หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 957-958
บทที่ 957 การลงทุน
เมื่อมู่เฉินส่งพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจให้
ไม่เพียงแต่ผู้คนที่อยู่ที่นี่จะอ้าปากตาค้าง แม้กระทั่งมั่นถัวหลัวยังมีสีหน้าตะลึงงัน ชัดว่าการกระทำของมู่เฉินเกินความคาดหมายของนาง
เกี่ยวกับเรื่องอาวุธมหสวรรค์นี้ แม้ว่านางจะถูกยั่วเย้ามาก แต่ก็ไม่ถึงจุดที่อยากได้ใคร่มีอะไรนัก นอกจากนี้การอยู่ในมือมู่เฉินดีกว่าอยู่ในมือขั้วอำนาจอื่นสำหรับมั่นถัวหลัว
แน่นอนนางเข้าใจว่าอาวุธเทพนี้จะเป็นตัวเรียกปัญหามาให้มู่เฉินไม่รู้จบ แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีใครกล้าปลุกปั่นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกนางได้อีกง่ายๆ ซ้ำนางยังมั่นใจว่าสามารถให้ความปลอดภัยกับมู่เฉินได้
ดังนั้นเมื่อมู่เฉินส่งพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจมาให้ นางก็อึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่จะขมวดคิ้ว “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แม้ว่าวัตถุนี้จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่เมื่อมีข้าอยู่ด้วยก็ไม่มีใครจะทำอะไรเจ้าได้”
นางคิดว่ามู่เฉินห่วงว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจเป็นเผือกร้อน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะส่งมอบให้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนางก็ยิ้ม “หากอาวุธนี้อยู่ในมือข้าก็จะเป็นการสูญเปล่าครั้งใหญ่ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าไม่สามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มที่”
คำพูดของเขาไม่ผิดเลย หากเขาต้องการใช้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ เขาจะต้องใช้คลื่นหลิงมหาศาลเพื่อสนับสนุน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะประสบความสำเร็จด้วยระดับจื้อจุนขั้นห้านี้
“นอกจากนี้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจจะมีคุณค่ามากกว่าถ้าอยู่ในมือของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะดับสูญตลอดกาล สถานการณ์ในภูมิภาคทางเหนือก็จะเปลี่ยนไป ดังนั้นข้าเชื่อว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องการพีระมิดนี้มากกว่าข้าแน่นอน”
มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปก็ยิ้ม “นอกจากนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึงบุญคุณอะไรในใจ ยิ่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราแข็งแกร่งมากเท่าไร พลังที่ข้าสามารถหยิบยืมได้ก็จะมากเท่านั้น ดังนั้นให้ถือว่านี่เป็นการลงทุนของข้า… ไม่แน่ในอนาคตข้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย”
มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่กลับมีสายตาจริงจัง สุดท้ายนางก็กลืนคำพูดที่หยุดตรงปากลงไป นางตกใจและประทับใจกับการกระทำของมู่เฉินมาก เพราะอาวุธมหสวรรค์ทรงพลังเป็นสิ่งที่กระทั่งจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนทุกคนยังถูกล่อลวง แต่เขากลับสามารถมอบให้นางได้โดยไม่คิดอะไร
ที่จริงเขาไม่ต้องทำเช่นนี้ เพราะเขาน่าจะรู้ดีเกี่ยวกับนิสัยของนางว่าจะไม่บังคับให้ส่งอาวุธนี้กับนางอย่างแน่นอน
ทว่าก็อย่างที่มู่เฉินกล่าวถ้านางครอบครองพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ นางก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว
ซึ่งนี่เป็นตัวสนับสนุนที่สำคัญสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของภูมิภาคทางเหนือ
มั่นถัวหลัวมองไปที่พีระมิดสีดำที่ลอยอยู่เหนือมือมู่เฉินก่อนที่จะขบฟันตอบ “พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจนี้ข้ารับฝากไว้ แต่นี่แค่ชั่วคราว ในอนาคตเมื่อเจ้ามีความแข็งแรงพอที่จะใช้ ข้าจะส่งมอบคืนให้!”
มู่เฉินยิ้มไม่ได้พูดอะไรทำเพียงพยักหน้า หากวันนั้นมาถึงเขาเชื่อว่าพีระมิดนี้ไม่เพียงพอที่จะล่อใจอีกแล้ว
“นอกจากนี้…” ใบหน้าของมั่นถัวหลัวแดงซ่านพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา “เจ้ามอบของเหลวหลิงเสินในพีระมิดแสงดาวให้ข้าได้ไหม? แล้วข้าจะชดเชยให้เอง”
สำหรับมั่นถัวหลัวตอนนี้ ความเย้ายวนของของเหลวหลิงเสินมีมากเกินกว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจไม่รู้กี่เท่า เนื่องจากนางเกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย หากนางสามารถก้าวไปได้อีกก้าวก็จะสามารถฝ่าฟันขั้นที่ว่าได้จริง
เมื่อมู่เฉินมองไปที่ท่าทางอีกฝ่ายก็ไม่สามารถกลั้นยิ้มได้ เขาพยักหน้า แม้ว่าของเหลวหลิงเสินในนั้นจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเห็นแต่สัมผัสไม่ได้
เนื่องจากของเหลวหลิงเสินยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์เกินไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปรับแต่งในตอนนี้ ถ้าเขาดูดซับ ร่างกายคงระเบิดเป็นจุณแน่
ดังนั้นเมื่อเขาให้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจก็เท่ากับยกของเหลวหลิงเสินให้ด้วย
เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้า ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เห่อแดงโดยไม่เหลือเค้าผู้ปกครองยิ่งใหญ่อีกเลย ในทางตรงกันข้ามนางดูเหมือนเด็กสาวข้างบ้านที่น่ารักน่าชัง
“แต่ข้ามีเงื่อนไขเช่นกัน…” มู่เฉินยิ้มบางพูดต่อ “ท่านจอมพลสี่กล่าวไว้ก่อนลาจากว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจจะสามารถบอกถึงตำแหน่งที่ตั้งของวังสวรรค์บรรพกาลได้ ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าสำรวจด้วยพลังทั้งหมดที่มี”
วังสวรรค์บรรพกาลเป็นดินแดนขุมทรัพย์ที่จอมยุทธ์ในทวีปเทียนหลัวต่างน้ำลายสอ มู่เฉินไม่คิดว่าสถานที่ที่ผู้คนมากมายไม่สามารถค้นพบจะตรวจเจอได้ง่ายโดยเขา เขาจึงต้องพึ่งพามั่นถัวหลัวเพื่อช่วยในเรื่องนี้
ยิ่งกว่านั้นต่อให้ค้นพบวังสวรรค์บรรพกาล ดินแดนขุมทรัพย์น่าอัศจรรย์เช่นนั้นก็จะสั่นสะเทือนไปทั่วโลกาอย่างแน่นอน ในเวลานั้นใครจะรู้ว่าขั้วอำนาจสูงสุดจะถูกล่อลวงมากแค่ไหน ดังนั้นแม้เขาจะสามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้ แต่ก็ยังต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเขาต้องการได้รับวิธีการฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ในเวลานั้นเขาต้องการความช่วยเหลือทุกอย่างที่มั่นถัวหลัวมี มิฉะนั้นเขาคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะแข่งขันกับขั้วอำนาจสูงสุดต่างๆ ของทวีปเทียนหลัว
ดังนั้นการลงทุนที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้จึงเป็นหน้าฉาก ก่อนที่เขาจะแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับโลก เขาต้องการความช่วยเหลือจากยอดยุทธ์อย่างมั่นถัวหลัว
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดเขา นางก็ถอนอารมณ์อับอายบนใบหน้าออกแล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ถ้าสามารถหาวังสวรรค์บรรพกาลได้ ข้าจะทำสุดความสามารถเพื่อช่วยเจ้า”
นางรู้ว่ามู่เฉินฝึกฝนร่างเทพสุริยะ ซึ่งวิวัฒนาการร่างสุดท้ายก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เป็นหนึ่งในสุดยอดร่างมหาเทพปฐมกาลในตำนาน
และในวังสวรรค์บรรพกาลก็เป็นที่เก็บวิวัฒนาการของร่างกลาง—ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
นางเดาได้ว่าจุดประสงค์หลักของมู่เฉินที่มาภูมิภาคทางเหนือคือเรื่องนี้!
ในสงครามล่าครั้งนี้ นางติดหนี้บุญคุณมู่เฉินมากมาย ทั้งพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจและของเหลวหลิงเสิน บุญคุณนี้มากเกินจะชั่งน้ำหนัก ดังนั้นสิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้ในอนาคตก็คือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้มู่เฉินได้รับพัฒนาการร่างเทพสุริยะให้จงได้…
คิดถึงเรื่องนี้ นางก็ไม่ลังเลยื่นมือรับพีระมิดเก็บไว้ในมือของตนเอง
เมื่อมั่นถัวหลัวรับพีระมิดเอาไว้ ประมุขคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงโดยไม่สามารถควบคุมได้ ความกลัวหนาแน่นพวยพุ่งออกมาจากดวงตา
ตอนนี้มั่นถัวหลัวเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ถ้านางได้ใช้ของเหลวหลิงเสินเพิ่มก็มีความเป็นไปได้สูงที่นางจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่แท้จริง ยิ่งเมี่อบวกกับพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ นางก็จะกลายเป็นจอมยุทธ์สุดยอดแม้แต่ในระดับเดียวกันก็ตาม
ด้วยความแข็งแกร่งนี้ ในอนาคตคงไม่มีใครในภูมิภาคทางเหนือสามารถเผชิญหน้ากับนางได้
เหล่าประมุขอื่นๆ ดวงตากะพริบวูบไหว สุดท้ายก็ถอนหายใจในอก ดูท่าหลังจากวันนี้พวกเขาจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและให้ความเคารพต่อผู้นำในอนาคตของภูมิภาคทางเหนือแล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจก็คือมั่นถัวหลัวเป็นที่ยอมรับมากกว่าประมุขหมู่ตึกเทวะที่มีแต่ความทะเยอทะยานไม่จบสิ้น
ฟิ้ว!
ขณะที่ความคิดเหล่านี้กำลังแพร่กระจายในใจของทุกคน ทันใดนั้นเสียงลมกรูกันออกไปก็ดังขึ้นในมิติ ตัดสินจากความแรงของเสียงดังกล่าวชัดว่าตื่นตระหนกกันอย่างรุนแรง
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงสิ่งนี้ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนที่หนีไปเป็นพวกหมู่ตึกเทวะนั่นเอง
พวกเขาเริ่มหนีกัน
ตอนนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะสิ้นชีพแล้ว ทุกคนรู้ว่าหมู่ตึกเทวะซึ่งยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคทางมาหลายปีจะถึงคราวเผชิญกับการทำลายล้างใหญ่หลวง ยามนี้ไม่มีจอมยุทธ์คนใดของหมู่ตึกเทวะจะกล้าอยู่ต่อ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ขณะที่พวกเขากำลังแตกฉานซ่านเซ็น มั่นถัวหลัวและประมุขคนอื่นที่มีความไม่พอใจกับหมู่ตึกเทวะก็แววตาวาววับ อึดใจพวกเขาก็เคลื่อนตัวออกไปในเวลาเดียวกัน แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกไปเป็นวงคลื่นจากการสะบัดแขนเสื้อ ทำให้มิติที่อยู่ห่างไกลถูกตรึงด้วยการเคลื่อนไหวพวกเขา
ร่างของสมาชิกหมู่ตึกเทวะที่หลบหนีถูกแช่แข็งทันที แม้แต่หัตถ์ทั้งสี่ก็ฉายความกลัวบนใบหน้า ไม่เหลือเค้าศักดิ์ศรีที่เคยมีมา
พวกเขารู้ชัดแจ้งว่าหมู่ตึกเทวะล่มสลายลงหลังจากวันนี้ไปแน่ ในฐานะสมาชิกที่เหลือ พวกเขาถูกกาหัวให้กลายเป็นคนเร่ร่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัตถ์ตะวันออกที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า หากเขาหลบหนีไปได้และโชคดีก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนได้ เขาจะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม กำจัดสิ่งที่เหลืออยู่ให้สิ้นซาก!
ส่วนจวนยมโลกและตำหนักสุดนภาที่มีความสัมพันธ์บางอย่างกับหมู่ตึกเทวะก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ไม่มีใครออกหน้าช่วยพวกเขาเลย
พวกเขารู้ชัดว่าด้วยการสิ้นชีพของประมุขหมู่ตึกเทวะสถานการณ์ในภูมิภาคทางเหนือจะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ยิ่งตอนนี้มั่นถัวหลัวเกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทำให้ทรงพลังกว่าผู้อื่น ในอนาคตอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเข้ามาแทนที่หมู่ตึกเทวะและกลายเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของภูมิภาคทางเหนือ
ดังนั้นตอนนี้จวนยมโลกและตำหนักสุดนภาไม่มีทางไปงัดข้อกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เพื่อหมู่ตึกเทวะที่สูญเสียแรงหนุนของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไปแน่นอน
“ฮ่าๆ ไอ้พวกหมู่ตึกเทวะ พวกแกเข่นฆ่าสมาชิกยอดเขาหมื่นเทพไปเป็นจำนวนมาก ตอนนี้เรามาคิดทบต้นทบดอกกันหน่อยเถอะ!” วั้นเซิ่งจ้องมองจอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะที่ถูกขัดขวาง เสียงของเขาเย็นเยือกลงหลายส่วน
พูดจบเขาก็มองมั่นถัวหลัวพลางยิ้ม “ไม่ทราบว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีแผนที่จะจัดการกับขยะเปียกเหล่านี้ยังไง?”
มั่นถัวหลัวมองไปที่จอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะ ผู้ชนะจะได้รับรางวัลทั้งหมด ดังนั้นนางจึงไม่มีความสงสารอย่างใดต่อคนเหล่านี้ ถ้านางสามารถกำจัดปัญหาที่เหลืออยู่ทั้งหมดได้ นางก็จะไม่ลังเล
ทว่าขณะที่นางกำลังจะเคลื่อนไหว นางก็เห็นสายตาผิดปกติของมู่เฉิน ดังนั้นนางจึงหยุดและถามสั้นๆ ว่า “เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไร?”
เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ยิ้ม “เจ้าช่วยคนคนหนึ่งท่ามกลางคนเหล่านั้นให้ข้าได้ไหม?”
“โอ้?” มั่นถัวหลัวรู้สึกประหลาดใจมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะพยักหน้า “เจ้าอยากช่วยใคร? ตามสบายเลย”
“ขอบคุณ”
จากนั้นมู่เฉินก็ชี้นิ้วไปที่ร่างเงาหนึ่งท่ามกลางสมาชิกหมู่ตึกเทวะ “ข้าจะช่วยนาง”
บทที่ 958 ตัดแบ่งหมู่ตึกเทวะ
“ข้าจะช่วยนาง”
ทุกสายตาที่นี่มุ่งตรงไปยังทิศที่มู่เฉินชี้ ก็เห็นร่างเงางดงามท่ามกลางสมาชิกหมู่ตึกเทวะ
นั่นก็คือจินไถหลิวหลีที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมมือกับมู่เฉินตอนที่อยู่ในซากอารยธรรมความตาย
ในบรรดาจอมยุทธ์น่าสะพรึงของหมู่ตึกเทวะ พลังของจินไถหลิวหลีไม่ได้โดดเด่น ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นนาง ก็เกิดริ้วความประหลาดใจในสายตาของพวกเขา
นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักว่าตั้งแต่เริ่มต้นจินไถหลิวหลีก็สงบนิ่ง แม้จะเห็นการตายของประมุขหมู่ตึกเทวะ แต่ก็ไม่มีความตื่นตระหนกบนใบหน้าของนางเลย มากกว่านั้นหากใครมองให้ละเอียด พวกเขาจะสังเกตเห็นมุมปากที่ยกขึ้นซึ่งเป็นท่าทางที่มีความสุขอย่างยิ่ง…
เปรียบเทียบกับสมาชิกคนอื่นที่หน้าตาหมองคล้ำเป็นความแตกต่างที่เห็นชัดเจน
ทว่าเมื่อจินไถหลิวหลีที่มีใบหน้าที่สงบนิ่งเห็นว่ามู่เฉินชี้ไปมายังทิศทางของนาง ริ้วความตะลึงงันก็ผุดขึ้นในดวงตา
ชัดว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะยื่นมือเข้ามาช่วยตนในยามนี้
“นาง?”
มั่นถัวหลัวรู้สึกประหลาดใจขณะเหลือบมองไปที่จินไถหลิวหลี แม้ว่าการเพาะบ่มขุมพลังหลิงของอีกฝ่ายจะธรรมดามากจนถึงจุดที่เป็นตัวถ่วงของหมู่ตึกเทวะ แต่มั่นถัวหลัวก็ยังสัมผัสได้ถึงความผันผวนแปลกประหลาดที่มาจากอีกฝ่าย
“รัศมีจั้นยี่? นางเป็นจั้นเจิ้นซือรึ?” คิ้วของมั่นถัวหลัวยกขึ้น จั้นเจิ้นซือหายากมากในภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นจากสถานการณ์ปัจจุบันผู้หญิงคนนี้มีคุณสมบัติที่จะถูกรวมเข้าไว้
“อย่าดูถูกนาง ถ้านางลงมือในเกาะหินด้วย ข้าคงไม่สามารถได้รับของเหลวหลิงเสินที่สมบูรณ์แบบนี้ได้” มู่เฉินกล่าว
คำพูดของเขาไม่ผิด บางทีทุกคนอาจจะคิดว่าถ้าไม่มีกองทัพจินไถหลิวหลีก็ไม่ต่างจากคนไร้ประโยชน์ แต่เขารู้ชัดเจนว่าเมื่อตอนอยู่ในซากอารยธรรมความตาย จินไถหลิวหลีได้รับอีกครึ่งของกระดานเทพปฏิยุทธ์มา หากวัตถุนี้เปิดใช้งานละก็ นางสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดได้เลย ดังนั้นหากจินไถหลิวหลีนำกระดานนี้ออกมา ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะคว้าขวดดินเผาโบราณมาไม่ได้ เขาคงจะตกอยู่ในอันตรายด้วย
แน่นอนว่าเหตุผลที่จินไถหลิวหลีไม่คิดใช้ของมีค่านี้ เป็นเพราะความไม่พอใจของนางที่มีต่อหมู่ตึกเทวะดังนั้นนางไม่เต็มใจที่จะเห็นประมุขหมู่ตึกเทวะบรรลุตามที่ตั้งความหวัง มิฉะนั้นนางจะไม่สามารถแก้แค้นหนี้เลือดได้ตลอดชีวิตที่มี
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดนั่นก็ตกใจไป จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเมื่อจ้องมองไปที่จินไถหลิวหลี แม้ว่านางจะไม่รู้รายละเอียดภายใต้นี้ลึกซึ้งนัก ทว่าในเมื่อมู่เฉินพูดออกมาเช่นนี้แล้ว นั่นก็หมายความว่ากระทั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เป็นหนี้บุญคุณหญิงสาวคนนั้น
“งั้นในกรณีนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราถือว่าเป็นหนี้บุญคุณนาง ดังนั้นพวกเรามีหน้าที่ปกป้องนางไว้” มั่นถัวหลัวยิ้มให้จินไถหลิวหลีขณะที่พูดต่อ “นอกจากนี้ตราบใดที่นางยอม ประตูของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเปิดต้อนรับนางเสมอและตำแหน่งผู้บัญชาการคนที่สิบเอ็ดก็จะเป็นของนางด้วย”
ในเบื้องหลังคำพูดมีความตั้งใจเชิญชวนให้เข้าร่วมอย่างเห็นได้ชัด ขั้วอำนาจที่อยู่โดยรอบก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะพวกเขารู้ชัดเกี่ยวกับศักยภาพของจั้นเจิ้นซือ แต่ตอนนี้ต่อให้พวกเขาจะมีความกล้าเพิ่มขึ้น พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะแย่งหญิงสาวคนนี้จากมืออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นแต่ละคนจึงได้แต่ส่ายหัวอย่างเสียดายในเวลานี้
จินไถหลิวหลีอึ้งไป จากนั้นความลังเลก็ปรากฏบนใบหน้า
“แม่นางจินไถ ถ้าเจ้ากังวลเกี่ยวกับอันตรายของครอบครัว หลังจากเสร็จศึกนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราจะส่งคนไปที่หมู่ตึกเทวะเพื่อรับครอบครัวของเจ้ามา ข้ารับประกันได้ว่าอยู่กับพวกข้าครอบครัวของเจ้าจะปลอดภัยไร้กังวล” เมื่อมู่เฉินเห็นความลังเลใจบนใบหน้าของจินไถหลิวหลี เขาก็พูดออกมาทันที
เมื่อได้ยินคำรับรอง จินไถหลิวหลีก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ถ้าเจ้าสามารถช่วยครอบครัวข้าได้ ข้าจะทำงานถวายหัวให้กับพวกเจ้าอย่างแน่นอน!”
“จินไถหลิวหลี!”
“นังคนทรยศ หมู่ตึกเทวะเลี้ยงดูเจ้าอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้เจ้าเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่เจ้ายังกล้าที่จะทรยศพวกเรา!”
เมื่อจอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะที่อยู่โดยรอบเห็นภาพนี้ก็คำรามด้วยความกรุ่นโกรธ โดยเฉพาะหัตถ์ทั้งสี่ ทุกคนจ้องมองจินไถหลิวหลีอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ หากไม่ใช่เพราะพวกเขาถูกล้อมกรอกไว้โดยมั่นถัวหลัวและประมุขคนอื่น พวกเขาคงกลุ้มรุมฆ่าคนทรยศไปแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงคำราม ริมฝีปากของจินไถหลิวหลีก็ยกมุมโค้งเยาะเย้ยขณะที่พูดเสียงเย็นชาว่า “เลี้ยงดู? หมู่ตึกเทวะเห็นพรสวรรค์รัศมีจั้นยี่ของข้าจากนั้นก็ส่งคนไปสังหารตระกูลข้า ต้อนให้ข้าเข้าสวามิภักดิ์ แต่นั่นยังทำให้พวกแกไม่ไว้ใจ จนต้องแอบวางยาน้องสาวตัวน้อยของข้าให้เป็นกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ เพื่อพยายามให้จงรักภักดีต่อสำนักตลอดชีวิต ฮ่าๆ การเลี้ยงดูแบบนี้ ข้าจดจำได้ดีมาตลอด แต่ดีที่สวรรค์มีตา วันนี้เป็นวันที่หมู่ตึกเทวะจะต้องชดใช้หนี้ทั้งหมดคืน!”
น้ำเสียงของจินไถหลิวหลีเต็มไปด้วยความเย็นชาและเกรี้ยวกราด ตอนนี้ไม่มีหน้าไหนในหมู่ตึกเทวะสามารถป้องกันตัวเองได้ ในที่สุดนางก็สามารถปลดปล่อยความเกลียดชังในใจ ไม่มีอะไรต้องกังวล
เผชิญหน้ากับคำพูดคั่งแค้นของจินไถหลิวหลี หัตถ์ทั้งสี่ก็พูดไม่ออก ได้แต่เขม่นมองอีกฝ่ายอย่างอาฆาตมาดร้าย ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไรก็เห็นมั่นถัวหลัวโบกมือ แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวกระจายออกไปทันใดนั้นก็ทำให้หัตถ์ทั้งสี่ส่งเสียงครวญคราง เลือดไหลออกมาจากมุมปากไม่หยุด พวกเขาหวาดกลัวต้องหุบปากไม่พูดอีกต่อไป
“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์สำหรับการรับแม่ทัพทรงทรงพลังคนใหม่” เมื่อวั้นเซิ่งเห็นภาพนี้ เขาก็ยิ้มด้วยดวงตาหรี่แคบลงพลางพูด เห็นได้ชัดว่าจากน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาตั้งใจที่จะสร้างสัมพันธ์ระหว่างสองสำนักให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
มั่นถัวหลัวไม่ได้มีความแค้นอะไรกับวั้นเซิ่ง ดังนั้นจึงตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะจ้องมองไปยังประมุขคนที่เหลืออยู่ “ในเมื่อประมุขหมู่ตึกเทวะตายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีหมู่ตึกเทวะอีกต่อไป ไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดจะแบ่งดินแดนของหมู่ตึกเทวะยังไง?”
เมื่อนางถามขึ้นเช่นนี้ ประมุขคนอื่นๆ ก็หดดวงตา หมู่ตึกเทวะเป็นขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในภูมิภาคทางเหนือมีอาณาเขตกว้างขวางและรากฐานหยั่งลึก เป็นขนมก้อนใหญ่ ตราบใดที่พวกเขาได้รับส่วนแบ่งก็จะเป็นการพัฒนากองทัพของพวกเขาอย่างแน่นอน
ในอดีตเขตแดนของขั้วอำนาจสูงสุดไม่ได้มีกฎเฉพาะตายตัว โดยพื้นฐานแล้วกำปั้นใครใหญ่คนนั้นก็จะได้รับประโยชน์มากที่สุด ดังนั้นในสงครามล่าครั้งที่ผ่านๆ มา หมู่ตึกเทวะมักจะได้ขนมก้อนใหญ่ที่สุดเสมอ
แต่นั่นก็เป็นอดีต สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เหนือชั้นกว่าขั้วอำนาจอื่นมาก ดังนั้นถ้าประมุขคนอื่นคิดว่ามั่นถัวหลัวยังเต็มใจที่จะแบ่งขนมเป็นชิ้นให้พวกเขาก็ดูจะไร้เดียงสาเกินไป
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน สุดท้ายก็ยังเป็นวั้นเซิ่งที่เป็นคนพูดออกมา “ไม่ทราบว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง?”
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นท่าทางของพวกเขานางก็ยิ้มบาง แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับไม่เกรงใจเลยสักนิด “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าขอครึ่งหนึ่งของสมบัติและดินแดนของหมู่ตึกเทวะ”
ครึ่งหนึ่ง?!
เมื่อได้ยินความต้องการของมั่นถัวหลัว ใบหน้าของคนที่เหลือก็เปลี่ยนไป แบบนี้ก็หมายความว่าคนอื่นจะสามารถแบ่งกันอีกแค่ครึ่งหนึ่งของหมู่ตึกเทวะรึ? ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาคงไม่ได้รับส่วนแบ่งถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ…
มู่เฉินและจิ่วโยวแอบเดาะลิ้น ครึ่งหนึ่งของสมบัติหมู่ตึกเทวะคงไม่น้อยกว่าสิบล้านหยดของเหลวจื้อจุน นี่เป็นรายได้ที่สูงมากสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ครึ่งหนึ่งของดินแดนหมู่ตึกเทวะก็มากกว่าเขตแดนทั้งหมดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในปัจจุบัน หากพวกเขาได้ครองดินแดนเหล่านี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะกลายเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออย่างแน่นอน
“ท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้เรียกร้องมากไปเหรอ?” โยวมิ่งถึงกับขมวดคิ้วขณะที่พูดอย่างเคร่งขรึม
“ทุกคน กฎของภูมิภาคทางเหนือต้องให้ข้าบอกฟังอย่างละเอียดอีกหรือ?” ทว่าเมื่อมั่นถัวหลัวกลับไม่สนใจสายตาทั้งห้าที่มีข้อกังขา พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
ที่นี่ผู้ชนะคือกฎ ดังนั้นใครที่มีกำปั้นใหญ่กว่าก็จะได้ก้อนขนมที่ใหญ่ขึ้น ในอดีตขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็เคยใช้สิ่งนี้เป็นมาตรฐาน และตอนนี้ในเมื่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้ามาแทนที่หมู่ตึกเทวะ ในฐานะขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ พวกนางก็มีคุณสมบัติที่จะรับส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดของก้อนขนมนี้ไปเป็นปกติ
เมื่อประมุขทั้งห้าได้ยินคำพูดของนางก็จมลงในความเงียบ แต่แค่ความไม่เต็มใจพล่านในสายตา
“ทุกคนไม่ต้องกังวลใจไปมาก ข้ายังมีเรื่องที่จะพูดคุยด้วยต่อ” เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นทั้งห้านิ่งเงียบไป นางก็ยิ้มแล้วพูดอีกครั้ง
“ยังมีเรื่องอะไร?”
มั่นถัวหลัวยกเปลือกตาขึ้นพูดว่า “ข้าวางแผนจะสร้างสมาพันธ์กับพวกเจ้า”
“สมาพันธ์?” ประมุขทั้งห้ามีสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเค้นเสียงดัง “ทำไม? หรือว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คิดจะเป็นเหมือนประมุขหมู่ตึกเทวะที่ต้องการครอบครองภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดเรอะ”
มั่นถัวหลัวเบ้ริมฝีปากอย่างดูถูกตอบว่า “ข้ายังไม่มีอารมณ์ไปทำเรื่องน่าเบื่ออย่างนั้นหรอก”
เมื่อประมุขทั้งห้าได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกโล่งใจ ถ้ามั่นถัวหลัวตั้งใจจะเจริญรอยตามประมุขหมู่ตึกเทวะ ภูมิภาคทางเหนือคงจะสะเทือนเลื่อนลั่นจนถึงจุดที่ขั้วอำนาจสูงสุดอย่างพวกเขาก็ไม่มั่นใจที่จะผ่านพ้นไปได้
มั่นถัวหลัวสะบัดนิ้วเรียกพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจออกมา จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าพีระมิดนี้สามารถรู้ที่ตั้งของวังสวรรค์บรรพกาล…”
“แต่ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าก็คงทราบดีว่าตราบใดที่ซากอารยธรรมของวังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้นก็จะสั่นสะเทือนไปทั้งโลกาอย่างแน่นอน ในเวลานั้นขั้วอำนาจสูงสุดในทวีปเทียนหลัวก็คงจะพุ่งตรงมาที่นี่ แม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่สามารถกินขนมทั้งชิ้นนี้หมด…”
เมื่อมั่นถัวหลัวพูดประโยคนี้ออกมา หัวใจของประมุขทั้งห้าก็เต้นรัว ดวงตาโชนแสงจับจ้องไปที่มั่นถัวหลัว
มั่นถัวหลัวยิ้มบาง “ดังนั้นข้าจึงต้องการสร้างสมาพันธ์ขึ้น เมื่อข้าค้นหาซากอารยธรรมของวังสวรรค์บรรพกาลเจอ เราก็สามารถรวมพลังเข้าด้วยกัน ด้วยวิธีนี้เราจะมีส่วนร่วมในการเก็บเกี่ยวสมบัติของวังสวรรค์บรรพกาล…”
“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดอย่างไรกับข้อเสนอแนะนำนี้?”
เมื่อมั่นถัวหลัวพูดจบ ดวงตาของประมุขทั้งห้าก็แดงก่ำมากขึ้น พวกเขามองเขม็งมาที่นางพลางพูดออกมาอย่างเหลือเชื่อ “เจ้ายอมให้พวกข้ามีส่วนร่วมด้วยรึ?”
วังสวรรค์บรรพกาลเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมเพียงใด? สถานที่แห่งนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนธรรมดายังไม่กล้าอาจเอื้อม แต่ตอนนี้มั่นถัวหลัวกลับยอมที่จะแบ่งปันกับพวกเขารึ?
“แม้ว่าจะเป็นโอกาสที่ดี แต่เราก็ต้องรู้ถึงขีดจำกัดของตนเอง อาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังไม่มีพลังเพียงพอที่จะกลืนกินซากอารยธรรมนั่นไว้คนเดียวได้” มั่นถัวหลัวยิ้ม ภูมิภาคทางเหนือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทวีปเทียนหลัว แค่อาณาเขตกงเวทสวรรค์สำนักเดียวยังไม่มีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับขั้วอำนาจทั้งหมดในทวีป ดังนั้นนางต้องการดึงกลุ่มต่างๆ ของภูมิภาคทางเหนือมารวมกัน ด้วยวิธีนี้ถึงจะสามารถเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจสูงสุดของทวีปเทียนหลัวได้
“เป็นยังไง? พวกเจ้าสนใจข้อเสนอของข้าไหม?” มั่นถัวหลัวถามอีกครั้ง
เมื่อประมุขคนอื่นได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วพลางขบฟันพูดโดยไม่ลังเลว่า “ตราบใดที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยอมให้เรามีส่วนร่วม เราก็ยินดีที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังแน่นอน!”
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินประโยคนี้ก็ยิ้มบาง พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “งั้นเรื่องนี้ก็เป็นอันตามนี้… ส่วนเรื่องการแบ่งหมู่ตึกเทวะ?”
“พวกข้ายินดีทำตามที่เจ้าว่า!” คนทั้งหมดพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวไม่ลังเล เมื่อเปรียบเทียบกับซากอารยธรรมของวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรน่าพูดถึง!
“งั้นก็ขอบคุณมาก”
ที่ด้านหลังเมื่อมู่เฉินเห็นว่าแต่ละคนพูดถึงชะตากรรมของหมู่ตึกเทวะอย่างไร เขาก็พูดไม่ออก ในที่สุดเขาก็ได้เห็นอำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน กระทั่งหมู่ตึกเทวะที่ทรงพลังก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกจากแกะอ้วนเมื่อปราศจากผู้นำ การถูกแบ่งอย่างโหดร้ายนี้ ทำให้เขาต้องถอนหายใจ
ขณะเดียวกันหัวใจของมู่เฉินก็ค่อยๆ เย็นลง ดูท่าพลังของเขายังอ่อนด้อยเกินไป หนทางของเขามีอีกยาวไกล แต่เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะมีพลังแบบนี้เช่นกัน
เพียงแต่ว่าเขายังต้องการเวลาเท่านั้น
ฮา
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพ่นลมหายใจสีขาวขุ่นออกมา แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดสงครามล่าก็มาถึงฉากจบ สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกโชคดีก็คือหลังจากสงครามล่าครั้งนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขายังคงยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคทางเหนือ!
และในอนาคตพวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น