หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 941-942
บทที่ 941 หอกห้าสุริยะ
บนขอบฟ้า
ร่างเทห์สวรรค์ใหญ่โตสามร่างยืนตระหง่านปกคลุมไปด้วยพายุคลื่นหลิงที่ก่อตัวขึ้นเป็นหมอก ราวกับสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ที่น่าสะพรึงกลัว
ทว่าแม้ร่างทั้งสามนี้จะทรงพลัง แต่แรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากร่างเทพสุริยะของมู่เฉินก็แข็งแกร่งกว่าร่างเทพใต้พิภพของโยวหมิงและร่างแสงดาวปฐมกาลของฟังยี่
เพราะไม่ว่าอย่างไรร่างเทพสุริยะก็เป็นร่างต้นของร่างมหาเทพนิรันดร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาลที่เหลืออยู่ในมหาพันภพ
และอย่างน้อยก็อยู่ห้าอันดับแรกของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
ร่างเทห์สวรรค์ที่ทรงพลังเช่นนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังไม่สามารถครอบครองได้ ดังนั้นแม้ความจริงที่ว่าร่างเทพใต้พิภพและร่างแสงดาวปฐมกาลจะไม่ธรรมดา แต่ก็ยังด้อยร่างเทพสุริยะมาก
ภายใต้สายตาของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ปรากฏตัวบนหัวของร่างเทพสุริยะ เมื่อยืนอยู่บนนั้นก็รู้สึกถึงพลังแห่งการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวภายในร่างเทห์สวรรค์ได้อย่างชัดเจน พร้อมกับขุมพลังของเขาที่เข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นห้า ร่างเทพสุริยะนี้ก็แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
พลังงานมหาศาลทำให้เขาไม่ต้องหวาดกลัว แม้ต้องเผชิญกับร่างทรงพลังสองร่างในทำเนียบก็ตาม
“ไอ้บ้านั้นไปฝึกร่างเทห์สวรรค์มาจากไหน ถึงจะไม่ได้อยู่ในทำเนียบร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่ก็จัดการยากมาก” โยวหมิงปรากฏตัวบนร่างเทพใต้พิภพเช่นกัน เขาจ้องมองไปที่ร่างเจิดจรัสด้วยสายตาเย็นชา มุมปากกระตุกโดยไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่ส่งเสียงไปทางฟังยี่
“มหาพันภพกว้างใหญ่ไพศาล แม้ว่าการจัดทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างจะเป็นที่ยอมรับ แต่ก็มีร่างที่หายากซึ่งไม่ได้รับการบันทึกเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องแปลกใจ”
ฟังยี่ขมวดคิ้วพูดต่อเสียงเยือกเย็น “ต่อให้ร่างไอ้นั่นจะทรงพลัง แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะสามารถเอาชนะการรวมพลังของเราสองคนได้!”
“ถ้าเราไม่สามารถกำจัดไอ้บ้านี่ได้ในวันนี้ อนาคตจะมีที่ยืนในหมู่คนรุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือให้พวกเราที่ไหนอีก!” แววตาของโยวหมิงเย็นเยียบลงขณะที่ตอบ
“งั้นก็ทุ่มสุดพลัง อย่าลากการต่อสู้อีกต่อไป!” ฟังยี่สูดลมหายใจขณะที่ตะเบ็งเสียง
สายตาทั้งสองลุกโชนด้วยจิตสังหาร วินาทีต่อมาพวกเขาก็ก้มตัวลงกระแทกฝ่ามือลงบนศีรษะร่างเทห์สวรรค์ เมื่อฝ่ามือตบลงเลือดสีแดงเข้มข้นก็กระเซ็นออกมา ก่อร่างเป็นอักขระโลหิตโชติช่วงในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ก่อนที่จะกระจายออกไปบนหัวของร่างเทห์สวรรค์และซึมซาบช้าๆ
ตู้ม!
พร้อมกับอักขระโลหิตซึมเข้าในหัว ร่างเทห์สวรรค์ทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ดวงตาที่เจิดจ้าแต่เดิมก็มีริ้วสีแดงเข้มผสมเข้าด้วย
โฮก!
คลื่นหลิงในร่างเทห์สวรรค์ปะทุขึ้นรุนแรง ราวกับมังกรถูกขังส่งเสียงคำรามไม่หยุด ดังกึกก้องไปทั่วขอบฟ้า
“ขยายร่างเทห์สวรรค์ด้วยแก่นโลหิตของตัวเอง… โยวหมิงกับฟังยี่เหี้ยมโหดจริงๆ…”
เมื่อหงหยูและซูปี้เยี่ยเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปแบบควบคุมไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่คิดว่าไม่เพียง แต่จะโยวหมิงและฟังยี่จะเร้าร่างเทห์สวรรค์ขึ้นมา แต่พวกเขายังจะขยายขนาดด้วยการปลดปล่อยแก่นโลหิต ด้วยวิธีนี้แม้ร่างเทห์สวรรค์จะน่ากลัวขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าผลสะท้อนกลับก็ไม่เบาเลยทีเดียว คงต้องใช้เวลาฟักฟื้นถึงครึ่งปีเลยทีเดียว
ดังนั้นทุกคนบอกได้ว่าโยวหมิงและฟังยี่หวาดกลัวมู่เฉินเพียงใด
มู่เฉินที่ยืนอยู่บนหัวร่างเทพสุริยะก็หดดวงตาลง เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสอง ตอนนี้อีกฝ่ายเริ่มทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก บวกกับการขยายพลังด้วยทักษะลับ เมื่อพวกเขาร่วมมือกัน ต่อให้เผชิญหน้ากับพยัคฆามังกรฟ้าก็สู้ได้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกทั่วไปยังต้องเดินหลีกพวกเขาเมื่อเจอ
ลมหายใจขาวขุ่นพ่นออกมาช้าๆ จากปากของมู่เฉิน ใบหน้าก็เคร่งขรึมลงหลายส่วน จากนั้นมือทั้งสองประสานกันก่อตราประทับด้วยความเร็วปานสายฟ้า สร้างภาพลวงตาขึ้นตามมา
เขาไม่เคยดูถูกศัตรู แม้แต่สิงโตยังต้องใช้กำลังเต็มที่เมื่อล่ากระต่าย ยิ่งทั้งสองคนที่เบื้องหน้าไม่ได้เป็นกระต่ายที่อ่อนโยน แต่เป็นหมาป่าดุร้ายต่างหาก
ตู้ม! ตู้ม!
ขณะที่ตราประทับในมือมู่เฉินเปลี่ยนแปลง คลื่นหลิงรอบร่างแสงดาวปฐมกาลและร่างเทพใต้พิภพก็เดือดพล่าน แรงเสียดสีระหว่างกัน ดึงดูดพายุสายฟ้าที่รุนแรง
เส้นเลือดคืบคลานขึ้นมาบนดวงตาของฟังยี่ เขาจ้องเขม็งอยู่ที่มู่เฉิน จากนั้นมือก็ประสานกันฉับพลัน “ทักษะเทห์สวรรค์ หอกแสงดาว!”
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
คลื่นหลิงในฟ้าดินรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งในมือของร่างแสงดาวปฐมกาล ในเวลาไม่กี่อึดใจหอกขนาดหนึ่งพันจั้งก็ปรากฏขึ้น
หอกเล่มนี้โบราณและสลักด้วยภาพดวงดาวนับไม่ถ้วน เมื่อกวัดแกว่งไปมา พลังของแสงดวงดาวก็สามารถแยกภูเขาและผ่าพสุธาได้
ครั้งก่อนตอนที่ฟังยี่ปะทะกับมู่เฉิน เขาก็ใช้หอกแสงดาวนี้ แต่ชัดเจนว่าตอนนี้เมื่อเขาใช้ทักษะเทห์สวรรค์นี้อีกครั้งก็แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่า
ครั้งก่อนที่ใช้ทักษะนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คราวนี้ฟังยี่ตั้งใจใช้กระบวนท่านี้เผด็จศึกมู่เฉินให้ราบคาบ!
“ทักษะเทห์สวรรค์ ง้าวเทพใต้พิภพเลือด!” อีกด้านหนึ่งเสียงเย็นเยือกของชายโยวหมิงก็ดังก้องพร้อมกับรัศมีเยือกเย็นเกรี้ยวกราด
หมอกสีดำกลิ้งมารวมกันที่เบื้องหน้าร่างเทพใต้พิภพราวกับเมฆดำหนาแน่นจนท่วมขอบฟ้า ส่วนร่างเทพใต้พิภพก็ยื่นมือออกไปคว้าเมฆดำหนานั่น
เมื่อมันดึงมือออกมา ง้าวสีแดงเข้มขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างหน้ากลับก็ปรากฏอยู่ในมือ บนง้าวมีใบหน้าดุร้ายนับไม่ถ้วนเปล่งเสียงครวญครางไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คลื่นหลิงของผู้อื่นถึงกับเดือดพล่านและบิดเบี้ยวเลยทีเดียว
“ทั้งสองคนนั้นบ้าไปแล้ว… ถึงกับใช้ทักษะเทห์สวรรค์เลย…”
เมื่อจอมยุทธ์สำนักอื่นเห็นภาพนี้ ปลายหางตาก็กระตุก มีเพียงร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังเท่านั้นที่ครอบครองทักษะเทห์สวรรค์ ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด แต่ตอนนี้กลับถูกโยวหมิงและฟังยี่นำออกมาใช้โดยไม่คิดอะไร
“เฉือน!”
ฟังยี่และโยวหมิงสาดสายตาเย็นชาจับจ้องไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็แผดเสียงลั่นออกมา หอกและง้าวพุ่งออกมาราวกับมังกรขนาดใหญ่สองตัว คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวสองสายเล็งเป้าไปที่มู่เฉิน
ตู้ม! ตู้ม!
ลำแสงสองสายทำให้มิติที่อยู่ในเส้นทางแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทิ้งรอยยาวเอาไว้เป็นเวลานาน
จิตสังหารที่น่ากลัวครอบงำในเวลาเดียวกัน ขอบฟ้าถึงกับกระเพื่อมไหว
ลำแสงสองสายยิงเข้ามา แรงกดดันจากคลื่นหลิงปิดกั้นมิติบริเวณที่มู่เฉินยืนไว้ เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ตั้งใจที่จะใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อกำจัดมู่เฉิน
ขณะที่ลำแสงยิงเข้ามา มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้น การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวสองสายสะท้อนให้เห็นในดวงตา จากนั้นตราประทับเลือนรางก็หยุดลงทันที
“คลื่นเก้าตะวัน เปิดสามตะวัน!”
พร้อมกับเสียงของมู่เฉิน ริ้วแสงสีทองสามสายก็ยิงออกมาจากร่างเทพสุริยะกลายเป็นดวงตะวันสีทองเรืองรองสามดวง
“หึ กระบวนท่านี้อีกแล้ว ครั้งก่อนเจ้าใช้มันหยุดข้าได้ ครั้งนี้เจ้าคิดว่าจะได้ผลอีกเรอะ?!” ดวงตาของฟังยี่สาดแสงเย็นชาขณะมองฉากนี้
พลังของกระบวนท่าเปิดสามตะวันไม่สามารถข่มขู่ฟังยี่ที่ได้ขยายความแข็งแกร่งของตนในเวลานี้
แต่นี่ก็เป็นไปตามความคิดของมู่เฉิน เขามองฟังยี่อย่างไม่แยแส ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้ แล้วทำไมเขาจะมีพัฒนาการด้วยไม่ได้?
มู่เฉินเค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก ตราประทับในมือที่หยุดข้างกายก็วูบไหวอีกครั้ง
“คลื่นเก้าตะวัน เปิดสี่ตะวัน!”
เสียงคำรามดังกึกก้องอยู่หัวใจของมู่เฉิน ทันทีที่สิ้นเสียงพูด มือข้างขวาของร่างเทพสุริยะก็มีรัศมีสีทองเปล่งปลั่งอีกดวงหนึ่ง
คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างเทพสุริยะ ทำให้เกิดเสียงลมและฟ้าคำรน
ใบหน้าของฟังยี่และโยวหมิงก็น่าเกลียดลง
ทว่าสายตาของมู่เฉินกลับเต็มไปด้วยความขบขันเมื่อมองทั้งคู่ขณะยิ้ม “พวกเจ้าคิดว่านี่จบแล้วเหรอ?”
พอได้ยินคำพูดนั่น หัวใจของฟังยี่และโยวหมิงก็โลดขึ้น
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร มู่เฉินก็สูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าเคร่งขรึมลงหลายส่วน ตราประทับเปลี่ยนไป จุดจื้อจุนไห่ที่อยู่ข้างหลังก็กวนตัวไม่หยุด ขณะที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเทลงมาในร่างเทพสุริยะ
ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า เขารู้สึกได้ว่าการเปิดสี่ตะวันไม่ใช่ขีดจำกัด ดังนั้นเขาจึงทุ่มเต็มพลังเพื่อที่จะบรรลุให้ได้!
ตราประทับของมู่เฉินช้าลงเรื่อยๆ ราวกับว่ามือของเขาหนักเป็นพันชั่ง คลื่นหลิงในร่างเขาเทไปรวมตัวกันที่มือซ้ายของร่างเทพสุริยะ ในเวลาเดียวกันแสงสีทองก็พุ่งพรวดขึ้นไปบนท้องฟ้า
ดวงตะวันสีทองขึ้นอีกดวงแล้ว
ตอนนี้เหนือร่างเทพสุริยะมีดวงตะวันสีทองเจิดจรัสถึงห้าดวง!
“คลื่นเก้าตะวัน เปิดห้าตะวัน!”
เสียงคำรามดังสนั่นในใจ อึดใจต่อมาดวงตะวันสีทองทั้งห้าดวงก็ระเบิดออกพร้อมกับของเหลวสีทองไหลไปรวมตัวกันในมือของร่างเทพสุริยะ
เมื่อแสงสีทองกระจายออกไป หอกทองคำขนาดพันจั้งก็ปรากฏขึ้น บนหอกทองคำนี้ราวกับมีดวงตะวันลุกโชติช่วงห้าดวงซึ่งมีคลื่นหลิงรุนแรงที่สามารถทำลายมิติเมื่อเกิดการโคจร
“คลื่นเก้าตะวัน หอกห้าสุริยะ!”
บทที่ 942 เขย่าขวัญ
ตู้ม!
เมื่อหอกทองคำปรากฏขึ้นในมือร่างเทพสุริยะ คลื่นหลิงรุนแรงอย่างยิ่งก็กวาดออกพร้อมกับระลอกคลื่นสีทองครอบครองรัศมีวงกว้างรอบร่างเทพสุริยะ
แรงกดดันที่น่าอัศจรรย์ถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เกิดความตกใจบนใบหน้าเหล่าจอมยุทธ์สำนักอื่น หอกทองคำนั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังต้องหวาดผวา
มู่เฉินยืนอยู่บนหัวร่างเทพสุริยะ ขณะมองไปที่หอกทองคำ ริ้วความประหลาดใจวาบขึ้นในดวงตาเช่นกัน
ทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะลึกซึ้งอย่างยิ่ง พื้นฐานสิ่งนี้ก็คือคลื่นเก้าตะวัน ซึ่งใช้ประโยชน์จากการปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงเพื่อขยายพลังในการต่อสู้
แต่คลื่นเก้าตะวันไม่ได้มีข้อจำกัดเท่านี้ เพราะยังสามารถสร้างทักษะเทพที่ทรงพลังยิ่งขึ้นด้วย อย่างตราประทับทองคำพันแสงสวรรค์ที่มู่เฉินใช้ในอดีตและหอกห้าสุริยะที่ใช้ในครั้งนี้
ในบางแง่มุม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทักษะเทห์สวรรค์ ทว่าถ้าต้องการใช้ทักษะเหล่านี้ก็จะมีเงื่อนไขที่ยากเย็นนัก ซึ่งก็คือต้องพัฒนาคลื่นเก้าตะวันไปทีละขั้น…ละขั้น
ยกตัวอย่างหอกห้าสุริยะ มู่เฉินสามารถนำออกหลังจากใช้กระบวนท่าย่อยเปิดห้าตะวันเท่านั้น
มู่เฉินรู้ว่านี่ไม่ใช่จุดสูงสุด แต่ทักษะเทพที่ทรงพลังยิ่งกว่าจากคลื่นเก้าตะวัน ต้องรอให้เขาฝึกคลื่นเก้าตะวันได้จนถ่องแท้ก่อน เขาถึงจะเห็นพลังที่แท้จริง ซึ่งนี่ทำให้มู่เฉินเต็มไปด้วยความคาดหวังยิ่งนัก…
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับเขาที่จะดื่มด่ำกับความคาดหวัง มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับหัวใจที่พลุ่งพล่านก่อนจะเงยหน้าขึ้น ลำแสงพันจั้งสองสายพุ่งเข้ามาราวกับมังกรยักษ์ ซึ่งนั่นก็คือกระบวนท่าโจมตีจากฟังยี่และโยวหมิง
ลำแสงขยายขนาดอย่างรวดเร็วในสายตาของมู่เฉิน ทว่าเผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัวนี้ มู่เฉินกลับยกยิ้มบนใบหน้าเท่านั้น
หลังจากปลดปล่อยพลังของห้าตะวัน เขาก็ไม่เกรงกลัวศัตรูหน้าไหน
“ตู้ม!”
ด้วยความคิดในใจ ร่างเทพสุริยะก็กำหอกห้าสุริยะแน่น ดวงตะวันลุกโชติช่วงทั้งห้าดวงก็โคจรรอบปลายหอก มองจากที่ไกลราวกับดวงอาทิตย์ของแท้ปล่อยแรงกดดันที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“ให้ข้าลองดูว่าหอกห้าสุริยะที่จะใช้ได้หลังเปิดห้าตะวันเท่านั้นทรงพลังเพียงใด…” มู่เฉินพึมพำกับตัวเองจากนั้นนิ้วเรียวก็สะบัดเบาๆ
“ฮึ่ม!”
ทันทีที่สะบัดนิ้ว หอกทองคำในมือร่างเทพสุริยะก็พุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง สร้างคลื่นเสียงสะท้อนฉีกมิติออกจากกัน
“หอกห้าสุริยะ ทะลวงตะวัน!”
มู่เฉินกะพริบตาขณะดวงอาทิตย์ทั้งห้าที่หมุนรอบตัวระเบิดออกมา คลื่นหมอกสีทองที่น่าสยดสยองดันตัวขึ้น คลื่นกระแทกสีทองกระจายออก เผาผลาญกระทั่งอากาศ…
พร้อมกับการระเบิด เกลียวแสงสีทองจากหอกก็ขยายขนาดขึ้นอย่างทรงพลัง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองที่มีขนาดหลายพันร้อยจั้งซัดออกไป
ลำแสงสีทองทรงประสิทธิภาพมากและพลังงานที่อยู่ในนั้นก็รุนแรงจนทำให้ผู้อื่นตกใจ ในระยะไกลเหล่าจอมพลและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าท่าทาง
ลำแสงสีทองแหวกผ่านมิติ ก่อนที่จะปะทะกับลำแสงทั้งสองอย่างจัง
ตึ้ง!
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากการปะทะกัน ตามมาด้วยคลื่นกระแทกทรงพลัง ทำให้มิติโดยรอบแตกเป็นเสี่ยงๆ
โยวหมิงและฟังยี่เบิกตากว้างมองไปที่จุดปะทะกัน แต่อึดใจต่อมาสีหน้าทั้งสองก็กลายเป็นน่าเกลียดอย่างยิ่ง นั่นเพราะพวกเขาเห็นลำแสงที่สร้างขึ้นด้วยพลังทั้งหมดที่มีคงอยู่ได้เพียงไม่กี่ลมหายใจก็ถูกทำลายด้วยแสงสีทอง
แกร็ก
ขณะที่ลำแสงแตกสลาย พวกเขาก็มองเห็นหอกและง้าวที่อยู่ภายในแตกละเอียดเป็นจุดแสง
“บ้าเอ๊ย!”
ใบหน้าทั้งสองมืดครึ้มลง เนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่าท่าไม้ตายนี้จะยังไม่สามารถกำจัดมู่เฉินได้
ฮึ่ม!
แต่ขณะที่พวกเขารู้สึกถึงความโกรธและความขุ่นเคืองในใจ ม่านตาสีดำของมู่เฉินกลับกวาดมองพวกเขาโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ แววตานั่นทำให้หัวใจของพวกเขาสะท้านจับจิต
มู่เฉินเหยียดนิ้วออกมา ชี้ไปที่ทั้งสองด้วยความเฉยเมยก่อนจะกดลงกลางอากาศ
ฟิ้ว!
ช่วงเวลานั้น ฟังยี่และโยวหมิงก็หวาดผวา เมื่อเห็นว่าลำแสงสีทองที่สกัดกั้นการโจมตีกระบวนท่าของพวกเขาไม่ได้สลายหายไป กลับแบ่งออกเป็นสองทาง ยิงใส่พวกเขา
กลิ่นอายความตายพล่านเข้ามา ใบหน้าทั้งคู่อัดแน่นด้วยความกลัว พวกเขาเข้าใจว่าถ้าถูกแสงสีทองซัดใส่ พวกเขาตายแน่นอน!
“ไอ้เวร!”
ใบหน้าของทั้งสองซีดขาว ก่อนที่จะกัดฟันกรอด ขณะที่ถอยกรูดออกไปทันที ร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ข้างใต้ก็พุ่งออกมา ใช้ร่างใหญ่โตปะทะกับแสงสีทอง ทั้งสองมีนิสัยเด็ดขาด แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการทำลายร่างเทห์สวรรค์นี้ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะปะทะตรงๆ กับร่างเนื้อของพวกเขา เพราะร่างกายของพวกเขาไม่เหมือนกับมู่เฉินซึ่งเป็นมนุษย์เทพอสูร หากพวกเขาชนเข้ากับแสงนี่ พวกเขาถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน
ครืน!
ขณะที่ทั้งสองถอยออกไป ลำแสงสีทองก็ปะทะเข้ากับร่างเทห์สวรรค์ ทันใดนั้นเสียงก็ดังกึกก้องขึ้น เมื่อแสงสีทองกระจายออก ทุกคนก็เห็นรอยแตกพล่านออกไปจากร่างเทห์สวรรค์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับแสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น
ปัง!
ร่างเทห์สวรรค์ทั้งสองแตกสลายเป็นประกายแสงอย่างรวดเร็ว
ปุ! ปุ!
เมื่อร่างเทห์สวรรค์ถูกทำลาย โยวหมิงและฟังยี่ที่ถอยร่นออกมาก็กระอักเลือดเต็มปาก ใบหน้าซีดราวกับกระดาษ รัศมีอ่อนแอลง พวกเขาหมดสติไปทันที เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
ความปั่นป่วนที่เกิดจากมู่เฉินสุดยอดนัก ในรุ่นนี้ทั้งสามคนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ ทว่าความน่าตื่นตะลึงที่เกิดจากการเผชิญหน้าของพวกเขายิ่งใหญ่กว่าซุยนอนและหัตถ์ตะวันออกที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเสียอีก นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงของพวกเขาถูกระงับไว้ ทว่าความปั่นป่วนจากทั้งสามก็ยังคงดึงดูดความสนใจของทุกคน
หงหยูและซูปี้เยี่ยที่จ้องมองการต่อสู้ของมู่เฉินตลอดเวลาก็ได้แต่สูดอากาศเย็นเข้าปอด เมื่อเห็นว่าโยวหมิงและฟังยี่ล้มพับไปแล้ว พวกนางได้เห็นกระบวนท่าทั้งหมดที่ทำให้ทั้งสองคนพ่ายแพ้ยับเยิน…
ทว่าแม้จะเห็นด้วยสองตาตัวเอง แต่ก็ยังไม่สามารถระงับความตกใจในใจได้ ตอนแรกพวกนางคิดว่ามู่เฉินสามารถยันกับโยวหมิงและฟังยี่ได้ก็ดีมากแล้ว แต่ใครจะไปคิดได้ว่ามู่เฉินจะบดขยี้ทั้งสองจนหมอบราบคาบแก้ว…
“เขาน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ เลย…”
หงหยูและซูปี้เยี่ยแอบถอนหายใจในใจ ย้อนกลับไปในเขตหลงเฟิ่ง มู่เฉินเพียงจัดการให้โยวหมิงต้องถอยร่นกลับด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่ตอนนี้กระทั่งโยวหมิงและฟังยี่ร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ยากที่จะจินตนาการได้ว่าในเวลาไม่กี่ปี ความเร็วในการพัฒนาของมู่เฉินจะถึงระดับไหน?
ทุกคนฉายแววตกตะลึงในนัยน์ตา ทว่าสายตาของมู่เฉินยังคงจับจ้องไปที่โยวหมิงและฟังยี่ จากนั้นเขาสะบัดนิ้ว ลำแสงหลิงสองสายก็พุ่งออกมาซัดใส่หัวของทั้งสอง ดูจากท่าทางแล้ว มู่เฉินตั้งใจจะกำจัดรากเหง้าของปัญหาอย่างชัดเจน
ฟิ้ว!
แต่แม้ว่ามู่เฉินจะลงมือเด็ดขาด แต่ทันทีที่ลำแสงจะปะทะคนหมดสติ ร่างแสงสองร่างก็ปรากฏขึ้น คนที่มาใหม่สะบัดแขนเสื้อทำลายคลื่นหลิงจนแหลกสลาย
มู่เฉินขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพนี้ ทั้งสองเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกของจวนยมโลกและหมู่ตึกเทวะ ดูท่าพวกเขาตั้งใจจะปกป้องทั้งสองตั้งแต่เริ่มต้น ตอนนี้จึงไม่มีทางปล่อยให้เขาฆ่าอีกฝ่ายได้
จอมยุทธ์ทั้งสองเข้าช่วยคนเจ็บแต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างอื่นมาก สายตาที่มองไปที่มู่เฉินไม่มีแววประมาทอีกต่อไป แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความกลัวที่หนาแน่น
นั่นเป็นเพราะกระทั่งพวกเขายังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะโยวหมิงและฟังยี่ให้มีสภาพนี้ได้รึเปล่า ทว่ามู่เฉินกลับทำสำเร็จ ซึ่งบ่งบอกว่าเขาคนนี้เติบโตขึ้นจนมีระดับเทียบเคียงกับพวกเขาได้แล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ประคองโยวหมิงและฟังยี่ไว้ จากนั้นก็ถอยฉากทันที เพราะกลัวว่ามู่เฉินจะหันมาซัดใส่พวกเขาต่อ
เมื่อมู่เฉินเห็นว่าอีกฝ่ายหนีไปรวดเร็วแค่ไหน เขายิ้มไม่ได้ไล่ตาม ไม่เพียงแต่ทั้งคู่จะใช้ทักษะลับ มิหนำซ้ำยังได้รับบาดเจ็บหนัก แน่นอนว่าสิ่งนี้จะทิ้งผลสะท้อนกลับเอาไว้อย่างรุนแรง ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะรอดตาย แต่การเพาะบ่มพลังก็จะหยุดชะงัก เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาฟื้นตัวเต็มที่ มู่เฉินก็แซงหน้าพวกเขาไปไกลแล้ว…
มู่เฉินถอนสายตามองที่ใจกลางทะเลสาบ ตอนที่เขาต่อสู้กับโยวหมิงและฟังยี่ ก้อนแสงจำนวนมากก็ถูกครอบครอง แต่เห็นได้ชัดว่ายังไม่มีใครได้รับของเหลวหลิงเสิน มิฉะนั้นความปั่นป่วนคงกระจายไปทั่วแล้ว
“ของเหลวหลิงเสินยังอยู่ที่นี่เรอะ…”
มู่เฉินจ้องมองก้อนแสงที่ยังมีอีกไม่มาก ตอนนี้มีก้อนแสงเหลืออยู่ไม่ถึงห้าก้อนเท่านั้น แต่พวกมันกลับกำจายรัศมีรุนแรง ความเร็วของพวกมันก็ไม่ธรรมดา มีจอมยุทธ์หลายคนพยายามที่จะดักจับไว้ให้ได้ แต่ความพยายามของพวกเขาก็ล้มเหลว
มู่เฉินจ้องมองก้อนแสงทั้งห้า แต่ขณะที่กำลังจะสัมผัสสิ่งของที่อยู่ในก้อนแสงเหล่านั้น หัวใจของเขาก็สั่นสะเทือน เขากำมือวัตถุสีดำลึกลับก็ปรากฏขึ้น
นี่เป็นโลหะสีดำรูปสามเหลี่ยมที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้
โลหะสีดำรูปสามเหลี่ยมที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดนับตั้งแต่มู่เฉินได้รับมา กลับร้อนขึ้นมากในตอนนี้…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น