หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 961-966
บทที่ 961 หลิ่วชิง
“ไอ้หนุ่ม ตาแก่คนนี้พูดถูกไหม?!”
เสียงคำรามของเทียนเช่อดังกึกก้องราวกับฟ้าคำรนสั่นไหวไปทั่วขอบฟ้า สายตาของเขาก็เสมือนดาบไร้ฝัก ความคมแทงทะลุมิติห่อหุ้มมู่เฉินเอาไว้
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมา มู่เฉินรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวที่กวาดออกและสายตาที่สาดความต้องการแทงทะลุอกเขาไป ส่งผลให้เลือดและรัศมีในร่างกายเดือดพล่าน มิหนำซ้ำเขายังรู้สึกถึงความหวานในลำคอ ทว่าความหวานก็ถูกระงับไว้ เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองตรงเข้าไปในดวงตาของเทียนเช่อโดยไม่หลบเลี่ยง รัศมีคมกริบพุ่งออกมาจากดวงตาของเขาเช่นกัน แม้จะรู้ว่าตนเองเทียบเทียนเช่อยังไม่ได้ แต่ความตั้งใจของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน
“หึ!”
เมื่อเทียนเช่อเห็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าตัวจ้อยไม่ยอมคุกเข่าลงยอมรับความผิด กลับยังกล้าจ้องตอบกลับมา เขาก็เค้นเสียงเตรียมจะก้าวออกมาเพื่อปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมให้อีกฝ่ายก้มศีรษะลงให้จงได้
“ลงมือในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้า เจ้าดูไม่เห็นข้าในสายตาไปหน่อยนะ?!” แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวออกมา เสียงเกรี้ยวกราดของมั่นถัวหลัวก็ดังกึกก้อง เทียนเช่อรู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงที่โอบล้อมรอบตัว ภายใต้แรงกดดันนี้เท้าที่ยกขึ้นไว้ก็ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
แม้เขาจะสามารถฝืนก้าวลงไปได้ แต่ภายใต้บรรยากาศนี้เขาก็รู้ว่าตราบใดที่ก้าวออกไปมั่นถัวหลัวจะต้องลงมือแน่ ในเวลานั้นต่อให้เขาจะหนีพ้น ก็ตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมแน่นอน
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้มั่นถัวหลัวคือจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายตัวจริง ที่ทรงพลังมากกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ในการปะทะกันแบบหนึ่งต่อหนึ่งเขาไม่มีโอกาสชนะเลย
สายตาของเทียนเช่อกะพริบวูบไหว สุดท้ายเสื้อผ้าที่เผยิบผยาบก็สงบลง แรงกดดันที่เกิดขึ้นจากเขาก็สงบลงเช่นกัน
เมื่อแรงกดดันสลายไป เทียนเช่อก็มองมั่นถัวหลัวด้วยความโกรธและเยือกเย็นในดวงตา ขณะพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์ หวังว่าท่านจะส่งมอบชายคนนั้นให้กับข้า ถึงตอนนั้นเผ่าข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ในใจอย่างแน่นอน!”
มั่นถัวหลัวเหลือบมองเทียนเช่อขณะพูดด้วยความไม่แยแสว่า “อย่าคิดฝัน มู่เฉินสร้างผลงานมากมายให้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ใครที่คิดจะแตะต้องตัวเขาในที่ของข้า ก็เท่ากับประกาศสงครามกับทั้งสำนัก!”
ถึงแม้เสียงจะนิ่งเรียบ แต่ความชัดถ้อยชัดคำก็ทำให้ม่านตาเทียนเช่อหดเกร็ง เขาไม่คิดว่าจะได้รับการปฏิเสธอย่างรุนแรงจากมั่นถัวหลัว
“ท่านประมุข เจ้าคิดจะทำสงครามกับเผ่าวิหคโลกันตร์เพื่อจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเนี่ยนะ?!” เทียนเช่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม แม้ว่าพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเกินความคาดหมายของเขาไปบ้าง แต่ก็มีรากฐานที่เปราะบางและเทียบไม่ได้กับเผ่าสัตว์อสูรที่มีประวัติยาวนานอย่างพวกเขา ดังนั้นหากประกาศสงครามกันจริงๆ อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะต้องถูกทำลายล้างอย่างแน่นอน
“ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าไม่สามารถปกป้องคนที่ช่วยเหลือสนับสนุนเรามามาก พวกข้าจะยืนหยัดในภูมิภาคทางเหนือในอนาคตได้ยังไง? หากเป็นเช่นนั้นควรจะยุบสำนักไปซะเลย” มั่นถัวหลัวเค้นเสียงเย็น
“ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ของเจ้าจะมีรากฐานยาวนาน แต่เจ้าก็ต้องเตรียมใจที่จะเสียสละจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคนเพื่อทำลายล้างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้า บางทีเจ้าอาจถูกรวมในกลุ่มผู้เสียสละด้วยเช่นกัน ผู้อาวุโสเทียนเช่อ!”
พูดถึงจุดนี้ ดวงตาของมั่นถัวหลัวก็เปล่งประกายด้วยจิตสังหาร คำพูดที่แกร่งกร้าวเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าของเทียนเช่อเขียวคล้ำทันที ทว่าขณะที่โกรธ เขาก็ต้องตกใจ ในมุมมองของเขาประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นพวกบ้าระห่ำ ปฏิกิริยาของนางเกินความคาดหมายเขาทุกทาง แค่การพูดคุยกันธรรมดาก็ฟาดฟันกันทั้งสองฝ่ายจนได้รับบาดเจ็บถึงตาย… แม้ว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะแข็งแกร่งกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับการตายของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจำนวนมากได้
แม้กระทั่งผ่านมานับศตวรรษ เผ่าวิหคโลกันตร์ของพวกเขาก็มีเพียงจอมยุททธ์ระดับนี้ไม่กี่คนเท่านั้น การสูญเสียทุกครั้งทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนักหน่า
“ผู้อาวุโสเทียนเช่อ!”
ขณะที่ใบหน้าของเทียนเช่อมืดครึ้มลง รัศมีเชี่ยวกรากรอบตัวเขาแสดงสัญญาณการระเบิด จิ่วโยวก็คำรามออกมาอย่างโกรธเคือง “ตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าไม่ใช่มู่เฉิน ข้าคงตายไปแล้ว ถ้าให้พูดจริงๆ เขาเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าวิหคโลกันตร์ด้วยซ้ำ ตอนนี้ท่านคิดจะอกตัญญูรึ?!”
เทียนเช่อตอบด้วยเสียงขรึม “จิ่วโยว ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ แต่มีวิธีอื่นในการตอบแทนบุณคุณ เจ้ามีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดของเผ่าวิหคโลกันตร์ในช่วงหลายพันปี แม้เจ้าต้องการที่จะสร้างพันธะโลหิตก็ควรจะเป็นเทพอสูรที่มีสายเลือดสูงส่งเช่นเดียวกัน ไอ้หนุ่มคนนี้ธรรมดามาก เขาจะรับโชคลาภเช่นนั้นได้อย่างไร? สำหรับเขาแล้วนี่เป็นอันตรายมากกว่าดีนะ!”
“ธรรมดา?” มั่นถัวหลัวพูดอย่างเย็นชา “มู่เฉินเป็นเจ้าบันทึกมังกรหงส์ในภูมิภาคทางเหนือ ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้”
เทียนเช่อและหลิ่วชิงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็อึ้งไป แววอัศจรรย์ใจวูบไหวในดวงตา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จเช่นนี้
“เฮ้ ภูมิภาคทางเหนือก็ถือว่ากว้างใหญ่ ไม่คิดเลยว่าคนรุ่นเยาว์ที่นี่จะไร้ความสามารถ ถ้าอยู่ในเผ่าของเรา จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าถือได้ว่าพอใช้เท่านั้น สำหรับการขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นเรื่องตลกมาก” เทียนเช่อได้สติอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เบ้ปากอย่างดูถูก เห็นได้ชัดว่าเขาสงสัยเกี่ยวกับทำเนียบมังกรหงส์ของภูมิภาคทางเหนือ
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยามของเทียนเช่อ เขาก็ไม่โกรธแต่ยิ้มแทน “ข้าโชคดีจริงๆ ที่ได้เป็นเจ้าบันทึกของภูมิภาคทางเหนือ แต่สำหรับคุณสมบัติของข้า ผู้อาวุโสสามารถส่งคนมาทดสอบดูได้นะ”
เผชิญหน้ากับคำพูดกดดันของเทียนเช่อ มู่เฉินก็ไม่ได้เอาแต่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของมั่นถัวหลัว เนื่องจากเขารู้ถึงแรงกดดันที่จะเกิดขึ้นหากมั่นถัวหลัวเปิดศึกเชือดเชือนกับเผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นเขาจึงพูดแบบนี้ออกมาเพื่อช่วยแบ่งเบาความกดดันบ้าง
แต่มู่เฉินก็ไม่ได้พูดเล็งเป้าไปที่เทียนเช่อ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ง่ายสำหรับเทียนเช่อที่จะฆ่าเขา ดังนั้นเขาจึงบอกให้ส่งคนออกมาทดสอบแทน
ตอนนี้ถ้าเทียนเช่อต้องการส่งคนออกมาทดสอบเขา แน่นอนว่ามีแต่คนที่ชื่อหลิ่วชิง ชายคนนี้รับมือไม่ง่าย จากการประเมินของมู่เฉินพลังของอีกฝ่ายน่าจะคล้ายคลึงกับจิ่วโยว แต่ถ้าพวกเขาจะต่อสู้กัน อีกฝ่ายก็ไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ในระยะเวลาอันสั้น
เมื่อเทียนเช่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ดวงตาก็วูบไหวพลางยิ้มอย่างเย็นชา “ช่างเจ้าเล่ห์นักนะไอ้หนู ถ้าข้าต้องการจะจัดการจริงก็ไม่มีใครสามารถปกป้องเจ้าได้… แต่ในเมื่อเจ้ากล้าพอที่จะก้าวออกมาเองวันนี้ ข้าก็จะดูว่าเจ้าเก่งสักแค่ไหน!”
“หลิ่วชิง!”
“ขอรับ!” ชายหนุ่มรูปงามและสวมเสื้อผ้าสีฟ้าอมเขียวตอบอย่างเคร่งขรึม
“จัดการเขาภายในสิบกระบวนท่า!” พูดจบเทียนเช่อก็มองไปที่มั่นถัวหลัวและจอมพลทั้งสามเอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าพวกท่านคงไม่เข้าไปยุ่งการดวลกันของเด็กๆ ใช่ไหม?”
รอให้เขายืนยันว่าเด็กนี่เป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วส่งข้อมูลกลับไปยังเผ่า สภาอาวุโสจะต้องโกรธเกรี้ยวแน่นอน สายเลือดพรสวรรค์ชั้นยอดของเผ่าวิหคโลกันตร์หลายพันปีจะมีสักคน จะต้องไม่ปนเปื้อนด้วยเลือดมนุษย์ เมื่อเรื่องแดงขึ้นเขาจะดูสิว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังจะกล้าเผชิญหน้ากับพวกเขาอีกไหม
มั่นถัวหลัวและจอมพลทั้งสามขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร เทียนเช่อเป็นตัวแทนเผ่าวิหคโลกันตร์ พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้มาก ในเมื่อเขาต้องการให้หลิ่วชิงประลองก็คงต้องเป็นไปตามนั้น
มั่นถัวหลัวเหลือบมองหลิ่วชิง ชายคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา กระทั่งในเผ่าวิหคโลกันตร์เขาก็คงเป็นบุคคลโดดเด่นของหมู่คนรุ่นใหม่ แต่พวกเขาหยิ่งเกินไปที่คิดจะจัดการมู่เฉินในสิบกระบวนท่า… แค่คิดมุมริมฝีปากของมั่นถัวหลัวก็ยกขึ้นอย่างเยือกเย็น หลายปีที่ผ่านมาคนที่ดูหมิ่นมู่เฉิน จบลงไม่สวยสักราย
“ท่านประมุขช่างมองภาพรวมแท้จริง” เมื่อเทียนเช่อเห็นการยินยอมของมั่นถัวหลัว เขาก็ยิ้มอย่างพอใจก่อนพยักหน้าให้หลิ่วชิงที่ด้านหลัง
หลิ่วชิงพยักหน้ารับ ก้าวย่างออกมาช้าๆ
แต่เมื่อเขาเริ่มเคลื่อนไหว จิ่วโยวก็เข้ามาขวางตรงหน้า สายตาจ้องมองหลิ่วชิงอย่างเย็นชา
“องค์หญิงจิ่วโยวไม่ต้องห่วง ข้าไม่เอาชีวิตของเขาหรอก แค่ให้เขารู้หลักการบางอย่างเท่านั้น” หลิ่วชิงยิ้มบางตอบสนองสายตาถมึงทึงของจิ่วโยว
“จิ่วโยวอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีก! หากไอ้เด็กคนนี้ต้องการให้เจ้าปกป้อง ก็เท่ากับเขาเป็นตัวไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ต่อให้บิดาของเจ้ารู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรเอาแต่ใจหรอก!” เทียนเช่อกล่าวอย่างเคร่งขรึมจากด้านข้าง
จิ่วโยวมองหลิ่วชิงอย่างเย็นชาก่อนจะเค้นเสียงใส่ “ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าอับอายในภายหลัง”
หลิ่วชิงหรี่ตาลง จากนั้นก็ยิ้มบางอย่างไม่แยแส แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร เขาเดินผ่านร่างจิ่วโยวตรงไปที่มู่เฉิน
เมื่อเขาก้าวย่างเข้ามา ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงลุกโชติช่วงและรุนแรงรวมตัวกันอยู่ในร่างของเขาราวกับภูเขาไฟ
สายตาเฉียบคมก็เปลี่ยนเป็นคมชัดยิ่งขึ้น ขณะที่คลื่นหลิงพวยพุ่งทำให้เสื้อผ้าสั่นกระพือ เสียงคมชัดบางเบาดังก้องออกมา
รัศมีที่น่าอัศจรรย์ใจค่อยๆ กระจายออกจากร่างกายของเขา
เมื่อจอมพลทั้งสามรู้สึกถึงแรงกดของหลิ่วชิงก็ต้องหดดวงตา ตัดสินจากแรงกดดันนี้บางทีแม้แต่ในหมู่ผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คงมีเพียงซิวหลัวเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้
จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าวิหคโลกันตร์มีความสามารถแท้จริง ไม่แปลกใจที่เทียนเช่อหยิ่งยโสเพียงนี้
ภายใต้สายตาจ้องมอง หลิ่วชิงเดินมาหยุดอยู่ห่างจากมู่เฉินเพียงสิบจั้ง เขามองดูมู่เฉินอย่างเฉยเมย พูดเสียงเบาว่า “การประลองครั้งนี้แค่อยากให้เจ้ารู้ว่า… มนุษย์นั้นสูงส่งเพียงเพราะพวกเขารู้ว่ายืนอยู่ที่ไหน”
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ตอบสนองต่อคำพูดนั่น ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง ก่อนที่จะยื่นมือประสานกันโค้งตัวลงเบื้องหน้า
“มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ขอคำชี้แนะด้วย”
บทที่ 962 วิหคเพลิงกัลป์
เบื้องหน้าตำหนักรับรอง
มู่เฉินและหลิ่วชิงยืนประจันหน้ากัน สายตาของทั้งสองคมราวกับใบมีด คลื่นหลิงทรงพลังผันผวนออกมาจากร่างกาย ทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนด้วยเสียงฮึมฮัม
หลิ่วชิงประหลาดใจไปเล็กน้อยเมื่อเห็นมู่เฉินมีท่าทีไม่อ่อนลงกลับยืนจังก้าอยู่ต่อหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ามู่เฉินไปเอาความมั่นใจมาจากไหน
ทว่าหลิ่วชิงก็ไม่ได้คิดให้มากความ ไม่ว่ามู่เฉินจะน่ากังวลหรือกล้าหาญ ก็ไม่สำคัญกับเขา เพราะสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือการทำให้อีกฝ่ายแพ้ในสิบประบวนท่า
ถึงตอนนั้น เขาจะให้ไอ้หนูนี่รู้ถึงช่องว่างระหว่างพวกเขา ตราบใดที่คนเรารู้จักตัวเอง เขาก็จะไม่วอแวจิ่วโยวอีกต่อไป จากนั้นให้พวกเขาสลายพันธะโลหิต เพื่อป้องกันการดึงดูดหายนะมาสู่ตัวเอง
“หวังว่าเจ้าจะมีความสามารถจริงๆนะ… ไม่งั้นเจ้าก็เป็นเพียงรอยด่างในสายเลือดอันสูงส่งของนางเท่านั้น”
หลิ่วชิงมองไปที่มู่เฉินและไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป เขากำมือแน่น คลื่นหลิงแรงกล้าก็ระเบิดออกจากร่าง ขณะที่คลื่นความร้อนม้วนตัว ก็ทำให้อุณหภูมิพื้นที่ส่วนนี้สูงขึ้น
ปัง!
ขณะที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น หลิ่วชิงก็กระทืบเท้าทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ดูราวกับว่ามีเปลวไฟปะทุอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เกิดรอยร้าวบนแผ่นหินสีฟ้าอมเขียวที่แข็งแรงด้านล่าง เขาพุ่งตัวออกมาทิ้งเงาพร่าเลือนเอาไว้ด้านหลัง
ความเร็วของหลิ่วชิงเร็วมากจนยากที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ชั่ววูบเดียวเขาก็มาปรากฏตัวข้างขวามู่เฉิน สองนิ้วเหยียดออกราวกับกระบี่ดัชนี เปลวเพลิงคลื่นหลิงรวมตัวกัน ทำให้นิ้วของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที พร้อมกับริ้วเพลิงสีแดงเต้นระริกบนปลายนิ้ว ขณะที่นิ้ววาดออกไปก็ทำให้มิติบิดเบือนจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
หลิ่วชิงไม่ได้คิดหยั่งเชิงกระบวนท่าง่ายๆ เมื่อโจมตี ไม่ต้องพูดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าทั่วไป แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็สามารถถูกดัชนีนี้แทงทะลุเป็นแผลลึกบนร่างกายได้
“ฮ่าๆ ดัชนีแดงของหลิ่วชิงเชี่ยวชาญขึ้นอีกแล้ว” เมื่อเทียนเช่อเห็นการโจมตีปานฟ้าผ่าของหลิ่วชิงเขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ
ยืนอยู่ด้านข้างมั่นถัวหลัว จอมพลทั้งสามและจิ่วโยวก็มีท่าทางเย็นชา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาเข้าใจในตัวมู่เฉินเป็นอย่างดี แม้ว่าขุมพลังจะอยู่ระดับจื้อจุนขั้นห้า แต่หากใครปฏิบัติต่อเขาเหมือนจอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปก็รอรับความโชคร้ายได้เลย
ดัชนีแดงของหลิ่วชิงราวกับรอยภาพลวงตาสะท้อนในม่านตาดำของมู่เฉิน อึดใจนิ้วทั้งสองก็งองุ้มเสือกแทงลงมาโดยไม่ลังเล
ทันทีที่ดัชนีแทงออกมา แสงสีทองก็เปล่งบนพื้นผิวร่างกายของมู่เฉิน เสียงคำรามมังกรดังเลือนราง ขณะที่สัญลักษณ์มังกรสีม่วงทองปรากฏบนนิ้วมือ
“กายามังกรหงส์ ลวดลายมังกรแท้จริง!”
นิ้วของเขาดูเหมือนว่าแปลงมาจากทองคำ แทงทะลุมิติปะทะกับดัชนีแดงจังใหญ่ ทันใดนั้นแรงกระทบของคลื่นหลิงก็กวาดออก พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาพังทลาย แผ่นหินสีฟ้าอมเขียวที่แข็งแรงก็แตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
เมื่อสองดัชนีปะทะกัน สายตาที่เยือกเย็นของหลิ่วชิงก็หดเกร็ง นั่นเพราะทันทีที่เกิดการชนกัน พลังความรุนแรงที่ส่งผ่านทรงพลังกว่าที่เขาคิดไว้
นอกจากนี้นิ้วทั้งสองของมู่เฉินทนทานเกินคาด ตัวเขาเป็นร่างเทพอสูร ความคมชัดของนิ้วทรงพลังกว่าอาวุธพบสวรรค์ทั่วไปเสียอีก โดยทั่วไปแล้วกระทั่งจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เชี่ยวชาญในการฝึกฝนพลังกายยังไม่สามารถได้รับความแข็งแกร่งเช่นนี้ได้
“พลังกายของเจ้านี่ทรงพลังมากขนาดนี้เชียวเหรอ? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถเทียบกับข้าได้!”
หลิ่วชิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็พ่นเสียงเย็น นิ้วของเขาพุ่งออกไปสร้างภาพลวงตานับไม่ถ้วนกวาดออกห่อหุ้มจุดตายของมู่เฉิน ภาพที่เกิดนี้สร้างเสียงเสียดแก้วหูยิ่งนัก
วาบ! วาบ!
แต่เผชิญหน้ากับกระบวนท่าดุดัน มู่เฉินก็เลือกปะทะซึ่งหน้า ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่งขึ้น ภาพลวงตาก็กวาดออกปะทะกับภาพลวงตาเหล่านั้น
ปัง! ปัง! ปัง!
ขณะที่ภาพลวงตากระแทกกันและกัน คลื่นหลิงก็ระเบิด พายุคลั่งกวาดออกไป ทำให้เกิดรอยลึกบนพื้นดินบริเวณใกล้เคียง ทว่ารอยเหล่านี้ค่อนข้างแตกต่างกัน ร่องรอยของหลิ่วชิงเต็มไปด้วยความรุนแรงและร้อนแรง ดังนั้นรอยที่ทิ้งไว้จะแสดงสัญญาณการละลาย ในทางกลับกันร่องรอยของมู่เฉินกลับคมชัดและเรียบเนียนราวกับผิวกระจกหรือรอยปาดเต้าหู้
ตึง!
ขณะที่พายุคลั่งกวาดออกไป คลื่นกระแทกทรงพลังก็ระเบิดขึ้นจากการปะทะครั้งสุดท้าย ซึ่งทำให้ทั้งคู่ถูกกระแสลมซัดกระเด็นถอยไป
เท้าของมู่เฉินลากไปกับพื้นหลายสิบจั้ง ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สายตาจ้องมองหลิ่วชิงที่กำลังขมวดคิ้วแน่น
“มิน่าล่ะเจ้าถึงได้เป็นเจ้าบันทึกจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ” หลิ่วชิงยกมือขึ้นช้าๆ มีรอยเลือดปรากฏบนแขนของเขา เขากระตุกมือเบาๆ เปลวไฟสีแดงกลุ่มหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา บาดแผลหายวับไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาของเหล่าเทพอสูร
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพดังกล่าวก็ยิ้ม หยดเลือดไหลออกมาจากปลายนิ้ว แต่หลังจากแสงสีทองวาบขึ้นแผลก็หายไปอย่างสมบูรณ์
เทียบทางด้านพลังกาย กายามังกรหงส์ของเขาไม่ได้อ่อนด้อยกว่าร่างเทพอสูรตัวจริงเลยทีเดียว
กระบวนท่าก่อนหน้าเขาใช้กายามังกรหงส์รับการโจมตีของหลิวชิง ทว่าเขาก็รู้สึกตกใจกับความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมาเช่นกัน
ตามการประเมิน หลิ่วชิงน่าจะเป็นจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ถ้าอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาอ่อนแอกว่าผู้บัญชาการซิวหลัวคนเดียวเท่านั้น
เมื่อเทียบกับฟังยี่และโยวหมิงแล้ว หลิ่วชิงกร้าวแกร่งกว่ามาก
หลิ่วชิงหรี่ตามองไปที่มู่เฉิน การแลกกระบวนท่าก่อนหน้าลบริ้วความดูถูกที่มีในสายตาออกไปหมดแล้ว สามารถต่อสู้กับเขาจนถึงจุดนี้ได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า เพียงแค่จุดนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามู่เฉินไม่ธรรมดา
แม้ก่อนหน้าเขาแค่ลองมือ แต่ชัดว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเช่นกัน
“น่าสนใจ…”
หลิ่วชิงพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ดวงตาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้ มีเพียงคู่ต่อสู้แบบนี้เท่านั้นที่จะได้รับการประลองแท้จริงจากเขา
แววตาโชนแสงของหลิ่วชิงจับจ้องไปที่มู่เฉิน เสื้อผ้าของเขากระพือโดยไร้สายลม คลื่นหลิงลุกโชนรุนแรงระเบิดออกจากร่างราวกับภูเขาไฟ
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากส่งเสียงครางกระหึ่ม ก่อนที่จะรวมตัวกันอยู่ด้านหลังหลิ่วชิง ก่อร่างเป็นนกสีแดงตัวโตขนาดหลายพันจั้งที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟ อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เมฆระเหิดหายไป
หลิ่วชิงกระโจนตัวปรากฏขึ้นเหนือร่างนกสีแดงเพลิง จากนั้นก็กำมือแน่น เปลวเพลิงรวมตัวกันกลางฝ่ามือ อึดใจก็กลายเป็นหอกยาวสีแดงก่ำ
ทันทีที่อีกฝ่ายคว้าหอกจับไว้ มู่เฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารัศมีหลิ่วชิงยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อหลิ่วชิงปรายตามองมา ก็ทำให้มู่เฉินรู้สึกเจ็บปวดที่ผิวหนัง
ในตอนนี้หลิ่วชิงทำให้มู่เฉินรู้สึกถึงอันตรายอย่างแท้จริง
นกสีแดงตัวนี้เป็นร่างเทพอสูรของหลิ่วชิง ทว่าไม่เหมือนกับวิหคโลกันตร์ของจิ่วโยว ถ้ามู่เฉินเดาได้ถูกละก็ ร่างเทพอสูรของหลิ่วชิงน่าจะเป็นวิหคเพลิงกัลป์
แม้ว่าวิหคเพลิงกัลป์ไม่ได้หายากเหมือนวิหคอนธโลกันตร์ในสายวิหคโลกันตร์ แต่ก็เป็นสัตว์เทพที่น่าเกรงขาม ตราบใดที่ใช้งานก็มาพร้อมพลังเผาท้องฟ้าต้มทะเล…
ฟู่! ฟู่!
ขณะที่วิหคเพลิงกัลป์กระพือปีกใหญ่ ท้องฟ้าทั้งผืนก็ราวกับสว่างไสวแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เวลาเดียวกันวิหคเพลิงกัลป์และหลิ่วชิงก็ราวกับรวมร่างเป็นหนึ่งเดียว คลื่นหลิงในมิติเดือดพล่าน
“ใช้ร่างเทห์สวรรค์ของเจ้าซะ ไม่งั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้ว” หลิ่วชิงมองต่ำไปที่มู่เฉินพลางพูดขึ้น
เทพอสูรแบบเขาไม่ได้ชำระร่างเทห์สวรรค์ เพราะพวกเขามีร่างเทพอสูรซึ่งเป็นวิธีการคล้ายคลึงกัน ตอนนี้หลิ่วชิงได้นำร่างเทพอสูรออกมาแล้ว พลังการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้น ถ้ามู่เฉินยังไม่นำร่างเทห์สวรรค์ออกมาใช้อีก ก็จะยากที่จะเผชิญหน้ากับเขา
“ตามขอ”
มู่เฉินยิ้มไม่ได้โอหังจนไม่สนใจหลิ่วชิง มือทั้งสองวาดตราประทับ แสงสีทองโชติช่วงระเบิดออกมาจากร่าง ในเวลาไม่กี่อึดใจร่างเทห์สวรรค์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง
ร่างเทห์สวรรค์ยืนตระหง่านโดยมีดวงตะวันสีทองเจิดจรัสลอยอยู่ด้านหลังศีรษะ บนร่างมหึมาเต็มไปด้วยลวดลายสีทองโบราณ นี่ก็คือร่างเทพสุริยะ
“ช่างเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่แปลกประหลาด ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” เมื่อหลิ่วชิงเห็นร่างเทพสุริยะของมู่เฉินริ้วความอัศจรรย์ใจก็วูบไหวในดวงตาแต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่ามู่เฉินจะครอบครองวิชาอะไรในวันนี้ ผลลัพธ์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
ในเมื่อเขานำร่างเทพอสูรออกมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่การประลองนี้จะยุติลง มู่เฉินถือว่ามีความสามารถแท้จริงแล้วที่สามารถบังคับให้เขาอยู่ในสถานะนี้ได้
แต่อย่างไรเสียเทียนเช่อก็ตั้งใจจะปราบปรามชายหนุ่มคนนี้ชัดเจน ดังนั้นเขาจำเป็นต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าพลังที่มียังห่างชั้นในการที่จะสร้างพันธะโลหิตกับจิ่วโยว
มนุษย์ตัวจ้อยนี้ อย่าได้หยุดยั้งโอกาสยิ่งใหญ่ขององค์หญิงจิ่วโยว
คิดถึงจุดนี้ สายตาของหลิ่วชิงก็ยิ่งคมชัดขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ยกหอกสีแดงยาวขึ้นเล็งไปที่มู่เฉินจากระยะไกล
ขณะที่สายตาเล็งเป้าไป ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก็เงยหน้าขึ้น ม่านตาสีดำมองทะลุผ่านมิติมา ซึ่งเต็มไปด้วยความคมชัดไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
เขาก้าวเดินในยุทธภพทีละก้าวไม่มีสถานการณ์เป็นตายแบบไหนที่ไม่เคยผ่านมาก่อน แค่หลิ่วชิงคนเดียวไม่พอที่จะทำให้คนอย่างเขายอมรับความพ่ายแพ้!
เมื่อสายตาคมกล้าสองสายปะทะกันบนท้องฟ้า ประกายไฟก็แล่นเปรียะทันที
ไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชน!
บทที่ 963 ดวลเดือดกับหลิ่วชิง
บนท้องฟ้า
ร่างมหึมาสองร่างยืนตระหง่าน ขณะที่คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกวาดออกมาเป็นลอนคลื่นราวกับพายุ ทำให้เกิดลมหมุนรุนแรงทั่วบริเวณนี้ กระทั่งหมู่เมฆที่ขอบฟ้าก็ยังฉีกขาดออกจากกัน
แม้ว่าพื้นที่ตรงนี้จะได้รับการผนึกโดยมั่นถัวหลัวแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเขตต้าหลัวเทียน ดังนั้นเมื่อความผันผวนของคลื่นหลิงระเบิดออก ก็ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วอย่างรวดเร็ว จากที่ไกลมีร่างแสงบินฉวัดเฉวียนเข้ามานับไม่ถ้วน ก่อนที่พวกเขาจะลอยตัวบนท้องฟ้า จ้องมองการเผชิญหน้าที่เบื้องหน้าครรลองสายตา
พวกเขาไม่ได้ทะเล่อทะล่าเข้าไป เนื่องจากเห็นมั่นถัวหลัว ในเมื่อประมุขอยู่ที่นั่นแล้ว การดวลที่เกิดขึ้นก็ต้องอยู่ในขอบเขตการยอมรับของนาง
จอมยุทธ์บางคนที่มีหน้าที่เฝ้าระวังก็รู้สึกโล่งอกในใจ ก่อนที่จะพุ่งความสนใจไปยังการเผชิญหน้าที่อยู่ในระยะไกล จากนั้นความตื่นตะตึงก็ผุดขึ้นในดวงตาของพวกเขา
“นั่นไม่ใช่ผู้บัญชาการมู่เหรอ?”
“มีคนกำลังสู้กับเขา นั่นใครกัน? รู้สึกจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนนะ แต่แรงกดดันคลื่นหลิงของเขาช่างน่าทึ่งนัก!”
“พิจารณาจากแรงกดดันของคลื่นพลังนี้ เขาจะต้องอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด แม้แต่ในหมู่ผู้บัญชาการ ก็มีแต่ผู้บัญชาการซินหลัวเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่า เขาเป็นใครมาจากไหนกัน?
“…”
เสียงกระซิบกระซาบดังก้อง นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามล่าชื่อเสียงของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคทางเหนือ มิหนำซ้ำยังเข้าครอบตำแหน่งเจ้าทำเนียบของหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่อีกด้วย ดังนั้นจอมยุทธ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถึงได้ตกอกตกใจเมื่อเห็นมีคนต่อสู้กับมู่เฉิน
“ข้าได้ยินว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ส่งทูตมาเชิญผู้บัญชาการจิ่วโยวกลับบ้าน ถ้าข้าเดาไม่ผิดชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นอัจฉริยะของเผ่ามั้ง” ทว่าในกลุ่มคนเหล่านั้นก็มีบางส่วนที่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในสำนัก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ข้อมูลละเอียดมากพอสมควร
“แต่เผ่าวิหคโลกันตร์น่ากลัวอย่างแท้จริง ชายหนุ่มคนนี้มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด แม้ว่าจะอยู่ในภูมิภาคทางเหนือ จอมยุทธ์ที่มีพลังเช่นนี้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง” มีบางคนแอบถอนหายใจ
“ชายคนนั้นเยี่ยมจริง ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการมู่จะสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่…” มีบางคนพูดขึ้นด้วยความกังวล แม้ว่าช่วงนี้มู่เฉินจะอยู่ในจุดที่ได้รับความสนใจมากยิ่ง แต่เขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าเขาสามารถใช้ตัวตนของจั้นเจิ้นซือในการต่อสู้แล้ว อัจฉริยะของเผ่าวิหคโลกันตร์รับกระบวนท่าได้ไม่เกินห้ากระบวนท่าแน่นอน แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่สามารถใช้รัศมีจั้นยี่ในการต่อสู้นี้ได้
หากจอมยุทธ์ธรรมดาพยายามใช้ระดับจื้อจุนขั้นห้าเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่มีอยู่ในขั้นหกระยะปลายสุด บางทีทุกคนอาจจะหัวเราะจนฟันร่วง แต่ถ้าเป็นมู่เฉิน พวกเขาก็จะพิจารณาโอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะปีก่อนๆ ที่ผ่านมา เขาคนนี้ได้สร้างปาฏิหาริย์มากมาย
ดังนั้นทุกคนไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ของการดวลครั้งนี้ได้
เมื่อการเผชิญหน้าระหว่างมู่เฉินและหลิ่วชิงดึงดูดความสนใจมากขึ้น คู่ต่อสู้ทั้งสองก็ไม่ได้วอกแวกแม้แต่น้อย พวกเขาจ้องมองกันและกันด้วยสายตาเย็นชา คลื่นหลิงรอบตัวระเบิดตูมตามราวกับพายุก่อตัว
หลิ่วชิงยืนอยู่บนวิหคเพลิงกัลป์ กำหอกยาวในมือแน่น ทันใดนั้นดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ก่อนที่จะกระทืบเท้าอย่างแรง
กีดดด!
ใต้ฝ่าเท้าของเขาวิหคเพลิงกัลป์แผดเสียงร้องคมชัด ก่อนที่จะเปิดปาก เปลวไฟสีแดงก็ปลิวว่อน ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็ครอบคลุมไปถึงขอบฟ้าแล้ว
“คัมภีร์จิ่วโยวเหยียนเชี่ย ทะเลแดงเผาสวรรค์”
หลิ่วชิงชี้หอกแดงยาวใส่มู่เฉินจากระยะไกล ทันใดนั้นทะเลเพลิงสีแดงเข้มก็กวาดออก มิติถึงกับบิดเบี้ยวในเส้นทางของเปลวไฟ สะท้อนภาพพร่าเลือนในสายตาผู้เฝ้ามอง
ฟิ้ว!
ขณะที่ทะเลเพลิงกวาดออกก็หุ้มห่อร่างเทพสุริยะเอาไว้ทันที ทว่าเผชิญกับการโจมตีนี้ มู่เฉินกลับยืนนิ่งบนหัวของร่างเทพสุริยะโดยมีแสงสีทองกระจายออกมาจากร่างมหึมา
ทะเลเพลิงส่งเสียงครางหวีดหวิว ส่วนร่างเทพสุริยะกลับยืนหนักแน่นราวกับหินผา ไม่เพียงแต่จะไม่ละลายหายไปจากทะเลเพลิงเท่านั้น กระทั่งริ้วแสงสีทองแวววาวยังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองคำภายใต้อุณหภูมิระดับสุดยอด ช่างมองดูทรงเกียรติยิ่งนัก
เมื่อเห็นฉากนี้ หลิ่วชิงก็อดไม่ได้ที่จะเกร็งดวงตา เนื่องจากเพลิงในทะเลสร้างขึ้นจากเปลวไฟแห่งสายเลือดของเขาทั้งน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่เรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมาก็มีสิทธิ์ละลายไป แต่ตอนนี้ร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินกลับไม่ได้เคลื่อนไหวสักกระผีก นอกจากนี้ยังดูดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
“ร่างเทห์สวรรค์ของเจ้านั่นมาจากไหนกัน? ทำไมถึงน่าเกรงขามขนาดนี้?!” หลิ่วชิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็เค้นเสียงเย็น เขาไม่ลังเลอีกต่อไป รีบวาดตราประทับแปลกประหลาดด้วยมือข้างเดียว
“ฮึ่ม!”
พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงตราประทับ ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็รวมตัวกันในทะเลสีแดงที่อยู่รอบร่างเทพสุริยะ ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นขนนกเพลิงยาวนับไม่ถ้วน ขนนกเพลิงเหล่านี้ราวกับดาบที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายต่างๆ ขณะที่เปล่งประกายก็แผ่คลื่นความร้อนสูงออกไป
เมื่อดาบยาวเพลิงก่อร่าง มู่เฉินที่ยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะก็หดดวงตาลง เนื่องจากเขารู้สึกถึงคลื่นอันตรายจากขนนกเหล่านั้น
หลิ่วชิงจ้องมู่เฉินจากที่ไกล เขายิ้มไม่แยแสก่อนจะสะบัดนิ้ว เปิดใช้งานกระบวนท่าสังหารนี้ทันที
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เสียงสั่นสะเทือนจากดาบดังสะท้อนทั่วท้องฟ้า ทันใดนั้นขนนกนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่เหนือทะเลเพลิงก็จางหายไป
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเกร็งดวงตา นั่นเป็นเพราะเมื่อขนนกเพลิงเหล่านั้นหายไป เขาก็ไม่สามารถสัมผัสถึงความผันผวนแม้แต่เล็กน้อยได้
ความรู้สึกแบบนี้ราวกับว่าขนนกสูญสลายไปสมบูรณ์
“ไม่ ไม่ได้หายไป พวกมันรวมเข้ากับทะเลเพลิงต่างหาก!”
แต่ไม่นานมู่เฉินก็รู้ฉุกคิดได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าตอนนี้แสงสีทองรอบร่างเทพสุริยะก็จางลงอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นเกลียวเพลิงแปลกประหลาดหลายสิบสายก็ปรากฏขึ้นรอบตัวมู่เฉิน ท่ามกลางเปลวเพลิงนั้นมีดาบยาวที่ลุกเป็นไฟมากมาย แม้จะร้อนระอุ แต่ความคมชัดนั่นก็ทำเอามู่เฉินรู้สึกหนังหัวชาหนึบเลยทีเดียว
ฟิ้ว!
เมื่อดาบขนนกเพลิงปรากฏขึ้นก็ไม่ชักช้า พุ่งเข้าใส่จุดสำคัญบนร่างมู่เฉินด้วยความเร็วที่ทำให้แม้แต่เขาก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที
ดาบขนนกเหล่านี้คมมากเป็นพิเศษ เนื่องจากสร้างขึ้นมาด้วยพลังเต็มพิกัดของหลิ่วชิง หากมู่เฉินถูกซัดใส่ละก็ ถึงจะมีวิชาพลังกายทรงประสิทธิภาพ ตัวเขาก็คงจะเต็มไปด้วยรูเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย
ดาบสะท้อนในดวงตาของมู่เฉิน อึดใจขอบใบมีดก็สัมผัสกับเสื้อผ้า แต่ทันใดนั้นดวงตามู่เฉินก็เฉียบคมขึ้น
บนศีรษะของร่างเทพสุริยะ แสงสีทองแผ่ซ่านออกมาทันที ก่อตัวเป็นโล่ทองคำจำนวนมากด้วยความเร็วสูง
ปัง! ปัง!
ดาบและโล่โรมรันกันตามมาด้วยเสียงระเบิดดังเจาะหู จากนั้นภายใต้คลื่นหลิงที่ผันผวน คลื่นพลังสองสายก็กลายเป็นจุดแสงเหือดหายไป
“ตอบโต้ได้รวดเร็วจริงๆ…”
เมื่อหลิ่วชิงเห็นว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จในการโจมตี เขาก็ยิ้มด้วยความอัศจรรย์ใจ ก่อนจะสะบัดนิ้วอีกครั้ง “แล้วคราวนี้ล่ะ?”
ทันทีที่เสียงจบลง หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้านด้วยความเย็นเยือก เพราะเวลานี้เขาเห็นว่ามีดาบขนนกนับร้อยนับพันปรากฏอยู่รอบตัวเขาอย่างแปลกประหลาด ราวกับค่ายกลดาบที่ขังเขาไว้ภายใน
ในเวลานี้มู่เฉินก็รู้ว่าทะเลเพลิงที่หลิ่วชิงสร้างขึ้นมา ไม่ได้ใช้เพื่อเผาเขาให้เป็นเถ้าถ่าน เพราะทะเลเพลิงนี้เป็นตัวกลางในการโจมตีต่างหาก
ดาบขนนกสามารถรวมเข้ากับทะเลเพลิงและไปปรากฏในตำแหน่งใดๆ ก็ได้ ดังนั้นต่อให้มู่เฉินได้รับความคุ้มครองจากร่างเทพสุริยะ ก็ยังไม่สามารถปกป้องตัวเองจากดาบยาวขนนกทั้งหมดนี้ได้
นอกจากเขาจะสามารถทำลายทะเลเพลิงนี้ไปได้ มิฉะนั้นการโจมตีจะไม่มีที่สิ้นสุดลงจนกว่าร่างเขาจะพรุนเป็นเม่น… การโจมตีนี้สามารถผลักจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกให้ลงไปในเหวความตายได้เลยทีเดียว หลิ่วชิงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง ไม่อาจประมาทได้เลย
ทว่าความน่าสมเพชก่อนหน้า เป็นเพราะเขาไม่ทันตั้งตัวเท่านั้น แต่ถ้าหลิ่วชิงคิดจะใช้ทักษะเดียวกันอีกครั้งมาโจมตี ก็ดูถูกมู่เฉินมากเกินไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อดาบขนนกจำนวนหลายพันยิงเข้ามา สายตาคมชัดของมู่เฉินก็มองข้ามพวกมัน จับจ้องไปที่ทิศทางของหลิ่วชิง
จับโจรเอาหัวโจก ตราบใดที่หลิ่วชิงพ่ายแพ้ ทะเลเพลิงก็จะหายไป
ฮา
ลมหายใจสีขาวขุ่นพ่นออกมาจากปากของมู่เฉินอย่างช้าๆ จากนั้นเขาก็วาดตราประทับที่ลึกซึ้งและซับซ้อนด้วยมือทั้งสองด้วยความเร็วปานสายฟ้า…
ปัง! ปัง!
ขณะที่ตราประทับของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงวูบไหว ดาบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยิงเข้ามา โล่ทองคำหนาทึบปรากฏขึ้นรอบตัวเขา ก่อนที่พลังทั้งสองสายจะปะทะกันเปรี้ยงปร้าง รัศมีดาบกวาดหายนะทิ้งรอยเลือดไว้บนร่างของมู่เฉิน
ทว่ามู่เฉินยังคงมีสีหน้าเฉยเมย ไม่สนใจโล่ทองคำที่ลดลงเรื่อยๆ แต่ความเร็วในการวาดตราประทับของเขากลับเพิ่มขึ้น วินาทีต่อมามือของเขาก็หยุดกึกลง ภาพลวงตาหมุนคว้างไปในอากาศ
ในระยะไกลเมื่อหลิ่วชิงเห็นตราประทับของมู่เฉินหยุดลง ความไม่สบายใจก็ผุดขึ้นในใจของเขา
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็เห็นว่ามิติเหนือร่างมู่เฉินเริ่มผันผวน ก่อนที่ดอกไม้ชวนหลงใหลดอกใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้อย่างคลุมเครือเบ่งบานอย่างช้าๆ
ดอกไม้ปีศาจมีสีม่วงเข้ม กลีบทุกกลีบถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณ ดูราวกับซากอารยธรรมของสวรรค์และโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่หยั่งไม่ถึง
ขณะที่ดอกไม้คลี่กลีบดอก คลื่นหลิงทั่วบริเวณก็ถูกดูดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง มากจนแม้แต่ทะเลเพลิงเบื้องล่างยังเริ่มส่งเสียงครางกระหึ่ม กลายเป็นสายธารเพลิงถูกดูดเข้าไปในดอกไม้ปีศาจ
ส่งผลให้ดอกไม้ปีศาจเปล่งแสงมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น ปล่อยลมหายใจยาวเหยียดออกมา จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่หลิ่วชิงที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง มุมปากกระตุกเบาๆ แล้วชี้นิ้วลงไป
“คงเสียมารยาทที่จะไม่โจมตีกลับ ได้รับของมาแล้วไม่คืนเป็นเรื่องเสียมารยาทไปหน่อย… พี่หลิ่วลองรับกระบวนท่านี้จากข้าหน่อย…”
พูดจบเกสรดอกไม้ปีศาจก็เปล่งประกายแวววาวสีม่วงเข้มพลางเล็งไปที่หลิ่วชิงจากระยะไกล อึดใจถัดมาการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวก็ปลดปล่อยออกมาด้วยพลังทำลายล้างหนาแน่น ภายใต้เสียงอ่อนโยนในหัวใจของมู่เฉิน
“วิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็ม…ดอกแมนดาลา…แสงบุปผาทำลายฟ้า…”
บทที่ 964 แรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริง
แสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเข้มพุ่งออกมาจากเกสรดอก
เมื่อแสงสีม่วงยิงออกไป ท้องฟ้าที่สว่างไสวในตอนแรกก็มืดลงฉับพลัน ฉากนี้ราวกับว่าความสว่างในทั้งหมดถูกกลืนกินด้วยแสงสีม่วง
ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์หลายคนอดไม่ได้ที่จะหน้าถอดสีกับภาพนี้ เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นความตายรุนแรงที่มาจากแสงสีม่วงเข้ม
พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าหากเป้าหมายของแสงสีม่วงคือตัวพวกเขา พวกเขาคงไม่สามารถหลบมันได้แน่นอน มีเพียงความตายรออยู่ที่เบื้องหน้าเท่านั้น!
“นี่ต้องเป็นวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มแน่!” จอมยุทธ์บางคนตัวสั่นเทาด้วยความเคารพและอิจฉาบนใบหน้า มู่เฉินสมกับเป็นเจ้าทำเนียบในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ เขาสามารถครอบครองกระทั่งวิทยายุทธสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงไม่กลัว ต่อให้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่า
ทุกคนบอกได้เลยว่าการโจมตีของมู่เฉินเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่กล้าที่จะรับโดยตรง!
เบื้องหน้าตำหนักรับรอง เมื่อเทียนเช่อเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ ริ้วคมชัดก็วูบไหวในดวงตา เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินมาเกินความคาดหมายของเขาที่สามารถแสดงศักยภาพในการต่อสู้ได้ในระดับนี้
กระบวนท่าเสินซู่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง แต่ความยากลำบากในการฝึกฝนก็สูงมากเช่นกัน แม้ว่าจอมยุทธ์สามัญจะโชคดีมีวิทยายุทธระดับนี้ครอบครอง พวกเขาก็ไม่อาจฝึกฝนสำเร็จได้
ทว่ามู่เฉินไม่เพียงแต่โชคดีได้รับคัมภีร์เทพมา ที่สำคัญเขายังฝึกฝนได้สำเร็จอีกด้วย ดังนั้นพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ธรรมดาจริงๆ
เมื่อเทียนเช่อเห็นภาพนี้ เขาก็ยกสถานะของมู่เฉินในหัวใจขึ้นมาอีกขีดหนึ่ง ความเหยียดหยามซึ่งเคยมีมาลดลง อย่างน้อยมู่เฉินก็ค่อนข้างมีความสามารถในมุมมองของเขา ไม่ใช่คนที่ต้องให้จิ่วโยวค่อยปกป้องเสมอ
“ถึงวิชานี้จะทรงพลัง แต่ก็อย่าประมาทอัจฉริยะของเผ่าวิหคโลกันตร์นะ…”
แม้เขาจะรู้ว่าคัมภีร์เทพของมู่เฉินน่าเกรงขาม แต่เทียนเช่อก็ไม่กังวล เพราะในแง่ของรากฐานเผ่าวิหคโลกันตร์ไปไกลเกินกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาก็มีวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มเก็บสะสมเอาไว้เช่นกัน มิหนำซ้ำหลิ่วชิงก็ได้รับวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มมาหนึ่งวิชาเนื่องจากเคยสร้างผลงานโดดเด่นให้กับเผ่า นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จในการฝึกฝนด้วย
ขณะที่ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจเทียนเช่อ หลิ่วชิงก็มองแสงสีม่วงเข้มพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆ ความไม่แยแสในดวงตาหายไปจนหมด
เขาไม่คิดเลยว่าการตีโต้ของมู่เฉินจะทรงพลังปานนี้!
อีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น แต่กระบวนท่าโจมตีที่ปล่อยออกมา กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกแบบเขายังรู้สึกว่าหัวใจเย็นยะเยือก มนุษย์ที่จิ่วโยวสร้างพันธะโลหิตด้วยไม่ธรรมดาจริงๆ
ทว่าถึงเจ้าบ้าคนนี้จะไม่ธรรมดา แต่ถ้าคิดว่าคนอย่างหลิ่วชิงรับมือได้ง่ายดาย มู่เฉินก็ไร้เดียงสาไปแล้ว เจ้ามีวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็ม ข้าก็มี!
ดวงตาของหลิ่วชิงวูบไหว ทันใดนั้นแววตาก็กลายเป็นเคร่งขรึมขณะที่มือประสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ภาพซ้อนเลื่อนไหล ก่อนร่างเป็นตราประทับโบราณ
พร้อมกับกระบวนท่าเปลี่ยนแปลง แสงหลิงเจิดจ้าก็ระเบิดดังสนั่นออกมาโดยรอบ ขณะที่เปลวไฟสีแดงลุกโชนบนร่างวิหคเพลิงกัลป์ที่อยู่ใต้ร่างเขา ในเวลาไม่กี่อึดใจเปลวไฟก็กลายเป็นวงเพลิงที่มีขนาดหลายพันจั้ง เมื่อมองจากที่ไกลก็ราวกับดวงอาทิตย์เปล่งประกาย
ร่างของหลิ่วชิงยืนตระหง่านตรงกลางดวงอาทิตย์นั้น
แสงสีม่วงลึกซึ้งและลึกลับยิงทะลุมิติเข้ามาใกล้ แต่จังหวะนั้นเองดวงอาทิตย์ขนาดยักษ์ที่ห่อหุ้มร่างหลิ่วชิงก็ย่อขนาดลงด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ในช่วงเวลาสั้นๆ ดวงอาทิตย์ที่มีขนาดหลายพันจั้งก็หดตัวลงจนมีขนาดเท่ากับศีรษะมนุษย์ ลอยคว้างอยู่เหนือฝ่ามือของหลิ่วชิง
ภาพนี้ทำเอาคิ้วของจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์นับไม่ถ้วนกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างที่น่ากลัวที่อยู่ในลูกเพลิงสีแดง
หลิ่วชิงมองไปที่ลูกเพลิงในฝ่ามือ นี่เป็นรูปทรงกลมที่มีสีแดงเข้ม พื้นผิวปกคลุมด้วยลวดลายโบราณ ลูกเพลิงนี้ควบแน่นจนกลายเป็นลูกผลึกเพลิงสีแดงที่บรรจุด้วยพลังทำลายล้างสูง
“คัมภีร์เทพเทียนเหยียน ลูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์!” ดวงตาของหลิ่วชิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคมกล้า จากนั้นก็ยกมือขึ้นช้าๆ น้ำเสียงเย็นเยือกเปล่งออกมาจากปาก
“ไป!”
ฮึ่ม!
ลูกเพลิงสั่นไหว อึดใจต่อมาก็กลายเป็นแสงสีแดงสดระเบิดออก แสงสีแดงพุ่งตรงทะลุผ่านมิติ เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นภายใต้สายตาประหลาดใจนับไม่ถ้วนก็ปะทะกับแสงสีม่วงเข้มที่พุ่งเข้ามา
ครืน!
เมื่อพลังงานทั้งสองสายปะทะกัน เสียงแผ่นดินพิโรธก็ดังก้อง หลังจากนั้นคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กวาดหายนะออกมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่กระจายออกไป ทำให้แม้แต่ท้องฟ้ายังยุบตัวลง
สิ่งก่อสร้างด้านล่างถล่มลงกลายเป็นฝุ่นควันภายใต้คลื่นกระแทก แต่มั่นถัวหลัวก็เตรียมพร้อมรีบป้องกันทันที นางสะบัดนิ้วชั้นแสงหลิงก็ตรงเข้าห่อหุ้มสิ่งก่อสร้างทั้งหมดเอาไว้ แสงดูอ่อนแอ แต่การโจมตีเต็มที่จากมู่เฉินและหลิ่วชิงกลับไม่สามารถสั่นคลอนมันได้…
มู่เฉินและหลิ่วชิงก็ถูกกระทบโดยแรงของคลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว มู่เฉินเคลื่อนไหว ร่างที่ยืนอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะก็จมลงไป
ส่วนหลิ่วชิงกระทืบเท้า ปีกขนาดใหญ่ของวิหคเพลิงกัลป์โอบมาปกป้องด้านหน้า ราวกับโล่ขนาดใหญ่ที่มีเปลวไฟลุกโชน
ปัง!
คลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวโจมตีร่างยักษ์ทั้งสอง ความแวววาวของร่างเทพสุริยะมืดมนลงทันที ขณะที่ร่างขนาดใหญ่ถอยออกไปอย่างรุนแรง ทุกก้าวจะทิ้งร่องรอยขนาดใหญ่ไว้บนมิติเบื้องล่าง พื้นดินยุบตัวลงเป็นหลุมใหญ่
กีดดดด!
ส่วนขนเพลิงของวิหคเพลิงกัลป์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงร้องดังกึกก้องไม่สิ้นสุด ร่างใหญ่ของมันสลายผลกระทบใหญ่หลวงด้วยวิธีเคลื่อนตัวถอยหลังไป
คลื่นกระแทกกินเวลาหลายสิบลมหายใจก่อนที่จะหายไป ท้องฟ้ากลับคืนสู่ความสว่าง ส่วนร่างเทพสุริยะและร่างวิหคเพลิงกัลป์ก็ดูน่าอนาถนัก
ตู้ม!
เมื่อคลื่นกระแทกสลายลง ใบหน้าของหลิ่วชิงบนร่างวิหคเพลิงกัลป์ก็ซีดเผือด ทว่ากลับมีประกายไฟกะพริบในดวงตา ทันใดนั้นร่างวิหคเพลิงกัลป์ก็ทะยานออกไปพร้อมกับเกลียวเพลิงเชี่ยวกรากพุ่งเข้าหาร่างเทพสุริยะ
ทว่าเผชิญหน้ากับหลิ่วชิงแบบนี้ มู่เฉินก็ไม่คิดจะถอย เพียงแค่คิดร่างเทพสุริยะก็ก้าวออกไป ฝ่ามือที่ราวกับสร้างมาจากสีทองซัดเข้าใส่วิหคเพลิงกัลป์ที่พุ่งประสานงา
วิหคเพลิงกัลป์เข้าปะทะด้วยปีกทั้งสอง ท้องฟ้ายังสั่นสะเทือนจากการปะทะนี้
ร่างยักษ์ทั้งสองชนกันเปรี้ยงปร้างบนท้องฟ้า ทุกครั้งที่ปล่อยกระบวนท่า ทำให้เกิดเสียงโลหะดังก้อง หูอื้อไปเลยทีเดียว
ตึง!
เมื่อปะทะกันอีกครั้ง หลิ่วชิงก็จ้องมองมู่เฉินที่เผยตัวอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะ ขณะนี้ใบหน้าอีกฝ่ายก็ซีดเซียวลง การปะทะกันกระบวนท่าก่อนหน้าทำให้เขาอ่อนล้าลงเช่นกัน
“จัดการยากเย็นจริงๆ!”
ไฟแห่งการต่อสู้เพิ่มขึ้นในดวงตาของหลิ่วชิง ยามนี้เขาปฏิบัติต่อมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ระดับเดียวกันแล้ว การดูถูกทั้งหมดหายไปอย่างสมบูรณ์ ถูกแทนที่ด้วยความชื่นชม เพราะมู่เฉินสามารถต่อสู้กับเขาจนถึงระดับนี้ได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แม้แต่เขาก็ไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้
แต่ยิ่งเพราะอย่างนี้ เขาถึงได้โจมตีรุนแรงมากขึ้น
ดังนั้นการปลดปล่อยกระบวนท่าครั้งนี้ หลิ่วชิงก็ส่งแรงไปที่ฝ่าเท้าพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ปีกลุกโชนกางออกที่ด้านหลัง ยามนี้คลื่นหลิงในร่างกายเพิ่มพูนขึ้นอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ปีกกระพือวูบไหว ร่างดูลวงตาขึ้น ก่อนที่จะทะยานไปหามู่เฉินด้วยรัศมีที่น่าตกใจ เขาบอกได้ว่าร่างเทพสุริยะของมู่เฉินทรงพลังเพียงใด หากการต่อสู้นี้ดำเนินต่อไป ไม่รู้ว่าจะลากยาวแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงเรียกร่างดั้งเดิมออกมาเพื่อจะยุติการดวลครั้งนี้ให้เร็วที่สุด
“ในเมื่อเจ้าอยากจบการต่อสู้ให้เร็ว ข้าก็ให้ตามขอ!”
ขณะนี้ความเร็วของหลิ่วชิงจัดว่าเร็วมาก ทำให้สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป อึดใจดวงตาก็กะพริบวูบไหว รู้ความตั้งใจจบการประลองของหลิ่วชิงทันที เขาหรี่ตาลงพลางกระทืบฝ่าเท้า แยกตัวออกจากร่างเทพสุริยะ
“ฮ่าๆ เจ้าแน่ใช้ได้ แต่ความเร็วยังด้อยกว่าข้า!”
เมื่อหลิ่วชิงเห็นมู่เฉินเคลื่อนไหว เขาก็ยิ้มก่อนที่จะกระตุกปีกความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อที่จะออกกระบวนท่าก่อน
“จริงเหรอ?!”
มุมปากยกขึ้นบนใบหน้าของมู่เฉิน จากนั้นตราประทับก็เปลี่ยนวูบไหว แสงสีทองคลี่กระจายจากแผ่นหลัง เสียงหงส์ฟ้าไพเราะดังก้องระหว่างฟ้าดิน
ปีกหงส์ฟ้าสีม่วงทองคู่หนึ่งกางออกด้านหลังมู่เฉิน ขณะเดียวกันแรงกดดันที่แปลกประหลาดก็กระจายออกไปจากปีกคู่นี้
นี่เป็นแรงกดดันของหงส์ฟ้าแท้จริง
เมื่อแรงกดดันปรากฏขึ้น ใบหน้าของหลิ่วชิงก็เปลี่ยนไปรุนแรง ความไม่อยากจะเชื่อวาบขึ้นในดวงตาเป็นครั้งแรก แรงกดดันที่ซัดสาดเข้ามา ทำให้สายเลือดของเขาสั่นไหว
ในแง่ของสายเลือดเผ่าวิหคโลกันตร์มีสายเลือดของหงส์ฟ้า นั่นเป็นเพราะวิหคอมตะเป็นสายพันธุ์ที่ทรงพลังของเผ่าหงส์ฟ้า
ในบรรดาสัตว์อสูรและเทพอสูร สายเลือดสูงส่งมีแรงกดดันพิเศษที่สามารถยับยั้งสัตว์อสูรสามัญหรือเทพอสูรธรรมดาได้
สายเลือดของหลิ่วชิงคือวิหคเพลิงกัลป์ถือได้ว่าเป็นเทพอสูร แต่ในขณะนี้เมื่อเผชิญกับแรงกดดันที่มาจากหงส์ฟ้าแท้จริง แม้ว่าแรงกดดันจะจางมาก ก็ยังทำให้เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอึดอัดโดยไม่ทันตั้งตัว
เมื่อมู่เฉินเห็นหลิ่วชิงเสียสมาธิ สายตาก็วูบไหว ปีกนกหงส์ฟ้าที่อยู่ด้านหลังกระพือ ร่างของเขาก็พุ่งออกมาราวกับลำแสง ทว่าทันทีที่เขาพุ่งออกไป ดวงตาก็ต้องหดเกร็ง
นั่นเป็นเพราะร่างเงาสูงวัยปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอย่างลึกลับ นี่ก็คือผู้อาวุโสเทียนเช่อ
มู่เฉินขมวดคิ้วพูดว่า “ผู้อาวุโสเทียนเช่อ? ท่าน…”
เขาหยุดคำพูดก่อนพูดจบ เพราะเขาเห็นดวงตาของเทียนเช่อมีประกายแสงแล่นแปลบขณะที่จ้องเขม็งเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเทียนเช่อก็พูดขึ้นทีละคำ “แรงกดดัน-หงส์ฟ้า-แท้จริง?”
บทที่ 965 ดินแดนเสินโซ่
“ผู้อาวุโสเทียนเช่อ?”
บนท้องฟ้ามู่เฉินจ้องมองเทียนเช่อที่มายืนขวางเอาไว้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หรือว่าตาแก่คนนี้เห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าข้างเลยคิดลงมือเอง
หากเป็นเช่นนั้น เทียนเช่อก็หน้าหนาเกินไปแล้ว
ฟิ้ว!
แต่ขณะที่มู่เฉินขมวดคิ้ว เสียงมวลลมดังก้องก็กวาดมาที่ด้านข้างพร้อมกับมั่นถัวหลัว จิ่วโยวและจอมพลทั้งสามปรากฏตัวในพริบตา พวกเขาจ้องมองไปที่เทียนเช่อ ชัดว่ารู้สึกไม่พอใจกับการแทรกแซงเมื่อครู่อย่างมาก
“ผู้อาวุโสเทียนเช่อ ข้าปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ ดังนั้นข้าจึงอดทนกับการกระทำทุกอย่างมาก แต่เจ้าอย่าคิดว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะถูกเจ้ารังแกได้ง่ายๆ” น้ำเสียงของมั่นถัวหลัวเย็นชาลง
เมื่อเทียนเช่อเห็นมั่นถัวหลัวเริ่มโกรธ เขาก็ไม่กล้าหน่วงเวลาพูดทันทีว่า “ข้าล้ำเส้นไปเอง การประลองในครั้งนี้ศักยภาพของมู่เฉินไม่ธรรมดาจริงๆ สมกับเป็นเจ้าทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในภูมิภาคทางเหนือ”
ที่ด้านหลังเทียนเช่อ หลิ่วชิงก็ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้แก้ต่างคำพูดของอีกฝ่าย เนื่องจากเขาไม่ได้เหนือกว่าในการประลองเมื่อครู่จริงๆ
มู่เฉินสามารถต่อสู้กับเขาจนถึงจุดนี้ได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าชายคนนี้โดดเด่นเพียงใด หากการต่อสู้ดำเนินต่อไป ทั้งสองฝ่ายคงยากที่จะหยุดยั้ง นั่นเป็นเพราะ ณ เวลานั้นพวกเขาจะต่อสู้อย่างเต็มกำลังที่มี ถึงตอนนั้นพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมพลังได้ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจจบลงด้วยการบาดเจ็บหนักจนตาย
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของเทียนเช่อคิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายลง เขาไม่ค่อยอยากมีเรื่องบาดหมางกับเผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่การประลองครั้งนี้สิ้นสุดเร็วขึ้น นอกจากนี้เขาก็รู้ดีว่าแม้การต่อสู้จะดำเนินต่อไป ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะเอาชนะหลิ่วชิง
พลังในการต่อสู้ของชายคนนี้อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดแข็งแกร่งยิ่งกว่าพยัคฆามังกรฟ้า ดังนั้นหากยังต้องสู้กันต่อ พวกเขาคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสองฝ่ายแน่นอน
เทียนเช่อระงับความโกรธในใจของทุกคนก่อนที่จะจ้องมองมู่เฉินอีกครั้ง “เจ้าได้รับแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงมาจากที่ไหน?”
แม้ว่าแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงที่มู่เฉินเปิดเผยบางจางมาก แต่ก็สัมผัสได้ชัดอย่างยิ่งสำหรับเผ่าเก้าวิหคโลกันตร์ที่มีสายเลือดของวิหคอมตะ
ในโลกของสัตว์อสูร หงส์ฟ้าถือเป็นมหาเทพอสูรที่อยู่ลำดับต้นๆ หงส์ฟ้าแท้จริงทุกตัวที่โตเต็มวัยจะมีพลังที่น่ากลัวเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
การดำรงอยู่แบบนี้หาได้ยากมากแม้แต่ในเผ่าหงส์ฟ้า แรงกดดันแท้จริงเป็นสิ่งที่แม้แต่สายเลือดหงส์ฟ้าสามัญก็ไม่มี ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเทียนเช่อถึงเผยร่องรอยความตกใจและไม่อยากเชื่อ เมื่อเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ก็อึ้งไปก่อนที่จะพูดว่า “นี่เป็นกายามังกรหงส์ที่ข้าได้ฝึกฝนมาจากเขตหลงเฟิ่งน่ะขอรับ”
เขาไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อสิ่งที่เรียกว่าแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริง นอกจากนี้ในอดีตเมื่อเขาใช้กายามังกรหงส์เพื่อต่อสู้กับศัตรู คนเหล่านั้นก็ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงสักนิด
ดูท่าที่เรียกว่าแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงจะสามารถสัมผัสได้โดยเผ่าที่มีสายเลือดวิหคอมตะอยู่อย่างเผ่าวิหคโลกันตร์เท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่าจะมีร่องรอยของแรงกดดันมังกรแท้จริงด้วย ซึ่งอาจจะมีเพียงเทพอสูรที่ครอบครองสายเลือดมังกรเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้…
“เขตหลงเฟิ่ง?”
เทียนเช่อขมวดคิ้ว “เขตหลงเฟิ่งของภูมิภาคทางเหนือน่ะเหรอ? ข้าเคยได้ยินมาก่อน ว่ากันว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจบชีวิตลง พวกข้าก็เคยส่งคนในเผ่าเข้าไปที่นั่น แม้จะได้รับการเก็บเกี่ยวมาบ้าง แต่ก็ไม่เหมือนเจ้าที่ได้รับแรงกดดันของหงส์ฟ้าแท้จริง”
“ในเขตหลงเฟิ่งมีเพียงคนที่ก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นสิบถึงจะได้รับ ซึ่งมู่เฉินเป็นคนเดียวที่สามารถทำได้สำเร็จในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา” มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงแผ่วเบา
เทียนเช่อพูดไม่ออก ดูเหมือนเขาจะรู้เกี่ยวกับบันไดมังกรหงส์ในเขตหลงเฟิ่งเช่นกัน แต่แม้กระทั่งจอมยุทธ์โดดเด่นที่พวกเขาส่งเข้าไปในอดีตก็ไม่สามารถก้าวขึ้นบันไดขั้นสิบได้ ไม่คิดว่ามู่เฉินตรงหน้ากลับบรรลุเป้าหมายนี้ได้
“ผู้อาวุโสเทียนเช่อ ในเมื่อการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและหลิ่วชิงจบลงแล้ว ท่านหยุดต่อล้อต่อเถียงเรื่องนี้ได้หรือยัง?” จิ่วโยวจ้องมองเทียนเช่อนิ่ง
เมื่อเทียนเช่อได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ยิ้มบางพลางส่ายหัว
“ท่าน!” เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนี่ นางก็มุ่นคิ้วขบฟันแน่น
“จิ่วโยวน้อย เจ้าน่าจะรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมากกระทั่งตาแก่คนนี้ก็ไม่สามารถตัดสินใจได้” เทียนเช่อมองไปที่จิ่วโยวอย่างเคร่งขรึมขณะพูดต่อ “เจ้ามีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดในเผ่าวิหคโลกันตร์ของเราในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา ภายในเผ่าเจ้ามีความเป็นไปได้สูงสุดในการกระตุ้นสายเลือดของวิหคอมตะ หากเจ้าสามารถวิวัฒนาการได้สำเร็จ เจ้าก็จะกลายเป็นวิหคอมตะแท้จริง”
“เจ้าคือเสาหลักของเผ่าวิหคโลกันตร์ในอนาคต ดังนั้นเผ่าก็จะพยายามเต็มที่เพื่อกำจัดอุปสรรคทั้งหมดที่ขวางหน้าเจ้า!”
พูดถึงตรงนี้เขาก็เหลือบมองมู่เฉินแวบหนึ่ง ความเฉียบคมและเฉียบขาดในดวงตาทำให้เกิดความรู้สึกเย็นยะเยือกกวนตัวในหัวใจของมู่เฉิน
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดนี่ ดวงตาก็หดลง ดูท่านางจะประเมินความสำคัญของจิ่วโยวในเผ่าวิหคโลกันตร์ต่ำไป ถ้าเป็นตามที่เทียนเช่อกล่าวว่านั่นหมายความว่าในอนาคตจิ่วโยวอาจมีพลังน่ากลัวเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว และเพื่อคนที่จะก้าวไปถึงระดับนี้ในอนาคต เผ่าวิหคโลกันตร์ก็พร้อมที่จะให้ความคุ้มครองอย่างเข้มข้น
เพราะผ่านมาหลายพันปี แทบไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนปรากฏในเผ่าวิหคโลกันตร์เลย!
และตอนนี้มู่เฉินและจิ่วโยวได้สร้างพันธะโลหิตต่อกัน ซึ่งถูกเผ่าวิหคโลกันตร์มองเป็นอันตรายซ่อนเร้น เพราะถ้าเกิดมู่เฉินเสียชีวิต แม้ว่าจิ่วโยวจะสามารถอยู่รอดได้ นางก็ต้องจ่ายในราคาที่แพงระยับ ซึ่งอาจทำให้นางไม่สามารถวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายสำเร็จ ผลลัพธ์นั้นเป็นสิ่งที่เผ่าวิหคโลกันตร์ไม่สามารถทนรับได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาในวันนี้ก็ลำบากเข้าแล้ว… แม้ว่ามั่นถัวหลัวจะไม่กลัวเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่นางก็ต้องยอมรับว่าเผ่าสัตว์อสูรที่ดำรงอยู่มานานนับพันนับหมื่นปีนี้มีรากฐานที่หยั่งลึกกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาก
นางเป็นเสาหลักของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ถ้านางล้มลงที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับหมู่ตึกเทวะ แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ไม่เหมือนกัน แม้ปัจจุบันพวกเขาจะไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคน ดังนั้นแม้เทียนเช่อจะจบชีวิตลง ต่อให้จะสูญเสียไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นทำลายเผ่าลงได้
จิ่วโยวกำมือแน่นขณะจ้องมองเทียนเช่อก่อนหายใจเข้าลึกพูดย้ำทีละคำว่า “ถ้าพวกท่านกล้าทำอะไรก็อย่ามาโทษข้า”
พอได้ยินคำพูดของจิ่วโยวที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามเข้มข้น ใบหน้าของเทียนเช่อก็อดมืดครึ้มลงไม่ได้ เขามองไปที่จิ่วโยวที่ดื้อรั้นเหมือนกำลังจะโมโห แต่สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ไอ้หนู เจ้าจะซ่อนอยู่ข้างหลังอย่างเดียวเหรอ?” เทียนเช่อเบนสายตาไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินดึงร่างจิ่วโยวกลับมาอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะยิ้มให้เทียนเช่อเอ่ยเสียงเบา “หากสถานการณ์ดำเนินไปถึงขั้นเลวร้ายที่สุด ข้ายอมให้สลายพันธะโลหิตได้ ข้ารู้ว่าพวกท่านน่าจะมีวิธีอยู่”
หากไปถึงขั้นนั้นจริงๆ เขาก็ไม่คิดจะลากจิ่วโยวลงนรกไปด้วยกัน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับอาณาเขตกงเวทสววรค์ทั้งหมด แม้ว่ามั่นถัวหลัวจะช่วยเหลือ ราคาก็เป็นสิ่งที่นางไม่สามารถจ่ายไหว นั่นเป็นภาพที่มู่เฉินไม่ต้องการที่จะเห็น
“มู่เฉิน!”
จิ่วโยวเริ่มเดือด เผ่าวิหคโลกันตร์มีวิธีสลายพันธะโลหิตก็จริง แต่นั่นจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับมู่เฉิน
“เอ่อ อย่างนี้สิถึงได้เหมือนลูกผู้ชาย” เทียนเช่อหัวเราะเบาๆ ก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย “การสลายพันธะโลหิตเป็นหนทางสุดท้าย แต่…ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า เราไม่จำเป็นต้องเช่นนั้นก็ได้…”
พอได้ยินคำพูดนี่หัวใจของมู่เฉินก็สั่น “ผู้อาวุโสเทียนเช่อยังมีวิธีอื่นอีกเหรอ?”
จิ่วโยวจ้องมองเทียนเช่อด้วยดวงตาเป็นประกายและสงสัยในที นางเข้าใจชัดเจนว่านอกเหนือจากการทำลายพันธะ ก็ไม่มีทางอื่นที่จะทำ
“โดยปกติก็ไม่มีทางอื่นที่จะทำลายพันธะหรอกนะ” เทียนเช่อยิ้มมองมู่เฉินที่มีท่าทีผิดหวัง “แต่ถ้าเจ้าทำให้เผ่าวิหคโลกันตร์เห็นด้วยกับพันธะนี้ เรื่องนี้ก็จะถูกปล่อยผ่านไป นอกจากนี้เผ่าวิหคโลกันตร์ยังจะเป็นสหายของเจ้าด้วย”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดก็ยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหัว แม้ว่าเขาจะไม่เคยติดต่อกับเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่ตัดสินจากปฏิกิริยาของเทียนเช่อเมื่อก่อนหน้า พวกเขาคงไม่อนุญาตให้เขามีพันธะโลหิตกับจิ่วโยวแน่
คำพูดของเทียนเช่อยากเย็นเหลือเกิน
“บ้าบอ!” จิ่วโยวเข้าใจตรรกะที่คดเคี้ยวอยู่เบื้องหลัง นางขบฟันคำรามออกมา
เทียนเช่อไม่ได้ใส่ใจกับความโกรธเกรี้ยวของจิ่วโยวกลับพูดว่า “จิ่วโยว เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเผ่าถึงเรียกตัวเจ้ากลับไปในเวลานี้?”
จิ่วโยวอึ้งไปแล้วส่ายหัว นางคิดแค่ว่าเผ่าสัมผัสถึงปัญหาในสายเลือด แต่จากคำพูดของเทียนเช่อรู้สึกจะมีเหตุผลอื่นด้วยเรอะ?
เมื่อเทียนเช่อเห็นปฏิกิริยานี่ก็ส่ายหัวเบาๆ “เป็นเพราะดินแดนเสินโซ่กำลังจะปรากฏขึ้น”
“ดินแดนเสินโซ่?!”
เมื่อคำดังกล่าวกระทบโสตประสาท ม่านตาของจิ่วโยวก็หดลง ใบหน้าเย็นเยือกเริ่มมืดครึ้ม สุดท้ายนางก็นิ่งเงียบไป ดูจากท่าทางนี้แล้วนางต้องรู้ความหมายเบื้องหลังของดินแดนเสินโซ่แน่นอน
บทที่ 966 สี่ที่
“ดินแดนเสินโซ่?!”
เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นหูคิ้วก็ขมวดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมสีหน้าของจิ่วโยวถึงเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้
หลิ่วชิงที่เห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้ามู่เฉินก็อธิบาย “ในสมัยโบราณกาลมหาพันภพเคยมีมหาทวีปที่ยิ่งใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อทวีปเสินโซ่ ในเวลานั้นเผ่าสัตว์อสูรและเทพอสูรส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่ในทวีปแห่งนี้”
“แต่ตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ายึดครอง พวกมันก็รุกรานทวีปเสินโซ่ ในเวลานั้นสงครามที่น่าสะพรึงก็ระเบิดขึ้น ภายใต้การทำลายล้างทวีปเสินโซ่ถูกทำลายและแยกออกจากกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นมหาทวีปของมหาพันภพอยู่ดี”
พอได้ยินมู่เฉินก็อดหายใจอัดอากาศเย็นเข้าไปในปอดไม่ได้ หลังจากแยกออกจากกันก็ยังเป็นมหาทวีปในมหาพันภพได้ ยากที่จะจินตนาการเลยว่าทวีปเสินโซ่ยิ่งใหญ่เพียงใดในสมัยโบราณ
“ว่ากันว่าในยุคดึกดำบรรพ์ทวีปเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนจะเหาะไปหลายสิบปีด้วยความเร็วสูงสุดก็ยังบินไม่พ้นทวีป” หลิ่วชิงเหมือนรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไร บอกด้วยรอยยิ้ม
มุมปากของมู่เฉินกระตุก ชัดว่าตกตะลึงจนถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
“ในทวีปเสินโซ่ ดินแดนเสินโซ่เป็นพื้นที่พิเศษที่มีหลายเผ่าเทพอสูรทรงอำนาจอาศัยอยู่ มีแม้แต่เผ่ามหาเทพอสูรอยู่ด้วยเช่นกัน ในเวลานั้นพลังการต่อสู้ที่มีอยู่ในพื้นที่นี้มีประมาณสามส่วนของทวีปเสินโซ่ทั้งหมด…”
มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ดินแดนเสินโซ่เป็นสถานที่สำคัญเช่นนี้ในทวีปเสินโซ่ ดังนั้นจะได้เห็นว่ามีสิ่งที่น่ากลัวมากมายอยู่ที่นั่นเพียงใด
“ในมหาสงครามกลียุค แม้แต่เผ่าปีศาจต่างมิติยังรู้สึกว่าพลังของดินแดนเสินโซ่ทรงพลังเพียงใด สุดท้ายต้องให้จอมปีศาจหลายสิบคนร่วมมือกันทำลายดินแดนเสินโซ่ก่อน นอกจากนั้นยังใช้มิติหลุมดำเพื่อกลืนกิน ทำให้หลังจากนั้นทวีปเสินโซ่ต้องพ่ายแพ้ในการต่อสู้อย่างต่อเนื่องและเหล่าเทพอสูรก็ล้มหายตายจาก…”
“หลังจากสงครามครั้งนั้น จอมยุทธ์ทรงพลังจำนวนหนึ่งก็สัมผัสได้ถึงดินแดนเสินโซ่ซึ่งถูกกลืนกินไปโดยมิติหลุมดำ ทำให้ดินแดนเสินโซ่ปรากฏขึ้นในทุกๆ ช่วงระยะหนึ่ง ส่วนกลุ่มสัตว์อสูรก็ใช้โอกาสนี้เข้าไปในดินแดนนี้เพื่อแสวงหาโอกาส”
พูดถึงจุดนี้ สายตาหลิ่วชิงก็เปลี่ยนเป็นเร่าร้อนพลางเลียริมฝีปากตนเอง “บรรพบุรุษหลายคนสิ้นชีพอยู่ในดินแดนเสินโซ่ ว่ากันว่าแม้แต่วิหคอมตะโบราณก็สิ้นชีพในสถานที่แห่งนั้น หากได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณมาก็จะสามารถทำให้สายเลือดขององค์หญิงน้อยจิ่วโยวบริสุทธิ์ขึ้น ถึงเวลานั้นโอกาสของนางในการพัฒนาสู่ร่างวิหคอมตะโบราณก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
หัวใจมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเผ่าวิหคโลกันตร์จึงมองดินแดนเสินโซ่เป็นสุดยอดปรารถนา หากเป็นในกรณีนี้ดินแดนเสินโซ่ก็เป็นขุมทรัพย์ของเหล่าสัตว์อสูรแท้จริง
“ความถี่ของการเผยดินแดนเสินโซ่ยากจะตรวจสอบ จะมีคลื่นสัญญาณบางอย่างก่อนสถานที่แห่งนั้นจะปรากฏขึ้นเท่านั้น ทุกครั้งที่ดินแดนเสินโซ่ปรากฏจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนใหญ่หลวงต่อเผ่าสัตว์อสูรต่างๆ”
มู่เฉินพยักหน้า มีจอมยุทธ์มากมายเสียชีวิตในดินแดนเสินโซ่ ตราบใดที่พวกเขาสามารถได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสัตว์อสูรและเทพอสูร
จิ่วโยวที่อยู่ด้านข้างก็หลุดออกจากภวังค์จ้องเทียนเช่อนิ่งก่อนที่จะถามอย่างสงสัย “แล้วมู่เฉินมาเกี่ยวข้องกับการปรากฏของดินแดนเสินโซ่ยังไง?”
“แม้จะมีข่าวลือว่าวิหคอมตะโบราณสิ้นชีพในดินแดนเสินโซ่ แต่นั้นก็เป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ แล้ววิหคอมตะโบราณก็ถือเป็นสายเลือดของเผ่าหงส์ฟ้า ในเมื่อมู่เฉินครอบครองแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริง ถ้าเขาเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ก็อาจช่วยเจ้าค้นพบวิหคอมตะโบราณได้…”
“นอกจากนี้ทุกครั้งที่ดินแดนเสินโซ่ปรากฏขึ้นจะดึงดูดอัจฉริยะเผ่าสัตว์อสูรต่างๆ เผ่าจำนวนมากมีความสนใจเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะ อย่างเช่นเผ่ากระเรียนวิญญาณ เผ่ากระเรียนฟ้า เผ่ามังกรปักษา และเผ่าอีกาสายฟ้า… พวกเขามีความสัมพันธ์ไม่สู้ดีกับเผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นหากพบกันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกันได้”
“ยิ่งกว่านั้นถ้าเลือดศักดิ์สิทธิ์วิหคอมตะปรากฏขึ้น กระทั่งเผ่าหงส์ฟ้าก็จะลงมือแย่งชิง”
พูดถึงตรงนี้เทียนเช่อก็มองมู่เฉิน “ถ้าเจ้าสามารถช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นโลหิตวิหคอมตะมา ก็จะไม่มีใครในเผ่าคัดค้านเกี่ยวกับพันธะนี้อีกต่อไป”
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด แม้ว่าเทียนเช่อจะพูดเหมือนสบาย แต่นางก็รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด คนที่เข้าไปในดินแดนเสินโซ่เป็นอัจฉริยะของเผ่าสัตว์อสูรที่มีพลังแข็งแกร่ง บวกกับมีการขัดขวางจากเผ่าหงส์ฟ้า แม้กระทั่งนางยังไม่มั่นใจ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย
มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวซึ่งใบหน้าไม่น่าดูก็ยิ้ม “ถ้าข้าสามารถช่วยจิ่วโยวได้ ข้าก็จะทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”
จากสีหน้าของจิ่วโยว เขาบอกได้ว่าเงื่อนไขที่เทียนเช่อเสนอลำบากเพียงใด แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธ นั่นเป็นเพราะเขาไม่ต้องเลือก นอกจากนี้เขาต้องช่วยจิ่วโยว หลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เขาเดินทางจากมณฑลเป่ยหลิงเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเป่ยชางจนกระทั่งดั้นด้นมาถึงภูมิภาคทางเหนือ เขาได้รับความช่วยเหลือมากมายจากจิ่วโยว ดังนั้นตอนนี้คงถึงเวลาที่เขาจะต้องตอบแทนพี่สาวแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสามารถให้ความช่วยเหลือได้จริงๆ หรือไม่ แต่เขาก็ต้องแสดงจุดยืน มิฉะนั้นจะทำให้หัวใจคนรอบข้างเย็นลงได้
เทียนเช่อผิดคาดกับคำตอบที่ตรงไปตรงมาของมู่เฉินเช่นกัน สายตาที่มองชายหนุ่มก็อ่อนโยนกว่าเดิม แต่จากนั้นเขาก็ยิ้ม “อย่าเพิ่งรีบตอบตกลง นี่เป็นเพียงข้อเสนอแนะ เรายังต้องหารือเรื่องนี้กับเผ่าก่อนที่จะตัดสินใจได้…”
“เผ่าวิหคโลกันตร์สามารถส่งจอมยุทธ์สี่คนเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ เราได้ยืนยันสามที่ไปแล้ว จิ่วโยวก็เป็นหนึ่งในสามคน ส่วนที่สุดท้ายยังอยู่ระหว่างการอภิปรายกัน”
พูดถึงตรงนี้เทียนเช่อก็มองไปที่มู่เฉิน “ข้าจะรายงานเรื่องของเจ้าต่อสภาเผ่า แต่ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองว่าจะได้ที่สุดท้ายนี้หรือไม่”
“ข้า?” มู่เฉินอึ้งไป
“ตอนนี้ในเผ่ามีสองคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งที่สี่ พวกเขาต่างเป็นอัจฉริยะเผ่าวิหคโลกันตร์ แม้ว่าพวกเขาจะฝึกวิทยายุทธมานานกว่าเจ้า แต่ตามอายุขัยของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ถือเป็นพวกคนรุ่นใหม่ ดังนั้นหากสิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่คาด ที่สุดท้ายก็จะเป็นของหนึ่งในนั้น ถ้าเจ้าต้องการได้ตำแหน่งนี้ เจ้าจะต้องแสดงพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา” เทียนเช่อกล่าว
“ไม่ทราบว่าพวกเขามีพลังระดับไหน?” มู่เฉินถามอย่างจริงจัง
“หลิ่วชิงด้อยกว่าสองคนนั้น” เทียนเช่อกล่าวอย่างนิ่งเรียบ
ม่านตาของมู่เฉินหดแคบลงพร้อมกับความตกใจแล่นพล่านในใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ารากฐานของเผ่าวิหคโลกันตร์จะทรงพลังจนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วชิงก็ไม่ติดสามตำแหน่งแรกได้
ด้วยพลังของมู่เฉินในปัจจุบัน โดยไม่ได้อาศัยพลังรัศมีจั้นยี่ อย่างมากเขาก็สู้กับหลิ่วชิงได้ในแบบเสมอตัว ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าเขาจะทำได้ดีที่สุด โอกาสในการเอาชนะอัจฉริยะทั้งสองก็ยังไม่สูง
ยิ่งกว่านั้นต่อให้เขาโชคดีได้ตำแหน่งสุดท้ายมา เขาก็ต้องเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้นอีกหลังจากเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่และคู่ต่อสู้ทุกคนจะทรงพลังมาก
เมื่อเทียนเช่อเห็นสีหน้าของมู่เฉินที่เคร่งเครียดลง เขาก็ยิ้มบาง “ด้วยพลังของเจ้าในปัจจุบัน โอกาสที่จะได้ตำแหน่งที่สี่นั้นไม่สูงเลย”
มู่เฉินไม่ได้หักล้างคำพูดนั่น
“แต่ยังมีเวลาสองเดือนก่อนที่ดินแดนเสินโซ่จะปรากฏ ถ้าเจ้าอยากจะลอง ข้าสามารถช่วยประวิงเวลาไปอีกสองเดือนได้” เทียนเช่อยกเปลือกตาขึ้นขณะที่กวาดสายตามองมู่เฉิน “แต่ถ้าเจ้าไม่มั่นใจก็พักเรื่องนี้ไว้ ส่วนเรื่องพันธะโลหิตของเจ้ากับจิ่วโยวก็จะถูกตัดสินได้โดยสภาผู้อาวุโสเท่านั้น”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดก็นิ่งเงียบไป
“เรื่องนี้เจ้าคิดเองดีๆ ถ้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าเชื่อว่าท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์สามารถส่งเจ้าไปที่เผ่าวิหคโลกันตร์ได้…”
เมื่อเทียนเช่อเห็นมู่เฉินเงียบไปก็ไม่ได้บังคับให้ชายหนุ่มตอบเพียงแค่โบกมือหันกลับ เสียงสูงวัยดังขึ้น “ข้าจะรอคำตอบของเจ้าอยู่ที่เผ่านะ”
“องค์หญิงน้อยจิ่วโยวไปเถิด” หลิ่วชิงมองไปที่จิ่วโยว
จิ่วโยวกำมือแน่น จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงชาดจะแยกออกเล็กน้อย แม้นางจะไม่พูดอะไรสักคำ แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่านางต้องการพูดอะไร
“อย่ามานะ ออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปซะ!”
หลิ่วชิงและจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นลำแสงสองสายทะยานออกไป
มู่เฉินเห็นร่างเงาที่ถอยไปจากครรลองสายตา เขาก็กำมือแน่นโดยไม่อาจควบคุมได้ ตอนที่จิ่วโยวจากไป นางบอกให้เขาออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เห็นได้ชัดว่านางต้องการให้เขาหลีกเลี่ยงเผ่าวิหคโลกันตร์ บางทีนี่อาจเป็นอีกวิธีหนึ่ง รอจนกว่าเขาจะถึงจุดที่แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ไม่สามารถดูถูกเขาได้อีกต่อไป พวกเขาก็จะไม่กล้าพูดถึงพันธะโลหิตอีก
ทว่าถ้ามู่เฉินทำเช่นนั้นจริงๆ จิ่วโยวก็จะได้รับคำปรามาสในเผ่าแน่นอน แม้ว่านางจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้
ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจากไป
ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าอัจฉริยะเผ่าวิหคโลกันตร์จะทรงพลังเพียงใดก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำให้มู่เฉินหวาดกลัว มิฉะนั้นประสบการณ์ความเป็นตายในอดีตจะไม่ไร้ประโยชน์ไปหรือ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แววคมชัดก็พล่านมารวมกันในดวงตาของมู่เฉิน
มั่นถัวหลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ มองมู่เฉินพลางเอ่ย “เจ้าคิดจะทำยังไง?”
จอมพลทั้งสามก็มองมาเช่นกัน
มู่เฉินคลายมือออก ความเฉียบคมวูบไหวบนใบหน้าหล่อเหลา จากนั้นเขาก็พยักหน้าเบาๆ “อีกสองเดือนไปเผ่าวิหคโลกันตร์”
แม้ว่าเขาจะพูดด้วยเสียงเบา แต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น