หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 971-974
บทที่ 971 สองทางเลือก
เหนือจัตุรัสหินสีฟ้าอมเขียว
อุโมงค์มิติปรากฏขึ้นสะท้อนเสียงอ่อนเยาว์ดังก้อง ทุกสายตาที่นี่จ้องตรงไปที่ต้นเสียง จากนั้นสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ก็เห็นเงาร่างสองร่างเดินออกจากอุโมงค์มิติอย่างช้าๆ
ร่างเงาทั้งสอง คนหนึ่งสูงโปร่ง อีกคนหนึ่งบอบบางน่าถนอม ร่างบางเป็นเด็กสาวแต่งกายด้วยชุดสีดำ มีม่านตาสีทองคำเต็มไปด้วยความเฉยเมย แรงกดดันที่กำจายออกมาทำให้จอมยุทธ์หลายคนในเผ่าวิหคโลกันตร์หัวใจสั่นไหว เนื่องจากแรงกดดันนี้แข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสบางคนเสียอีก
ส่วนที่ยืนอยู่ด้านข้างเด็กสาวตัวเล็กเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง เขามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหล่อเหลามาก ม่านตาสีดำราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว รอยยิ้มฉายบนใบหน้า แม้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนของเผ่าวิหคโลกันตร์ เขาก็ยังไม่มีท่าทางหวาดกลัว
“เขาคือมู่เฉินเหรอ? มนุษย์ที่ก่อพันธะโลหิตกับองค์หญิงน้อยจิ่วโยว?”
“เจ้านั่นกล้ามาถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ซะด้วย เขารนหาที่ตายชัดๆ อย่าบอกนะเขาคิดว่าด้วยคำสัญญาที่ผู้อาวุโสเทียนเช่อให้ไว้จะทำให้เขาได้ตำแหน่งไปและรอดชีวิตได้?”
“อยากหัวเราะให้ฟันร่วง มีเพียงเจียงย่ากับฉิงเฉวียนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะประลองกันเพื่อตำแหน่งนี้ มู่เฉินไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงที่คิดจะเอาตำแหน่งไปจากทั้งสอง”
“มนุษย์กล้าที่จะต่อสู้กับอัจฉริยะของเผ่าวิหคโลกันตร์ อหังการไปแล้ว”
“…”
ขณะที่ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่มู่เฉิน ความปั่นป่วนก็กระจายไปทั่วบริเวณ กลุ่มคนส่วนใหญ่ในเผ่ามองมู่เฉินด้วยสายตาสืบเสาะและเยาะเย้ย ตลอดเวลาสองเดือนทุกคนได้รู้จักชื่อของมู่เฉินมาแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมู่เฉินไม่ได้แสดงตัว ทำให้พวกเขารู้สึกว่าชายหนุ่มเป็นคนขี้ขลาดและพยายามหลบหนีจากความรับผิดชอบ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกดูถูกตั้งแต่ยังไม่เคยเจอด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังเป็นเพราะมู่เฉินที่ทำให้สายเลือดวิหคอมตะของจิ่วโยวปนเปื้อน ซึ่งทำเอาคนในเผ่าไม่พอใจและเกิดความไม่เป็นมิตรกับเขา
ท่ามกลางความเยาะเย้ยที่กวนตัว ผู้อาวุโสบนแท่นหินก็มองมู่เฉินด้วยสายตาคมกริบ
“เจ้าคือมู่เฉินรึ?”
ผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวที่เคลือบแคลงใจกับคำพูดของเทียนเช่อก็ตรวจสอบมู่เฉินด้วยสายตาแหลมคมและพูดเสียงเย็นชาว่า “ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ามา แต่ก็ดีในเมื่อมาแล้ว ก็รอให้สลายพันธะโลหิตระหว่างเจ้ากับองค์หญิงน้อยก่อนค่อยไปซะ!”
ผู้อาวุโสคนอื่นก็มองมู่เฉินเพื่อตรวจสอบด้วย แม้ว่าในเผ่าจะถกเถียงเรื่องเกี่ยวกับมู่เฉินมานาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นชายหนุ่มคนนี้ตัวเป็นๆ
ชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้สร้างพันธะโลหิตกับจิ่วโยวที่มีสายเลือดวิหคอมตะที่บริสุทธิ์ที่สุดในช่วงหลายพันปีน่ะรึ? จากรูปลักษณ์แล้วดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่น คนที่ธรรมดาอย่างเขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับอัจฉริยชนของเผ่าได้เลย
เทียนฮวงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานก็มองไปที่มู่เฉิน แต่สายตาลึกซึ้งกว่า ไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า
จิ่วโยวเพิ่งฟื้นจากอาการตกใจที่เกิดจากการปรากฏตัวของมู่เฉิน จากนั้นนางก็ยิ้มอย่างขมขื่น ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่เพียงแต่การมาที่นี่ของมู่เฉินจะไม่ทำให้นางรู้สึกผิดหวัง นางยังรู้สึกซาบซึ้งใจด้วย
แม้ว่าเหตุผลย้ำกับนางว่ามู่เฉินจะปลอดภัยที่สุดเมื่ออยู่ให้ไกลจากเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่นางก็ยังรู้สึกมีความสุขกับการปรากฏตัวของน้องชายคนนี้
จิ่วโยวแอบมองบิดา นางรู้ว่าการตัดสินใจเด็ดขาดในวันนี้จะขึ้นอยู่กับเขา ถ้าบิดาของนางไม่ชอบมู่เฉิน เขาจะไม่ยอมให้มนุษย์ธรรมดาสามัญทำลายสายเลือดสมบูรณ์แบบที่สุดของเผ่าวิหคโลกันตร์ได้
แต่เทียนฮวงมีประสบการณ์ไม่ธรรมดา ต่อให้ได้เจอมู่เฉินในตอนนี้ เขาก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า ซึ่งทำให้จิ่วโยวรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เนื่องจากนางไม่รู้ความคิดเห็นที่บิดามีต่อมู่เฉิน
ขณะที่บทสนทนากระจายมาจากกลุ่มผู้คน แสงเย็นเยือกก็วาววับในดวงตาของมั่นถัวหลัวที่อยู่บนท้องฟ้า นางจ้องผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวพลางเยาะเย้ยเสียงเย็นชา “มู่เฉินเป็นสมาชิกของอาณาเขตกงเวทสววรค์ของข้า ในเมื่อข้าเป็นคนพาเขามา ข้าก็จะพาเขากลับไปด้วยเช่นกัน”
เมื่อผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวได้ยินคำพูดของนาง เขาตอกกลับ “วาจาใหญ่โตจริงนะ ที่นี่คือเผ่าวิหคโลกันตร์ไม่ใช่ที่ที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างเจ้าจะมาทำตามอำเภอใจได้ ตาแก่คนนี้ขอแนะนำเจ้าว่าอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ไม่งั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์คงไม่สามารถทนรับความเกรี้ยวกราดของเผ่าวิหคโลกันตร์ได้แน่!”
ขณะที่ผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวพูดก็ผุดลุกขึ้นยืนไปด้วย การกดข่มของคลื่นหลิงอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ท้องฟ้ามืดลง พายุกวาดออกส่งเสียงหวีดหวิวระหว่างฟ้าดิน
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากก่อตัวเป็นวิหคเพลิงขนาดใหญ่เลือนรางที่ด้านหลังผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียว มันแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้ากู่ร้องออกมาพร้อมปลดปล่อยพลังอันน่าอัศจรรย์
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสคนนี้ตั้งใจจะใช้พลังปราบปรามนางให้อยู่หมัด ด้วยวิธีนี้หากมั่นถัวหลัวยอมอ่อนให้ ด้วยขุมพลังของมู่เฉินในตอนนี้ ก็ไม่มีใครมีสิทธ์ปฏิเสธการตัดสินใจทำโทษของเผ่าวิหคโลกันตร์
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ขยายออกไป ทำให้สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนมีภูเขากำลังกดร่างกาย การไหลเวียนของคลื่นหลิงในร่างกายช้าลง
“หึ!”
แต่เมื่อความกดดันทวีความน่ากลัว ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็มืดครึ้ม นางเค้นเสียงเย็นย่างกรายไปข้างหน้า ทันทีที่ก้าวออกไปพื้นที่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับแก้วร้าว คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระเบิดออก ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็ห่อหุ้มวิหคเพลิงซึ่งสร้างจากคลื่นหลิงของผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียว…
ปัง!
คลื่นกระแทกกวาดความพินาศ วิหคเพลิงก็เปล่งเสียงร้องโหยไห้ระเบิดตัวเองภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ใบหน้าของผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวเปลี่ยนไปรุนแรง ร่างกระตุกถอยกลับไปหนึ่งก้าว แท่นหินข้างใต้ก็เกิดรอยแตกออกในเวลาเดียวกัน
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสเห็นภาพผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวเป็นแบบนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปโดยไม่สามารถควบคุมได้พลางร้องอุทาน “จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย?!”
ในเวลาเดียวกันเทียนเช่อก็หดดวงตาลง เมื่อสองเดือนก่อนตอนที่เขาพบมั่นถัวหลัว แม้ว่านางเกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่การไหลเวียนคลื่นพลังยังไม่เสถียร ใครจะคิดว่าเวลาเพียงสองเดือนนางก็บรรลุขั้นที่ว่าได้แท้จริง!
แม้แต่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ พลังของนางก็เหนือกว่าผู้อาวุโสทุกคน ไปอยู่ในระดับเดียวกับท่านประมุขแล้ว!
ตำแหน่งที่นั่งประธาน ประกายแสงประหลาดวูบไหวในดวงตาของเทียนฮวง เขามองมั่นถัวหลัวอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ เสียงทุ่มต่ำหนาแน่นราวกับภูเขา “ไม่คิดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมาถึงขั้นนี้แล้ว ด้วยพลังระดับนี้ ไม่เสียทีที่ไปอยู่ในภูมิภาคทางเหนือของทวีปเทียนหลัว”
เทียนฮวงพูดออกมาขณะคลื่นเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า พร้อมกับเสียงสะท้อนออกมาก็ทำให้คลื่นกระแทกทำลายล้างที่แผ่ซ่านจากร่างมั่นถัวหลัวกระจายหายไปอย่างเงียบๆ
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นฉากนี้ ม่านตาสีทองคำก็หรี่ลง ริ้วความครั่นคร้ามวาบผ่านในดวงตา จากการเคลื่อนไหวของเทียนฮวง ชัดว่าอีกฝ่ายบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมานานแล้ว
“ท่านเทียนฮวงยกย่องข้าเกินไปแล้ว”
มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงเบาว่า “แต่วันนี้ที่ข้าพามู่เฉินมาที่นี่ก็เพื่อทำตามข้อตกลงที่เขาทำไว้กับผู้อาวุโสเทียนเช่อ ดังนั้นข้าหวังว่าเผ่าของท่านจะรักษาสัญญา ไม่อย่างนั้นถึงแม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าจะด้อยกว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่ข้าเชื่อว่าจะไม่ดีต่อทั้งสองฝ่ายถ้าเข้าสู่สงคราม”
เมื่อผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวได้ยินคำพูดนี่ ใบหน้าก็เขียวคล้ำ แต่เขาไม่สามารถเถียงคำพูดของนางได้ ด้วยพลังของมั่นถัวหลัว นางควรค่าที่จะถูกให้ความสำคัญจากเผ่าวิหคโลกันตร์
เทียนฮวงยังคงมีสีหน้าเฉยเมย สายตาเลื่อนจากมั่นถัวหลัวไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะพูดโดยไม่มีระลอกคลื่นในน้ำเสียง “เจ้าคือมู่เฉินเหรอ?”
มู่เฉินไม่รู้สึกกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสเผ่า แต่เมื่อเห็นเทียนฮวงไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกถึงความชั่วดีตีกวน เพราะชายผู้นี้คือบิดาของจิ่วโยว
“ข้าน้อยมู่เฉินคารวะท่านประมุขเทียนฮวง” ระงับความผิดในใจไว้ มู่เฉินก็ประสานมือแสดงความเคารพทันที
เทียนฮวงพูดเสียงแผ่วเบาว่า “พันธะโลหิตระหว่างเจ้ากับจิ่วโยวสร้างขึ้นในสถานการณ์เป็นตาย ดังนั้นจะโทษเจ้าก็ไม่ได้ แต่สายเลือดของจิ่วโยวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเผ่าวิหคโลกันตร์ ตอนนี้สายเลือดของนางถูกปนเปื้อน นี่อาจส่งผลกระทบต่อวิวัฒนาการในอนาคตของนาง”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ หัวใจของเขาก็จมลงเนื่องจากเขาไม่คิดว่าพันธะโลหิตจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อจิ่วโยว
“แต่ถ้าจิ่วโยวได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณจากดินแดนเสินโซ่ละก็ ในเวลานั้นไม่เพียงแต่นางจะสามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนทั้งหมด มันยังช่วยเสริมสายเลือดของนางให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย”
เทียนฮวงมองไปที่มู่เฉินนิ่ง “แต่การแข่งขันเพื่อโอกาสในดินแดนเสินโซ่รุนแรงมาก อัจฉริยะทุกเผ่าพันธุ์จะมารวมตัวกันที่นั่น แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ไม่สามารถได้เปรียบใดๆ ในการแข่งขัน เจ้าจินตนาการภาพการแข่งขันแบบนั้นออกไหม?”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ
เทียนฮวงโบกมือ “ตอนนี้เรื่องพันธะโลหิตเจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งเป็นไปตามสิ่งที่เทียนเช่อบอก ถ้าเจ้าสามารถชิงตำแหน่งและช่วยจิ่วโยวทำให้สายเลือดของนางสมบูรณ์ เผ่าวิหคโลกันตร์จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก นอกจากนี้เจ้าจะถือเป็นมิตรอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา แน่นอนว่าเจ้าน่าจะรู้ถึงความยากลำบากของเรื่องนี้ดี”
“แต่ถ้าเจ้าไม่มั่นใจในตัวเอง เห็นแก่การช่วยชีวิตจิ่วโยวไว้ ข้าจะไม่ทำอันตรายใดๆ ต่อชีวิตของเจ้า ทว่าเจ้าจะต้องอยู่ภายใต้การถูกคุมขังของเผ่าวิหคโลกันตร์เป็นเวลาสิบปี!”
พูดถึงจุดนี้ ท่าทางไม่แยแสของเทียนฮวงก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปคมกริบ สายตาจับจ้องมาที่มู่เฉิน “ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเลือกอะไร?”
สมาชิกทั้งเผ่าเงยหน้าขึ้นมองร่างอ่อนเยาว์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไร
ในมุมมองของพวกเขา ท่านประมุขได้ยื่นเงื่อนไขยอดเยี่ยมให้กับมู่เฉินแล้ว ข้อสองเป็นการไว้ชีวิตเขาเลย แม้ว่าจะต้องถูกกักเป็นเวลาสิบปี แต่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ ในเวลาเดียวกันพันธะโลหิตระหว่างเขากับองค์หญิงน้อยก็จะไม่ได้รับผลกระทบด้วย
จอมยุทธ์สองคนที่นั่งอยู่ในจัตุรัสด้วยความภาคภูมิใจแล่นพล่านในดวงตาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความเฉยเมยขณะที่จ้องมองมู่เฉิน รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏในดวงตา
มนุษย์ขี้ขลาดเช่นนั้น คงเลือกทางที่สองเพราะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้สินะ มิฉะนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝันชัดๆ ที่คิดจะชิงตำแหน่งจากมือพวกเขา
ขณะที่สายตาทั้งหมดพุ่งมาหา มู่เฉินก็มองไปที่เทียนฮวง ก่อนที่จะคลี่รอยยิ้มสดใสให้จิ่วโยว อึดใจร่างของเขาก็ขยับไปปรากฏตัวบนลานประลองหันหน้าไปทางร่างจอมยุทธ์เย่อหยิ่งทั้งสอง จากก็กุมมือด้วยรอยยิ้ม
“ข้ามู่เฉินแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ขอคำชี้แนะในการชิงตำแหน่งจากทั้งสองด้วย”
บทที่ 972 ปะทะด้วยพลังกาย
บนจัตุรัสหินสีฟ้าอมเขียว
เจียงย่าและฉิงเฉวียนเงยหน้าขึ้น แต่ทั้งสองก็แค่เหลือบมองมู่เฉิน ก่อนที่จะเบ้ปากอย่างไม่ทันสังเกต
ประหลาดใจมากที่มู่เฉินไม่เลือกทางที่สอง ทว่า…ถ้าเขาคิดว่าทางนี้เป็นไปได้ เขาก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ทั้งคู่ไม่ได้ให้ความสนใจมู่เฉิน แต่มองไปยังเทียนฮวง อีกฝ่ายหลุบตาลงพูดว่า “ในเมื่อเขาส่งคำท้าประลองมาแล้ว พวกเจ้าสองคนก็จัดการตามสมควร”
เมื่อได้ยินคำพูดของประมุข ท่าทางของทั้งสองก็เปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะตัดสินจากคำพูดก็คือให้พวกเขาลงมือทั้งคู่เหรอ? ไอ้สามหาวนี่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น มีอะไรพอที่จะสู้กับพวกเขาทั้งสองคน?
“ฉิงเฉวียน ก่อนหน้านี้เจ้าแพ้ข้าไปครึ่งกระบวนท่า ดังนั้นเจ้าเริ่มก่อนเลย” เจียงย่ามองไปที่ฉิงเฉวียน ด้วยสีหน้าครึ่งบึ้งครึ่งยิ้ม ท่าทางเฉื่อยชาราวกับว่าเหตุการณ์นี้ไม่สามารถเพิ่มความสนใจให้เขาได้ แม้ว่าคำพูดของท่านประมุขจะคลุมเครือ ราวกับว่าต่อให้พวกเขาลงมือพร้อมกันก็ไม่ผิดกฎ ทว่าเจียงย่าไม่เคยคิดทำแบบนั้น
ตลกละ ถ้าพวกเขาทั้งคู่ลงมือสู้กับมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกพร้อมกัน ต่อให้ชนะก็ไม่น่าภูมิใจอะไร
เมื่อฉิงเฉวียนได้ยินคำพูด เปลือกตาก็กระตุก ใบหน้าบิดเบ้น่าเกลียดลงหลายส่วน ก่อนหน้านี้เจียงย่าแค่โชคดีเท่านั้น หากพวกเขาสู้กันต่อไป แม้ว่าจะเทกันจนหมดหน้าตัก ก็คงไม่ง่ายที่ตัดสินหาผู้ชนะ แต่เจ้านี่ยังมาเหยียบหัวเขาในเวลานี้…
แม้ว่าจะคันยุบยับในหัวใจ แต่ฉิงเฉวียนก็ไม่สนที่จะตอกกลับเจียงย่าให้หน้าหงาย เพราะเขาไม่ชอบมู่เฉินจริง ในบรรดาสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ จอมยุทธ์มากมายมีความรู้สึกที่ดีต่อจิ่วโยวและเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น
ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกไม่ดีต่อมู่เฉินที่สร้างรอยด่างพร้อยในสายเลือดของจิ่วโยวเอาไว้
ความคิดมากมายวาบผ่านหัวใจ จากนั้นฉิงเฉวียนก็ย่างเท้าออกไปช้าๆ ภายใต้สายตาจ้องมองมานับไม่ถ้วนก่อนที่จะหยุดห่างจากมู่เฉินร้อยจั้ง
“ถ้าข้าเป็นเจ้า การอยู่ดีๆ ที่นี่สักสิบปี อาจเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า” ฉิงเฉวียนยืนประจันหน้ามู่เฉิน แล้วจ้องมองอีกฝ่ายเต็มตาครั้งแรก ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงสงบเรียบ
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”
มู่เฉินทำท่าคล้ายไม่ได้ยินคำเหยียดหยามในคำพูดของฉิงเฉวียน เขายิ้มอย่างจริงใจก่อนที่จะประสานมือ “ชี้แนะด้วย”
“เจ้าช่างไม่รู้จักซาบซึ้งใจมั่งเลย”
เมื่อฉิงเฉวียนเห็นท่าทางสบายๆ ของมู่เฉิน เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ความโกรธเพิ่มขึ้นทบทวีในหัวใจ ทันใดนั้นเขาก็ไม่คิดพูดอีกต่อไป ขยับขาก้าวไปข้างหน้า พายุคลื่นหลิงทรงพลังพวยพุ่งออกจากร่างซึ่งบรรจุพลังงานเยือกเย็นเหลือล้น ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อระเบิดออกไป
สามารถมองเห็นเกล็ดน้ำค้างแข็งแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วจากใต้เท้าของฉิงเฉวียนแล้วปกคลุมไปทั่วลานประลองในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ…
เมื่อมู่เฉินรู้สึกถึงคลื่นหลิงทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างฉิงเฉวียน ดวงตาก็หดลงเล็กน้อย คำพูดของ เทียนเช่อไม่ผิดเลย ฉิงเฉวียนแข็งแกร่งกว่าหลิ่วชิงอย่างแท้จริง
ถ้าหลิ่วชิงอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ฉิงเฉวียนตรงหน้าก็แตะที่ขั้นเจ็ดแล้ว ซึ่งขั้นนี้แข็งแกร่งกว่าขั้นหกมาก
ถ้ามู่เฉินไม่ได้บรรลุระดับจื้อจุนขั้นหกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เพียงแค่แรงกดดันคลื่นหลิงอย่างเดียว ก็ทำให้เขาอดกลั้นไม่ได้แล้ว
ทว่า…น่าเสียดายที่พร้อมกับพัฒนาการ เขาก็ทรงพลังยิ่งกว่าเมื่อสองเดือนมากเลยทีเดียว!
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นคมกล้าไม่มีความอบอุ่นสักริ้วเดียว แขนทั้งสองข้างห้อยลง ร่างของเขาราวกับหอกยาวที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง รัศมีแหลมคมแผ่ซ่านออกไป
มิติบิดเบี้ยวเล็กน้อยที่ด้านหลัง ทะเลพลังก็ปรากฏออกมาให้เห็นคลุมเครือ ความผันผวนของคลื่นหลิงกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ละลายน้ำแข็งในรัศมีร้อยจั้งรอบร่างมู่เฉิน
“โอ้? ดูเหมือนว่าเจ้ามีความสามารถอยู่บ้างนะ…”
เมื่อรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นพลังที่มาจากมู่เฉิน ฉิงเฉวียนก็ยิ้มบางจากนั้นก็สะบัดนิ้ว เกล็ดหิมะก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
ปัง!
อึดใจร่างของฉิงเฉวียนก็ระเบิดออกกลายเป็นเกล็ดหิมะส่งเสียงครางหวีดหวิว
ทันทีที่ฉิงเฉวียนหายตัวไป มู่เฉินหดดวงตาลงรีบถอยกลับทันที แสงสีทองระยิบระยับพลุ่งพล่านออกมาจากร่าง ริ้วแสงสีทองไหลเวียนอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เขาดูคล้ายกับพระพุทธรูปทองคำในขณะนี้
“ฟิ้ว!”
ขณะที่มู่เฉินพยายามเคลื่อนตัวหลบหลีกจากพื้นที่หิมะโปรย ความเร็วในการตกของเกล็ดหิมะก็เพิ่มขึ้นแล้วรวมตัวกันก่อเป็นรูปร่างคนหนึ่งขึ้น
วาบ!
เมื่อเกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมา ไอเย็นยะเยือกก็พุ่งทะลุผ่านมิติเล็งไปที่แผ่นหลังของมู่เฉิน
การโจมตีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เผชิญกับการจู่โจมลึกลับเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่สามารถหันหลังกลับและป้องกันตัว ได้แต่ปล่อยให้แสงเย็นเยือกกระทบกับแผ่นหลังของเขา
“ชี่!”
แสงเย็นรวมตัวกันก่อร่างเป็นนิ้วเรียวยาวแผดรัศมีเยือกเย็นออกมาซึ่งราวกับว่ามีเกล็ดหิมะโปรยปรายอย่างเงียบๆ และดูเหมือนว่าจะสามารถทะลุฝ่ามิติได้
ร่างของฉิงเฉวียนปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน เขาตั้งกระบวนท่ายกนิ้วทั้งสองขึ้นเอาไว้ เขามองชั้นน้ำแข็งที่กระจายอยู่ด้านหลังของมู่เฉิน ชั้นน้ำแข็งที่ปรากฏขึ้นกำลังห้อมล้อมร่างมู่เฉินอย่างรวดเร็ว จังหวะที่มู่เฉินถูกห่อหุ้มก็จะติดอยู่กับดักอย่างสมบูรณ์ ความเป็นตายก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
เมื่อโจมตีสำเร็จ ฉิงเฉวียนก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “เฮ้อ ไม่ได้เรื่องเลย…”
ตู้ม!
ทว่าทันทีที่เสียงของเขาจบลง แสงสีทองที่กำจายอยู่บนพื้นผิวของร่างกายมู่เฉินก็ราวกับดวงอาทิตย์สว่างไสว เมื่อแสงสีทองพัดออก ก็ทำให้ชั้นน้ำแข็งแตกตัว
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ฉิงเฉวียนตกใจไป แต่ก่อนที่นิ้วเขาจะลงมือโจมตีรุนแรง เขาก็รู้สึกถึงแรงทรงพลังตีย้อนมาจากแผ่นหลังมู่เฉินซึ่งปลายนิ้วของเขาแตะอยู่
เขาเห็นลวดลายมังกรสีม่วงทองปรากฏที่แผ่นหลังมู่เฉินเลือนราง
ปัง!
มวลพลังงานขนาดใหญ่ผลักฉิงเฉวียนถอยกลับ จังหวะที่เขาถอยออกแสงสีทองก็พุ่งพรวด มู่เฉินราวกับมังกรป่าเถื่อนพุ่งเข้ามาซัดฝ่ามือใส่หน้าอกของเขา พลังที่น่าสะพรึงรวมตัวกันอยู่ใต้ฝ่ามือของมู่เฉิน ทำให้มิติถึงกับผันผวนเลยทีเดียว
“รนหาที่ตายแท้จริงที่คิดจะใช้พลังกายปะทะซึ่งหน้ากับข้า!”
ทว่าเมื่อฉิงเฉวียนเห็นการโจมตีที่ดุเดือดของมู่เฉิน ไม่เพียงแต่ไม่ตกใจเขายังเย้ยหยัน เขามีร่างกายของเทพอสูรซึ่งแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก แทนที่มู่เฉินจะใช้โอกาสนี้ถอยห่างออกไป เขากลับยังกล้าพุ่งเข้ามา ในความคิดของฉิงเฉวียน มู่เฉินรนหาที่ตายชัดๆ
เห็นได้ชัดว่าสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ก็นึกคล้ายคลึงกัน ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูฉากนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏที่มุมปากของแต่ละคน
“ตู้ม!”
ฉิงเฉวียนงองุ้มนิ้วมือทั้งสองเป็นเหมือนกรงเล็บเหยี่ยว ขณะที่เกล็ดหิมะหมุนคว้างที่ปลายนิ้วของเขา เกล็ดหิมะหมุนด้วยความเร็วสูงจนทำให้มิติฉีกออก
ฝ่ามือสีทองส่งเสียงครางกระหึ่มกระแทกกับกรงเล็บหิมะของฉิงเฉวียน
ตู้มมมม!
ทันทีที่เกิดการปะทะกัน ร่างของมู่เฉินและฉิงเฉวียนก็สั่นไหว แต่มู่เฉินยังคงสีหน้าสงบนิ่ง เพราะเขาให้ความสำคัญกับฉิงเฉวียนมาก แต่นั่นไม่ใช่กรณีสำหรับฉิงเฉวียน เนื่องจากกรงเล็บนี้เป็นสิ่งที่เนื้อหนังของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดยังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ได้ ไม่ต้องพูดพวกธรรมดาสามัญเลย ทว่าครั้งนี้เขากลับรู้สึกราวกับว่ากรงเล็บปะทะเข้ากับแผ่นโลหะ ความแข็งแรงทนทานทำให้เขาเจ็บปวดมือมาก
“พลังกายของเขาแข็งแกร่งปานนี้เชียวเหรอ?!”
หัวใจของฉิงเฉวียนสั่นไหวขณะที่ความรู้สึกไม่เชื่อพลุ่งพล่าน เขามีร่างเทพอสูรที่แท้จริง ความแข็งแกร่งของเขาสามารถทำลายภูเขาได้ แต่ตอนนี้กลับไม่ได้เปรียบในการปะทะกับมนุษย์ระดับจื้อจุนขั้นหกเรอะ?
“ข้าไม่เชื่อว่าแกจะอึดอยู่ได้นาน!”
ริ้วเย็นชาวาบในดวงตาของฉิงเฉวียน เขาเชื่อแค่ว่ามู่เฉินพยายามฝืนทนไว้เท่านั้น ดังนั้นคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็โหมกระหน่ำในร่างกาย กรงเล็บตวัดออกพร้อมกับเกล็ดหิมะเกิดเป็นภาพซ้อน ซัดไปที่มู่เฉิน
ตู้ม! ตู้ม!
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมคมกริบของฉิงเฉวียน มู่เฉินก็กำจายริ้วรัศมีเฉียบคมบนใบหน้าอ่อนเยาว์ เขาไม่ได้มีท่าทางจะถอยเลย ที่เบื้องหลังมิติกระเพื่อมไหวทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันแสงสีทองบนร่างก็ยิ่งเปล่งประกายทบทวี จนถึงจุดที่แม้แต่ม่านตาสีดำยังสะท้อนด้วยสีทอง
นี่เป็นการแสดงออกของการหมุนเวียนกายามังกรหงส์ไปถึงขีดสุด
แม้ว่าฉิงเฉวียนจะมีร่างกายของเทพอสูร แต่ร่างกายของมู่เฉินก็ได้รับการฝึกฝนหนักหน่วงมาหลายปี ไม่เพียงแต่เขาจะประสบความสำเร็จขั้นสุดยอดของวิชากายาเทพสายฟ้า แต่เขายังได้ฝึกฝนกายามังกรหงส์จนความแข็งแกร่งของร่างกายเขาเปรียบได้กับเทพอสูรตัวจริง ดังนั้นด้วยเหตุผลนี้เขาจึงไม่กลัวการปะทะกันซึ่งหน้า
มู่เฉินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าต้องได้รับการดูถูกเหยียดหยามเมื่อมาถึงเผ่าวิหคโลกันตร์? ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็จะเอาชนะด้วยสิ่งที่คนเหล่านี้ภาคภูมิใจหนักหนา
แววคมกริบสาดออกมาจากสายตาของมู่เฉินราวกับใบมีด อึดใจฝ่ามือของเขาก็วาดออกปะทะการโจมตีของฉิงเฉวียนอีกครั้ง
ปัง! ปัง! ปัง!
บนลานประลองจอมยุทธ์สองคนโรมรันพันตู ทุกกระบวนท่าทำให้เกิดการระเบิดลึกต่ำ พลังรุนแรงส่งผลต่อความผันผวนกระจายออกไป ก่อตัวเป็นคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้มิติที่พวกเขาทั้งสองยืนอยู่บิดเบือน
สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองสองจอมยุทธ์ที่ห้ำหั่นกันราวกับอสูรป่าเถื่อน แววเยาะเย้ยในทีแรกที่มีในสายตาเริ่มจางหายไป ปากเริ่มอ้ากว้างภายใต้ความตกใจ
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นได้ชัดเจนว่ามนุษย์คนนี้ไม่ได้คิดที่จะล่าถอยในการเผชิญหน้ากับเทพอสูรแท้จริงด้วยพลังกายแม้แต่น้อย ทางตรงกันข้ามเขากลับดุร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป!
มู่เฉินใช้พลังกายที่มียับยั้งฉิงเฉวียนไว้ได้รึ?
เป็นไปได้ยังไง?!
ตึง!
ภายใต้สายตาไม่เชื่อจำนวนมาก การต่อสู้ระหว่างทั้งสองก็มาถึงจุดสุดยอด หมัดที่มีพลังงานน่ากลัวปะทะกัน
คลื่นกระแทกระเบิดออกทำเอาผืนดินถึงกับแตกร้าว
ทั้งสองกระเด็นออกมาภายใต้แรงกระแทก ทิ้งรอยลึกสองรอยไว้บนพื้น ฝ่าเท้าฝังลึกลงไปในหินสีฟ้าอมเขียวที่แข็งแรง
สายตาที่จ้องมองมาโดยรอบแข็งทื่อ จากนั้นเสียงสูดลมหายใจก็ดังก้อง ใครจะคิดว่าแม้จะมีร่างเทพอสูร ฉิงเฉวียนก็ยังไม่สามารถได้เปรียบสักน้อยนิดในการปะทะกันด้วยพลังกาย!
เห็นได้ชัดว่ามนุษย์คนนี้ที่พวกเขาดูถูก มีร่างกายที่ทรงพลังซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับเทพอสูรเลยทีเดียว!
ความแข็งแกร่งนี้ช่างน่าประหลาดใจ
นอกลานประลองเมื่อเจียงย่าเห็นฉากนี้ ก็หรี่ตาลง ก่อนที่จะพึมพำเสียงแผ่วเบาว่า “ในที่สุดก็มีอะไรน่าสนใจ แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะยึดตำแหน่งไปจากเรา…”
“เปิดเผยความสามารถของเจ้าออกมาเลย ให้ข้าดูว่าเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งของเผ่าวิหคโลกันตร์ไหม!”
บทที่ 973 ค่ายกลตาข่ายฟ้า
บนลานหินสีฟ้าอมเขียวขนาดใหญ่
มีรอยลึกสองรอยทิ้งไว้ต่างหน้า ขณะที่ร่างสองร่างยืนอยู่ปลายสุดของแต่ละรอย ฝ่าเท้าของพวกเขาจมลึกลงไปบนพื้น ก่อนที่พวกเขาจะดึงตัวออกมาช้าๆ
สายตาจากเหล่าผู้ชมจ้องมาจากรอบจัตุรัส เสียงเยาะเย้ยถากถางหายไปหมดสิ้น เห็นได้ชัดว่าฉากที่มู่เฉินตั้งรับการโจมตีของฉิงเฉวียนได้โดยพลังกาย ทำให้ผู้คนในเผ่าวิหคโลกันตร์ตกตะลึงมาก
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมา ฉิงเฉวียนก็ดึงเท้าออกจากพื้น สายตาลึกล้ำมองไปที่มู่เฉิน นี่เป็นครั้งแร้กที่แววตาของเขาเคร่งเครียดลง
จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่ เขารู้แล้วว่ามนุษย์ตรงหน้าทรงพลังเพียงใด แม้ว่าจะมีข้อได้เปรียบจากร่างเทพอสูรและการเพาะบ่มขุมพลังที่สูงกว่า แต่เขาก็ไม่ได้เปรียบในการปะทะเมื่อครู่
ทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่ามู่เฉินเป็นคนที่ควรค่าแก่การสู้แบบเอาจริงเอาจังด้วยพลังทั้งหมดของเขา
“ดูท่าว่าข้าจะตัดสินเจ้าผิดไป” ฉิงเฉวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่พูดช้าๆ
“ไม่ต้องเกรงใจ”
มู่เฉินยิ้มบาง ทว่าเขาไม่ได้ภูมิใจกับเรื่องนี้ ฉิงเฉวียนทรงพลังแท้จริง การเผชิญหน้าเมื่อครู่เขาเร้าวิชากายามังกรหงส์ไปถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เปรียบนักเมื่อปะทะด้วยพลังกายของพวกเขา
ครั้งก่อนเมื่อมู่เฉินสู้กับโยวหมิง เขาได้เปรียบทันทีที่ใช้วิชานี้ แต่ในเวลานี้กลับไม่มีประสิทธิภาพมากนัก
เห็นได้ชัดว่าจอมยุทธ์เทพอสูรเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
“เพื่อแสดงคำขอโทษ… ต่อไปข้าจะใช้พลังเต็มที่แล้ว”
ฉิงเฉวียนจ้องมองมู่เฉินขณะที่ความเฉียบคมวูบวาบในม่านตาก่อนที่จะกระแทกฝ่าเท้าลงไป ทันใดนั้นลมเย็นยะเยือกก็ระเบิดออกมาจากร่าง วิหคน้ำแข็งขนาดมหึมาก่อร่างขึ้นเบื้องหลังภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะโปรยปราย
กีดดดด!
เมื่อวิหคน้ำแข็งปรากฏขึ้นก็กระพือปีก ทำให้เกล็ดหิมะกวาดออกพร้อมกับเสียงร้องแหลมคมที่เต็มไปด้วยไอเย็นเยือกดังก้องระหว่างฟ้าดิน
แรงกดดันคลื่นหลิงที่ทรงพลังครอบงำไปทั่ว
“ฉิงเฉวียนเรียกร่างเทพอสูรออกมาแล้ว… ดูท่าเขาไม่คิดจะออมมือแล้วล่ะ”
“มู่เฉินก็มีฝีมือใช้ได้ สามารถบีบให้ฉิงเฉวียนมาถึงจุดนี้”
“แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้ การปะทะครั้งนี้ก็คงจบอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”
“…”
เมื่อวิหคน้ำแข็งปรากฏตัว บทสนทนาหลากหลายก็ดังกึกก้องออกมาจากโดยรอบ ความมั่นใจฟื้นฟูขึ้นในแววตาของสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจชัดเจนว่าฉิงเฉวียนจะทรงพลังเพียงใดหากเขาตั้งใจขึ้นมา
“วิหคน้ำแข็งอเวจีเรอะ…”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองวิหคน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของฉิงเฉวียน จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งไปเล็กน้อย นี่น่าจะเป็นร่างต้นกำเนิดของฉิงเฉวียนสินะ ซึ่งเป็นเส้นทางวิวัฒนาการแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวิหคอนธโลกันตร์ แม้ว่าจะไม่ได้หายากเท่าวิหคอนธโลกันตร์ แต่พลังน้ำแข็งก็ยากที่จะจัดการได้เช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าฉิงเฉวียนไม่คิดจะออมมือต่อไปแล้ว
ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลงหลายส่วน ก่อนที่เขาจะกำหมัดทั้งคู่ แสงหลิงกำจายออกมาจากปลายนิ้ว
ฟิ้ว!
ฉิงเฉวียนกระโจนตัวขึ้นไปบนร่างวิหคน้ำแข็งอเวจี แววตาของเขาเยือกเย็นลง ก่อนที่เขาจะกำกำปั้น เกล็ดหิมะรวมตัวกันอย่างรวดเร็วในฝ่ามือ ครู่เดียวก็กลายเป็นคันธนูน้ำแข็งโบราณขนาดใหญ่ที่มีอักขระน้ำแข็งสลักไว้ด้านบน
เมื่อธนูน้ำแข็งปรากฏขึ้นในมือของฉิงเฉวียน รัศมีทั้งหมดของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกและคมกริบซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
สายตาของฉิงเฉวียนจับจ้องไปที่มู่เฉินราวกับเหยี่ยว จากนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ดึงสายธนูขึ้นทันที เกล็ดหิมะกวาดไปกลายเป็นลูกศรน้ำแข็งยาวสิบกว่าจั้ง
แสงสีน้ำเงินเข้มกะพริบวูบวาบบนปลายลูกศรคมชัดที่เปล่งรัศมีคมกริบออกมาเงียบๆ ซึ่งดูเหมือนจะสามารถทะลุผ่านมิติได้
ชี่! ชี่!
คันธนูขึ้นสายเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง ลูกศรเล็งเป้าไปที่มู่เฉิน โดยไม่รอให้มู่เฉินได้โต้ตอบ ฉิงเฉวียนก็ปล่อยสายธนูออกไป
ปัง!
ท้องฟ้าหิมะโปรยระเบิดออก ทุกคนเห็นเพียงแสงสีขาวกวาดข้ามท้องฟ้าพุ่งไปที่หว่างคิ้วของมู่เฉินด้วยความเร็วสูง
ทันทีที่ลูกศรถูกยิงออกมา มู่เฉินก็รู้สึกว่าเส้นผมลุกชูชัน ไอเย็นยะเยือกหมุนเวียนบนพื้นผิว แสงสีทองพล่านในดวงตาทันที วินาทีต่อมาเขาก็กระทืบเท้า ร่างขยับไปทางซ้ายหลายจั้ง
ตึง!
เมื่อมู่เฉินเคลื่อนตัวออกไป ลูกศรก็ยิงลงบนตำแหน่งที่เขายืนอยู่ก่อนหน้า ทำให้พื้นดินพังทลายลง เกิดหลุมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
มู่เฉินปรากฏตัวนอกหลุมสิบกว่าจั้ง เขาหันไปมองหัวใจก็ถึงกับสั่นสะท้าน นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าก้อนหินน้อยใหญ่ในหลุมถูกกัดกร่อนด้วยไอเย็นที่น่าสะพรึงกลัว การแตะถูกเพียงเล็กน้อยก็ทำให้กลายเป็นฝุ่นผงได้
พลังเบื้องหลังเกล็ดหิมะทรงพลังอย่างแท้จริง นอกจากนี้ที่สำคัญก็คือลูกศรเร็วมาก กระทั่งมู่เฉินที่พยายามหลบหนีเต็มกำลังก็แทบจะปลีกตัวหนีไม่ได้
ครืด
ขณะที่มู่เฉินยังตกตะลึงกับพลังลูกศร เสียงแผ่วเบาอีกเสียงก็ดังขึ้นมา เขารีบเงยหน้าขึ้น จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งลงทันที ฉิงเฉวียนดึงสายธนูบนวิหคน้ำแข็งอีกครั้ง ยามนี้มีลูกศรสามดอกถูกขึ้นสาย อักขระโบราณรวมตัวกันอยู่ที่ปลายลูกศร
แคร็ก!
เสียงลูกศรฉีกผ่านสายลมดังขึ้นฉับพลัน แสงสามสายพุ่งทะลุขอบฟ้า
ร่างของมู่เฉินทะยานถอยไปด้านหลังพร้อมกับเร้ากายามังกรหงส์จนถึงขีดสุด แสงสีทองกระจาย ร่างมายานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทว่าทันทีที่ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นก็ถูกลูกศรสลายลงทันที
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงระเบิดดังสามครั้งติดจากลานหินสีฟ้าอมเขียว หลุมน้ำแข็งใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ขณะที่มู่เฉินเผยร่างออกมาในระยะไกลโดยมีสภาพทุลักทุเลไปหมด
ฉิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉินโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ เขาไม่ปริปากพูดสักคำ แต่ครั้งนี้เมื่อดึงคันธนูลูกศรน้ำแข็งห้าดอกก็ปรากฏขึ้น
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น หากเขาปล่อยให้ฉิงเฉวียนยิงลูกศรออกมาอย่างไม่สิ้นสุด เขาจะตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบในการต่อสู้ยกนี้ เมื่อไรที่เขาโดนลูกศรซัดเข้าสักดอก ห่าลูกศรก็คงกระหน่ำไม่ยั้งเอาชนะเขาได้อย่างสมบูรณ์
“ชายคนนี้ต่อสู้ระยะไกลได้ดีกว่าระยะประชิดตัว”
ประกายแสงวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นร่างเขาพุ่งเข้าหาฉิงเฉวียนทันที ชัดว่าเขาวางแผนที่จะเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายให้มากที่สุด เพื่อฉิงเฉวียนจะไม่สามารถยิงลูกศรได้แบบไม่รู้จบเช่นนี้
ทว่าเมื่อฉิงเฉวียนเห็นการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน เขาก็ยิ้มบางก่อนที่จะกระแทกฝ่าเท้าลงบนพื้น วิหคน้ำแข็งขนาดใหญ่กางปีกออก พายุหิมะโหมกระหน่ำภายในรัศมีพันจั้ง ปีกแข็งแรงกระพือวูบไหวแล้วไปปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะไกล ในเวลาเดียวกันแสงสีขาวหลายสายก็ยิงออกมาจากมือของฉิงเฉวียน
ปัง!
ลูกธนูพุ่งเข้าชนพื้นเบื้องหน้ามู่เฉินอย่างแรง ชั้นน้ำแข็งกวาดออกอย่างรวดเร็ว บีบให้ฝ่าเท้าของมู่เฉินต้องแตะพื้นเพื่อเปลี่ยนทิศทาง
ปัง! ปัง! ปัง!
ถัดจากนั้นไม่กี่นาที มู่เฉินก็อยู่ในสภาพน่าอนาจจากห่าลูกศร ทุกครั้งที่เขากำลังจะเข้าไปภายในรัศมีพันจั้งจากตัวฉิงเฉวียน เขาก็จะถูกบีบหยุดชะงักด้วยลูกศรที่แปลกประหลาด ทำได้เพียงเปลี่ยนทิศทางหลบลูกศรที่พุ่งมาหาเขา
ภาพนี้ทำเอาสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์รู้สึกโล่งใจอย่างมาก หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามีจอมยุทธ์กี่คนที่เสียเปรียบภายใต้กลยุทธ์การต่อสู้นี้จากฉิงเฉวียน ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพ่ายแพ้ แต่ยังต้องกระโดดไปมาซึ่งดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง
ทุกคนรู้ว่าเวลานี้ฉิงเฉวียนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่แพ้แล้ว
บนแท่นศิลา ผู้อาวุโสหลายคนที่เห็นภาพนี้ก็พยักหน้าเบาๆ แม้ว่าฉิงเฉวียนจะหน้าไม่อายไปหน่อยที่ต่อสู้ด้วยวิธีนี้ แต่ผลลัพธ์สำคัญที่สุดในโลก เพราะหากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในดินแดนเสินโซ่ คู่ต่อสู้ของพวกเขาคงไม่มีใครพูดถึงการต่อสู้อย่างยุติธรรมหรอก
“ดูท่าการปะทะครั้งนี้จะได้ผลลัพธ์แล้ว” ผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวยิ้มบางก่อนจะพูดต่อ “เจียงย่ายังไม่ได้ลงประลองเลย แค่ฉิงเฉวียนคนเดียวก็บังคับให้เขาอยู่ในสภาพน่าสมเพชแล้ว… จากภาพนี้มู่เฉินไม่ได้รับตำแหน่งไปแน่นอน”
จิ่วโยวกำมือแน่น นางมองร่างเงาที่กระโดดไปมาหลบโจมตีที่พุ่งมาหาเขาจากทุกทิศทุกทาง นางอดไม่ได้ที่จะขบฟันแน่น
นางรู้ว่ามู่เฉินอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปีรยบเพียงใด
“ไอ้น้องโง่นั่นทำไมยังไม่ใช้ร่างเทพสุริยะอีก…” จิ่วโยวกังวลใจมาก หากมู่เฉินใช้ร่างเทพสุริยะ แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะฉิงเฉวียนได้ เขาก็จะไม่บีบให้อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้
ขณะที่จิ่วโยวรู้สึกกังวลในใจ เทียนฮวงที่อยู่ข้างๆ ก็มองไปที่ลานประลองด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาจ้องดูร่างเงาของมู่เฉินที่หลบหัวซุกหัวซุน ทันใดนั้นม่านตาเขาก็หดลง
“เจ้าเด็กนั่น…”
เทียนฮวงมองร่างมู่เฉินที่หลบหนีไปมา ด้วยการควบคุมคลื่นหลิงที่น่ากลัวของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทำให้เขารู้สึกได้เลือนรางว่าทุกครั้งที่ร่างมู่เฉินพุ่งไปมา ปลายเท้าจะสัมผัสกับพื้นดิน ซึ่งวินาทีนั้นเหมือนจะมีคลื่นหลิงซึมลงไปในพื้นดิน
สายตาของเทียนฮวงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดิ่งลึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ยามนี้ผืนฟ้าและผืนดินเริ่มโปร่งใสในสายตาของเขา ทันใดนั้นเขาก็หดตาลง
นั่นเป็นเพราะขณะนี้เขาเห็นค่ายกลแสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้นดินของลานประลอง นี่เป็นค่ายกลที่สร้างซ่อนไว้ใต้ดินโดยที่คนนอกยากที่จะตรวจจับได้
“นั่นมัน…ค่ายกล!”
“เขาเป็นหลิงเจิ้นซือด้วยรึ?!”
หัวใจของเทียนฮวงเต้นไม่เป็นส่ำ ที่แท้เฉินไม่ได้ถูกบังคับให้อยู่ในสถานะน่าสมเพชโดยฉิงเฉวียนจนต้องกระโดดขึ้นๆ ลงๆ จริงๆ แล้วเขาแอบใช้โอกาสนี้วางโครงข่ายค่ายกลขนาดใหญ่รอบร่างฉิงเฉวียนต่างหาก!
ขณะที่ในใจเทียนฮวงสั่นสะท้านไปหมด ร่างของมู่เฉินซึ่งหลบไปมาก็หยุดลง เขากระทืบพื้นเบาๆ ก่อนที่จะเทคลื่นหลิงสายสุดท้ายลงไป
“ในที่สุดเจ้าก็หลบไม่ไหวแล้วรึ?”
เมื่อฉิงเฉวียนดังนี้ก็พูดขึ้นอย่างไม่แยแส “งั้นก็มาจบศึกนี้กันเถอะ”
พูดจบเขาก็ดึงสายธนูจนสุดอีกครั้ง ลูกศรหลายสิบก่อตัวขึ้นบนธนู ไอเยือกเย็นที่น่าสะพรึงกวาดออกมา
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองฉิงเฉวียนที่ดึงธนูด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่อ่อนเยาว์พูดเบาๆ ว่า “เล่นกับเจ้ามาตั้งนานก็ควรจบได้แล้ว”
พูดจบมู่เฉินก็กระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างแรง
ตึง!
พื้นดินที่อยู่ใต้เท้าร่วงกราว ลำแสงนับหมื่นพุ่งพรวดออกมาจากลานประลอง ความผันผวนคลื่นหลิงที่น่าตกใจระเบิดออกมาจากพื้นดิน
ค่ายกลตาข่ายฟ้าเปิดใช้งาน!
บทที่ 974 ค่ายกลซ้อนสอง
ตึง!!!
ทันใดนั้นเสียงกัมปนาทก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นออกมาจากลานหิน ประกายแสงแวววาวเปล่งออกมาภายใต้สายตาตกตะลึงที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน
“เกิดอะไรขึ้น?!”
สมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์จำนวนมากมีสีหน้าตะลึงไป พวกเขาจ้องมองในลานประลองก็เห็นมีเกลียวแสงกระจายไปทั่วรัศมีพันจั้ง นอกจากนี้ยังห่อหุ้มร่างฉิงเฉวียนไว้พอดีด้วย
“มู่เฉินเหมือนทำอะไรบางอย่างไป!” มีคนอุทานออกมา เมื่อมองจากรูปการณ์นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่มู่เฉินทำขึ้นแน่นอน
บนแท่นหิน ผู้อาวุโสของเผ่าก็ฉายความตกใจและสงสัยบนใบหน้า ขณะที่สายตาจ้องมองฉากนี้ด้วยแววตาวูบไหว อึดใจดวงตาที่จ้องมองลานประลองก็เปลี่ยนไป ดูเหมือนพวกเขาจะรู้สึกถึงบางสิ่ง
ภายใต้ความสนใจที่พุ่งมา ฉิงเฉวียนที่ยืนอยู่กลางแสงหลิงสว่างจ้าก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป เขามองรอยแตกที่กระจายออกใต้ฝ่าเท้า คลื่นหลิงแปลกประหลาดเปล่งออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ฉิงเฉวียนตกใจไป ทันใดนั้นเขาก็ไม่ลังเล รีบควบคุมวิหคน้ำแข็งอเวจี ปีกขนาดใหญ่กระพือ พายุหิมะซัดกระหน่ำ ร่างใหญ่เตรียมโผทะยานออกไป
ยามนี้ฉิงเฉวียนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าก่อนหน้าที่มู่เฉินหลบหลีกในสภาพน่าสมเพชเป็นแค่การหลอกสายตาคนอื่น แม้ว่าเขาจะไม่แน่ในสิ่งที่มู่เฉินทำไปรอบๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำตอนนี้คือออกจากบริเวณนี้ให้เร็ว เมื่อออกไปได้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมือจัดการซัดมู่ฉินให้อ่วมไปเลย
ตู้ม!
พายุหิมะโหมกระหน่ำ ร่างใหญ่ของวิหคน้ำแข็งอเวจีโผทะยานออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ทำให้ยากที่จะขัดขวาง
ทว่าเผชิญกับความพยายามที่จะหลบหนีของฉิงเฉวียน มู่เฉินเพียงแต่ยิ้มบางก่อนที่จะหงายมือยกขึ้นเบาๆ
ฮึ่ม!
แสงทรงพลังในบริเวณนี้พวยพุ่งอย่างป่าเถื่อนจนถึงขีดสุด เกลียวแสงพล่านออกไปครอบคลุมรัศมีในระยะหลายพันจั้ง
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
จังหวะที่ความแวววาวห่อหุ้มไปทั่ว ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยิงออกมาจากโดยรอบ ราวกับมีโซ่มากมายซ่อนอยู่ในริ้วแสง โซ่เหล่านั้นปกคลุมไปด้วยอักขระโบราณที่ดูเหมือนกับจะพริบพราวไปด้วยแสง
เมื่อโซ่กระจายออกมาก็ปกคลุมดวงอาทิตย์ราวกับตาข่ายล้อมรอบพื้นที่นี้ทั้งหมดไว้
โซ่ที่ปรากฏฉับพลันทำให้ฉิงเฉวียนตกใจ แต่ก่อนที่เขาจะขยับโซ่ก็พุ่งเข้ามา อึดใจเดียวก็พันรอบร่างวิหคน้ำแข็งอเวจีปานสายฟ้าฟาด
ตู้มมมม!
วิหคน้ำแข็งอเวจีดิ้นรนอย่างรุนแรง คลื่นหลิงน่าตื่นตาและรุนแรงระเบิดออกมาจากร่างมัน แต่ไม่ว่ามันจะมีดิ้นรนแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำอะไรกับโซ่เหล่านี้ได้
เพียงอึดใจเดียววิหคน้ำแข็งอเวจีก็ถูกผูกมัดไว้แล้ว
ภาพนี้ทำให้หัวใจของฉิงเฉวียนสั่นไหว เขากระแทกฝ่าเท้า ร่างเงาของเขาก็เตรียมกระโจนออกไป
ฉ่า!
แต่ทันทีที่เขาขยับ โซ่ก็ส่งเสียงดังมาจากเบื้องหลังราวกับงูพิษ มัดแขนขาของเขาเอาไว้
ปัง! ปัง!
คลื่นหลิงในร่างฉิงเฉวียนระเบิดอย่างรุนแรง พยายามจะสะบัดให้หลุดจากพันธนาการ ทว่าโซ่ก็ยังพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เกาะติดเขาราวกับผีเสื้อกลางคืน ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็หลุดพ้นไปไม่ได้
“ค่ายกล?!”
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันของสถานการณ์ ทำให้ใบหน้าของฉิงเฉวียนเปลี่ยนแปร ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนที่มู่เฉินหลบหลีกการโจมตีอย่างทุลักทุเล อีกฝ่ายก็จัดตั้งค่ายกลทรงพลังเช่นนี้ออกมาบนพื้นดิน
“พลังในการผูกมัดของค่ายกลนี้ทรงพลังมาก ขนาดข้าก็ไม่สามารถฝ่าไปได้ทันที… ที่แท้เขาวางแผนไว้ตั้งแต่เริ่มต้นโดยใช้ค่ายกลยับยั้งความเร็วข้าและเข้าโจมตีข้า”
ดวงตาของฉิงเฉวียนกะพริบวาบ ตอนนี้เขาเข้าใจแผนการของมู่เฉินแล้ว มู่เฉินเข้าใจว่าการโจมตีระยะไกลของเขาจัดการยากเพียงใด ดังนั้นอีกฝ่ายจึงตั้งใจเผยจุดอ่อน เพื่อแอบจัดเรียงค่ายกลยับยั้งความว่องไวของเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฉิงเฉวียนก็อดสูดหายใจเย็นเข้าปอดไม่ได้ ทักษะการวางแผนต่อสู้ของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกอึ้งไป ชายคนนี้สามารถหาวิธีต่อสู้กับเขาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
ตู้ม!
ขณะที่ฉิงเฉวียนตกตะลึงในใจ แสงสีทองก็กำจายออกมารอบร่างมู่เฉินที่อยู่ภายนอกค่ายกล อึดใจร่างสีทองขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้น ดวงตะวันสีทองเจิดจรัสลอยอยู่ด้านหลังศีรษะ เปล่งคลื่นพลังงานที่น่ากลัวออกมา นี่ก็คือร่างเทพสุริยะของมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินเรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมาก็ไม่มีความลังเล ตราประทับในมือเปลี่ยนไป ดวงตะวันสีทองสว่างสดใสห้าดวงปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของร่างใหญ่ก่อนจะระเบิดออก
ครืน!
ทักษะเทห์สวรรค์ หอกห้าสุริยะ!
แสงสีทองพวยพุ่งขึ้น ก่อร่างเป็นหอกทองคำขนาดพันจั้งในมือของร่างเทพสุริยะ ที่ปลายหอกมีดวงตะวันหมุนคว้างห้าดวง ความโชติช่วงและความน่ากลัวครอบงำก็แผ่ซานออกมาจากมัน
เมื่อรู้สึกถึงความผันผวนในหอกทองคำ ฉิงเฉวียนก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตา เผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ ถึงเขาจะไม่ถูกพันธนาการ เขาก็ต้องใช้พลังทั้งหมดในการป้องกัน แทบไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ที่เขาถูกผูกไว้อย่างเหนียวแน่นเลย!
มู่เฉินเจ้าเล่ห์จริงๆ หากใช้วิธีนี้ตั้งแต่เริ่มต้นเขาจะถูกบังคับให้อยู่ในสภาพน่าสมเพชแบบนี้ได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นฉิงเฉวียนจะระวังตัวแจ ไม่ให้โอกาสเขาในการตั้งค่ายกลจนสำเร็จ
ครืนนน!
ร่างสีทองขนาดใหญ่ย่างเท้าบนพื้นจากนั้นก็พุ่งทะยานออกมาพร้อมกับหอกทองคำเล็งเป้าไปที่ฉิงเฉวียนที่ถูกพันธนาการเอาไว้ ซึ่งกำลังหมุนเวียนคลื่นหลิงอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้หลุดพ้นจากค่ายกลนี้ไปให้จงได้
ทว่าเห็นได้ชัดว่าไม่มีเวลาแล้ว เมื่อเขาเห็นร่างทองคำมหึมาใกล้เข้ามาก็ร้องตะโกนว่า “เจียงย่า เจ้าจะยืนดูต่อไปอีกนานแค่ไหน?!”
นอกลานประลองใบหน้าของเจียงย่าอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน นั่นเป็นเพราะพลังการต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมา ทำให้เขารู้สึกสะดุ้งในใจ
ไอ้เวรนี้เป็นหลิงเจิ้นซือด้วย!
เขาซ่อนความสามารถไว้ตั้งแต่แรก!
สายตาของเจียงย่าเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เขาแสดงท่าทีเหนือกว่าเพื่อให้ฉิงเฉวียนออกไปจัดการมู่เฉิน หากเขาเข้าร่วมการต่อสู้ งานนี้จะถูกวิจารณ์ยับแน่นอน ทว่าตอนนี้เขารู้สึกถึงอันตรายจากตัวมู่เฉินแล้ว ถ้าเขาปล่อยให้ฉิงเฉวียนแพ้ แล้วเขาจะจัดการกับมู่เฉินคนเดียวได้ไหม?
ถ้าเป็นเมื่อครู่บางทีเขาอาจผงกหัวตอบโดยไม่ลังเล แต่ขณะนี้…เขาไม่มั่นใจพอที่จะพูดอย่างนั้นแล้ว
สายตาของเจียงย่าเปลี่ยนไป จากนั้นดวงตาหดลงโดยไม่ลังเลอีกต่อไป เขากำมือหอกยาวสีแดงเข้มก็ปรากฏในพริบตา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพรั่งพรูออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด
ฟิ้ว!
ร่างของเจียงย่าเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมกับปลายหอกชี้ไปทางมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะฉวยโอกาส ในจังหวะที่มู่เฉินเอาชนะฉิงเฉวียนได้ เขาก็จะคว้าช่วงเวลานั้นเอาชนะมู่เฉินอีกต่อหนึ่ง
ด้วยวิธีนี้เขาจะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
การกระทำของเจียงย่าทำให้เกิดโกลาหลขึ้น สมาชิกบางส่วนของเผ่าถึงกับเบ้ปาก เมื่อครู่เจียงย่ายังทำตัวโอหัง แต่ตอนนี้เขากลับฉวยโอกาสจากมู่เฉินที่ปะทะกับฉิงเฉวียนอย่างเต็มกำลัง
แต่ไม่ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ว่ามู่เฉินจะชนะหรือแพ้ก็ไม่มีใครในเผ่าวิหคโลกันตร์กล้าสบประมาทเขาอีกต่อไป
ภายใต้สายตาที่จ้องมอง เจียงย่าก็พุ่งเข้าสู่รัศมีการต่อสู้ทันที คลื่นหลิงในร่างเขาก็ระเบิดโดยไม่มีการยับยั้ง เมื่อคลื่นหลิงแผ่ขยายออกไปก็พุ่งเป้าไปที่มู่เฉินทุกทิศทาง
การเคลื่อนไหวของเจียงย่าเห็นได้ชัดว่าทำให้มู่เฉินที่เพิ่งพลิกสถานการณ์ตกอยู่ในหายนะ เพราะไม่ว่าเขาเลือกโจมตีฉิงเฉวียนหรือหมุนกลับมาป้องกัน ก็จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
หากเลือกข้อแรกก็จะทำให้เขาพ่ายแพ้เจียงย่า หากเลือกข้อสองก็จะทำให้เขาสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการเอาชนะฉิงเฉวียน ทันทีที่เขาหยุดการโจมตี เขาจะต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมสองประสานจากเจียงย่าและฉิงเฉวียนแน่แท้
หากเป็นเช่นนั้นโอกาสในการชนะก็จะไม่สูงมาก
สายตามากมายจับจ้องไปที่มู่เฉิน แม้แต่ผู้อาวุโสเผ่าก็อดจ้องมองไปไม่ได้ เพราะพวกเขาต้องการทราบว่ามู่เฉินจะจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไร
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนเจียงย่าก็ทะยานเข้าใกล้มู่เฉินมากขึ้น
มู่เฉินยืนอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะเหลือบมองแสงที่พุ่งเข้าหาจากด้านหลัง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองฉิงเฉวียนที่ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มบางออกมา
เมื่อรอยยิ้มประดับบนมุมปาก เขาก็วาดตราประทับด้วยมือเดียวพึมพำว่า “ค่ายกลดาบบงกชไพลินเปิดใช้งาน!”
ฮึ่ม!
ทันทีที่เสียงของมู่เฉินดังก้อง ทุกคนก็เห็นดาบแสงสีฟ้ายิงขึ้นไปบนท้องฟ้า โลกถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อดาบแผดเสียงดังกึกก้องระหว่างฟ้าดิน
โห่!
ความโกลาหลปะทุด้านนอกลานประลอง จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนตะลึงไป แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยไม่สามารถควบคุมได้
นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่ามู่เฉินวางค่ายกลอีกค่ายหนึ่งนอกค่ายกลตาข่ายฟ้า!
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้วางค่ายกลไว้เพียงหนึ่งเดียว แต่เป็นสองค่ายกล!
เพียงแต่ว่าค่ายกลที่สองถูกปกปิดโดยค่ายกลแรก ถึงจุดที่แม้แต่เทียนฮวงก็ยังไม่สามารถรู้สึกได้ เนื่องจากเทียนฮวงไม่ได้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับเรื่องค่ายกล
มู่เฉินหลอกทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้!
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ในลานประลองมู่เฉินไม่ใส่ใจกับเสียงโห่ร้อง เขาพลิกนิ้วขึ้นเบาๆ แสงสีฟ้าที่ปกคลุมท้องฟ้าก็กวาดตัวก่อร่างเป็นดาบดอกบัวสีฟ้าพุ่งทะลุผ่านมิติยิงไปที่เจียงย่าซึ่งไม่ทันตั้งตัว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดาบดอกบัวสีฟ้าพุ่งเข้าหาเจียงย่า หอกในมือของร่างเทพสุริยะก็หยุดนิ่ง ก่อนที่จะพลิกกลับหลังหัน ร่างยักษ์ก้าวย่างออกมาภายใต้การจ้องมองน่าตกใจนับไม่ถ้วน ปรากฏที่เบื้องหน้าเจียงย่า หอกทองคำก็ซัดลงไป
หอกและดาบปิดเส้นทางการถอยของเจียงย่า นอกจากนี้การโจมตีกระบวนท่าสอดประสานนี้ก็ทำให้ใบหน้าของเจียงย่าซีดลงทันที
วินาทีนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าตั้งแต่เริ่มต้นฉิงเฉวียนไม่ใช่เป้าหมายของมู่เฉิน แต่อีกฝ่ายรอให้เขากระโดดลงมาเข้าร่วมวงการต่อสู้ต่างหาก!
ค่ายกลดาบที่ไม่ได้เปิดใช้งาน แสดงให้เห็นว่าทำเพื่อปกป้องการตลบหลังจากเขา!
และทันทีที่เขาลงมือโจมตีก็จะตกอยู่ในฐานะฝ่ายเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง!
ช่างเป็นจิตในการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวนัก!
ในช่วงเวลานั้นแม้แต่เจียงย่าก็รู้สึกเย็นเยือกในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือฉิงเฉวียนต่างก็พ่ายแพ้ในการปะทะกับมู่เฉิน!
ตู้มมมม!
ขณะที่ใบหน้าของเจียงย่าซีดลง หอกสีทองและดาบดอกบัวสีฟ้าก็ซัดออกมาพร้อมด้วยพลังงานหลิงที่น่ากลัว จากนั้นก็ระเบิดออกมาต่อหน้า ทำให้มิติฉีกขาดออกจากกันด้วยคลื่นครอบงำ
อ็อก!
ภายใต้ผลกระทบ ร่างของเจียงย่าก็ปลิวออกไปในสภาพน่าสลด การป้องกันทั้งหมดพังทลาย เขากระเด็นออกจากลานประลอง ทิ้งรอยลึกไว้บนพื้น
ร่างเจียงย่านอนพังพาบในหลุมซึ่งเต็มไปด้วยเลือดรัศมีมืดมนลง เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไม่ใช่มู่เฉินยั้งมือไว้ละก็ การเผชิญหน้ากับค่ายกลระดับตี้ขั้นสูงและแรงเต็มอัตราศึกของหอกสีทอง เขาถูกฆ่าตายไปนานแล้ว
แต่กระนั้นเจียงย่าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาสู้ได้อีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน เจียงย่าที่เพิ่งเข้าร่วมการประลองและกำลังออกกระบวนท่าซุ่มโจมตีเพื่อบังคับให้มู่เฉินตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง… ก็ต้องถลาออกไปพร้อมกับความล้มเหลว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น