หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 945-952

 บทที่ 945 ขวดดินเผา

แสงเจิดจ้าในมือของมู่เฉินจางลง


ยิ่งเมื่อมู่เฉินเห็นวัตถุเผยขึ้นก็รู้สึกอึ้งอย่างช่วยไม่ได้ ความประหลาดใจอัดแน่นในดวงตา


ตอนนี้ความแวววาวในมือเขาจางหายถูกแทนที่ด้วยขวดดินเผาสีดำซึ่งมีขนาดเท่าหัวกะโหลกคนมีอักขระโบราณปกคลุมอยู่บนพื้นผิว มิหนำซ้ำยังมีคลื่นหลิงแปลกประหลาดกำจายออกมาจากวัตถุชิ้นนี้อีกด้วย ทว่าการกระเพื่อมไหวไม่ได้ทรงพลัง ทำให้ดูเหมือนไม่ใช่อาวุธพบสวรรค์ขั้นสูง…


“นี่คือ…”


มู่เฉินอ้าปากเหวอ อดไม่ได้ที่จะพลิกขวดดินเผาสีดำแปลกประหลาดนี้ไปมา วัตถุนี้ให้ความรู้สึกเปราะบางราวกับว่าแค่เขาใช้แรงอีกนิดก็สามารถบีบมันจนแตกออกได้


มู่เฉินตรวจสอบขวดดินเผาสีดำไป ใบหน้าก็ดิ่งลงไป นั่นเป็นเพราะสิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นขวดดินเผาธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่เงาของของเหลวหลิงเสิน


วัตถุที่เขาได้รับหลังจากเสี่ยงอะไรไปมากมายคือขยะเรอะ?


“นั่นอะไร?”


ขณะที่ใบหน้าของมู่เฉินไม่น่าดู จอมยุทธ์หลายคนก็มองมาทางเขา เมื่อขวดดินเผาสีดำปรากฏขึ้นก็ดึงดูดสายตาของจอมยุทธ์หลายคนมา


“คลื่นหลิงอ่อนแอมาก มันไม่น่าใช่อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมแน่…”


“เป็นไปได้ยังไง?” จิตวิญญาณของก้อนแสงนั่นแข็งแกร่งที่สุดเลยนะ ทำไมถึงเป็นขยะได้?”


“ยังไงก็ไม่ใช่ของเหลวหลิงเสินแน่นอน!”


“…”


บทสนทนากระจายออกไปพร้อมกับจอมยุทธ์หลายคนมีข้อสงสัยและปริศนาคำถามเขียนไว้บนใบหน้า


ไม่ไกลนักเมื่อหัตถ์ใต้เห็นภาพนี้ก็รู้สึกโล่งใจ ถ้ามู่เฉินได้รับของเหลวหลิงเสินจากก้อนแสงนั่น หายนะใหญ่หลวงคงทุ่มใส่เขาแน่นอน


“หึ ดูท่าแกไม่ได้มีโชคอะไรนะ!” หัตถ์ใต้ที่รู้สึกโล่งใจก็ส่งเสียงเย้ยหยันเยือกเย็น นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นว่ากระดานเทพปฏิยุทธ์ของมู่เฉินมีข้อจำกัดมากมาย ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่ใช้ในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้น แต่ถึงแม้จะจ่ายในราคาแพง มู่เฉินก็ยังลงเอยด้วยการได้รับขยะก้อนหนึ่งไป ทำให้หัตถ์ใต้รู้สึกสะใจมาก


ส่วนทางด้านจอมพลและเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็รู้สึกผิดหวังไปตามกัน แต่ละคนถอนหายใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับของเหลวหลิงเสินจริงๆ


มู่เฉินเหลือบมองหัตถ์ใต้ที่กำลังยิ้มบนใบหน้าอย่างเย็นชา เขาไม่ได้ใส่ใจกับแพะแก่ตัวนี้เลย จากนั้นก็ก้มลงมองขวดดินเผาโบราณพลางขมวดคิ้วแน่น ของชิ้นนี้ไม่น่าจะเป็นขยะ มิฉะนั้นโลหะสีดำลึกลับคงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้น


ท่านจอมพลสี่จะทำอะไรมากมายเพื่อเล่นตลกกับคนอื่นและสร้างสิ่งไร้ประโยชน์ทำไม?


สายตามู่เฉินกะพริบวาบขณะที่รู้สึกสงสัย เขากำขวดดินเผาไตร่ตรองชั่วครู่ ก่อนที่จะไหลเวียนคลื่นหลิงแล้วเทลงไปในขวดดินเผา


เขาต้องการทดสอบดูว่าขวดนี้ไร้ประโยชน์จริงไหม!


คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหลั่งไหลมาจากร่างของมู่เฉินเข้าไปในเครื่องปั้นดินเผาชิ้นนี้อย่างไม่มีสิ้นสุด ในเวลาเดียวกันเขาก็เห็นอักขระโบราณบนพื้นผิวสว่างขึ้นเล็กน้อย


แม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่ก็ยังถูกมู่เฉินสังเกตเห็นได้ ทันใดนั้นหัวใจเขาสั่นสะท้านโดยไม่ลังเลอีกต่อไป ระลอกมิติกระเพื่อมที่เบื้องหลังจุดจื้อจุนไห่ของเขาปรากฏขึ้นเลือนราง คลื่นหลิงหลั่งไหลเข้าไปในขวดดินเผา


อักขระโบราณบนพื้นผิวเริ่มเปล่งประกายรัศมีอย่างรวดเร็ว


เมื่อจอมยุทธ์โดยรอบเห็นฉากนี้ พวกเขาก็อึ้งไป จากนั้นส่ายหัวคิดว่าการกระทำของมู่เฉินก็แค่ความรู้สึกไม่ยอมแพ้


แต่มู่เฉินขี้เกียจสนใจกับความคิดของคนอื่น เมื่อเห็นอักขระโบราณบนพื้นผิวสว่างขึ้นหัวใจของเขาก็เต้นรัว นั่นเพราะเขาเริ่มรู้สึกถึงการสะเทือนที่มาจากขวดดินเผาตรงหน้า…


แรงสั่นสะเทือนทวีความรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งขวดก็สั่นไหวและลอยขึ้นช้าๆ จากมือของมู่เฉิน เมื่อมันลอยขึ้นมาตรงหน้า ปากขวดก็เอียงลงมาชี้ไปที่ทะเลสาบมรกต


ฮึ่ม!


เสียงอื้ออึงผิดปกติดังมาจากปากขวด แสงรวมตัวกันต่อเนื่องก่อนที่แรงดูดพิเศษจะระเบิดออกมา


ซ่า! ซ่า!


เมื่อแรงดูดปะทุขึ้น ทะเลสาบเบื้องล่างก็ดันตัวเป็นคลื่นเชี่ยวกราก ผู้คนอึ้งไปเมื่อเห็นน้ำพุสีมรกตพวยพุ่งออกมา ก่อนที่จะถูกกลืนกินโดยไม่มีที่สิ้นสุดจากขวดดินเผาชิ้นนี้…


น้ำพุมรกตเหล่านั้นมีความหนาแน่นสูงมาก มีน้ำหนักประหนึ่งภูเขา มากจนแม้แต่มิติก็รับน้ำหนักไม่ได้ถึงกับบิดเบี้ยวไปเลยทีเดียว


ทะเลสาบที่แม้แต่จอมยุทธ์อย่างซุยนอนยังไม่กล้าก้าวเข้าไปกลับกำลังถูกสูบเข้าไปในขวดดินเผาโบราณอย่างไม่รู้จบ


การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึงไป น้ำในทะเลสาบถูกสร้างขึ้นด้วยคลื่นหลิงของจอมพลสี่ซึ่งมีความหนาแน่นและความรุนแรงอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีหลายคนพุ่งเข้าห้ำหั่นกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าก้าวลงไปในทะเลสาบ แต่ในเวลานี้น้ำในทะเลสาบที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังไม่กล้าทำอะไรกลับถูกดูดเข้าไปในขวดดินเผาโบราณอย่างไม่มีหยุดยั้ง


ภายใต้สายตาตะลึงงันของทุกคน ขวดดินเผาราวกับหลุมดำที่ลึกที่สุดดูดน้ำในทะเลสาบไม่หยุด พร้อมกันนั้นหมอกสีทองก็ค่อยๆ รวมตัวกันในขวด


ความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวกำจายออกมาจากขวดดินเผาชิ้นนั้น


เมื่อจอมยุทธ์ชั้นสูงสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาอย่างมาก พวกเขาร้องอุทานว่า “นั่นคือของเหลวหลิงเสิน!”


เมื่อเสียงตะเบ็งลั่น ทั่วทั้งมิติก็ระเบิดด้วยความวุ่นวาย จอมยุทธ์จำนวนมากเบิกตากว้าง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนหัวแหลมเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นพูดว่า “ขวดดินเผานั่นดูดคลื่นหลิงในมิตินี้เพื่อกลั่นกรองให้เป็นของเหลวหลิงเสิน!”


ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเข้าในปอด ที่แท้ของเหลวหลิงเสินได้รับการกลั่นด้วยวิธีดังกล่าว แต่พลังงานหลิงในมิตินี้มีความหนาแน่นสูงถึงขนาดที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังไม่กล้าดูดซับ มีเพียงการใช้วัตถุพิเศษที่ถูกทิ้งไว้โดยท่านจอมพลสี่ถึงจะสามารถกลั่นของเหลวหลิงเสินได้


หัตถ์ใต้ผงะไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ความหงุดหงิดในใจเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขีดสุด เขาไม่คิดว่าแม้มู่เฉินจะไม่ได้ของเหลวหลิงเสิน แต่กลับได้วัตถุที่จำเป็นต้องใช้ในการกลั่น…


“ไอ้เวรนั้นโชคดีอะไรปานนี้!”


หัตถ์ใต้กัดฟันกรอก ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้มู่เฉินอยู่ในขอบเขตการป้องกันของกองทัพหิน เขาคงพุ่งเข้าไปแย่งชิงนานแล้ว แต่รัศมีจั้นยี่ที่น่ากลัวของกองทัพหิน กระทั่งตัวเขายังไม่กล้าก้าวเข้าไปในระยะโจมตี


ยามนี้ทั้งมิติโกลาหลด้วยการกระทำของมู่เฉิน การต่อสู้ทั่วทุกมุมหยุดลง พวกเขาจ้องมองขวดดินเผาด้วยดวงตาแดงก่ำ


จอมพลทั้งสามมารวมตัวกับเหล่าผู้บัญชาการ พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากัน สถานการณ์ปัจจุบันนำมาซึ่งความสุขและความกังวลในเวลาเดียวกัน เพราะหากสิ่งนี้ทำให้สำนักอื่นร่วมมือกัน อาณาเขตกงเวทสวรรค์คงได้รับเวลาแห่งความขมขื่นแน่นอน


“นะ…นะ นี่ ขวดหยกนี่ก็กลั่นของเหลวหลิงเสินได้!”


ขณะที่ทุกคนกำลังกังวล เสียงหัวเราะดีใจก็ดังกึกก้อง สายตาทุกคู่มองไปก็เห็นจอมยุทธ์แดนปีศาจผู้หนึ่งกำลังยกขวดหยกขึ้นมา ขวดหยกนี้สลักด้วยอักขระโบราณ ซึ่งกำลังเริ่มดูดซับน้ำในทะเลสาบจากด้านล่างแล้วทำการกลั่นเป็นของเหลวหลิงเสิน เว้นแต่ว่าความเร็วในการกลั่นของขวดหยกด้อยว่าขวดดินเผาในมือของมู่เฉินไปมาก


ขวดหยกนี้ก็คือหนึ่งในห้าก้อนแสง หลังจากวิ่งไล่แย่งกันก็มาตกอยู่ในมือของเขาเพราะโชคดี ตอนแรกเขารู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง แต่หลังจากเห็นการกระทำของมู่เฉิน เขาก็ลองทำตามดูบ้างแล้วก็พบว่าสามารถใช้งานได้จริงๆ


เมื่อจอมยุทธ์แดนปีศาจเห็น พวกเขาก็ดีใจกันยกใหญ่ทะยานเข้าไปทันทีเพื่อปกป้องจอมยุทธ์ที่ถือขวดหยกอยู่ สายตามองสำนักอื่นด้วยความตื่นตัวและหวาดระแวง


“วัตถุที่สามารถกลั่นของเหลวหลิงเสินได้ที่นี่ไม่ได้มีชิ้นเดียว!”


หลายคนที่มีความคิดเฉียบแหลมก็ตะโกนออกมา ทันใดนั้นจอมยุทธ์คนอื่นก็หยิบสิ่งของที่ได้รับมาก่อนหน้าทดสอบทันที สถานการณ์ตกอยู่ในความอลหม่านไปหมด


“ฮ่าๆ ข้าก็มี!” หลังจากการตรวจสอบ ก็มีคนอุทานออกมาด้วยความสุข ถ้วยขนาดฝ่ามือที่อยู่ในมือเมื่อเขาเทคลื่นหลิงลงไปถ้วยก็เริ่มดูดน้ำในทะเลสาบ เพียงแต่ว่าความเร็วช้ากว่าขวดหยกไปอีก


“ข้าด้วย!”


“ฮ่าๆ ข้ามีเหมือนกัน!”


“…”


หลังจากความโกลาหลรอบหนึ่ง ทุกคนก็นำเอาของรูปร่างแปลกประหลาดที่ได้ออกมา เมื่อพวกเขาเทคลื่นหลิงลงไปก็สามารถดูดซับน้ำในทะเลสาบกลั่นเป็นของเหลวหลิงเสินได้ ทว่าความเร็วในการกลั่นช้ามาก


เมื่อสำนักอื่นเห็นภาพความเร็วในการกลั่นของวัตถุในมือมู่เฉิน หัวใจของพวกเขาก็เย็นชาลง เมื่อเทียบกับความเร็วของมู่เฉิน พวกเขาด้อยกว่ามากจนน่าเกลียด


“ไม่ได้ แตกต่างกันเกินไป ขวดดินเผาในมือไอ้เวรนั่นมีพลังมาก หากยังคงดำเนินต่อไปน้ำในทะเลสาบจะถูกสูบและกลั่นเป็นของเหลวหลิงเสินที่สมบูรณ์แบบที่สุด!”


“เราต้องการวัตถุที่ทรงพลังกว่านี้!”


สายตาของผู้คนกะพริบวาบ ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบ ยังมีก้อนแสงอีกสามก้อนบินฉวัดเฉวียนไปมาอยู่รอบๆ คลื่นหลิงทรงพลังกำจายออก ซึ่งดูไม่ธรรมดาเอามาก


จะต้องมีวัตถุทรงพลังในนั้นแน่!


ทุกสายตาจ้องมองไปที่ก้อนแสงทั้งสาม บรรยากาศเงียบลงผิดปกติ


“ตู้ม!”


“ลุย!”


“คว้ามา!”


ทว่าความเงียบกินเวลาเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิดออก จากนั้นทั้งมิติก็ผันผวนด้วยความปั่นป่วนไปหมด จอมยุทธ์ทุกคนพุ่งออกไปราวกับหมาบ้า ขณะที่ไขว่คว้าก้อนแสงทั้งสาม


“ไอ้พวกสารเลว ใครกล้าฉกของที่เป็นของหมู่ตึกเทวะ ข้าไม่ให้อภัยแน่!”


หัตถ์ทั้งสามที่ก่อนหน้าขัดขวางจอมพลทั้งสามไว้ก็ไม่สามารถระงับใจตัวเอง พวกเขากระโจนตัวออกไปพร้อมกับแผดเสียงลั่น หมู่ตึกเทวะคว้าจอกใบจิ๋วมาได้เท่านั้น ความเร็วในการกลั่นช้าเกินไป หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปของเหลวหลิงเสินที่พวกเขาสามารถกลั่นได้ก็อ่อนจางไม่สมบูรณ์


ถ้าพวกเขาส่งของเหลวแบบนั้นไปให้ท่านประมุข งานนี้ท่านประมุขควันออกหูแน่นอน


“หึ มีคนเท่าหางอึ่ง คิดว่าพวกข้าจะกลัวหมู่ตึกเทวะเรอะ?!”


ยามนี้มีก้อนแสงเหลือสามก้อนเท่านั้น ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างมากกับปริมาณของเหลวที่พวกเขาจะได้รับ ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจคำพูดของหมู่ตึกเทวะ จอมยุทธ์แต่ละคนพุ่งเข้าใส่ไม่ยั้ง


ครืน!


คลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออก ทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ…


สมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้เข้าไปแย่งชิงด้วย เนื่องจากขวดดินเผาของมู่เฉินอยู่เหนือวัตถุทุกชิ้นแล้ว… ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่แลกเปลี่ยนสายตากัน สีหน้าไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา


“ครั้งนี้มู่เฉินทำผลงานเยี่ยมจริงๆ…”


บทที่ 946 ประมุขหมู่ตึกเทวะที่หุนหันพลันแล่น

เหนือทะเลสาบ


การแย่งชิงก้อนแสงสามก้อนสิ้นสุดลงในเวลาเพียงสิบกว่านาที แต่ความเร่าร้อนที่เกิดกลับทำให้เปลือกตาของมู่เฉินที่เฝ้ามองจากด้านข้างกระตุกขึ้น


นั่นเป็นเพราะจอมยุทธ์ทั้งหมดเคลื่อนไหวแย่งชิงก้อนแสงที่เหลือ การเผชิญหน้านั่นทำให้มิติแตกสลาย ถ้าไม่ใช่ว่าเกาะลอยเหนือธรรมชาตินี้ไม่ธรรมดาละก็คงได้ยุบตัวลงเป็นผุยผงสมบูรณ์ไปแล้ว


ผลการฉกฉวยที่บ้าคลั่งก็คือก้อนแสงทั้งสามตกอยู่ในมือของหมู่ตึกเทวะ จวนยมโลกและยอดเขาหมื่นเทพ


แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะพลังของสำนักอื่นๆ อ่อนด้อย แต่เป็นเพียงการต่อสู้ที่วุ่นวายนี้พึ่งโชคมาก ซึ่งพวกเขาโชคไม่ดีเท่านั้นเอง


เมื่อได้รับก้อนแสงมาจอมยุทธ์ของหมู่ตึกเทวะ จวนยมโลกและยอดเขาหมื่นเทพก็หยิบออกมา ขวดผลึกแก้วแวววาวสามขวดปรากฏขึ้น


ขวดเหล่านี้ถูกสลักด้วยอักขระโบราณและเป็นอาวุธพบสวรรค์ที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในเวลานี้…


ทันทีที่ได้รับขวดไป พวกเขาก็เปิดใช้ทันที ภายใต้สายตาแดงก่ำของผู้เฝ้ามอง ขวดก็สั่นสะเทือน มีประกายแสงคลี่กระจายออกมาจากพวกมันและเริ่มปล่อยแรงดูด น้ำในทะเลสาบถูกดูดเข้าในขวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แสงสีทองกะพริบที่ปากขวด คลื่นหลิงทรงพลังกำลังก่อตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป


ฉากนี้เป็นน่ายินดีสำหรับทั้งสามสำนัก ขวดเหล่านี้พิเศษจริงๆ พวกมันมีพลังมากกว่าอุปกรณ์กลั่นอื่นๆ


หัตถ์ทั้งสี่แห่งหมู่ตึกเทวะรู้สึกโล่งอกในใจ แต่ก็ยังเขม่นมองไปที่มู่เฉิน แววไม่เต็มใจอัดแน่น นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายมีขวดขนาดใหญ่ราวกับไห ดังนั้นความเร็วในการกลั่นก็สูงกว่าของพวกเขาด้วย


“ไอ้เวรนั่น!” หัตถ์ทั้งสี่กัดฟันกรอดด้วยความโกรธที่มู่เฉินได้รับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไป


แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่คิดที่จะเคลื่อนไหว เนื่องจากกองทหารหินรอบร่างมู่เฉินไม่ธรรมดา นอกจากนี้เขายังได้รับการคุ้มครองจากจอมพลทั้งสาม แม้พวกเขาจะพุ่งเข้าโรมรันเต็มแรงก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นพวกเขาจึงควรใช้ขวดผลึกแก้วนี้ดูดน้ำในทะเลสาบให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อดูว่าจะสามารถกลั่นของเหลวที่หนาแน่นนี้ได้หรือไม่


ซ่า!


ทะเลสาบที่วุ่นวายเงียบลง ทุกคนเก็บจิตสังหารไปชั่วคราว ทุกสำนักครอบครองพื้นที่ส่วนหนึ่งของตนและใช้ของที่ได้มาพยายามดูดซับน้ำในทะเลสาบให้ได้มากที่สุด ดังนั้นการต่อสู้จึงหยุดลง มีเพียงเสียงน้ำกระเซ็นดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง…


ทว่าขณะที่การต่อสู้ในเกาะหินเงียบลง


ด้านนอกเกาะกลับมีคลื่นหลิงพวยพุ่งไปทั่ว มิติแตกสลายภายใต้ผลกระทบอันน่ากลัวของคลื่นพลังงาน


คลื่นกระแทกนี้เกิดขึ้นจากการต่อสู้ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดกับหุ่นวิญญาณจอมพลสี่


ตู้ม!


ผลึกแก้วหินทะลุเส้นขอบฟ้านำพาความพินาศพุ่งไปยังมั่นถัวหลัว


มั่นถัวหลัวมองการโจมตีที่พุ่งเข้ามา ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ตั้งแต่เมื่อสักครู่หุ่นเงาที่ทำเพียงตั้งแนวป้องกันก็เริ่มเป็นฝ่ายโจมตี ซึ่งการโจมตีนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก แม้แต่คนที่มีพลังอย่างนางยังรู้สึกหวาดกลัว


ครืน!


แสงสีทองพลุ่งพลานในดวงตาของมั่นถัวหลัวขณะที่เหวี่ยงฝ่ามือออกมา ฝ่ามือดูอ่อนบางไร้ซึ่งพลังแต่เมื่อกระแทกลงไปก็ทำลายมิติแตกร้าว ก่อนจะปะทะกับผลึกแก้วหิน


เมื่อคลื่นกระแทกพัดออก มั่นถัวหลัวก็ถอยกลับไปหนึ่งก้าว ริ้วผลึกแก้วหินแตกออกจากกันกลายเป็นประกายไฟแล้วจางหายไป


ขณะที่มั่นถัวหลัวสกัดการโจมตีนั้นได้ ประมุขทั้งหกคนก็งัดกระบวนท่าออกมาเพื่อทำลายการโจมตีที่เข้ามาเช่นกัน ทุกคนมีสีหน้าท่าทางมืดครึ้ม เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ว่าการโจมตีของหุ่นวิญญาณรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


ยืนอยู่ท่ามกลางจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดคน ในดวงตาหุ่นวิญญาณจอมพลสี่ก็เหมือนมีแสงวูบไหว ก่อนที่จะก้มศีรษะลงเหลือบมองไปที่เกาะหิน จากนั้นปล่อยเสียงคำราม คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงระเบิดออกมาจากร่าง ก่อนที่จะก่อตัวเป็นผลึกวงรัศมีน่าตกตะลึงนับไม่ถ้วน


ทั้งเจ็ดคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อเห็นหุ่นวิญญาณที่มีคลื่นหลิงพุ่งสูงจนน่ากลัว


“ดูเหมือนพวกเขาจะเจอของเหลวหลิงเสินแล้ว!” ดวงตาของประมุขหมู่ตึกเทวะกะพริบวูบไหว การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของหุ่นวิญญาณชัดว่าเกี่ยวข้องกับด้านในเกาะหินลอย


สายตาของคนอื่นก็สั่นสะเทือน จากนั้นความดีใจก็พล่านในแววตา แต่ไม่นานความยินดีก็กลายเป็นข้อสงสัยเนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าใครได้รับของเหลวหลิงเสินไป


ฟิ้ว!


ขณะที่พวกเขาตกอยู่ในภวังค์ หุ่นวิญญาณก็พุ่งลงไปที่เกาะหิน


“มันจะเข้าไปปกป้องของเหลวหลิงเสิน! หยุดมัน!”


มั่นถัวหลัวตะโกนทันทีที่เห็น ก่อนที่นางจะกระแทกฝ่ามือ คลื่นหลิงครางกระหึ่มขณะที่ลมและฝนรวมตัวกัน ฝนหนาวเย็นสามารถทะลุผ่านมิติ ส่วนลมพายุฉีกขาดฟ้าดินออกจากกันได้ พลังอำนาจของฝ่ามือนี้ช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง


ตู้ม!


ฝ่ามือมั่นถัวหลัวส่งหุ่นเงาถอยหลังกลับทันที เวลาเดียวกันจอมยุทธ์ที่เหลือก็ร่วมมือกันปลดปล่อยการโจมตี กระบวนท่ารุนแรงพุ่งประชิดหุ่นเงาอย่างรวดเร็ว สกัดไม่ให้มันเข้าไปในเกาะหินเพื่อปกป้องของเหลวหลิงเสิน


ครั้นถูกดักไว้อย่างแน่นหนาโดยจอมยุทธ์ทั้งเจ็ด หุ่นเงาก็ปลดปล่อยเสียงคำราม คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวกระจายออกมา กวาดล้างให้ทั้งเจ็ดไม่มีทางเลือกนอกจากระวัง


“แค่หุ่นเงายังคิดจะขัดขวางพวกเรารึ?!”


แต่ทันใดนั้นเสียงร้องเย็นเยือกก็แผดออก จากนั้นมั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ก็ต้องตะลึงไปเมื่อเห็นประมุขหมู่ตึกเทวะทะยานตัวลงมาปรากฏต่อหน้าหุ่นเงาก่อนที่จะซัดฝ่ามือออกไป


เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ทุกคนอึ้งไป แต่ละคนเผยสีหน้าประหลาดใจ ตอนที่พวกเขาปะทะกับหุ่นเงานั่น พวกเขาก็รู้ชัดเจนถึงความแข็งแกร่ง หากพวกเขาต้องต่อสู้แบบตัวต่อตัว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งจะยับยั้งมันได้ ดังนั้นก่อนหน้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หุ่นวิญญาณจอมพลสี่ แต่เลือกร่วมมือกัน…


แต่ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ประมุขหมู่ตึกเทวะถึงคิดสู้ตายขนาดนี้…


ครืน!


ขณะที่พวกเขามีสีหน้าประหลาดใจ ประมุขหมู่ตึกเทวะก็ซัดฝ่ามือออกไปแล้ว แสงห้าสีระเบิดออกจากฝ่ามือเขา ความโชติช่วงสาดส่องไปทั่วฟ้าดิน คลื่นพลังทรงประสิทธิภาพอย่างมาก


โฮก!


หุ่นวิญญาณจอมพลสี่แผดเสียงคำรามพร้อมกับแสงแผ่ซ่านออกมาจากในดวงตา ก่อนที่จะซัดฝ่ามือออกไป ช่วงเวลาที่ฝ่ามือกวาดออก ผลึกรัศมีก็รวมตัวกันที่เบื้องหลัง


เมื่อมั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง ที่จริงตอนนี้พวกเขาสามารถร่วมมือกันปราบหุ่นเงา แต่…เนื่องจากความคิดบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจจึงไม่มีใครเคลื่อนไหวเลย


ทุกคนล้วนเป็นคู่แข่งกัน ประมุขหมู่ตึกเทวะทรงพลังมาก หากพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากหุ่นเงาเพื่อทำให้เขาอ่อนแอลง ก็เป็นข่าวดีสำหรับทุกคน


ปัง!


ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันอย่างหนักหน่วง คลื่นกระแทกน่ากลัวกระจายออก มิติทรุดตัวลงภายในรัศมีแสนกว่าจั้ง มากจนกระทั่งมหาสมุทรเบื้องล่างยังเหมือนแยกออกเป็นสองส่วน


คลื่นกระแทกกวาดหายนะ หุ่นวิญญาณจอมพลสี่ก็กระเด็นกลับไปพร้อมกับรอยแตกปรากฏบนแขนราวกับว่ากำลังจะแตก เห็นได้ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บหนัก


อีกด้านหนึ่งประมุขหมู่ตึกเทวะก็ไม่ได้ดีกว่ากัน รอยเลือดปรากฏที่มุมริมฝีปาก ร่างของเขากระเด็นออกมาราวกับกระสุนปืนใหญ่พุ่งลงสู่ทะเลเบื้องล่าง ไม่มีใครรู้ว่าเขาจมลงไปในทะเลลึกเพียงใด


เมื่อประมุขคนอื่นๆ บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้มุมปากก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าทำไมประมุขหมู่ตึกเทวะที่มีนิสัยสงบและไหวพริบดีเสมอจะหุนหันพลันแล่น แม้ว่าเขาจะทำให้หุ่นเงาเสียหายได้ แต่ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ซึ่งไม่มีประโยชน์ใดๆ ในการแย่งชิงสมบัติต่อไปเลย


“คึๆ ดูเหมือนว่าประมุขหมู่ตึกเทวะจะเสียสติกับของเหลวหลิงเสินไปแล้ว” วั้นตู๋เสอปล่อยเสียงหัวเราะแปลกๆ ออกมา เขารู้สึกยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นนัก


คนที่เหลือก็มีริ้วคลื่นสั่นไหวในดวงตา


“พอแล้ว ไม่ต้องสนใจเขา เราต้องล้อมกรอบหุ่นเงานี้ต่อไปเพื่อซื้อเวลาให้พอสำหรับคนที่อยู่บนเกาะ” มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงเบา


คนอื่นๆ ก็พยักหน้า ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาไปกังวลเกี่ยวกับการบาดเจ็บของประมุขหมู่ตึกเทวะ นอกจากนี้พวกเขายังเป็นคู่แข่งกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มใจที่จะเห็นอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก


ดังนั้นทั้งหกคนจึงร่วมมือกันเพื่อยับยั้งหุ่นวิญญาณจอมพลสี่ หลังจากได้เห็นพลังที่ส่งประมุขหมู่ตึกเทวะออกไปเสียหน้าหงายในฝ่ามือเดียว พวกเขาก็ระมัดระวังมากขึ้น ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้หุ่นเงาปะทะกันตรงๆ…


ไม่มีใครใส่ใจประมุขหมู่ตึกเทวะที่ไม่ปรากฏตัวออกมา ชายคนนั้นคงประสบกับอาการบาดเจ็บหนักและต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมหาสมุทรเพื่อกู้คืนพลัง ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่สามารถแย่งชิงได้เต็มที่เมื่อของเหลวหลิงเสินปรากฏขึ้น


ครืน!


คลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวระเบิดขึ้นเหนือเกาะหิน เนื่องจากหุ่นเงาไม่สามารถไปไหนได้ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของประมุขทั้งหก มันทำได้เพียงคงการป้องกันไว้ แต่ตัดสินจากสภาพความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มั่นถัวหลัวและคนอื่นรู้ว่าของเหลวหลิงเสินเริ่มถูกครอบครองแล้ว…


ในขณะที่พวกเขากำลังกลุ้มรุมหุ่นเงา ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นรัศมีสีดำที่แผ่ออกจากมหาสมุทรมรกตเบื้องล่าง


ราวกับว่ามีเทพมารกำลังตื่นจากนิทราใต้มหาสมุทรนั่น


บทที่ 947 กลั่นของเหลวหลิงเสินสำเร็จ

ซ่า ซ่า!


คลื่นน้ำสีมรกตหนาแน่นพวยพุ่งขึ้นจากทะเลสาบขนาดมหึมา หากมองอย่างใกล้ชิดก็จะเห็นว่ามีเศษผลึกใสกำจายอยู่ในทะเลสาบด้วย ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดจากคลื่นหลิงที่ถูกบีบอัดจนถึงระดับน่ากลัว


ทะเลสาบแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากคลื่นหลิงของจอมพลสี่หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว แม้แต่มหาสมุทรข้างนอกก็เกิดจากทะเลสาบนี้ด้วยเช่นกัน


โดยทั่วไปแล้วแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่กล้าที่จะดูดซับพลังงานที่มีความหนาแน่นสูงนี่เลย นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงที่ได้รับการขัดเกลาโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทรงพลังเกินไป จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะโจมตีและกัดกร่อนคลื่นพลังงานในร่างกายของพวกเขา ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียมากกว่าจะได้รับ


แต่ตอนนี้แก่นคลื่นหลิงบริสุทธิ์ที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังขนพองสยองเกล้ากลับพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างไม่หยุดยั้งและถูกดูดซับโดยขวดแก้วรูปร่างแปลกต่างๆ…


มู่เฉินยืนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกองทหารหินพร้อมกับขวดดินเผาโบราณลอยอยู่ตรงหน้า เสาน้ำขนาดใหญ่หลายร้อยจั้งถูกดูดเข้ามาในขวดที่ดูเหมือนเล็กแต่จริงๆ ลึกไร้ก้นราวกับวาฬสูบน้ำเลยทีเดียว


ความเร็วในการดูดของขวดดินเผาโบราณสูงเกินกว่าวัตถุอื่นๆ ตามประสิทธิภาพความเร็วในการดูดของขวดหยกที่สำนักสูงสุดอื่นๆ ได้รับ ไม่ได้แม้แต่หนึ่งในสิบของความเร็วของขวดดินเผาของมู่เฉิน


ดังนั้นเมื่อทุกคนเบนสายตามาเห็นเสาน้ำมหึมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน ดวงตาของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แก่นคลื่นหลิงในทะเลสาบแห่งนี้มีจำกัด ตอนนี้คนจำนวนมากแย่งกันสูบน้ำไม่หยุด คงอีกไม่นานทะเลสาบก็จะแห้งขอด


ในเวลานั้นของเหลวหลิงเสินที่กลั่นโดยมู่เฉินจะสมบูรณ์แบบกว่าที่เหลือแน่นอน


มิหนำซ้ำของเหลวหลิงเสินยังเชื่อมโยงเกี่ยวกับประมุขว่าจะสามารถบรรลุขุมพลังขั้นใหม่ได้หรือไม่ นั่นเพราะไม่ว่าพวกเขาจะสู้กันอย่างไรก็ไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ภาพรวม สิ่งเดียวที่สามารถทำลายความสมดุลได้ก็คือการเขย่ารากฐานของกองทัพสูงสุด…


เห็นได้ชัดว่าประมุขแต่ละสำนักเป็นเสาหลักแท้จริง


หากประมุขหมู่ตึกเทวะสามารถบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ พวกมู่เฉินก็รู้ชัดเจนว่าสถานการณ์ภาพรวมของภูมิภาคทางเหนือจะเปลี่ยนแปลง ตอนแรกพวกเขายังสงสัยว่าแค่ขั้นเดียวจะแตกต่างมากขนาดไหนเชียว เพราะเหมือนตอนนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะที่ใกล้จะเข้าสู่ขั้นปลายมากกว่าประมุขทั้งเจ็ดคนยังไม่มั่นใจที่จะพูดว่าตนเองสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนอื่นได้


แต่ถ้าเขาสามารถบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ ก็จะเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างสิ้นเชิง เพราะนี่ได้รับการพิสูจน์โดยหุ่นวิญญาณจอมพลสี่ ซึ่งต้องใช้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนถึงเจ็ดคนเพื่อยับยั้ง


ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเพียงพอที่จะทำลายความสมดุลทั้งหมดของภูมิภาคทางเหนือ


เสียงน้ำไหลดังกึกก้องบนเกาะหินที่เงียบสงบ สายตาทุกคู่กะพริบวูบไหว ความคิดต่างๆ นานาวนเวียนในใจ


เมื่อถึงจุดนี้ สงครามการล่าก็ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว แต่อันตรายที่แท้จริงกลับกำลังจะเริ่มต้น…


นั่นเป็นเพราะไม่มีใครสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์สุดท้ายได้


ขณะความคิดไหลเวียนอยู่ในหัวใจ ครึ่งวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้ว เวลาที่ไหลผ่านทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่าน้ำในทะเลสาบลดลงเรื่อยๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแก่นคลื่นหลิงบริสุทธิ์กำลังจะหมดไป


ในเวลาเดียวกันกับน้ำในทะเลสาบลดน้อยลง คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็กำจายระลอกบนท้องฟ้า ต้นกำเนิดของคลื่นเหล่านี้มาจากขวดรูปทรงแปลกๆ เหล่านั้น


“ของเหลวหลิงเสินกลั่นเรียบร้อยแล้ว!”


ทันใดนั้นเสียงปีติยินดีก็ดังกึกก้อง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองขวดของหมู่ตึกเทวะ ตอนแรกขวดซึ่งโน้มเอียงก็ค่อยๆ ตัดการสูบน้ำในทะเลสาบลง แสงสีทองบางจางแผ่ซ่านที่ปากขวด แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีทองอร่าม


ระลอกคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวกระเพื่อมออกมา ทำให้แม้แต่หัตถ์ทั้งสี่ยังต้องแอบเดาะลิ้นจากแรงกดดันที่สัมผัสได้


ฮึ่ม!


ขณะที่ความปั่นป่วนปรากฏขึ้นในฝั่งหมู่ตึกเทวะ เสียงแห่งความสุขก็ดังกึกก้องจากอีกหลายทิศทาง แสงสีทองพุ่งทะยานขึ้นไปยึดครองขอบฟ้า แต่ไม่ได้อยู่ในทิศทางเดียวกับของหมู่ตึกเทวะ


ขวดหยกที่จวนยมโลกและยอดเขาหมื่นเทพได้รับมา ก็กลั่นของเหลวหลิงเสินในปริมาณที่เหมาะสมได้แล้ว


หลังจากพวกเขาก็มีแสงสีทองกระจายเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย เห็นได้ชัดว่าวัตถุชิ้นอื่นๆ ก็กลั่นของเหลวหลิงเสินจบสิ้นแล้วเหมือนกัน แต่ความแวววาวนั้นด้อยกว่าเมื่อเทียบกับของเหลวหลิงเสินที่ได้จากขวดหยกทั้งสาม


“ในที่สุดก็สำเร็จ”


หัตถ์ทั้งสี่แห่งหมู่ตึกเทวะใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจก็ถอนหายใจโล่งอก หลังจากความพยายามขมขื่นมากมาย ในที่สุดพวกเขาก็ทำภารกิจให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ได้รับของเหลวหลิงเสินไว้ในครอบครอง


“ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรจากไอ้เด็กเหลือขอนั่นอีกเรอะ…หึ ไอ้เด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแฟ่นดินต่ำ ดูท่าเขาจะล้มเหลวในการกลั่นของเหลวหลิงเสินที่สมบูรณ์แบบแล้ว!” หัตถ์ใต้หันไปมองทางมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะตอนนี้เหลือเพียงฝั่งมู่เฉินที่ยังไม่มีสัญญาณของการกลั่นของเหลวหลิงเสินสำเร็จ


“เป็นข่าวดีถ้าเขาล้มเหลว เมื่อท่านประมุขประสบความสำเร็จในการพัฒนาขุมพลัง อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นสำนักแรกของภูมิภาคทางเหนือที่ถูกล้างบางแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นพวกมันจะเป็นหมาไร้บ้าน!” หัตถ์อีกสามคนแสดงสีหน้าเยือกเย็น


ทุกสำนักมองไปในทิศทางของมู่เฉิน เนื่องจากขวดดินเผาโบราณในมือมู่เฉินทรงพลังมากที่สุดและได้ดูดซับแก่นคลื่นหลิงบริสุทธิ์มากมาย แต่จากการพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนว่าการซึมซับพลังงานมากเกินไป กลับทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น


ไม่ไกลนักจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มองดูด้วยความกระวนกระวายใจในสายตา นั่นเพราะของเหลวหลิงเสินสำคัญสำหรับสำนักของพวกเขาใหญ่หลวงนัก


เผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ยังคงนิ่งเงียบ สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่ขวดดินเผาเบื้องหน้า มันยังคงดูดซับคลื่นหลิงจากทะเลสาบไม่จบ


ทว่าตอนนี้ น้ำในทะเลสาบกำลังจะหมดไป น้ำหยดสุดท้ายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะเข้าไปในขวดดินเผานั้น…


เมื่อน้ำหยดสุดท้ายในทะเลสาบถูกดูดกลืนหมด ขวดดินเผาก็ยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ


หัตถ์ทั้งสี่แห่งหมู่ตึกเทวะเผยความยินดีในสายตาเมื่อเห็นภาพนี้ เด็กโง่นั่นล้มเหลวจริงๆ ใช่ไหม?!


“ครืน!”


แต่ขณะที่พวกเขากำลังเฉลิมฉลองในใจ เสียงดังกึกก้องก็ระเบิดในมิตินี้ หัวใจของทุกคนโลดขึ้น พวกเขารีบเงยหน้าขึ้นมองไปทางมู่เฉิน ก็เห็นขวดดินเผาโบราณที่นิ่งเงียบเป็นเวลานานก็เกิดเกลียวสายฟ้าทองคำพุ่งออกมาฉีกขาดฟ้าดิน ราวกับมังกรทองปลดปล่อยความกดดันทรงพลังอย่างยิ่งออกมา


สายฟ้าทองคำพุ่งออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แสงสีทองรวมตัวกันอย่างป่าเถื่อนที่ปากขวดดินเผา หมอกสีทองกระเพื่อมก่อตัวเป็นรูปร่างทารกสีทองโดยมีแรงสั่นสะเทือนบางจางเปล่งออกมา


ตึง!


อัตราการเต้นแผ่วเบามาก แต่เมื่อเสียงเบาดังสะท้อนออกมา ทั้งมิติก็เหมือนจะสั่นสะเทือน


ทุกคนตะลึงกับภาพนี้ จากนั้นความอิจฉาก็พล่านในสายตา กระทั่งคนปัญญาอ่อนยังบอกได้ว่าของเหลวหลิงเสินที่มู่เฉินกลั่นออกมาได้ไม่ธรรมดา


รอยยิ้มบนใบหน้าของหัตถ์ทั้งสี่แข็งค้างจากนั้นสีหน้าก็เขียวคล้ำ ดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปที่มู่เฉินราวกับปรารถนาที่จะฉีกร่างมู่เฉินเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


ฟิ้ว!


จอมพลทั้งสามของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เหินตัวผ่านกองทหารหิน ปรากฏตัวรอบร่างมู่เฉิน คลื่นหลิงทรงพลังกำจายออกมาเพื่อปกป้องชายหนุ่มเอาไว้


เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าของเหลวหลิงเสินนี้ทรงพลังเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเข้ามาปกป้องมู่เฉินเพราะกลัวว่าจะมีคนไม่สามารถระงับความอิจฉาของตนเองไว้ได้จนลงมือแย่งชิง


ฟู่!


มู่เฉินก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาเหยียดมือออกคว้าขวดดินเผาโบราณ หลังจากความพยายามอันขมขื่น ในที่สุดเขาก็กลั่นของเหลวหลิงเสินสำเร็จ


ปัง!


เมื่อขวดเข้ามาในมือของเขา กองทหารหินรอบมู่เฉินก็พังทลายกลายเป็นประกายแสงจางหายไป เห็นได้ชัดว่ากระดานเทพปฏิยุทธ์ถึงขีดจำกัด ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว


มู่เฉินก้มหน้าลงมองไปที่กระดานหินว่างเปล่าที่ไม่มีรูปปั้นอีกต่อไป ทำให้เขาถอนหายใจด้วยเสียดาย


“ฮ่าๆ มู่เฉิน เจ้าทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในครั้งนี้ ท่านประมุขจะต้องมอบรางวัลให้แน่นอน ถึงตอนนั้นอาจไม่ใช่แค่กระดานเทพปฏิยุทธ์แล้ว” ซุยนอนพูดด้วยรอยยิ้มขณะหรี่ตาลง


มู่เฉินยิ้มกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาไม่ได้ใส่ใจกับรางวัลมากนักเนื่องจากมั่นถัวหลัวให้การปกป้องเขามากมายนับตั้งแต่มาอยู่ในภูมิภาคทางเหนือ ซ้ำนางยังช่วยชี้แนะเขาอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงพยายามเต็มที่เพื่อชิงชัยของเหลวหลิงเสินมา ตัวเขาไม่ได้คาดหวังรางวัลเหมือนผู้บัญชาการคนอื่นมากนัก


“ไปเถอะ พวกเราออกไปจากที่นี่ มอบของนี้ให้กับท่านประมุขกัน!”


จอมพลทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นกำมือ ตราหยกก็ปรากฏในมือ พวกเขาบดขยี้ทันที นี่เป็นการส่งสัญญาณให้แก่มั่นถัวหลัวเพื่อบอกว่าพวกเขาทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว


ในเวลาเดียวกันสำนักอื่นๆ ก็ดึงของที่ใช้ติดต่อออกมา แสงระเบิดพร่างพราวในทันที


ไม่นานหลังจากที่พวกเขาบดขยี้ ปราการรอบเกาะก็สั่นไหว รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้น


“เตรียมตัวไป!” ซุยนอนเรียกสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์มารวมตัวกันก่อนจะออกคำสั่ง


มู่เฉินเงยหน้ามองรอยแตกที่ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหายใจลึก มือกำขวดดินเผาแน่น แม้ว่าจะได้รับของเหลวหลิงเสินแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามั่นถัวหลัวจะสามารถใช้สิ่งนี้ในการบรรลุขุมพลังได้หรือไม่


ในที่สุดสงครามการล่าก็มาถึงตอนสำคัญที่สุดแล้ว


บทที่ 948 ของเหลวหลิงเสินสมบูรณ์แบบ

ขอบฟ้าไร้พรมแดนเหนือมหาสมุทรเกาะหินลอย


มีปราการชั้นหนากั้นกางปกคลุมทั่วเกาะ ซึ่งไม่มีใครสามารถมองเข้าไปภายในได้


ระลอกคลื่นพลิ้วไหวบนปราการที่ทนทาน รอยแตกเริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนพื้นผิวของปราการ


รอยแตกนี้เกิดจากคลื่นพลังของหกประมุข หลังจากได้รับสัญญาณจากผู้ใต้บังคับัญชา พวกเขาก็ร่วมมือกันเพื่อฉีกเปิดรอยร้าวทันที


คราวนี้พวกเขาไม่ได้สร้างรอยร้าวของใครของมัน แต่ช่วยประสานพลังกัน ซึ่งวิธีนี้ง่ายกว่าครั้งก่อนมาก


ฟิ้ว!


เมื่อรอยแตกปรากฏขึ้น ความวุ่นวายที่มาจากในรอยแตกและลำแสงก็ยิงออกมาอย่างรวดเร็วจากปราการราวกับสายฟ้าฟาด


ครืน!


ขณะที่ลำแสงเหล่านั้นพุ่งออกมา หุ่นเงาก็ส่งเสียงอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมกับแรงกดดันน่ากลัวเกิดขึ้นในดวงตา ชัดว่าขณะที่มองไปยังร่างเหล่านั้นก็สัมผัสได้ถึงแก่นคลื่นหลิงของตน


ปัง!


แต่คราวนี้ก่อนที่หุ่นเงาจะเคลื่อนไหว หกประมุขก็เคลื่อนไหวก่อนในทันที ฝ่ามือขนาดใหญ่ทั้งหกซัดลงมาจากฟากฟ้า ปะทะกับร่างหุ่นเงาหนักหน่วง


เมื่อออกกระบวนท่าซัดเข้าหาหุ่นเงา ประมุขทั้งหกก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงหกสายกวาดผ่านท้องฟ้า ก่อนที่จะโอบล้อมผู้ใต้บังคับบัญชาและจากไปอย่างรวดเร็ว


ในเวลาสิบกว่าลมหายใจ จอมยุทธ์แต่ละสำนักก็หนีไปได้หลายหมื่นจั้งภายใต้การคุ้มครองของประมุขพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาจากไป หุ่นเงาก็ไม่สามารถไล่ตามไปได้เนื่องจากถูกจำกัดพื้นที่ให้ปกป้องเกาะหินไว้เท่านั้น ขณะมองร่างเงาที่อยู่ไกลออกไป มันก็ได้แต่ปล่อยเสียงคำรามคั่งแค้น ก่อนที่จะลดศีรษะลงมองกลุ่มสุดท้ายที่กำลังพยายามหนี


นี่คือสมาชิกหมู่ตึกเทวะ เนื่องจากไม่มีประมุขปกป้อง ชัดว่าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนไหนยื่นมือมาช่วยพวกเขา


ผู้นำยามนี้คือหัตถ์ทั้งสี่ เมื่อพวกเขารู้สึกถึงการจ้องมองอย่างบ้าคลั่งของหุ่นเงาที่พุ่งมา พวกเขาก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด


แม้ว่าพวกเขาทั้งสี่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นสูงในหมู่ตึกเทวะที่ด้อยกว่าประมุขคนเดียว ทว่าพวกเขาก็อ่อนแอเหมือนมดต่อหน้าหุ่นวิญญาณจอมพลสี่ที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหกคนรวมพลังกันก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้


แสงกะพริบวาบในดวงตากลวงโบ๋ของหุ่นเงา จากนั้นมันก็เคลื่อนไหว ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งพรวดออกมาจากฝ่ามือราวกับเชือกพันธนาการมังกร จากนั้นก็ปรากฏเหนือท้องฟ้าบริเวณของสมาชิกหมู่ตึกเทวะก่อนจะกวาดลงมา ความน่าสะพรึงกลัวทำให้พื้นที่แข็งค้างทันที ผนึกพวกหมู่ตึกเทวะเอาไว้ที่นั่น


หัตถ์ทั้งสี่เผยความหวาดผวาบนใบหน้า เมื่อพวกเขาเห็นหุ่นเงาทะยานเข้ามา คลื่นหลิงระเบิดออกมาไร้จำกัด ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับลำแสงที่บีบอัดลงมาได้


ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยิ่งใหญ่เกินไป


สมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซึ่งมั่นถัวหลัวพาออกไปก็อดเดาะลิ้นไม่ได้เมื่อเห็นภาพนี้ หุ่นเงาน่าสะพรึงกลัวจริงๆ แค่ฝ่ามือเดียวก็ทำให้หมู่ตึกเทวะตกอยู่ในอันตรายแล้ว


“ตึง!”


แต่ขณะที่ทุกคนคิดว่าจอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะจะต้องทนทุกข์ใหญ่หลวงแน่ มหาสมุทรเบื้องล่างก็ส่งเสียงครางกระหึ่ม คลื่นดันตัวขึ้นมามากมาย ริ้วแสงพุ่งออกมาก่อร่างเป็นกำแพงแสงล้อมรอบสมาชิกหมู่ตึกเทวะเอาไว้


ปัง! ปัง!


เมื่อลำแสงกระแทกลงบนกำแพงแสง เสียงดังกึกก้องและระลอกคลื่นก็กระเพื่อมไหว ทว่าก็ไม่สามารถทำลายกำแพงแสงได้ กำแพงแสงปกป้องพวกหมู่ตึกเทวะไว้แล้วออกห่างไปหลายหมื่นจั้งในพริบตา


หลังจากเดินอยู่บนปากเหวความตาย ก็ทำเอาหัตถ์ทั้งสี่รู้สึกว่าขาอ่อน เหงื่อเย็นชุ่มโชกอยู่ที่ด้านหลัง


มิติกระเพื่อมที่เบื้องหน้า ร่างเงาหนึ่งก็ย่างกรายออกมา ชายผู้นี้ปลดปล่อยรัศมีเชี่ยวกราก สองมือไพล่หลังทำให้แม้แต่ฟ้าดินก็ดูหวาดกลัวเมื่อเขาการปรากฏตัวขึ้น นี่เป็นใครไม่ได้นอกจากประมุขหมู่ตึกเทวะ


“ขอบคุณท่านประมุขที่ช่วยเหลือ!” พวกหมู่ตึกเทวะมองไปที่ร่างสง่างามก็โค้งคำนับให้อย่างเคารพ


“น่าเสียดายนัก” เมื่อเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เห็นฉากนี้ พวกเขาส่ายหัวอย่างเสียดาย ประมุขหมู่ตึกเทวะเคลื่อนไหวในช่วงวินาทีสุดท้ายพอดิบพอดี


ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวหรี่ลงเล็กน้อย ขณะมองไปที่ประมุขหมู่ตึกเทวะ อีกฝ่ายไม่ได้ดูแตกต่างจากก่อนหน้า นอกจากนี้คลื่นหลิงที่อยู่รอบตัวก็สงบลงมาก เขาฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากหุ่นเงาทั้งหมดแล้ว


“เจ้านั่น…”


แต่จากสัญชาตญาณมั่นถัวหลัวก็อดมุ่นคิ้วไม่ได้ เนื่องจากนางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ทว่านางไม่สามารถระบุสาเหตุได้ ก่อนจะส่ายหัวดึงความสนใจกลับไปยังสิ่งที่สำคัญที่สุดในมือ ม่านตาสีทองคำมองไปที่สมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์พูดว่า “แล้วของเหลวหลิงเสินล่ะ? ใครได้รับไป?”


ขณะที่พูดถึงของเหลวนี้ แม้แต่คนใจเย็นอย่างมั่นถัวหลัวยังเกิดริ้วกระเพื่อมในดวงตา ชัดว่านางให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง


จอมพลทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากันก็ยิ้มแล้วมองไปที่มู่เฉิน


มู่เฉินพลิกมือ ขวดดินเผาโบราณก็ปรากฏในมือพร้อมกับแสงสีทองแผ่ซ่านจากปากขวดย้อมสีขอบฟ้าเป็นสีทองคำ เกลียวแสงสีทองลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ


เวลานี้ทุกคนก็ได้ที่เห็นรูปทรงของของเหลวหลิงเสินซึ่งกลั่นโดยมู่เฉินอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายก็คือสิ่งที่เรียกว่าของเหลวหลิงเสินกลับไม่ได้อยู่ในรูปของเหลว


แสงสีทองควบแน่นเป็นประกายแวววาวอยู่ในรูปตัวอ่อนขนาดฝ่ามือ ตัวอ่อนนี้เต็มไปด้วยอักขระโบราณ มีสัญญาณชีพจรจางๆ กำจายออกมาราวกับว่ามีชีวิต


เมื่อสิ่งนี้เผยออกมาทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงในมิติโดยรอบหนาแน่นขึ้นหลายส่วน แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาก็หมุนเวียนเร็วขึ้นเมื่อสูดหายใจเข้าไป


แม้แต่เหล่าจอมพลยังไม่กล้าดูดซับคลื่นพลังหลิงเช่นนี้ สำหรับพวกเขาหากดูดซับเข้าไปโดยประมาท มันก็ราวกับของมีพิษ


“ของเหลวหลิงเสินแท้จริงมีลักษณะเช่นนี้เหรอ?” คนอื่นมองของเหลวหลิงเสินที่เบื้องหน้าสายตาก็อดอุทานออกมาไม่ได้


“นี่มัน… ของเหลวหลิงเสินสมบูรณ์แบบ!”


เมื่อตัวอ่อนสีทองคำของของเหลวหลิงเสินปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ดวงตาของมั่นถัวหลัวก็เบิกกว้าง ร่องรอยแห่งความอัศจรรย์ใจฉาบบนใบหน้าของนางทันทีที่อุทานขึ้น


ไม่แปลกใจที่นางจะตกตะลึงไป ในสงครามล่าครั้งก่อนๆ แม้ว่าจะมีหลายกรณีที่ได้รับของเหลวหลิงเสิน แต่จำนวนครั้งที่ได้รับของเหลวสมบูรณ์แบบก็นับได้ด้วยมือข้างเดียวเท่านั้น


นางไม่คิดเลยว่าหลังจากส่งผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าสู่เกาะหิน พวกเขาจะนำของเหลวสมบูรณ์แบบกลับมาให้นาง!


ซุยนอนมองไปที่มั่นถัวหลัวที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ยิ้มบาง “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณมู่เฉิน หากไม่ใช่เพราะเขาคว้าวัตถุที่ดีที่สุดและต่อสู้เต็มกำลังกับหัตถ์ใต้ กระทั่งตัวข้าเองยังเกรงว่าเราจะได้รับของเหลวเสินหลิงธรรมดาเท่านั้น…”


มั่นถัวหลัวสงบใจลงขณะที่มองมู่เฉิน “ข้าจะจำไว้”


นางไม่ได้พูดอะไรมาก มอบคำพูดเรียบง่ายให้กับเขา แต่มู่เฉินเข้าใจนิสัยของนางและรู้ว่านี่หมายถึงอะไร


นอกจากนี้เขาสามารถบอกได้จากคำพูดของนาง มั่นถัวหลัวไม่ได้มองเขาเป็นผู้ใต้บัญชาการ เพราะถ้าเป็นคนอื่นที่ทำสิ่งเดียวกันกับมู่เฉินบางทีนางอาจจะให้การตอบแทนจำนวนมากกับพวกเขา แต่นางไม่ได้สัญญาจะให้การตอบแทนกับมู่เฉิน บางทีตั้งแต่เริ่มต้นนางวางตัวไว้ในระดับเดียวกับมู่เฉิน แม้ว่านางจะแข็งแกร่งกว่าเขามากก็ตาม…


มู่เฉินยิ้มให้มั่นถัวหลัว แต่ก็ไม่พูดอะไร เขาสะบัดนิ้วตัวอ่อนสีทองก็ถูกส่งไปให้มั่นถัวหลัว


มั่นถัวหลัวเหยียดมือจับของเหลวหลิงเสินแน่น ขณะที่ปลายนิ้วสัมผัสนางก็รู้สึกได้ถึงไอริษยาที่ยิงเข้าใส่จากหลายทิศทาง


สายตาเหล่านั้นมาจากประมุขคนอื่น ชัดว่าพวกเขารู้สึกได้ว่าของเหลวในมือนางทรงพลังเพียงใด


ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังเฉลิมฉลอง ทางด้านหมู่ตึกเทวะก็เงียบกริบจนน่ากลัว นั่นเป็นเพราะประมุขของพวกเขากำลังกำเม็ดสีทองซึ่งเป็นของเหลวหลิงเสินที่ได้รับการกลั่นมา แต่เปรียบเทียบแล้วแสดงให้เห็นว่าเม็ดสีทองนี้ด้อยกว่าตัวอ่อนในมือมั่นถัวหลัวอย่างแท้จริง


“ท่านประมุขทุกอย่างเกิดจากไอ้บ้ามู่เฉินคนเดียว!” หัตถ์ใต้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยขึ้น


“มู่เฉินเรอะ…”


ประมุขหมู่ตึกเทวะหรี่ตา จากนั้นก็ยิ้ม “ไม่ต้องห่วง แม้ว่ามั่นถัวหลัวจะได้รับของเหลวหลิงเสินสมบูรณ์แบบ แต่ใช่ว่านางจะมีพัฒนาการได้สำเร็จ เพราะข้าล้ำหน้านางไปอยู่แล้ว…”


“อยากแข่งเพื่อดูว่าใครจะบรรลุระดับตี้จุนขั้นปลายได้ก่อนรึ?”


ประมุขหมู่ตึกเทวะเค้นเสียงเย็น เปลวไฟแห่งความทะเยอทะยานพลุ่งพล่านในดวงตา ขณะที่เขายิ้มพึมพำเบาๆ “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นเจ้าเหนือหัวที่แท้จริงของภูมิภาคทางหนือ…”


พูดจบเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป มือเหวี่ยงเม็ดสีทองเข้าไปในปาก เวลาเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวก่อตัวเป็นกำแพงล้อมรอบสมาชิกหมู่ตึกเทวะไว้ ส่วนเขาก็นั่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกำแพงแสง


ในเวลาเดียวกันเมื่อประมุขหมู่ตึกเทวะกินของเหลวหลิงเสินไป คนอื่นๆ ที่ได้รับก็กลืนลงไปทันทีหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงหลากหลายในสายตา


“ปกป้องข้าขณะที่เพาะบ่มพลัง”


มั่นถัวหลัวก็พูดเบาๆ นางไม่ลังเลอีกต่อไป โยนของเหลวหลิงเสินรูปตัวอ่อนสีทองคำเข้าไปในปาก แสงสีทองคลี่บานโอบร่างนางไว้


มู่เฉินและคนอื่นๆ ยืนอยู่ข้างหลังมองไปทั้งหกทิศทางที่มีแสงส่องสว่าง เห็นได้ชัดว่าประมุขอีกหกคนเลือกที่จะพยายามโจมตีขุมพลังด้วยความช่วยเหลือจากของเหลวหลิงเสินด้วยเช่นกัน…


หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการพัฒนา ก็จะทำให้เกิดความวุ่นวายในภูมิภาคทางเหนืออย่างแน่นอน!


ตอนนี้หัวใจทุกคนโลดขึ้น เพราะนี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่เริ่มสงครามล่ามา!


มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน แววตากลายเคร่งขรึม หากประมุขหมู่ตึกเทวะประสบความสำเร็จ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะกลายเป็นหมาจนตรอกแน่นอน!


บทที่ 949 ความกังวลใจ

เหนือมหาสมุทร


แต่ละสำนักถอยห่างออกไปคนละทิศทาง ก่อนที่แสงจะส่องประกายระยิบระยับ ทำให้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยสีสัน


ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินและคนอื่น ๆ ก็อุทานด้วยความประหลาดใจกับฉากนี้ ภาพน่าตื่นตาของเจ็ดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่เพาะบ่มขุมพลังไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเห็นได้


พวกเขาดึงสายตากลับ ภาพแสงสีม่วงแผ่ซ่านที่เบื้องหน้า ตรงจุดศูนย์กลางของรัศมีแสงสีม่วงมองเห็นเงาร่างเล็กบางอยู่ในนั้น


แม้ว่ามั่นถัวหลัวจะไม่ได้ตั้งใจปล่อยแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากตัวเองออกมา แต่คลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวเมื่อนางเข้าสู่สมาธิเพื่อเพาะบ่มก็เปล่งแรงกดดันน่าขนพองสยองเกล้าออกมาจนทำให้จอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ทุกคนหนังหัวชาหนึบ


มิหนำซ้ำยังมีแสงที่คล้ายกันหกสายพล่านบนท้องฟ้าอีกด้วย!


ยิ่งกว่านั้นเมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็สามารถรู้สึกว่าแสงทั้งเจ็ดขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้บริเวณที่แสงพาดผ่านเกิดการบิดเบือน เห็นได้ชัดเจนว่าไม่สามารถต้านทานแรงกดดันนั้นได้


สมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่อยู่ไม่ไกลจากมั่นถัวหลัวก็ต้องเริ่มถอยออกไป มิฉะนั้นพวกเขาจะเคลื่อนไหวไม่ได้หากถูกแสงสีม่วงห่อหุ้มเอาไว้


“การฝึกฝนแบบนี้กลืนกินฟ้าดินอย่างแท้จริง…” จิ่วโยวอดถอนหายใจไม่ได้เมื่อมองฉากตระการตาพร้อมกับความคาดหวังวูบไหวในดวงตา


ในมหาพันภพ ถ้าจอมยุทธ์คนใดสามารถก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนก็นับเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว ส่วนระดับตี้จื้อจุนถือว่าเป็นราชันแท้จริง ด้วยพลังนี้พวกเขาสามารถเข้าสู่ตำแหน่งสูงของขั้วอำนาจชั้นนำในมหาพันภพได้เลยทีเดียว


นี่เป็นระดับที่ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนปรารถนา แม้แต่จิ่วโยวก็เช่นกัน


“สักวันหนึ่งเจ้าจะไปถึงระดับนั่นแน่” มู่เฉินที่ยืนข้างจิ่วโยวก็ยิ้มบาง


จิ่วโยวยิ้ม จากนั้นเอียงหัวเล็กน้อยมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาแปลกประหลาด ในเวลาสองปีสั้นๆ ที่เขาเข้ามาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดูเหมือนเขาจะสูงขึ้นมาหน่อย ย้อนกลับไปตอนที่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง มู่เฉินยังเป็นชายหนุ่มไม่โตเต็มที่ แต่ตอนนี้ภาพนั้นถูกชะล้างออกไปจากการต่อสู้โหดร้ายที่ผ่านเข้ามาในประสบการณ์ชีวิต


เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเติบโตขึ้นมากในเวลาไม่ถึงสองปี ซึ่งทำให้จิ่วโยวเกิดริ้วอารมณ์แปลกๆ ในใจ ราวกับว่านางได้เห็นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของลูกชายตัวน้อย ที่ครั้งหนึ่งนางต้องปกป้องเขามากกว่าตัวเอง ซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกพึงพอใจ


“มีอะไรเหรอ?” มู่เฉินรับรู้ถึงการจ้องมองของจิ่วโยวก็อึ้งไปพลางยิ้ม


“ตอนนี้ข้าก็คงไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้แล้ว”


รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์โค้งขึ้นบนใบหน้าของจิ่วโยว “นึกย้อนกลับไปตอนที่เราออกจากสำนึกศึกษาเป่ยชาง เจ้ายังเป็นแมลงตัวจ้อยที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่แม้กระทั่งชำระร่างเทห์สวรรค์…”


แต่ตอนนี้ชื่อของเจ้าแมลงน้อยดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือแล้ว จิ่วโยวจะไม่แปลกใจเลยถ้าหลังจากสงครามล่าจบลง หากพวกเขายังอยู่ในภูมิภาคทางเหนือชื่อเสียงของมู่เฉินจะเกินกว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ณ ดินแดนแห่งนี้ทุกคนแน่นอน จนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์รุ่นเก่ายังรู้สึกกลัวเขา


“เกือบสองปีแล้วเนอะ…”


มู่เฉินถอนหายใจ ในเวลาสองปีเขาเติบโตขึ้นจากการจอมยุทธ์ที่ไม่ได้ชำระร่างเทห์สวรรค์เข้าสู่ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า มิหนำซ้ำยังมากจนสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดด้วยการช่วยเหลือของพลังรัศมีจั้นยี่ พัฒนาการดังกล่าวทำให้คนอื่นถอนหายใจด้วยความชื่นชม แต่มู่เฉินไม่ได้พอใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเขารู้ว่านี่ยังห่างไกลจากจุดที่เขาต้องการ…


นั่นเพราะย้อนกลับไปในสวนเขียวชอุ่มอบอุ่นที่สำนักศึกษาเป่ยชาง เขาได้ให้คำมั่นกับหญิงสาวคนรักว่าเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์ในมหาพันภพนี้…


ตอนนี้แม้เขาเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน แต่ก็ยังห่างไกลจากการเป็น ‘ยอดยุทธ์’ เหล่านั้น


หลังจากได้เห็นพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน เขาก็รู้ดีว่าระดับนั้นน่ากลัวเพียงใด ตระกูลลั่วเสินที่ลั่วหลีอยู่นั้นอันตรายยิ่งกว่าภูมิภาคทางเหนือนี้ไม่รู้กี่ขุม


พลังที่ลั่วเทียนเสินครอบครองก็ทรงพลังยิ่งกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่มีอยู่ที่นี่!


ถ้าเขาต้องการไปที่ตระกูลลั่วเสิน อย่างน้อยเขาจะต้องมีพลังที่ไม่เกรงกลัวลั่วเทียนเสิน นั่นเป็นเพราะเมื่อก้าวไปถึงขั้นนั้น เขาถึงจะสามารถยืนเบื้องหน้าคนรักจอมดื้อปกป้องพายุที่โหมกระหน่ำเข้าใส่นาง…


เพียงแค่จุดนั้นยังอยู่ไกลอีกมาก


มู่เฉินกำหมัดแน่นช้าๆ ความเด็ดเดี่ยวปรากฏบนใบหน้า ความยากลำบากตลอดทางไม่เพียงแต่จะไม่ขัดขวางเส้นทางเป็นหนึ่งของเขา แต่ยังเป็นก้อนหินที่ช่วยฝึกให้จิตใจเขามุ่งมั่นมากขึ้น


แม้เส้นทางของเขาเต็มไปด้วยอันตราย ต้องเดินเฉียดปากเหวนรกไม่รู้กี่ครั้ง แต่เขาเชื่อว่าบางทีคนอื่นอาจมองว่าคำพูดของเขาที่จะกลายเป็นยอดยุทธ์เป็นเรื่องตลก ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นคนรักของเขาก็เชื่อมั่นในตัวเขาเสมอ… มากจนกระทั่งตัวเขาเองยังไม่เชื่อมั่นขนาดนี้…ว่าวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์แล้วไปปรากฏตัวต่อหน้านาง


ฮา


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นสูดอากาศเย็นเข้าไปลึกดับความวุ่นวายใจให้สงบลง ทว่ารอยยิ้มที่มุมปากเหมือนจะมั่นใจและแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม


ลั่วหลีรอข้านะ


เมื่อจิ่วโยวเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาของมู่เฉินก็รู้ว่าเขาคืนความมั่นใจให้ตนเองแล้ว นางยิ้มบาง คงมีแต่ลั่วหลีที่สามารถทำให้เกิดระลอกคลื่นในใจเขาได้


“หลังจากสงครามครั้งนี้ ข้าคงต้องไปที่อื่นระยะหนึ่ง” จิ่วโยวยกมือขึ้นปัดผมม้าบนหน้าผาก จากนั้นนางก็พูดหลังจากคิดครู่หนึ่ง


มู่เฉินอึ้งก่อนที่จะถามว่า “จะไปไหนรึ?”


“ข้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกแล้วและพัฒนาเป็นวิหคอนธโลกันตร์ ข้าต้องกลับไปที่เผ่าเพื่อดูว่าสามารถจุดชนวนการสืบทอดสายเลือดได้ไหม…” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินก็ยิ้ม “ถ้าข้าประสบความสำเร็จ พลังจะได้รับการยกระดับเพิ่มพูนอย่างมาก เวลานั้นเจ้าจะถูกข้าทิ้งไว้ข้างหลังอีกแล้วนะ”


มู่เฉินจ้องไปที่ใบหน้ามีเสน่ห์ของจิ่วโยว แม้ว่านางจะยิ้มแต่ด้วยความเข้าใจที่มีต่อตัวนาง เขาสามารถบอกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติในรอยยิ้มนั่น


ดูเหมือนจะมีความกังวลซ่อนอยู่ลึกๆ


“มีอันตรายอะไรในการจุดชนวนการสืบทอดสายเลือดเหรอ? หรือมีอะไรอื่นอีก?” มู่เฉินถามเบาๆ


จิ่วโยวอึ้งไป นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของนาง นางเม้มริมฝีปากส่ายหัวเบาๆ


มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวหัวใจก็สั่นไหวเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “เป็นเพราะ…พันธะโลหิตระหว่างเรารึ?”


ถ้าจิ่วโยวต้องการจุดชนวนสายเลือด ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ว่าสายเลือดของนางจะได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้นพันธะโลหิตระหว่างนางกับเขาจะถูกสังเกตได้ง่าย ถึงจิ่วโยวจะไม่สนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนในเผ่าของนางจะไม่สนใจ


วิหคอนธโลกันตร์ทรงพลังและอยู่ในอันดับต้นของเทพอสูร หากนางมีวิวัฒนาการอีกครั้งนางจะกลายเป็นมหาเทพอสูร ซึ่งร่างเปรียบเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริงในมหาพันภพ


ด้วยพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและการเป็นอัจฉริยะที่หายากในเผ่าพันธุ์ของจิ่วโยว คนในเผ่าจะต้องคาดหวังสูงสำหรับตัวนางมาก หากพวกเขารู้ว่านางสร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น พวกเขาจะต้องคลั่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคลี่คลายแน่นอน


จิ่วโยวกัดฟันแน่นแล้วส่งยิ้มให้กับมู่เฉินพลางเอ่ยอย่างตั้งมั่นว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ปล่อยให้พวกเขาแตะต้องเจ้าแน่!”


คิ้วของมู่เฉินขมวดแน่น เขารู้อยู่แล้วว่าต้องมีปัญหาบางอย่างเนื่องจากพันธะโลหิตของเขากับจิ่วโยว ซึ่งเรื่องกำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้านี้


“พี่ใหญ่จิ่วโยว ข้าขอบคุณสำหรับการปกป้องของเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา… แต่เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นมาจากข้า ดังนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าเผชิญหน้าลำพังเด็ดขาด” มู่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึก


จิ่วโยวอึ้งไป ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉิน นางเห็นความเด็ดเดี่ยวในสายตาของเขาและใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ฉายความมั่นใจในตนเองที่ทำให้จิตใจของผู้อื่นสงบลง


สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ในใจ จิ่วโยวก็อดรู้สึกถึงความพึงพอใจไม่ได้ มู่เฉินในปัจจุบันไม่ได้เป็นเด็กน้อยไร้ประสบการณ์อีกแล้ว บางครั้งนางยังเกิดความมั่นใจมากขึ้นเพราะเขาอีกต่างหาก


ช่วงเวลาสองปีหลังจากที่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง หนุ่มน้อยคนนี้ก็เติบโตขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว…


จิ่วโยวพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก คิ้วที่มุ่นกันผ่อนคลายมากขึ้น


มู่เฉินยิ้ม จากนั้นเมื่อจิ่วโยวขยับสายตาออกไป สีหน้าเขาถึงได้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขารู้ว่าปัญหานี้ลำบากแค่ไหน


แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะกังวล เรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้คือผ่านตรงนี้ไปให้ได้ก่อน ถ้ามั่นถัวหลัวไม่สามารถบรรลุและปล่อยให้ประมุขหมู่ตึกเทวะทำเช่นนั้นได้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาถูกซัดกระหน่ำอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นสุนัขไร้บ้าน


ในการเผชิญหน้ากับเผ่าวิหคโลกันตร์ มั่นถัวหลัวจะกลายเป็นหนึ่งในคนสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา แต่ถ้านางไม่สามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้ มู่เฉินก็จะไม่มีภูมิหลังให้พูดคุยกับเผ่าวิหคโลกันตร์ ถึงตอนนั้นคงต้องหาวิธีอื่น


ดังนั้นมู่เฉินได้แต่ภาวนาว่ามั่นถัวหลัวจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาขุมพลังหลังจากใช้ของเหลวหลิงเสินสมบูรณ์แบบนี่!


สายตาของมู่เฉินทะลุผ่านแสงสีม่วงที่มีร่างเงาเล็กๆ นั่งอยู่ข้างในอย่างเงียบๆ ขณะที่คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวส่งเสียงครางกระหึ่มออกมาจากร่างนาง


“มั่นถัวหลัว… เจ้าต้องทำให้สำเร็จนะ…”


บทที่ 950 ครึ่งก้าวบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย

กลุ่มแสงเจ็ดสียิ่งใหญ่ครอบคลุมไปทั่ว


แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวถูกปล่อยออกมา แม้แต่มิติก็ส่งสัญญาณบิดเบี้ยว


พร้อมกับการเพาะบ่มของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดที่ดำเนินไปเรื่อยๆ ความกดดันที่เล็ดลอดมาจากพวกเขาก็ยิ่งมีพลังทบทวีคูณจนสุดท้ายประมุขทั้งเจ็ดไม่คิดควบคุมไว้อีก ทำให้แรงกดดันแพร่กระจายไปทั่วมิติ บีบให้จอมยุทธ์ที่อยู่ในพื้นที่ต้องถอยออกไปหลายหมื่นจั้ง…


ทุกคนไม่มีความคิดที่จะต่อสู้กันแล้ว เนื่องจากตอนนี้พวกเขามุ่งความสนใจไปที่แสงทั้งเจ็ดกลุ่มที่ไร้ขอบเขต นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ชัดว่าในเมื่อสถานการณ์ดำเนินมาไกลขนาดนี้ การต่อสู้ของตนก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ผลสุดท้ายของภูมิภาคทางเหนืออยู่ในอุ้งมือของจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดคนนี้เท่านั้น


เหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์แลกเปลี่ยนสายตากัน สามารถมองเห็นความวิตกกังวลของกันและกันได้ เวลานี้แม้แต่คนที่มีสงบนิ่งแบบมู่เฉินก็ยังฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ


ในเดิมพันระดับนี้ ถ้ามั่นถัวหลัวล้มเหลว พวกเขาก็ต้องเผชิญกับการทำลายล้าง และความล้มเหลวของมั่นถัวหลัวจะทำให้พวกเขากลายเป็นสุนัขไร้บ้าน ถึงตอนนั้นอาจจะต้องหนีตายจากภูมิภาคทางเหนือเพื่อค้นหาสถานที่แห่งใหม่


ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่อยากจะเห็น จุดประสงค์ของเขาที่มาภูมิภาคทางเหนือก็คือวังสวรรค์บรรพกาลที่จะช่วยให้เขายกระดับพัฒนาการร่างมหาเทพนิรันดร์ ซึ่งยากมากสำหรับเขาที่จะบรรลุด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจะต้องยืมพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ซึ่งหากสำนักนี้ถูกทำลายโดยหมู่ตึกเทวะ ความพยายามทั้งหมดของเขาในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็จะเป็นอากาศธาตุ


มู่เฉินจับจ้องที่เกลียวแสงสีม่วงก็อดกำกำปั้นของตนไม่ได้ มั่นถัวหลัว เจ้าต้องทำให้สำเร็จนะ…


ฮึ่ม!


ขณะที่มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ลำแสงขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้งก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในบริเวณที่บิดเบี้ยว ลำแสงนี้ราวกับเสาค้ำสวรรค์ทะลุผ่านมิติไป


การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทำให้สีหน้าของมู่เฉินและพรรคพวกเปลี่ยนแปลงรุนแรง พวกเขาเร้าคลื่นหลิงขึ้นไปในดวงตาและมองไปยังทิศที่เกิดการเคลื่อนไหว ร่างชายสูงวัยที่สวมชุดสีขาวปักลายดวงดาวอยู่ภายในลำแสงขนาดใหญ่พร้อมกับคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินรวมตัวกันที่เบื้องหลังเขาราวกับคลื่นยักษ์ ระลอกคลื่นเลือนรางกระเซ็นออกมา


“นั่นวั้นเซิ่ง…ประมุขยอดเขาหมื่นเทพ!” แสงหลิงส่องแวววับในม่านตาของหลิงถง ทะลุผ่านกระแสคลื่นหลิงเชี่ยวกรากจับจ้องไปที่ร่างเงาที่อยู่ภายใน ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น


“เขามีการยกระดับพลังขึ้น แต่ยังไม่ได้บรรลุ” ซุยนอนกล่าวขึ้น คลื่นพลังของวั้นเซิ่งได้มีพัฒนาการด้วยความช่วยเหลือของของเหลวหลิงเสิน แต่ยังไม่ถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย


เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี่ก็รู้สึกโล่งใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีเรื่องหมองใจมากมายกับยอดเขาหมื่นเทพ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากสมดุลนี้พังทลาย


ไม่นานหลังจากที่วั้นเซิ่งเพาะบ่มพลังแล้วเสร็จ ก็มีลำแสงอีกหลายสายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าภายในลำแสงแต่ละสายก็มีเงาร่างสาดแรงกดดันน่าขนพองสยองเกล้าออกมา ทำให้คลื่นหลิงในมิติถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น


“นั่นหลิ่วเทียนเต้า…ประมุขตำหนักสุดนภา เขามีพัฒนาการไม่น้อยเหมือนกัน…”


“นอกจากนี้ยังมีเยาตี้…ประมุขแดนปีศาจ วั้นตู๋เสอ…ประมุขตำหนักเจ้าอสรพิษ… โยวมิ่ง…ประมุขจวนยมโลก พวกเขาต่างดูดซับของเหลวหลิงเสินเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะมีคลื่นพลังเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่มีใครบรรลุขุมพลังไปได้!”


แสงกะพริบวาบอย่างรวดเร็วในสายตาของสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ขณะที่ริ้วความรู้สึกตกใจแทรกซึมภายใน ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องยากขนาดนี้ที่จะโจมตีระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตอนนี้จอมยุทธ์ทั้งห้าได้ล้มเหลวหมดแล้ว


บนท้องฟ้าประมุขทั้งห้าสำนักก็ขมวดคิ้วแน่น ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้น แต่ก็ช่วยไม่ได้ เนื่องจากทุกระยะของระดับตี้จื้อจุนห่างไกลกันมาก ซึ่งชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเติมเต็มช่องว่างได้


“ประมุขทั้งห้าเพาะบ่มพลังเสร็จแล้ว จากนี้เหลือแต่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์และหมู่ตึกเทวะ…” จอมยุทธ์จากทุกขั้วอำนาจอดไม่ได้ที่จะสอดส่ายสายตาไปยังกลุ่มแสงเจิดจรัสทั้งสอง มากจนกระทั่งประมุขที่ผ่านการเพาะบ่มเรียบร้อยยังมีแววตาเคร่งขรึมลงหลายส่วน นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งเจ็ด ประมุขหมู่ตึกเทวะและประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีโอกาสสูงสุดที่จะโจมตีขั้นดังกล่าวได้สำเร็จ


ประมุขหมู่ตึกเทวะมีคลื่นพลังไม่ไกลจากขั้นปลายอยู่แล้ว ส่วนมั่นถัวหลัวมีของเหลวหลิงเสินสมบูรณ์แบบ ทำให้นางมีโอกาสใช้เพื่อบรรลุสำเร็จยิ่งขึ้น


แต่ชัดว่าสุดท้ายไม่ว่าใครจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสำเร็จ สถานการณ์ในภูมิภาคทางเหนือก็จะเปลี่ยนไป


ภายใต้การรอคอยของทุกคน ในที่สุดการก็เกิดเคลื่อนไหวจากทั้งสอง เสียงฟ้าคำรนดังกึกก้องกระจายออกมาจากกลุ่มแสงเจิดจรัสทั้งสองกลุ่ม นั่นไม่ใช่เสียงฟ้าร้องแท้จริง แต่เป็นแรงเสียดทานระหว่างคลื่นหลิงที่ก่อให้เกิดเสียงสั่นสะเทือนโลกา


เมื่อคลื่นเสียงแปรปรวนกระจายก็ส่งผลโดยตรงทำให้คลื่นหลิงระเบิดออก เสียงอึกทึกดังทั่วมิติอย่างต่อเนื่อง กระทั่งจอมยุทธ์ที่ยื่นห่างออกไปไกลยังรู้สึกว่ากระแสเลือดและรัศมีในร่างกายกลิ้งไปมา หยดเลือดไหลซึมออกมาจากพื้นผิวของพวกเขา


ความปั่นป่วนนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก พวกเขารับรู้ได้ว่าความวุ่นวายที่เกิดจากประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์และประมุขหมู่ตึกเทวะยิ่งใหญ่กว่าประมุขทั้งห้าเสียอีก


หรือว่าทั้งสองคนบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้?


ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็มองไปยังประมุขทั้งห้า แม้พบว่าใบหน้าของพวกเขาจะเคร่งขรึม แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง ทุกคนถึงได้รู้สึกโล่งใจ ถ้าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์และประมุขหมู่ตึกเทวะประสบความสำเร็จทั้งคู่ พวกเขาทั้งห้าคงไม่สงบขนาดนี้แน่


ครืน!


เสียงดังก้องทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะกลายเป็นภาพน่าตื่นตาตื่นใจที่ทำให้ผู้คนตกใจ เมื่อเสียงดังไปถึงขีดสุด พายุฟ้าคะนองก็กระหน่ำลงมาในบริเวณนี้ นั่นไม่ใช่ฝนธรรมดาแต่เป็นฝนหลิงที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า


เมื่อพวกมู่เฉินเห็นภาพประหลาดนี้ พวกเขาก็อดเดาะลิ้นไม่ได้ นี่คือพลังระดับตี้จื้อจุนหรือ? แค่การเพาะบ่มพลังก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศเพียงนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อมาก


ซ่า!


ฝนตกลงมาจากทุกทิศทุกทาง แต่ฝนหลิงก็ไม่ได้สูญสลายกลับรวมตัวกันอย่างรวดเร็วเป็นเสาคลื่นหลิงเมื่อไหลผ่านครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า ก่อนที่จะหลั่งรินลงไปในกลุ่มแสงเจิดจรัสทั้งสอง…


ในกลุ่มแสงนั่นทั้งสองจอมยุทธ์เปิดปากราวกับวาฬสูบน้ำ เสาคลื่นหลิงบริสุทธิ์ถูกดูดเข้าไปในปาก


กระบวนการนี้ใช้เวลาสิบกว่านาที ก่อนที่ฉากแปลกประหลาดจะหายไปอย่างช้าๆ


แสงน่าตกตะลึงเริ่มหดตัวลง ร่างเงาทั้งสองก็ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนในสายตากังวลของทุกคน


มั่นถัวหลัวยังคงสวมชุดดำ ไม่มีร่องรอยความสามารถใดของระดับตี้จื้อจุน เว้นแต่ม่านตาสีทองคำของนางลึกซึ้งกว่าเดิม ขณะที่นางยืนเท้าเปล่าก็ราวกับศิลากดสวรรค์ ทำให้ทุกอย่างสงบลง


อีกมุมหนึ่งประมุขหมู่ตึกเทวะที่สวมชุดขาวปรากฏตัว แม้เขาจะมีรูปลักษณ์ธรรมดา แต่กลับมีความครอบงำกำจายอย่างเลือนรางออกมาจากร่างกายเขา ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดยอมจำนน


ขณะที่ทั้งสองยืนอยู่บนท้องฟ้า สายตาก็ฟาดฟันกันส่งผลให้มิติแยกออก มหาสมุทรที่อยู่เบื้องล่างแหวกตัว


คลื่นหลิงครางกระหึ่มอยู่ด้านหลังพวกเขา ภูเขาและแม่น้ำปรากฏขึ้นเลือนราง ซึ่งดูมหัศจรรย์มาก…


“สร้างภูเขาและแม่น้ำด้วยคลื่นหลิง…”


เมื่อประมุขทั้งห้าเห็นภูเขาและแม่น้ำจากคลื่นหลิงที่อยู่เบื้องหลังมั่นถัวหลัวและประมุขหมู่ตึกเทวะ ดวงตาก็หดลง ภาพแปลกประหลาดนี้จะปรากฏขึ้นต่อเมื่อได้สัมผัสกับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย เนื่องจากคลื่นหลิงในร่างของพวกเขาเชื่อมโยงกับพลังงานหลิงระหว่างฟ้าดิน


ทว่าตอนนี้หมั่นถูหลัวและประมุขหมู่ตึกเทวะยังไม่มีแรงกดดันที่เป็นของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นหมายความว่าทั้งสองได้สัมผัสกับขั้นนั้นแล้ว


พูดก็คือทั้งสองห่างจากระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น!


แม้ว่าเป็นเพียงครึ่งก้าว แต่ประมุขทั้งห้าก็รู้ว่าต่อไปจะไม่สามารถต่อสู้กับทั้งสองในการปะทะกันตัวต่อตัวได้อีกแล้ว


“อีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเรอะ?”


มู่เฉินโล่งใจกับฉากนี้ แม้ว่าหมั่นถูหลัวจะยังไม่บรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ผลลัพธ์ก็เกินความคาดหมายของพวกเขา ซึ่งไม่ได้ห่างจากประมุขหมู่ตึกเทวะเลย


ด้วยวิธีนี้ก็จะดับฝันของหมู่ตึกเทวะที่ต้องการจะล้างบางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขา


“ฮ่าๆ… ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์สุดยอดจริงๆ สามารถไล่ตามข้ามาได้ด้วยพลังที่อ่อนกว่า…” ประมุขหมู่ตึกเทวะเห็นสถานการณ์ก็ยิ้มบาง


ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวเหลือบมองเขาอย่างเฉยเมย ไม่ได้สนใจอะไร


ประมุขหมู่ตึกเทวะไม่ได้ใส่ใจกับการตอบสนองของมั่นถัวหลัว แต่กลับมองไปที่ประมุขทั้งห้า รอยยิ้มลึกล้ำปรากฏบนใบหน้ากล่าวว่า “ท่านจอมยุทธ์ ข้ามีข้อเสนอ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะสนใจหรือไม่?”


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทั้งห้าคนก็หรี่ตา หัวใจกระโจนขึ้น ประมุขหมู่ตึกเทวะคิดจะทำอะไรอีก?


“ไม่รู้ว่าประมุขหมู่ตึกเทวะต้องการอะไรรึ?” วั้นเซิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม


ประมุขหมู่ตึกเทวะยิ้มบาง แม้รอยยิ้มจะดูอ่อนโยน แต่ก็มีความเอาแต่ใจพรั่งพรูออกมาขณะที่เสียงดุดันดังสะท้อนไปทั่วมิติ


“ภูมิภาคทางเหนือแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่ามาหลายปี วันนี้ข้าต้องการสร้างบูรณาการรวบรวมพวกเราเป็นหนึ่งเดียวเพื่อผงาดในทวีปเทียนหลัว ไม่ทราบว่าพวกเจ้าทั้งห้าคนยินดีที่จะสนับสนุนข้าในเรื่องนี้ไหม?”


เมื่อเสียงหนักแน่นของประมุขหมู่ตึกเทวะดังก้อง ไม่เพียงจอมยุทธ์จำนวนมากจะเปิดเผยสีหน้าตกตะลึง แม้กระทั่งประมุขทั้งห้าก็อดเปลี่ยนสีหน้าไปไม่ได้


ประมุขหมู่ตึกเทวะที่ยังไม่บรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มิหนำซ้ำมั่นถัวหลัวที่มีพลังสูสีกันก็ยืนอยู่ไม่ไกล แต่เขาดันบอกว่าต้องการปกครองภูมิภาคทางเหนือเรอะ?!


เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน!


บทที่ 951 ไพ่ตายของประมุขหมู่ตึกเทวะ

เหนือมหาสมุทรไร้ขอบเขต


เกิดฉากงดงามตระการตาจากเกลียวแสง แต่ตอนนี้เหล่าจอมยุทธ์จากสำนักอื่นไม่ได้ใส่ใจกับทิวทัศน์งดงามเลย เนื่องจากสายตาของพวกเขาอัดแน่นด้วยความตกตะลึงขณะมองแสงแวววาวสูงตระหง่าน พวกเขาจับจ้องร่างสง่างามที่เปล่งรัศมีน่าหวาดกลัว ซึ่งนั่นก็คือประมุขหมู่ตึกเทวะ


เห็นได้ชัดว่าทุกคนตกตะลึงกับคำพูดที่เขากล่าวมานั่น


เพียงประโยคธรรมดา แต่ความหมายเบื้องหลังชัดเจน ประมุขหมู่ตึกเทวะคิดจะครอบครองภูมิภาคทางเหนือทั้งหมด!


มีจอมยุทธ์มากมายในภูมิภาคทางเหนือพยายามที่จะบรรลุความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นี้ในช่วงพันปีที่ผ่านมา แต่ทั้งหมดก็ประสบความล้มเหลว ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากไม่มีใครครอบงำขั้วอำนาจอื่นๆ ได้


แต่ตอนนี้ประมุขหมู่ตึกเทวะประกาศเจตนารมณ์ต้องการเป็นเจ้าเหนือหัวที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนน่ะรึ?!


แต่ความคิดเช่นนี้ ประมุขคนอื่นจะยอมให้เขาทำตามที่ปรารถนาได้อย่างไร? จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนล้วนแต่มีความภาคภูมิใจ ดังนั้นจะให้ลดความเย่อหยิ่งคุกเข่าของตนเองลงให้ประมุขหมู่ตึกเทวะได้อย่างไร?


แน่นอนว่าถ้าประมุขหมู่ตึกเทวะแข็งแกร่งกว่าในแง่ขุมพลัง บางทีพวกเขาอาจจะต้องไตร่ตรองให้ถ้วนที ทว่าตอนนี้ถึงอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขึ้นก็จริงและเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะข่มขู่พวกเขา


นอกจากนี้ที่สำคัญยังมีจอมยุทธ์ระดับเดียวกันอยู่ที่นี่ มั่นถัวหลัวมีพลังไม่ได้แตกต่างไปจากเขา ด้วยเรื่องบาดหมางที่มีกับประมุขหมู่ตึกเทวะ นางไม่มีทางยอมให้อีกฝ่ายทำตามที่ต้องการแน่นอน


ดังนั้นเมื่อประมุขหมู่ตึกเทวะบอกความคิดออกมา สมาชิกแต่ละสำนักก็รู้สึกเหลือเชื่อและหวาดระแวงขึ้นมาในเวลาเดียวกัน


ดวงตาของประมุขทั้งห้าสั่นไหว ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะหันไปมองมั่นถัวหลัวเป็นตาเดียว สุดท้ายในการเผชิญหน้ากับประมุขหมู่ตึกเทวะที่ทรงพลังยามนี้ กระทั่งพวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรออกไป กลับหวังให้มั่นถัวหลัวเอ่ยปากเป็นคนแรก


ทว่าภายใต้สายตาของพวกเขา มั่นถัวหลัวก็ยิ้มเรียบเฉย ม่านตาสีทองคำหลุบลงราวกับไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด มีเรื่องขัดแข้งขัดขากันมากมายระหว่างขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ แม้นางจะเคียดแค้นหมู่ตึกเทวะมาก แต่นางก็ไม่ต้องการออกหน้าออกตาให้คนที่เหลือ


เมื่อทั้งห้าเห็นปฏิกิริยาของมั่นถัวหลัวก็รู้สึกอึดอัด ก่อนที่วั้นเซิ่งจะกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นพวกข้าหวังว่าเจ้าจะพูดความคิดแท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้… พวกข้าขอขอบคุณจากใจ”


น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความถ่อมตน นอกจากนี้เขายังรู้ชัดเจนว่าพัฒนาการความแข็งแกร่งของมั่นถัวหลัวในสงครามล่าครั้งนี้ก้าวข้ามพวกเขาไปแล้ว ในอนาคตดูเหมือนว่ายอดเขาหมื่นเทพคงจะต้องสร้างสัมพันธ์กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไว้บ้าง


ประมุขคนอื่นๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงในสายตา แต่สุดท้ายก็เห็นด้วยกับคำพูดของวั้นเซิ่ง มีเพียงหลิ่วเทียนเต้าที่มีสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากเขาหาเรื่องอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่เว้นว่าง ในตอนนี้มั่นถัวหลัวแข็งแกร่งไปกว่าเขาแล้ว ตัวเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมถ่อมตัวลง


เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา นางก็ยิ้มบางจากนั้นพูดเสียงเรียบเฉย “ความกล้าหาญของท่านประมุขหมู่ตึกเทวะ ช่างทำให้ผู้คนนับถือ แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ดังนั้นเจ้าไปหาคนอื่นเถอะ”


เมื่อเห็นว่ามั่นถัวหลัวประกาศจุดยืนแล้ว ประมุขคนอื่นก็รู้สึกโล่งใจ วั้นเซิ่ง เยาตี้และวั้นตู๋เสอก็พยักหน้าเห็นชอบด้วยเช่นกัน


มีแต่หลิ่วเทียนเต้าเท่านั้นที่ยังยืนนิ่ง ดวงตาวูบไหว ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


เมื่อพวกมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็อดแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้ การเผชิญหน้าในระดับนี้เกินความสามารถพวกเขาไปไกล ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรก็ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ ดังนั้นจึงได้แต่มองดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์


“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่สนใจข้อเสนอของข้า” เมื่อประมุขหมู่ตึกเทวะได้รับคำตอบเช่นนี้ ก็เหมือนจะไม่เกินจากความคิดไปเท่าไร เขาเผยรอยยิ้มกินลึกที่ทำเอาหัวใจของเหล่าประมุขสั่นสะเทือน


“หึ ความกระหายอยากของหมู่ตึกเทวะยิ่งใหญ่เกินไป ข้าว่าเจ้าคิดจะเขมือบพวกข้าขึ้นครองภูมิภาคทางเหนือซะมากกว่า” เยาตี้ที่มีนิสัยเยือกเย็น แม้ว่าตัวเขาจะยำเกรงประมุขหมู่ตึกเทวะหลายส่วน แต่เขาก็ไม่คิดยอมแพ้โต้กลับอย่างเย็นชา


“แต่ข้าขอพูดบางสิ่งที่เสียมารยาทไปบ้าง ถ้าต้องการครอบครองภูมิภาคทางเหนือ เกรงว่าขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของเจ้านั่นยังไม่มีคุณสมบัติพอ!”


เมื่อคำพูดเหล่านี้เปล่งออกมา ประมุขหมู่ตึกเทวะก็หรี่ตาลงขณะที่คลี่ยิ้มอ่อน “ที่แท้ก็ดูถูกความแข็งแกร่งของข้าที่ต่ำเกินไปและยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายใช่ไหม?”


เมื่อประมุขคนอื่นๆ ได้ยินก็ไม่ได้ปฏิเสธ


พอประมุขหมู่ตึกเทวะปฏิกิริยาของพวกเขา รอยโค้งผิดปกติก็ยกขึ้นที่มุมปาก แววตาเย็นเยือกลง ก่อนที่เขาจะปลดปล่อยเสียงคำรามดังก้องราวกับฟ้าร้องสะท้อนไปทั่วมิติ ทำเอาฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือน พร้อมกับใบหน้าของจอมยุทธ์กลุ่มต่างๆ เปลี่ยนไป


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าเห็นว่าไม่ยากสำหรับข้าที่จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเลย”


เมื่อเขาพูดขึ้น ไม่เพียงแต่ใบหน้าของประมุขทั้งห้าจะเปลี่ยนไป แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ยังดวงตาหดลง ความตื่นตะลึงเผยขึ้นบนใบหน้านาง


“เขาพูดว่าอะไรนะ? เขายังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกเรอะ?!” ผู้คนจมเข้าสู่ความโกลาหล ใบหน้าของจอมพลทั้งสามเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ของเหลวหลิงเสินถูกใช้หมดแล้ว หากเขาไม่ได้รับของเหลวหลิงเสินสมบูรณ์แบบ เขาไม่มีทางบรรลุขั้นตอนสุดท้ายได้อย่างแน่นอน!


มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างเห็นความตื่นตะลึงในสายตาของกันและกัน หลังจากนั้นใบหน้าของมู่เฉินก็มืดครึ้มลงหลายส่วน แม้ว่าคำพูดของประมุขหมู่ตึกเทวะยากที่จะเชื่อ แต่เวลานี้เขาไม่น่าพูดอย่างไร้ความหมาย ในเมื่อเขาพูดออกมา เขาก็ต้องมีวิธีเพื่อบรรลุเป้าหมายจริงๆ


มิน่าล่ะเขาถึงกล้าพูดความคิดอุกอาจเช่นนี้ ที่แท้ก็ซ่อนไม้เด็ดเอาไว้นี่เอง


ภายใต้สายตาตกตะลึงที่จ้องมองมาของทุกคน ประมุขหมู่ตึกเทวะก็เหยียดแขนออกไปพร้อมเผยยิ้มแปลกบนใบหน้า ทันใดนั้นเมื่อเขาแบมือออก ดวงตาก็ดำมืดลง ขณะที่รัศมีสีดำราวกับน้ำหมึกกวาดออกปกคลุมดวงอาทิตย์ ทำให้โดยรอบมิติแตกเป็นเสี่ยง


รัศมีสีดำทรงพลังอย่างมาก นอกจากนี้เหมือนยังมีพลังงานที่อันตรายและแปลกประหลาดซึ่งไม่เข้ากับคลื่นหลิงในฟ้าดินแฝงอยู่ภายใน ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นเยือกในอก


ประมุขหมู่ตึกเทวะยืนอยู่ในรัศมีสีดำมืด แขนเปิดอ้าสูดหายใจเข้าลึก รัศมีสีดำม้วนตัวเทลงไปผ่านทางรูจมูกของเขา


พร้อมกับการดูดซับรัศมีสีดำเข้าไป เส้นผมก็งอกขึ้นอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำแรงกดดันที่กระจายออกมาจากเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งเช่นกัน


เพียงสิบกว่าลมหายใจ แรงกดดันที่เกิดขึ้นจากเขาก็ไปไกลเกินกว่ามั่นถัวหลัวที่อยู่ในระดับขุมพลังเดียวกันแล้ว!


ใบหน้าของเหล่าประมุขกลายเป็นน่าเกลียดลง พวกเขามองฉากนี้อย่างไม่เชื่อสายตา โดยเฉพาะรัศมีสีดำที่ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นเยือก


“รัศมีสีดำนั่นคืออะไร?! ทำไมถึงไม่เข้ากับคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินแบบนี้…”


“ความชั่วร้ายเช่นนี้… ความสามารถในการกัดกร่อนมหาศาลนัก!”


“แต่พลังงานนี้ทรงพลังเกินไป ไม่ได้เป็นของประมุขหมู่ตึกเทวะแน่ เขาไปเอามาจากไหน?!”


ประมุขแต่ละคนไม่สามารถระงับอารมณ์ไว้ได้อีก พูดด้วยความตกใจที่อัดเต็มในน้ำเสียง


มั่นถัวหลัวจ้องเขม็งที่ประมุขหมู่ตึกเทวะครู่หนึ่งก่อนที่นางจะนึกถึงบางสิ่ง นางสูดลมหายใจเย็นกัดฟัน “พลังงานนี้ไม่ได้เป็นของมหาพันภพ มันเป็นของเผ่าปีศาจต่างมิติ!”


“ประมุขหมู่ตึกเทวะ แกมันบ้าไปแล้วจริงๆ ที่กล้าสัมผัสกับพลังงานอุบาทว์แบบนั้น!”


“พลังของเผ่าปีศาจต่างมิติ?” เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ประมุขคนอื่นก็ฉายสีหน้าหวาดผวา ประมุขหมู่ตึกเทวะเป็นบ้าแล้ว เขาถึงกับกล้าดูดซับพลังงานที่ไม่ได้เป็นของมหาพันภพด้วยเรอะ?


“ข้าเข้าใจแล้ว! นี่ต้องเป็นคลื่นพลังงานที่ถูกทิ้งไว้โดยแม่ทัพปีศาจทุนเทียนแน่! ว่ากันว่า ณ สมรภูมิหยุ่นลั้วแม่ทัพปีศาจทุนเทียนถูกขัดขวางโดยท่านจอมพลสี่จนระเบิดศึกสะเทือนโลกา หลังจากการต่อสู่ท่านจอมพลสี่สิ้นชีพ ส่วนแม่ทัพปีศาจทุนเทียนก็ถูกผนึกไว้!” วั้นเซิ่งแผดเสียงลั่น ขณะที่สายตาสั่นไหวด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาเดาแหล่งที่มาของพลังงานนั่นได้


“มิตินี้ถูกสร้างขึ้นจากจุดจื้อจุนไห่ของท่านจอมพลสี่ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีผนึกอยู่ในจุดลึกสุดของมหาสมุทรแห่งนี้ ก่อนหน้าประมุขหมู่ตึกเทวะถูกซัดตกลงไปโดยหุ่นเงา เขาจะต้องแอบเปิดผนึกและได้รับพลังงานส่วนหนึ่งจากปีศาจชั่วร้ายนั่น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ได้แสดงตัวเองออกมา!”


พอได้ยินการวิเคราะห์ของวั้นเซิ่ง หัวใจประมุขคนอื่นก็สั่นไหว ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าทำไมประมุขหมู่ตึกเทวะถึงหุนหันพลันแล่น ไม่ใช่ว่าเขาโง่ เขาต้องการที่จะลงไปยังส่วนลึกของมหาสมุทร เพื่อที่เขาจะได้ปลดปล่อยผนึกของปีศาจชั่วร้าย


ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเขียวคล้ำ นางไม่คิดเลยว่าประมุขหมู่ตึกเทวะจะกล้าหลอกพวกนางที่ใต้จมูกกันแบบนี้


“ฮ่าๆ เข้าใจกันสักทีแล้วสินะ…”


ขณะที่ทุกคนตกตะลึง ประมุขหมู่ตึกเทวะก็ยิ้มบางจากภายในรัศมีสีดำ รอยยิ้มของเขาดูน่าสะพรึงกลัวมาก


เขาสุขใจกับคลื่นผันผวนในร่างกายพลางแย้มยิ้ม “แต่พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าแม่ทัพปีศาจทุนเทียนตายหลังจากถูกผนึกมาเนิ่นนาน เหลือเพียงพลังบางส่วนเท่านั้น ถึงแม้ว่าพลังงานนี้จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกัดกร่อนข้า ดังนั้นเมื่อข้าครอบครองก็จะสามารถใช้เพื่อก้าวไปอีกขั้นเพื่อให้กลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแท้จริง!


พูดถึงจุดนี้รอยยิ้มมุมปากของเขาก็ยิ่งน่ากลัวขึ้น


“ตอนนี้…พวกเจ้าคิดว่าข้ามีคุณสมบัติพอจะเป็นเจ้าเหนือหัวของภูมิภาคทางเหนือหรือยัง?”


บทที่ 952 สถานการณ์อันตราย

รัศมีสีดำเชี่ยวกรากแผ่กระจายไปทั่วมิติ


ไอชั่วร้ายผันผวนรุนแรง ทำให้สีหน้าประมุขแต่ละคนไม่น่าดูขึ้นทีละน้อย


พวกเขาไม่คิดว่าสาเหตุของประมุขหมู่ตึกเทวะที่มาขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน ไม่เพียงแค่รับของเหลวหลิงเสินเท่านั้น แต่ยังหมายตาพลังที่หลงเหลือของแม่ทัพปีศาจร้ายที่ถูกท่านจอมพลสี่ผนึกไว้ด้วย


ด้วยของสองสิ่งนี้ก็ไม่ยากเลยที่ประมุขหมู่ตึกเทวะจะโจมตีระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้


ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดมากในตอนนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันประมุขหมู่ตึกเทวะเตรียมการทุกอย่างไว้อย่างเสร็จสรรพแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงพูดโอหังเช่นนั้น


เขาสามารถบอกได้ว่าแรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่เล็ดลอดออกมา แม้ว่าจะยังไม่ได้เสถียรในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็แข็งแกร่งกว่ามั่นถัวหลัวมากนัก


ดังนั้นหากต้องต่อสู้ แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถต่อกรกับประมุขหมู่ตึกเทวะได้


“วางแผนดีนักนะ!”


มั่นถัวหลัวสัมผัสได้ถึงประมุขเทวะที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้นก็กัดฟันกรอดก่อนที่จะพูดเสียงเยือกเย็น “แกนี่บ้าจริงๆ พลังเผ่าปีศาจไม่เข้ากับมหาพันภพของเรา แกจะต้องเสียใจในอนาคตแน่ที่ใช้มันในการบรรลุ!”


แม้ว่าแม่ทัพปีศาจทุนเทียนจะตายไปนานแล้ว แต่พลังนี่ก็ไม่ใช่ของมหาพันภพอยู่ดี ดังนั้นต่อให้ประมุขหมู่ตึกเทวะจะสามารถระงับได้ในขณะนี้ เขาก็จะต้องเผชิญกับอันตรายที่ซ่อนอยู่ในอนาคต


ทว่าประมุขหมู่ตึกเทวะกลับยิ้มตอบ “ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ไม่ต้องจ่ายราคาไป เพียงแต่ว่าราคานี้ยังอยู่ในช่วงที่ข้ายอมรับได้ ในอนาคตเมื่อข้าได้รับมรดกของวังสวรรค์บรรพกาล ข้าก็อาจเป็นเจ้าเหนือหัวทวีปเทียนหลัวได้ ทำให้หมู่ตึกเทวะของข้าเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ของมหาพันภพ”


“เฮ้ โลภมากซะจริง!” เมื่อได้ยินคำพูดนั่นแม้แต่วั้นเซิ่งก็อดเยาะเย้ยไม่ได้ ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่ต้องการที่จะครองภูมิภาคทางเหนือ แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้านี่ตั้งใจจะฮุบทั้งทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว


ทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งในสิบมหาทวีปที่ยิ่งใหญ่ของมหาพันภพ หากได้ครอบครองปริมาณทรัพยากรและดินแดนคงไม่สามารถจินตนาการได้ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างสุดยอดสำนัก


แต่การครองทวีปเทียนหลัวจะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง? เว้นแต่ประมุขหมู่ตึกเทวะจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ ไม่งั้นนี่ก็จะกลายเป็นเรื่องผายลม


“มรดกของวังสวรรค์บรรพกาล?”


เมื่อวั้นเซิ่งส่งเสียงล้อเลียน ดวงตาของมู่เฉินและมั่นถัวหลัวก็กะพริบวาบ จากคำพูดของประมุขหมู่ตึกเทวะ เขารู้เกี่ยวกับความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปเทียนหลัวด้วย ซึ่งก็คือวังสวรรค์บรรพกาลที่ถูกซ่อนมาช้านาน!


นั่นคือสุดยอดสำนักยิ่งใหญ่มากในสมัยโบราณที่มีจอมยุทธ์มากเท่ากับเมฆบนท้องฟ้า กระทั่งจอมยุทธ์อย่างจอมพลสี่ที่ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นยังมีจำนวนมากกว่าหยิบมือ ยิ่งเจ้าวังสวรรค์เป็นถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว


หากพวกเขาค้นพบวังสวรรค์บรรพกาลและได้รับมรดก ก็อาจก่อให้เกิดสุดยอดสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปเทียนหลัวได้อีกครั้งจริงๆ


แน่นอนว่ามรดกของวังสวรรค์บรรพกาลไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินสนใจที่สุด เขาต้องการวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะมากกว่า


ตามข้อมูลที่เขารวบรวมมาจนถึงตอนนี้ วิวัฒนาการของร่างกลางเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเขาต้องการให้ร่างเทพสุริยะของเขากลายเป็นร่างมหาเทพนิรันดร์


ตราบใดที่ร่างเทพสุริยะสามารถพัฒนาเข้าสู่ร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ มู่เฉินเชื่อว่าจะมีจุดยืนสำหรับเขาในมหาพันภพแน่นอน


เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะมีความสามารถเผชิญหน้ากับพวกลึกลับที่จับมารดาเขาไป เขาจะได้ไม่ต้องระวังการใช้วิชามหาเจดีย์อีกต่อไป


“เจ้ารู้ความลับของวังสวรรค์บรรพกาลด้วยรึ?” มั่นถัวหลัวจ้องมองไปที่ประมุขหมู่ตึกเทวะขณะที่เค้นเสียงเย็น


การมีอยู่ของวังสวรรค์บรรพกาลไม่ได้เป็นความลับสุดยอดอะไรในทวีปเทียนหลัว แต่หลายปีที่ผ่านมาแม้เหล่าจอมยุทธ์จะพยายามอย่างดีที่สุด แต่ก็ยังหาสำนักโบราณนั่นไม่พบ ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงสงสัยในคำพูดของประมุขหมู่ตึกเทวะอยู่บ้าง


อีกฝ่ายยิ้มให้กับคำพูดของมั่นถัวหลัว ก่อนที่ดวงตาสีดำซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้ายจะมองไปที่ประมุขคนอื่นแล้วแสยะยิ้ม “ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเจ้าคิดว่าข้ามีคุณสมบัติที่จะครอบครองภูมิภาคทางเหนือหรือยัง?”


ทั่วทั้งมิติเงียบกริบ เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายก็ไร้ซุ่มเสียง ขนาดเหล่าประมุขยังมีสีหน้ามืดครึ้ม เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันไปไกลเกินความคาดหมายแล้ว


แววตาแต่ละคนวูบไหว สุดท้ายก็มองไปที่มั่นถัวหลัว ในตอนนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับประมุขหมู่ตึกเทวะได้


ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็น่าเกลียดลงในเวลานี้ นางจ้องเขม็งที่ประมุขหมู่ตึกเทวะ ก่อนที่จะหายใจลึกพูดเสียงขรึมว่า “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่สนใจที่จะสมคบคิดกับหมู่ตึกเทวะของเจ้า!”


นางบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการอยู่ใต้บังคับบัญชาของหมู่ตึกเทวะ


ทว่าประมุขหมู่ตึกเทวะก็ไม่ได้มีท่าทางประหลาดใจกับคำพูดของมั่นถัวหลัว เขายิ้มบางพูดอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าแบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยู่ในภูมิภาคทางเหนืออีกแล้ว”


คำพูดเรียบสงบเต็มไปด้วยจิตสังหารเย็นเยือกชัดเจน ทำให้จอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์มีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่มู่เฉินก็ยังต้องหดดวงตา


ขั้วอำนาจอื่นก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน


“งั้นเหรอ?! นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีความสามารถเพียงพอหรือไม่!” น้ำเสียงของมั่นถัวหลัวเย็นชา คลื่นหลิงน่าสะพรึงกระจายออกมาจากรอบตัวนาง ฉีกมิติออก


นางก้าวไปข้างหน้า มิติผันผวน สายตาแหลมคมยิงไปทางประมุขหมู่ตึกเทวะปานสายฟ้า ชัดว่ารู้ดีว่าวันนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะจบลงโดยดี ต้องสู้สุดชีวิตเท่านั้น!


“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย สามารถต่อสู้กับข้าได้จริงเรอะ” ประมุขหมู่ตึกเทวะหัวเราะเยาะเบาๆ จิตสังหารพล่านออกมาจากคำพูด


“ดูเหมือนอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นหินรองเท้าก้อนใหญ่สำหรับหมู่ตึกเทวะที่จะครอบครองภูมิภาคทางเหนือ หลังจากข้าล้างเจ้าออกไป ทุกคนที่นี่ก็คงจะเชื่อฟังข้า”


ประมุขหมู่ตึกเทวะกระตุกยิ้มพลางสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นรัศมีสีดำเชี่ยวกรากก็พวยพุ่งออกมาย้อมท้องฟ้าทั้งผืน พร้อมกับคลื่นหลิงในมิติเริ่มถูกปนเปื้อน ทำให้ประมุขคนอื่นๆ ไม่สามารถควบคุมพลังงานที่ปนเปื้อนนี้ได้…


มั่นถัวหลัวมองฟ้าดินที่ถูกปนเปื้อน สีหน้าก็ดิ่งลงไปอีกหลายส่วน ประมุขหมู่ตึกเทวะตั้งใจที่จะใช้พลังปีศาจเพื่อปนเปื้อนพลังงานในฟ้าดิน จนให้ที่นี่เหมือนเป็นคุกเพื่อไม่ให้มีใครหลบหนีออกไปได้


“ทุกคนสู้ด้วยกัน ช่วยกันฉีกมิติเพื่อหนีเถอะ ตราบใดที่เราออกไปแล้วกระจายข่าวไปให้ทั่ว ดูสิว่าหมู่ตึกเทวะจะยังคงอยู่ในภูมิภาคทางเหนือได้ยังไง!” แววตาของเยาตี้เปลี่ยนไป จากนั้นก็ตะโกน


ในมหาพันภพจอมยุทธ์ทุกคนต่างเฝ้าระวังเผ่าปีศาจต่างมิติ หากพวกเขารู้เกี่ยวกับการกระทำของหมู่ตึกเทวะ พวกเขาจะต้องเคลื่อนไหวออกมาต่อต้านแน่นอน ณ จุดนั้นแม้แต่ขั้วอำนาจชั้นสูงนอกภูมิภาคทางเหนือก็จะไม่ดูแบบนิ่งเฉย


“สู้ด้วยกัน!”


วั้นเซิ่งตระหนักถึงประเด็นนี้ทันที พวกเขาไม่ลังเลอีกต่อไป ทั้งหมดประสานพลังกัน ผลึกคลื่นหลิงที่น่ากลัวยิงออกมา กระแทกกับรัศมีสีดำที่น่าขนผองสยองเกล้า


ชี่ !ชี่!


แต่เมื่อพวกเขาเปิดการโจมตีก็ทำให้รัศมีสีดำกระจายออกไปเท่านั้น เวลาเพียงชั่วครู่รัศมีก็กวาดเข้ามารวมกันใหม่ ความหนาแน่นในการปนเปื้อนก็เพิ่มขึ้นอีกหลายระดับ


เมื่อเหล่าประมุขเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที


“ฮ่าๆ อย่าเสียแรงเปล่าๆ เลย ข้าบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว บวกกับพลังที่ถูกทิ้งไว้โดยแม่ทัพปีศาจชั่วร้าย พวกเจ้าที่อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นจะทำอะไรกับข้าได้?” เสียงของประมุขหมู่ตึกเทวะดังก้องออกมาจากรัศมีสีดำ


มู่เฉินสูดลมหายใจเย็น เขาไม่คิดว่าพลังอำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะทรงพลังขนาดนี้… เขาหันไปมองมั่นถัวหลัวที่ตอนนี้มีสีหน้าน่าเกลียดมากเช่นกัน


“มีวิธีจัดการกับสถานการณ์นี้ไหม?” มู่เฉินถามเสียงต่ำ


“ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าข้าจะร่วมมือกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนอื่น ก็ได้แค่ปกป้องตัวเอง… นอกจากนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือเขาใช้คลื่นพลังของแม่ทัพปีศาจทุนเทียน หากเราปล่อยให้เขาทำการปนเปื้อนคลื่นหลิงในมิตินี้ เราจะต้องติดกับดักรอเพียงความตายที่จะโหมเข้าใส่เท่านั้น” มั่นถัวหลัวพูดพลางกัดฟันกรอด


“ตอนนี้เราไม่มีพลังเพียงพอ หากมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอีกสักคนเข้าร่วม ก็อาจจะจัดการสถานการณ์ได้” แม้ว่าพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีขีดจำกัด หากมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นอีกคนก็จะสามารถเผชิญหน้าได้


มู่เฉินยิ้มขมขื่น จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือมารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว พวกเขาจะไปหาคนอื่นได้จากที่ไหน? จอมยุทธ์ระดับนี้ไม่ใช่สุนัขหรือแมวที่สามารถหาได้ทุกที่เสียหน่อย


เมื่อคิดถึงจุดนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขาหรี่ตามองไปที่ระยะไกล หุ่นวิญญาณจอมพลสี่ที่เกาะหินเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไม่ใช่รึ?


หากพวกเขาล่อออกมาได้ก็จะจัดการกับประมุขหมู่ตึกเทวะได้ เพียงแต่…แนวป้องกันของหุ่นเงาตัวนั้นเหมือนจะไม่ไกลเกินกว่าเกาะหิน


มู่เฉินขมวดคิ้วไตร่ตรองไปพักใหญ่ก่อนที่จะกำมือแน่น วัตถุสามเหลี่ยมสีดำลึกลับปรากฏขึ้นในมือ ของชิ้นนี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถได้รับขวดดินเผาล้ำค่ามาอย่างง่ายดาย


แม้ว่ามู่เฉินจะไม่รู้ว่าใช้งานได้หรือไม่ แต่ในสถานการณ์นี้ ได้ไม่ได้ก็ต้องลองเสียหน่อยแล้ว


ฟู่


มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นไม่ลังเลสะบัดนิ้วออกไป วัตถุสามเหลี่ยมสีดำในมือพุ่งออกไปหาหุ่นเงา ก่อนที่รัศมีสีดำจะปิดกั้นทั้งหมด


สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่หุ่นเงา หัวใจก็เต้นรัวอย่างกังวลใจ หากวิธีนี้ไร้ประโยชน์ ครั้งนี้พวกเขาก็อันตรายมากแล้วจริงๆ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)