความต้านทานของร่างกายเขาได้รับการเสริมความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากหลายเท่าเลยทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับคนที่มองมาด้วยความสงสารและการเยาะเย้ย อึดใจลวดลายมังกรบนหน้าอกก็โคจร ร่างกายของเขารู้สึกเหมือนกำลังตื่นขึ้น เลือดเนื้อเต้นตุบตับเริ่มดูดซับพลังงานแสงสีแดงที่เข้ามาในร่างกาย
ร่างกายของเขาแสดงสัญญาณเสริมความแข็งแกร่งอีกครั้ง
ไอสีขาวที่กำจายออกมาจากพื้นผิวค่อยๆ จางหายไป ร่างมู่เฉินเผยขึ้นในสายตาที่จ้องมองมาอีกครั้ง…
ม่านตาของจอมยุทธ์เก้าคนหดเกร็ง
นั่นเพราะขณะนี้พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินเปล่งแสงสีทอง ผิวหนังดูดีเหมือนปกติ ไม่เพียงแต่แสงสีแดงจะไม่สามารถทำให้ร่างกายของเขาถูกทำลาย แต่ยังสะท้อนแสงสีทองเข้มแปลกประหลาดบนพื้นผิวร่างกายของเขาด้วย
แสงสีแดงที่มีประสิทธิภาพในการละลายเหมือนจะทำอะไรมู่เฉินไม่ได้!
“เป็นไปได้ไง?!”
เสียงพึมพำไม่อยากเชื่อดังก้องในหัวใจของทุกคน
แต่ตอนนี้มู่เฉินไม่ใส่ใจความตกตะลึงในใจของพวกเขา เขากำหมัดช้าๆ มุมปากยกขึ้น เมื่อเขาเห็นทุกคนเดินต้วมเตี้ยมเหมือนเต่า
“ทุกคนข้าไปก่อนนะ”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็กระทืบเท้าส่งแรงกลายเป็นแสงสีทองพุ่งออกไปเป็นสาย พริบตาก็สะบัดจงเถิงและคนอื่นๆ ทิ้งไว้ที่เบื้องหลัง
ทุกคนจ้องมองร่างที่ทะยานออกไป ท่าทางของพวกเขาอึ้งตะลึงไปไม่สามารถฟื้นจากความประหลาดใจเป็นเวลานาน
บทที่ 994 ชั้นสองของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ
ด้านนอกเจดีย์
ความปั่นป่วนที่ปะทุไปทั่วเงียบกริบลงทันใด ใบหน้าทุกคนฉายความตะลึงใจเข้มข้น ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่หน้าจอแสงเบื้องหน้า
พูดให้ตรงจุดก็คือพวกเขากำลังจ้องมองไปที่จุดแสงหนึ่งในหน้าจอ
จุดนั้นตอนแรกอยู่ในลำดับสุดท้าย แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็ไล่ตามมาจนทัน สุดท้ายยังแซงทั้งเก้าคนไปไกลหลายโยชน์เลยทีเดียว
“เป็นไปได้ยังไง…ปราการด่านแรกไม่สามารถขัดขวางมู่เฉินได้เลยเหรอ?” มีบางคนพูดด้วยความไม่เชื่อ พวกเขาเห็นมู่เฉินแซงหน้าทุกคนได้ในเวลาไม่กี่นาทีกับตา นอกจากนั้นตอนนี้เขายังพุ่งเข้าสู่ชั้นสองของเจดีย์ฝึกพลังกายด้วยความเร็วสูงอีกด้วย
ทุกคนมีสีหน้าน่าดูกันมาก พวกเขาหมดคำพูดกับฉากผิดปกตินี้ ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสับสนและตะลึงงันในดวงตา
ที่ด้านหลังจิ่วโยวก็กำจายแสงแวววาวในดวงตา นางผ่อนกำปั้นที่กำแน่นลง เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกในขณะนี้
นั่นเป็นเพราะหากศักยภาพของมู่เฉินในเจดีย์ย่ำแย่มาก หลังจากเหตุการณ์นี้ผู้อาวุโสในเผ่าคงจะหาเหตุด่าว่ากระทบกระเทียบเขาในเรื่องการสูญเสียที่นั่งอันมีค่าไป แม้ว่านางจะไม่สนใจพวกเขา แต่เสียงนกเสียงกาแก่ๆ เหล่านั้นก็ยังน่ารำคาญอยู่ดี
“พี่ใหญ่มู่เฉินสุดยอดจริงๆ” มั่วหลิงอุทานด้วยความชื่นชมจากใจ ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหก เขาถือว่าอ่อนแอที่สุดในหมู่อัจฉริยะที่เข้าสู่เจดีย์ แต่ศักยภาพของเขากลับทำให้คนเห็นต้องชื่นชม
จิ่วโยวยิ้มบาง จากนั้นก็ปรายตามองไปที่มุมหนึ่ง จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าทั้งหมดล้วนฉายท่าทางไม่น่าดูโดยเฉพาะหลิ่วชิง ใบหน้าของนางมีสีเขียวคล้ำกับขาวซีดสลับไปมาซ้ำยังบิดเบี้ยวอีกต่างหาก เห็นได้ชัดว่านางตกตะลึงอย่างมากกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงฉับพลันในเจดีย์
หลิ่วชิงที่รับรู้ถึงสายตาของจิ่วโยวก็หน้าเขียวยิ่งกว่าเดิม นางขบฟันแน่น “ไม่เห็นมีอะไรน่าภูมิใจสักนิด นี่ก็แค่ชั้นแรก ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะโชคดีไปอย่างนี้ตลอด!”
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกะทันหันในเจดีย์ แต่นางก็ไม่ได้คิดว่ามู่เฉินจะทรงพลังเหนือกว่าอัจฉริยะอีกเก้าคนอย่างแน่นอน ตัวนางคิดเพียงว่ามู่เฉินโชคดีที่ใช้กลยุทธ์บางอย่างได้เท่านั้น
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่นก็ไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีอารมณ์ที่จะเถียงกับหลิ่วชิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงลากสายตากลับมองไปที่หน้าจอแสงด้วยรอยยิ้มบางจาง
ทว่าท่าทางไม่แยแสของนางกลับไปกระตุ้นต่อมความโกรธของหลิ่วชิง แบบนี้ไม่ได้ทำให้นางดูเป็นคนปากพล่อยรึ?
“ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะเชิดหน้าได้ถึงเมื่อไร!”
หลิ่วชิงขบฟันและไม่ใส่ใจจิ่วโยวอีกต่อไป นางเลื่อนสายตาไปที่หน้าจอ ตรึงอยู่ที่จุดแสงที่อยู่ด้านหน้าสุดพร้อมกับสายตาขุ่นเคืองที่สาปแช่งมู่เฉินอยู่ในใจ…
ทว่าน่าเสียดายคำสาปแช่งของนางไม่ได้มีผลอะไรเลย ภายใต้ดวงตาแดงก่ำที่จ้องมองของนางจุดแสงยังคงเคลื่อนออกไปด้วยความเร็วที่ล้ำหน้าคนอื่น
เมื่อมองจากลักษณะแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะฝ่าปราการชั้นแรกเพื่อเข้าสู่ชั้นสองของเจดีย์ฝึกพลังกาย!
ด้านนอกเจดีย์ผู้คนเบิกตากว้างขณะที่กลั้นหายใจพร้อมกับมองหน้าจอไปด้วย ภายใต้การจับจ้องหนาแน่นจุดแสงก็วับหายไปทันที
เมื่อจุดแสงหายไป ความปั่นป่วนก็ลุกฮือทั่วบริเวณอีกครั้ง แต่ไม่นานก็มีบางคนหายจากอาการตื่นตะลึงแล้วรีบยกสายตามองขึ้น จากนั้นคนที่เฝ้ามองก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก
นั่นเป็นเพราะมีจุดแสงปรากฏบนเจดีย์ชั้นสองแล้วและมีเพียงจุดเดียวตั้งมั่นอยู่ในหน้าจอตอนนี้
เมื่อดูจากลักษณะคลื่นหลิงเห็นได้ชัดว่าเป็นมู่เฉิน!
เขาสามารถผ่านการทดสอบด่านแรกและเป็นคนแรกที่เข้าสู่ชั้นสอง!
นอกจากนี้นี่เป็นสถานการณ์กลับตาลปัตรหลังจากที่อีกฝ่ายล้าหลังไปมาก ศักยภาพของเขาทำให้จอมยุทธ์ทั้งหลายต้องอ้าปากตาค้าง นี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นสถานการณ์แบบนี้
ภายใต้หย่อมความปั่นป่วน ใบหน้าของหลิ่วชิงก็ซีดขาว นางกัดฟันจนได้ยินเสียงกรอดดังก้อง
“นี่คือชั้นสองของเจดีย์รึ?”
ขณะที่โลกภายนอกสั่นสะเทือนด้วยความตกใจ มู่เฉินที่ผ่านปราการสีแดงมาได้ก็กวาดมองไปที่ทั่วชั้นสองด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น
ตอนนี้เขาปรากฏตัวบนแท่นหินที่มีรัศมีห่อหุ้มเอาไว้ ซึ่งคล้ายคลึงกับในชั้นแรกอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ว่านอกแท่นหินเป็นที่ราบทุนดรา พื้นดินเป็นสีฟ้า มีแสงสีฟ้าจางๆ กระจายออกมาระหว่างแผ่นฟ้าและแผ่นดิน แสงสีฟ้าราวกับมีพลังงานเย็นเยือก ขณะที่ส่องประกายแม้แต่มิติก็ถูกแช่แข็ง
นอกจากนั้นยังมีมวลลมกวาดระหว่างฟ้าดิน แรงลมหนาวสุดขั้วทรงพลังมากจนถึงจุดที่โลหะยังถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ได้
มู่เฉินจ้องมองดินแดนแห้งแล้งด้วยสายตาเคร่งขรึม ก่อนที่จะก้าวเข้าไปเขาก็สัมผัสได้ถึงรัศมีสีฟ้าน่าสะพรึงครอบงำและแรงลมสุดขั้วที่พุ่งเข้ามารุนแรงเพียงใด
เมื่อภัยธรรมชาติทั้งสองรวมกันก็ดุร้ายยิ่งกว่าแสงสีแดงจากชั้นแรกเสียอีก
ทว่าต้องเป็นเช่นนี้ถึงได้สามารถปรับแต่งพลังกายให้ทรงพลังยิ่งขึ้น!
แววครุ่นคิดปรากฏในนัยน์ตาของมู่เฉิน จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนแท่น เขาไม่ได้ก้าวฝ่าชั้นสองในทันทีเนื่องจากแสงสีแดงในชั้นแรกยังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดบางเบาในร่างกายด้วยการพล่านของคลื่นพลังที่หลงเหลือ เขาจะต้องดูดซับให้หมดจดก่อนจึงจะสามารถเสริมสร้างพลังกายได้
มู่เฉินปิดตาลง แสงสีแดงบางจางปรากฏขึ้นใต้ผิวหนังค่อยๆ หลอมรวมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งทำให้ร่างของเขาแข็งแกร่งและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
การเข้าสมาธิครั้งนี้กินเวลาสิบกว่านาที ก่อนที่หัวใจเขาจะสั่นไหว เขาลืมตามองไปในระยะไกลก็เห็นพื้นที่มิติบิดเบี้ยว จากนั้นแท่นอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้นพร้อมร่างเงาหลายร่าง
ทว่าแม้เวลาในการปรากฏของแต่ละคนจะต่างกัน แต่ทั้งหมดดูน่าสมเพชเหมือนกันหมดเลย พวกเขามีควันขาวลอยขึ้นจากร่างกาย เนื้อตัวฉีกขาดยับเยิน เห็นได้ชัดว่าต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างมากจากปราการแสงสีแดง
ดังนั้นเมื่อพวกเขาปรากฏตัวก็ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งอื่นใด รีบนั่งแปะลงไปฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและความเหนื่อยล้าในร่างกายทั้งหมดให้อยู่ในสภาพเดิม ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
เมื่อพวกเขาฟื้นฟูเสร็จก็กวาดมองดินแดนเย็นเยือกนี้ ครั้นเห็นมู่เฉินซึ่งอยู่ห่างออกไป ทุกคนก็กำจายริ้วอารมณ์ที่แตกต่างกันไปในสายตา บางคนอยากรู้อยากเห็น บางคนขึงขังและบางคนจิตสังหารแผ่ซ่านออกมาคลุมเครือ
เห็นได้ชัดว่าการพลิกสถานการณ์กลับอย่างฉับพลันของมู่เฉินก่อนหน้ายังทำให้พวกเขารู้สึกสับสน พวกเขาไม่เข้าใจว่ามู่เฉินสามารถเคลื่อนตัวไปมาขณะที่อยู่ในปราการแสงสีแดงได้อย่างไร ท่าทางราวกับว่าชั้นแรกไม่สามารถขัดขวางอะไรเขาได้มาก
แต่ทุกคนที่เข้ามาที่นี่ได้ล้วนเป็นอัจฉริยะ ดังนั้นจึงมีความคิดที่ลึกซึ้ง พวกเขาเก็บข้อสงสัยในใจลง ก่อนที่จะมองชั้นสองด้วยสายตาไม่แยแส
ดวงตาของมู่เฉินยังคงปิดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่สนใจใครเลย เนื่องจากเขาคิดอยู่แล้วว่าแค่บรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งได้ ตนเองก็พอใจมากแล้ว สำหรับวิทยายุทธระดับเสินทงและอาวุธเสมือนมหสวรรค์ เขาก็ปล่อยไปตามโชคชะตา
จอมยุทธ์ที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่เป็นอัจฉริยะเผ่าต่างๆ ของโลกสัตว์อสูร ตอนนี้แม้จะมีเพียงส่วนน้อยที่เข้ามาที่นี่ พวกเขาก็ล้วนเป็นคนที่น่าเกรงขาม แม้ว่าเขาจะไม่กลัวพวกเขาด้วยค่ายกลระดับเทียนที่มี แต่เขาก็เข้าใจว่าแค่ค่ายกลอย่างเดียวคงไม่สามารถให้เขาช่วยเหลือจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์วิหคอมตะได้ ดังนั้นเขาจะต้องฝ่าฟันเพื่อบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งให้ได้
ในเวลานั้นเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาจะทรงพลังกว่าเทพอสูรในระดับเดียวกันเลยทีเดียว
เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจของมู่เฉิน คนอื่นๆ ก็เคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง ทุกคนกำมือ แสงหลิงก็เปล่งประกายในมือกลายเป็นวัตถุต่างๆ เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นวัตถุที่มีประโยชน์พิเศษ
สายตาของจงเถิงเย็นชาลงหลายส่วนขณะที่จ้องมองมู่เฉินจากระยะไกล ก่อนที่เขาจะสะบัดนิ้ว หม้อกลั่นในมือก็ปะทุขึ้น เปลวไฟสีเขียวลุกโชนห่อหุ้มร่างเขาเอาไว้
นี่คือเพลิงปกปัก ซึ่งเป็นเปลวเพลิงแปลกประหลาดที่สามารถปิดกั้นลมทุกประเภทไว้ได้ สามารถใช้จัดการกับพายุที่นี่ได้ตรงจุดเลยทีเดียว
“ข้าจะดูสิว่าเจ้าสามารถตามได้ทันอีกไหม” จงเถิงเค้นเสียงใส่จากนั้นก็ไม่ลังเลพุ่งตัวออกจากม่านแสงภายใต้การป้องกันของหม้อกลั่นก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
อึดใจคนอื่นๆ ก็ตามกันออกไปด้วยพลังทั้งหมดที่มี
มั่วเฟิงเป็นคนสุดท้ายที่ออกไปอีกครั้ง เขาจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาแปลกประหลาด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ประกายไฟแล่นเปรียะไปทั่วสรรพางค์กาย ร่างถูกห่อหุ้มไว้ จากนั้นก็เร่งความเร็วทะยานออกไป
มู่เฉินลืมตาขึ้นหลังจากทุกคนออกไปหมดแล้ว เขามองไปที่แท่นทั้งเก้าด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้มฉายในดวงตา แม้คนเหล่านี้จะมีสมบัติมากมาย แต่หูตากลับถูกบังจากวิทยายุทธระดับเสินทง ในมุมมองของเขาสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเจดีย์ฝึกพลังกายไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น แต่เป็นผลจากชำระที่มีต่อร่างกาย
แน่นอนว่ามู่เฉินก็เข้าใจว่าแสงสีแดงร้อนแรงและแสงสีฟ้าเยือกเย็นทรมานสำหรับการฝึกฝนพลังกายเพียงใด นอกจากนี้ไม่ใช่ทุกคนมีทักษะฝึกพลังกายที่ลึกลับเหมือนกับคัมภีร์หลงเฟิ่ง ดังนั้นก็ยากที่พวกเขาจะเป็นเหมือนที่มู่เฉินปรับตัวเข้ากับการทนทรมานที่น่ากลัวในภูมิภาคต่างๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ
“พวกเจ้าไปตามโอกาสของพวกเจ้า… ข้าก็ไปตามโชคชะตาของข้า…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองจากนั้นก็ยิ้มบาง เหยียดตัวโบกมือก่อนที่จะก้าวออกจากม่านแสงย่างกรายไปยังที่ราบทุนดรานี้
ชั้นสองของเจดีย์ฝึกพลังกายน่าจะสามารถช่วยเสริมสร้างร่างกายของเขาอีกครั้ง
ตอนนี้เขาอยู่ไม่ไกลจากขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น