หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 967-970
บทที่ 967 สองเดือนในการเตรียมพร้อม
“อีกสองเดือนไปเผ่าวิหคโลกันตร์”
มั่นถัวหลัวไม่ได้แปลกใจสำหรับการเลือกของมู่เฉินเลย นางเหลือบมองไปที่ชายหนุ่ม “แต่สิ่งที่ผู้อาวุโสเทียนเช่อพูดนั้นถูกต้อง ด้วยพลังปัจจุบันของเจ้า หากไม่ใช้พลังรัศมีจั้นยี่ ไม่ง่ายที่จะได้ตำแหน่งที่สี่มา”
มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น แต่อัจฉริยะสองคนที่แข่งขันกันเพื่อตำแหน่งสุดท้ายของเผ่าวิหคโลกันตร์แข็งแกร่งยิ่งกว่าหลิ่วชิงเสียอีก ไม่แน่พวกเขาอาจสัมผัสขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้วก็ได้
ถ้าบวกกับร่างกายเทพอสูร พลังการต่อสู้ก็จะยิ่งเหนือล้ำขึ้นไปอีก ดังนั้นถ้ามู่เฉินต้องการเอาชนะพวกเขาและคว้าตำแหน่งมาให้ได้ก็คงเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้…ต่อให้เขาชนะ ถ้าเขาต้องการจะช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะ เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับอัจฉริยะจากเผ่าเทพอสูรต่างๆ ซึ่งอาจทรงพลังขึ้นอีกหลายขุม ด้วยขุมพลังในปัจจุบันของมู่เฉินชัดว่าไม่เพียงพอเลยทีเดียว
มั่นถัวหลัวพูดความจริงใส่ มู่เฉินก็ไม่ได้แสดงความกระอักกระอ่วนบนใบหน้า เขายิ้มบาง “นั่นก็จริง แต่…”
“ข้ายังมีเวลาสองเดือนไม่ใช่เหรอ?”
“หืม?”
เมื่อมั่นถัวหลัวและจอมพลทั้งสามได้ยินคำพูดนี่ พวกเขาก็หดดวงตาก่อนที่จะจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาสว่างวาบ
เมื่อมู่เฉินเห็นสายตานี่ก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนหน้านี้เขาใช้ยาหยุ่นลั้วบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้ว ในครึ่งปีหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้คิดบรรลุกลับเลือกที่จะรักษาคลื่นหลิงไว้ในร่างกาย ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาคลื่นหลิงของเขาก็มาสู่ความสมบูรณ์แบบแล้ว
ในการฝึกฝนครั้งล่าสุด เขาสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ ความรู้สึกไม่คุ้นชินที่เขาเคยมีตอนเกิดพัฒนาการหายไปอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นเขาสามารถสร้างพัฒนาการอีกครั้งในขณะนี้
“แต่เรื่องนี้อาจต้องการความช่วยเหลือจากท่านประมุขน่ะ” มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวแล้วอมยิ้ม
“ว่ามา” มั่นถัวหลัวสะบัดมือ ท่าทางน่ายำเกรงมาก
“ข้าคงต้องการของเหลวจื้อจุนไม่น้อยสำหรับพัฒนาการนี้ ดังนั้นต้องขอยืมของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดหน่อย” มู่เฉินยิ้มกล่าว
เมื่อถึงคราวจะบรรลุก็ต้องใช้คลื่นหลิงจำนวนมาก ตอนนี้ยาหยุ่นลั้วที่ได้มาหมดลงไปแล้ว เขาก็ต้องใช้ของเหลวจื้อจุนแทน แต่ถุงเงินของมู่เฉินช่างว่างเปล่า
แม้ว่าหอวิหคโลกันตร์จะขยายตัวอย่างมากเมื่อเร็วๆ นี้ มิหนำซ้ำจำนวนเมืองที่อยู่ใต้อาณัติก็มากเป็นอันดับหนึ่งของเหล่าผู้บัญชาการ ทว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินจะร่ำรวย เป็นเพราะเมื่อหอวิหคโลกันตร์ขยายตัวออก พวกเขายิ่งต้องใช้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมาก นอกจากนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่เมืองต่างๆ จะส่งบรรณาการ หอวิหคโลกันตร์จะไปบีบคั้นเมืองขึ้นเหล่านี้ก่อนที่พวกเขาจะจัดการเรียบร้อยก็ไม่ได้ มิฉะนั้นบางเมืองอาจจะก่อกบฏขึ้นได้
“ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยด? ได้ เดี๋ยวข้าจะให้คนส่งไปให้” การร้องขอของมู่เฉินเช่นนี้ มั่นถัวหลัวไม่ได้ลังเลอะไร เนื่องจากมู่เฉินมีส่วนอย่างมากในสงครามล่าและการมีส่วนร่วมของเขาไม่ได้แค่การขยายตัวของหอวิหคโลกันตร์เท่านั้นที่สามารถชดเชยได้
“เฮ้ เจ้าเป็นสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้านะ ถ้าไปเผ่าวิหคโลกันตร์ก็อย่าปล่อยให้พวกนั้นมาดูถูก ดังนั้นต้องการอะไรก็บอกมาเลย สำนักเราจะพยายามตอบสนองคำขอของเจ้า”
เมื่อมู่เฉินเห็นมั่นถัวหลัวทำตัวเหมือนรวย เขาก็อดยิ้มพลางไตร่ตรอง ก่อนที่จะพูดแบบไม่เกรงใจ “งั้นแบบนี้ข้าต้องรบกวนท่านประมุขช่วยรวบรวมภาพค่ายกลให้หน่อย ถ้าเป็นไปได้ขอเป็นค่ายกลระดับเทียน…”
“ค่ายกลระดับเทียน?”
เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวก็เปล่งประกายระยับ จากนั้นนางก็กวาดมองมู่เฉิน ก่อนที่จะพูดช้าๆ “เจ้าสามารถวางขบวนแถวค่ายกลระดับเทียนได้แล้วรึ? นี่ไม่ได้หมายความว่า…ตอนนี้เจ้าเป็นหลิงเจิ้นต้าซือขั้นเทียนแล้วรึ”
หลิงเจิ้นต้าซือจำแนกออกเป็นสามขั้นได้แก่เหยิน-ตี้-เทียน ทั้งสามขั้นนี้เทียบเท่ากับทั้งเก้าขั้นของระดับจื้อจุน เมื่อก่อนดอกบัวสี่ทิศที่มู่เฉินวางไว้ในค่ายกลบัวยมทูตนับเป็นเพียงค่ายกลขั้นตี้ ในเวลานั้นเขายังห่างไกลจากขั้นเทียนมาก แต่เนื่องจากเป็นเวลานานพอสมควรแล้วที่มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกลเพื่อจัดการศัตรู ทำให้กระทั่งมั่นถัวหลัวยังลืมไปสนิทว่าความจริงมู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นซือด้วย…
แต่ขณะนี้เมื่อมู่เฉินพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าจั้นเจิ้นซือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของหลิงเจิ้นซือ มิหนำซ้ำมู่เฉินยังมีพรสวรรค์มากในศาสตร์ค่ายกล มิฉะนั้นเขาจะมีพัฒนาการในด้านรัศมีจั้นยี่อย่างรวดเร็วได้อย่างไร
จอมพลทั้งสามผงะไปเมื่อมองดูมู่เฉิน ถ้ามู่เฉินสามารถสร้างค่ายกลระดับเทียนได้จริง ต่อให้เป็นภาพชั้นต่ำที่สุด ก็เทียบเคียงได้กับขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว
เผชิญกับแววสงสัยของมั่นถัวหลัวและจอมพลทั้งสาม มู่เฉินก็ยิ้มบาง “แม้ว่าจะยังค่อนข้างไม่เสถียร แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่าง หากมีภาพค่ายกลระดับเทียนให้เรียนรู้ ข้าก็น่าจะสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นอีก”
ในหนึ่งปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกฝนค่ายกลแบบจริงจัง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทิ้งมันไป เพียงแต่ว่าเขาจัดลำดับความสำคัญการเพาะบ่มทางด้านศาสตร์อื่นๆ ก่อน
นอกจากนี้หลังจากศึกษารัศมีจั้นยี่ เขาก็ตระหนักถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างศาสตร์ทั้งสอง เมื่อเขาศึกษารัศมีจั้นยี่ เขาก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลบางอย่างด้วย ซึ่งทำให้ความสามารถในด้านค่ายกลเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ทว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้สนใจมากนัก เนื่องจากเวลาที่เร่งรัดและการเข้าร่วมสงครามล่า ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีเวลาพอที่จะหาภาพค่ายกลระดับเทียนมาศึกษา แต่ตอนนี้ชัดว่าเขาต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากใหม่แล้ว เพราะนี่จะเป็นไพ่ตายที่จะช่วยให้จิ่วโยวได้รับเลือดวิหคอมตะ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะซ่อนอะไรไว้เยอะนะเนี่ย… มิน่าล่ะถึงกล้ารับงานนี้” ดวงตาของมั่นถัวหลัวกะพริบด้วยแสงประหลาดขณะที่รู้สึกโล่งใจภายใน แบบนี้นางก็ไม่ต้องห่วงเรื่องให้มู่เฉินเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่แล้ว เพราะท่ามกลางเผ่าทรงพลัง อัจฉริยะเหล่านั้นไม่ใช่คนที่เป็นมิตร พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนืออย่างแน่นอน
“งั้นแบบนี้ เจ้าก็ควรเข้าไปในดินแดนเสินโซ่สักหน่อย ที่นั่นจะเป็นโอกาสดีสำหรับเจ้าที่อาจทำให้บรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง…”
“โอ้?”
เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นสะท้าน คัมภีร์หลงเฟิ่งไม่เพียงแต่ทำให้เขาสร้างกายามังกรหงส์ได้เท่านั้น แต่ยังมอบลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงไว้ด้วย แม้จะเป็นแค่ขั้นแรก แต่ก็มอบความช่วยเหลือมหาศาลให้แก่มู่เฉิน ลวดลายมังกรแท้จริงมอบความสามารถโจมตีที่ทรงพลังและปกป้องเขาในช่วงเวลาวิกฤต ส่วนลวดลายหงส์ฟ้าแท้จริงช่วยเพิ่มความเร็วเกินพิกัด ในการต่อสู้ที่ผ่านมาลวดลายทั้งสองช่วยเหลือเขามานับไม่ถ้วน
ขั้นแรกเป็นการปลุกวิญญาณ ซึ่งเป็นการก่อกำเนิดลวดลายมังกรและหงส์ฟ้า
ส่วนขั้นสองจะเป็นการสร้างกายา
ตามชื่อบอกเป็นนัยว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสามารถหลุดออกจากร่างกายของมู่เฉิน จนมีพลังที่แตกต่างไปสิ้นเชิง
นั่นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงปฐมภูมิอย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อถึงเวลานั้นความสามารถของลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงถึงจะเริ่มเผยออกมา
เมื่อก่อนมู่เฉินก็โหยหาสิ่งนี้นัก แต่การฝึกฝนคัมภีร์หลงเฟิ่งยากเกินไป แม้ว่าเขาจะใช้พลังงานทั้งหมดไป แต่ก็ยังไม่สามารถแตะเข้าไปในขั้นสองได้
นั่นเป็นเพราะวิธีการฝึกฝนจำเป็นต้องใช้แก่นเลือดบริสุทธิ์เทพอสูรจำนวนมาก ซึ่งยากมากที่จะหาได้ในมหาพันภพ แต่ในดินแดนเสินโซ่มีเทพอสูรจำนวนมากที่ล้มหายตายจาก แม้แต่มหาเทพอสูรก็ไม่ได้รับการยกเว้น ถ้ามู่เฉินโชคดีพอที่ได้มา ก็อาจเป็นไปได้ที่เขาจะไปถึงขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งจริงๆ
“ดูเหมือนว่าจะต้องไปที่ดินแดนเสินโซ่แน่แล้ว…” แค่คิดมู่เฉินก็ยิ้มบางขณะที่พึมพำกับตัวเอง
“ส่วนเรื่องค่ายกลระดับเทียนไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง แม้เวลาจะกระชั้นไปสักหน่อย แต่ก็น่าจะพอหาได้ แค่ต้องจ่ายเพิ่มเท่านั้น” มั่นถัวหลัวพยักหน้า
ราคาของภาพค่ายกลระดับเทียนไม่ต่ำเลย ยิ่งถ้าต้องการในเวลาอันสั้น ก็ต้องเสียของเหลวจื้อจุนจำนวนมากแน่
“รบกวนเจ้าด้วยนะ” มู่เฉินพยักหน้า โชคดีที่เขาได้รับการสนับสนุนจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่เช่นนั้นถ้าต้องพึ่งพาตัวเอง เขาคงอยู่ภายใต้แรงกดดันหนักหนาแน่นอน
“ในสองเดือนนี้ ข้าก็คงต้องเริ่มดูดซับของเหลวหลิงเสินด้วยเช่นกัน เผื่อเกิดอะไรขึ้นตอนพาเจ้าเดินทางไปที่เผ่าวิหคโลกันตร์…” มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ
แม้ว่ามู่เฉินดูเหมือนจะเตรียมการอย่างดี แต่มั่นถัวหลัวก็ต้องเตรียมแผนสำรองในกรณีที่มู่เฉินไม่ได้รับตำแหน่ง แล้วเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ไม่ยอมปล่อยเขาออกมา คิดจะกักตัวเขาเอาไว้ เวลานั้นนางอาจต้องปะทะกับจอมยุทธ์เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ได้
เผ่าวิหคโลกันตร์มีรากฐานมั่นคง แม้ว่าจะไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ตราบใดที่มั่นถัวหลัวไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแท้จริง
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ก็เข้าใจความกังวลของนางทันที เขาเม้มปากก่อนที่จะพูดเบาๆ ว่า “ขอบคุณนะ”
เขาเข้าใจดีถึงอันตรายที่มั่นถัวหลัวต้องเจอ เพราะเผ่าวิหคโลกันตร์ไม่ใช่กลุ่มที่ขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือจะเทียบได้ เผชิญหน้ากับพวกเขา อาณาเขตกงเวทสวรรค์ดูด้อยกว่าหลายส่วน แต่ถึงอย่างนั้นมั่นถัวหลัวก็เลือกที่จะสนับสนุนเขา ความจริงใจนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกขอบคุณในใจอย่างสุดซึ้ง
ยามนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการให้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจกับมั่นถัวหลัวเป็นการตัดสินใจที่ดีแค่ไหน
ถ้าเขาไม่สนับสนุนนางโดยไม่มีเงื่อนไขก่อน บางทีนางอาจจะไม่สนับสนุนเขาจนถึงจุดนี้ก็ได้
“ไม่ต้องเยอะ…”
มั่นถัวหลัวโบกมือขณะที่พูดต่อ “เรื่องที่เหลือเจ้าไม่ต้องมากังวลแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือบรรลุระดับจื้อจุนขั้นหกภายในสองเดือน!”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนางก็พยักหน้าเบาๆ ความมั่นใจแล่นพล่านในส่วนลึกของม่านตาสีดำ
สองเดือนต่อจากนี้ทุกอย่างจะต้องชัดเจน
บทที่ 968 ระดับจื้อจุนขั้นหก
ลึกเข้าไปในเขตต้าหลัวเทียน
บนยอดเขาสูงตระหง่านนี้สามารถมองเห็นดินแดนครึ่งหนึ่งได้เลยทีเดียว สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยคลื่นหลิงที่หนาแน่นที่สุดในเขตต้าหลัวเทียน
ในอดีตที่นี่เป็นสถานที่ที่มั่นถัวหลัวใช้ฝึกฝน สมาชิกธรรมดาสามัญไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามา แต่ในเวลานี้เพื่อให้เกิดสภาพที่ดีที่สุดสำหรับมู่เฉิน มั่นถัวหลัวจึงได้ให้ยืมพื้นที่ในการฝึกฝนนี้
เวลานี้บนยอดเขา ห้องศิลาถูกเปิดออก โดยมีมู่เฉินยืนอยู่เบื้องหน้า เขามองไปที่หมอกบางจางที่ปกคลุมบริเวณนี้ ร่องรอยอัศจรรย์ใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตา
นั่นเป็นเพราะหมอกเหล่านี้สร้างมาจากคลื่นหลิง ซึ่งบ่งบอกได้ว่าคลื่นหลิงในพื้นที่นี้หนาแน่นและบริสุทธิ์เพียงใด… ชัดเจนว่ามีค่ายกลบรรจบจิตหรือสิ่งที่คล้ายคลึงอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งรวบรวมพลังงานฟ้าดินไว้ในเขตต้าหลัวเทียน
“ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ”
มู่เฉินยิ้มบางไม่รอช้าเดินเข้าไปในห้องศิลา เมื่อห้องปิดลงเขาก็นั่งลงบนเตียงหินกว้างขวาง
เขาไม่ได้รีบบรรลุทันที แต่กลับหลับตาลงค่อยๆ สงบใจ คลื่นหลิงรอบตัวเปลี่ยนเป็นหมอกลอยเข้าไปในนาสิกประสาท ไหลเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างไม่รู้จบ
เขาต้องการปรับสภาพให้สมบูรณ์แบบที่สุด
กระบวนการนี้เพียงอย่างเดียวก็ใช้เวลาเกือบห้าวัน เมื่อถึงวันที่ห้ามู่เฉินก็ลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำเปล่งประกายแวววาวราวกับอัญมณี นี่เป็นการแสดงออกของระลอกคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในร่างกายมาถึงขีดจำกัด
มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงยิ่งใหญ่ที่ไหลไปทั่วแขนขาและกระดูก ทุกการเคลื่อนไหวมีพลังพอที่จะทำลายภูเขาได้
“พอได้แล้ว…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นคลื่นหลิงก็กำจายในดวงตา เขาสะบัดนิ้วริ้วพลังครางกระหึ่มราวกับสายน้ำเชี่ยวกรากปรากฏอยู่ในถ้ำกว้างขวางนี้
แม่น้ำเปล่งประกายระยิบระยับราวกับอัญมณี ขณะที่น้ำเดือดพล่านกำจายไปด้วยคลื่นหลิง ทำให้อากาศยังชื้นขึ้น เปล่งสัญญาณคลุมเครือว่าจะก่อตัวเป็นหยดน้ำ
แม่น้ำนี่เกิดจากของเหลวจื้อจุนจำนวนหนึ่งล้านหยดนั่นเอง!
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่แม่น้ำคลื่นหลิง จากนั้นก็วาดกระบวนท่า ก่อนที่จะเปิดปากเล็กน้อย ทันใดนั้นกระแสคลื่นหลิงก็พุ่งเข้าไปในปากของเขา
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดภายในร่างกายของมู่เฉินทันที
แต่มู่เฉินก็มีสีหน้าสงบ วาดกระบวนท่าต่ออย่างไม่เร่งรีบ กระตุ้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตผ่านเส้นสายลมปราณแล้วเทลงในจุดจื้อจุนไห่หลังจากกลั่นตัว…
ในจุดจื้อจุนไห่ คลื่นหลิงถูกเทลงมาราวกับพายุฝน ทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยความเร็วคงที่
เมื่อมู่เฉินสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้นในจุดจื้อจุนไห่ มู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้ากลับหลับตาลงต่อ เขายังต้องใช้เวลาในการเพาะบ่มเพื่อบำรุงเลี้ยงรอเวลาสำคัญเพื่อพัฒนาการแบบม้วนเดียวจบ
ตอนนี้เขาเพียงแต่ต้องการเทพลังงานจำนวนมหาศาลลงไปในจุดจื้อจุนไห่เท่านั้น
ดังนั้นหัวใจของมู่เฉินจึงค่อยๆ สงบลงและเริ่มละทุกอย่างก่อนที่จะเข้าสู่สมาธิลึกซึ้ง
ครั้งต่อไปที่เขาลืมตาก็เป็นอีกสิบวันต่อมา
ตลอดสิบวันที่ผ่านมาเขาดูดซับของเหลวหนึ่งในห้า สิ่งนี้ทำให้ผิวหนังของมู่เฉินเปล่งประกายอย่างไม่รู้จบด้วยแสงหลิง พลังงานหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายก็ผันผวนอยู่ตลอดเวลา นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคลื่นหลิงของเขาถึงจุดสูงสุดแล้ว
“ยังไม่พอ”
แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ยังส่ายหัวเบาๆ เขายังห่างไกลจากการบรรลุ ดังนั้นเขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง…
ในเวลาต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้นอีกสองครั้ง ทุกครั้งที่เปิดตาขึ้นของเหลวจื้อจุนก็จะลดลงส่วนหนึ่ง
เมื่อเขาลืมตาขึ้นเป็นครั้งที่สี่ แม่น้ำที่เดือดพล่านในตอนแรกก็เหลือเพียงสายธารเล็กๆ ขนาดก็ลดลงถึงห้าเท่า ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มแล้ว
ขณะนี้แสงหลิงรอบตัวมู่เฉินมีความหนาแน่นถึงระดับสูงสุด ภายใต้แสงแม้แต่ภาพเงาของเขาก็ยังเลือนราง เมื่อมองจากระยะไกลก็ดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่สว่างไสวด้วยรัศมีเลิศล้ำ
ความผันผวนที่ทรงพลังของคลื่นหลิงแปรปรวนอย่างเงียบๆ ซึ่งทำให้ห้องศิลาสั่นสะเทือนเบาบาง ขณะที่รอยแตกกระจายออกไปอย่างเงียบๆ
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกริมฝีปากพลางขยับ เขาราวกับวาฬดูดน้ำกลืนกินของเหลวที่เหลือเข้าไปหมดทันที
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ทันใดนั้นแสงหลิงที่ระเบิดออกมาจากร่างกายทรงพลังจนเกินบรรยาย คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของมู่เฉินก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว
ได้เวลาบรรลุแล้ว!
มู่เฉินหลับตาลงเป็นครั้งที่ห้า แต่เขารู้ว่าเมื่อลืมตาอีกครั้งเขาจะก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกอย่างแท้จริง!
และการหลับตาครั้งสุดท้ายก็กินเวลาถึงครึ่งเดือน!
ด้านนอกยอดเขาโดดเดี่ยว
ขณะที่มู่เฉินเข้าสู่สมาธิเพื่อเพาะบ่มขุมพลัง มั่นถัวหลัวก็ปิดพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมด ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปขัดขวางการฝึกฝนของมู่เฉิน
ยามนี้ร่างเงาหลายร่างแสดงตัวขึ้นบนท้องฟ้านอกเขตยอดเขา โดยมีมั่นถัวหลัวเป็นผู้นำและจอมพลทั้งสามยืนอยู่ข้างหลังไม่ห่าง
เมื่อมาถึงพวกเขาก็จ้องมองไปยังห้องศิลาที่ปิดตาย ห้องนี้ถูกผนึกไว้ด้วยค่ายกลเพื่อกักความผันผวนภายในซึ่งยากที่จะตรวจสอบพบได้
“ผ่านมาหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว… มู่เฉินยังไม่บรรลุอีกเหรอ? ถ้าเขายังไม่ออกมาอีก ข้าว่าตำแหน่งของเผ่าวิหคโลกันตร์คงจะถูกระบุแล้ว” เทียนจิ้วจับตามองห้องศิลา อดพูดขึ้นมาไม่ได้
ตัวเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับเผ่าวิหคโลกันตร์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ข้อมูลภายในบางอย่างของเผ่าวิหคโลกันตร์ หลังจากที่เทียนเช่อพาจิ่วโยวกลับไปที่เผ่า ทั้งเผ่าก็เกิดแรงเขย่ารุนแรงเกี่ยวกับเรื่องพันธะโลหิต ผู้อาวุโสบางคนที่มีนิสัยเยือกเย็นเสมอยังปากสั่นบอกว่าจะส่งกองทัพมาสู้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ทว่าทั้งหมดถูกยับยั้งไว้โดยเทียนเช่อ แน่นอนว่ายังมีการขัดขวางของจิ่วโยวและคำมั่นที่นางสบถสาบาน ซึ่งทำให้เหล่าผู้อาวุโสหัวร้อนควบคุมตัวเองไว้ได้ เพราะไม่ใช่เพียงบิดาของจิ่วโยวเป็นประมุขเผ่า มิหนำซ้ำตัวนางยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะคนเดียวในช่วงหลายพันปี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อความเห็นและทัศนคติของจิ่วโยวได้
ทว่าเรื่องนี้แค่ถูกพักไว้ชั่วคราว หากมู่เฉินไม่สามารถไปถึงได้ในเวลากำหนด แม้แต่ผู้อาวุโสที่เลือกรับฟังจิ่วโยวก็คงจะถูกบีบให้ลงมือ เพื่อให้สายเลือดของจิ่วโยวกลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง
ถึงตอนนั้นก็ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับมู่เฉินหรืออาณาเขตกงเวทสวรรค์เลย
“เรื่องบรรลุขุมพลังไม่อาจคาดได้อยู่แล้ว ถ้าฝืนบรรลุกลับไม่ดีด้วยซ้ำ”
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดนั่น นางก็ยังคงนิ่งสงบ แต่ไอเย็นเยือกก็วูบวาบผ่านม่านตาสีทองคำไป ขณะที่พูดต่ออย่างเย็นชาว่า “ถ้าเผ่าวิหคโลกันตร์ไม่มีความอดทนแม้แต่เวลาแค่นี้ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน ในเวลานั้นหากพวกเขาต้องการประกาศสงครามจริง พวกเราก็แค่สู้สุดพลัง ข้าก็อยากเห็นว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนของเผ่าวิหคโลกันตร์จะตายด้วยน้ำมือข้ากี่คน”
พูดถึงจุดนี้ก็เผยจิตสังหารแรงกล้า ทำให้พื้นที่โดยรอบมืดมัวลงไปชั่วครู่หนึ่ง คลื่นหลิงบริเวณนี้แสดงสัญญาณชะงักค้างเลยทีเดียว
เมื่อจอมพลทั้งสามสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร พวกเขาก็รู้สึกถึงริ้วเสียดแทงเย็นเยือกกรีดผ่านผิวหนัง พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตาที่ฉายความตื่นตกใจ ยามนี้แม้มั่นถัวหลัวจะดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จากเมื่อเดือนก่อน แต่เหล่าจอมพลก็เข้าใจได้ถ่องแท้ว่าปัจจุบันนางแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมอีกหลายส่วน!
“ขอแสดงความยินดีกับท่านประมุขที่บรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้…” ซุยนอนถอนหายใจขณะที่ส่ายหัวและยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่ทำให้มั่นถัวหลัวเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นนี้ ก็เนื่องมาจากการเข้าสมาธิก่อนหน้าเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ทำให้นางก้าวข้ามขั้นสุดท้ายจากเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแท้จริง
แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งก้าวเล็กๆ แต่เหล่าจอมพลก็รู้ดีว่าช่องว่างนั้นกว้างใหญ่เพียงใด เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากสงครามล่า หุ่นวิญญาณจอมพลสี่สามารถพึ่งพาพลังของเขาในการเผชิญหน้ากับยอดยุทธ์ทั้งเจ็ดของภูมิภาคทางเหนือ…
ถึงจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้ประมุขทั้งเจ็ดกักพลังของตนเองไว้ แต่ชัดว่าตราบใดที่มั่นถั่วหลัวลงมืออย่างไร้ความปรานีก็ไม่รู้จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนของเผ่าวิหคโลกันตร์จำนวนเท่าไรที่ต้องเสียชีวิต นี่เป็นราคาที่แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ซึ่งมีรากฐานมายาวนานก็ไม่อาจสูญเสีย
นอกจากนี้มั่นถัวหลัวยังมีอาวุธมหสวรรค์ ด้วยพลังของพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ ก็จะทำให้นางไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
ตู้ม!
ขณะที่เหล่าจอมพลทั้งอึ้งและมีความสุขกับพัฒนาการของมั่นถัวหลัว ทันใดนั้นยอดเขาใหญ่ก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงกัมปนาทปะทุออกมาราวกับเสียงฟ้าคำรน สุดท้ายก็สะท้อนไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก
ปัง!
ทางเข้าห้องศิลาระเบิดออก เศษหินปลิวว่อน ร่างแสงร่างหนึ่งพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าภายใต้สายตาที่ตกใจและประหลาดใจของจอมพลทั้งสาม
เมื่อสายตาจับจ้องไป พวกเขาก็เห็นมู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ยามนี้ร่างกายเขาปกคลุมไปด้วยแสงหลิง ม่านตาราวกับอัญมณีสีดำกะพริบด้วยความมันวาวทำให้หัวใจผู้อื่นสั่นไหว
เหล่าจอมพลมองไปที่มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจทันที เนื่องจากพวกเขารู้สึกได้ว่าเมื่อเทียบกับเดือนครึ่งที่ผ่านมามู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นมากหลายส่วนเลยทีเดียว!
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินก้าวผ่านเข้าสู่ขุมพลังจื้อขั้นหกเรียบร้อยแล้ว!
“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับผู้บัญชาการมู่ที่บรรลุขั้นหก” จอมพลทั้งสามยิ้มกว้าง
ประกายแสงในดวงตาของมู่เฉินค่อยๆ หดกลับ เขามองไปที่มั่นถั่วและเหล่าจอมพล ก็ยิ้มก่อนที่จะทะยานไปหา
พอมั่นถัวหลัวเห็นเขามาหา ไอเย็นเยือกบนใบหน้านางก็จางหายหมดไป นางกำมือ ลูกแสงหลายลูกก็ปรากฏขึ้น กลายเป็นม้วนกระดาษหลากสีห้าม้วน
“นี่คือภาพค่ายกลที่เจ้าขอให้ข้าหามา มีสองม้วนเป็นค่ายกลระดับเทียนที่ต้องการ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ มู่เฉินก็รู้สึกถึงความปีติยินดีในใจ ก่อนที่จะจ้องมองม้วนภาพที่กำจายความผันผวนแปลกประหลาดออกมา
บทที่ 969 ค่ายกลระดับเทียน
ม้วนภาพทั้งห้าเปล่งแสงประหลาดตาออกมา
ขณะที่ลอยเอื่อยอยู่ตรงหน้ามู่เฉิน ภาพทั้งห้ากำจายระลอกคลื่นลึกล้ำพร้อมกับอักขระซับซ้อนวาดไว้บนพื้นผิวของม้วนกระดาษ
ค่ายกลระดับเทียน
สายตาของมู่เฉินร้อนแรงขึ้นทีละเล็กละน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแผนภาพระดับนี้ ดังนั้นเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คว้าม้วนกระดาษทั้งห้ามาในฝ่ามือของเขา
คลี่นหลิงทบทวีคูณบนฝ่ามือของมู่เฉินแล้วไหลเข้าสู่ม้วนภาพทั้งห้า ก่อนที่ข้อมูลจำนวนมากจะฉายเข้ามาในห้วงแห่งจิตราวกับพายุคลั่ง
ค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ค่ายกลดาบบงกชไพลิน
ค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ค่ายกลตาข่ายฟ้า
ค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ค่ายกลระฆังทองไร้พ่าย
สามม้วนแรกที่ปรากฏขึ้นในห้วงแห่งจิตของเขาเป็นค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ระดับของค่ายกลเหล่านี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็หวาดกลัว
ในสามค่ายกล ภาพหนึ่งเป็นค่ายกลโจมตี ภาพสองเป็นค่ายกลควบคุมและภาพสามเป็นค่ายกลป้องกัน ซึ่งพลังอำนาจแต่ละภาพน่าประทับใจมาก ชัดว่ามั่นถัวหลัวใช้ความตั้งใจในการรวบรวมภาพค่ายกลเหล่านี้มาก
แต่ค่ายกลทั้งสามก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นระรัว ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ แสงสีทองก็เบ่งบานในหัวสมอง ก่อร่างเป็นตัวอักษร
ค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำ ตราประทับคิริเทวโลก
ค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำ ค่ายกลเทพเผาผลาญ
มู่เฉินหลับตารับรู้ข้อมูลจำนวนมากที่พล่านในห้วงแห่งจิตก่อนที่จะลืมตาขึ้น ความปีติที่ไม่สามารถบดบังได้วูบไหวในดวงตา เขากำม้วนภาพไว้แน่นพูดพึมพำว่า “ค่ายกลระดับเทียน…”
แม้ว่าภาพค่ายกลระดับเทียนจะอยู่ในขั้นต่ำ แต่ถ้าจัดตั้งได้สำเร็จ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ต้องได้รับบาดเจ็บหนัก
“ข้าก็อยากหาค่ายกลขั้นสูงกว่านี้ให้เจ้านะ แต่เวลากระชั้นมากเกินไป… ส่วนใหญ่ภาพค่ายกลเหล่านี้อยู่ในมือหลิงเจิ้นซือ พวกเขามองภาพค่ายกลสำคัญเท่ากับชีวิต ปกติไม่ค่อยยอมเอาออกมาขายกันเลย” มั่นถัวหลัวกล่าว
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
มู่เฉินพยักหน้า ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา ต่อให้เป็นจัดเรียงค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำก็ยังยากที่จะทำ ดังนั้นเขายังจำเป็นต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงจะสร้างค่ายกลระดับนี้ได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นต่อให้มั่นถัวหลัวจะหาค่ายกลระดับเทียนขั้นกลางหรือขั้นสูงมาให้มู่เฉินได้ในเวลานี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างค่ายกลขึ้นมา
“ในภาพค่ายกลระดับเทียนทั้งสอง ภาพสุดท้ายทรงพลังอย่างยิ่ง ตอนซื้อมาราคาเกินกว่าอีกค่ายกลไปเท่าตัวเลย” มั่นถัวหลัวมองม้วนกระดาษซ้ายสุดในมือของมู่เฉินพลางพูดขึ้นมา
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบวูบวาบ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวกำลังพูดถึงค่ายกลเทพเผาผลาญ หลังจากได้อ่านข้อมูลในห้วงแห่งจิตแล้ว ดวงตาของเขาก็หดเกร็งทันที
“ค่ายกลเทพเผาผลาญยังไม่สมบูรณ์…” มู่เฉินกล่าวช้าๆ ขณะที่ประกายแสงในดวงตาเขาเข้มข้นยิ่งขึ้น
“นี่เป็นม้วนภาพโบราณจากยุคดึกดำบรรพ์ ทั้งหมดน่าจะมีสามม้วน ค่ายกลเทพเผาผลาญเป็นเพียงหนึ่งในนั้น หากเจ้ารวบรวมภาพทั้งสามภาพได้ ก็สามารถฆ่าได้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย”
เมื่อสามจอมพลได้ยินคำพูดนาง ริ้วความตื่นตะลึงก็วาบบนใบหน้าของพวกเขา ค่ายกลที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ อย่าบอกนะว่าเป็นค่ายกลระดับจงซือในตำนาน?
“แต่น่าเสียดาย… ค่ายกลเทพเผาผลาญนี้อ่อนแอที่สุดในบรรดาภาพโบราณทั้งสาม ดังนั้นจึงถูกเผยแพร่ออกมา แต่อีกสองภาพหายากมาก โอกาสในการรวบรวมมีไม่สูงนัก” มู่เฉินส่ายหัวขณะที่รู้สึกเสียดาย
หากสามารถรวบรวมทั้งสามภาพราคาก็คงไม่ด้อยไปกว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ เพราะสำหรับหลิงเจิ้นจงซือ ค่ายกลระดับจงซือดึงดูดใจมากกว่า
“แต่แม้ว่าค่ายกลเทพเผาผลาญจะอ่อนแอที่สุดในบรรดาภาพทั้งสาม พลังก็ยังแข็งแกร่งกว่าค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำทั่วไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมราคาถึงสูงมาก ช่างคุ้มค่านัก” มู่เฉินยิ้ม ดูท่าเขาจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับค่ายกลเทพเผาผลาญอย่างละเอียดถี่ถ้วนซะแล้ว ค่ายกลนี้จะเป็นไพ่ตายสังหารที่ดีทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็มีความมั่นใจในการบุกตะลุยดินแดนเสินโซ่เพิ่มอีกหลายส่วน
การพัฒนาในครั้งนี้ ทำให้ความมั่นใจของมู่เฉินเพิ่มขึ้นไม่น้อย ด้วยพลังในปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ค่ายกลใดๆ ก็สามารถรับมือกับหลิ่วชิงโดยไม่เป็นปัญหาแล้ว
“ยังมีเวลาครึ่งเดือนกว่าจะถึงเวลากำหนด เจ้าฝึกปรับเสถียรภาพในร่างอีกสักสิบวันก่อน จากนั้นเราค่อยมุ่งหน้าไปเผ่าวิหคโลกันตร์กัน!” มั่นถัวหลัวบอก
“ตกลง”
มู่เฉินพยักหน้า ตอนนี้เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังก็ต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อสร้างเสถียรภาพของพลังที่เติบโตในร่างเสียก่อน ในเวลาเดียวกันเขาก็ต้องทำความเข้าใจในการสร้างค่ายกลไปด้วย
เมื่อตัดสินใจมู่เฉินก็ไม่ชักช้า ร่างเขากลายเป็นริ้วแสงทะยานกลับไปที่หอวิหคโลกันตร์ เข้ามาในส่วนที่ลึกที่สุด
ครึ่งเดือนต่อไปมู่เฉินไม่ได้ก้าวเท้าออกจากหอวิหคโลกันตร์เลย เขาใช้เวลาทั้งหมดในการรับรู้คลื่นหลิงในร่างกายและศึกษาวิเคราะห์ค่ายกลระดับเทียน
ในขั้นตอนการทำความเข้าใจค่ายกลชั้นสูงนี้ มู่เฉินก็พยายามทดลองสร้างค่ายกล แต่ในช่วงเริ่มต้นการทดลองของเขาจบลงด้วยความล้มเหลว ทุกครั้งที่ล้มเหลวก็ทำให้เกิดคลื่นกระแทกรุนแรงระเบิดขึ้นในจุดลึกของหอวิหคโลกันตร์ สิ่งนี้ทำให้จอมยุทธ์หลายคนหวาดหวั่น เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ว่าการระเบิดของคลื่นหลิงนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่สามารถทนได้
ทว่าความล้มเหลวก็กินเวลาสิบวันก่อนที่จะเริ่มลดลง การระเบิดจากค่ายกลมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น จนประมาณสองวันสุดท้ายการระเบิดก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงเชี่ยวกรากก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในส่วนลึกของหอวิหคโลกันตร์ ขณะที่แสงหลิงเบ่งบานไปทุกทิศทาง ก็เหมือนมีสิ่งน่าสะพรึงกลัวควบรวมอย่างรวดเร็ว…
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำเอาเหล่าจอมยุทธ์หอวิหคโลกันตร์หวาดผวาตามกัน หลายคนแอบจับตามองไปที่ส่วนลึกของหอ แต่ท่ามกลางความหวาดกลัวถึงขีดสุด สุดท้ายสิ่งที่ควบรวมก็ไม่ได้ระเบิดออก แต่หายไปอย่างเงียบๆ
สถานการณ์นี้ทำให้ผู้คนมากมายต้องมองหน้ากันและคิดว่านี่เป็นความล้มเหลวของมู่เฉินอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ต้องถอนหายใจด้วยความเสียดาย…
ขณะที่ทุกคนกำลังเห็นอกเห็นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินที่อยู่ในสวนกว้างของส่วนลึกหอวิหคโลกันตร์ก็ยืนสองมือไพล่หลัง สายตามองไปที่คลื่นหลิงกระเพื่อมไหวที่กำลังสลายตัวลง นัยน์ตาก็วูบไหวพลางยิ้ม ท่าทางไม่มีความเสียใจกับความล้มเหลวเลย มีแต่ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
“ค่ายกลระดับเทียนเรอะ…” มู่เฉินก้มศีรษะลงมองมือตนเองและยิ้มเสียงเบา
หลังจากพยายามมาเกือบครึ่งเดือน แม้ส่วนมากจะล้มเหลว แต่มู่เฉินก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังของค่ายกลระดับเทียน ซึ่งแข็งแกร่งกว่าค่ายกลระดับตี้ไม่รู้เท่าไร
ไม่เสียแรงที่พยายามค้นหาโอกาสท่ามกลางความล้มเหลว
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจในหัวใจ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็สะท้อนมาจากนอกสวน เขาแย้มยิ้ม ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดเขาก็ร้องว่า “เข้ามาเถอะ”
ทั้งสองคนที่เดินเข้ามาในสวนก็คือสองพี่น้องถังปิงและถังโหยว ในสองปีนี้ถังปิงทำหน้าที่ประหนึ่งพ่อบ้านจัดการงานในหอวิหคโลกันตร์อย่างดี มีตำแหน่งต่ำกว่ามู่เฉินกับจิ่วโยวเท่านั้น ซึ่งการอยู่ในตำแหน่งนี้ ทำให้นางที่มีนิสัยเยือกเย็นอยู่แล้ว ยิ่งมีบรรยากาศเหินห่างเพิ่มขึ้น
ส่วนถังโหยวยังเป็นคนขี้อายเหมือนเดิม แม้ว่านางจะคุ้นเคยกับมู่เฉินมากแล้ว แต่ใบหน้าของนางก็ยังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำหลังจากเห็นรอยยิ้มในดวงตาของมู่เฉินที่ส่งมา
“หลายวันมานี่เจ้าคิดจะถล่มหอวิหคโลกันตร์ของเราเลยนะ…” ถังปิงกลอกตาใส่มู่เฉินเมื่อเดินเข้ามา
เผชิญหน้ากับถังปิงซึ่งเป็นคนจริงจังมากในการจัดการเรื่องราวต่างๆ มู่เฉินก็ทำได้เพียงยิ้มแห้งให้ แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งสูงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่เขาก็ปฏิบัติต่อสองพี่น้องในฐานะเพื่อนอย่างจริงใจ ดังนั้นเขาจึงไม่สร้างแรงกดดันเหมือนอย่างที่อยู่กับคนอื่น
“ท่านประมุขแจ้งให้เจ้าเตรียมพร้อมที่จะไปเผ่าวิหคโลกันตร์ในวันพรุ่งนี้” ถังปิงเป็นคนทำอะไรรวดเร็ว เมื่อเจอหน้าก็บอกเรื่องหลักเลย
เมื่อมู่เฉินได้ยิน สายตาก็หดลงเล็กน้อยจากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
ถังปิงกัดริมฝีปากสีแดงชาด ใบหน้าที่ดูเฉยชาค่อยๆ จางหายก่อนที่นางจะจ้องมองมู่เฉินแล้วขึ้นพูดเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่จิ่วโยวจะกลับมาอีกไหม?”
หอวิหคโลกันตร์ตั้งขึ้นโดยจิ่วโยว พวกนางได้รับการดูแลจากจิ่วโยวมาตลอด ดังนั้นพวกนางจึงมองที่นี่เป็นบ้านของตน ถ้าจิ่วโยวออกจากหอวิหคโลกันตร์ไปจริงๆ แม้ว่ามู่เฉินจะสามารถดำเนินงานต่างๆ ได้ แต่ก็มีความรู้สึกที่ขาดหายไปในสถานที่นี้…
มู่เฉินมองไปที่ถังปิงที่มีอาการเศร้าโศก และถังโหยวที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขาก็จมลงในความเงียบ การจากไปในช่วงนี้ของจิ่วโยวคงส่งผลกระทบหนักต่อพวกนาง ทว่าพวกนางมักไม่เปิดเผยความกังวล แต่ตอนนี้มู่เฉินกำลังจะไปด้วยเช่นกัน ทำให้พวกนางแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
มู่เฉินพอมองไปที่สองสาว ยื่นมือตบเบาๆ บนไหล่ของพวกนาง รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา “วางใจเถอะ ข้าจะพาจิ่วโยวกลับมา”
ถังปิงและถังโหยวเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉิน แม้ว่าอีกฝ่ายมักมีท่าทางอ่อนโยน แต่พวกนางก็สัมผัสได้ถึงความตั้งมั่นในน้ำเสียงของเขา
ดังนั้นทั้งสองจึงยิ้มออกมาและพยักหน้าหนักแน่น
“ใช่ เจ้าเอานี่ไปด้วย…”
ถังปิงถอดกำไลข้อมือออกแล้วส่งให้มู่เฉิน “นี่คือของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านห้าแสนหยด เป็นสิ่งที่ข้าพยายามรวบรวมให้ได้มากที่สุดแล้ว ข้าหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเจ้านะ…”
มู่เฉินมองสร้อยข้อมือก็อึ้งไป เขารู้ชัดเจนว่าถังปิงเก่งแค่ไหนในฐานะผู้ดูแล การใช้ของเหลวจื้อจุนทั้งหมดในหอวิหคโลกันตร์อยู่ในการคิดคำนวณของนาง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้หอวิหคโลกันตร์ค่อยๆ ขยายและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อก่อนเป็นเรื่องยากมากสำหรับมู่เฉินที่จะได้รับของเหลวจื้อจุนจากนาง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นนางให้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมาก ก็อดตกใจไม่ได้
“ถ้าหอวิหคโลกันตร์สูญเสียทั้งเจ้าและพี่ใหญ่จิ่วโยว เราจะมีของเหลวจื้อจุนไว้เพื่ออะไร?”
ถังปิงเหมือนจะรู้ว่ามู่เฉินคิดอะไรอยู่ นางเม้มริมฝีปากก่อนถลึงตาใส่มู่เฉินแล้วเอ่ยต่อ “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าแอบเรียกว่ายัยขี้งกมาหลายครั้งแล้วนะ”
มู่เฉินยิ้มแหยแต่ไม่ได้ปฏิเสธ นั่นเป็นเพราะของเหลวจื้อจุนสำคัญมากสำหรับเขาจริง เพียงแต่ตอนที่เขาเก็บกำไลข้อมือ ก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นอีกครั้ง “ข้าจะพานางกลับมาแน่ ข้าสัญญา!”
“พวกเราเชื่อเจ้า… และ… เจ้า…เจ้าก็ต้องระวังตัวด้วยนะ” คำพูดติดขัดประโยคหนึ่งหลุดออกมาจากปากถังโหยวจอมขี้อาย นางมองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจ
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกพลางเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปในทิศที่จิ่วโยวจากไปก่อนที่จะกำมือแน่น
จิ่วโยว ดูท่าครั้งนี้ข้าจะเชื่อฟังเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าต้องไปเผ่าวิหคโลกันตร์แน่!
บทที่ 970 มิติวิหคโลกันตร์
มหาพันภพกว้างใหญ่ไพศาล
สิ่งมีชีวิตมากมายล้วนอาศัยอยู่มาชั่วลูกชั่วหลาน เผ่าสัตว์อสูรก็เป็นส่วนหนึ่งในนี้ด้วย นั่นเป็นเพราะสัตว์อสูรส่วนใหญ่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและความได้เปรียบในช่วงชีวิต ด้วยอายุขัยที่ยาวนานก็เพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะวางรากฐานทรงพลัง ซึ่งทำให้เผ่ามนุษย์หวาดกลัวอย่างยิ่ง
เผ่าสัตว์อสูรมีสายเลือดที่ซับซ้อนที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพ พลังของพวกเขามาจากสายเลือด ดังนั้นเผ่าที่มีสายเลือดทรงพลังจึงรู้จักกันในนามเผ่าเทพอสูร ใครก็ตามที่มีสายเลือดนี้จะทรงพลังตั้งแต่แรกเกิด ทำให้ทุกชีวิตล้วนหวาดกลัว
ทว่าก็มีเผ่าสัตว์อสูรบางเผ่าที่มีศักยภาพคล้ายกันที่ไม่ได้อยู่ในเผ่าเทพอสูรและเผ่าวิหคโลกันตร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น…
นี่เป็นเผ่าที่มีต้นกำเนิดเดียวกันกับเผ่าหงส์ฟ้า พวกเขาสืบสายเลือดจากวิหคอมตะโบราณ เมื่อใดที่สายเลือดตื่นขึ้นมาก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตสุดยอดแม้แต่ในเผ่าหงส์ฟ้า
ดังนั้นนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเผ่านี้ถึงให้ความสำคัญกับสายเลือด เมื่อใดที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ของวิหคอมตะปรากฏขึ้นในเผ่า คนคนนั้นจะได้รับการคุ้มครองเข้มข้น ใครก็ตามที่คิดทำลายจะถูกมองว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ
ดินแดนวิหคโลกันตร์
แม้จะถูกขนานนามว่าดินแดนแต่มีขนาดใกล้เคียงกับภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น ทว่าดินแดนขนาดเล็กนี้กลับมีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ
ชื่อเสียงที่สั่งสมมาของผู้นำสูงสุดของดินแดนนี้ ก็มาจากเผ่าวิหคโลกันตร์นั่นเอง
ในฐานะเผ่าสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียงลือเลื่อง รากฐานและความแข็งแกร่งของเผ่าวิหคโลกันตร์ถือได้ว่าอยู่ในระดับสูงของมหาพันภพ
ต้องรู้ว่าถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะถือเป็นขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ แต่ถ้าในมหาพันภพที่กว้างใหญ่ พวกเขาไม่สามารถนับเป็นขั้วอำนาจระดับสูงได้เลย
ขั้วอำนาจดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่จะสนับสนุนได้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนเดียว ถึงมั่นถัวหลัวจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว แต่ขั้วอำนาจชั้นสูงที่แท้จริงให้ความสำคัญกับรากฐานมากกว่า อย่างน้อยต้องมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนปรากฏตัวขึ้นอีกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ สำนักนี้ถึงจะสามารถถูกจัดอยู่ในกลุ่มขั้วอำนาจชั้นสูงในมหาพันภพได้
ดังนั้นชื่อเสียงของเผ่าวิหคโลกันตร์จึงยิ่งใหญ่กว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในมหาพันภพมาก… ชื่อเสียงของดินแดนวิหคโลกันตร์ก็ไม่ใช่สิ่งที่อาณากงเวทสวรรค์จะเทียบได้
ทว่าในดินแดนวิหคโลกันตร์ สถานที่ที่ถูกมองว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในสายตาขั้วอำนาจมากมายของมหาพันภพ คือมิติวิหคโลกันตร์ซึ่งอยู่ในกลางดินแดน
ที่นั่นเป็นมิติที่แยกออกจากมหาพันภพ เป็นดินแดนบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์
ตามตำราโบราณเผ่าวิหคโลกันตร์ก็มาจากพิภพเขตล่าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่โดดเด่นในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อมีบรรพบุรุษที่โดดเด่นปรากฏขึ้นมากก็ทำให้เผ่าวิหคโลกันตร์ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางเผ่าสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนในโลกอันยิ่งใหญ่นี้ได้
ในช่วงที่เผ่าวิหคโลกันตร์แข็งแกร่งที่สุด พวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในสามชั่วอายุคน ในเวลานั้นแม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเผ่าวิหคโลกันตร์และมีฐานะในระดับเดียวกัน
มิติวิหคโลกันตร์ว่ากันว่าเป็นพิภพเขตล่างที่เผ่าวิหคโลกันตร์ครอบครองมาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับมหาพันภพในภายหลังด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของเผ่าทำให้กลายเป็นดินแดนบรรพบุรุษของเผ่า
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก มหาพันภพเชื่อมโยงกับพิภพเขตล่างมากมาย ยอดยุทธ์ที่สามารถมาถึงมหาพันภพได้โดยการทำลายขอบเขตพิภพ นอกจากบางคนที่โชคดีเกือบทั้งหมดล้วนมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ ตราบใดที่สามารถเอาชีวิตรอดในมหาพันภพได้ พวกเขาก็จะเปล่งประกายยิ่งใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน
ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาดาวจรัสแสงที่สุดก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวู
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทั้งสองยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของมหาพันภพ ขุมกำลังที่อยู่ภายใต้บัญชาการของพวกเขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับสุดยอดอีกด้วย พวกเขาครอบครองดินแดนและชื่อเสียงที่มีก็ข่มขวัญผู้คนนับไม่ถ้วน
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวขานอีกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามได้ทำการเชื่อมโยงกับพิภพเขตล่างของตนเองไว้แล้วด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังได้ตั้งทางเชื่อมไว้ในแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเพื่อปกป้องไม่ให้ขั้วอำนาจอื่นแสดงความโลภเข้ายึดครองพิภพของพวกเขาได้
เผ่าวิหคโลกันตร์ก็มีความคิดชัดเจนเช่นนี้ พวกเขาจึงเชื่อมโยงมิติวิหคโลกันตร์ไว้
และในครั้งนี้เป้าหมายสุดท้ายของมู่เฉินก็คือมิติวิหคโลกันตร์นั่นเอง
มิติวิหคโลกันตร์ ภูเขาเก้าโลกันตร์
ขนาดของภูเขานี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด มันล่องลอยอยู่ในมิติราวกับแผ่นดินใหญ่ ภูเขาแห่งนี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมิติทั้งหมด
ในเวลาเดียวที่นี่ก็เป็นดินแดนบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่วิหคโลกันตร์ตัวแรกถือกำเนิดในสมัยโบราณ
วันนี้บนภูเขาลูกใหญ่มีเสียงระฆังโบราณสะท้อนก้อง สั่นสะเทือนถึงฟ้าดิน
ที่ใจกลางของภูเขามีเสาสูงตระหง่านหมู่เมฆม้วนตัวอยู่จุดสูงสุด เผยให้เห็นจัตุรัสหินขนาดใหญ่สีฟ้าอมเขียว มีร่างเงานับไม่ถ้วนอยู่บนหน้าผาโดยรอบ ซึ่งทั้งหมดเปล่งคลื่นพลังผันผวนออกมา
จัตุรัสหันหน้าชนกับหน้าผาสูงชัน ทว่าหน้าผาเหล่านั้นเป็นแท่นหินขนาดใหญ่ที่มีร่างเงานั่งอยู่ รัศมีทรงกลดที่เล็ดลอดออกมา ทำให้แม้แต่มิติก็สั่นสะเทือน
พวกเขาก็คือเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์
มองไปที่จัตุรัสหินมีคนสองตัวนั่งเงียบๆ ที่นั่น พวกเขามีคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว สามารถมองเห็นความภาคภูมิใจที่หว่างคิ้วได้
นั่นไม่ใช่ความหยิ่งยโส แต่เป็นการมั่นใจในพลังของตัวเองมากจึงกำจายความภูมิใจออกมา
ขณะนี้ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองไปที่แท่นหินโบราณจำนวนมาก ที่นั่นเกิดการถกเถียงจนเสียงดังก้องไปทั่ว ชัดว่าตอนนี้ผู้อาวุโสของเผ่าต่างมีความเห็นแตกต่างกัน
ดังนั้นไม่เพียงแต่พวกเขาทั้งสองคนเท่านั้น แม้แต่สมาชิกนับไม่ถ้วนที่อยู่ที่นี่ก็ให้ความสนใจเช่นกัน
“ไร้สาระจริง! จิ่วโยวมีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดของวิหคอมตะในรอบหลายพันปี นี่เป็นโอกาสสำหรับเผ่าพันธุ์เราที่จะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ จะปล่อยให้มนุษย์มาทำลายได้ยังไง!” ผู้อาวุโสที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียวคนหนึ่งพูดอย่างโหดเหี้ยมด้วยใบหน้าถมึงทึง
“ถ้าให้ข้าพูด เราควรจับมู่เฉินคนนั้นมา ใช้ทักษะลับทำลายพันธะโลหิตนี่ซะ!”
“พูดถูก ถึงแม้ว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ตาแก่คนนี้ก็ไม่เชื่อว่านางจะกล้าเผชิญหน้ากับเผ่าเราเพื่อไอ้เด็กคนเดียว!” ผู้อาวุโสอีกคนพูดอย่างเคร่งขรึม
อีกฝั่งเทียนเช่อก็ขมวดคิ้วแน่น “พรสวรรค์ของมู่เฉินไม่ธรรมดา ซ้ำเขายังมีร่องรอยแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริง ดังนั้นเขาต้องเป็นคนที่โชคดีและมีโอกาส ข้าให้คำมั่นกับเขาว่าถ้าสามารถเอาชนะเจียงย่าและฉิงเฉวียนก็จะอนุญาตให้เขาเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ในฐานะตัวแทนเผ่าวิหคโลกันตร์ เพื่อช่วยเหลือจิ่วโยวให้ได้รับแก่นเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ ผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวก็เค้นเสียงเย้ยหยัน “เทียนเช่อตามที่เจ้าพูดไอ้หนูนั่นอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า เจียงย่าและฉิงเฉวียนสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย หากเขาเป็นตัวแทนเผ่าเข้าไป ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเขาจะได้รับโอกาสหรือเปล่า แต่คงจะลากกันลงนรกซะมากกว่า ถึงตอนนั้นใครจะเป็นคนรับผิดชอบในเรื่องนี้?”
“นอกจากนี้นี่ก็ใกล้ถึงสองเดือนแล้ว ไอ้หนูนั่นก็ยังไม่มีวี่แววมาที่เผ่าเรา ดังนั้นอย่างหนึ่งที่เห็นก็คือเขากลัวแค่ไหน คนที่ขี้ขลาดแบบเขาจะทำให้สายเลือดบริสุทธิ์ของจิ่วโยวแปดเปื้อนแน่นอน!”
เมื่อเทียนเช่อได้ยินคำพูดที่ร้ายกาจจากผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียว ใบหน้าก็ไม่สู้ดีนัก แต่เขาก็ขี้เกียจทะเลาะ สายตาของเขาพุ่งไปยังศูนย์กลางของบริเวณนี้ บนแท่นหินสีทองที่มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความสงบ แม้ว่าเขาจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ แต่แรงกดดันน่ากลัวที่เกิดขึ้นก็ทำให้โดยรอบหยุดนิ่ง
เขาก็คือประมุขเผ่าคนปัจจุบัน—เทียนฮวง
ข้างๆ เขาเป็นร่างบอบบางของจิ่วโยว ยามนี้นางมองเหล่าผู้อาวุโสปะทะฝีปากกันในเรื่องนี้ ใบหน้าก็ค่อนข้างซีดขาวพลางกำมือแน่น
“ท่านประมุขขอโปรดตัดสินใจให้รวดเร็วและเลือกคนสุดท้ายระหว่างเจียงย่าและฉิงเฉวียนด้วย อีกไม่นานดินแดนเสินโซ่ก็จะปรากฏ เราไม่สามารถรอเจ้ามนุษย์ขี้ขลาดนั่นได้…” ผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวมองเทียนหวงและเอ่ยขึ้น
สมาชิกเผ่าทุกคนส่งสายตาไปยังเทียนฮวง พวกเขารอประมุขพูดและจัดการกับเรื่องนี้ที่ล่าช้ามานานเกือบสองเดือนแล้ว
ใบหน้าของเทียนฮวงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาทำตัวเสมือนรูปปั้นหิน ดวงตาหรี่ลงก่อนที่จะมองจิ่วโยวที่อยู่ข้างๆ และครุ่นคิดสั้นๆ พูดว่า “คนผู้นั้นมีบุญคุณอย่างมากกับจิ่วโยว ในเมื่อเทียนเช่อได้ให้สัญญาไว้ เผ่าเราก็ต้องรักษาสัญญาเอาไว้ อีกหนึ่งวันถ้าเขาปรากฏตัวที่เผ่าและเอาชนะเจียงย่าและฉิงเฉวียนได้ ตำแหน่งที่สี่จะเป็นของเขา”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดเสียงลงชั่วครู่ ก่อนที่สายตาจะเฉียบคมขึ้น “แต่ถ้าเขากล้าหนีไปด้วยความขี้ขลาด เผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะไม่ปล่อยให้คนขี้ขลาดมาแปดเปื้อนสายเลือดแน่ เวลานั้นพวกเราจะออกตามจับเขา หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้าขัดขวาง เราก็จะประกาศสงครามกับพวกเขา!”
เสียงพูดประโยคดังกล่าวสั่นสะท้อนไปทั่วภูเขาเก้าโลกันตร์ราวกับฟ้าร้อง สมาชิกหลายคนถึงกับสั่นไหวเมื่อได้ยินไอสังหารแฝงมาในคำพูดของประมุข
ดวงตาของเหล่าผู้อาวุโสกะพริบวาบ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าทุกคนยอมรับการตัดสินใจของเทียนฮวงแล้ว
จิ่วโยวซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเทียนฮวงเปล่งแสงวูบไหวในดวงตาจากนั้นก็กัดฟัน ตราบใดที่มู่เฉินออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปแล้ว แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ยังลำบากในการตามหาเขาในมหาพันภพ ในอนาคตเมื่อมู่เฉินมีพลังแข็งแกร่งขึ้น เผ่าก็คงจะหวาดเกรงเขาบ้าง เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะไม่กล้าทำอะไรอย่างประมาท
แค่คิดนางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ตอนนี้มู่เฉินน่าจะอยู่ไกลจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วมั้ง…
ทว่าขณะที่ความคิดเพิ่งแล่นขึ้นในใจนาง เทียนฮวงที่อยู่ข้างๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ท้องฟ้า แสงพริบพราวอยู่ในดวงตาของเขา
เมื่อเขามองไปที่ท้องฟ้า มิติจุดหนึ่งก็เกิดการบิดเบี้ยว กลายเป็นอุโมงค์มิติขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างสองร่างจะย่างกรายออกมาช้าๆ
การเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ทำให้สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองไปด้วยความประหลาดใจ พวกเขามองดูคนสองคนที่ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อทั้งสองเผยตัวขึ้น เสียงคมชัดที่ทุกคนสามารถได้ยินก็ดังกึกก้องทั่วภูเขาเก้าโลกันตร์
“ข้ามู่เฉินกล่าวทักทายผู้อาวุโสทุกท่านที่นี่”
ทันใดนั้นร่างสองร่างที่นั่งอยู่ตรงกลางจัตุรัสก็ลืมตาขึ้น แววเย็นยะเยือกวูบไหวในดวงตา ความเยาะเย้ยบางเบาปรากฏที่มุมริมฝีปาก
ไอ้มนุษย์ขี้ขลาดในที่สุดก็มีความกล้าที่จะปรากฏตัวแล้ว…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น