หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 955-956
บทที่ 955 ตาย
ฟู่! ฟู่!
บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เปลวไฟที่ดูเหมือนว่าจะก่อตัวขึ้นจากแสงดาวก็เริ่มลุกโชนขณะที่กวาดตัวออกก็กลายเป็นมังกรขนาดใหญ่ มังกรคำรามเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ประมุขหมู่ตึกเทวะทันที
ยามนี้ความกลัวผุดขึ้นบนใบหน้าของประมุขหมู่ตึกเทวะอย่างควบคุมไม่ได้ ความเสียใจสุดซึ้งหลั่งไหลมาจากหัวใจ เขาไม่คิดว่าการใช้พลังของแม่ทัพปีศาจทุนเทียนในการบรรลุขุมพลังจะทำให้เขามีจุดจบแบบนี้
นอกจากนี้เขาก็ไม่คิดว่าจอมพลสี่ซึ่งสิ้นชีพไปแล้วจะทิ้งไพ่ตายไว้เบื้องหลัง…
“ทุกอย่างเป็นเพราะไอ้เด็กสารเลวนั่น!”
ประมุขหมู่ตึกเทวะคำรามด้วยเสียงชั่วร้ายในใจ หากไม่ใช่เพราะความจริงที่มู่เฉินปลุกวิญญาณบ้านั่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ เขาคงปราบเหล่าประมุขสำนักต่างๆ และได้รับชัยชนะครั้งสุดท้ายไปแล้ว
แต่ในเวลานี้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนก็ตาม มังกรแสงดาวที่ลุกโชติช่วงพุ่งเข้าใส่ไม่ยั้ง ที่แปลกประหลาดก็คืออุณหภูมิไม่ได้สูงขึ้น แต่ท่าทางของประมุขหมู่ตึกเทวะกลับยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น
นั่นเป็นเพราะแม้จะดูปกติดีบนพื้นผิว ทว่าภายในของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดจื้อจุนไห่ คลื่นหลิงพวยพุ่งบ้าคลั่งอย่างรุนแรง ทำราวกับอยากจะออกจากการควบคุมของเขา แยกตัวออกจากจุดที่สถิตอยู่
“แกต้องการอะไรกันแน่?! อย่าทำเกินไปนะ ถ้าปลาตายตาข่ายขาด เราทั้งคู่ไม่ได้ดีแน่นอน!” ประมุขหมู่ตึกเทวะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในจุดจื้อจุนไห่ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมากพร้อมกับกัดฟันกรอด
“ฮ่าๆ แกมาพูดเรื่องปลาตายตาข่ายขาดกับคนตายอย่างข้าเนี่ยนะ?” ที่ด้านนอกพีระมิดแสงดาวจอมพลสี่หัวเราะร่วนก่อนที่แววตาจะเย็นเยือกลง “ข้าบอกแล้วว่าจะเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเจ้ากลับคืนมา!”
พูดจบตราประทับในมือก็เปลี่ยนไป เพลิงแสงดาวพุ่งขึ้นกลายเป็นเกลียวไฟนับไม่ถ้วนแทรกซึมผ่านรูขุมขนและจมูกของประมุขหมู่ตึกเทวะ เข้าสู่ร่างกายของเขา
อ้ากกกก!
เสียงคำรามสิ้นหวังดังก้องออกจากปากของประมุขหมู่ตึกเทวะ จากนั้นร่างกายสั่นเทิ้มรุนแรง ลำแสงหลิงขนาดมหึมาพุ่งออกมาจากปากเขา คลื่นหลิงหนาแน่นจนแทบจะกลายเป็นของที่จับต้องได้
นี่คือคลื่นหลิงจากจุดจื้อจุนไห่ของประมุขหมู่ตึกเทวะ!
ในคลื่นหลิงนั้น มู่เฉินสัมผัสได้ถึงความผันผวนคุ้นเคย ทำเอาหัวใจของเขาสั่นไหวด้วยความหวาดผวาในดวงตา
นี่คือความผันผวนของของเหลวหลิงเสิน!
วิธีการของจอมพลสี่เผด็จการแท้จริง เขาสามารถดึงของเหลวหลิงเสินที่ประมุขหมู่ตึกเทวะได้ดูดซึมไปก่อนหน้าออกมา ด้วยวิธีนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะที่สูญเสียของเหลวหลิงเสินไปจะกลับไปที่ขุมพลังดั้งเดิมแน่นอน!
“จอมพลสี่มีแผนการลึกซึ้งแท้จริง เขาทิ้งไพ่ตายเช่นนี้ไว้ข้างหลัง!” เมื่อมั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ได้เห็นฉากนี้ ดวงตาก็หดลงอย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้าแต่ละคนดูไม่ดีเลย
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ของเหลวหลิงเสินที่เรากลั่นมาก่อนหน้านี้ ได้รับการประทับลับจากจอมพลสี่ ซึ่งจะแฝงตัวอยู่ลึกจนถึงจุดที่ข้ายังไม่สามารถรู้สึกถึงได้”
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวกลายเป็นเคร่งเครียดขณะเอ่ยต่อ “แต่ก็ไม่มีเจตนาร้ายเบื้องหลังการประทับนี้ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะสูญสลายไปจากร่างกายของเรา แต่…ก่อนหน้านั้นถ้าถูกควบคุมโดยจอมพลสี่ เขาจะสามารถดึงออกจากร่างกายของเราคืนเมื่อไรก็ได้”
หัวใจของมู่เฉินตกใจไป มิน่าล่ะจอมพลสี่ถึงสามารถเปลี่ยนประมุขหมู่ตึกเทวะกลับคืนสู่สถานะเริ่มต้นได้อย่างง่ายดาย ที่แท้เขาทิ้งกลเม็ดไว้เบื้องหลังนี่เอง แต่โชคดีที่เขามุ่งเป้าไปที่ประมุขหมู่ตึกเทวะเท่านั้น มิฉะนั้นมั่นถัวหลัวและประมุขคนอื่นๆ ก็จะได้รับผลกระทบลึกไปด้วยเช่นกัน
ในเมื่อจอมพลสี่สามารถเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงของวังสวรรค์บรรพกาลได้ เขาย่อมไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ครั้งนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะซวยเข้าแล้วจริงๆ
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ลำแสงไร้ขอบเขตก็พุ่งออกมาจากร่างของประมุขหมู่ตึกเทวะที่อยู่ในพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ คลื่นหลิงผันผวนรอบตัวเขาลดลงอย่างดุเดือด ไม่กี่อึดใจเขาก็หลุดออกจากระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายกลับไปเป็นขั้นต้นเช่นเดิม…
เมื่อเป็นเช่นนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะที่พยายามสุดความสามารถในสงครามล่าครั้งนี้ก็เท่ากับคว้าน้ำเหลว
ดวงตาของประมุขหมู่ตึกเทวะว่างเปล่าไปชั่วครู่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในร่างกาย จากนั้นริ้วแสงสีแดงเข้มก็พวยพุ่งในนัยน์ตา ไม่มีใครรู้ว่าเขาวางแผนมากี่ปีเพื่อที่จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ตอนนี้ความพยายามทั้งหมดกลับกลายเป็นอากาศธาตุโดยจอมพลสี่
การกระหน่ำเข้ามานี้เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ แม้จะเป็นคนใจเย็นแค่ไหนก็ตาม
“ไอ้จอมพลสี่!”
ประมุขหมู่ตึกเทวะคำราม เสียงเต็มไปด้วยความชั่วร้ายทะยานขึ้นไปในชั้นเมฆ คลื่นหลิงป่าเถื่อนที่แผ่ซ่านออกจากร่างทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวล้อมรอบบิดเบือนไป ห่วงตรวนที่ผูกเขาเอาไว้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
“เจ้านั่นบ้าไปแล้ว เขาต้องการระเบิดจุดจื้อจุนไห่!” เมื่อมั่นถัวหลัวและคนอื่นเห็นภาพนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนแปรไปอย่างมาก ประมุขหมู่ตึกเทวะคลั่งถึงขนาดที่จะทำลายจุดจื้อจุนไห่ของตนเอง โดยไม่สนใจความเป็นตายของตัวเองแล้ว
ไม่ไกลนักเมื่อสมาชิกหมู่ตึกเทวะเห็นภาพนี้ ใบหน้าแต่ละคนก็ซีดเผือด สายตาหม่นหมองด้วยความสิ้นหวัง ยามนี้หมู่ตึกเทวะของพวกเขาคงไม่มีที่ยืนในภูมิภาคทางเหนืออีกต่อไป
ตู้ม!
เวลานี้ประมุขหมู่ตึกเทวะไม่สนใจสำนักของตนอีกต่อไป เขามองท้องฟ้าด้วยสายตาบ้าคลั่ง ขณะที่รอยแตกเริ่มปรากฏบนพื้นผิวของร่างกาย แสงยิงออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น อึดใจแสงเจิดจ้าก็ปะทุขึ้น ร่างของประมุขเทวะระเบิดฉับพลัน
ครืน!
คลื่นกระแทกที่อธิบายไม่ได้กวาดหายนะออกมา ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวแตกสลาย พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ระลอกคลื่นปรากฏบนพื้นผิว ราวกับว่ากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงจากคลื่นพลังงานที่น่ากลัว
แม้ในขณะนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะจะหล่นลงไปอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ถ้าเขาวิกลจริตพอที่จะระเบิดจุดจื้อจุนไห่ พลังทำลายล้างก็ถึงขั้นหายนะเลยทีเดียว หากตอนนี้ไม่ได้เป็นพีระมิดปกคลุมไว้ ทุกคนที่อยู่ข้างนอกคงตายกันหมดแล้ว
จอมพลสี่มองไปที่พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะแตกหักก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าการกระทำที่บ้าคลั่งของประมุขหมู่ตึกเทวะเกินความคาดหมายของเขาเช่นกัน
ถ้าพีระมิดถูกทำลายประมุขหมู่ตึกเทวะซึ่งถูกขังอยู่ภายในก็จะสามารถหลบหนีได้ ถ้าเขาเพาะบ่มขุมพลังใหม่อีกครั้งก็จะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงแน่นอน
“เดิมพันชีวิตกับคนตายอย่างข้า เกรงว่าเจ้าจะคิดผิดแล้ว”
ทว่าสุดท้ายจอมพลสี่ก็ยิ้มอย่างเย็นชา ตัวเขาไม่มีชีวิตอีกต่อไป เขาเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตสำนึกที่สนับสนุนหุ่นเงา ในเมื่อประมุขหมู่ตึกเทวะกล้าเสี่ยง แล้วเขาที่เคยเป็นเจ้าเหนือหัวแห่งภูมิภาคทางเหนือจะมีอะไรต้องลังเลอีกล่ะ?
คิดถึงจุดนี้ จอมพลสี่ก็วาดกระบวนท่าในฝ่ามือ ทันใดนั้นร่างหุ่นเงาก็ระเบิดขึ้น กระแสคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวเทลงบนพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ
ด้วยการสนับสนุนของคลื่นหลิงที่น่าอัศจรรย์จากจอมพลสี่ การสั่นสะเทือนของพีระมิดก็ค่อยๆ สงบลง ประมาณหลายสิบลมหายใจผลกระทบจากการระเบิดตัวเองของประมุขหมู่ตึกเทวะก็ถูกระงับไว้อย่างสมบูรณ์
ท้องฟ้าในพีระมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาวได้รับการบูรณะอีกครั้ง แสงหลิงปรากฏขึ้นและขยายออก ก่อนจะก่อร่างของประมุขหมู่ตึกเทวะ
แต่ในขณะนี้ร่างกายของเขาราวกับภาพลวงตา ชัดว่าร่างเนื้อได้ถูกทำลายไปแล้ว เหลือไว้เพียงดวงจิต แต่ในขณะนี้ความกลัวพวยพุ่งขึ้นถึงขีดสุดบนใบหน้า
เขาไม่คิดเลยว่าแม้แต่การระเบิดจุดจื้อจุนไห่ก็ยังหนีไม่พ้นจากพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ!
“จอมพลสี่ เราไม่มีความแค้นระหว่างกัน ตอนนี้ข้าระเบิดร่างเนื้อตัวเองไปแล้ว ยังต้องการอะไรอีก?!” ประมุขหมู่ตึกเทวะแผดเสียง ดูจากน้ำเสียงน่าจะยอมแพ้แล้ว
ในพีระมิดคลื่นมิติผันผวนร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นนั่นคือจอมพลสี่นั่นเอง เขามองอย่างเหยียดหยามไปที่ประมุขหมู่ตึกเทวะพูดเบาๆ ว่า “ใครก็ตามที่ปนเปื้อนด้วยรัศมีปีศาจก็เท่ากับเป็นผู้ทรยศต่อมหาพันภพ ท่านเจ้าวังสวรรค์บรรพกาลตกทอดคำสั่งให้ทำลายแม้แต่ดวงวิญญาณของคนผู้นั้น!”
ขณะที่พูดจอมพลสี่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ตราประทับเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ เปิดใช้งานพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจแบบเต็มกำลัง ทันใดนั้นริ้วแสงดาวก็บีบกดลงมากลายเป็นสามเหลี่ยมสัญลักษณ์โบราณที่เปล่งพลังอันน่าสะพรึงกลัวเพื่อปราบปรามทุกสรรพสิ่ง
“ถ้าต้องการจะโทษใครสักคน จงโทษตัวเองที่ไร้ยางอายเถอะ!”
ตราประทับดักจับประมุขหมู่ตึกเทวะไว้ ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไร เมื่อจอมพลสี่กำกำปั้นแน่น ตราประทับก็หดลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่อึดใจตราประทับก็มีขนาดเท่าฝ่ามือ ก่อนที่การระเบิดจะดังขึ้นแล้วแผ่กระจายไป ประกายแสงโปรยปรายไปบนท้องฟ้า
มู่เฉินและคนอื่นๆ ผงะไปเมื่อเห็นสะเก็ดชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน พวกเขารู้สึกหนังหัวชาดิก ใครจะคิดว่าประมุขขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือจะถูกสังหารโดยจอมพลสี่ในขณะนี้
แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเพราะพลังพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ แต่ก็ยังแสดงให้เห็นว่าคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือ เขาทรงพลังอำนาจมากเพียงใด
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจอย่างมากก็คือประมุขหมู่ตึกเทวะถูกจัดการไปแล้ว ทำให้ภัยคุกคามของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถูกแก้ไขไปด้วยเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นด้วยความแข็งแกร่งของมั่นถัวหลัวที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะทะยานขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย อาจจะมากจนพวกเขาทิ้งห่างหมู่ตึกเทวะไปเลย กลายเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ!
**สำนวนปลาตายตาข่ายขาด แปลว่าไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ถึงจะตายอีกฝ่ายก็ต้องเสียหายมากกว่า
บทที่ 956 ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เหนือมหาสมุทรใหญ่
ทุกคนพากันตะลึงเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดผวาที่ไม่อาจปกปิดได้ในดวงตา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทรงพลังก็ยังไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
แน่นอนว่าใครก็ตามที่เห็นจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นปลายตายที่เบื้องหน้า ก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะนิ่งสงบได้
ในเวลานี้บนท้องฟ้ามีเพียงพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจลอยอยู่เงียบๆ ขณะที่ระลอกคลื่นสลายหายไปทีละน้อย แต่ความกดดันที่เล็ดลอดออกมาก็ยังข่มขู่ทุกคนทำให้ไม่มีใครกล้าทำลายความเงียบนี้ ท่าทางราวกับพวกเขากลัวที่จะนำพาความโชคร้ายมาสู่ตน
มู่เฉินมองฉากความตายของประมุขหมู่ตึกเทวะด้วยสายตาตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นก็แอบเดาะลิ้น จอมพลสี่สมกับที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าภูมิภาคทางเหนือ วิธีการและความเหี้ยมโหดไม่ได้ให้โอกาสประมุขหมู่ตึกเทวะสักนิด
“พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจน่ากลัวจริงๆ”
มู่เฉินถอนหายใจ ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่จอมพลสี่ครอบครองอาวุธมหสวรรค์ทรงพลัง แม้ว่าประมุขหมู่ตึกเทวะจะพ่ายแพ้ในวันนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเขา
เพราะยังไงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฆ่าจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุน
“ถ้าเขาไม่ทรงพลัง เขาจะสั่งการศึกระหว่างตี้จื้อจุนได้อย่างไร?” มั่นถัวหลัวยิ้ม นางบอกได้เลยว่าความพ่ายแพ้ของประมุขหมู่ตึกเทวะทำให้นางผ่อนคลายมากขึ้น ในอนาคตอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาจะต้องขึ้นอยู่จุดสูงสุดแน่นอน
“เราจะเอามันไปได้ไหม?”
ดวงตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่ส่งเสียงเบาไปหามั่นถัวหลัว หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้รับอาวุธมหสวรรค์ทรงพลังเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถครอบครองภูมิภาคทางเหนือได้ แต่ก็ทำให้สถานะของสำนักมั่นคงในฐานะขั้วอำนาจใหญ่ในภูมิภาคทางเหนือ
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น แววตาของมั่นถัวหลัวก็วูบไหว เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ตัวนางก็ถูกล่อลวงด้วยอาวุธมหสวรรค์อันทรงพลังเช่นกัน
“อาวุธมหสวรรค์น่าดึงดูดเกินไป อย่าเพิ่งทำอะไรโดยประมาท ไม่งั้นเราอาจจะจบลงเหมือนประมุขหมู่ตึกเทวะก็ได้” ทว่าหลังจา กการพิจารณาคร่าวๆ มั่นถัวหลัวก็ส่ายหัวเบาๆ การมีประมุขหมู่ตึกเทวะเป็นตัวอย่างทำให้นางรู้สึกยำเกรงอย่างยิ่งต่อจอมพลสี่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจอมพลสี่ยังมีไพ่ตายใบอื่นในแขนเสื้ออีกไหม
มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นก็กวาดสายตามอง ประมุขคนอื่นๆ ก็กำลังมองพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจด้วยความหิวกระหาย ทว่าพวกเขาเกรงกลัวจอมพลสี่เช่นกัน ดังนั้นแม้ว่าน้ำลายจะสอมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวสักกระผีกลิ้น
ฮึ่ม!
ขณะที่ทุกคนมองไปที่พีระมิดด้วยดวงตาแดงก่ำ ทันใดนั้นความผันผวนเบาบางก็เกิดขึ้นเบื้องหน้าพีระมิดสีดำ ภาพเงาค่อยๆ ปรากฏขึ้น ทุกคนเพ่งมองไป หัวใจก็สั่นเทา นั่นเป็นเพราะร่างที่ปรากฏก็คือจอมพลสี่ที่ร่างหุ่นเงาแตกสลายไปแล้ว
ทว่าในเวลานี้ร่างเขาดูโปร่งแสงราวกับว่ากำลังจะหายไป แต่ถึงแม้จะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอจอมพลสี่ก็ยังยืนอยู่ตระหง่านด้วยสองมือไพล่หลัง ข่มประมุขคนอื่นๆ ไม่กล้าเคลื่อนไหวเลยทีเดียว
“พวกเจ้าบุกเข้ามาในสุสานของข้าได้ แสดงว่าวังสวรรค์บรรพกาลได้หายไปแล้วสินะ…” จอมพลสี่กวาดมองทุกคนก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความเศร้าโศก
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดนั่นก็พยักหน้า “ตามประวัติศาสตร์เจ้าวังสวรรค์บรรพกาลได้เข้าต่อสู้กับจอมปีศาจตอนที่พวกมันรุกรานทวีปเทียนหลัว แม้สุดท้ายเขาจะเอาชนะได้แต่ก็สิ้นชีพลง ส่วนวังสวรรค์บรรพกาลก็หายไปหลังจากสงครามครั้งนั้น…”
แววตาจอมพลสี่มืดมนพึมพำว่า “แม้แต่ท่านเจ้าวังก็ยังสิ้นชีพเหรอ…”
แววตามืดครึ้มช่วงสั้นๆ ก่อนที่เขาจะเรียกสติแล้วมองมั่นถัวหลัวและจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนคนอื่นด้วยการยิ้มที่เหมือนไม่ได้ยิ้ม “คิดว่าพวกเจ้าคงมาที่นี่เพื่อสุสานของข้าใช่ไหม?”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเขา การแสดงออกก็กลายเป็นกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ไม่ได้ผิดอะไร ข้าคือคนที่ตายไปแล้ว ดังนั้นก็เหมาะสมแล้วกับสิ่งที่ข้าทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง” จอมพลสี่ยิ้มพลางชี้ไปที่พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ “พวกเจ้าทุกคนอยากได้สิ่งนี้ใช่ไหม?”
หลังจากที่เขาพูดจบ จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนทั้งหลายก็หายใจหนักขึ้น บอกได้ว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจดึงดูดใจพวกเขาแค่ไหน เพราะหากได้รับอาวุธเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัยแม้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
“โดยทั่วไปอาวุธมหสวรรค์จะต้องมอบให้คนที่ทรงพลังที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเจ้าก็มีคุณสมบัติพอใช้ได้ ดังนั้น…” จอมพลสี่พูด
เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดนั่น ดวงตาของแต่ละคนก็สว่างวาบ
พอเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา มุมปากของจอมพลสี่ก็ยกขึ้น จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่มู่เฉินซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมั่นถัวหลัวพูดช้าๆ ว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้าพบตราประทับพีระมิดนี้ใช่ไหม?”
มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร ตราประทับพีระมิดที่จอมพลสี่พูดถึงน่าจะเป็นโลหะรูปสามเหลี่ยมสีดำขนาดเล็ก ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบสนอง
“ข้าซ่อนสิ่งนี้ไว้ลึกลับมาก แต่เจ้าก็ยังค้นพบ ดูเหมือนว่าพวกเราจะชะตาต้องกัน”
ท่าทางของจอมพลสี่ผ่อนคลายลง “ถ้าไม่ใช่เจ้าปลุกจิตสำนึกที่ข้าทิ้งไว้ วันนี้พลังแม่ทัพปีศาจทุนเทียนก็คงถูกนำเอาออกไปแล้ว”
มู่เฉินยิ้มเฝื่อน เขาไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ตอนนั้นเขาเพียงแต่พยายามจะให้หุ่นเงาเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ที่ประมุขหมู่ตึกเทวะควบคุม เหตุผลที่เขาสามารถอัญเชิญจอมพลสี่มาได้เป็นความบังเอิญล้วนๆ
“ไม่ว่าความคิดแรกของเจ้าคืออะไร เจ้าก็ได้ช่วยข้าครั้งหนึ่ง ไม่งั้นการผนึกที่ผ่านมาหลายหมื่นปีก็ไม่มีความหมายอะไร” จอมพลสี่เหมือนจะอ่านความคิดของมู่เฉินออก ทันใดนั้นเขาก็ยิ้ม “และข้าไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ หัวใจของทุกคนก็สั่นไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประมุขคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่มั่นถัวหลัวก็ต่างมีความรู้สึกสังหรณ์ใจ จากนั้นลมหายใจก็เริ่มถี่ขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นจอมพลสี่ยกมือขึ้น ทำให้พีระมิดขนาดมหึมาหดตัวอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็กลายเป็นพีระมิดขนาดเท่าฝ่ามือตกลงในมือของจอมพลสี่
“พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจเป็นหนึ่งในอาวุธมหสวรรค์ของวังสวรรค์บรรพกาล เดิมทีถูกทิ้งไว้เพื่อปราบแม่ทัพปีศาจทุนเทียน แต่เนื่องจากไอ้ตัวชั่วร้ายนั่นสูญสลายหายไปแล้ว จึงไม่มีความหมายที่จะทิ้งสิ่งนี้ไว้ ดังนั้นให้คนที่มีโชคชะตาต่อกันนำออกไปเถอะ”
พูดจบเขาก็สะบัดนิ้ว พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจกลายเป็นเส้นแสงดาวพุ่งเข้าไปในหว่างคิ้วของมู่เฉิน
แสงดาวจางหายไปในหว่างคิ้วของมู่เฉิน ทำเอาตัวเขาอึ้งไป เหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดวงตาก็ขึ้นริ้วแดงด้วยความอิจฉาที่ไม่อาจปกปิดได้
ภาพนี้เกินความคาดหวังของทุกคนชัดเจน ไม่มีใครคิดว่าจอมพลสี่จะมอบอาวุธมหสวรรค์ล้ำค่าให้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าอย่างมู่เฉิน
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปลดปล่อยพลังของอาวุธชิ้นนี้ การกระทำเช่นนี้เป็นการเอาสมบัติไปทิ้งลงในถังขยะชัดๆ!
วั้นเซิ่ง เยาตี้และคนอื่นๆ ก็มีดวงตาแดงฉาน หากไม่ใช่เพราะความจริงที่พวกเขากลัวมั่นถัวหลัวและจอมพลสี่ที่ยังอยู่ พวกเขาคงพุ่งเข้าไปแย่งชิงแล้ว สมบัติเช่นนี้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าจะใช้งานได้อย่างไร?
“ในพีระมิดมีของเหลวหลิงเสินที่กลั่นออกมาจากบุคคลผู้นั้น… เจ้าสามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้ใคร”
จอมพลสี่ยิ้มให้มู่เฉิน จากนั้นก็โบกมืออย่างเกียจคร้าน ร่างเงาเริ่มจางลงเรื่อยๆ “ย้อนกลับไปตอนนั้นวังสวรรค์บรรพกาลน่าจะถูกผนึกจากท่านเจ้าวัง ด้วยพีระมิดนี้เจ้าอาจจจะสัมผัสได้…”
เมื่อได้ยินคำพูดของจอมพลสี่ มู่เฉินก็สูดลมหายใจเย็นเยือก หากเป็นเช่นนั้นเขาจะสามารถค้นหาวังสวรรค์บรรพกาลที่หายไปได้โดยพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นจริงมูลค่าพีระมิดนี้ก็น่ากลัวเกินไป การตกอยู่ในมือเขาฉับพลันเช่นนี้ แม้แต่คนที่มีสุขุมก็รู้สึกดเป็นกังวลได้ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากข่าวนี้รั่วไหลออกไป จะทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากพุ่งเป้ามาที่เขาอย่างแน่นอน
แม้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจจะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่มันก็เป็นเผือกร้อนดีๆ ด้วย!
มู่เฉินมองจอมพลสี่ที่ร่างบางลงเรื่อยๆ ก็ยิ้มขมขื่น แต่ขณะที่เขากำลังกระวนกระวายในใจเสียงเสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องอยู่ในใจ “เด็กน้อย เจ้าครอบครองร่างเทพสุริยะ หากเจ้าสามารถค้นพบวังสวรรค์บรรพกาล หากมีโอกาสเจ้าอาจจะสามารถพัฒนาร่างเทห์สวรรค์นี้ให้เป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้…”
เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันทำให้มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นหัวใจก็สั่นเทา ไม่คิดว่าแม้เขาจะไม่ได้ใช้งาน จอมพลสี่ก็สามารถสัมผัสได้
“ร่างเทพสุริยะนิรันดร์?”
ชื่อนี้ทำให้มู่เฉินดวงตาหดลง หรือว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์เป็นระยะพัฒนาของร่างเทพสุริยะ?!
ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ การหายใจของมู่เฉินก็รัวขึ้น ตัวเขาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับร่างเทห์สวรรค์นี้มาหลายปี ในที่สุดก็ได้ข้อมูลชัดเจนเสียที ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ชัดเจนว่าเป็นการเข้าใกล้ร่างมหาเทพนิรันดร์มากขึ้น!
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส!” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองร่างจอมพลสี่ซึ่งกำลังสลายไปก็ประสานมือ เขาขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ตามหามานาน
ทว่าตอบสนองต่อความขอบคุณนี้ จอมพลสี่ก็เพียงโบกมือแผ่วเบาก่อนที่ภาพเงาจะโปร่งใสและหายไปอย่างสมบูรณ์ภายใต้สายตาของทุกคน
“วังสวรรค์บรรพกาลของข้าในฐานะผู้ปกครองทวีปเทียนหลัวก็เหลือเพียงควัน… ช่างเป็นชะตากรรมที่ตลกนัก…” พร้อมกับที่ร่างจางหาย เสียงก็เปล่งสะท้อนไปทั่วมิติ
เมื่อทุกคนเห็นว่าจอมพลสี่หายไปแล้ว พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจมาก ก่อนดวงตาสีแดงฉานแต่ละคู่จะจ้องเขม็งมาที่มู่เฉินราวกับหมาป่า
ทว่าเผชิญหน้ากับสายตานั่น มู่เฉินกลับไม่สนใจ เขาไตร่ตรองครู่หนึ่ง จากนั้นก็กำมือ พีระมิดสีดำปรากฏขึ้นแล้วส่งผ่านไปให้มั่นถัวหลัวภายใต้สายตาตะลึงงันมากมาย
แม้ว่านี่จะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ก็เป็นของร้อน สิ่งนี้จะทำให้เขาเป็นศัตรูกับทุกคน นอกจากนี้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า เขายังไม่สามารถใช้อาวุธมหสวรรค์นี้ได้
สมบัติเช่นนี้อยู่ในมือเขา กลับเป็นหายนะ
เรื่องนี้มู่เฉินที่มีนิสัยหนักแน่นระวังเสมอมองทะลุปรุโปร่งมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น