หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 975-978
บทที่ 975 ตำแหน่งมาถึงมือ
กลุ่มฝุ่นลุกฮือบนลานประลอง
เหล่าผู้ชมเงียบเสียงลงอย่างผิดปกติ เนื่องจากต่างตะลึงกับฉากตรงหน้า แววตาไม่อยากเชื่อพล่านออกมา
พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินที่ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดจะเปิดไพ่ตายที่ซ่อนไว้ในมือจัดการส่งเจียงย่าที่เพิ่งกระโจนเข้าร่วมการประลองหลุดวงโคจรไปเลย
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจเท่านั้น!
หลังจากสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ฟื้นจากความตกใจ พวกเขาก็มองหน้ากัน แววตาแต่ละคนเคร่งเครียดอย่างที่สุด ขณะนี้ถ้าใครยังบอกว่ามู่เฉินเป็นมนุษย์อ่อนแอ พวกเขาก็โง่เกินไปแล้ว
วิธีการที่เขาใช้เผชิญหน้ากับฉิงเฉวียนและเอาชนะเจียงย่าแบบม้วนเดียวจบ ล้วนทำให้พวกเขารู้สึกเย็นสะท้านในใจ
บนแท่นหินเมื่อเหล่าผู้อาวุโสเห็นฉากนี้ก็เงียบกริบลง แม้แต่ผู้อาวุโสที่สวมชุดสีฟ้าอมเขียวซึ่งพูดจากระแทกแดกดันมู่เฉินก็มีสีหน้าเขียวสลับขาว ไม่สามารถหาช่องกัดอีกฝ่ายได้อีก
เฮ้อ!
จิ่วโยวรู้สึกโล่งใจ หัวใจได้รับการปลอบโยน ดูเหมือนมู่เฉินเตรียมการมาอย่างดีก่อนจะมาที่เผ่าวิหคโลกันตร์ อย่างน้อยนางก็ไม่เคยเห็นค่ายกลทรงพลังทั้งสองมาก่อน
ยิ่งกว่านั้นความแข็งแกร่งของมู่เฉินก็เติบโตขึ้นอีก โดยบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นหกแล้ว ซึ่งทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อจ้องมองร่างสูงโปร่งอ่อนเยาว์ นางก็รู้สึกซับซ้อนในใจ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรเด็กหนุ่มที่ระมัดระวังภายใต้แรงกดดันของนางได้มาถึงจุดที่เขาสามารถยืนเคียงข้างกับนางได้แล้ว
บางทีอีกไม่นานชายคนนี้ก็จะก้าวนำนางไป
แค่คิดถึงเรื่องนี้ จิ่วโยวก็แอบเหลือบมองบิดาที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายยังคงไม่เผยอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าขณะมองการประลองนี้ ทว่าเนื่องจากความเข้าใจในตัวบิดา นางจึงรู้สึกได้ว่าสายตาของเทียนฮวงเหมือนจะเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกลงไปบ้าง
เห็นได้ชัดว่าการประลองของมู่เฉินในครั้งนี้ไปได้สวยจนถึงจุดที่แม้แต่คนที่เข้มงวดอย่างเทียนฮวงยังรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่สามารถวิจารณ์อะไรได้
ภายใต้สายตาจ้องมองมามากมาย
มู่เฉินยืนตระหง่านบนร่างเทพสุริยะมองไปที่เจียงย่าที่ถูกซัดกระเด็นออกไปจากลานประลองด้วยแววตาผิดคาด
พลังของค่ายกลดาบบงกชไพลินเกินความคาดหมายนัก นี่เป็นค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ที่สามารถคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกได้มาก แต่สำหรับเจียงย่าที่เป็นจอมยุทธ์แตะขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ความแข็งแกร่งของเขามากยิ่งกว่าขั้นหกระยะปลายสุดทั่วไป ดังนั้นก่อนหน้านี้มู่เฉินจึงไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเจียงย่าได้ด้วยกระบวนท่าเดียวหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ดีเกินกว่าที่เขาคาดไว้อย่างชัดเจน
ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวของค่ายกลระดับนี้ก็คือต้องใช้เวลาในการสร้าง แต่ความสามารถถือว่าทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งยวด กระทั่งค่ายกลระดับตี้ยังได้ถึงขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพลังของค่ายกลระดับเทียนจะน่าตกใจขนาดไหน?
ความสามารถของค่ายกลนั้นอาจเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแท้จริงยังต้องจ่ายราคามหาศาลเมื่อเผชิญกับมัน
ความคิดนี้วาบผ่านในใจ มู่เฉินสงบใจลงอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับไปมองฉิงเฉวียนด้วยสายตานิ่งเรียบ
ตอนนี้โซ่มากกว่าครึ่งที่ผูกติดอยู่กับร่างฉิงเฉวียนขาดกระจุยไปแล้ว วิหคน้ำแข็งอเวจีก็เริ่มหลุดเป็นอิสระเช่นกัน พลังโจมตีของค่ายกลตาข่ายฟ้าไม่แข็งแกร่ง ประโยชน์หลักก็คือการเหนี่ยวรั้ง นอกจากนี้ค่ายกลก็ไม่สามารถปราบฉิงเฉวียนได้นานนัก เนื่องจากอีกฝ่ายก็แตะระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้วและค่ายกลตาข่ายฟ้าก็อยู่ในระดับตี้ขั้นสูงเท่านั้น
ทว่าในการต่อสู้ช่วงเวลาเท่านี้ก็เพียงพอที่จะสังหารคู่ต่อสู้ได้นับร้อยนับพันครั้งแล้ว…
เมื่อสัมผัสถึงสายตาของมู่เฉินที่จ้องมองมา ฉิงเฉวียนก็อดสะดุ้งไม่ได้ แม้ตอนนี้อีกฝ่ายจะมีท่าทางสงบ แต่เขาก็รู้สึกกลัวจากใจ
“ตอนนี้เหลือแค่เราสองคนแล้ว”
มู่เฉินยืนอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะพลางยิ้มให้ฉิงเฉวียนจากนั้นก็กระทืบเท้า ร่างใหญ่โตระเบิดแสงสีทองน่าตื่นตาอีกครั้ง ดวงตะวันสีทองห้าดวงปะทุขึ้น ของเหลวสีทองไหลมารวมที่ฝ่ามือก่อร่างเป็นหอกทองคำขนาดพันจั้ง
หอกถูกยกขึ้นอย่างช้าๆ ชี้ไปทางฉิงเฉวียนพร้อมแรงกดดันน่ากลัวเล็ดลอดออกมา
เมื่อฉิงเฉวียนเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
“โทษนะ”
มู่เฉินยิ้ม ไม่ได้ให้เวลาฉิงเฉวียนในการดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของค่ายกลตาข่ายฟ้า หอกถูกกำแน่น เขาออกกระบวนท่าโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวทันที เพื่อยุติการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว
ตู้ม!
สิ้นเสียงพูดร่างเทพสุริยะก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งออกไป ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็พุ่งเข้ามาใกล้ฉิงเฉวียน จากนั้นหอกทองคำก็แทงลงอย่างไร้ปรานี
ระลอกคลื่นสีทองผันผวนไปมา ทำให้กระทั่งมิติยังแตกร้าวภายใต้หอก รอยลึกถูกทิ้งไว้บนพื้นดินเบื้องล่าง
แสงสีทองขยายตัวอย่างรวดเร็วในดวงตาของฉิงเฉวียน เขากัดฟันกระทืบเท้า วิหคน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าก็ร้องเสียงแหลมคมพลางพ่นน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้มออกมา
อ็อก!
ฉิงเฉวียนพ่นเลือดกลั่นออกจากปากพร้อมกับแสงหลิงวูบไหวหลอมรวมเข้ากับน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นอุณหภูมิในบริเวณนี้ก็ลดลง แสงสีน้ำเงินเข้มระเบิดออกก่อตัวเป็นกระดองเต่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยอักขระน้ำแข็งโบราณที่เบื้องหน้าฉิงเฉวียน
“ปราการเต่าดำ!”
ตู้ม!
เมื่อกระดองเต่าสีน้ำเงินเข้มก่อตัวขึ้นเบื้องหน้า หอกทองคำก็มาถึง พลังทำลายล้างกระทบกันจังใหญ่
ปัง!
คลื่นกระแทกที่อธิบายไม่ได้ระเบิดขึ้น ทำให้พื้นดินด้านล่างแตกออก จุดที่หอกและกระดองเต่าปะทะกันก็ราวกับมีดวงตะวันลุกโชติขึ้น
เมื่อดวงตะวันพวยพุ่ง หอกทองคำในมือของร่างเทพสุริยะก็ปรากฏรอยแตกปกคลุม ในที่สุดก็ทนรับแรงต้านไม่ไหวสลายลง
ทว่าขณะที่หอกทองคำพังทลาย กระดองเต่าน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้มก็พังทลายลงเช่นกัน
ทันทีที่คลื่นพลังสองสายสลายไป ดวงตาของมู่เฉินก็วาบแสง อึดใจร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นลำแสงยิงออกไปพุ่งผ่านคลื่นกระแทกรุนแรง
ช่วงเวลาที่ร่างมู่เฉินพุ่งออกไป พันธนาการรอบตัวฉิงเฉวียนก็แตกเป็นเสี่ยงจากคลื่นกระแทก จากนั้นเขาก็รีบถอยโดยไม่ลังเล เวลาเดียวกันธนูน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาอีกครั้ง
เมื่อคันธนูปรากฏขึ้น เขาก็ดึงสายจนตึงเปรียะ การเคลื่อนไหวของเขาไหลลื่นราวกับสายน้ำซึ่งรวดเร็วมาก มากขนาดที่เกิดภาพมายาขึ้นจากการเคลื่อนไหว ลูกศรโลหิตขนาดใหญ่ควบแน่นบนคันธนู กำจายรังสีที่สามารถตรึงอากาศเอาไว้ได้เลย
เอี๊ยด
นิ้วของฉิงเฉวียนดึงสายสุดแรง เตรียมจะยิงลูกศรออก ทว่าก่อนที่สายธนูจะถูกปล่อยดวงตาของเขาก็หดเกร็งลง เพราะเขาเห็นมิติมีความผันผวนเบื้องหน้า นิ้วเรียวที่เปล่งประกายด้วยแสงหลิงปรากฏตรงหน้าเขาโดยไม่มีสัญญาณใดๆ และสัมผัสเบาๆ ที่กึ่งกลางคิ้วของเขา
นิ้วของเขาซึ่งกำลังจะปล่อยสายธนูก็แข็งค้าง
ร่างมู่เฉินปรากฏตัวต่อหน้าโดยนิ้วมือแตะที่กึ่งกลางคิ้วฉิงเฉวียนพลางมองมาอย่างสงบไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้สนใจลูกศรที่อยู่ห่างจากตัวเพียงไม่กี่ชุ่น
ฉิงเฉวียนตัวแข็งทื่อขณะมองมู่เฉิน ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน ขณะนี้มือของเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะสายตาของมู่เฉินบอกได้ว่าทันทีที่เขาปล่อยลูกศรออกไป นิ้วมือของมู่เฉินก็จะแทงทะลุกะโหลกระเบิดสมองของเขาก่อน
ไม่มีความลังเลแน่นอน
นอกลานประลองผู้คนนับไม่ถ้วนก็ตกใจเมื่อเฝ้าดูฉากนี้ พวกเขาถึงกับกลั้นหายใจ ใครจะคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะอันตรายเช่นนี้
ภายใต้สายตาจ้องมองมานับไม่ถ้วน การเผชิญหน้าบนลานประลองกินเวลาหลายสิบวินาที ก่อนที่ฉิงเฉวียนจะไม่สามารถทนแรงกดดันได้อีกต่อไป เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ลูกศรในมือก็ค่อยๆ จางหายไป
“เจ้าชนะแล้ว”
ฉิงเฉวียนจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะที่พูดออกมาอย่างขมขื่น เขารู้ว่าแม้การเผชิญหน้าครั้งนี้จะดูเหมือนไม่สามารถระบุผู้ชนะได้ ทว่าเขารู้ว่าทันทีที่เขาปล่อยสายธนู มู่เฉินก็จะฆ่าเขา
ถ้านี่เป็นศึกมรณะแท้จริง มู่เฉินฆ่าเขาไปนานแล้ว
พอได้ยินคำพูดของฉิงเฉวียน รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็หดมือกลับมาช้าๆ “ขอบคุณ”
น้ำเสียงของเขาอบอุ่นบวกกับรอยยิ้มพิมพ์ใจบนใบหน้าหล่อเหลาดูไม่เป็นอันตรายเลย แต่ฉิงเฉวียนที่ประสบกับความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินด้วยตัวเอง ก็รู้ซึ้งว่าภายใต้รอยยิ้มที่ไม่เป็นอันตรายนั้นมีวิธีเด็ดขาดและเฉียบคมเพียงใด
มนุษย์ที่สามารถสร้างพันธะโลหิตกับองค์หญิงน้อยจิ่วโยวก็ไม่ไร้ประโยชน์และอ่อนแออย่างที่ทุกคนคิด วิธีการที่เขาครอบครองไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถจินตนาการได้
นอกจากนี้ฉิงเฉวียนยังมีความรู้สึกว่ามู่เฉินไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดในการเผชิญหน้าเมื่อครู่ ซึ่งทำให้เขารู้สึกเย็นเยือกในใจ ถ้ามู่เฉินเทหมดหน้าตักโดยไม่ยั้งแล้ว ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?
ชายคนนี้สุดยอดแท้จริง
ฉิงเฉวียนถอนหายใจ แม้แต่คนที่ภูมิใจในตัวเองแบบเขายังต้องประเมินมู่เฉินเช่นนี้
ขณะที่ฉิงเฉวียนกำลังถอนหายใจในใจ มู่เฉินก็ถอยห่างออกไปสองก้าว ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วนที่จ้องมอง เขาก็เงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับเทียนฮวงซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานด้วยรอยยิ้มบาง
“ท่านประมุขเทียนฮวง ข้าคงต้องขอรับตำแหน่งสุดท้ายไปนะขอรับ”
บทที่ 976 มั่วเฟิง มั่วหลิง
“ท่านประมุขเทียนฮวง ข้าคงต้องขอรับตำแหน่งสุดท้ายไปนะขอรับ”
เสียงของมู่เฉินดังก้องมาจากลานประลองดึงดูดสายตาซับซ้อนนับไม่ถ้วน แต่ในเวลานี้ไม่มีใครออกปากหักล้างคำพูดของเขา นั่นเป็นเพราะไม่เพียงแต่การแสดงฝีมือของมู่เฉินที่ทำให้พวกเขาเชื่อสนิทใจ แม้แต่ผู้อาวุโสที่เคยหาข้อผิดพลาดของมู่เฉินก็ยังใบ้กิน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเอาชนะทั้งฉิงเฉวียนและเจียงย่าด้วยตัวคนเดียวได้จริงๆ
“มู่เฉินมีคุณสมบัติเป็นตัวแทนเผ่าวิหคโลกันตร์ของเราเพื่อเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่…” สมาชิกบางคนในเผ่าก็พยักหน้า จากการแสดงฝีมือของมู่เฉินก่อนหน้า ในเผ่าวิหคโลกันตร์อาจมีเพียงมั่วเฟิงและจิ่วโยวที่ต่อกรกับอีกฝ่ายได้
ที่สำคัญก็คือขุมพลังของมู่เฉินอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น ขณะที่มั่วเฟิงบรรลุขั้นเจ็ดไปแล้ว ส่วนจิ่วโยวก็บรรลุสำเร็จหลังจากรับพลังสืบทอดเมื่อกลับมาที่เผ่า
ดังนั้นถือว่ามู่เฉินมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่มาก ถ้าเขาสามารถก้าวไปอีกในดินแดนเสินโซ่และบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ เขาน่าจะสามารถต่อสู้กับอัจฉริยะทุกคนที่พบในดินแดนเสินโซ่เลยทีเดียว
บนแท่นหินเหล่าผู้อาวุโสมองการพูดคุยของกลุ่มคน พวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตาพร้อมกับเผยรอยยิ้มขมขื่น
เทียนเช่อถอนสายตาออกจากมู่เฉิน ก่อนที่จะมองผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวที่ทุ่มเถียงกันมาตลอด เขาแย้มยิ้ม “ผู้อาวุโสชิง ตอนนี้เจ้าคงไม่ขัดขวางเจ้าหนุ่มนี่อีกแล้วใช่ไหม?”
ใบหน้าของผู้อาวุโสชิงเป็นสีเขียวสลับสีขาว พักใหญ่กว่าจะพูดว่า “พลังของชายหนุ่มคนนี้ถือว่าดีพอใช้ แต่ยังไงเขาก็เป็นมนุษย์ คงไม่เหมาะที่จะเข้าไปในดินแดนเสินโซ่รึเปล่า?”
“แม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์ แต่เขาก็ได้สร้างพันธะโลหิตกับจิ่วโยว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับเขาที่จะเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่” เทียนเช่อกล่าว
ผู้อาวุโสชิงเถียงไม่ออก เขามองรอยยิ้มครึ่งบึ้งครึ่งยิ้มของเทียนเช่อก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ “หวังว่าเขาจะไม่ใช่พวกดาษดื่นเมื่อเข้าไปในดินแดนเสินโซ่นะ”
เทียนเช่อไม่ได้สนใจผู้อาวุโสชิงแต่มองไปที่เทียนฮวงรอการตัดสินใจสุดท้าย
เทียนฮวงฉายสีหน้าสงบเยือกเย็น มือเขาลูบเบาๆ ที่พนักเก้าอี้พูดหลังจากครุ่นคิดครู่สั้นๆ “เผ่าวิหคโลกันตร์ถือสัจจะเสมอ ในเมื่อเจ้าสามารถเอาชนะทั้งเจียงย่าและฉิงเฉวียน ตำแหน่งที่สี่ในการเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่…ก็จะเป็นของเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก แม้ว่าดินแดนเสินโซ่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในใจเขาก็คือการช่วยจิ่วโยวแก้ปัญหาแก่นโลหิตที่ถูกปนเปื้อนเนื่องจากพันธะโลหิตของพวกเขา
แก่นโลหิตของจิ่วโยวมีการปนเปื้อนเนื่องจากเขา ถ้าเขาไม่สามารถช่วยนางกำจัดสิ่งเจือปนออกไปได้ ความรู้สึกผิดคงเกาะกุมใจเขาไปตลอด
“ขอบพระคุณท่านประมุขเทียนฮวง!”
มู่เฉินประสานมือขณะที่ขอบคุณอีกฝ่ายด้วยมารยาทสูงสุด เขารู้ว่าอย่างน้อยในแง่มุมหนึ่งก็ได้สยบเรื่องแก่นโลหิตของจิ่วโยวที่ถูกปนเปื้อนไปได้ ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเนื่องจากเขาไม่ต้องออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์และขณะเดียวกันจิ่วโยวก็ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างการไล่ล่าเขากับเผ่าของนาง
เทียนฮวงมองมู่เฉินจากด้านบน ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มบางจางบนใบหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีการแสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น “ที่ข้าพอใจที่สุดก็คือเจ้ามาที่นี่ เพียงแค่ข้อนี้ข้อเดียวก็เทียบกับการที่เจ้าเอาชนะเจียงย่าและฉิงเฉวียนไม่ได้”
มู่เฉินอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของเทียนฮวง
“หากเจ้าไม่มีความรับผิดชอบในฐานะลูกผู้ชาย รู้เพียงวิธีซุ่มซ่อนตัวอย่างเดียว แม้ว่าจะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม เจ้าก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในอนาคตได้”
สายตาของเทียนฮวงลึกล้ำลงขณะที่สำรวจมู่เฉินด้วยความพึงพอใจ “แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยตัดสินใจแทนจิ่วโยว แต่หากเจ้าไม่มาปรากฏตัวที่นี่ตามสัญญา ข้าก็จะทำลายพันธะโลหิตระหว่างพวกเจ้าอย่างแน่นอน ในเวลานั้นไม่ว่าเจ้าจะซุกหัวที่ไหนเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะไล่ล่าจนสุดขอบนรก”
“แต่…โชคดีที่ข้าไม่ต้องใช้วิธีโหดร้ายนี้ ครั้งนี้จิ่วโยวมองคนไม่ผิด”
พูดถึงตอนท้ายเทียนฮวงก็พยักหน้าเบาๆ การยอมรับที่มีต่อมู่เฉินเผยให้เห็นได้ชัดในน้ำเสียง
เหล่าผู้อาวุโสโดยรอบก็จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาอัศจรรย์ หลังจากได้ยินคำพูดของประมุข พวกเขารู้ดีเกี่ยวกับเกณฑ์ตัดสินของประมุข หลายปีที่ผ่านมามีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่ไม่กี่คนในเผ่าที่เทียนฮวงจะยอมรับ…
เมื่อพิจารณาจากคำพูดของประมุข ดูเหมือนว่าเขาจะพึงพอใจมู่เฉินมาก
จิ่วโยวยืนอยู่ด้านข้างบิดาก็มองไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เนื่องจากนางไม่คิดว่าบิดาจะให้การประเมินแบบนี้กับมู่เฉิน นางอดไม่ได้ที่จะลูบหน้าอกตัวเอง โชคดีที่มู่เฉินไม่ได้หนีไปจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างที่นางบอก มิฉะนั้นความอาฆาตพยาบาทของบิดาที่มีบวกกับนิสัยดื้อรั้น คงยากสำหรับเขาที่จะยอมรับมู่เฉินได้อีกครั้ง สำหรับพันธะโลหิตยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมรับ
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จิ่วโยวก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมู่เฉิน นางพบว่าเขาก็มองมาเช่นกัน เมื่อเขาเห็นความกลัวลอยอ้อยอิ่งอยู่ในดวงตาของนาง เขาก็ยิ้มให้
ข้อเสนอก่อนหน้าของจิ่วโยว เขาไม่ได้ตำหนินางและก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำ เพราะจุดเริ่มต้นของจิ่วโยวคือหวังดี ทุกอย่างพิจารณาเพื่อเขา เพราะไม่มีใครคิดตั้งแต่แรกว่ามู่เฉินจะได้ตำแหน่งสุดท้ายไปครองจริงๆ โดยฉกมาจากเจียงย่าและฉิงเฉวียน
เทียนฮวงเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นการแลกเปลี่ยนสายตาระหว่างมู่เฉินกับจิ่วโยว เขาพูดเสียงเบาว่า “นอกจากนี้ดินแดนเสินโซ่เป็นขุมทรัพย์ของทวีปสัตว์อสูรซึ่งมีโอกาสมากมายเกิดขึ้นภายใน แต่ก็มีอันตรายที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในสมัยโบราณเผ่าปีศาจต่างมิติได้ทำลายดินแดนนี้ ในเวลาเดียวกันก็ทำให้มีรัศมีปีศาจบุกรุกเข้ามา แม้ว่าดินแดนเสินโซ่จะไม่ได้หายไป แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่ามีสิ่งใดบ้างในนั้นที่ได้รับการฟูมฟักโดยรัศมีปีศาจ”
มู่เฉินพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของเทียนฮวง หลังจากที่เดินทางมายังภูมิภาคทางเหนือ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสัมผัสกับรัศมีปีศาจของเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าพลังงานที่ไม่ได้อยู่ในมหาพันภพรับมือยากเพียงใด
“แน่นอนว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดของดินแดนเสินโซ่มาจากเหล่าอัจฉริยะของเผ่าสัตว์อสูรและเทพอสูรอื่นๆ เพื่อโอกาสเหล่านั้น หลายพันปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามีกองกระดูกมากมายมหาศาลเพียงใดจากเหล่าอัจฉริยะในดินแดนเสินโซ่”
มู่เฉินพยักหน้าอีกครั้ง เขามีประสบการณ์แล้วว่าความแข็งแกร่งของอัจฉริยะเผ่าสัตว์อสูรและเทพอสูรมีรากฐานที่ทรงพลังเพียงใด ดูจากเจียงย่าและฉิงเฉวียนก็ทรงพลังยิ่งกว่าโยวหมิงหรือฟังยี่เสียอีก มิหนำซ้ำทั้งสองคนก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นจึงสามารถจินตนาการได้ว่าอัจฉริยะจากเผ่าในระดับเดียวกับเผ่าวิหคโลกันตร์จะทรงพลังแค่ไหน
หากเขาต้องการช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะ ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่โหดร้ายนี้ได้… แต่ไม่ว่าจะยากแค่ไหนเขาก็ต้องทำให้ดีที่สุด จิ่วโยวช่วยเหลือเขามามากและตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะตอบแทนนางแล้ว
“ในเผ่ายังมีจอมยุทธ์อีกสามคนนอกเหนือจากเจ้าที่จะเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่” เทียนฮวงเหลือบมองจิ่วโยวที่อยู่เคียงข้าง “และจิ่วโยวเป็นหนึ่งในนั้น”
“สำหรับอีกสอง เจ้าก็ควรรู้จักกันไว้”
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว มู่เฉินก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบางเบาในใจ เขารู้ว่าตำแหน่งนี้มีค่าสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์เพียงใด ดังนั้นเขาจึงอยากเห็นว่าอัจฉริยะอีกสองคนที่ได้รับตำแหน่งเป็นเช่นไร
ฟิ้ว!
เมื่อเทียนฮวงพูดจบ ร่างแสงสองร่างก็ทะยานข้ามขอบฟ้า คนสองคนปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วในจัตุรัส พวกเขาโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดต่อเทียนฮวง
มู่เฉินมองไปด้วยความอยากรู้
นี่เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายหนุ่มมีรูปร่างเพรียวบางและสูงโปร่ง เขามีใบหน้าหล่อเหลา แต่สีหน้าเย็นชา ไม่มีการตอบสนองใดๆ ต่อการตรวจสอบของมู่เฉิน ท่าทางไม่แยแสเหมือนหมาป่าเดี่ยวดายที่ทำให้คนอื่นอยากออกห่างไปสักพันลี้
ทว่าถึงจะมีสีหน้าเย็นชา แต่มู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังจากเขา แรงกดดันที่ทำเอาดวงตาอดไม่ได้ที่จะหดเกร็ง
พลังของชายคนนี้เทียบกับผู้บัญชาการซิวหลัวเลยทีเดียว!
เห็นได้ชัดว่าชายที่เย็นชาคนนี้บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว!
ที่ยืนอยู่เคียงข้างเป็นหญิงสาวสวมชุดสีม่วงตัวเล็ก นางมีรูปลักษณ์งดงาม ผมรวบทรงหางม้าและกระจายรัศมีความมีชีวิตชีวาและความเยาว์วัย
เมื่อสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของมู่เฉิน นางก็หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ตรวจสอบมู่เฉินด้วยสายตาเป็นมิตร
“ข้าชื่อมั่วหลิง นี่พี่ชายข้ามั่วเฟิง เมื่อครู่เราพี่น้องได้เห็นการต่อสู้ด้วย เจ้าทรงพลังจริงๆ” มั่วหลิงโบกกำปั้นเบาๆ ต่อหน้ามู่เฉิน เผยเขี้ยวสีขาวมุกขณะที่หัวเราะสดชื่น
“ขอบใจ”
มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่ในใจค่อนข้างประหลาดใจ มั่วเฟิงทรงพลังจนน่าตกใจ เขาน่าจะเป็นอัจฉริยะคนเดียวที่เทียบได้กับจิ่วโยวในเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่มั่วหลิงอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น นางอ่อนแอกว่าเจียงย่าและฉิงเฉวียนเสียอีก ทำไมถึงคว้าตำแหน่งหนึ่งในสี่คนไปได้?
ขณะที่มู่เฉินงุนงงเล็กน้อยในใจ มั่วเฟิงก็กวาดสายตามามองมาที่มู่เฉิน “ในเมื่อเจ้าได้รับตำแหน่งมาแล้ว เราก็เป็นผู้ร่วมเดินทางไปยังดินแดนเสินโซ่ด้วยกัน หวังว่าเราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเวลานั้น”
แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่เป็นมิตร แต่ความเย็นชาบนใบหน้ายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่ไม่กลมกลืนทำเอาคนฟังอึดอัดใจ ทว่ามู่เฉินก็รู้สึกได้ว่ามั่วเฟิงไม่ได้มีอะไรไม่พอใจ นี่คงเป็นลักษณะนิสัยส่วนตัวละมั้ง…
“พี่ชายข้าก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าถือสาเลยนะ” มั่วหลิงกลัวว่ามู่เฉินจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบายให้ฟัง
“ไม่เป็นไรหรอก”
มู่เฉินยิ้มแสดงถึงความเข้าใจ ในการพบกันครั้งแรกเขาค่อนข้างรู้สึกดีกับสองพี่น้อง อย่างน้อยพวกเขาก็เข้ากันได้ง่ายกว่าเจียงย่าและฉิงเฉวียน
บนแท่นหินเมื่อเทียนฮวงเห็นทั้งหมดทำความรู้จักกัน เขาก็พยักหน้าแล้วโบกมือก่อนน้ำเสียงซื่อตรงจะดังก้องไปทั่ว
“มู่เฉิน เจ้าพักอยู่ที่นี่ อีกสิบวันต่อจากนี้ ประตูมิติจะเปิดออก ในเวลานั้นเจ้าทั้งสี่จะเป็นตัวแทนของเผ่าวิหคโลกันตร์มุ่งหน้าสู่ดินแดนเสินโซ่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของประมุข มู่เฉิน มั่วเฟิง มั่วหลิงและจิ่วโยวก็ประสานมือพร้อมเพรียง
“รับทราบ ท่านประมุข!”
บทที่ 977 เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่
เผ่าวิหคโลกันตร์
เมื่อมู่เฉินเอาชนะทั้งเจียงย่าและฉิงเฉวียนได้ ตำแหน่งสุดท้ายก็ตกอยู่ในมือเขาอย่างสมบูรณ์ วันที่เหลือเขาก็พักอยู่ที่นี่เพื่อรอประตูมิติดินแดนเสินโซ่เปิดออก
ช่วงที่อยู่ในเผ่า มู่เฉินได้รับการดูแลอย่างดีจากจิ่วโยว หลังจากหาที่พักได้เขาก็ดึงตัวเองจากโลกภายนอกไม่ได้ไปไหน มุ่งเน้นการฝึกฝนเพื่อปรับสภาพ เพราะเขารู้ชัดเจนว่าแม้จะแสดงความสามารถเป็นที่ประจักษ์ในการประลองกับเจียงย่าและฉิงเฉวียน แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมรับคนนอกอย่างมู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ได้ใส่ใจกับการป้อยอมากนัก เขาอยู่ในที่เรือนรับรองจดจ่ออยู่กับการฝึกฝน เพื่อจะได้ช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะในดินแดนเสินโซ่มา เนื่องจากตัวเขาไม่ได้มาเป็นทูตสันถวไมตรีกับเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่มาเพื่อช่วยจิ่วโยวเท่านั้น
ดังนั้นในช่วงหลายวันที่เขาอยู่ในเผ่า เขาก็ไม่ได้ออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ มีแต่จิ่วโยวที่มักเข้ามาบอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนเสินโซ่ให้ฟัง
เวลาหมุนไปรวดเร็ว โดยไม่รู้ตัวสิบวันก็ผ่านไปแล้ว
เมื่อแสงรุ่งอรุณแรกของวันที่สิบไล้ลงบนภูเขาเก้าโลกันตร์อันยิ่งใหญ่
มู่เฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้นในห้องพัก ม่านตาสีดำขลับสาดประกายแรงกล้า
สายตามู่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้ทั่วทั้งภูเขาเก้าโลกันตร์ปะทุขึ้น เสียงลมดังขึ้นไม่หยุด ชัดว่าการเปิดออกดินแดนเสินโซ่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์
มู่เฉินมองที่นอกหน้าต่างท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวออกไปที่สวน ไม่ไกลจากกันเรือนร่างงดงามก็ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหยุดตรงสวนหน้าเรือนพักรับรอง
“ไปกันเถอะ ดินแดนเสินโซ่กำลังจะปรากฏขึ้นแล้ว” จิ่วโยวพลิ้วตัวลงบนพื้น ก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่น่าหลงใหลยิ่งเพิ่มความสะคราญโฉมให้กับนางนัก หลังจากที่แก้ปมปัญหาเรื่องพันธะโลหิตของพวกเขาได้ จิ่วโยวก็ดูผ่อนคลายลงมากขึ้น นางไม่ต้องกังวลทุกขณะจิตเหมือนเมื่อก่อนแล้ว…
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เหินตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งตัวไปยังยอดเขาเก้าโลกันตร์ภายใต้การนำของจิ่วโยว
ระหว่างทางก็มีผู้คนนับไม่ถ้วนเช่นกัน สมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ต่างก็กำลังมุ่งหน้าขึ้นไปยังยอดเขาสูง แม้ว่าจำนวนจอมยุทธ์ต่อเผ่าที่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่จะมีน้อยมาก แต่ทุกคนก็ล้วนมีความปรารถนาต่อดินแดนโบราณแห่งนี้
ทั้งสองเดินทางอย่างรวดเร็ว สิบนาทีต่อมาก็เข้าไปในบริเวณยอดเขาก่อนที่จะพลิ้วตัวลงมา
ยามนี้ยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยฝูงชนมหาศาล โดยมีเทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโสยืนอยู่ตรงศูนย์กลางของจัตุรัส มั่นถัวหลัวก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับมู่เฉินแล้ว เผ่าวิหคโลกันตร์เต็มไปด้วยมารยาในการปฏิบัติตัวกับมั่นถัวหลัว เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยพลังของนางไม่ต้องพูดถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ นางสามารถเป็นแขกผู้ทรงเกียรติแม้กระทั่งในขั้วอำนาจทรงพลังของมหาพันภพได้เลยทีเดียว
ที่เบื้องหน้าเทียนฮวง มั่วเฟิงกับมั่วหลิงก็มาถึงแล้ว
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินและจิ่วโยวก็พลิ้วตัวลงข้างมั่วเฟิง ซึ่งชายคนนี้ก็ยังคงมีสีหน้าเย็นชา ท่าทางราวกับว่าทุกสรรพสิ่งคือความว่างเปล่า ส่วนมั่วหลิงที่อยู่ด้านข้างกลับคลี่รอยยิ้มที่อ่อนโยนและสดใสให้กับมู่เฉิน
เมื่อเทียนฮวงเห็นทั้งสี่มาพร้อมหน้ากันแล้ว เขาก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะเงยหน้าจ้องมองไปที่ท้องฟ้า พูดเสียงเบาว่า “ดินแดนเสินโซ่กำลังจะปรากฏในไม่ช้า ข้าจะแหวกมิติพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโส พวกเจ้าก็ใช้โอกาสนี้เข้าไปซะ”
เมื่อทั้งสี่ได้ยินก็พยักหน้ารับทราบ
เทียนฮวงหันไปมองมู่เฉินก่อนที่จะพูดว่า “ดินแดนเสินโซ่อยู่ในมิติเวิ้งว้างที่มีคลื่นผันผวนมิติวุ่นวายซับซ้อน หากถูกกวาดเข้าไปจะต้องตายแน่นอน เจ้าไม่เคยเข้าไปในดินแดนนี้ ดังนั้นจึงมีความเข้าใจน้อยมาก หลังจากที่เข้าไปต้องอยู่ใกล้กับจิ่วโยวไว้”
“รับทราบ” มู่เฉินพยักหน้า เขาผ่านสถานการณ์อันตรายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามากมาย เขาเข้าใจถึงภัยอันตรายที่มีอยู่ในดินแดนเสินโซ่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่โง่ที่จะประมาทหรอก
เทียนฮวงไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ารอเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงมือ
ในเวลานี้มั่นถัวหลัวก็เดินไปหามู่เฉินพลางยิ้มให้ “หลังจากที่เจ้าเข้าไปในดินแดนเสินโซ่แล้ว ข้าจะกลับไปที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมื่อเจ้าออกมาเผ่าวิหคโลกันตร์จะส่งเจ้ากลับไปยังภูมิภาคทางเหนือเอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “ขณะที่เจ้าทำภารกิจนี้ ข้าก็จะลองใช้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจหาที่ตั้งของวังสวรรค์บรรพกาลเพื่อจะได้รับข้อมูลที่แม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อเจ้ากลับมา”
นางรู้ว่าเหตุผลที่มู่เฉินมาที่ภูมิภาคทางเหนือก็เพื่อหาวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะที่ซ่อนอยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล ในเมื่อนางได้รับความช่วยเหลือจากมู่เฉินมากมายก็เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะต้องช่วยเหลือเขาเช่นกัน
“ขอบใจนะ”
ตามคาดเมื่อได้ยินคำพูดของนางแม้แต่มู่เฉินที่มีบุคลิกสุขุมก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ร่างมหาเทพนิรันดร์มีความสำคัญมากสำหรับเขา ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องได้รับวิธีวิวัฒนาการจากวังสวรรค์บรรพกาลมาให้จงได้
“ได้รับค่าตอบแทนก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีอยู่แล้ว” มั่นถัวหลัวแย้มยิ้มก่อนที่จะฉายท่าทางจริงจัง “แต่ข้าต้องเตือนก่อนว่าถ้าวังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้นจริง ทวีปเทียนหลัวจะต้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมดแน่ ในเวลานั้นไม่รู้ว่าจะดึงดูดขั้วอำนาจอื่นๆ มาเท่าไร การแข่งขันที่เกิดก็เป็นอะไรที่เกินจินตนาการของเจ้า”
“นอกจากนี้เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่มีเป้าหมายรับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ…”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ เขาก็หดดวงตาพลางจ้องมองมั่นถัวหลัวที่มีท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วนและนึกถึงข้อมูลที่นางเคยบอกเขาไว้ในอดีต… ในโลกนี้เขาไม่ใช่คนเดียวที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ
มีคนโชคดีอื่นๆ ที่ได้รับวิธีฝึกฝนร่างเทพสุริยะด้วยเช่นกัน พวกเขาจะต้องเป็นจอมยุทธ์ที่น่าทึ่งอย่างแน่นอน ในเวลาเดียวกันก็จะเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับมู่เฉินในการรับร่างมหาเทพนิรันดร์
เพราะไม่ว่าจะมีจอมยุทธ์กี่คนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ แต่จะมีเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป
ความโหดร้ายของการแข่งขันนี้เกินจินตนาการของมู่เฉินอย่างแน่นอน นี่คือการอยู่รอดของผู้ที่เหนือกว่า ผู้ที่อ่อนแอจะกลายเป็นอาหารสำหรับผู้ที่แข็งแกร่ง… การได้รับร่างเทพสุริยะเป็นโอกาสยิ่งใหญ่สำหรับมู่เฉิน ขณะเดียวกันก็เป็นอันตรายใหญ่หลวงด้วย
“ด้วยพลังในปัจจุบันของเจ้าสามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในภูมิภาคทางเหนือ แต่นี่ยังไม่เพียงพอ” มั่นถัวหลัวกล่าวอย่างจริงจัง
มู่เฉินพยักหน้าภูมิภาคทางเหนือเป็นเพียงดินแดนส่วนหนึ่งของทวีปเทียนหลัว ไม่ต้องพูดถึงที่อื่นเลยแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าวิหคโลกันตร์อย่างเดียว ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่านี่ยังไม่เพียงพอสำหรับตนเองที่จะลงชิงชัยเพื่อคว้าโอกาสในวังสวรรค์บรรพกาลด้วยพลังที่มี
“เหตุผลที่ข้าให้เจ้าไปยังดินแดนเสินโซ่ในครั้งนี้ก็เพื่อให้เจ้าคว้าโอกาสมา ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องฝึกกายามังกรหงส์ไปถึงขั้นสองให้ได้” มั่นถัวหลัวเอ่ยขึ้น
“ข้ารู้”
มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวที่มีท่าทางเคร่งเครียดก็พยักหน้าช้าๆ หากเขาสามารถบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ในดินแดนเสินโซ่และไปถึงขั้นสองของวิชากายามังกรหงส์ เขาก็ไม่ต้องกลัวแม้ว่าเขาจะเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ด้วยขุมพลังนี้ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญของทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว
เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวแค่อยากเตือนให้เขาอย่าลดระวัง แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบคู่ต่อสู้ที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ แต่เขาก็สามารถจินตนาการได้ว่าพวกเขาจะต้องเป็นอัจฉริยะแท้จริง มิฉะนั้นพวกเขาไม่สามารถเรียนรู้ร่างเทห์สวรรค์นี้ได้ถึงระดับนี้หรอก
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นท่าทางการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หันหลังกลับออกไป
มู่เฉินมองภาพเงาของมั่นถัวหลัว ท่าทางก็เคร่งเครียดลง ตอนแรกเขาคิดว่าตราบใดที่สามารถหาวังสวรรค์บรรพกาลเจอ ก็จะสามารถได้รับวิธีวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะ แต่มั่นถัวหลัวปลุกเขาให้ตื่น ถ้าเขาไม่มีพลังมากพอ แม้ว่าเขาจะค้นพบวิธีการดังกล่าวก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นแทน
“ดูเหมือนครั้งนี้ข้าจะต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากที่สุดในดินแดนเสินโซ่ซะแล้ว” มู่เฉินกำมืออย่างช้าๆ แววตาคมปลาบขึ้น แม้ว่าแบบนี้จะทำให้การแข่งขันที่ต้องเผชิญโหดร้ายกว่าเดิม แต่เขาก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะ
ฮึ่ม!
ขณะที่มู่เฉินตั้งใจแน่วแน่ในหัวใจ ทันใดนั้นพายุก็ก่อตัวเป็นรูปร่างในฟ้าดิน เขาเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะเห็นความผันผวนบนท้องฟ้า วงคลื่นกระจายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อระลอกคลื่นปรากฏ ทิวทัศน์โบราณกว้างใหญ่ก็วูบไหวไปด้วยรัศมีที่อ้างว้างในอากาศ
“ตอนนี้ล่ะ!”
เมื่อเทียนฮวงที่รอคอยมานานเห็นอย่างนี้ก็ตะโกนบอกทันที ริ้วแสงมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากศีรษะของเขา เห็นวิหคสีแดงขนาดใหญ่เลือนรางในริ้วแสง เปลวเพลิงเชี่ยวกรากที่สามารถเผาผลาญสวรรค์และโลกกวาดออกมา
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในช่วงเวลานั้นที่เทียนฮวงออกกระบวนท่า เหล่าผู้อาวุโสก็ออกกระบวนท่าตามทันที ทันใดนั้นแสงก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กระแทกเข้ากับมิติส่วนหนึ่ง
พร้อมกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจำนวนมากเคลื่อนไหว มิติก็ถูกแหวกออกอย่างช้าๆ สามารถมองเห็นความมืดมิดภายใน รัศมีรกร้างว่างเปล่าโบราณกวาดออกมา
เมื่อรัศมีกระจายออกก็เหมือนจะได้ยินเสียงสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนดังสะท้อนมาจากสมัยโบราณ
“ไป!”
เส้นเลือดบนแขนของเทียนฮวงเต้นยุบยับ ทันใดนั้นเขาก็กวาดสายตามองทั้งสี่แล้วตะโกนบอก
มั่วเฟิงจับมือมั่วหลิงแน่นพุ่งเข้าไป ขณะที่จิ่วโยวก็คว้าแขนมู่เฉิน กลายเป็นลำแสงทะยานสูงไปบนท้องฟ้า ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในมิติเหลื่อมซ้อนโดยไม่ลังเล
ปัง!
จังหวะที่ทั้งสี่เข้าไปในรอยแตกของมิติ คลื่นผันผวนมิติก็พุ่งออกจากรอยแตกร้าว ซึ่งทำให้ริ้วแสงที่ก่อตัวจากจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนพังทลายลง
“ช่างเป็นคลื่นผันผวนมิติที่น่ากลัวมาก”
เทียนฮวงแหละเหล่าผู้อาวุโสหยุดกระบวนท่า พกวเขามองมิติที่หายไปอย่างรวดเร็วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ขนาดพวกเขาลงมือพร้อมกันหลายคน ยังทำได้เพียงฉีกมิติไปเวลาสั้นๆ เท่านั้น
พวกเทียนฮวงเงยหน้าขึ้นมองทิศทางที่ทั้งสี่หายไปก็ถอนหายใจ ในสถานที่ที่มีการแข่งขันหฤโหด ไม่รู้ว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะได้รับโอกาสบ้างหรือไม่ เพราะในอดีตพวกเขามักกลับมามือเปล่าหรือพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช
“ต่อไปได้แต่รอและหวังว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
บทที่ 978 โคลนโลหิต
นี่เป็นมิติที่มืดมัว
ความมืดนี้ดูราวกับสามารถกลืนกินได้กระทั่งอากาศ ทำให้ผู้คนรู้สึกถูกกดดันหนักหน่วง…
ฟิ้ว!
ทว่าในความมืดที่ไม่รู้ว่าคงอยู่ไปนานแค่ไหนก็ถูกทำลายลงในเวลาต่อมา ระลอกคลื่นแปรปรวนในความว่างเปล่าขณะที่รอยแตกเล็กๆ ปรากฏขึ้นคลุมเครือพร้อมกับลำแสงกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากความมืดนี้
เงาร่างทั้งสี่ลอยอยู่ในมิติโดยมีคลื่นหลิงห่อหุ้ม พวกเขากวาดมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง หลังจากเห็นว่าไม่มีอะไรที่ผิดปกติ รัศมีหลิงที่อยู่รอบกายก็เริ่มเบาบางลง
เมื่อรัศมีแสงอ่อนลง เงาร่างก็ค่อยๆ เปิดเผยรูปลักษณ์ออกมา พวกเขาก็คือมู่เฉิน จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงที่เพิ่งมาจากภูเขาเก้าโลกันตร์นั่นเอง
“ที่นี่คือดินแดนเสินโซ่เรอะ?” มู่เฉินค่อนข้างอึ้งงันไปเล็กน้อยกับมิติสีดำมืดและว่างเปล่า ทุกมุมที่เห็นในครรลองสายตามีแต่ความมืดมิด ไม่เห็นเหมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลย
“ดินแดนเสินโซ่อยู่ในมิตินี้น่ะ” จิ่วโยวมองไปรอบๆ พร้อมกับท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่จะมองไปที่ระยะไกลพลางเอ่ยขึ้น “คลื่นหลิงจะถูกละลายโดยมิติมืดนี้ ดังนั้นหากเราอยู่ในนี้นานเกินไป แม้แต่คลื่นหลิงของเราก็จะระเหิดจนหมดแล้วเราก็จะติดอยู่ที่นี่ตลอดกาล”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ก็ตกใจรีบทำการสัมผัสพลางรู้สึกได้ว่าคลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายกำลังละลายในอัตราที่เชื่องช้า
ปัจจัยที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือคลื่นหลิงไม่สามารถดูดซับได้ในมิตินี้ ด้วยเหตุนี้ทำให้พลังงานในร่างกายสลายลงอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถกู้คืนได้
“หากสิ่งนี้ยังดำเนินต่อไปคลื่นหลิงของเราจะสลายจนหมดก่อนที่จะหาดินแดนเสินโซ่พบแน่” มู่เฉินขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกตกใจไปบ้างกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก จากความเข้าใจที่เผ่าวิหคโลกันตร์มีกับสถานที่แห่งนี้พวกเขาน่าจะเตรียมการไว้แล้ว
ตามที่คาดมั่วหลิงหัวเราะเบาๆ “ พี่ใหญ่มู่เฉินอย่ากังวลเลย เรากำลังรอพาหนะในการเดินทาง จากนั้นเราจะสามารถผ่านมิติไปถึงดินแดนเสินโซ่ได้น่ะ”
“พาหนะ?”
มู่เฉินอึ้งไปเกิดความรู้สึกสงสัยในใจแม้แต่สิ่งชีวิตก็ไม่สามารถดำรงอยู่ในมิตินี้ได้ แล้วพาหนะจะมาจากที่ไหน?
แม้ว่ามู่เฉินจะฉงนในใจ เขาก็ไม่ได้ถามคำถามใดๆ ในกรณีนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือทำตาม เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หัวใจของเขาก็สงบลงพลางรอคอยอย่างเงียบๆ
พวกเขารอไม่นาน สายตามู่เฉินก็เปลี่ยนไป เขาเงยหน้าขึ้นทันควันจ้องมองไปทางซ้ายมือก็เห็นระลอกคลื่นผันผวนพุ่งมาในความมืดมิด หลังจากนั้นก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นอุกกาบาตขนาดใหญ่ประมาณร้อยจั้งเคลื่อนที่อย่างเงียบๆ ผ่านความมืดพุ่งมาทางพวกเขา
“นั่นคือพาหนะของเรา…” จิ่วโยวยิ้มให้มู่เฉินขณะที่พูดต่อ “หลังจากขึ้นนั่งแล้วก็ต้องเปลี่ยนอีกสองสามครั้ง เราก็จะเจอดินแดนเสินโซ่”
มู่เฉินอ้าปากเหวอ ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น ไม่คิดว่าจะต้องใช้วิธีการแปลกประหลาดเช่นนี้เพื่อค้นหาดินแดนเสินโซ่ โชคดีที่มีคนนำมิฉะนั้นเขาคงต้องกลายเป็นปุ๋ยอวกาศในมิตินี้แล้ว
“เราต้องขึ้นบนอุกกาบาตก้อนนี้ให้ได้ ไม่งั้นก็ต้องรอก้อนต่อ ซึ่งอาจใช้เวลาอีกประมาณครึ่งวัน หากโชคไม่ดีอาจไม่มีเลยแม้แต่หนึ่งวันหรือสองวัน” จิ่วโยวเตือนอย่างจริงจัง
หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวจากนั้นก็พยักหน้า หากผ่านไปหนึ่งหรือสองวันคลื่นหลิงส่วนใหญ่ของเขาก็คงจะสลายเกือบหมดแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเขาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน อุกกาบาตใหญ่ก็เปล่งเสียงดังบินผ่านเบื้องหน้าทั้งสี่ด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์มาก จังหวะนั้นทั้งสี่ก็ทะยานออกไปร่อนลงบนอุกกาบาตขนาดใหญ่ คลื่นหลิงพุ่งออกมายึดร่างไว้กับหิน
ฟิ้ว!
อุกกาบาตสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งผ่านความมืดอย่างรวดเร็วและทะยานออกไปในระยะไกล
หลังจากขึ้นมาได้ มู่เฉินก็ตระหนักได้ว่าอุกกาบาตก้อนนี้กำจายสนามพลังพิเศษที่ดูเหมือนจะปิดกั้นพลังการละลายที่อยู่ด้านนอก
เมื่อรู้สึกถึงสิ่งนี้ มู่เฉินก็อดชื่นชมจากในใจไม่ได้ เมื่อมองไปที่พวกจิ่วโยว เขาก็อึ้งไปอีกครั้ง นั่นเป็นเพราะหลังจากที่ทั้งสี่คนพลิ้วตัวลงมา ทั้งสามคนก็กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็วและค้นหาบางสิ่งบางอย่างทีละตารางนิ้ว
มู่เฉินได้แต่ยืนอึ้งงันกับการกระทำของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน ผ่านไปไม่นานเสียงแห่งความสุขของมั่วหลิงก็ดังขึ้น นางกำมือแน่น แสงสีแดงฉานที่อยู่บนพื้นลอยลงไปในมือของนาง
ตรงกันข้ามจิ่วโยวและมั่วเฟิงไม่มีอะไรในมือเลย
“นี่คืออะไร?” จ้องมองมั่วหลิงที่ร่าเริง มู่เฉินก็อดถามไม่ได้
มั่วหลิงหัวเราะเสียงพลิ้วขณะแบมือออก แสงสีแดงฉานกระจายออกมาพร้อมกับก้อนแป้งเปียกเหนียวหนืดขนาดเท่ากำปั้น ทว่าก้อนแป้งเปียกนี้มีสีแดงราวกับว่าเปื้อนเลือด มิหนำซ้ำกลิ่นคาวเลือดหนาแน่นยังแพร่กระจายออกมาจากมัน เมื่อมู่เฉินสูดดมกลิ่นเข้าไป เขาก็รู้สึกถึงรัศมีและกระแสโลหิตที่เดือดพล่านของตัวเองพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้พุ่งเข้ามาในหัวใจของเขา ทำให้เขาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะกลืนกินเลือดก้อนนี้
“นี่คือโคลนโลหิต ในสมัยโบราณจอมยุทธ์ดินแดนเสินโซ่รับรู้ถึงแผนการของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ก่อนที่การทำลายล้างจะมาถึง พวกเขาจุดชนวนร่างกายพยายามที่จะขัดขวางเผ่าปีศาจ ดังนั้นโคลนโลหิตนี้จึงมีร่องรอยเลือดและเนื้อที่สำคัญของจอมยุทธ์เหล่านั้น โคลนนี้สามารถกินได้ เมื่อกินไปแล้วก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย ในโลกภายนอกหากมีพวกจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญในการกลั่นยา พวกเขาก็จะใช้โคลนโลหิตกลั่นเป็นเม็ดโลหิตได้ ซึ่งสามารถช่วยปรับสภาพร่างกายได้แบบสิ้นเชิงเลย” จิ่วโยวมองใบหน้าที่มีเครื่องหมายคำถามของมู่เฉินก็อธิบาย
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว มู่เฉินก็เข้าใจ
มั่วหลิงถือโคลนโลหิตไว้แล้วแยกออกเป็นสี่ส่วน มอบส่วนหนึ่งให้กับพี่ชาย แล้วก็ส่งอีกสองส่วนไปให้มู่เฉินและจิ่วโยว
“ขอบคุณนะหลิงเอ๋อ” จิ่วโยวยิ้มบาง ไม่ปฏิเสธน้ำใจของมั่วหลิง
มู่เฉินที่ยังไม่สนิทกับมั่วหลิงเท่าไร ก็รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เมื่อได้รับของล้ำค่ามา ความประทับใจที่เขามีกับหญิงสาวก็เพิ่มขึ้นอีก
มู่เฉินรับโคลนโลหิตมา หลังจากแยกออกเป็นสี่ส่วนก็มีขนาดเหลือเท่านิ้วโป้งเท่านั้น เขาทำตามคนอื่น ลูบไล้ด้วยปลายนิ้วปั้นเป็นเม็ดแล้วโยนเข้าไปในปาก
ตู้ม!
ทันทีที่โคลนโลหิตเข้าไปในปาก มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเลือดที่ระเบิดออก ขณะที่ความร้อนลวกม้วนตัวลงไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกเดือดพล่านทำให้ใบหน้าของมู่เฉินแดงเป็นปื้น
ความรู้สึกเดือดพล่านคงอยู่หลายนาทีก่อนที่ความปลอบประโลมที่อธิบายไม่ได้จะแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของมู่เฉิน ทำเอาเขาต้องพ่นลมหายใจสบายออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อความร้อนจางหายอย่างสมบูรณ์ มู่เฉินก็ฟื้นตัว ทันใดนั้นก็รีบตรวจจับเส้นสายก่อนที่ใบหน้าจะมีสีขึ้น นั่นเป็นเพราะเขาสามารถสัมผัสได้ว่าร่างกายได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาเล็กน้อย
แม้ว่าจะไม่ชัดเจนมาก แต่มู่เฉินก็รู้ว่านับตั้งแต่ได้สร้างกายามังกรหงส์สำเร็จแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอีกเลย
ต่อให้ในเวลาปกติเขาจะใช้คลื่นหลิงปรับแต่ง ผลเสริมสร้างความแข็งแกร่งก็ไม่ชัดเจน เพราะการฝึกฝนพลังกายจะยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้…หลังจากกินโคลนโลหิตเข้าไปเท่านั้น มู่เฉินกลับรู้สึกว่าร่างกายแสดงสัญญาณทรงพลังขึ้น นี่จะไม่ทำให้เขาตกใจได้อย่างไร?
โคลนโลหิตเป็นวัตถุชั้นยอดสำหรับร่างกายจริงๆ!
เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินที่มีท่าทางตกตะลึงอยู่ด้านข้าง นางก็ยิ้ม “เจ้าต้องรู้ว่าถ้าเอาโคลนโลหิตที่เจ้ากินไปขาย อย่างน้อยคำหนึ่งก็มีค่าหลายแสนหยดของเหลวจื้อจุนเลยนะ ยิ่งกว่านั้นต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้”
มั่วเฟิงเหลือบมองมู่เฉินพูดอย่างเฉยเมยว่า “โคลนโลหิตเป็นของสิ่งหนึ่งที่เราต้องหาในการเดินทางไปยังดินแดนเสินโซ่ แต่ก็เป็นวัตถุหายากและมีจำนวนไม่มาก เมื่อครู่หลิงเอ๋อโชคดีมาก ไม่งั้นคงไม่เพียงพอที่จะแบ่งออกเป็นสี่ส่วนหรอก”
มู่เฉินพยักหน้าแล้วแสดงความขอบคุณมั่วหลิงอีกครั้ง ก่อนที่จะเลียริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกราวกับถูกล่อลวงด้วยโคลนโลหิต หากเขาได้รับมากกว่านี้บางทีร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก แน่นอนว่าจะช่วยได้มากสำหรับเขาในการเข้าสู่ขั้นสองของวิชากายามังกรหงส์ด้วย
“เมื่อเข้าใกล้ดินแดนเสินโซ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็จะมีหินขนาดใหญ่กว่าที่เรายืนอยู่ ถ้าโชคดีพออาจจะได้โคลนโลหิตเพิ่มอีกสักหน่อย” เหมือนรับรู้ถึงน้ำลายที่ไหลย้อยในหัวใจของมู่เฉิน จิ่วโยวก็พูดขึ้น
จากนั้นจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็นั่งลงไม่ได้พูดต่อ ปล่อยให้อุกกาบาตนำพาพวกเขาไป ขณะที่เคลื่อนเข้าสู่ส่วนลึกของความมืดมิด
มู่เฉินก็นั่งลงเช่นกัน ไม่ได้คิดทำลายความเงียบนี้ มีเพียงดวงตาที่กะพริบวูบวาบ คอยจ้องมองไปในระยะไกล รอให้อุกกาบาตก้อนอื่นปรากฏขึ้น
ยามนี้ผลประโยชน์ของการมาดินแดนเสินโซ่เขย่าหัวใจของมู่เฉินแล้ว เขาคาดหวังในการเดินทางครั้งนี้ยิ่งขึ้น
ก่อนที่พวกเขาจะถึงดินแดนเสินโซ่ก็มีของล้ำค่าอย่างโคลนโลหิตปรากฏขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีสมบัติประเภทใดปรากฏขึ้นอีกเมื่อไปถึงเป้าหมาย?
แค่คิดถึงหัวใจของมู่เฉินก็พองโตด้วยความคาดหวัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น