หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 987-988

 บทที่ 987 สิบที่นั่ง

แสงแดดส่องลงมาจากฟากฟ้า


ทว่าเมื่อตกกระทบบนหลังคาเจดีย์หินโบราณก็ราวกับร้อนระอุไปด้วยเปลวไฟ ชั้นแสงไหลเวียนไปทั่วพื้นผิวพร้อมกับความผันผวนที่เก่าแก่และน่าสะพรึง ประหนึ่งสัตว์อสูรดุร้ายที่ตื่นจากนิทราอย่างช้าๆ ภายในเจดีย์หิน


ทุกคนรู้สึกถึงระลอกคลื่นนั้นได้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหดเกร็งม่านตาพร้อมกับความตกใจพล่านในส่วนลึกของนัยน์ตา ลูกคลื่นที่แผ่ออกไปนั้นค่อนข้างน่าทึ่งเลยทีเดียว


ทว่าอาการตกตะลึงก็กินเวลาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะหายไปและถูกแทนที่ด้วยความคาดหวังหนาแน่นและความปีติยินดี นั่นเป็นเพราะเหตุการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้หมายถึงเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณกำลังจะเปิดขึ้นแล้ว


ครืน!


ภายใต้สายตาที่ร้อนระอุเจดีย์ก็เปล่งเสียงต่ำ ก่อนที่พื้นรอบเจดีย์จะแตกร้าว จากนั้นแท่นหินโบราณสิบแท่นก็โผล่ออกมาจากพื้นดิน


แต่ละแท่นเต็มไปด้วยลวดลายที่ลึกซึ้งซึ่งกะพริบวูบไหวด้วยแสงบางจาง สามารถมองเห็นเกลียวแสงกระจายออกมาเชื่อมต่อกับเจดีย์ไว้


เมื่อแท่นหินทั้งสิบปรากฏขึ้น ความโกลาหลก็ระเบิดทันควัน จิ่วโยวถึงกับขมวดคิ้ว “มีเพียงแท่นรับสิบแท่นเท่านั้นที่จะเข้าสู่เจดีย์ในครั้งนี้…”


“แท่นรับ? หมายความว่ายังไง?” มู่เฉินกวาดมองเหล่าจอมยุทธ์ที่แตกตื่นก็ถามด้วยความงุนงง


“แท่นรับก็คือที่นั่งที่จะเข้าสู่เจดีย์ หนึ่งแท่นสามารถรับจอมยุทธ์ได้เพียงคนเดียว… แปลว่าครั้งนี้จะมีคนเพียงสิบคนเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่เจดีย์ได้”


จิ่วโยวพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ว่ากันว่าครั้งที่แล้วเจดีย์นี้มียี่สิบแท่นเชียวนะ ไม่คิดว่าจะเหลือครึ่งหนึ่งในครั้งนี้…”


ดวงตามู่เฉินหดลงเมื่อเข้าใจคำพูดของจิ่วโยว ด้วยจำนวนแท่นที่น้อยลง ทำให้ที่นั่งสำหรับการเข้าสู่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณจะยิ่งได้ยากขึ้น ด้วยจำนวนคนมากมายที่นี่จับตามอง ถ้าต้องการรับหนึ่งในที่นั่งนั้นก็จะต้องจ่ายราคาแพงระยับ


มู่เฉินกวาดสายตาไปรอบๆ เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เคร่งเครียดลงหลายส่วน แสงเย็นยะเยือกวูบไหวในดวงตาจอมยุทธ์แต่ละคน สายตาที่มองไปยังกลุ่มอื่นอัดแน่นด้วยจิตสังหาร


แท่นรับทั้งสิบตั้งเงียบๆ รอบเจดีย์ ทว่าเมื่อแท่นปรากฏกลุ่มต่างๆ ที่กระหายอยากในตอนแรกกลับนิ่งเงียบ แต่ภายใต้ความเงียบนี้ก็เกิดรัศมีเยือกเย็นรวมตัวกัน


มู่เฉินขมวดคิ้วเบาๆ แม้เขาไม่คิดว่าจะสามารถเข้าไปในเจดีย์ได้อย่างง่ายดาย ทว่าตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันแท่นรับสิบแท่น ดูเหมือนจะต้องเกิดการนองเลือดก่อนที่จะมีใครยืนได้อย่างมั่นคง


“ในเมื่อมีเพียงสิบแท่น ข้าว่าเราจะต้องเปลี่ยนแผนแล้ว” จิ่วโยวมองไปทางพรรคพวกพูดด้วยเสียงเบา


“ในบรรดาสิบแท่น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะครอบครองสี่แท่นในนั้น ไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะทำได้ก็ถือเป็นโชคร้ายไม่ใช่โชคดี”


มู่เฉิน มั่วเฟิงและมั่วหลิงพยักหน้า หากพวกเขาได้รับแท่นคนละแท่นแล้ว อัจฉริยะของกลุ่มอื่นจะต้องดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแน่นอน ในเวลานั้นพวกเขาอาจจะถูกกลุ่มอื่นมาร่วมกันยำเพิ่ม ถึงตอนนั้นอาจไม่สามารถได้รับสักที่เดียวและจะต้องถอยออกไปในสภาพน่าสมเพช ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรู้จักปล่อยโอกาสบางส่วนไป


“ข้าแนะนำให้ตั้งเป้าหมายสองที่ ถ้าให้สองคนเข้าไปในเจดีย์ได้ นั่นจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”


“สองที่เรอะ…” มู่เฉินไตร่ตรองเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้นก็มีเพียงสองคนเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสเข้าสู่เจดีย์ ในขณะที่อีกสองคนได้แต่รออยู่ข้างนอก


แบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมสำหรับอีกสองคน เพราะไม่มีใครอยากทิ้งโอกาสนี้ไปหรอก


“ข้าเสนอให้มั่วเฟิงและมู่เฉินเข้าชิงชัยที่นั่ง ส่วนข้าและมั่วหลิงจะช่วยจากด้านข้าง… พวกเจ้ามีความคิดเห็นอื่นไหม?” จิ่วโยวเหลือบมองทั้งสามคนและยิ้มบาง


มู่เฉินอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของนางที่สัมผัสไปถึงหัวใจของเขา นั่นเป็นเพราะตามสถานการณ์ปกติควรจะเป็นนางและมั่วเฟิงที่เข้าไปชิงชัยที่นั่ง เนื่องจากทั้งคู่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงในการได้รับที่นั่งไป ทว่าจิ่วโยวกลับมอบสิ่งนี้ให้กับมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่านางตั้งใจที่จะให้โอกาสในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณนี้แก่เขา


นางเข้าใจแจ่มแจ้งว่าโอกาสนี้สำคัญมากสำหรับเขา


มั่วเฟิงและมั่วหลิงอึ้งไป จากนั้นคนเป็นพี่ก็เหลือบมองมู่เฉินพลางพูดว่า “ผู้อาวุโสบอกว่าให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ เมื่อเจ้าว่าแบบนี้ มั่วหลิงกับข้าก็ไม่มีความเห็นเป็นอื่น”


แม้ว่าพลังของมู่เฉินจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น แต่จากการร่วมเดินทางหลายวันที่ผ่านมา มั่วเฟิงรู้ดีว่ามู่เฉินซ่อนพลังไว้มาก ดังนั้นเขาจึงไม่คัดค้านคำแนะนำของจิ่วโยว เพราะการตัดสินใจของจิ่วโยวถือเป็นการนำโอกาสของนางให้แก่มู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้


“คิกๆ พี่ใหญ่มู่เฉินสู้ๆ นะ” มั่วหลิงหัวเราะเบาๆ


“ขอบใจนะ” มู่เฉินประสานมือกล่าวขอบคุณให้สองพี่น้อง สำหรับจิ่วโยวความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องใช้คำพูดมากมาย ทว่าตัวเขาก็ได้ตัดสินใจในใจแล้วว่าเขาจะต้องทำทุกวิถีทางในการช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์วิหคอมตะเพื่อให้สายเลือดของนางสมบูรณ์แบบ


ขณะที่กลุ่มมู่เฉินพูดคุยตัดสินใจกัน บรรยากาศก็ยังอยู่ในช่วงชะงักงัน แต่ทุกคนรู้ว่าจะอยู่อีกไม่นาน…


แล้วก็เป็นอย่างที่ทุกคนคาดไว้ การชะงักงันกินเวลาไม่กี่นาทีก่อนที่หานซันแห่งเผ่าแรดอสูรจะก้าวย่างออกมาพลางกวาดสายตาดุร้ายเปล่งน้ำเสียงคมชัดก้องดังขึ้น “ในเมื่อทุกคนไม่ต้องการเป็นคนเปิด งั้นเผ่าแรดอสูรเริ่มให้เอง!”


หลังจากที่พูดจบ ร่างเงาก็ทะยานออกพลิ้วตัวลงอย่างหนักหน่วงบนแท่นหนึ่ง ก่อนที่จะกวาดสายตาดุร้ายไปรอบๆ พร้อมกับส่งรัศมีร้ายกาจออกไป ราวกับแรดอสูรยุคก่อนประวัติศาสตร์


“ข้าหานซันต้องการที่นั่งนี้! หากใครไม่เห็นด้วยก็ให้ออกมาประลองกับข้าได้เลย!” หานซันยืนอยู่บนแท่นรับพูดด้วยเสียงเยือกเย็น


หานซันยืนเอามือไพล่หลังขณะเปล่งรัศมีเผด็จการออกมา ทันใดนั้นสายตาผู้คนก็เปลี่ยนไป ทุกคนที่นี่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงของคนรุ่นใหม่ในเผ่าพันธุ์ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะถูกข่มโดยการกระทำแค่นี้ของหานซัน


ดังนั้นเมื่อหานซันพูดจบ เสียงร้องเย็นชาก็ดังก้องขึ้น “ฮึ่ม ข้าได้ยินเกี่ยวกับเจ้ามานานแล้ว หานซัน วันนี้เผ่าอสูรกุญชรขอท้าหน่อย!”


ตู้ม!


ร่างสูงตระหง่านพุ่งลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในแท่นรับที่หานซันยืนอยู่ ทำเอาพื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรง


ทุกคนเพ่งสายตาไปก็เห็นร่างดำมะเมื่อมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยรอยสักโบราณที่เปล่งประกายด้วยริ้วแสง ราวกับว่ามีพลังในการสั่นสะเทือนสวรรค์


คนผู้นั้นถือพลองสีดำที่เหมือนมีน้ำหนักมาก เพียงแค่สัมผัสกับพื้นก็ทำให้เกิดรอยแตกพล่านออกไป


“นั่นอัจฉริยะเผ่าอสูรกุญชร—สีคุน ว่ากันว่าเขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว มีพลังที่สามารถเคลื่อนภูเขาได้เลยทีเดียว เฮ้ ถ้าทั้งสองเผ่าต่อสู้กัน คงเป็นการต่อสู้สะเทือนปฐพีแน่นอน”


ขณะที่คนผู้นั้นปรากฏตัวก็ดึงดูดเสียงน่าตกใจมากมาย ชัดว่าต่างมองออกว่าคนที่ขึ้นไปไม่ใช่จอมยุทธ์ทั่วไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าท้าทายหานซัน


“เผ่าอสูรกุญชรเรอะ?”


หานซันหรี่ตาลงพร้อมฉายสีหน้าไม่แยแสแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นเขาก็กระทืบเท้าทำให้พื้นดินแตกออก รัศมีร้ายกาจม้วนตัวออกมา ร่างเขาราวกับแรดยุคก่อนประวัติศาสตร์ทะยานออกไปด้วยกระบวนท่าโจมตีอันดุร้าย ศึกเปิดขึ้นทันที


เมื่อสีคุนเห็นฉากนี้ก็เค้นเสียงเย็นไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร พลองในมือกวาดออกซัดใส่หานซันอย่างรุนแรง


ตู้ม!


คลื่นกระแทกหลิงป่าเถื่อนและไร้ขอบเขตระเบิดขึ้นบนแท่นรับแห่งนี้


การต่อสู้ของทั้งสองคน ทำให้การชะงักงันพังทลายลง ทุกคนอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป คลื่นหลิงทรงพลังจำนวนมากพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า อึดใจร่างเงาหลายร่างก็เคลื่อนไหวพุ่งไปที่แท่นรับ


“ลงมือ!”


เมื่อจิ่วโยวเห็นสถานการณ์ก็ปล่อยเสียงคำรามต่ำ อึดใจต่อมาทั้งสี่ก็ทะยานแยกออกเป็นสองกลุ่มพลิ้วลงบนแท่นรับที่ใกล้ที่สุดสองแท่น


ร่างของมู่เฉินปรากฏตัวบนแท่นรับอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ยืนนิ่งบนแท่นรับท่ามกลางสายตาตกตะลึงมากมาย ยิ่งกว่านั้นเขายังหลับตาลงยืนนิ่งราวกับรูปปั้น


ส่วนจิ่วโยวก็ยืนอยู่บนท้องฟ้าของแท่นรับ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่าง เพลิงสีม่วงพวยพุ่งขึ้น อุณหภูมิก็พุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ทำให้อากาศบริเวณใกล้เคียงระเหยออกไป เพลิงครอบงำนี้ทำเอาจอมยุทธ์หลายคนชื่นชม อาการลังเลเผยในดวงตาของจอมยุทธ์ที่ต้องการคว้าแท่นรับเอาไว้


“ไอ้เด็กน้อยนั่นอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น เขายังกล้าที่จะครองแท่นรับ รนหาที่ตาย!”


“ไอ้บ้านั่นดูเหมือนจะเป็นมนุษย์? เขาเข้ามาในดินแดนเสินโซ่ได้ยังไง?”


“ไม่รู้ว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ทำอะไรอยู่ พวกเขาช่วยมนุษย์รับที่นั่งนี้เรอะ?”


“หึ รู้เพียงวิธียืมมือจากผู้หญิง ไร้ประโยชน์!”


“…”


สายตามากมายพุ่งมายังที่นี่ ก่อนที่เสียงเยาะเย้ยเย็นเยือกจะดังก้อง ท่ามกลางเสียงดูถูกเหยียดหยามเหล่านั้น มู่เฉินยังคงยืนหยัดด้วยดวงตาที่ปิดสนิทโดยไม่ได้ขยับเขยื้อน


“จิ่วโยวต้องการช่วยมนุษย์คนนั้นให้ได้รับที่นั่งจริงเหรอ?”


ไม่ไกลในกลุ่มกระเรียนฟ้า หลิ่วชิงก็ตกใจขณะที่เฝ้าดูฉากนี้ จากนั้นนางก็เยาะเย้ยว่า “จิ่วโยวฝันเฟื่องจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าพลังของเจ้านั่นอยู่ในขั้นหกเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถปกป้องแท่นรับไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเขาจะสามารถเข้าไปในเจดีย์ได้ ก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะมีการเก็บเกี่ยวที่ดี นางโง่จริงๆ”


“นอกจากนี้นางคิดว่าจะสามารถปกป้องเจ้านั่นด้วยพลังตัวคนเดียวหรือ?”


จงเถิงยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วชิงก็มองจิ่วโยวยืนไว้สง่าอย่างไม่แยแส ก่อนที่เขาจะเปิดปากภายใต้สายตาระทึกใจของหลิ่วชิง “ข้าไปจัดการจิ่วโยว เจ้าไปจัดการกับมนุษย์หน้าโง่นั่น เผ่ากระเรียนฟ้าต้องได้แท่นรับแท่นนี้”


“ระดับจื้อจุนขั้นหกไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”


ชายเสื้อคลุมสีแดงยิ้มกริ่ม แสงดุร้ายกะพริบในดวงตาก่อนที่คลื่นหลิงทรงพลังจะระเบิดออกมาจากร่าง เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว!


จงเถิงพยักหน้าก่อนที่จะก้าวออกไปปรากฏตัวต่อหน้าจิ่วโยวที่มีเพลิงสีม่วงลุกโชนรอบตัว


ส่วนชายที่ชื่อจงฮั้วก็พลิ้วตัวบนแท่นรับของมู่เฉิน จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาถากถาง ราวกับว่าเขากำลังมองเหยื่อ


มู่เฉินสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ เขาค่อยๆ เปิดตาขึ้นจ้องมองไปที่จงฮั้วอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะสะบัดนิ้วทั้งสิบ แสงหลิงที่ยากจะสังเกตพุ่งออกไปฝังตัวเข้ากับแท่นรับ


บทที่ 988 ตราประทับคิริเทวโลก

บนท้องฟ้าเหนือแท่นรับ


จงเถิงยืนเอามือไพล่หลัง สายตาราบเรียบมองไปที่จิ่วโยวที่ทั้งร่างห่อหุ้มด้วยเพลิงสีม่วงเชี่ยวกรากที่เบื้องหน้าเขา ก่อนที่จะเหลือบมองมู่เฉินที่ยืนบนแท่นรับโดยไม่คิดจะขยับเขยื้อนไปไหน จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “เผ่าวิหคโลกันตร์หิวโหยน่าดู แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม เพราะตั้งใจจะรับทั้งสองที่ไปเรอะ”


จิ่วโยวจ้องมองมาอย่างเย็นชาพูดว่า “แล้วไง?”


แสงสีทองวาบในดวงตาของจงเถิงก่อนสายตาจะเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้น ขณะที่จ้องมองรัศมีใบมีดคมกริบก็แผ่ออกมาราวกับต้องการเสือกแทงผู้คนอื่นให้พ้นทาง “รนหาที่ตาย โง่เง่านัก”


พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ “แท่นรับนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสองคนจะครองได้ ถ้าไปตอนนี้ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าไปแต่โดยดี ไม่งั้นถ้าลงมือบางทีเจ้าอาจจะเอาชีวิตตัวเองรอดได้ แต่มนุษย์คนนั้นคงจะกลายเป็นก้อนเต้าหู้เลือดแล้ว”


“ขี้โม้ หน้าไม่อาย”


ทว่าสำหรับคำพูดของจงเถิง จิ่วโยวตอบกลับด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย แม้ว่าจงเถิงจะปลุกสายเลือดกระเรียนปีกทองคำจนเกิดวิวัฒนาการ แต่ก็น่าหัวเราะถ้าเขาคิดว่านางไม่มีไพ่ลับในแขนเสื้อเลย


“งั้นเหรอ?”


เมื่อจงเถิงได้ยินคำตอบนั่น สายตาก็คมชัดขึ้นทันที เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ก้าวเท้าออกไป ทันใดนั้นคลื่นหลิงสีทองครอบงำก็ก่อตัวขึ้นเป็นกระเรียนตัวมหึมาอยู่ที่ข้างหลัง กระเรียนวูบไหวไปด้วยริ้วแสงสีทอง รัศมีทรงพลังกำจายออกมาจากเขาอย่างแผ่วเบา


เมื่อจงเถิงออกกระบวนท่าก็เร้าร่างเทพอสูรออกมาทันที รัศมีครอบงำส่งผลให้เหล่าจอมยุทธ์ในบริเวณนี้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย


นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันจากร่างเทพอสูรของจงเถิงที่มีต้นกำเนิดมาจากมหาเทพอสูรกระเรียนปีกทองคำ แม้ว่าจงเถิงยังห่างจากการพัฒนาไปสู่การเป็นกระเรียนปีกทองคำ แต่เขาก็เริ่มมีพลังบางอย่างของมหาเทพอสูรนี้แล้ว


“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าเจ้ามีสายเลือดบริสุทธิ์ของวิหคอมตะที่สมบูรณ์แบบที่สุด วันนี้ข้าขอดูสิว่าสายเลือดวิหคอมตะกับสายเลือดกระเรียนปีกทองคำของข้า สายเลือดไหนจะทรงพลังมากกว่ากัน”


จงเถิงมองจิ่วโยวด้วยแววตาคมกริบ จากนั้นก็กำมือขนนกสีทองผุดขึ้นมา ขนสีทองพลุ่งพล่านด้วยแสงสีทอง ก่อนที่จะก่อร่างเป็นง้าวทองคำ


จิ่วโยวมองไปที่จงเถิงที่เรียกร่างเทพอสูรออกมา ริ้วความเคร่งเครียดก็วาบผ่านนัยน์ตาของนางไป แม้ว่าจงเถิงจะเป็นคนที่น่ารังเกียจ แต่ความแข็งแกร่งที่เขาครอบครองนั้นก็น่ากลัวอย่างแท้จริง ซึ่งนางจะต้องเผชิญด้วยพลังทั้งหมดที่มี


จิ่วโยวกำมือ กระบี่ยาวขนนกสีดำที่มาพร้อมกับเพลิงสีม่วงก็ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นวิหคอนธโลกันตร์ตัวมหึมาก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง ขณะที่เพลิงสีม่วงแผ่ซ่านออกไปขับไล่แรงกดดันที่เกิดจากจงเถิง


ทั้งสองยืนประจันหน้าอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับรัศมีที่น่าตกใจ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตปะทะกันเปรี้ยงปร้าง ทำให้เกิดการบิดเบือนบนท้องฟ้า


เหล่าจอมยุทธ์ถูกดึงดูดความสนใจมาที่การประจันหน้านี้ ริ้วแสงประหลาดวาบขึ้นในดวงตาของพวกเขา จิ่วโยวและจงเถิงต่างเป็นอัจฉริยะในเผ่าพันธุ์ของตน ดังนั้นพวกเขาเดาไม่ได้เลยว่าผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นจิ่วโยวผู้ปลุกสายเลือดของวิหคอมตะหรือจงเถิงผู้ปลุกสายเลือดกระเรียนปีกทองคำกันแน่


ด้านนอกสมรภูมิสมาชิกจากเผ่ากระเรียนฟ้าก็มองไปที่การเผชิญหน้าระหว่างจงเถิงและจิ่วโยว ก่อนที่จะมีคนพยักหน้าพลางพูดขึ้นว่า “จิ่วโยวคู่ควรกับการเป็นผู้ที่มีสายเลือดสมบูรณ์แบบที่สุดของเผ่าวิหคโลกันตร์ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา แม้แต่พี่ใหญ่จงเถิงก็ไม่สามารถทำอะไรกับนางได้”


หลิ่วชิงยิ้มเย็นก่อนจะมองไปที่แท่นรับ “พี่ใหญ่จงเถิงไม่คิดจะเอาชนะจิ่วโยวหรอก เขาแค่ต้องการรั้งนางไว้ เพื่อให้พี่จงฮั้วจัดการกับไอ้มนุษย์นั่น ชายคนนั้นกับจิ่วโยวสร้างพันธะโลหิตต่อกัน ตราบใดที่มนุษย์คนนั้นตาย จิ่วโยวก็จะได้รับบาดเจ็บหนัก เมื่อถึงเวลานั้นพี่ใหญ่จงเถิงไม่ต้องลงมือ จิ่วโยวก็ไม่อาจหนีความตายได้พ้น”


ขณะที่พูดมุมปากก็ยกโค้งเกรี้ยวกราดขึ้น ถ้ากลุ่มของจิ่วโยวเลือกแท่นรับเพียงหนึ่งเดียวด้วยพละกำลังทั้งหมด บางทีอาจจะสามารถรักษาเอาไว้ได้ แต่ในเมื่อพวกเขาโง่เง่าแบ่งกลุ่มออกไป ก็เหลือแค่รอความตายเท่านั้น


ในมุมมองของนาง พวกจิ่วโยวแพ้ในการเผชิญหน้าครั้งนี้แน่


ตู้ม!


สายตาทุกคู่มารวมกันอยู่ที่จงเถิงและจิ่วโยวที่กำลังระเบิดศึกกัน แสงสีทองคมชัดอัดแน่นไปทั่วฟ้าดินพร้อมกับเพลิงสีม่วงโหมกระหน่ำรุนแรง


ร่างเงาทั้งสองพุ่งออก เมื่อง้าวกับกระบี่ปะทะกัน คลื่นกระแทกรุนแรงก็ระเบิดออก ทำให้มิติแห่งนี้เกิดรอยร้าวสีดำเลยทีเดียว


จงเถิงและจิ่วโยวต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด มิหนำซ้ำทั้งคู่ยังเป็นเทพอสูรที่ทรงพลัง ดังนั้นศึกระหว่างพวกเขาจึงรุนแรงอย่างยิ่ง ทว่าเนื่องจากความแข็งแกร่งของทั้งสองคนเท่าเทียมกัน ดังนั้นทุกคนรู้ว่ายากที่ผู้ชนะจะปรากฏในการต่อสู้ครั้งนี้ เว้นแต่ทั้งสองฝ่ายจะเทหมดหน้าตัก…


แต่เห็นได้ชัดว่าจงเถิงไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เป้าหมายของเขาเพียงเพื่อรั้งจิ่วโยว แต่สิ่งที่ทำให้คนอื่นตกใจก็คือตัวจิ่วโยวเองก็รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่นางก็ไม่คิดจะทำลายสถานการณ์นี้ปล่อยให้ทุกอย่างไหลต่อไป


ขณะที่สถานการณ์ระหว่างทั้งสองดำเนินต่อไป จงฮั้วที่สวมชุดสีแดงก็พลิ้วลงมาบนแท่นรับภายใต้การจ้องมองนับไม่ถ้วน ก่อนที่เขาจะกอดอกมองมู่เฉินที่หลับตาไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยสีหน้าครึ้งบึ้งครึ่งยิ้ม


“ถ้าเจ้าไสหัวไปเอง ข้าไว้ชีวิตเจ้าได้ แต่ขอแขนไว้ข้างหนึ่งนะ” จงฮั้วมองไปที่มู่เฉิน


แต่แม้จะมีคำพูดอะไรเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่ขยับตัว ดวงตาปิดลงราวกับว่ากำลังนั่งสมาธิ


เมื่อจงฮั้วเห็นภาพนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ เขายังยิ้มพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “ช่างเป็นไอ้หนูที่เรียกร้องความตายจริงๆ…”


ปัง


เมื่อพูดจบสายตาก็เย็นเยือกลงทันที เขากระทืบฝ่าเท้าส่งแรงลงไปร่างพุ่งออกมาพร้อมกับหอกยาวสีแดงปรากฏในมือ ริ้วแสงสีแดงพล่านออกมาจากหอกราวกับเป็นกระเรียนล่ามังกรเลยทีเดียว ช่างโอ่อ่าและใหญ่โตเมื่อซัดลงไปที่กึ่งกลางคิ้วของมู่เฉินประหนึ่งสายฟ้าฟาด


“คัมภีร์เทียนเผิง หอกเพลิงกระเรียนมังกร!”


จงฮั้วโจมตีอย่างไร้ความปราณีโดยไม่มีการผ่อนปรนเมื่อปล่อยกระบวนท่า แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังโอบล้อม แสดงความแข็งแกร่งของเขาอย่างเต็มที่ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด


เมื่อหลิ่วชิงเห็นฉากนี้ ดวงตาก็วาวโรจน์ขึ้นมาทันที กระบวนท่าของจงฮั้วเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดยังต้องเผชิญหน้าอย่างเคร่งเครียด แต่มู่เฉินกลับไม่ได้เคลื่อนไหวเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะยอมแพ้และกำลังรอความตายแล้ว


แต่ขณะที่หลิ่วชิงพร้อมจะรอดูฉากจบชีวิตของมู่เฉิน อีกฝ่ายก็เหยียดปลายนิ้วออกสะบัดลงอย่างนุ่มนวล


ค่ายกลระฆังทองไร้พ่าย!


ฮึ่ม!


ทันใดนั้นแสงแรงกล้าก็พวยพุ่งออกมาจากพื้นดินใต้ฝ่าเท้าเขา ลำแสงนับไม่ถ้วนถักทอกันกลายเป็นระฆังทองคำขนาดมหึมาครอบรอบร่างมู่เฉิน พื้นผิวของระฆังไหลเวียนด้วยแสงแปลกประหลาด ทำให้ดูราวกับว่าไม่ถูกทำลายลงง่ายดาย


“ค่ายกล?! แกเป็นหลิงเจิ้นซือเรอะ?”


การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของระฆังยักษ์ ทำเอาจงฮั้วตกใจไป แววตาเย็นเยือกลงหลายส่วน “นี่เป็นเพียงค่ายกลระดับตี้เท่านั้น นี่คือไพ่ตายในแขนเสื้อของเจ้ารึ? แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถสกัดข้าได้!”


พูดจบการโจมตีก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เสียงน่าอัศจรรย์ดังก้องออกมาจากหอกยาวสีแดง จากนั้นตัวอาวุธก็พุ่งทะลุกระแทกอย่างแรงบนระฆังยักษ์


เคร้ง!


เสียงน่าอัศจรรย์ชัดเจนก้องดัง ระลอกคลื่นรุนแรงสามารถมองเห็นได้บนพื้นผิวของระฆังทอง ก่อนที่จะกระจายออกไปเป็นวง ครอบคลุมทั่วทั้งระฆังอย่างรวดเร็ว


แคร็ก!


แม้ว่าความสามารถในการป้องกันของระฆังทองจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถรับการโจมตีรุนแรงของจงฮั้วได้ รอยร้าวกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว


จงฮั้วมองระฆังทองที่ใกล้จะป่นปี้ลง เสียงเย้ยหยันเย็นเยือกก็ผุดขึ้นมาที่มุมปาก ที่แท้เหตุผลที่มู่เฉินไม่เคลื่อนไหวก็คือเขากำลังแอบสร้างค่ายกล มู่เฉินมีไหวพริบดี แต่ก็ไร้เดียงสาไปหน่อย แม้ว่าค่ายกลอาจทำให้ศัตรูไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ไร้ประโยชน์นักเมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่ง


เมื่อระฆังแตก มู่เฉินก็จะตายภายใต้คมหอกของเขาอย่างแน่นอน!


เหนือแท่นรับจงเถิงควงง้าวตรงหน้า ปิดกั้นเพลงกระบี่ของจิ่วโยว เขายิ้มบาง “ดูเหมือนว่าเจ้าจะแพ้ในครั้งนี้”


ชัดว่าเขาเห็นมู่เฉินเข้าตาจนแล้ว เมื่อไรที่มู่เฉินแพ้ จิ่วโยวก็จะได้รับบาดเจ็บไปด้วยเช่นกัน


แต่เผชิญหน้ากับคำพูดนี้ สายตาของจิ่วโยวก็ยังสงบนิ่ง ไม่เพียงแต่นางไม่ตื่นตระหนก มุมปากยังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน


“จริงเหรอ?”


เมื่อจงเถิงได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาก็หดเกร็งลง จิ่วโยวที่ยังรักษาความสงบไว้ได้ในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความผิดปกติจนได้…


บึ้ม!


แต่ในขณะนั้นระฆังทองที่ห่อหุ้มรอบร่างมู่เฉินก็ไม่สามารถทานทนต่อการโจมตีที่น่ากลัวของจงฮั้วได้ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ


คลื่นหลิงระเบิดตูมตาม ร่างของมู่เฉินเผยขึ้นที่เบื้องหน้าจงฮั้วโดยไม่มีการป้องกันใดๆ


“ลงนรกไปซะ”


แววเยาะเย้ยโค้งขึ้นที่มุมปากของจงฮั้ว หอกสีแดงเพลิงโชติช่วงพุ่งตรงเข้าไปที่ลำคอของมู่เฉิน ภายใต้การจ้องเขม็งของหลิ่วชิง


แสงหอกพุ่งเข้ามา ในที่สุดดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดขึ้นอย่างกะทันหัน


ไอเย็นเยือกไม่รู้จบวูบไหวในดวงตา ทำให้ความหนาวสะท้านจิตเกิดขึ้นในใจของจงฮั้ว ความรู้สึกไม่สบายใจหลั่งไหลออกมา


มู่เฉินมองเขาอย่างไม่แยแส จากนั้นก็สะบัดนิ้ว แสงหลิงระเบิดไปทุกทิศทางจากพื้นดินก่อนที่จะรวมตัวกันเหนือศีรษะของมู่เฉิน พริบตาก็กลายเป็นตราประทับศักดิ์สิทธิ์ขนาดหนึ่งจั้งภายใต้สายตาตื่นตกใจของผู้คน ตราประทับนี้ราวกับภูเขาที่หนักจนพรรณนาไม่ได้ กระทั่งมิติก็ไม่สามารถทนแบกไว้ ก่อนที่รอยร้าวจะปรากฏขึ้น


“ค่ายกลระดับเทียน!”


จอมยุทธ์หลายคนสูดหายใจเย็นเยือกเข้าปอด ค่ายกลทรงพลังเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นระดับเทียนที่แท้จริง และเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายมากเพียงนี้!


มนุษย์คนนั้นที่ดูเหมือนจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น กลับเป็นหลิงเจิ้นต้าซือขั้นเทียนของแท้!


ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็สะบัดมือลงอย่างไม่แยแส ตราประทับพุ่งเข้าใส่จงฮั้วที่เข้ามาใกล้!


“ค่ายกลระดับเทียน ตราประทับคิริเทวโลก!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)