หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 979-982

 บทที่ 979 ใหญ่โตมโหฬาร

ในความมืด


อุกกาบาตบินไปอย่างรวดเร็ว ทว่าภายใต้ความเร็วสูงกลับไม่ก่อให้เกิดเสียงดังใดๆ ทั้งมิติยังคงอยู่ในความเงียบงัน


กลุ่มของมู่เฉินนั่งอยู่บนอุกกาบาต


อุกกาบาตก้อนนี้ที่พวกเขานั่งอยู่นั้น ไม่ใช่ก้อนที่มาในตอนแรก ระหว่างการเดินทางพวกเขาเปลี่ยนพาหนะสามครั้งแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกเสียใจก็คือพวกเขาไม่พบโคลนโลหิตสักชิ้น หลังจากเปลี่ยนอุกกาบาตมาสามก้อน เห็นได้ชัดว่าเป้นอย่างที่มั่วเฟิงบอกไว้นี่เป็นความโชคดีของมั่วหลิงที่สามารถหาชิ้นก่อนหน้าได้


“นับเวลาน่าจะอีกสักครึ่งวันก็จะเข้าใกล้ดินแดนเสินโซ่แล้ว” จิ่วโยวลืมตาขณะที่มองในความมืดแล้วพูด


มู่เฉินพยักหน้าจ้องมองไปในระยะไกลเพื่อหาอุกกาบาตที่จะปรากฏขึ้น


เมื่อจิ่วโยวเห็นก็อดยิ้มไม่ได้ “เมื่อเราเข้าใกล้ดินแดนเสินโซ่จำนวนอุกกาบาตก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้าเชื่อว่าเราจะเก็บเกี่ยวได้ในเวลานั้น”


มู่เฉินอดถูจมูกด้วยความเสียใจไม่ได้ ก่อนจะทำใจให้เย็นลง


อุกกาบาตนำทั้งสี่พุ่งทะลุผ่านช่องว่างมิติอย่างรวดเร็ว ในการเดินทางต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนอุกกาบาตอีก นั่นเพราะอุกกาบาตก้อนนี้จะไปจนสุดทาง…


เวลาผ่านไปในความมืด จนกระทั่งวินาทีหนึ่งทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาเงยหน้าขึ้นมองไปทางซ้ายมือ


ความมืดบริเวณนั้นปรวนแปร จากนั้นเขาก็เห็นอุกกาบาตหลายลูกบินผ่านมาจากระยะไกล


เมื่อมู่เฉินเห็นอุกกาบาตเหล่านั้น คลื่นหลิงก็พุ่งมารวมกันในดวงตา เขามองไปที่อุกกาบาต แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ถอนสายตาด้วยความผิดหวัง


นั่นเป็นเพราะไม่มีแสงโลหิตอยู่ในอุกกาบาตเหล่านั้นเลย เห็นได้ชัดว่าอุกกาบาตกลุ่มนี้ไม่มีโคลนโลหิต ทว่าแม้เขาจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลดความหวังลงสักนิดเลย เนื่องจากการปรากฏของอุกกาบาตบ่งบอกว่าพวกเขาเข้าใกล้ดินแดนเสินโซ่แล้ว ในเวลานั้นจำนวนของอุกกาบาตจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น…


ตามที่มู่เฉินคาดไว้ ในช่วงเวลาต่อมาความมืดเงียบงันก็เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น อุกกาบาตจำนวนมากส่งเสียงหวีดหวิวโดยรอบอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็บินผ่านกลุ่มมู่เฉิน


ณ เวลานี้ทั้งสี่คนไม่รั้งตัวเองอีกต่อไป พวกเขาเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง คลื่นหลิงรวมตัวกันในดวงตาพยายามสัมผัสรัศมีโลหิตบนอุกกาบาตเหล่านั้นอย่างเต็มที่


ภายใต้การตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดมู่เฉินก็ตรวจพบบางสิ่งเป็นครั้งแรก


บนอุกกาบาตสีเทาดำซึ่งมีขนาดประมาณหนึ่งร้อยจั้ง มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงแสงโลหิตที่แผ่ออกมาอย่างบางจาง นั่นคือโคลนโลหิตแน่นอน


ทันใดนั้นมู่เฉินก็ขยับตัวเหวี่ยงกำปั้นออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นแนวแสงพุ่งออกไปซัดอุกกาบาตแตกด้วยหมัดเดียว ขณะที่เศษหินกระจัดกระจายในทุกทิศทาง แสงโลหิตก็บินออกมาเช่นกัน


ฝ่ามือของมู่เฉินงุ้มงอ แรงดูดระเบิดออกมาดึงแสงโลหิตเข้ามาในมือของเขา


มู่เฉินแบมือออก ในแสงสลัวลางก็มองเห็นโคลนโลหิตที่มีขนาดกำปั้นทารก กลิ่นเลือดเข้มข้นกระจายออกมา


นี่เป็นโคลนโลหิตที่มู่เฉินอยากได้มานาน


เมื่อได้รับโคลนโลหิตเป็นครั้งแรก ความสุขก็ผุดขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้บนใบหน้าของมู่เฉิน แต่ยามนี้เขาไม่มีเวลาที่จะกลั่น อุกกาบาตกลุ่มใหญ่กำลังบินเข้ามาโดยรอบ ภายใต้ความเร็วสูงทุกคนได้เปิดประสาทสัมผัสจนถึงขีดสุด เพื่อรับรู้ถึงโคลนโลหิตในอุกกาบาตเหล่านั้น


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


อุกกาบาตบินผ่านอย่างต่อเนื่อง โดยที่บางก้อนก็แตกสลายภายใต้การโจมตีของพวกเขา แม้ว่าอุกกาบาตจำนวนมากจะว่างเปล่าไม่มีโคลนโลหิต แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลเก็บเกี่ยวใดเลย หลังจากห่าอุกกาบาตแตกสลายไปจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็พบโคลนโลหิตแปดชิ้น แต่ละชิ้นมีขนาดไม่เท่ากัน


“ก็ยังดี”


จิ่วโยวค่อนข้างพอใจกับการเก็บเกี่ยวนี้ โชคของพวกเขาดีทีเดียว เพราะตามสถานการณ์ปกติเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่พบแม้แต่โคลนโลหิตสักชิ้น ต่อให้ระเบิดอุกกาบาตนับสิบก้อน


มั่วเฟิงก็พยักหน้า แยกโคลนโลหิตที่รูปร่างไม่สม่ำเสมอแปดชิ้นออกเป็นสี่ส่วน


มู่เฉินแบมือรับโคลนโลหิตสองชิ้นไว้ เขาเคล้นคลึงเป็นเม็ดยาห้าเม็ดก่อนกินลงไป


อาการเดือดพล่านปรากฏขึ้นในร่างกายอีกครั้ง ทันใดนั้นมู่เฉินก็เหมือนจะได้ยินความกระหายที่มาจากร่างกาย ความรู้สึกเดือดปุดราวกับลาวาไหลเข้ามาทำความสะอาดเลือดเนื้อของเขา…


พลังงานทรงพลังที่มีอยู่ในโคลนโลหิตเป็นอาหารบำรุงชั้นดีสำหรับร่างกาย


แสงสีแดงจ้ากระจายทั่วใบหน้าของมู่เฉิน จากนั้นครู่หนึ่งแสงก็ค่อยๆ จางหายไป เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับแสงกะพริบวูบไหวในม่านตาสีดำ เขากำมือช้าๆ ค่อยๆ สัมผัสพลังงานที่มีประสิทธิภาพที่ไหลผ่านแขนขาและเส้นลมปราณของเขา


แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้รับสัมผัสผลลัพธ์น่าอัศจรรย์จากโคลนโลหิต แต่เขาก็ยังอดอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด ท่าทางก็เปลี่ยนไป สายตามองไปที่ความมืดมิดอันไกลโพ้น


ในระยะไกลแสงสลัวรางปรากฏขึ้นในความมืดสะท้อนช่องว่างมิติบนรูม่านตาของมู่เฉิน


“เรากำลังใกล้ถึงดินแดนเสินโซ่แล้ว” จิ่วโยวรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงก็อุทาน


มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยิน กระทั่งคนอย่างเขายังรู้สึกเหมือนถูกกดทับในช่วงของการเดินทางในความเงียบงันนี้


“รอบดินแดนเสินโซ่เป็นวงแหวนอุกกาบาตที่มีก้อนหินจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะมองหาโคลนโลหิต…” มั่วเฟิงเงยหน้าขึ้นมองไปขณะที่พูด


วงแหวนอุกกาบาต?


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่น หัวใจก็สั่นสะท้าน เขาอดเลียริมฝีปากไม่ได้ ขณะที่ความหวังเต็มหัวใจจนถึงจุดที่จะระเบิด…


ฟิ้ว!


ขณะที่หัวใจของมู่เฉินเต็มไปด้วยความคาดหวัง อุกกาบาตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็พุ่งทะลุความว่างเปล่าต่อไปซึ่งกินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนที่มู่เฉินจะรู้ตัวว่าความมืดรอบด้านหายไปอย่างรวดเร็ว ในบริเวณไกลมีแสงเบ่งบาน ซึ่งรอบแสงนั่นมีอุกกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทำให้มู่เฉินเกิดแววตาตกตะลึง


อุกกาบาตกำลังหมุนคว้างรอบดินแดนเสินโซ่ แต่ละก้อนมีขนาดใหญ่กว่าก้อนที่เคยเห็นมาก่อนหน้าเสียอีก


ตู้ม!


อุกกาบาตที่พาพวกเขามาพุ่งเข้าชนวงแหวนอุกกาบาตก่อนที่จะเคลื่อนไปยังดินแดนเสินโซ่


เมื่อเข้ามาแล้ว ดวงตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเพราะในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเขาพบโคลนโลหิตในอุกกาบาตอย่างน้อยห้าก้อน


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ดังนั้นมู่เฉินจึงขยับตัวอย่างรวดเร็ว แสงหลิงพุ่งออกมาราวกับมังกรพิโรธ กระแทกกับก้อนอุกกาบาตเหล่านั้นอย่างรุนแรง ทำให้เศษหินกระจายออกไปทุกทิศทาง


เมื่อเศษหินกระเด็นออก แสงโลหิตนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา


มู่เฉินเร้าแรงดูดในมือ แสงโลหิตเหล่านั้นก็บินมาตามทิศทางของเขา จากนั้นก็ลอยอยู่เหนือฝ่ามือ กระทั่งคนอย่างเขายังอดไม่ได้ที่จะยิ้มจนเผยฟันขาวออกมา


เขาเหมือนจะรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเข้าใกล้ขั้นสองของกายามังกรหงส์แล้ว…


ปัง! ปัง!


เมื่อมู่เฉินเคลื่อนไหว พรรคพวกทั้งสามคนก็เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน พวกเขาใช้โอกาสที่ผ่านวงแหวนอุกกาบาตลงมือโจมตีเต็มกำลัง เมื่ออุกกาบาตแตกออกมากขึ้น พวกเขาก็ได้รับผลการเก็บเกี่ยวค่อนข้างดี


การเก็บเกี่ยวนี้ทำให้กระทั่งมั่วเฟิงที่เย็นเยียบเหมือนก้อนน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลายังมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า


“ตู้ม!”


มู่เฉินซัดหมัดออกไปอีกครั้ง อุกกาบาตแตกกระจายจากคลื่นหลิง ก่อนที่แสงโลหิตจะพุ่งเข้ามาในมือเขาและถูกเก็บไว้โดยไม่แม้แต่จะมอง


หลังจากเก็บเกี่ยวอีกชิ้น ขณะที่มู่เฉินกำลังจะเคลื่อนไหวต่อ ทันใดนั้นท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ด้านขวาของดงอุกกาบาตนับไม่ถ้วน


เมื่อสายตาของเขามองไป ก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งม่านตา


ในขณะเดียวกันพรรคพวกก็รู้สึกถึงบางอย่าง พวกเขาหันไปมอง ทันใดนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนไปโดยควบคุมไม่ได้ ร่องรอยความดีใจยิ่งผุดขึ้นในดวงตา


นั่นเป็นเพราะในครรลองสายตามีอุกกาบาตขนาดมโหฬารฉายอยู่ ซึ่งใหญ่ประมาณหลายหมื่นจั้ง ขนาดนั้นใหญ่เกินกว่าเมื่อเทียบกับก้อนอื่นทั้งหมด


แน่นอนว่าขนาดของอุกกาบาตไม่ได้เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของพวกเขา แต่ยามนี้แสงโลหิตที่หนาแน่นทะลักออกมาจากพื้นผิวอุกกาบาต ทำให้หินทั้งก้อนย้อมด้วยสีแดงเข้ม


กลิ่นเลือดเข้มข้นกระจายออกมาจากอุกกาบาต ต่อให้มองจากระยะไกลพวกเขาก็รู้สึกถึงเลือดเนื้อในร่างกายเดือดพล่านไปเลยทีเดียว


“ใหญ่โตมโหฬาร…รัศมีโลหิตก็หนาแน่น…”


มู่เฉินจ้องมองหินยักษ์ ลมหายใจหนักหน่วงขึ้น เขายืนยันได้เลยว่าหากพวกเขาได้รับโคลนโลหิตในอุกกาบาตก้อนนี้ ผลลัพธ์จะยิ่งกว่าการเก็บเกี่ยวทั้งหมดที่ได้รับมาก่อนแน่นอน!


“โคลนโลหิตในอุกกาบาตนี้คงใกล้จะอยู่ในระดับแก่นแล้ว…” ดวงตาของจิ่วโยวเปล่งประกาย รัศมีโลหิตหนาแน่นเช่นนี้หายากแม้ในดินแดนเสินโซ่


“เตรียมพร้อมเคลื่อนไหว เราต้องคว้ามาให้ได้!” จิ่วโยวพูดเสียงหนักแน่น


ที่ด้านข้างมู่เฉิน มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็พยักหน้า พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้โคลนโลหิตที่มีขนาดน่าตกใจเช่นนี้หลุดมือไปได้หรอก


ทว่าขณะที่พวกเขาเข้าใกล้กับความใหญ่โตมโหฬารนั้นและกำลังจะลงมือ ความผันผวนแปลกประหลาดก็กระเพื่อมในพื้นที่วงแหวนอุกกาบาตแถบนี้


“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าจะได้พบกับเผ่าวิหคโลกันตร์ที่นี่… แต่ถ้าพวกเจ้าฉลาดพอก็อย่าคิดแตะต้องโคลนโลหิตในอุกกาบาตก้อนนี้จะดีกว่า”


เมื่อเสียงพูดเปล่งออกมา เงาร่างหลายร่างที่ถูกปกคลุมด้วยสายฟ้าก็ปรากฏขึ้นบนอุกกาบาตที่อยู่ไม่ไกล สายตาคนกลุ่มนั้นจับจ้องที่ทั้งสี่พร้อมกับสีหน้ายิ้มก็ไม่ใช่บึ้งก็ไม่เชิงปรากฏขึ้น


สายตาของจิ่วโยวและมั่วเฟิงจับจ้องไป จากนั้นแววตาก็เย็นเยียบลงฉับพลัน


“เผ่าอีกาสายฟ้า?”


บทที่ 980 เผ่าอีกาสายฟ้า

“เผ่าอีกาสายฟ้า?”


เมื่อได้ยินเสียงเยือกเย็นของจิ่วโยวและมั่วเฟิง มู่เฉินก็หดดวงตาทันที ก่อนจะมองไปที่ก้อนอุกกาบาตที่อยู่ห่างออกไปมีเงาร่างสี่ร่างยืนอยู่บนนั้น


ทั้งสี่สวมเสื้อคลุมสีดำพร้อมกับประกายสายฟ้าแล่นแปลบปลาบบนพื้นผิวของร่างกาย ทุกคนมีสัญลักษณ์รูปสายฟ้าที่กลางหว่างคิ้ว เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับดวงตาสายฟ้าเลยทีเดียว แต่ละคนอัดแน่นไปด้วยแรงกดดันที่แปลกประหลาด


“พวกเขามาจากเผ่าอีกาสายฟ้ารึ?”


มู่เฉินขมวดคิ้ว เผ่าอีกาสายฟ้าเป็นเผ่าสัตว์อสูรและชื่อเสียงของพวกเขาในมหาพันภพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ ถ้าให้พูดจริงๆ พวกเขาก็เป็นขั้วอำนาจที่มีศักยภาพสูงพร้อมกับรากฐานที่ทรงพลังอย่างยิ่ง


“ใช่ พวกมันน่ารังเกียจที่สุด มีเรื่องบาดหมางกับเผ่าวิหคโลกันตร์เยอะมาก ไม่คิดว่าครั้งนี้จะได้พบกับพวกมันก่อนที่จะเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่อีก” มั่วหลิงที่อยู่ถัดจากมู่เฉินก็พยักหน้า ดวงหน้าอัดแน่นไปด้วยความเกลียดชัง เห็นได้ชัดว่านางไม่มีความรู้สึกที่ดีกับเผ่าอีกาสายฟ้าเลย


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ตั้งตัวระวังขึ้น ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เผ่าอีกาสายฟ้าก็สัมผัสถึงหินยักษ์นี้ ตามการประเมินของเขาเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องนี้จะจบด้วยดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เผ่าวิหคโลกันตร์และเผ่าอีกาสายฟ้าไม่ถูกกันตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว


ขณะที่มู่เฉินเฝ้าระวัง ร่างเงาสีดำร่างหนึ่งก็ก้าวออกมา เขาสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง สายตาคมชัดเหมือนใบมีด แค่การกวาดตาของเขามิติก็ดูเหมือนจะถูกแยกออกจากกัน


คนที่ก้าวออกมาจ้องมองกลุ่มมู่เฉินด้วยสายตามืดมน แต่ความสนใจส่วนใหญ่เน้นไปที่จิ่วโยวและมั่วเฟิง สำหรับมู่เฉินและมั่วหลิงอยู่นอกสายตาไปเลย เห็นได้ชัดว่าเขารับรู้ได้ว่าในบรรดาทั้งสี่คนมีแต่จิ่วโยวและมั่วเฟิงที่เป็นจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด


“เผ่าวิหคโลกันตร์แย่ลงทุกปีจริงๆ กำลังพลแค่นี้ยังกล้ามาที่ดินแดนเสินโซ่อีกหรือ ช่างรนหาที่ตายซะจริง” มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างเยาะเย้ย


สีหน้าของจิ่วโยวเย็นชาพูดด้วยเสียงเย็นเยือก “เจออีกาตั้งแต่ออกจากบ้านก็ซวยเหมือนกันแหละ”


เมื่อคนที่เดินนำออกมาจากเผ่าอีกาสายฟ้าได้ยินคำพูดของจิ่วโยว รังสีสังหารเย็นเยือกก็วาบขึ้นในดวงตา ก่อนที่เขาจะพูดอย่างน่าขนลุกว่า “ถ้าข้าเป็นเจ้า จะไม่เสียน้ำลายพูดเลย ข้าจะนับหนึ่งถึงสิบ พวกเจ้าไสหัวไปจากที่นี่ซะ ไม่งั้นหากความตั้งใจฆ่าระเบิดขึ้นเมื่อไร ข้าจะให้พวกเจ้าถูกฝังอยู่ที่นี่ก่อนที่จะได้เข้าไปในดินแดนเสินโซ่!”


ตู้ม!


ทันทีที่พูดจบคลื่นหลิงสีดำก็พลุ่งพล่านออกมาจากร่างราวกับคลื่นยักษ์ ทุกที่ภายในรัศมีหนึ่งพันจั้งอัดแน่นไปด้วยพลังงาน คลื่นหลิงราวกับคลื่นยักษ์แล่นแปลบปลาบด้วยสายฟ้า เสียงฟ้าร้องฟ้าแลบดังก้องปกคลุมทั่วมิติตามมาด้วยแรงกดขี่ที่ทรงพลัง


จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็กระทืบเท้า คลื่นหลิงทรงพลังสามสายระเบิดออก ยิ่งทำให้ชายชุดดำดูแกร่งกร้าวยิ่งขึ้น


เมื่อมู่เฉินสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังทั้งสี่สาย สายตาก็วูบไหว จากการสัมผัสคลื่นพลังกลุ่มคนเหล่านั้นมีสองคนอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ส่วนอีกสองคนก็ทรงพลังไม่แพ้กัน จากการคาดเดาของมู่เฉินพวกเขาอาจเทียบได้กับเจียงย่าและฉิงเฉวียนเลยทีเดียว


แต่อย่างน้อยการตัดสินจากพื้นผิว การรวมตัวแบบนี้แข็งแกร่งกว่าพวกเขา เนื่องจากฝั่งพวกเขายังมีมั่วหลิงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอีกคนด้วย


เห็นได้ชัดว่าพลังการต่อสู้ของมั่วหลิงที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเทียบกับตัวเขาไม่ได้


ไม่แปลกใจว่าทำไมเผ่าอีกาสายฟ้าถึงกล้าอวดความแข็งแกร่ง พวกเขาต้องพิจารณาแล้วว่าการรวมตัวของเผ่าวิหคโลกันตร์อ่อนแอกว่ามาก แต่บางทีแค่การเพาะบ่มที่เผยอยู่บนพื้นผิว ไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงสักหน่อย…


ดังนั้นเมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดของชายคนนั้น นางก็ไม่กลัว ตรงกันข้ามกลับมีริ้วอาการเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง ก่อนที่จะส่งเสียงเย้ยหยัน “ขี้โม้ซะจริง ข้าว่าคนที่ควรไสหัวไปควรเป็นพวกแกซะมากกว่า!”


“รนหาที่ตาย!”


เมื่อผู้นำกลุ่มอีกาสายฟ้าได้ยินคำพูดของนางใบหน้าก็มืดครึ้มลงหลายส่วน อึดใจเขาก็ไม่คิดจะเล่นสงครามน้ำลายต่อ เขาคำรามเสียงน่าขนลุก “เหลยเฟิง เจ้ากับข้าจัดการพวกมันสองคน”


“เหลยกวง เหลยหยุน เจ้าสองคนไปเก็บโคลนโลหิต ถ้าพวกมันขัดขวางก็เชือดซะ รีบเอามาให้ได้ก่อนที่อุกกาบาตลูกนั้นจะออกจากพื้นที่ส่วนนี้ไป!”


ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพวกเขาหรือกลุ่มของมู่เฉินก็ล้วนใช้อุกกาบาตใต้ฝ่าเท้าเป็นพาหนะมุ่งหน้าไปยังดินแดนเสินโซ่ อุกกาบาตลูกมโหฬารนั้นก็โคจรไปในทิศทางแตกต่างกัน ดังนั้นหากพวกเขาต้องการที่จะได้รับโคลนโลหิต พวกเขาต้องคว้ามาให้ได้ก่อนที่อุกกาบาตลูกนั้นจะออกจากบริเวณนี้ไป


“รับทราบ!”


ที่ด้านหลังชายรูปร่างผอมบางก็พยักหน้า ก่อนที่สายตาจะจดจ้องไปที่จิ่วโยวและมั่วเฟิง


เขาเป็นจอมยุทธ์อีกคนหนึ่งนอกเหนือจากคนนำที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ดังนั้นจึงมีพวกเขาเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถขัดขวางจิ่วโยวและมั่วเฟิงได้


สำหรับภารกิจในการแย่งชิงโคลนโลหิตก็จะเหลือสองคน แต่ก็มากเกินพอเนื่องจากอีกฝ่ายมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสองคนเท่านั้น หากสองคนนั่นกล้าที่จะเคลื่อนไหว พวกเขาก็จะฆ่าทันที


ตู้ม!


จอมยุทธ์ทั้งสี่จากเผ่าอีกาสายฟ้าเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก เมื่อยืนยันแผนการกันเรียบร้อย พวกเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป คนนำกลุ่มและชายที่ถูกเรียกว่าเหลยเฟิงกลายเป็นสายฟ้าสีดำสองสายทะยานออกมา คลื่นหลิงสีดำขนาดร้อยจั้งผสมกับสายฟ้ารุนแรงกวาดมาทางจิ่วโยวและมั่วเฟิง


“มู่เฉิน มั่วหลิง สองคนนั่นเป็นหน้าที่พวกเจ้านะ”


จิ่วโยวและมั่วเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะทะยานออกไปขัดขวางการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พวกเขาจะไม่รู้แผนการของกลุ่มอีกาสายฟ้าได้อย่างไร แต่อีกฝ่ายคงคิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวถ่วงจะทำให้พวกเขาอึ้งตะลึงหงายอย่างมากเลยทีเดียว


เมื่อมู่เฉินและมั่วหลิงได้ยินคำพูดของจิ่วโยวก็พยักหน้า มั่วหลิงไม่มีความกลัวสักริ้วบนดวงหน้า ตรงกันข้ามสีหน้ากลับอัดแน่นด้วยความตื่นเต้น นางมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในดวงตา ก่อนที่จะยิ้มยั่วแหย่มู่เฉิน “พี่ใหญ่มู่เฉิน เรามาแข่งขันกันดูว่าใครจะสามารถจัดการฝ่ายตรงข้ามได้เสร็จก่อนดีไหม?”


เมื่อมู่เฉินที่คิดจะลงมือจัดการคนเดียวได้ยินคำพูดของนางก็อดหรี่ตาลงไม่ได้ เขามองมั่วหลิงที่ไม่เหมือนจะพูดตลก ในใจก็อึ้งไปเล็กน้อยและอยากรู้ขึ้นมา นั่นเป็นเพราะตัดสินจากภายนอกมั่วหลิงมีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าเจียงย่าและฉิงเฉวียนเลย


“งั้นก็ลองดูกัน”


แม้ว่าจะฉงนในใจ แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธกลับยิ้มพยักหน้ารับคำ นั่นเป็นเพราะเขาก็อยากเห็นฝีมือมั่วหลิงที่ได้รับหนึ่งในสี่ตำแหน่งของเผ่าวิหคโลกันตร์ไว้ได้เหนียวแน่น แม้แต่เจียงย่าและฉิงเฉวียนก็ไม่สามารถสั่นคลอนนางได้


“ได้เลย!”


เมื่อมั่วหลิงได้ยินว่ามู่เฉินเห็นด้วย นางก็ยิ้มใจละลายทันที อึดใจก็ทะยานไปที่อุกกาบาตก้อนมหึมาพร้อมกับหัวเราะเสียงใส


ร่างของมู่เฉินขยับทิ้งภาพลวงตาเอาไว้ ก่อนที่จะปรากฏตัวเหนืออุกกาบาตในไม่กี่อึดใจ


“ไสหัวไป โคลนโลหิตไม่ใช่สิ่งที่ขี้ผงอย่างพวกแกจะเอานิ้วมาจุ่มได้!”


เมื่อมู่เฉินมาถึง ร่างแสงร่างหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่ที่เบื้องหน้าเขา ซึ่งเป็นจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าที่ได้สัมผัสกับระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว อีกฝ่ายมองอย่างดูถูกพูดเสียงชวนขนลุก


ทว่ามู่เฉินกลับยิ้มบางตอบ ก่อนที่จะวาดตราประทับในฝ่ามือ ทันใดนั้นมิติที่อยู่ด้านหลังก็แปรปรวน ทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัว


“มนุษย์?”


จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าที่ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินอึ้งไป เมื่อเขาสัมผัสความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไม่เหมือนกับสัตว์อสูรโดยสิ้นเชิง จากนั้นรอยยิ้มถากถางที่แขวนอยู่บนมุมปากก็เพิ่มขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่ามนุษย์มาจับกลุ่มกับเผ่าวิหคโลกันตร์ได้อย่างไร แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ก็อ่อนแอกว่าสัตว์อสูรในขุมพลังเท่าเทียมกัน ซึ่งใครๆ ก็รู้เรื่องนี้…


ดังนั้นเมื่อเห็นว่ามู่เฉินเปิดเผยตัวตนในฐานะมนุษย์ ในสายตาของเขาก็เท่ากับอีกฝ่ายจะตายเร็วขึ้นเท่านั้น


“ไม่ว่าเจ้าจะเข้ามายังไง แต่ถ้าตายที่นี่ก็ไม่มีใครสนใจหรอก”


จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้ากระตุกยิ้มเย็นชา ก่อนที่สายฟ้าสีดำจะกวาดออกมาจากฝ่ามือ ช่างดูราวกับมังกรสายฟ้าโอบล้อมมู่เฉินไว้อย่างป่าเถื่อน


ถึงแม้ว่าจะมีอาการเยาะเย้ยบนใบหน้าจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้า แต่กระบวนท่าการโจมตีก็อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารโดยไม่มีความตั้งใจที่จะยับยั้ง เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้เป็นคนระมัดระวังตัว ไม่คิดทำผิดพลาดในการประเมินคู่ต่อสู้ของตนต่ำไป


ทว่าเผชิญหน้ากับการโจมตีดุเดือดของอีกฝ่าย มู่เฉินก็ยังแสดงออกอย่างเฉยเมย อึดใจฝ่ามือทั้งสองก็วาดตราประทับบน ทะเลพลังที่อยู่ข้างหลังเขาก็เปล่งเสียงคำรามของมังกรและช้าง


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


เมื่อเสียงคำรามของสัตว์อสูรทั้งสองดังขึ้น ลำแสงสิบสองสายก็พุ่งออกจากจุดจื้อจุนไห่ เสียงกระหึ่มพล่านไปรอบๆ ตัวมู่เฉิน ก่อร่างเป็นมังกรและช้างอย่างละหกตัวยืนอยู่บนท้องฟ้า


ตู้ม!


แรงกระทบคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออก ทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น


มือของมู่เฉินประกบเข้าหากันราวกับว่ากำลังกอบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่บนฝ่ามือ มังกรและช้างครางกระหึ่ม จากนั้นก็ก่อตัวเป็นรัศมีแสงในฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมังกรคชสารบินฉวัดเฉวียนรอบวงรัศมี


พร้อมกับพัฒนาการขุมพลัง วิชาเก้ามังกรคชสารก็ค่อยๆ ก้าวหน้าขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ถ้าเป็นในอดีตเขาไม่สามารถบีบอัดมังกรและคชสารได้อย่างสวยงามเช่นนี้


ดังนั้นคลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นจากจานแสงมังกรคชสารจึงทำให้มิติโดยรอบแตกออก…


เผชิญหน้ากับคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงที่ระเบิดจากฝ่ามือของมู่เฉิน จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าก็หดตาลงพร้อมกับริ้วความหวาดผวาผุดขึ้นบนใบหน้า นั่นเป็นเพราะภายใต้การกดขี่ของคลื่นหลิงนี้ กระทั่งเขายังรู้สึกถึงภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่


ไอ้เวรนี้สร้างกระบวนท่าโจมตีน่าตกใจขนาดนี้ได้อย่างไร?!


ทว่าขณะที่หัวใจอีกฝ่ายสั่นเทิ้ม มู่เฉินก็คงสีหน้าเฉยเมย เขาเหวี่ยงฝ่ามือออกมา จานแสงมังกรคชสารพล่านออกมา


“หกมังกรคชสาร…”


โฮก!


เสียงคำรามของสัตว์ทั้งสองกลายเป็นกระแสคลื่นพุ่งผ่านมิติ ก่อนที่จะห่อหุ้มร่างจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าไว้…


ในช่วงเวลานี้เองเกิดเสียงกรีดคมชัดดังกังวานในโสตประสาทของมู่เฉินทำเอาหัวใจสั่นเทาเลยทีเดียว เมื่อกวาดสายตามองไป ม่านตาก็ถึงกับหดเกร็ง


อีกด้านหนึ่งบนแผ่นหลังมั่วหลิงปีกสีแดงสยายออกพร้อมกับเพลิงเกรี้ยวกราด ก่อร่างเป็นนกเพลิงขนาดใหญ่เลือนรางที่ด้านหลัง นกตัวนี้ไม่เหมือนกับวิวัฒนาการของเผ่าวิหคโลกันตร์ มีแรงกดดันคุกคามทรงพลังปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ


แรงกดดันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าวิหคโลกันตร์ครอบครอง นั่นเพราะเป็นแรงกดดันของหงส์ฟ้า!


นี่คือแรงกดดันเฉพาะของเผ่าหงส์ฟ้า!


มั่วหลิงเป็นเผ่าหงส์ฟ้าเรอะ?!


บทที่ 981 ตัวอ่อนโคลนโลหิต

เสียงหงส์ฟ้ากระจ่างใสดังสะท้อน


ขณะที่เปลวไฟสีแดงเข้มพวยพุ่งออกจากร่างมั่วหลิง ราวกับว่ากำลังแผดเผาท้องฟ้า ทำให้อุณหภูมิในบริเวณนี้เพิ่มสูงขึ้นจนถึงจุดที่มิติเกิดการบิดเบี้ยว


“เพลิงหงส์ฟ้า!”


ยามนี้จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าที่กำลังปะทะกับมั่วหลิงก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติในเปลวไฟก็ถึงกับร้องเสียงลั่น จากนั้นเขาไม่ลังเลรีบล่าถอยออกไปทันที ขณะเดียวกันคลื่นหลิงสีดำก็พวยพุ่งออกมาจากร่าง ก่อตัวเป็นโล่ป้องกันการโจมตีของมั่วหลิง


เขาไม่คิดว่ามั่วหลิงที่ดูอ่อนแอที่สุดจะมีพลังน่าอัศจรรย์เช่นนี้ นอกจากนี้จอมยุทธ์เผ่าวิหคโลกันตร์สามารถสร้างเพลิงหงส์ฟ้าได้อย่างไร?


แม้ว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะมีสายเลือดของวิหคอมตะโบราณ แต่วิหคโบราณก็เป็นสายเลือดพิเศษของหงส์ฟ้า ดังนั้นต่อให้ปลุกสายเลือดดั้งเดิมขึ้นมาได้ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะครอบครองเพลิงหงส์ฟ้า


เผ่าหงส์ฟ้าเป็นเผ่าที่ทรงพลังในโลกสัตว์อสูร พวกเขาสูงส่งและทรงพลัง ดังนั้นพวกเขาจึงมองดูเผ่าพันธุ์อื่นๆ ด้วยสายตารังเกียจจนบางทีแม้แต่เผ่ามังกรก็ไม่ได้อยู่ในสายตา ในขณะเดียวกันก็มีสัตว์อสูรกลางหาวมากมายหลายเผ่าที่มีสะเก็ดสายเลือดหงส์ฟ้าอยู่ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเผ่าพันธุ์เหล่านี้จึงได้โดดเด่นท่ามกลางเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร ดังนั้นเผ่าหงส์ฟ้าจึงมีสถานะสูงส่งมากในหมู่พวกเผ่ากลางหาว


ฉ่า! ฉ่า!


เปลวไฟสีแดงเข้มกวาดออกมา พยายามที่จะแผดเผาสายฟ้าสีดำที่ขวางกั้น จากนั้นก็ปกคลุมอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วภายใต้แววตาหวาดกลัวของจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้า


อ้ากกกก!


ร่างที่ลุกเป็นไฟถอยหนีจ้าละหวั่นในสภาพที่น่าสมเพช เปลวไฟลุกโชติช่วงปกคลุมไปทั่วสรรพางค์กาย เขาส่งเสียงกรีดร้องออกมา พักใหญ่กว่าเขาจะหมุนเวียนคลื่นหลิงเพื่อดับไฟนี้ แต่ตอนนี้เขาก็ถูกย่างจนแทบสิ้นชีวิต ควันสีดำลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวทำให้ดูน่าสงสารมาก


ยามนี้ไม่มีความตั้งใจในการต่อสู้แม้แต่น้อยส่งมาจากเขา เขาไม่กล้ากระโจนลงไปแย่งชิงโคลนโลหิตอีกแล้ว ร่างของเขาถอยกลับไปด้วยความหดหู่


มั่วหลิงและจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าต่อสู้กันเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะประสบพ่ายแพ้ราบคาบ แน่นอนว่ามีส่วนจากการที่เขาประมาทเอง เนื่องจากเขาไม่คิดว่ามั่วหลิงที่ดูอ่อนแอที่สุดจะปกปิดความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามไว้เช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ทันโต้ตอบตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนถึงจุดที่เขาแพ้ก่อนที่จะกลับมาสู้ต่ออีกได้


เมื่อมั่วหลิงเอาชนะจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าได้ มู่เฉินซึ่งให้ความสนใจกับการปะทะนี้ก็ถอนสายตากลับมาด้วยความอัศจรรย์ใจ


ที่แท้มั่วหลิงมีทักษะทรงพลังเช่นนี้นี่เอง มิน่าล่ะนางถึงได้ตำแหน่งจากเผ่าวิหคโลกันตร์มา แต่ว่าถ้านางเป็นคนของเผ่าหงส์ฟ้า แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่เผ่าวิหคโลกันตร์ล่ะ?


เผ่าหงส์ฟ้าไม่ได้หัวสูงเหรอ? ทำไมถึงยอมลดตัวมาอยู่ที่เผ่าวิหคโลกันตร์ได้?


มู่เฉินส่ายหัวอย่างงงงวย จานแสงมังกรคชสารในมือปะทะเข้ากับร่างจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าอีกคน


ตู้ม!


ทันทีที่เกิดการปะทะกัน จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าก็มีท่าทางเปลี่ยนไป เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่อธิบายไม่ได้ ในคลื่นพลังงานเหมือนจะเปล่งเสียงคำรามจากมังกรและคชสารอย่างต่อเนื่อง


ภายใต้คลื่นพลังงานกระแทก การป้องกันของจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าก็ถูกบดขยี้อย่างสมบูรณ์ จนถึงจุดที่ก่อนเขาจะสามารถหมุนเวียนคลื่นหลิงได้อีกครั้ง เขาก็เห็นจานแสงมังกรคชสารทะลุผ่าแนวป้องกัน ซัดลงบนหน้าอกตัวเองจังใหญ่


อ็อก! อ็อก!


เลือดสดกระอักออกจากปาก จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าคนนั้นก็ถลากลับไปในสภาพที่น่าสมเพช บาดแผลของเขาลึกมากจนมองเห็นกระดูก ความหวาดกลัวอัดแน่นเต็มใบหน้า


มนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร? ในการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่ เขาสามารถบอกได้เลยไม่ว่าจะเป็นในแง่ของพลังกายหรือความหนาแน่นของคลื่นหลิง มู่เฉินก็ชนะเขาทุกทาง


มนุษย์คนนี้เล่นบทเป็นหมูกินเสือชัดๆ!


ขณะที่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าก็ใช้โอกาสที่ได้รับบาดเจ็บร่นถอยไป เขาไม่กล้าคิดอะไรเกี่ยวกับอุกกาบาตลูกนี้อีกต่อไป เพราะเขารู้ว่าพวกเขาตัดสินผิดพลาดในครั้งนี้แล้ว แม้ว่าการรวมกลุ่มของเผ่าวิหคโลกันตร์จะดูอ่อนแอ แต่ก็เป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น


จอมยุทธ์สองคนที่พยายามแย่งชิงโคลนโลหิตถูกอัดจนเละทันที ส่งผลให้ใบหน้าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสองที่ขัดขวางจิ่วโยวและมั่วเฟิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ณ จุดนี้พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าครั้งนี้ถูกหลอกโดยคู่ต่อสู้แล้ว


“ดี ดี ช่างคิดกลยุทธ์นักนะไอ้พวกวิหคโลกันตร์!” ชายชุดคลุมสีดำกัดฟันแน่นพูด


ทว่าจิ่วโยวและมั่วเฟิงไม่สนใจพวกเขา กลับซัดโจมตีดุเดือดเพิ่มขึ้น ทำให้จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าที่เข้ามาขัดขวาง ไม่สามารถแบ่งความสนไปที่มู่เฉินและมั่วหลิงได้


ขณะที่จิ่วโยวและมั่วเฟิงพุ่งเข้าโรมรันพันตู มู่เฉินและมั่วหลิงก็พลิ้วตัวลงบนอุกกาบาตก้อนยักษ์ ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน มั่วหลิงกะพริบตาให้มู่เฉินวิบวับพลางหัวเราะเสียงใส “พี่ใหญ่มู่เฉินเป็นยังไงบ้าง?”


มู่เฉินยกนิ้วแม่มือยิ้มกว้างส่งให้ “น่าเกรงขามเกินความคาดหมายของข้ามาก”


เมื่อได้ยินคำชมจากมู่เฉิน ใบหน้าของมั่วหลิงปรากฏรอยยิ้มแห่งความสุข เผยให้เห็นนิสัยของหญิงสาว


“เจ้าเป็นคนเผ่าหงส์ฟ้าเหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย


เมื่อได้ยินคำพูดนี่รอยยิ้มบนใบหน้าของมั่วหลิงก็แข็งค้างไปชั่วครู่หนึ่ง ดวงตามืดครึ้มลงเล็กน้อย แต่นางไม่ได้ตอบคำถามของมู่เฉิน


เมื่อมู่เฉินเห็นสีหน้านั่น เขาก็อึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจว่าน่าจะมีบางเรื่องที่ยากจะบอกให้ผู้อื่นรู้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “เรารีบค้นหาโคลนโลหิตกันเถอะ”


มั่วหลิงพยักหน้า


มู่เฉินยืนบนอุกกาบาตยักษ์ลูกนี้ เมื่อเข้าใกล้เขาถึงได้รู้ว่ารัศมีโลหิตที่อยู่ในหินนี้เกินความคาดหมายของเขามาก


รัศมีโลหิตปะปนออกมาจากพื้นผิวอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุกกาบาตทั้งลูกกลายเป็นสีแดง ดูราวกับปีศาจอย่างไรอย่างนั้น


“ช่างเป็นรัศมีโลหิตที่หนาแน่นนัก…”


เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็อดเลียริมฝีปากไม่ได้ อุกกาบาตลูกอื่นๆ ที่มีโคลนโลหิตก่อนหน้าดูด้อยค่าไปเลยเมื่อเทียบกับลูกนี้


“ไม่รู้ว่าโคลนโลหิตชิ้นนี้ทรงพลังขนาดไหน?” ใบหน้าของมั่วหลิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง ตลอดทางพวกเขาไม่เคยเห็นอุกกาบาตที่มีรัศมีโลหิตรุนแรงขนาดนี้ บอกได้เลยว่าโคลนโลหิตในอุกกาบาตลูกนี้มากเกินกว่าที่พวกเขาได้รับเมื่อก่อนหน้าทั้งหมด


“เดี๋ยวรอให้เอาออกมาแล้วก็รู้เอง”


มู่เฉินยิ้มไม่ลังเลอีกต่อไป เขากระแทกฝ่าเท้าลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง พลังงานที่น่ากลัวถาโถมออกไป ทันใดนั้นรอยร้าวก็พล่านไปทั่วราวกับใยแมงมุมที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง อัตราการแพร่กระจายเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็ปกคลุมอุกกาบาตลูกนี้เอาไว้


แม้ว่าฝีเท้าของเขาจะดูอ่อนโยน แต่พลังกายของเขาก็ปลดปล่อยออกมาโดยไม่รั้งไว้สักนิด


รอยแตกขนาดใหญ่แผ่ออกไป อุกกาบาตระเบิด ขณะที่พื้นผิวสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น รัศมีโลหิตก็รุนแรงยิ่งกว่าเดิม


ปัง! ปัง! ปัง!


เมื่อการระเบิดค่อยๆ แพร่กระจายไปยังส่วนลึกของอุกกาบาต สสารสีแดงเลือดขนาดหลายสิบจั้งก็พวยพุ่งออกมา มู่เฉินสามารถมองเห็นลูกกลมโลหิตขนาดเท่าศีรษะคนพยายามทะยานหลบหนี


“คิดหนีเหรอ?”


มู่เฉินยิ้มกับภาพนี้แล้วสะบัดนิ้วไปที่เบื้องหน้า คลื่นหลิงกวาดออกไปห่อหุ้มแสงสีแดงเลือดทันที ก่อนที่จะดึงกลับเข้ามา


กลุ่มแสงเคลื่อนไปที่มู่เฉิน เขายื่นมือออกมาหยิบ พอมองดูมันม่านตาของเขาก็หดตัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้


ริ้วแสงสีแดงก่ำเป็นรูปวงรีที่ดูโปร่งใส แต่กลับมีวัตถุอยู่ในนั้นที่ดูเหมือนตัวอ่อน ซึ่งเป็นตัวอ่อนที่แปลกประหลาดมาก มันไม่ได้อยู่ในรูปของสัตว์อสูรพันธุ์ใดๆ แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีรูปลักษณ์ของสัตว์อสูรหลากหลายพันธุ์ในเวลาเดียวกัน


โคลนโลหิตนี้ไม่ได้อยู่ในรูปแบบเป็นชิ้นเท่านั้น มันดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณด้วย


มั่วหลิงอัศจรรย์ใจไปเลยเมื่อมองสิ่งนี้จากด้านข้าง ดวงตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ ก่อนที่จะพูดด้วยความดีใจ “นี่คือตัวอ่อนโคลนโลหิต เนื่องจากรัศมีโลหิตภายในนี้ทรงพลังมาก จึงทำให้มีจิตวิญญาณ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จิตสำนึกจะเกิดในวัตถุนี้ ไม่งั้นผ่านมานับหมื่นปีมันคงสามารถพัฒนาการเป็นสัตว์อสูรแท้จริงได้เลย”


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนาง เขาก็อึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าใจ นี่คงเป็นเหมือนสมบัติธรรมชาติที่สามารถครอบครองจิตวิญญาณหลังจากที่มีพลังมากจนถึงระดับหนึ่ง


“ตัวอ่อนโคลนโลหิตนี้เทียบได้กับโคลนโลหิตนับร้อยที่เราเก็บเกี่ยวมาก่อนหน้าเลย” มั่วหลิงร้องอุทานอย่างดีใจขณะยิ้มกว้าง “ถ้าสิ่งนี้ถูกนำไปขายในตลาดมหาพันภพ น่าจะมีราคาของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยห้าล้านหยด”


ของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยด


มู่เฉินเบ้ริมฝีปาก กระทั่งเขาก็ยังไม่สามารถนำของเหลวจื้อจุนออกมาได้มากขนาดนั้น ต่อให้เขาเทจนหมดกระเป๋าแล้วก็ตาม


“ดูเหมือนโชคเข้าข้างเราแล้ว” มู่เฉินยิ้มก่อนเก็บตัวอ่อนโคลนโลหิต ตอนนี้อุกกาบาตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเริ่มที่จะแตกสลายหลังจากที่ตัวอ่อนโคลนโลหิตถูกสกัด หินทั้งก้อนกำลังจะแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยในอีกไม่นาน


“ไป”


มู่เฉินบอกมั่วหลิง ทั้งสองทะยานกลับไปที่อุกกาบาตที่อาศัยเดินทางมา


เมื่อเห็นทั้งสองกลับมาแล้ว จิ่วโยวและมั่วเฟิงก็ไม่ได้เปลืองแรงกับจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าต่อ ทั้งสองทะยานกลับมา


ใบหน้าของชายชุดดำเขียวคล้ำเมื่อเห็นภาพนี้ เขาจ้องไปที่มู่เฉินและมั่วหลิงเขม็งก่อนที่จะกัดฟันกรอด “ดี เผ่าวิหคโลกันตร์ชนะยกนี้ แต่เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ หรอก เมื่อไปถึงดินแดนเสินโซ่พวกข้าจะคิดบัญชีนี้กับพวกแกอีกครั้ง!”


“เชิญมาทวงได้ตลอดเวลาเลย” จิ่วโยวยิ้มอย่างเย็นชา


ชายชุดดำกวาดมองทั้งสี่คนอย่างมืดครึ้ม แต่ก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขาหันกลับไปรวมกับพรรคพวกที่รออยู่ก่อน ทั้งสี่เดินทางต่อไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางราวกับหางจุกตูด


มู่เฉินมองทางที่อีกฝ่ายจากไป ก็เข้าใจแล้วว่าความบาดหมางกับเผ่าอีกาสายฟ้าครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ทว่าก็คุ้มค่าสำหรับตัวอ่อนโคลนโลหิตนี้


บทที่ 982 กลั่น

เมื่อจอมยุทธ์ทั้งสี่เผ่าอีกาสายฟ้าจากไป


จิ่วโยวและมั่วเฟิงก็จ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยความคาดหวังในดวงตาที่แทบจะหยดลงมา


เมื่อมู่เฉินเห็นท่าทางดังกล่าวก็ยิ้มพลางหยิบตัวอ่อนโคลนโลหิตออกมา ทันใดนั้นริ้วสีแดงก่ำก็เปล่งประกายออกมา รัศมีโลหิตผันผวน ทำให้แสงสีแดงสะท้อนบนใบหน้าของพวกเขา


“นี่คือ…ตัวอ่อนโคลนโลหิต?!”


สายตาของจิ่วโยวและมั่วเฟิงจ้องเขม็งไปที่ตัวอ่อนโคลนโลหิต แม้คนหลังจะมีนิสัยเฉยเมยและเย็นชา แต่ใบหน้าก็ปกคลุมไปด้วยร่องรอยความตกตะลึง พวกเขาคาดไว้ว่าโคลนโลหิตในอุกกาบาตลูกนั้นไม่น่าจะอ่อนแอ แต่พวกเขาไม่เคยคาดหวังว่าโคลนโลหิตชิ้นนี้จะอยู่ในรูปของตัวอ่อนเลยทีเดียว


“หากพวกเผ่าอีกาสายฟ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกมันอาจจะกระอักเลือดจนลำไส้เปลี่ยนเป็นสีเขียวไปเลย” นานกว่าจิ่วโยวจะฟื้นคืนสติจากอาการตกตะลึงเป็นคนแรก น้ำเสียงของนางไม่สามารถปิดบังความปีติดีใจไว้ได้


มั่วเฟิงก็พยักหน้าเบาๆ ความสุขพล่านในแววตา พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ แต่ก็ได้รับตัวอ่อนโคลนโลหิตมาแล้ว พวกเขาโชคดีจริงๆ


“เราจะแบ่งตัวอ่อนนี้ยังไงน่ะ?” มู่เฉินมองดูพรรคพวก ขณะถามคำถามละเอียดอ่อน ตัวอ่อนโคลนโลหิตมีค่ามหาศาล หากพวกเขาแบ่งกันไม่ดีก็จะทำให้เกิดแรงเสียดสีในใจได้ แม้ว่ามู่เฉินจะเชื่อมั่นในความสัมพันธ์กับจิ่วโยว แต่เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับมั่วเฟิงและมั่วหลิงนัก


มั่วเฟิงและมั่วหลิงแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยว ความหมายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขาชัดเจน พวกเขาปล่อยให้จิ่วโยวตัดสินใจเรื่องนี้


เมื่อจิ่วโยวเห็น นางก็ครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะยิ้ม “วัตถุนี้เป็นเอกลักษณ์มาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะแบ่งกันอย่างเท่าเทียม ข้าว่าเรากลั่นด้วยกันเถอะให้โชคชะตาเป็นคนตัดสินว่าใครจะได้มากกว่ากัน”


ความหมายของจิ่วโยวชัดมาก พวกเขาจะเอาตัวอ่อนโคลนโลหิตวางไว้ตรงกลางแล้วก็ต่างคนต่างกลั่นพร้อมกัน วิธีนี้ถือว่ายุติธรรม ดังนั้นมั่วเฟิงและมั่วหลิงจึงไม่ได้มีความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย


มู่เฉินไม่คัดค้านเรื่องนี้อยู่แล้ว


“ดูจากความเร็วปัจจุบัน เราน่าจะใช้เวลาอีกประมาณครึ่งวันก่อนที่จะออกจากวงแหวนอุกกาบาต งั้นเรารีบมากลั่นกันเถอะ มีอัจฉริยะมากมายจากเผ่าต่างๆ เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ ดังนั้นการแข่งขันก็จะรุนแรงมากเช่นกัน ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเราทุกครั้งจะทำให้เรามีโอกาสสูงขึ้นในการประสบความสำเร็จ” จิ่วโยวกวาดมองวงแหวนอุกกาบาตที่ไม่มีที่สิ้นสุด ก็กล่าวเสียงเคร่งขรึม


คนที่เหลือก็พยักหน้าอีกครั้ง แม้ว่าตัวอ่อนโคลนโลหิตจะมีค่ามาก ถ้าอนาคตสามารถเชิญจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญด้านกลั่นยามากลั่นเป็นเม็ดยา ประสิทธิภาพที่ตามมาจะดีกว่ามาก ทว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีเวลาพอเพียงอย่างชัดเจน เผชิญหน้ากับการแข่งขันที่โหดร้ายในดินแดนเสินโซ่ พวกเขาต้องใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีในเวลานี้เพื่อแปลงให้เป็นพลังของตน


เมื่อทั้งสี่คนตัดสินใจก็ไม่ลังเล พวกเขานั่งขัดสมาธิล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยม ในเวลาเดียวกันมั่วเฟิงก็กำมือระฆังทองคำสั่นสะเทือนด้วยแสงผิดปกติปรากฏขึ้นในมือของเขา


พื้นผิวของระฆังทองมีลวดลายโบราณกระจายทั่ว หากมองดูให้ละเอียดก็จะพบว่าลวดลายบนนั้นราวกับหงส์ฟ้าที่สยายปีก


มั่วเฟิงสะบัดนิ้ว ระฆังทองคำก็พุ่งออกจากมือขยายขึ้นในอากาศ จากนั้นก็ครอบลงบนร่างทั้งสี่ไว้


เมื่อระฆังทองคำครอบลง แสงสีทองก็ค่อยจางลงจนสุดท้ายไม่เห็นรูปทรง ร่างทั้งสี่ก็หายไป เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนไม่มีใครอยู่บนอุกกาบาตลูกนี้เลย


“นี่คือระฆังหงส์ฟ้า อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมประเภทการป้องกันและซ่อนเร้น ด้วยอาวุธนี้เราจะสามารถกลั่นตัวอ่อนโคลนโลหิตได้อย่างปลอดภัย ซ้ำยังสามารถซ่อนรัศมีโลหิตจากการสำรวจของจอมยุทธ์คนอื่นๆ ได้” เมื่อจิ่วโยวเห็นแววประหลาดใจบนใบหน้าของมู่เฉิน นางก็อธิบายให้ฟัง


“ถ้าแบบนี้ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น” มู่เฉินรู้สึกโล่งอก จากนั้นก็อิจฉาบางเบา อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นสุดยอดในหมู่ศาสตราวุธประเภทนี้เลย ความสามารถของอาวุธนี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่อาวุธสรรค์สวรรค์ขั้นสูงสามัญจะเทียบได้


จนถึงตอนนี้ในสิ่งที่เขามีอาจมีเพียงพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าอาวุธชิ้นนี้ ทว่าก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่อาวุธมหสวรรค์ราวกับขวานใหญ่ในมือเด็กสำหรับเขาในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจึงยกอาวุธชิ้นนั้นให้กับมั่นถัวหลัว


สำหรับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเขาไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว สิ่งที่นับเป็นอาวุธได้ก็มีเพียงเสาปีศาจราชันพระสุเมรุ แม้ว่าจะเป็นอาวุธชั่วร้ายยุคโบราณ แต่เมื่อการเพาะบ่มพลังของมู่เฉินเพิ่มขึ้น เขาก็ได้ค้นพบข้อบกพร่องของมัน แม้ว่ารังสีที่น่ากลัวนั้นจะน่าทึ่งแต่ที่เหลือก็ไม่ได้ทรงพลัง จากการคาดเดาของมู่เฉินดูเหมือนว่าเสานี้จะขาดแกนกลางไป มิฉะนั้นมันไม่ได้มีพลังแค่นี้เท่านั้น เรื่องนี้อาจไม่ถูกสังเกตเห็นโดยตำหนักปีศาจมังกรด้วย


มู่เฉินถอนหายใจสงบใจลงก่อนที่จะเปิดฝ่ามือ ตัวอ่อนโคลนโลหิตลอยขึ้นอย่างช้าๆ ไปอยู่ตรงกลางเหนือพวกเขาสี่คน


“เริ่มเถอะ”


จิ่วโยวกวาดตามองทั้งสามก็ปิดดวงตาลง ประสานมือเข้าด้วยกันคลื่นหลิงพวยพุ่งออกมาห่อหุ้มตัวอ่อนโคลนโลหิตไว้ เมื่อคลื่นหลิงเริ่มดูดซับเส้นใยหมอกสีแดงก็ไหลออกมาจากตัวอ่อนโคลนโลหิต จิ่วโยวเปิดริมฝีปากกลืนกินเข้าสู่ร่างกาย


เมื่อจิ่วโยวเปิดวงเป็นคนแรก อีกสามคนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป พวกเขาวาดตราประทับ คลื่นหลิงสามสายก็ห้อมล้อมรอบตัวอ่อนโคลนโลหิตไว้ แต่ละคนไม่รบกวนกันและกัน ต่างสกัดเส้นใยหมอกสีแดงเข้าไปในร่างกายของตน


ฮึ่ม!


เมื่อเส้นใยหมอกสีแดงเข้มหนาแน่นสายแรกเข้าสู่ร่างมู่เฉิน ร่างเขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เส้นใยที่ดูอ่อนแอและบอบบองกลายเป็นหินหนืดร้อนขณะที่ไหลผ่านไปตามแขนขาและเส้นลมปราณของเขา ทันใดนั้นยังได้ยินเสียงฉ่าออกมาจากร่างกายอีกด้วย


ยามนี้ร่างกายเขากำลังกลืนกินคลื่นร้อนระอุอย่างตะกละตะกลามโดยไม่คำนึงถึงอุณหภูมิที่เดือดพล่านเลยสักนิด


กระแสเดือดละลายไปในเลือดเนื้อ ในเส้นทางผ่านทุกอณูในร่างกายก็ได้ปลดปล่อยความมีชีวิตชีวาที่น่าอัศจรรย์ คลื่นพลังงานที่น่ากลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


พลังที่บรรจุอยู่ในตัวอ่อนโคลนโลหิตแข็งแกร่งกว่าโคลนโลหิตที่เขาเคยได้รับก่อนหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย… จากการคาดของมู่เฉินแค่เส้นใยหมอกคำเดียวก็เทียบได้กับเม็ดโคลนโลหิตเม็ดหนึ่งเลยทีเดียว


ฟิ้ว!


อุกกาบาตเดินทางผ่านวงแหวนอุกกาบาตขนาดใหญ่ราวกับลูกแสงเจิดจ้า โดยมีทั้งสี่นั่งนิ่งอยู่ด้านบน


ที่ใจกลางพวกเขาตัวอ่อนโคลนโลหิตหมุนวนช้าๆ พร้อมปลดปล่อยหมอกสีแดงที่ถูกกลืนกินเข้าไปโดยทั้งสี่คน


การกลั่นใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง


ฮา


ลมหายใจสีแดงพ่นออกมาจากปากของมู่เฉิน เขารู้สึกได้ว่าเลือดเนื้อร้อนฉ่าและมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับว่าพลังงานที่รอวันระเบิด


นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจที่สุดคือ ขณะที่รัศมีโลหิตในร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้น ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่สถิตตรงแผ่นอกและแผ่นหลังก็สั่นไหวเล็กน้อย


แรงสั่นสะเทือนนี้ดูราวกับว่าพวกมันกำลังจะตื่นขึ้น!


ปัง!


เมื่อความคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในใจของมู่เฉิน ร่างเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง แสงสีแดงระเบิดออกมาจากภายในทำเอาเสื้อผ้ากลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา


เศษผ้ากระจุยกระจาย เผยให้เห็นลวดลายมังกรขนาดใหญ่สีม่วงทองที่สถิตนิ่งเงียบอยู่บนหน้าอก แต่กลับเปล่งความกดดันที่น่ากลัวออกมา


ในเวลาเดียวกันที่แผ่นหลังลวดลายหงส์ฟ้าที่พับปีกไว้ ก็เริ่มกระพือปีก แรงกดดันที่น่ากลัวคล้ายคลึงกันค่อยๆ แพร่กระจายออกไป


แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวสองสายพลิกผันไปรอบๆ ร่างมู่เฉิน ทำให้มิติสั่นสะเทือนเล็กน้อย


ความปั่นป่วนนี้ทำให้จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงลืมตาตื่นอย่างรวดเร็ว พวกเขาหันไปมองมู่เฉินที่กำลังหลับตา ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างทำเอาพวกเขาเขย่าขวัญไปหมด


“นี่มัน…แรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงและมังกรแท้จริง?!!!” มั่วเฟิงและมั่วหลิงร้องอุทาน ยามนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังก็ไม่สามารถรักษาอาการเฉยเมยไว้ได้ บนใบหน้าถูกปกคลุมด้วยความตกใจ


สองพี่น้องต่างมีสายเลือดหงส์ฟ้าจึงมีความรู้สึกไวต่อแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริง ขณะนี้พวกเขารู้สึกได้ว่าร่างกายเริ่มสั่นสะเทือน ภายใต้แรงกดดันแท้จริงที่แพร่กระจายออกไป


หงส์ฟ้าแท้จริงคือจักรพรรดิแห่งเผ่าหงส์ฟ้า!


แม้ว่าแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงไม่ได้มาจากตัวเขา แต่แรงกดดันนี้ก็ยังน่าตกใจอยู่ดี


“ทำไมเขาถึงมีแรงกดดันจากมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง?” มั่วหลิงอ้าปากตาค้าง โดยทั่วไปแล้วมีเพียงทายาทของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเท่านั้นที่สามารถมีแรงกดดันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะดูมู่เฉินกี่ที เขาก็เป็นมนุษย์ตัวจริงเสียงจริง


แม้ว่าจิ่วโยวจะตะลึงงันไปด้วย แต่ใบหน้าไม่ได้ตกตะลึงตามอีกสองคน เพราะนางรู้เกี่ยวกับวิชากายามังกรหงส์ของมู่เฉินมานานแล้ว สิ่งที่เรียกว่าแรงกดดันมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็เกิดขึ้นจากคัมภีร์หลงเฟิ่งซึ่งเขาฝึกฝนอยู่


หากเขาสามารถฝึกฝนวิชานี้ได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องพูดถึงแรงกดดันของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงให้เหนื่อย เขาอาจจะมีพลังแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้าเลยก็ได้


“ดูเหมือนว่าเขาจะมีความก้าวหน้าในคัมภีร์หลงเฟิ่ง” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินที่กำลังหลับตา ความสุขก็เบิกบานในใจของนาง พวกนางเข้าใกล้ดินแดนเสินโซ่แล้ว ยิ่งมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไร การเก็บเกี่ยวของพวกนางก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น


โฮก!


ขณะที่จิ่วโยวกำลังพึมพำกับตัวเอง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังกึกก้อง ทั้งสามคนออกอาการตกใจเต็มใบหน้า ตัวอ่อนโคลนโลหิตที่เบื้องหน้ากำลังถูกดูดซับด้วยพลังทรงประสิทธิภาพ ทันใดนั้นหมอกสีแดงเข้มสองสายก็พุ่งออกมา เทลงในลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่อยู่ตรงหน้าอกและแผ่นหลัง…


ขณะที่หมอกสีแดงหลั่งไหลอย่างต่อเนื่อง พวกเขาทั้งสามก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าลวดลายมังกรและหงส์ฟ้ากำลังเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)