หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 983-986

 บทที่ 983 ก้าวหน้าทางพลังกาย

ตู้ม!


เมื่อเส้นเปลือกตาเล็กๆ ของมังกรและหงส์ฟ้าเปิดขึ้น ทั้งสามคนที่นั่งรอบด้านมู่เฉินก็ได้ยินเสียงคำรามของเทพอสูรทั้งสองดังกึกก้อง จังหวะนั้นรูม่านตาของพวกเขาก็ขยายขึ้น เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงของการตื่นพวยพุ่งออกจากร่างของมู่เฉิน


นี่คือแรงกดดันจากมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง


ทว่าพลังนี้กลับดูไร้ขีดจำกัดและยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นมา


มั่วเฟิงและมั่วหลิงสัมผัสได้ชัดเจนมากที่สุด เนื่องจากพวกเขามีสายเลือดเผ่าหงส์ฟ้า หงส์ฟ้าแท้จริงถือเป็นจักรพรรดิของเผ่าหงส์ฟ้า


ดังนั้นเมื่อแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงตื่นขึ้นในร่างกายของมู่เฉิน ร่างของพวกเขาก็อดสั่นไหวไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นยังทำให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดไปว่ามู่เฉินที่นั่งเบื้องหน้าไม่ได้เป็นมนุษย์ แต่เป็นผู้เหนือกว่าของเผ่าหงส์ฟ้าซึ่งทำให้พวกเขาเกิดความเคารพนับถือ


“ทำไมเขาถึงมีแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงที่ทรงพลังเช่นนี้?” ความเฉยเมยบนใบหน้ามั่วเฟิงหายไปหมดสิ้นขณะมองมู่เฉินที่กำลังปิดตาอยู่ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แม้กระทั่งในเผ่าหงส์ฟ้าแรงกดดันจากหงส์ฟ้าแท้จริงก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ สามารถครอบครองได้ แต่ตอนนี้กลับปรากฏบนตัวมู่เฉิน


จิ่วโยวหายใจเข้าลึกสุดปอดพร้อมกับอาการตกตะลึงพล่านในดวงตา นางรู้ว่ามู่เฉินฝึกฝนคัมภีร์หลงเฟิ่ง ทว่าแม้แรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงในอดีตของมู่เฉินจะน่าประหลาดใจ แต่แรงกดดันนั้นบางจางเกินไป นอกจากจะทำให้ผู้อื่นตกใจแล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก


แต่ตอนนี้แรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงที่ปะทุออกมาจากร่างมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นมาก จนถึงจุดที่แม้แต่พวกนางที่ครอบครองสายเลือดหงส์ฟ้ายังรู้สึกหวาดกลัว เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันนี้ แม้แต่พลังของพวกนางก็จะถูกระงับลง


แรงกดดันนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เว้นแต่จะมีพลังที่สมบูรณ์พอที่จะต้านทานแรงกดดันประเภทนี้ นั่นเป็นเพราะแรงกดดันนี้เกิดจากสายเลือดและความสูงส่งของหงส์ฟ้าแท้จริง


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


ขณะที่ทั้งสามคนกำลังตกตะลึง ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าก็ปะทุขึ้นพร้อมกับแสงสีทองพร่างพราวบนร่างกายมู่เฉิน แรงดูดน่าขนพองสยองเกล้าก็ระเบิดออก


แรงดูดนี้ไม่ได้มีผลกับพวกจิ่วโยว แต่เล็งไปที่ตัวอ่อนโคลนโลหิตที่ลอยอยู่ตรงกลาง ดังนั้นมันจึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กระแสธารสีแดงเข้มสองสายพุ่งออกมาทันที


กระแสธารสีแดงเข้มมีขนาดประมาณสิบจั้งบรรจุด้วยรัศมีโลหิตขนาดใหญ่ จากนั้นก็ถูกกลืนกินเข้าไปโดยลวดลายมังกรและหงส์ฟ้า


เมื่อเฝ้ามองฉากนี้ ทั้งสามคนก็อึ้งไปเล็กน้อยพลางจ้องมองไปที่มู่เฉิน ก่อนหน้าพวกเขาใช้เวลาไปตั้งนานกว่าจะดูดซับเส้นใยสายหนึ่งรัศมีจากตัวอ่อน แต่ตอนนี้ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างของมู่เฉินราวกับวาฬอย่างไรอย่างนั้น


ความเร็วในการดูดทำให้พวกเขารู้สึกอิจฉา


“เราก็รีบดูดกันเถอะ!” เมื่อมั่วหลิงเห็นหลังจากวาฬกลืนกินคลื่นรัศมีโลหิตไปรอบหนึ่ง แล้วมีแววที่แรงดูดจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง นางก็รีบพูดขึ้นมา


แม้ว่าตัวอ่อนจะมีรัศมีโลหิตขนาดมหึมา แต่ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานแรงดูดตะกละตะกลามของลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่เหมือนวาฬสูบน้ำได้ ดังนั้นหากพวกเขายังไม่รีบดูดซับเส้นใยหมอกที่เหลือละก็ จะไม่มีอะไรเหลือให้พวกเขาอีกแล้ว


เมื่อจิ่วโยวและมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีกต่อไป จากนั้นก็ตั้งสมาธิกลั่นกรองรัศมีโลหิตจากตัวอ่อนแล้วรีบดูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว


ขณะที่พวกเขากลั่นคลื่นพลัง ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างของมู่เฉินก็ระเบิดออกด้วยแรงดูดที่น่ากลัวตามที่คาดไว้อีกครั้ง ทำให้ลำแสงสีแดงสองสายพุ่งออกมาจากตัวอ่อนทันที


เมื่อทั้งสามเห็นลำแสงสีแดงสองสายซึ่งมีขนาดประมาณสิบจั้ง แล้วมองเส้นใยเล็กจิ๋วที่ตนเองดูดซับ มุมปากของพวกเขากระตุกอย่างช่วยไม่ได้…


แต่พวกเขารู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น


ในหนึ่งชั่วโมงต่อมา ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างมู่เฉินก็กลืนกินตลอดเวลา ขณะที่ลำแสงที่มีรัศมีโลหิตทรงพลังหลั่งไหลออกมาอย่างไม่สิ้นสุด


ภายใต้พลังที่เทลงไปมหาศาล ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่แต่เดิมมีสีม่วงทองก็ค่อยๆ มีสีแดงผสมผสาน นอกจากนี้ลวดลายมังกรแท้จริงดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งส่วน ร่างบิดเกลียวด้วยฤทธิ์เดช เกล็ดก็ดูเหมือนจะสร้างมาจากหินอเมทิสต์และทองคำที่แกร่งจนไม่สามารถทำลายได้


ลวดลายหงส์ฟ้าก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ปีกที่แนบลำตัวก็สยายออกเล็กน้อย


ทว่าดวงตาของเทพอสูรทั้งสองไม่ได้เปิดขึ้นต่อไปเหลือเพียงรอยเผยอเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นแรงกดดันที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงตกตะลึงในใจ


ยามนี้ถ้ามู่เฉินต้องการแสร้งเป็นสมาชิกจากเผ่ามังกรหรือหงส์ฟ้า นอกจากไม่สามารถแสดงรูปลักษณ์ของเทพอสูรแล้ว คงข่มขวัญผู้คนได้ไม่น้อยเลย


เปรียะ


ขณะนี้เองตัวอ่อนที่ลอยอยู่ระหว่างพวกเขาก็แสดงสัญญาณความอ่อนเพลียทีละน้อย…ละน้อย หลังจากถูกดูดซึมมานาน รอยแตกก็เริ่มปรากฏบนพื้นผิวของตัวอ่อน


ทั้งสามมองไปที่รอยแตกก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ โดยปกติแล้วตัวอ่อนนี้เพียงพอสำหรับพวกเขาในการดูดซับหลายวัน แต่เนื่องจากมีมู่เฉินสิ่งนี้จึงหมดไปหลังจากนั้นผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้นเอง


มิหนำซ้ำประมาณเก้าส่วนของรัศมีโลหิตที่มีอยู่ในตัวอ่อนก็ถูกมู่เฉินดูดซับอยู่คนเดียว


คราวนี้มู่เฉินได้ประโยชน์มากที่สุดอย่างชัดเจน


จิ่วโยวส่งสายตาลุแก่โทษต่อมั่วเฟิงและมั่วหลิง เพราะนี่เป็นข้อเสนอแนะของนางสำหรับวิธีการแบ่งปันและตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันพี่น้องมั่วประสบความสูญเสียครั้งใหญ่เลย


เผชิญหน้ากับคำขอโทษ มั่วเฟิงก็ส่ายหัว แม้ว่าตัวอ่อนมีค่ามากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับในดินแดนเสินโซ่อีก นอกจากนี้วิธีการแบ่งปันก็ได้รับความเห็นชอบจากทุกคน มู่เฉินเองก็คงไม่รู้ว่าจะได้รับประโยชน์ใหญ่หลวงจากมัน


แคร็ก! แคร็ก!


จำนวนรอยร้าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บนตัวอ่อน สุดท้ายทั้งสามก็ต้องหยุดการดูดซับ ปล่อยให้มู่เฉินสกัดเอารัศมีโลหิตในช่วงสุดท้ายไปจนหมด


เมื่อลำแสงสุดท้ายพุ่งออกมา ตัวอ่อนซึ่งแต่เดิมเป็นประกายระยิบระยับก็พร่ามัว ทันใดนั้นความแวววาวก็สลายหายไปกลายเป็นเถ้าถ่านร่วงหล่นลงมา


รัศมีโลหิตที่อยู่ในตัวอ่อนหมดลงอย่างสิ้นเชิง


เมื่อตัวอ่อนหายตัวไป ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างมู่เฉินก็เหมือนจะสัมผัสได้ ความแวววาวค่อยๆ ลดระดับลง พวกมันกลับไปสถิตยังที่เดิมบนร่างกาย


ดวงตาของมู่เฉินก็เปิดขึ้นทันทีในเวลานี้


ม่านตาสีดำยังดิ่งลึก แต่ทันทีที่เขาลืมตาก็ราวกับมีมังกรและหงส์ฟ้าวูบไหวอยู่ในดวงตา แรงกดดันที่น่าอัศจรรย์ใจกวาดออกมาทันที


ภายใต้แรงกดดันดังกล่าว จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงหมุนเวียนคลื่นหลิงเร็วรี่ เนื่องจากแรงกดดันดังกล่าวทำให้การไหลเวียนของคลื่นพลังงานในร่างกายของพวกเขาช้าลง


แต่โชคดีที่แรงกดดันมาเร็วไปเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็จางหายไปอย่างสมบูรณ์ ม่านตาของมู่เฉินก็กลับมาเป็นปกติ


เขาก้มหน้าลงมองลวดลายมังกรบนหน้าอก ดวงตาก็กะพริบวูบวาบ แม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายกับลวดลายมังกรและหงส์ฟ้า แต่มู่เฉินรู้ดีว่าเขามีความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในคัมภีร์หลงเฟิ่ง


แม้เขาจะยังมีระยะห่างจากขั้นสองอยู่บ้าง แต่มู่เฉินก็รู้สึกถึงโอกาสและความหวังที่จะฝ่าฟัน


มู่เฉินค่อยๆ กำหมัดแน่น เขารู้สึกได้ว่าพลังกายของตนแข็งแกร่งขึ้นจากการเพาะบ่มครั้งนี้ โดยเฉพาะลวดลายมังกรและหงส์ฟ้า ดูเหมือนพวกมันจะมีพลังพิเศษอย่างคลุมเครือบ้างแล้ว


โดยรวมแล้วการเพาะบ่มครั้งนี้ ทำให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นมาก


อะแฮ่ม


ขณะที่มู่เฉินจมจ่อมอยู่กับการเพิ่มขึ้นของความแข็งแกร่งตนเอง เสียงกระแอมไออย่างอ่อนโยนก็สะท้อนที่เบื้องหน้าเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นทั้งสามจ้องมองมา


เมื่อมู่เฉินเห็นสายตานี้ ความเก้อเขินก็ฉายขึ้นบนใบหน้า แม้ว่าเขาจะอยู่ในช่วงเวลาการเพาะบ่ม เขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


สายตาเขาเหลือบมองกองเถ้าถ่านกระจายบนพื้น นี่คือซากของตัวอ่อนโคลนโลหิตที่รัศมีโลหิตภายในถูกดูดจนแห้งสนิท


“ขอโทษด้วย ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะเอาแต่ใจขนาดนี้…” มู่เฉินขอโทษ ในเมื่อทุกคนมีส่วนร่วมในตัวอ่อนโคลนโลหิต แต่เขากลับดูดซับอย่างครอบงำซึ่งไม่ยุติธรรมสำหรับทั้งสามคน แม้ว่าเขากับจิ่วโยวจะไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มีความสนิทสนมกับมั่วเฟิงและมั่วหลิงมาก


“ถ้าสามารถหาสมบัติอื่นๆ ในดินแดนเสินโซ่ได้ ข้าจะชดใช้ให้พวกเจ้านะ”


เมื่อมั่วเฟิงและมั่วหลิงเห็นสีหน้าลุแก่โทษบนใบหน้าของมู่เฉิน คนเป็นพี่ก็ไม่พูดต่อ เพียงแค่จ้องมองลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างของมู่เฉิน ขณะที่หญิงสาวจือริมฝีปาก “ก็ได้ ครั้งนี้ถือว่าให้ผ่านไปก่อน เราไม่เอาเรื่องกับวาฬตะกละหรอก”


มู่เฉินยิ้มแห้งๆ ขณะที่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมปกปิดร่างกาย สกัดกั้นการจ้องมองของมั่วเฟิงไปในตัว


มั่วเฟิงถอนสายตาที่จับจ้องมู่เฉิน เขามองอีกฝ่ายด้วยความคิดลึกซึ้งมากกว่าเดิม ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจกับการเข้าร่วมกลุ่มของมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะในมุมมองของเขาแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะทั้งเจียงย่าและฉิงเฉวียนได้ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ทั้งสองคนนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย แต่หลังจากเรื่องเมื่อครู่ เขารู้ว่ามู่เฉินต้องซ่อนอะไรเอาไว้อีกไม่น้อย ดังนั้นหากเขายังคงมองอย่างดูถูกอีกฝ่าย นั่นหมายความว่าตัวเขาเป็นคนโง่เอง


บางทีการเข้าร่วมกลุ่มของชายคนนี้ อาจทำให้พวกเขาได้รับผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดในการเดินทางไปยังดินแดนเสินโซ่ก็ได้


“เรากำลังจะถึงดินแดนเสินโซ่แล้ว!”


ขณะที่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจมั่วเฟิง เสียงของจิ่วโยวก็ดังขึ้น


หัวใจคนที่เหลือสั่นสะเทือน ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าในที่สุดวงแหวนอุกกาบาตก็มาถึงจุดสิ้นสุด ที่ปลายสุดนี้ก็คือทวีปโบราณที่ล่องลอยอยู่ในมิติ


ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยรัศมีรกร้าง แม้ว่าจะยังอยู่ห่างไกล แต่พวกเขาก็ตกใจจนลมหายใจถึงกับแข็งทื่อ


เสียงคำรามของสัตว์อสูรโบราณทรงอำนาจนับไม่ถ้วนเหมือนจะดังก้องผ่านช่วงเวลาดึกดำบรรพ์ออกมา


ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงดินแดนเสินโซ่


บทที่ 984 เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ

เมื่อแสงพร่างพราวกำจายที่เบื้องหน้ามู่เฉิน


เขาก็สามารถมองเห็นดินแดนขนาดใหญ่ในความสว่างได้อย่างชัดเจน


ทวีปโบราณนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้ว่ามู่เฉินจะอยู่เหนือขึ้นไปมากก็ยังมองไม่เห็นจุดจบ ทั้งดินแดนเปล่งรัศมีรกร้างไร้ขอบเขต


“นี่คือดินแดนเสินโซ่รึ?”


มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ในสมัยโบราณทวีปเสินโซ่เต็มไปด้วยจอมยุทธ์ทรงพลัง ซึ่งมีมากถึงสองถึงสามส่วนของสุดยอดในโลกสัตว์อสูร ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจของเผ่าปีศาจต่างมิติ พวกมันเข้ามากลุ้มรุมไม่ละเว้น ทำให้โลกสัตว์อสูรต้องทนรับศึกหนักหนาอย่างมากเลยทีเดียว


“หืม?”


ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ ดวงตาที่มองดินแดนเสินโซ่ก็หดตัว ริ้วความหวาดผวาปรากฏบนใบหน้า


เนื่องจากอยู่ในมิติว่างเปล่าที่เหนือดินแดนเสินโซ่ ทำให้มีมองมุมกว้าง มู่เฉินก็มองเห็นปากปล่องขนาดหลายล้านจั้งบนพื้นดิน เมื่อมองลงไปจากท้องฟ้าก็จะเห็นเป็นภาพฝ่ามือสุดจะพรรณนา


ฝ่ามือนั้นดูเหมือนบดขยี้ลงมาจากฟากฟ้า ฉีกดินแดนเสินโซ่ออกจากกัน หุบเหวกว้างใหญ่นับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกไป ผ่าดินแดนแห่งนี้จนมีภูมิประเทศเปลี่ยนไป


พลังทำลายล้างนี้เป็นการล้างบาปครั้งใหญ่ที่แท้จริง ยากที่จะจินตนาการได้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตทรงพลังเพียงใดกลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้ฝ่ามือนี้


ภายใต้ฝ่ามือนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างมั่นถัวหลัวก็ไม่อาจเอาชีวิตรอดไปได้


“นี่คือการทำลายล้างที่เกิดจากเผ่าปีศาจต่างมิติในสมัยโบราณ” จิ่วโยวที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน พูดขึ้นด้วยสีหน้าน่าเกลียด แม้ว่าโลกสัตว์อสูรจะมีกฎสัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กและเต็มไปด้วยการแข่งขันที่โหดร้าย แต่นี่ก็เป็นเพียงกฎเท่านั้น ทว่าเผ่าปีศาจต่างมิติที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวกลับฉีกทุกกฎทิ้ง พวกมันบุกรุกไปทุกหัวระแหง สิ่งใดก็ตามที่ไม่เหมือนกับพวกมันจะถูกทำลาย


เพราะเป็นเช่นนี้ทั้งมหาพันภพถึงได้มองเผ่าปีศาจต่างมิติคือศัตรูผู้ยิ่งใหญ่


สงครามการปกป้องทำให้ขั้วอำนาจจำนวนมหาศาลในมหาพันภพล้มหายตายจากพร้อมกับการล่มสลายของยอดยุทธ์นับไม่ถ้วน ในเวลานั้นความไม่พอใจกันถูกละทิ้ง ทุกคนตั้งปณิธานที่จะปกป้องโลกที่เป็นบ้านของพวกเขา


ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลง แม้ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปหลายพันหลายหมื่นปีนับจากมหาสงครามครั้งนั้น แต่ทุกคนก็รู้ว่าเผ่าปีศาจต่างมิติไม่ได้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ ในการต่อสู้ครั้งนั้นต่อให้มหาพันภพจ่ายราคาที่แพงระยับก็ไม่ถือว่าได้รับชัยชนะ


นั่นเป็นเพราะมีพื้นที่มากมายในมหาพันภพถูกยึดครองไว้โดยเผ่าปีศาจต่างมิติ พวกมันยังคงออกล่าตีประชิดชายแดน มู่เฉินไม่สงสัยเลยว่าถ้าพวกมันมีกำลังพลพร้อมอีกเมื่อไร จักรวรรดิปีศาจต่างมิติก็จะปลดปล่อยการรุกรานทำลายล้างอีกครั้ง


ในเวลานั้นทั้งมหาพันภพก็ต้องเผชิญกับภัยพิบัติของมหาสงคราม


เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หัวใจของมู่เฉินก็ดิ่งลง จากนั้นเขาก็สะบัดหัวเพื่อให้หัวใจสงบลงก่อนที่จะมองไปที่ดินแดนเสินโซ่ ซึ่งพวกเขากำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว และแล้วดวงตาของเขาก็หดเกร็งฉับพลัน


เขามองเห็นเสาขนาดหลายหมื่นจั้งสี่ต้นอยู่ในฝ่ามือมหึมา ดูเหมือนยอดเขาสูงตระหง่าน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสิ่งนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกยำเกรง


“นั่นไม่ใช่ยอดเขา ในอดีตตอนที่เผ่าปีศาจเปิดการโจมตี ยอดยุทธ์คนหนึ่งในดินแดนเสินโซ่ก็มีลางสังหรณ์ล่วงหน้าเลยพยายามที่จะขัดขวาง เพื่อให้สรรพชีวิตในดินแดนแห่งนี้มีโอกาสที่จะหลบหนีไปได้”


จิ่วโยวมองไปที่ยอดเขาทั้งสี่ด้วยความเคารพ “เขาเป็นมหาเทพอสูรในตำนาน เทพเต่ากลืนสวรรค์ที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนด้วยพลังสุดยอดในการป้องกันที่แม้แต่จอมยุทธ์ในระดับเดียวกันก็ไม่สามารถทำลายได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถขัดขวางการโจมตีทำลายล้างของพวกจอมปีศาจต่างมิติ ร่างกายจึงถูกทำลายภายใต้การโจมตีเหล่านั้น เหลือเพียงสี่ขาที่ยืนตระหง่านปกปักชีวิตผู้คน”


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมกับความเคารพที่มีต่อยอดยุทธ์ท่านนี้ในตำนาน เวลานั้นถ้าเขาต้องการหลบหนีด้วยพลังยิ่งใหญ่ก็สามารถหนีไปได้ แต่เขาก็ยังสละชีวิตเพื่อดินแดนเสินโซ่ แม้ว่าสุดท้ายจะไม่สามารถปกป้องดินแดนแห่งนี้ไว้ได้ แต่เจตจำนงอันยิ่งใหญ่ก็สมควรที่จะเคารพเทิดทูน


ตู้ม! ตู้ม!


ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจในหัวใจ อุกกาบาตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของดินแดนเสินโซ่ ภายใต้แรงเสียดทานจากความเร็วสูง อุกกาบาตก็ร้อนฉ่า เปลวไฟเริ่มลุกโชน


ทุกคนรีบหมุนเวียนคลื่นหลิงเพื่อปกป้องตัวเองทันที จากนั้นพื้นดินเบื้องล่างก็ขยายกว้างในดวงตา ทำให้พวกเขารู้ว่ากำลังจะถึงดินแดนเสินโซ่อย่างแท้จริง


ลูกไฟพุ่งผ่านขอบฟ้า ก่อนที่ดินแดนโบราณแตกสลายจะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในครรลองสายตา รัศมีรกร้างพัดผ่านทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกลับคืนสู่ยุคโบราณ


“ไป!”


มองพื้นดินขยับใกล้เข้ามา จิ่วโยวก็ตะโกนบอก จากนั้นนางก็กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไปพร้อมกับพรรคพวกที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิด


ทั้งสี่ปรากฏตัวที่ภูเขาห่างออกไปหมื่นจั้ง เมื่อพลิ้วตัวลงสู่พื้น เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังออกมาจากระยะไกล พื้นดินโยกไหวรอยร้าวกระจายไปทั่ว


กลุ่มของมู่เฉินมองตามไปในทิศนั้นก็เห็นเปลวไฟลุกโชนจากพื้นดินขึ้นมา อุกกาบาตสร้างหลุมลึกเอาไว้


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคย ดินแดนนี้เต็มไปด้วยรัศมีรกร้างว่างเปล่า ทว่าแม้จะฉีกขาดเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความรกร้างจากสมัยโบราณ


ต้นไม้ใหญ่สูงหมื่นจั้งมากมายยืนตระหง่านราวกับยอดเขาสูง กิ่งก้านใบแผ่สาขาออกไปโดยรอบรัศมีหนึ่งพันจั้ง ช่างมองดูตระการตานัก


ก้อนหินรูปร่างเหมือนยักษ์กระจัดกระจายไปทั่ว มองจากที่ไกลดูราวกับรูปปั้นที่หลับใหลและมีแรงกดดันพิเศษแผ่ออกไป


“ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนเสินโซ่” ขณะที่มู่เฉินกำลังกวาดตามอง จิ่วโยวก็ยิ้มบางจากด้านข้าง


มู่เฉินยิ้มตอบ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในระยะไกล ลูกไฟนับไม่ถ้วนพุ่งลงมากระแทกกับพื้นดินส่วนต่างๆ ในดินแดนแห่งนี้


“ดูเหมือนว่าคนจากเผ่าอื่นๆ ก็มาถึงแล้ว” มั่วเฟิงมองไปที่ฉากนี้ก็เปิดปากพูดเบาๆ


เมื่อเขาพูดออกมา ท่าทางของทั้งสี่ก็เย็นชาลงหลายส่วน แววตาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเล็กน้อย พวกเขารู้ดีว่าการแข่งขันในดินแดนเสินโซ่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า


“ตอนนี้เราจะทำอะไรต่อ?” มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวและถาม เขาไม่คุ้นกับดินแดนแห่งนี้ ความรู้เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ก็มีเล็กน้อยเท่านั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเห็นของจิ่วโยวและคนที่เหลือ


เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดของเขา นางก็หยุดคิดแวบหนึ่งก่อนจะมองมั่วเฟิงแล้วชั่งใจ “ข้าขอเสนอจุดแรกที่จะไปคือเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ”


“เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ?” มู่เฉินอึ้งไป


“ฮิๆ ในสมัยโบราณมีเจดีย์ฝึกพลังกายสามสิบองค์ในดินแดนเสินโซ่ซึ่งมีผลขั้นเทพในการปรับแต่งสภาพร่างกาย หากจอมยุทธ์สามารถผ่าด่านไปได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับการปรับปรุงร่างกาย พวกเขายังจะได้รับรางวัลที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของแต่ละคน ว่ากันว่าคัมภีร์ระดับเสินทงและอาวุธเสมือนมหสวรรค์ก็รวมอยู่ในรางวัลเหล่านั้นด้วย… ” มั่วหลิงหัวเราะชอบใจ


“คัมภีร์ระดับเสินทง? อาวุธเสมือนมหสวรรค์?!” สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป เขามองมั่วหลิงด้วยความไม่เชื่อ เขาไม่คิดเลยว่าเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณจะให้รางวัลเช่นนี้ด้วย


ในมหาพันภพวิทยายุทธที่สูงกว่าคัมภีร์ระดับเสินซู่ขั้นยอดเยี่ยมก็คือคัมภีร์ระดับเสินทง!


ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังถูกล่อลวงด้วยคัมภีร์ระดับนี้ นั่นเป็นเพราะคัมภีร์เหล่านี้มีพลังทำลายล้างสูงยิ่ง


บางสิ่งที่เกินขอบเขตของคัมภีร์ระดับเสินซู่ก็คือคัมภีร์ระดับเสินทงนั่นเอง


จุดนี้สามารถมองผ่านสิ่งที่เรียกว่าทักษะเทห์สวรรค์


สำหรับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เนื่องจากเห็นได้จากพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ แน่นอนว่าพีระมิดนั้นเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ซึ่งวัตถุนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าของเสมือนอยู่แล้ว


แต่เพราะเหตุนี้ถึงดึงดูดใจสำหรับมู่เฉินมาก นั่นเป็นเพราะอาวุธมหสวรรค์ของแท้มีพลังเกินกว่าที่เขาจะใช้ได้และเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุม แต่ถ้าเป็นของเสมือนอาจสามารถช่วยเพิ่มพลังให้เขาได้จริง


“จริงเหรอ?” มู่เฉินมองจิ่วโยวด้วยความไม่เชื่อ ขณะที่ขอคำยืนยันอีกครั้ง


จิ่วโยวพยักหน้า “เรื่องจริง แต่ผู้เข้าไปจะต้องประสบความสำเร็จยอดเยี่ยมในเจดีย์ฝึกกายถึงจะได้รับคัมภีร์ระดับเสินทงหรืออาวุธเสมือนมหสวรรค์ ซึ่งผู้ที่สามารถบรรลุผลสำเร็จนั้นต่างเป็นอัจฉริยะของเผ่าเทพอสูรทรงพลัง”


มู่เฉินเลียริมฝีปากไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ ถ้าคัมภีร์ระดับเสินทงและอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามารถได้รับมาแบบง่ายๆ จะเรียกว่าสิ่งหายากยิ่งกว่ายากได้ยังไง


“ในอดีตมีเฉพาะเผ่ายอดเยี่ยมเท่านั้นที่มีคุณสมบัติและความสามารถในการสร้างเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ แต่เจดีย์สามสิบองค์เหลืออยู่เพียงห้าองค์เท่านั้นในตอนนี้ นอกจากนี้ทั้งหมดยังได้รับความเสียหาย ดังนั้นทุกครั้งที่มีการเปิดของเจดีย์ ตำแหน่งจึงถูกจำกัดอย่างมาก การแข่งขันสำหรับตำแหน่งก็จะรุนแรงมาก” จิ่วโยวกล่าวเสริม


มู่เฉินพยักหน้า ในเมื่อตลาดมีมากกว่าอุปทาน ด้วยผลลัพธ์ยอดเยี่ยมของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ คงไม่มีใครอยากปล่อยโอกาสไปง่ายๆ


“ในเมื่อทุกคนรู้แล้วว่าเจดีย์ฝึกกายมีความพิเศษเพียงใด เราก็ลงคะแนนว่าควรจะไปแข่งขันหรือไม่” จิ่วโยวมองพรรคพวก


เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกัน ก็ควรรับฟังความคิดเห็นของทุกคนเพื่อป้องกันความแตกแยก


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะยกมือเห็นด้วย เขาสัมผัสขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งแล้ว ถ้าเขาสามารถยืมพลังของเจดีย์ฝึกพลังกายเพื่อปรับสภาพร่างกายได้ เมื่อนั้นก็อาจจะบุกทะลุไปถึงขั้นสองได้ ในเวลานั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อพลังการต่อสู้ของเขา


ดังนั้นเขาไม่อยากละทิ้งโอกาสนี้


มั่วเฟิงพยักหน้าเบาๆ “ในเมื่อมาที่ดินแดนเสินโซ่แล้ว ข้าก็ไม่เคยคิดว่าจะเอาสบาย ข้าอยากรู้จักอัจฉริยะเผ่าอื่นๆ ด้วย”


พูดจบมั่วเฟิงก็ยกมือ


เมื่อมั่วหลิงเห็นการตัดสินใจของมั่วเฟิง นางก็หัวเราะเบาๆ “ข้าว่าตามพี่ชาย”


จิ่วโยวคลี่ยิ้ม เมื่อเห็นความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ จากนั้นนางก็มองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือขยายรอยยิ้มกว้าง “งั้นแบบนี้ เราก็ไปดูเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณที่มีชื่อเสียงให้ประจักษ์ตากันเถอะ”


บทที่ 985 เผ่ากระเรียนฟ้า

ทวีปกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ถูกทำลายจนแตกสลาย


บรรยากาศเต็มแน่นไปด้วยความหายนะ แม้ว่าที่นี่จะถูกทำลาย แต่ก็ยังคงปล่อยแรงกดดันอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งทำให้ทุกคนที่นี่รู้สึกเคารพในหัวใจตั้งแต่ก่อนกาล


ฟิ้ว!


บนเส้นขอบฟ้าอันไร้ขอบเขต มีลมกรูเข้ามา มองเห็นร่างแสงสี่ร่างเหาะเหินผ่านมาจากระยะไกลนำพาเสียงลมบาดแก้วหูตามมา พวกเขาพุ่งตัวไปไกลอย่างรวดเร็ว


ร่างสี่ร่างนี้ก็คือกลุ่มของมู่เฉินที่ตั้งเป้าหมายไปเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณหลังจากที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่


พวกเขาเดินทางมาเกือบครึ่งวัน ระหว่างทางก็พบกับเผ่าสัตว์อสูรอื่นๆ อยู่บ้าง ทว่าแต่ละกลุ่มต่างระมัดระวังและกลัวซึ่งกันและกัน จึงไม่ได้เกิดการปะทะอะไรกัน


เพราะก่อนที่จะได้เห็นสมบัติ ไม่มีใครต้องการหมดพลังงานไปกับเรื่องไร้สาระ ทุกคนที่เข้ามาถึงดินแดนเสินโซ่ไม่ธรรมดา ต่างมีความสามารถบางอย่าง ดังนั้นจึงไม่คิดไปยั่วยุผู้อื่นโดยไม่มีผลประโยชน์หรอก


เพราะเหตุนี้พวกมู่เฉินจึงรู้สึกปลอดโปร่งจากความยุ่งยากในการเดินทาง


“ตามทิศทางเราน่าจะอยู่ห่างจากเจดีย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดอีกประมาณหนึ่งวัน” ขณะที่พวกเขาเหาะเหินไปนั้น จิ่วโยวก็ถือเข็มทิศที่ทำจากกระดูกสัตว์พร้อมกับมีริ้วแสงแวววาวบนนั้นก่อร่างเป็นแผนที่คลุมเครือ โดยที่กึ่งกลางของแผนที่เป็นสัญลักษณ์เจดีย์ ซึ่งก็คือเป้าหมายของพวกเขาสำหรับการเดินทางครั้งนี้


มู่เฉินพยักหน้าไม่ได้มีท่าทีร้อนใจอะไร กลับกันเขาปิดตาลงระหว่างการเดินทาง ขณะที่ความคิดหมุนเวียน เขาก็ดูดซับคลื่นหลิงจากฟ้าดินเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด


แต่ในขณะที่มู่เฉินดูดซับพลังงานได้อย่างรวดเร็ว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังงานแปลกประหลาดที่กำลังปะปนอยู่ภายใน เมื่อมันถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็รู้สึกได้ถึงกระแสเลือดของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย


คลื่นหลิงในดินแดนเสินโซ่มีริ้วพลังงานที่สามารถปรับสภาพพลังกายได้ เมื่อตรวจสอบถึงต้นตอมู่เฉินก็พบว่าพลังนี้มาจากรัศมีรกร้างที่แผ่ไปทั่วฟ้าดิน


“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดินแดนเสินโซ่จึงมีความสำคัญมากในโลกสัตว์อสูร การเพาะบ่มที่นี่มีประโยชน์อย่างมากต่อเผ่าสัตว์อสูรและเทพอสูร”


มู่เฉินชมเชยในใจ แม้หลังจากดูดซับคลื่นพลังมาได้ครึ่งวัน ความก้าวหน้าก็ยังไม่เทียบเท่ากับโคลนโลหิตชิ้นเดียว ทว่าคลื่นพลังนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เขาไม่จำเป็นต้องค้นหาอย่างขมขื่นเหมือนกับที่ตามหาโคลนโลหิต ในระยะยาวการเพิ่มขึ้นนี้ก็ค่อนข้างน่าสะพรึงเลยทีเดียว


“ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพการชำระในดินแดนเสินโซ่จะมีประโยชน์ต่อพลังกายมากจริงๆ…”


เมื่อสัมผัสถึงกระแสเลือดที่พลุ่งพล่านขึ้นในร่างกาย รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน เขายิ่งมีความคาดหวังต่อเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณมากขึ้น


ตราบใดที่เขาสามารถก้าวสู่ขั้นสองของวิชากายามังกรหงส์ เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว!


เขาไม่เพียงแต่ต้องช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณในการเดินทางมายังที่นี่ แต่เขายังต้องการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตน เพื่อให้มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันสำหรับวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะเมื่อวังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ!


ในเวลาหนึ่งวันถัดมาทั้งสี่เดินทางโดยไม่หยุดพัก ภายใต้ความเร็วเต็มที่ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงพื้นที่แถบเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ


ทั้งสี่คนปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขาโดดเดี่ยว สายตามองไปในระยะไกลก็เห็นเมืองใหญ่กว้างหมื่นลี้ตั้งอยู่ในดงเขา


แม้ว่าเมืองนี้จะกลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว แต่ก็สามารถบอกได้ว่าครั้งหนึ่งที่นี่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ ในสมัยโบราณเมืองนี้จะต้องเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของดินแดนเสินโซ่แน่นอน


“นั่นคือเมืองต้าฮวางซึ่งเป็นขั้วอำนาจระดับต้นๆ ของดินแดนเสินโซ่สมัยโบราณ ในเมืองมีเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณที่หลงเหลืออยู่” จิ่วโยวชี้ไปที่เมืองโบราณและซากปรักหักพัง


มู่เฉินพยักหน้าก่อนจะหรี่ตากวาดมองรอบๆ “ดูเหมือนว่าแรงดึงดูดของเจดีย์นี้ค่อนข้างใหญ่โตเลยทีเดียว”


ประสาทสัมผัสของเขารับรู้ได้ถึงรัศมีทรงพลังที่พุ่งมาจากขอบฟ้าไกล เป้าหมายของคนเหล่านั้นก็คือเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณนี้เช่นกัน


นอกเหนือจากรัศมีของคนที่รีบเร่งมาแล้ว มู่เฉินก็ขมวดคิ้วขณะมองเมืองที่ถูกทำลาย ในนั้นมีคลื่นหลิงเบาบางกระเพื่อมไหวอยู่ไม่น้อย ชัดว่ามีบางคนมาถึงก่อนแล้ว


“หืม?”


ขณะที่มู่เฉินสัมผัสคลื่นหลิงผันผวนที่อยู่ในเมือง จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางหนึ่ง มีแนวแสงยาวหลายเส้นพุ่งมาบนขอบฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแนวแสงเหล่านั้นเคลื่อนไหวเข้าใกล้ก็สัมผัสถึงพวกเขา ทันใดนั้นเสียงลมฉีกอากาศก็ดังก้องบนท้องฟ้าเหนือกลุ่มพวกเขา


“ฮ่าๆ ข้าก็สงสัยว่าใครกัน เป็นจิ่วโยวนี่เอง…ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเจ้ามานานหลายปี ข้ายังคิดว่าเจ้าคว้าน้ำเหลวไปแล้ว…” ขณะที่ร่างเงาเหล่านั้นปรากฏ เสียงหัวเราะเอาแต่ใจของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังก้อง แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะไพเราะ แต่คำพูดกลับประชดประชันน่าดู


เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น สีหน้าก็ดิ่งลงทันที นางเงยหน้าขึ้นคลี่รอยยิ้มเยาะออกมา “หลิ่วชิงดูเหมือนเจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ที่ประลองกับข้านะ”


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างเงาสี่ร่างปรากฏบนท้องฟ้า ในบรรดาทั้งสี่มีหญิงสาวสวมชุดสีเขียว นางมีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น คิ้วประณีตดูเย้ายวนน่าดึงดูด แต่ตอนนี้กลับมีประกายแสงเย็นวูบไหวในดวงตาจากการตอกกลับของจิ่วโยว


มู่เฉินขมวดคิ้วขณะเฝ้ามองคนกลุ่มนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ที่มาของอีกฝ่าย แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน จิ่วโยวดูเหมือนจะไม่กินเส้นกับผู้หญิงชุดสีเขียวที่ถูกเรียกว่าหลิ่วชิง


“พี่ใหญ่มู่เฉิน พวกเขามาจากเผ่ากระเรียนฟ้า ในอดีตเผ่ากระเรียนฟ้าเคยส่งจอมยุทธ์รุ่นใหม่ไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์เพื่อประลองกัน หลิ่วชิงพ่ายแพ้ให้พี่ใหญ่จิ่วโยว แต่ไม่คิดว่านางจะเป็นคนใจแคบจดจำเรื่องนี้ฝังแน่นในกระดูก” ขณะที่มู่เฉินงงงวย มั่วหลิงก็กระซิบบอก น้ำเสียงของนางไม่ได้มีความพอใจอะไรเกี่ยวกับหลิ่วชิงมากนัก


“เผ่ากระเรียนฟ้า?”


มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพยักหน้า นี่เป็นเผ่าสัตว์อสูรที่ไม่ได้ด้อยกว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ มิหนำซ้ำยังมีประวัติศาสตร์บางอย่าง พวกเขาสืบเชื้อสายเทพอสูรกระเรียนปีกทองคำ เมื่อใดที่สายเลือดตื่นขึ้น พวกเขาก็จะมีศักยภาพที่ไร้ขอบเขต


“ไม่คิดว่าฝีปากของเจ้าจะน่ากลัวกว่าเดิมซะอีก”


ขณะที่มู่เฉินและมั่วหลิงกำลังคุยกัน หลิ่วชิงก็เผยยิ้มเย็นชา จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินแล้วยกคิ้วขึ้น “ก่อนหน้าข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าสร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ ข้าว่าเขาคือชายคนนี้ใช่ไหม?”


นางพิจารณามู่เฉินด้วยความจองหองในแววตาแฝงริ้วคำดูถูกเหยียดหยาม


“ระดับจื้อจุนขั้นหก… เจ้ายังกล้าพาเขามาที่ดินแดนเสินโซ่ด้วย ดูเหมือนว่าเขาสำคัญกับเจ้ามากแต่เจ้าต้องระวังหน่อยนะ หากเขามาตายที่นี่ เจ้าอาจจะต้องลงไปนอนข้างเขาก็ได้นะจิ่วโยว”


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนาง คิ้วก็ขมวดเข้าพร้อมกับแสงเยือกเย็นวูบไหวในดวงตา ทว่าเขาก็เพียงมองหลิ่วชิงแบบไม่แยแส ไม่ได้หัวร้อนจากการถูกเยาะเย้ยถากถาง แต่ความรังเกียจเพิ่มขึ้นในใจสำหรับผู้หญิงคนนี้หากมีโอกาสเขาจะสอนบทเรียนให้นางแน่


หลิ่วชิงเห็นมู่เฉินมีสีหน้าเฉยเมย ริ้วประหลาดใจก็วาบผ่านดวงตาไป ความสงบนิ่งที่มู่เฉินแสดงออกมาไม่เหมือนคนในช่วงวัยเขา


“เจ้าไม่ต้องกังวลแทนข้าหรอก หากเจ้าคิดว่าบทเรียนก่อนหน้ายังไม่พอ ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ตลอดเวลาเลยนะ” จิ่วโยวพูดเสียงเยือกเย็น


“จริงรึ?”


มุมปากหลิ่วชิงโค้งขึ้นขณะที่หันหน้ามองไปกลุ่มคนข้างๆ “พี่ใหญ่จงเถิงน่าจะมาถึงเจดีย์แล้วใช่ไหม?”


“ฮ่าๆ ด้วยความเร็วของพี่ใหญ่จงเถิงจะมีใครในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเทียบได้” จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าคนหนึ่งยิ้ม ขณะที่มองกลุ่มมู่เฉินด้วยท่าทางจะยิ้มก็ไม่เชิง


“จงเถิง?”


เมื่อจิ่วโยวได้ยินชื่อดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะหดดวงตา ร่องรอยความประหวั่นพรั่นพรึงปรากฏขึ้น


พอเห็นปฏิกิริยานาง มู่เฉินก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ เขาส่งเสียงถามไปทางมั่วหลิง “จงเถิงคือใคร?”


มั่วหลิงขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สู้ดี “จงเถิงเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของเผ่ากระเรียนฟ้า ว่ากันว่าเขาได้ปลุกสายเลือดกระเรียนปีกทองคำแล้วทำให้ทรงพลังอย่างมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้กับอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้า แต่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาล่ำลือมากในหมู่คนรุ่นใหม่ของโลกสัตว์อสูร”


ครั้นมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ เขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มิน่าล่ะหลิ่วชิงถึงแสดงท่าทางยโสเช่นนี้ ที่แท้นางมีคนคอยหนุนหลังอยู่นั่นเอง


เมื่อหลิ่วชิงเห็นจิ่วโยวเงียบลง นางก็ยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่หัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนว่าเป้าหมายของพวกเจ้าก็คือเจดีย์ฝึกพลังกายเหมือนกัน ก็ดี…ข้าจะขอพี่ใหญ่จงเถิงดูแลพวกเจ้าเอง”


คำว่า ‘ดูแล’ ถูกเน้นย้ำ ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่เข้าใจถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลัง


“พูดมากซะจริง”


มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นพูดออกมาอย่างไม่แยแส


หลิ่วชิงอึ้งไปก่อนที่ความโกรธจะตีขึ้นจากคำพูดของมู่เฉิน ตอนนี้ใบหน้าของนางเขียวคล้ำ จากนั้นนางก็กัดฟันเขม่นมองมู่เฉินพลางเค้นเสียงเย็น “หวังว่าเจ้าจะยังยิ้มได้เมื่อพบกับพี่ใหญ่จงเถิง!”


หลังจากที่พูดจบนางก็สะบัดหน้าไม่คิดอยู่ต่อ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งข้ามขอบฟ้าเข้าไปในซากเมืองอย่างรวดเร็ว


เมื่อมองไปร่างที่ไกลออกไป มู่เฉินก็หรี่ตาลง


จงเถิง…หวังว่าคนผู้นั้นจะไม่ขัดขวางโอกาสในการเข้าเจดีย์ มิฉะนั้นเขาก็ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครมาจากไหน งานนี้เขาจัดเต็มแน่นอน!


บทที่ 986 ชุมนุม

เมื่อพวกหลิ่วชิงพุ่งนำหน้าเข้าไปในซากเมืองโบราณ


ทั้งสี่คนก็ไม่รอช้าต่างพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกลายเป็นลำแสงสี่สายทะยานตามไปเช่นกัน


เมื่อพวกเขาทั้งสี่เข้ามาถึงในซากเมือง ความรู้สึกไม่มีที่สิ้นสุดก็กวาดผ่านเข้ามา ภาพภูมิทัศน์ทำเอาดวงตาพร่ามัว เมืองโบราณขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าครรลองสายตาของพวกเขา


สิ่งปลูกสร้างในเมืองสูงตระหง่านเสียดเมฆเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน เงานับไม่ถ้วนพาดผ่านขอบฟ้า ขณะที่สวรรค์และโลกมีแต่เสียงคำรามของสัตว์อสูร


เมื่อเสียงคำรามดังก้องในหู ดวงตาของกลุ่มมู่เฉินก็เป็นประกายวูบไหว ภาพไร้ขอบเขตเบื้องหน้าหายวับไปกับตา เมืองกลับมาเป็นซากปรักหักพังเหมือนเดิม


มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขารู้ว่าภาพก่อนหน้าเป็นภาพที่หลงเหลืออยู่ซึ่งไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้นาน ส่งผลให้คนอื่นๆ รับรู้เล็กน้อยเท่านั้น


“น่าเสียดายสำหรับเมืองที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้” มู่เฉินถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเมืองสง่างามนี้ เมื่อเทียบกันเมืองที่อยู่ภายใต้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาก็ไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย


“ยังไงสถานที่แห่งนี้ก็เคยเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองที่สุดในดินแดนเสินโซ่” จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วย บางทีในแง่ของความแข็งแกร่งแม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ยังสู้เมืองต้าฮวางในอดีตไม่ได้ ดังนั้นจึงสามารถบอกถึงพลังน่ากลัวที่เมืองนี้ครอบครอง


“ทว่าแม้พวกเขาจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมแห่งการทำลายล้างได้…” มู่เฉินถอนหายใจแผ่วเบา สำหรับมหาพันภพ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นหายนะแท้จริง


ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน พวกเขาก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว ร่างแสงบินข้ามขอบฟ้าตรงไปยังใจกลางเมือง


พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนรกร้างมาจากทิศทางนั้น เห็นได้ชัดว่ามีเพียงเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณที่ยังหลงเหลือเท่านั้น ที่สามารถเปล่งพลังเช่นนี้ได้


“ไป!”


กลุ่มมู่เฉินดวงตาเปล่งประกาย ความเร็วระเบิดออกก่อนที่จะพุ่งผ่านมิติ เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาถึงได้ค่อยๆ ลดความเร็วลง


วาบ!


ทั้งสี่มาปรากฏตัวบนหลังคาอาคารหินที่พังยับ สายตาแต่ละคู่จับจ้องไปที่พื้นเรียบเบื้องหน้า พื้นดินตรงบริเวณนั้นไม่ได้รับความเสียหายเหมือนในสถานที่อื่นๆ ของเมือง กลับได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดเพราะเจดีย์โบราณกะดำกะด่างที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลาง


เจดีย์นี้มีสีเทาดำสลักลวดลายโบราณบนพื้นผิว ราวกับถูกสร้างขึ้นมาตามธรรมชาติ การตั้งอยู่ในบริเวณนี้แม้ว่าจะไม่ได้น่าเกรงขาม แต่เมื่อสายตามองไป การหายใจของผู้คนก็ต้องชะงักลง ความกดดันที่น่ากลัวส่งผลให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดในร่างกายเหมือนกำลังจะถูกทำลาย


“นี่คือเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณรึ?”


มู่เฉินมองไปที่เจดีย์ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่พวยพุ่ง สายตาค่อยๆ ร้อนระอุ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เข้าไป แต่เพียงเข้าใกล้ก็ทำให้เขารู้สึกถึงเลือดเนื้อกำลังเดือดพล่าน ความรู้สึกนี้เกือบจะทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองและพุ่งเข้าใส่


ทว่าเขาก็ยังข่มใจตัวเองได้อย่างหนักแน่น แม้ว่าเจดีย์กะดำกะด่างที่เบื้องหน้าจะดูเหมือนผ่านกาลเวลาเกินจะนับได้และให้ความรู้สึกแตกสลาย แต่มู่เฉินก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าเจดีย์นี้น่ากลัวเพียงใด ถ้าเขาพุ่งเข้าไปข้างในโดยไม่ยั้งคิด คงจะถูกทำให้กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที


“ไม่ต้องพูดถึงเจ้า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ไม่กล้าที่จะพุ่งเข้าไปในเจดีย์นี้แบบไม่ยั้งคิด” จิ่วโยวดูเหมือนจะมองเห็นความคิดในใจของมู่เฉินได้จึงเอ่ยเตือน


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นหัวใจก็สั่นเทิ้ม แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเจดีย์นี้น่ากลัวเพียงใด แต่เขาก็ไม่คิดว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่กล้าที่จะทะเล่อทะล่าเข้าไป ดูเหมือนว่าเขาประเมินสิ่งก่อสร้างโบราณนี้ต่ำเกินไป


แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คิดไว้เช่นกัน เนื่องจากเจดีย์นี้สร้างขึ้นจากทรัพยากรมหาศาลของขั้วอำนาจชั้นยอด ดังนั้นจะไม่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างไร? มิฉะนั้นเจดีย์คงจะไม่อยู่ยงมาจนถึงทุกวันนี้ขณะที่ดินแดนเสินโซ่แทบไม่เหลือสภาพ


“ดูเหมือนว่าเจดีย์นี้จะดึงดูดผู้คนมามากเลยทีเดียว” สายตาของมั่วเฟิงละจากเจดีย์ ก่อนจะหรี่ตามองไปรอบๆ


ขณะที่มั่วเฟิงกวาดสายตาไปรอบๆ มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงสายตาเฉียบคมกราดเข้ามาห่อหุ้มร่างพวกเขาเอาไว้


มู่เฉินเลิกคิ้วก่อนที่จะมองไปยังทิศทางนั่น มองเห็นคนสี่คนยืนอยู่บนยอดเขาเหี้ยนเตียน


ทั้งสี่คนมีร่างกายกำยำราวกับหอคอยเหล็ก พวกเขาสวมชุดเกราะสีดำ รัศมีร้ายกาจหนาแน่นแผ่ออกมา ม่านตามีริ้วสีแดงเข้มผสมอยู่ มีเขาแรดโค้งอยู่ที่หน้าผาก ราวกับว่าสามารถแทงทะลุอวกาศได้


“นั่นเผ่าแรดอสูร… ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาที่นี่ด้วย คนพวกนี้ฝึกฝนด้านพลังกายและมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เมื่อพวกเขาต่อสู้กับคนอื่นก็ราวกับปีศาจร้ายบ้าคลั่ง ยากมากที่จะจัดการ” จิ่วโยวมองไปพลางพูด


มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าจะมีระยะห่างระหว่างพวกเขา แต่ก็ยังสามารถรู้สึกถึงร่างทรงพลังทั้งสี่ที่อาจทำให้ภูเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ด้วยการออกกระบวนท่า


ในบรรดาสี่คน คนที่เป็นผู้นำน่ากลัวที่สุด


“ผู้นำกลุ่มเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นใหม่ของเผ่าแรดอสูรชื่อว่าหานซัน…” จิ่วโยวกวาดตามองไปที่ร่างหุ้มเกราะสีดำที่อยู่หน้าสุดก็กระซิบบอก “ได้ข่าวว่าเขาก้าวเข้าระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้วบวกกับร่างกายที่ทรงประสิทธิภาพ พลังในการต่อสู้ถือว่ายอดเยี่ยมมาก”


ขณะที่พูดใบหน้าของจิ่วโยวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเล็กน้อย เนื่องจากนางรู้ว่ากระทั่งพละกำลังทั้งหมดของตัวนางก็สามารถต่อสู้เสมอตัวกับหานซันได้เท่านั้น


มู่เฉินหดดวงตาลง หานซันเป็นจอมยุทธ์ที่น่ากลัวอย่างแท้จริง


“ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นเผ่ากระเรียนไฟ… ฝั่งนู้นยังมีเผ่ามังกรวานร… เผ่ากระเรียนกลืนกิน…ทีนี่น่าตื่นเต้นซะแล้ว” มั่วเฟิงกวาดมอง สายตาก็เคร่งเครียดลง


เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อของเผ่าเหล่านั้น คิ้วก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ที่พูดมาล้วนเป็นเผ่าสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ ไม่คิดว่าทั้งหมดจะมารวมตัวกันที่นี่


ดูเหมือนว่าจะเกิดการต่อสู้ดุเดือดเพื่อแข่งขันเข้าสู่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณแน่แล้ว


ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ แววตาก็เปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาครอบงำพุ่งเข้ามาโอบล้อมพวกเขา


มู่เฉิน จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงรู้สึกถึงสิ่งนี้เช่นกัน จึงปรายตามองไปในทิศนั้น บนซากปรักหักพังมีคนห้าคนยืนอยู่ นั่นคือหลิ่วชิงและพวกอีกสามคนที่ฟาดสงครามน้ำลายใส่กันเมื่อครู่


เห็นได้ชัดว่าทั้งห้ามาจากเผ่ากระเรียนฟ้า


หากเป็นเช่นนั้นผู้นำของพวกเขาก็คือจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นใหม่ของเผ่ากระเรียนฟ้าที่หลิ่วชิงพูดถึง…จงเถิงสินะ


เมื่อคิดถึงตรงนี้มู่เฉินก็หันไปมอง คนที่ยืนเบื้องหน้าหลิ่วชิงสวมเสื้อผ้าสีดำเอามือไพล่หลัง เขาไม่ได้มีรูปร่างกำยำตรงกันข้ามกลับดูค่อนข้างบอบบาง แต่ภายใต้การแสดงออกที่ไม่แยแส มีความครอบงำหลั่งไหลท่วมท้นจนปิดไม่มิด ซึ่งทำให้จอมยุทธ์หลายคนที่นี่มองเขาด้วยความกลัวในสายตาไม่มากก็น้อย


มู่เฉินจ้องมองจงเถิงม่านตาก็หดลง จากอีกฝ่ายเขารู้สึกได้ถึงรัศมีอันตราย ชายคนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่อ่อนแอกว่าหานซันเผ่าแรดอสูรเลย


จงเถิงจ้องมองมา น้ำเสียงแผ่วเบาสะท้อนก้อง “หลายปีก่อนตอนที่เผ่ากระเรียนฟ้าและเผ่าวิหคโลกันตร์ประลองกัน ข้ากำลังเข้าสมาธิฝึกฝน ทำให้เผ่าเจ้าแย่งชัยชนะไปได้ แต่ไม่เป็นไรครั้งนี้ถ้ามีโอกาสข้าจะขอลองเป็นการส่วนตัว มาดูสิว่ากลุ่มวิหคโลกันตร์จะมีความสามารถอย่างแท้จริงหรือไม่”


เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดของเขา แววตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือกพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้ารับคำท้าตลอด”


จงเถิงเค้นเสียงเย็นขึ้นจมูกไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป เขาหลับตาลง สายตาจับจ้องที่จิ่วโยวและมั่วเฟิง ส่วนมู่เฉินและมั่วหลิงเป็นม้านอกสายตาอีกครั้งแล้ว


ที่ด้านหลังจงเถิง หลิ่วชิงมองดูกลุ่มมู่เฉินด้วยท่าทางจองหอง นางคงคิดว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ถึงวาระต้องลากลับแล้ว


“ท่าทางจะเกิดศึกดุเดือดที่เจดีย์นี้แน่” จิ่วโยวละสายตา ก่อนที่จะมองไปรอบๆ และพูดช้าๆ


ไม่ต้องพูดถึงจงเถิงแม้แต่อัจฉริยะของกลุ่มสัตว์อสูรอื่นๆ ก็เป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งมาก


มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าจอมยุทธ์จะรวมตัวกันที่นี่ราวกับหมู่เมฆแต่เขาก็ไม่กลัว ถึงเขาจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น แต่ราคาสำหรับการประเมินเขาต่ำเกินไปก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทนได้


อัจฉริยะแล้วไง คนอย่างเขาไม่เคยกลัว


มู่เฉินถอนสายตาออก เขารู้ว่าแม้เหล่าจอมยุทธ์จะมารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้ แต่ทุกคนก็ยังสนใจในเรื่องของตนเองเท่านั้น แต่เมื่อไรที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณเปิดออก ทุกคนที่นี่ก็จะเปิดเผยเขี้ยวเล็บออกมา…


ในเวลานั้นจะต้องเกิดพายุโลหิตแน่นอน


มู่เฉินหลับตาพัก ขณะรออย่างเงียบๆ


เวลาค่อยๆ ผ่านไปภายใต้การรอคอย พริบตาครึ่งวันก็ผ่านไป กลุ่มสัตว์อสูรที่มาถึงก็มากขึ้นจนเต็มพื้นที่ แต่แม้จำนวนผู้คนจะเพิ่มมากขึ้น สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงเงียบสงบ เพียงแต่ว่าทุกคนรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น


เวลาไหลผ่านจนกระทั่งแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากขอบฟ้า แสงนี้ราวกับเพลิงพลุ่งพล่านออกมาแล้วตกลงบนยอดเจดีย์


จังหวะเดียวกันคลื่นหลิงรอบตัวของเหล่าจอมยุทธ์เผ่าต่างๆ ก็ระเบิดออกพลางทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดฉับ ความคมชัดวาบผ่านในม่านตาสีดำ


ในที่สุดเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณก็เปิดแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)