หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 933-938

 บทที่ 933 ศูนย์กลางที่ซ่อนเร้น

“ไป!”


เมื่อประตูสีทองเขียวพังลง เสียงคำรามแผ่วเบาของมั่นถัวหลัวก็ดังก้องในโสตประสาทของทุกคน ทันใดนั้นพวกเขาก็ทะยานตัวกลายเป็นริ้วแสงสิบกว่าสายพุ่งเข้าไปในประตู


มั่นถัวหลัวเป็นผู้นำเข้าไป


ฮึ่ม!


ทันทีที่เข้ามา มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงมิติที่กระเพื่อมไหวอยู่ในสภาพแวดล้อมรอบด้าน สายตาของเขามืดลงชั่วขณะก่อนที่จะชัดเจนขึ้น


ทว่าทันใดนั้นรัศมีสังหารที่น่าสะพรึงกลัวก็ครอบงำราวกับมารอสูรล้อมเข้ามาจากทุกทิศทาง


ภายใต้รัศมีสังหารแผ่นหลังของมู่เฉินและคนที่เหลือก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น


โฮก!


เมื่อพวกเขามองไปทางนั้นก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมโดยรอบ มิตินี้เป็นที่ราบไร้ขอบเขตโดยมีความขมุกขมัวส่องลงบนพื้นดิน ขณะที่รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้นบนพื้นดินในมิติ


จากรอยแตกนั้น รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากแผ่ออกมา มู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นสายธารสีดำไหลออกมาจากรอยแตกเหล่านั้นอย่างไม่รู้จบ


เสียงคำรามผิดแผกดังมาจากสายธารสีดำซึ่งเหมือนจะไม่มีความเข้ากันกับมหาพันภพ นั่นเป็นเพราะเมื่อเสียงคำรามดังสะท้อน คลื่นหลิงในมิติก็พยายามหลีกเลี่ยงอย่างสมบูรณ์ ราวกับว่ากำลังปฏิเสธอีกฝ่าย


มู่เฉินจ้องสายธารสีดำอย่างใกล้ชิด ทันใดนั้นหัวใจก็สะท้านไหว เขาเห็นเงาสีดำเลือนรางนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นภายในซึ่งเงาเหล่านี้ดูแข็งแกร่งมาก เว้นแต่ว่าพวกมันราวกับถูกสร้างมาจากควัน แสดงให้เห็นร่องรอยของการบิดเบือนคลุมเครือ มีเพียงดวงตาสีแดงที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความโลภและความปรารถนา


เสียงผิดปกติที่ดังเสียดหูและถูกคลื่นหลิงในฟ้าดินปฏิเสธ เกิดจากพวกมัน


ขณะที่สายธารสีดำไม่รู้จบหลั่งไหลออกมาจากรอยแตกมิติ คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินก็เดือดพล่าน มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นชั้นเมฆกลิ้งไปมาบนขอบฟ้าไกลโพ้น ชั้นเมฆเหล่านี้สร้างขึ้นมาจากร่างนับไม่ถ้วนที่เดินทางข้ามขอบฟ้าอยู่ เมื่อมองใกล้เข้าไปคนเหล่านี้ก็คือจอมยุทธ์จากมหาพันภพที่มีคลื่นพลังงานทรงพลังกำจายอยู่รอบตัว…


“โฮก!”


เมื่อสายธารสีดำเห็นจอมยุทธ์เหล่านี้กวาดเข้ามาก็เปล่งเสียงคำราม สายธารสีดำครอบงำขอบฟ้า ทันใดนั้นทั้งสองฝ่ายที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งเข้าโรมรันกันอย่างหนักหน่วง


ฟ้าดินแตกสลายจากสงครามครั้งนี้


ขณะที่พลังงานสองชนิดชนกัน มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็เห็นร่างควันดำจำนวนมากเคลื่อนตัวผ่านมิติอย่างชัดเจน แขนของพวกมันทะลุผ่านแนวป้องกันของจอมยุทธ์ทรงพลังก่อนที่จะเจาะทะลวงเข้าไปในร่างของพวกเขาเหมือนคมมีด


อ้ากกกก!


เหล่าจอมยุทธ์แผดเสียงร้องลั่น ขณะที่ร่างกายของพวกเขาแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่อึดใจร่างของพวกเขาก็กลายเป็นฝุ่นแล้วระเบิดออก ส่วนเงาดำเหล่านั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาด


ฉากนี้ทำให้มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกหนังหัวชาหนึบไปหมด


การต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้ เกิดขึ้นทุกหัวระแหงในมิติแห่งนี้


เสียงรบราล้อมรอบมิติ


ภายใต้การสังหารนี้ ดวงตาของพวกมู่เฉินราวกับจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเหมือนกัน


“ตึง!”


ทว่าขณะที่ดวงตาของพวกเขาแดงเข้มทบทวี เสียงระฆังคมชัดก็ดังขึ้นชำระล้างจิตใจของพวกเขาทันท่วงที สีแดงในดวงตาสลายหายไป พวกเขาหลุดจากผลกระทบของภาพการสังหาร


แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจ ก่อนที่จะเงยหัวขึ้นเห็นมั่นถัวหลัวยืนอยู่ตรงหน้า นางสะบัดนิ้วเบาๆ คลื่นหลิงสั่นสะเทือนเปล่งเสียงระฆังคมชัดออกมา


เห็นได้ชัดว่านางคือคนที่ดึงพวกเขากลับมาจากสงครามนั่น


“นี่คือฉากสงครามแตกหักตอนที่มหาพันภพถูกรุกรานโดยเผ่าปีศาจต่างมิติ” มั่นถัวหลัวจับจ้องภาพการต่อสู้ที่ดุเดือดขณะที่อธิบายช้าๆ


แม้ว่าทุกคนจะเดาได้บ้างแล้ว แต่ม่านตาก็ยังอดหดเกร็งไม่ได้เมื่อได้ยินคำยืนยันจากมั่นถัวหลัว


เงาดำเหล่านั้นคือพวกเผ่าปีศาจมิติเรอะ?


“ไม่มีใครรู้ว่าพวกปีศาจต่างมิติมาจากไหน แต่พวกมันราวกับฝูงตั๊กแตนทุกเส้นทางที่พาดผ่านจะกลืนกินคลื่นหลิงในฟ้าดินจนไม่เหลือ หากปล่อยให้พวกมันบุกเข้าสู่มหาพันภพได้ จักรวาลแห่งนี้ก็จะล่มสลาย ขณะเดียวกันพิภพเขตล่างนับไม่ถ้วนก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน”


“ข้าเคยเห็นทวีปที่ถูกเผ่าปีศาจเข้ายึด คลื่นหลิงหายไปอย่างสมบูรณ์ สถานที่แห่งนั้นไม่เหมาะสำหรับการเพาะบ่มขุมพลังอีกต่อไป ซึ่งสิ่งมีชีวิตในทวีปนั้นก็กลายเป็นธรรมดาจากการหายไปของคลื่นหลิง…” ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งเครียดลงหลายส่วน


“ซื้ด!”


เมื่อได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอด พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าภาพไร้ซึ่งคลื่นหลิงจะเป็นอย่างไร นั่นเป็นจุดสิ้นสุดของมหาพันภพที่แท้จริง


ไม่แปลกใจที่จอมยุทธ์ในมหาพันภพจะรวมพลังกันเมื่อเผชิญกับการรุกรานของเผ่าปีศาจต่างมิติ เป็นเพราะผลที่ได้นั้นเป็นหายนะสำหรับทุกผู้ทุกนาม


“สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงภาพลวงตา อย่าถูกกระทบจากรัศมีสังหาร มิฉะนั้นพวกเจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในนั้นด้วย” มั่นถัวหลัวเตือน


ทุกคนพยักหน้ารับทันที หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมั่นถัวหลัว พวกเขาไม่ถึงครึ่งคงไม่สามารถหลุดออกมาได้ ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนอันตรายอย่างแท้จริง


เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นการตอบสนองของทุกคน นางก็ไม่ได้พูดอะไรหันกลับทะยานตัวออกไปยังจุดสิ้นสุดของมิตินี้ นางสะบัดมือปัดรัศมีสังหารออกไปอย่างสมบูรณ์


ทุกคนติดตามไปทันที พวกเขาเร้าคลื่นหลิงหมุนวนปกป้องตัวเอง ไม่กล้าที่จะประมาทอีกต่อไป


ขณะที่ทะยานผ่านสนามรบ พวกเขาก็พบว่าที่นี่กว้างใหญ่เพียงใด ไม่รู้ว่าเดินทางมานานแค่ไหน แต่ก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย


ทั่วทั้งมิติเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานจากการสังหารเผ่าพันธุ์


พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปอีกนานแค่ไหน แต่ในเมื่อมั่นถัวหลัวไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็ได้แต่ติดตามนางไปอย่างใกล้ชิดเท่านั้น…


หลังจากเดินทางต่อเป็นเวลานาน ในที่สุดมั่นถัวหลัวก็ชะลอตัวลง เสียงเคร่งเครียดของนางดังขึ้นในโสตประสาท “ทุกคนระวังด้วย!”


เมื่อได้ยินคำเตือนจากมั่นถัวหลัว มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็อึ้งไป แต่พวกเขาก็ยังเกร็งตัวระวังตามสัญชาตญาณพลางหมุนเวียนคลื่นหลิงทันที


ฮึ่ม!


ขณะที่พวกเขาหมุนเวียนคลื่นพลังเพื่อปกป้องร่างกาย ทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่าเสียงสงครามวิปโยคที่ดังก้องอยู่ในมิติก็หายวับไป


ในเวลาเดียวกันสภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปอย่างมาก


สนามรบที่กว้างใหญ่หายไปถูกแทนที่ด้วยมหาสมุทรไร้ขอบเขต มหาสมุทรแห่งนี้เป็นสีฟ้าเข้ม คลื่นยกตัวขึ้นสูงก่อนซัดลงมา ทุกคนเห็นมิติถูกคลื่นทำลายได้อย่างชัดเจน…


น้ำทุกหยดของมหาสมุทรดูเหมือนจะหนักเป็นพันชั่ง


มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นภาพนี้ ก้นของมหาสมุทรไม่สามารถวัดได้ ส่วนลึกของมหาสมุทรราวกับกลายเป็นความมืดไม่มีจุดสิ้นสุด ทำเอาหัวใจเย็นเยียบลง


ท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรก็มืดมิดเกินหยั่ง


ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้ว่าฉากที่ไม่คุ้นเคยนี้จะไม่มีรัศมีสังหารเหมือนกับสนามรบก่อนหน้า แต่ไม่รู้ทำไม พวกเขากลับรู้สึกถึงแรงกดหนาแน่น


แรงกดดันไม่สามารถอธิบายได้ แต่ก็ทำเอาไม่อาจหายใจได้


มั่นถัวหลัวยืนอยู่บนท้องฟ้า ม่านตาสีทองคำกวาดมองมหาสมุทร ไม่นานดวงตาก็กะพริบด้วยแสงสีทอง ขณะที่พึมพำกับตัวเอง “กลยุทธ์ยอดเยี่ยมจริงๆ”


“ท่านประมุข…ที่นี่คือ?” เทียนจิ้วถามเสียงเบา กระทั่งตัวเขายังรู้สึกกดดันอย่างไร้รูปแบบจากมหาสมุทรนี้


“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ที่นี่น่าจะสร้างขึ้นโดยจุดจื้อจุนไห่ของท่านจอมพลสี่” มั่นถัวหลัวตอบเสียงเบา


“เกิดจากจุดจื้อจุนไห่?”


ดวงตาของเหล่าผู้บัญชาการเบิกกว้างขึ้นขณะที่กวาดมองบริเวณนี้อย่างตะลึง จุดจื้อจุนไห่เป็นที่มาของพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุน ดังนั้นพวกเขาจึงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นจุดจื้อจุนไห่สร้างฉากดังกล่าวขึ้นเบื้องหน้าครรลองสายตาของพวกเขา


“เมื่อระดับการเพาะบ่มมาถึงในจุดเดียวกับท่านจอมพลสี่ จุดจื้อจุนไห่ของจอมยุทธ์เทียบเท่ากับมิติหนึ่ง พวกเขาสามารถเปิดทะเลพลังเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูกักขังเอาไว้ภายใน เวลานั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็จะไม่เหลืออะไรจากคลื่นหลิงที่หมุนวนเหล่านี้” มั่นถัวหลัวกล่าว


ทุกคนต่างตกตะลึงเกินคำบรรยายจากคำพูดของนาง ในระดับของพวกเขาต้องซ่อนจุดจื้อจุนไห่ไว้ในร่างกายเนื่องจากกลัวว่าจะถูกผู้อื่นทำลาย เพราะสำหรับจอมยุทธ์ระดับจื้อจุน ร่างกายถูกทำลายไม่เป็นไร แต่ถ้าจุดจื้อจุนไห่ของพวกเขาถูกทำลายการฝึกฝนทั้งชีวิตก็จะสลายหายไปจนสิ้น


ดังนั้นคงไม่มีใครกล้าดึงศัตรูเข้าสู่จุดจื้อจุนไห่ของตน


แต่พวกเขาไม่คิดว่าวิธีการที่จอมยุทธ์ทั้งหลายหลีกเลี่ยง จะถูกนำมาใช้อย่างน่าสะพรึงกลัวในมือของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน…


“ที่นี่น่าจะเป็นศูนย์กลางของขุมทรัพย์แล้ว”


ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวมองเข้าในความลึกของมหาสมุทรนี้ นิ้วเล็กก็ชี้ไปยังทิศทางนั้น “ระวังกันด้วย”


เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หัวใจแต่ละคนก็สั่นสะท้าน ในที่สุดพวกเขาก็อยู่ในใจกลางของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้วเหรอ? ไม่รู้ว่ากองทัพอื่นมาถึงที่นี่เหมือนกันแล้วหรือยัง?


เหล่าผู้บัญชาการแลกเปลี่ยนสายตากัน สีหน้าเครียดลงหลายส่วน ทุกคนรู้สึกได้ถึงพายุน่ากลัวที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า…


บทที่ 934 เจ็ดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน

คลื่นซัดกระหน่ำในมหาสมุทรกว้างใหญ่


ทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากมหาสมุทรเลย มีเพียงคลื่นที่ก่อตัวทำให้เกิดการบิดเบี้ยวในมิติ


มั่นถัวหลัวยืนอยู่ด้านหน้า ม่านตาสีทองคำมองไปยังมหาสมุทรไม่มีที่สิ้นสุด จากนั้นนางก็โบกมือพร้อมกับร่างพุ่งออกไป


“ไป ข้ารู้สึกได้ว่าเราอยู่ไม่ไกลจากเป้าหมายสุดท้ายแล้ว”


เมื่อได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว ดวงตาพวกมู่เฉินก็หดลง ก่อนที่จะรีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่กล้าที่จะชักช้า


ทั้งกลุ่มบินข้ามมหาสมุทรอย่างเร็วรี่ แต่ยิ่งเข้าใกล้ส่วนลึก พวกมู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่กระจายระหว่างฟ้าดินทวีความรุนแรงขึ้น


สุดท้ายนอกเหนือจากมั่นถัวหลัวแล้ว แม้แต่เหล่าจอมพลก็เริ่มเคร่งเครียดขณะชะลอความเร็วลง


พอมั่นถัวหลัวรู้สึกว่าทุกคนชะลอความเร็วลง นางก็สะบัดนิ้ว คลื่นหลิงไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาก่อร่างเป็นเรือ ปรากฏอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา


เรือลำนี้สร้างจากคลื่นหลิง แต่กลับเปล่งประกายอัญมณีระยิบระยับ เมื่อพวกมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็อดเดาะลิ้นไม่ได้ การสร้างผลึกคลื่นหลิงอย่างง่ายดายเป็นเครื่องหมายของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอย่างแท้จริง


แม้เรือลำเล็กจะดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความทนทานไม่ด้อยไปกว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นกลางเลย มิหนำซ้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรือลำนี้ได้ปิดกั้นแรงกดดันของมิติเอาไว้ด้วย


ถึงสถานแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยจุดจื้อจุนไห่ของจอมพลสี่ แต่มั่นถัวหลัวก็เป็นจอมยุทธ์ในระดับนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่านางจะด้อยไปกว่าจอมพลสี่อยู่บ้าง แต่แค่การปิดกั้นแรงกดดัน ชัดว่าไม่ยากสำหรับนาง


ด้วยความช่วยเหลือของมั่นถัวหลัวความเร็วในการเดินทางก็เพิ่มขึ้น เรือบินอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่มั่นถัวหลัวจะเริ่มชะลอตัวลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน


คนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในระยะไกล มีวัตถุขนาดใหญ่ปรากฏเหนือมหาสมุทรนี้


มันเหมือนเป็นเกาะหินที่ลอยอยู่เหนือมหาสมุทรกำจายรัศมีโดดเดี่ยวออกมา เบื้องล่างเกาะมีเสาน้ำขนาดหมื่นจั้งตกลงสู่มหาสมุทรอย่างไม่มีสิ้นสุด


ฉากยิ่งใหญ่นี้ดูราวกับว่ามหาสมุทรก่อตัวขึ้นโดยมวลน้ำของเกาะหินโบราณลึกลับที่ไหลลงมา


เกาะหินลอยอยู่กลางอากาศขณะปลดปล่อยรัศมีที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้คลุมเครือออกมา ทำให้มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกว่าแม้ฟ้าดินจะถล่มทลาย แต่เกาะหินก็ยังลอยอยู่นิ่งได้


“เกาะหินแห่งนี้น่าจะเกิดจากจอมพลสี่ที่ล่วงลับ” ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวเปล่งประกาย ในที่สุดสิ่งที่นางตามหามาตลอดสงครามล่าในครั้งนี้ก็อยู่ตรงหน้านางแล้ว


ของเหลวหลิงเสินของจอมพลสี่จะต้องอยู่บนเกาะหินแห่งนี้แน่!


เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของนาง หัวใจของพวกเขาก็โลดขึ้น พวกเขาเดินทัพทั่วสงครามล่า ในที่สุดก็พบเป้าหมายแล้วรึ?


“ท่านประมุข จะลงมือเลยไหม?” ดวงตาของหลิงถงวูบไหว ยามนี้แม้แต่คนที่สงบนิ่งเป็นนิจอย่างเขาก็อดพูดอย่างตื่นเต้นไม่ได้


เมื่อได้ยินคำพูดนั่นมั่นถัวหลัวก็ยิ้มก่อนที่จะม่านตาสีทองคำจะเลื่อนขึ้น นางมองไปที่ทิศทางอื่นของมหาสมุทรนี้ “สถานที่ที่ถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแตะต้อง นอกจากนี้…ทำตัวเด่นที่นี่ก็ไม่ดีซะเท่าไร”


พอได้ยินประโยคดังกล่าว หัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหว เขามองไปทิศทางอื่น กองทัพสูงสุดอื่นๆ มาถึงแล้วรึ?


“ฮ่าๆ ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์น่าเกรงขามอย่างแท้จริง มาถึงที่นี่ก่อนพวกเราซะอีก นับถือๆ”


ขณะที่ความคิดแล่นผ่านในหัวใจของมู่เฉิน เสียงหัวเราะดังกระหึ่มก็ส่งผ่านไปทั่วมิติ สั่นคลอนราวกับฟ้าคำรน กระทั่งมหาสมุทรด้านล่างยังเกิดลูกคลื่นจากเสียงหัวเราะนี้


มั่นถัวหลัวมองไปก็เห็นการกระเพื่อมของมิติก่อนจะเกิดการฉีกขาด คนจำนวนมากกรูกันออกมา


เมื่อคนเหล่านี้ปรากฏตัว คลื่นหลิงในมิติก็เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมา


“พวกหมู่ตึกเทวะ!”


ครั้นเห็นเงาของฟังยี่ จินไถหลิวหลีและคนอื่นๆ ก็ชัดเจนว่ากองทัพที่เพิ่งมาถึงคือหมู่ตึกเทวะ


มู่เฉินกวาดมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ของหมู่ตึกเทวะ ก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตาไปยังร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสุด เขาเป็นชาย สวมเสื้อคลุมสีขาวยืนสองมือไพล่หลัง หน้าตาธรรมดา มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เป็นสีแดงราวกับไฟกำลังลุกไหม้ ไม่มีคลื่นหลิงทรงพลังกระเพื่อมรอบตัว ช่างดูธรรมดามากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ


ทว่าความธรรมดาดังกล่าวกลับทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นสะเทือนรุนแรง กระทั่งมั่นถัวหลัวที่ยืนเบื้องหน้ายังต้องหรี่ม่านตาสีทองคำลง


นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินได้เห็นท่าทางจริงจังขนาดนี้ของนางหลังจากที่เข้าสู่สมรภูมิหยุ่นลั้ว


เพราะชายชุดขาวคนนี้ก็คือประมุขแห่งหมู่ตึกเทวะ!


เขาเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีโอกาสบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมากที่สุด!


ในบรรดาประมุขขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ ชื่อเสียงประมุขคนนี้โด่งดังยิ่งกว่ามั่นถัวหลัวเสียอีก! แม้แต่นางก็ไม่กล้าที่จะดูถูกคนแบบนี้


เบื้องหลังประมุขหมู่ตึกเทวะ ยังมีร่างที่กำจายคลื่นหลิงทรงพลังอีกสี่ร่าง คลื่นหลิงผันผวนที่กำจายอยู่รอบตัวแต่ละคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทียนจิ้วเลย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือหัตถ์ทั้งสี่แห่งหมู่ตึกเทวะ ซึ่งเทียบได้กับจอมพลทั้งสามของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


ด้านหลังหัตถ์ทั้งสี่ ก็เป็นเหล่าเจ้าภูเขา ฟังยี่และคนอื่นๆ ซึ่งเป็นกระบวนทัพที่หรูหรามากเลยทีเดียว


ทว่าในหมู่พวกเขา บางคนมีสีหน้าซีดขาว ระลอกคลื่นหลิงวุ่นวาย เห็นได้ชัดว่าถูกขัดขวางระหว่างทางมาที่นี่และจ่ายราคาบางส่วนไป


ไม่ใช่พวกมู่เฉินเท่านั้นที่พบกับอุปสรรคระหว่างทางมาที่นี่


“ดูเหมือนว่าหมู่ตึกเทวะก็พบกับปัญหาใหญ่เลยทีเดียว” ขณะที่มู่เฉินสังเกตเห็นคลื่นหลิงวุ่นวายรอบตัวคนเหล่านั้น มั่นถัวหลัวก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มบาง


“ฮ่าๆ พวกเขาอ่อนปวกเปียกไปหน่อยจนมีปัญหาในการจัดการเรื่องเล็กเรื่องน้อย” ประมุขหมู่ตึกเทวะยิ้มสบายๆ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปยังเกาะหินโบราณ “แต่ตราบใดที่ข้าสามารถได้รับของเหลวหลิงเสินที่ถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่ การสูญเสียทั้งหมดก็คุ้มค่า”


ขณะที่พูดเขาก็มองไปที่มั่นถัวหลัว น้ำเสียงจริงใจเปล่งออกมาว่า “ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เจ้ากับข้ารู้จักกันมาหลายปี หากเจ้าช่วยให้ข้าได้รับของเหลวหลิงเสิน ภูมิภาคทางเหนือจะเป็นสวรรค์ของเราสองคนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”


เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดนั่นก็หัวเราะเสียงพลิ้วก่อนที่จะปรายตามอง “ขอบคุณที่คิดถึงข้า แต่ข้าว่าเราต่างใช้ความสามารถในการคว้าของเหลวหลิงเสินเถอะ”


“งั้นก็น่าเสียดายเหลือเกิน” ประมุขหมู่ตึกเทวะถอนหายใจขณะพูดต่อ “ดูท่าจะมีขั้วอำนาจสูงสุดถูกลบออกจากภูมิภาคทางเหนือหลังจากสงครามล่าครั้งนี้สิ้นสุดลงเสียแล้ว”


เมื่อพูดจบ สีหน้าพวกมู่เฉินก็เปลี่ยนไป แสงเย็นเยียบวาบผ่านม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัว “อย่าพึ่งดีใจเร็วเกินไป ไม่งั้นเจ้าจะกลายเป็นตัวตลกเมื่อล้มเหลว”


ประมุขหมู่ตึกเทวะยิ้มและเงียบลง ท่าทางของเขาทำให้จิตใจของพวกมู่เฉินจมดิ่ง เวลานี้พวกเขาถึงได้ตระหนักถึงความสำคัญอย่างยิ่งของของเหลวหลิงเสิน


หากประมุขหมู่ตึกเทวะได้รับไป เขาก็จะทำการบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย เมื่อเวลานั้นจะไม่มีใครในภูมิภาคทางเหนือต่อกรกับเขาได้


ในเวลานั้นแม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ต้องเลือกระหว่างยอมก้มหัวให้หรือไม่ก็พินาศไป


ในสายตาของจอมยุทธ์เหล่านี้ ขั้วอำนาจสูงสุดสามารถทำลายได้อย่างง่ายดายด้วยการพลิกมือ


พร้อมกับบทสนทนาที่แตกสลายของมั่นถัวหลัวและประมุขหมู่ตึกเทวะ กองทัพทั้งสองที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงการสาดสายตาเย็นชาเข้าใส่กันไม่ยั้งเป็นระยะ


รัศมีตึงเครียดกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ ทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก…


ทว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากมีเสียงลมกรูเข้ามาจากระยะไกล ยามนี้มีร่างแสงมากมายทะยานเข้ามาเช่นกัน


ไม่กี่อึดใจร่างแสงหลายร่างก็ปรากฏตัวขึ้นรอบเกาะหินโบราณ


“ไม่คิดว่าต่อให้เร่งสุดกำลังแล้วจวนยมโลกก็ยังอยู่หลังพวกเจ้า” เสียงหัวเราะระเบิดขึ้นพร้อมกับไอเย็นเยือกไม่มีที่สิ้นสุดดังก้อง เมื่อเสียงกระจายออกไปทำให้กระทั่งอุณหภูมิทั่วบริเวณก็ลดฮวบลง


หัวใจของมู่เฉินกระตุก ก่อนที่จะมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กลุ่มเงาดำขนาดใหญ่ส่งเสียงหวีดหวิวคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดดำ หมอกสีดำพวยพุ่งอยู่ในดวงตาทั้งสอง ที่กลางหว่างคิ้วมีเส้นสีดำราวกับมีดวงตาอีกดวงซ่อนอยู่ ทำให้เขาดูชั่วร้ายมาก


“ประมุขจวนยมโลก…”


มู่เฉินรู้ทันทีว่าชายคนนั้นก็คือประมุขจวนยมโลก—โยวมิ่ง มิหนำซ้ำเขายังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอีกด้วย


“อย่าลืมตำหนักสุดนภาของข้าในการล่าสมบัติครั้งนี้สิ”


อีกเสียงหนึ่งดังกึกก้อง ชายอาวุโสปรากฏตัวพร้อมกับสายตาลึกซึ้ง เขาคือหลิ่วเทียนเต้าประมุขตำหนักสุดนภา


ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการรวมตัวของจอมยุทธ์ยอดเขาหมื่นเทพ มองเห็นผู้อาวุโสสวมชุดสีขาวปักลายดวงดาวห้อยหยกสีขาวเอาไว้ เขาก็คือประมุขของยอดเขาหมื่นเทพ—วั้นเซิ่ง


ทางทิศตะวันออก หมอกสีดำกระจายไปทั่ว ขณะที่ร่างแข็งแกร่งยืนอยู่พร้อมกับรัศมีน่ากลัวกระเพื่อมไหวรอบตัว เขาสวมชุดเกราะสีดำ ดวงตาสีม่วง เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้แม้แต่ท้องฟ้าก็ดูมืดมนลง


เขาก็คือเยาตี้ประมุขแดนปีศาจ!


ทางใต้เสียงอสรพิษขู่ฟ่อดังสะท้อนไปทุกทิศทาง ชายสูงวัยสวมชุดสีเขียวพร้อมกับไม้เท้างูยืนอยู่บนอสรพิษใหญ่ตัวเขื่องขนาดหนึ่งพันจั้ง ขณะที่อสรพิษแลบลิ้นขู่เสียงดัง รัศมีพิษก็ราวกับก่อตัวเป็นเมฆพิษ


เขาคือวั้นตู๋เสอประมุขตำหนักเจ้าอสรพิษ


ร่างเหล่านี้ก็คือยอดยุทธ์แห่งภูมิภาคทางเหนือ โดยปกติไม่ได้เจอกันได้ง่ายๆ แต่เวลานี้ทั้งเจ็ดคนมารวมตัวกันที่นี่!


การรวมตัวนี้ ทำให้มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกว่าหนังหัวชาวาบ


ณ แห่งนี้น่าจะรวมยอดยุทธ์ทั้งหมดของภูมิภาคทางเหนือมาแล้ว


ต่อจากนี้ศึกชิงของเหลวหลิงเสินไม่มีใครรู้ว่าจะน่ากลัวเพียงไร…


บทที่ 935 จอมพลสี่

เหนือมหาสมุทรกว้างใหญ่


เกาะหินโบราณลอยอยู่อย่างเงียบเชียบ ซึ่งมีเหล่าจอมยุทธ์อยู่รอบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดยุทธ์ทั้งเจ็ด แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความผันผวนคลื่นหลิงกำจายรอบตัว แต่ทุกคนก็รู้ชัดเจนว่าถ้าพวกเขาเคลื่อนไหวก็จะสร้างหายนะใหญ่แน่นอน


จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดช่างเป็นการรวมตัวที่หรูหราที่สุดที่มู่เฉินเคยเห็น


ยามนี้กองทัพสูงสุดทั้งเจ็ดสำนักมารวมตัวอยู่ที่นี่แล้ว


ขณะที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดคนกำลังประจันหน้ากัน คนในกองทัพก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แรงกดบางเบาที่เกิดขึ้นจากทั้งเจ็ด ทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก


ชัดว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการควบคุมสถานการณ์นี้


มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างคนก็เดาะลิ้น ชัดว่ารู้สึกอึ้งทึ่งในหัวใจกับการรวมตัวครั้งนี้เช่นกัน


“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าทุกคนจะมีเป้าหมายเดียวกันในสงครามล่าครั้งนี้” ทว่าความเงียบก็กินเวลาไม่นาน ก่อนที่ประมุขหมู่ตึกเทวะจะเริ่มพูดเป็นคนแรก


“ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนที่ถูกทิ้งไว้โดยท่านจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลนับว่ามั่งคั่งมาก ในอดีตพวกเราไม่อาจเก็บเกี่ยวใดๆ แต่ตอนนี้เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็คงต้องลองเสี่ยงโชคกันหน่อย” วั้นเซิ่งประมุขยอดเขาหมื่นเทพยิ้มบาง เสียงสูงวัยของเขาดังก้องกังวานราวกับระฆังทั่วมิติ ทำให้คลื่นหลิงถึงกับกระเพื่อมไหว


ประมุขหมู่ตึกเทวะหลุบตาลง ราวกับว่ามีโลกลาวาพลุ่งพล่านในดวงตาสีแดงเข้มของเขา ภายใต้สายตาเปล่งประกายก็บรรจุด้วยพลังที่สามารถทำลายโลกได้ เขายิ้มบางพลางเอ่ย “ในบรรดาพวกเรา ข้าเป็นคนที่อยู่ใกล้กับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมากที่สุด ตราบใดที่ข้าได้รับของเหลวหลิงเสินของท่านจอมพลสี่ ก็จะง่ายสำหรับข้าในการบรรลุขุมพลัง ขณะที่พวกเจ้าอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากรากฐานที่ยังไม่เพียงพอ”


เมื่อคำพูดของประมุขหมู่ตึกเทวะดังขึ้น ประมุขของสำนักอื่นก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แต่เขากลับไม่สนใจกล่าวต่อว่า “หากทุกคนยอมเสียสละให้ข้า หลังจากที่ข้าบรรลุขุมพลัง ไม่เพียงภูมิภาคทางเหนือจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา กระทั่งดินแดนที่อยู่นอกเหนือก็จะเป็นของพวกเราทุกคน ทวีปเทียนหลัวกว้างใหญ่ไพศาล ทุกคนคงไม่คิดอยู่แค่ภูมิภาคทางเหนือหรอกนะ?”


เผชิญหน้ากับคำพูดของประมุขหมู่ตึกเทวะ ประมุขอีกหกคนก็กะพริบตาเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ด้วยนิสัยของพวกเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนใจโดยง่ายกับคำพูดแค่นี้


“หมู่ตึกเทวะช่างคำนวณได้เยี่ยม แต่ในโลกนี้เราเชื่อมั่นได้แต่ตัวเองเท่านั้น ดังนั้นข้าไม่คิดว่าจะปล่อยของเหลวหลิงเสินให้เจ้าไป ใช้ความสามารถที่มีมาวัดกันในการแข่งขันดีกว่า” ฝั่งแดนปีศาจ ชายสวมเกราะสีดำที่มีรูปร่างแข็งแกร่งก็ค่อยๆ พูดออกมาหลังจากครุ่นคิดสั้นๆ


“ซี้ด… กลัวว่าหลังจากที่บรรลุขุมพลัง เจ้าก็ยังโหยหิวไม่พึงพอใจและต้องการที่จะเขมือบพวกเราด้วยนะสิ แม้ว่าข้าจะแก่แล้ว แต่ข้าก็ไม่โง่ที่จะเลี้ยงเสือไว้เพื่อกินตัวเองหรอก” วั้นตูเส๋อเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา


จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสองคนประกาศจุดยืนแล้ว ชัดว่าพวกเขาไม่ชอบข้อเสนอของประมุขหมู่ตึกเทวะ สำหรับผู้นำคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ปฏิเสธในคำพูด


“น่าเสียดายจริงๆ” ประมุขหมู่ตึกเทวะยิ้ม แต่ก็ไม่โกรธอะไร ทว่าม่านตาของเขาที่ราวกับมีโลกลาวาซ่อนอยู่ยิ่งร้อนแรงมากขึ้น


“อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย ค่อยมาพูดเรื่องเจ้าของของเหลวหลิงเสินหลังจากพบมันก่อนเถอะ!” ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวพุ่งตรงไปที่เกาะหินที่เปล่งรัศมีโบราณออกมาขณะที่พูดต่อว่า “ของเหลวหลิงเสินน่าจะอยู่บนเกาะหินนั่น แต่คงจะไม่ง่ายนักที่จะขึ้นไปบนเกาะได้”


เมื่อได้ยินมั่นถัวหลัวดึงหัวข้อหลักกลับมา ทั้งหกคนก็เลื่อนสายตากลับไปที่บนเกาะหินโบราณก่อนที่ดวงตาจะหดลง ด้วยประสาทสัมผัสที่ว่องไว พวกเขารับรู้ได้ว่าเกาะหินนี้ไม่ธรรมดา


“รอบเกาะเคยถูกเสริมความคงทนด้วยพลังพิเศษ นอกจากนี้ข้ายังสัมผัสได้ถึงพลังงานทรงพลังที่ปกป้องมัน” หลิ่วเทียนเต้าประมุขตำหนักสุดนภาเปิดปากพูดอย่างช้าๆ


“ลองก็รู้” ประมุขจวนยมโลกยกมือขึ้นโบกลงทันที คลื่นหลิงที่น่ากลัวปะทุออกมาราวกับพายุ มือสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นทันที มองจากที่ไกลมือนี้ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากอัญมณีสีดำ ส่งเสียงหวีดหวิวออกมารอบทิศทาง ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ในมหาสมุทรเบื้องล่าง


กระบวนท่าง่ายๆ จากโยวมิ่งแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุน กระทั่งเทียนจิ้ว… หรือแม้แต่ซุยนอนที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็คงต้องได้รับบาดเจ็บหนักจากการฝ่ามือดังกล่าว


ครืน!


ฝ่ามือดำมืดกดลงมาจากท้องฟ้า รัศมีพลังนั้นอาจทำให้สิ่งกีดขวางที่อยู่เบื้องหน้ากลายเป็นเถ้าถ่านทั้งหมด ทว่าการโจมตีดังกล่าวกลับไม่สามารถทำให้เกาะหินสั่นไหวได้สักนิด


ภายใต้การจ้องมอง มือดำก็พุ่งเข้าหาเกาะหินอย่างรวดเร็ว อึดใจเดียวก็อยู่ห่างเพียงพันจั้งเท่านั้น


ทว่าจังหวะที่เข้าใกล้ ลำแสงก็ถูกยิงออกมาจากท้องฟ้าของเกาะหินลอย เมื่อแสงเหล่านั้นถักทอกันก็กลายเป็นปราการผลึกแก้วห่อหุ้มเกาะหินไว้ภายใน


ตู้ม! ตู้ม!


มือดำกระแทกกับปราการผลึกแก้วอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ม้วนตัวพร้อมกับคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายเป็นวง ล้อมรอบพื้นที่ในรัศมีหลายหมื่นจั้ง


แต่เมื่อคลื่นกระแทกเข้าใกล้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดคนก็เหือดหายไปทันที ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังปลอดภัยจากอันตรายใดๆ


เมื่อคลื่นกระแทกกระจายออกไป ทุกคนก็เพ่งสายตา ใบหน้าเปลี่ยนไปทันที นั่นเป็นเพราะพวกเขาพบว่าหลังจากได้รับการโจมตีจากโยวมิ่ง ปราการผลึกก็ยังอยู่ยงไม่ขยับแม้แต่น้อย


“การป้องกันยอดเยี่ยมจริงๆ” มู่เฉินและคนอื่นๆ ร้องอุทานในใจ ปราการผลึกเพียงอย่างเดียวก็อาจเพียงพอที่จะขัดขวางจอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้ขุมพลังตี้จื้อจุนเอาไว้ได้ทั้งหมดเลยทีเดียว


“ไม่ธรรมดาจริงๆ” ประมุขจวนยมโลกกล่าวเสียงเบา ทว่าเขาก็ไม่ได้ประหลาดใจนัก หากแนวป้องกันที่ถูกทิ้งไว้จอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลายได้ง่าย นั่นถึงจะน่าแปลกใจกว่า


“ในเมื่อทุกคนอยากได้สมบัติก็รวมพลังกันเพื่อทำลายดีกว่า” มั่นถัวหลัวมองปราการผลึกอยู่นาน ก่อนที่จะพูดออกมา


ประมุขอีกหกคนแลกเปลี่ยนสายตาพลางพยักหน้า ด้วยความระมัดระวัง พวกเขาไม่มีทางโง่ที่คิดจะเป็นคนโดดเด่น การใช้พลังงานของตัวเองอย่างสูญเปล่าเพื่อทำลายค่ายกลจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากไป ดังนั้นในเวลานี้จึงเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะลงมือพร้อมกัน


หลังจากตกลงกันแล้ว ทั้งเจ็ดก็ไม่รอช้า ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะลอยอยู่รอบทิศเกาะหินโบราณ


เมื่อพวกมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็รีบถอยร่นออกมา การโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดคนเป็นภัยล้างโลกครั้งใหญ่แน่นอน ดังนั้นหากพวกเขาประมาทก็จะได้รับผลกระทบจากคลื่นกระแทก ถึงตอนนั้นคงโศกสลดจนไม่อาจบอกใครได้


พร้อมกับการล่าถอยของพวกเขา จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดคนก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในมิตินี้ที่เดือดพล่านเหมือนเครื่องปั่นไฟ


คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลเปล่งเสียงคำรามที่เบื้องหลังทั้งเจ็ด มองจากที่ไกลราวกับดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่เจ็ดดวงลุกโชนที่เบื้องหลังพวกเขา นี่เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อคลื่นหลิงถูกรวบรวมเข้าด้วยกันจนถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว


ตู้ม!


ไม่มีใครชักช้า แต่ละคนหมุนเวียนพลังงานแล้วซัดฝ่ามือลงไป!


แคร็ก!


เมื่อคลื่นหลิงทั้งเจ็ดสายฟาดลง มิติก็แตกกระจายในเส้นทางที่ผ่าน สะเก็ดมิติไร้ขอบเขตกระเด็นเต้นระริกรอบๆ


ครืน!


คลื่นหลิงทั้งเจ็ดสายเจาะทะลุมิติราวกับมังกรยักษ์ อึดใจเดียวก็มาถึงเหนือเกาะหินชนกับปราการผลึกที่กั้น


ทันทีที่ปะทะกันก็ทำให้ทั่วบริเวณเงียบสงัด ก่อนที่พายุเฮอริเคนจะซัดสาด…


คลื่นสูงหมื่นจั้งนับไม่ถ้วนยกตัวขึ้นจากมหาสมุทรเบื้องล่างกวาดออกทำให้เกิดเสียงอื้ออึง พื้นที่มิติในเส้นทางแตกกระจาย


ผู้ที่เฝ้ามองถอยห่างออกไปไกลมากแล้ว ทว่าใบหน้าของพวกเขาก็ยังขาวซีดจากคลื่นกระแทก พวกเขาใช้วิธีการต่างๆ เพื่อทำให้ร่างคงเสถียรภาพไว้ได้


เมื่อทรงตัวไว้ได้ พวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างเห็นความตกใจของกันและกัน นี่ก็คือพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน มันสามารถทำให้เกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่โดยง่ายเลย


หากพวกเขาต่อสู้กันจริงๆ มิตินี้ก็คงทนไม่ได้


“การโจมตีที่น่าสะพรึงเช่นนี้คงจะทำลายปราการที่จอมพลสี่ทิ้งไว้ได้แล้วมั้ง?” ทุกคนฉุกคิดในใจ ก่อนที่จะกวาดสายตาจ้องมองไปที่เกาะหิน จากนั้นม่านตาพวกเขาก็หดแคบลง ก่อนที่จะสูดหายใจเย็นเข้าไป


นั่นเป็นเพราะเกาะหินยังลอยอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้าที่ห่างไกล ความแวววาวจากปราการผลึกก็ยังเปล่งประกายออกมาโดยไม่แสดงร่องรอยใดๆ


ปราการผลึกสามารถรับการโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดได้โดยไม่เกิดความเสียหายอะไรเลย!


ตอนนี้ไม่เพียงแต่ใบหน้าพวกเขาเปลี่ยนไป แม้แต่ประมุขทั้งเจ็ดก็ขมวดคิ้วทีละน้อย ชัดว่าต่างสัมผัสได้ถึงบางสิ่งผิดปกติ


“ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ” มั่นถัวหลัวกล่าวอย่างเคร่งขรึม


ประมุขหมู่ตึกเทวะขมวดคิ้วแน่น ไม่นานสายตาก็หดลง รีบเงยหน้ามองดูปราการผลึก จุดนั้นเกิดความมันวาวโชติช่วงแล้วรวมตัวกันช้าๆ


มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ รีบเบนสายตามองไปทันที


แสงรวมตัวกันอย่างรวดเร็วบนปราการผลึก สุดท้ายก็ก่อนเป็นร่างชุดสีฟ้าอมเขียวภายใต้การจ้องมองของทุกคน…


พวกมู่เฉินมองร่างชุดสีฟ้าอมเขียวที่ปรากฏขึ้นกะทันหันก็อึ้งไป แต่ก่อนที่พวกเขาจะส่งเสียงสงสัย ก็เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปฉับพลันของพวกมั่นถัวหลัว


จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องตื่นตะลึงของประมุขหมู่ตึกเทวะ หัวใจแต่ละคนกระตุกขึ้น หนังหัวชาวาบ


“นี่มัน…ท่านจอมพลสี่?!”


บทที่ 936 หุ่นวิญญาณทรงพลัง

แสงไหลกระทบปราการผลึก


แต่สายตาทุกคู่กลับจ้องมองไปยังร่างสวมชุดสีฟ้าอมเขียวที่เพิ่งปรากฏตัวพร้อมกับความตกใจอัดแน่นในดวงตา


กระทั่งยอดยุทธ์อย่างประมุขทั้งเจ็ดยังอดมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้


จากประสบการณ์ พวกเขารับรู้ได้ว่าร่างในชุดสีฟ้าอมเขียวก็คือเจ้าของลึกลับขุมทรัพย์นี้ ซึ่งก็คือจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลในสมัยโบราณนั่นเอง


“ท่านจอมพลสี่…”


ทุกคนฉายแววตื่นตะลึงในดวงตา แม้ว่าจอมยุทธ์อย่างเขาจะสิ้นชีพไปนานแล้ว แต่ชื่อเสียงก็ยังเป็นที่โจษขานไปทั่วทุกมุมโลก ว่ากันว่าในสมัยโบราณตอนที่วังสวรรค์บรรพกาลครอบครองทวีปเทียนหลัว จอมพลสี่เป็นผู้ปกครองรับผิดชอบภูมิภาคทางเหนือ แต่ทุกวันนี้ที่ภูมิภาคนี้กลับเต็มไปด้วยการแข่งขันโดยปราศจากผู้ปกครองที่แท้จริง


ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าพลังและความสำเร็จของจอมพลสี่ ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดคนนี้จะเปรียบเทียบได้ พวกเขาจึงตกใจมากเมื่อเห็นร่างนี้ปรากฏตัวขึ้น


ขณะที่พรรคพวกด้านล่างตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่โดยรอบเกาะหินโบราณก็จ้องมองไปที่ร่างสวมชุดสีฟ้าอมเขียวพร้อมกับคิ้วขมวดแน่น พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวสักกระผีก


คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาล แต่พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าจอมยุทธ์ผู้นี้เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนร่างร่างนี้น่าจะเป็นร่างดวงจิตที่ใช้วิธีการพิเศษเก็บรักษา แต่ถึงจะเป็นร่างดวงจิต มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าที่จะดูถูก


ระหว่างระดับตี้จื้อจุนทุกขั้นก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ แม้ว่าจอมพลสี่จะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายตอนมีชีวิต ซึ่งฟังดูสูงกว่าพวกเขาเพียงขั้นเดียว แต่พวกเขาเข้าใจชัดเจนว่าขั้นเดียวเล็กๆ นี้เพียงพอที่จะบีบอัดพวกเขาบี้แบนเลยทีเดียว


ประมุขทั้งเจ็ดยืนอยู่บนท้องฟ้าจ้องมองไปที่จอมพลสี่พร้อมกับกำจายคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวรอบร่างพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างมาก


ภายใต้การรอที่เคร่งเครียด ในที่สุดร่างชุดฟ้าอมเขียวก็เปิดเปลือกตาขึ้น ในเวลาเดียวกันคลื่นมากมายก็ยกตัวขึ้นในมหาสมุทรไร้ขอบเขตพร้อมกับส่งเสียงครวญครางราวกับว่ากำลังต้อนรับการกลับมาของเจ้านาย


คลื่นหลิงที่กดดันแข็งแกร่งกว่าประมุขทั้งเจ็ดค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากร่างชุดฟ้าอมเขียว


เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่กดดัน แม้แต่เหล่าประมุขสำนักก็ยังอดที่จะหดม่านตาลงไม่ได้


“ร่างดวงจิตที่เหลือไว้โดยท่านจอมพลสี่มีคลื่นที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ยังไง?” หลิ่วเทียนเต้ากล่าวอย่างเคร่งขรึม พูดโดยทั่วไปต่อให้จอมพลสี่เป็นจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นปลายตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาเสียชีวิตไปแล้ว ถึงร่างดวงจิตจะเก็บรักษาพลังไว้ได้ก็ไม่ควรทรงพลังเช่นนี้


“ข้าเกรงว่านี่ไม่ใช่ร่างดวงจิตธรรมดา… ในสายตาเขาไม่มีจิตสำนึกอยู่เลย” เยาตี้พูดขึ้นพร้อมกับประกายแสงแวววาวในดวงตา


มั่นถัวหลัวพยักหน้า นางเองก็ตระหนักได้ว่าไม่มีเส้นใยแสงหลิงอยู่ในร่างดวงจิตของจอมพลสี่เลย ตรงกันข้ามกลับดูว่างเปล่าแทน แต่โดยทั่วไปแล้วร่างดวงจิตที่ถูกทิ้งไว้โดยจอมยุทธ์ระดับนี้ควรจะมีจิตสำนึกหลงเหลือบ้าง แต่ร่างดวงจิตตรงหน้ากลับดูเหมือนหุ่นเงาอย่างไรอย่างนั้น


ประมุขหมู่ตึกเทวะหรี่ตาก่อนจะพูดเสียงเบา “นั่นไม่ใช่ร่างดวงจิตธรรมดา ถ้าข้าเดาไม่ผิดละก็ นี่น่าจะเป็นหุ่นวิญญาณที่ถูกสร้างมาเป็นพิเศษ ก่อนที่จอมพลสี่จะเสียชีวิต เขาได้เทคลื่นหลิงของตนลงไปและใช้ทักษะพิเศษบางอย่างในการเก็บรักษาเพื่อใช้ป้องกัน”


เมื่อได้ยินคำพูดของประมุขหมู่ตึกเทวะ มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ก็ตกใจไปเล็กน้อย จอมพลสี่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง เขาสามารถสร้างหุ่นเงาที่ทรงพลังเช่นนี้ได้


“ไม่ว่าหุ่นวิญญาณนี้จะทรงพลังแค่ไหน ข้าไม่คิดว่ามันจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตราบใดที่ไม่ใช่ ข้าเชื่อว่าเราทั้งเจ็ดคนจะสามารถจัดการกับมันได้!” ประมุขจวนยมโลกเค้นเสียงเย็น


“ทุกคนร่วมมือกัน!”


พอได้ยินเสียงแผดลั่นของประมุขจวนยมโลก มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ก็พยักหน้า หากพวกเขาต้องการที่จะเข้าสู่เกาะหิน ก็ต้องเอาชนะหุ่นวิญญาณของจอมพลสี่ให้จงได้ และหากต้องการที่จะเอาชนะมัน พวกเขาก็จะต้องร่วมมือกัน


ตู้ม!


คลื่นหลิงมหาศาลพลุ่งพล่านรอบตัวทั้งเจ็ดคน คลื่นพลังเหล่านี้ก็คือผลึกคลื่นหลิงจำนวนนับไม่ถ้วน ขณะที่เคลื่อนไหว แม้มิติก็ไม่สามารถรับแรงกดดันนั้นได้ ทำให้ถึงกับบิดเบี้ยวและแตกออก


“ไป!”


ทั้งเจ็ดลงมืออีกครั้ง แม่น้ำผลึกคลื่นหลิงทะลุผ่านเส้นขอบฟ้า ซึ่งดูราวกับมังกรตัวมหึมากวัดแกว่งกรงเล็บไปมา เสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าใส่ร่างชุดฟ้าอมเขียว


ขณะที่จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดออกกระบวนท่า จอมพลสี่ที่ยืนอยู่บนปราการผลึกก็มองอย่างไม่แยแสกับการโจมตีที่พุ่งเข้ามา ก่อนที่จะยกมือสองข้างขึ้น


ตู้ม!


ทันทีที่มือทั้งสองของเขายกขึ้น มหาสมุทรขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องล่างก็สั่นสะเทือน คลื่นขนาดหมื่นจั้งดันตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า มหาสมุทรแห่งนี้ไม่ใช่น้ำทะเลธรรมดา แต่เป็นคลื่นหลิงที่ถูกกลั่นละเอียดสูงเหมือนกัน


มหาสมุทรกวาดตัวไปทั่วสารทิศ กลายเป็นกระแสน้ำวนรอบร่างจอมพลสี่ ขณะที่กระแสน้ำวนหมุนคว้าง มิติหมื่นจั้งก็แตกสลายทั้งหมด เศษชิ้นส่วนมิติถูกลากเข้าไปในกระแสน้ำวน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำลายล้างที่น่ากลัว


ปัง! ปัง!


แม่น้ำผลึกทั้งเจ็ดสายพุ่งเข้ามากระแทกกับกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ทันใดนั้นฟ้าดินก็เหมือนจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น แม้แม่น้ำผลึกทุกสายจะทำให้กระแสน้ำวนหมุนช้าลง ทว่าก็ยังไม่สามารถทำลายกระแสน้ำวนลงได้


แม่น้ำผลึกโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง เมื่อแม่น้ำสายสุดท้ายระเบิดจากการปะทะ กระแสน้ำวนขนาดใหญ่ถึงได้แตกสลายกลายเป็นสายฝนโปรยปรายลงมา


“จอมพลสี่… น่าเกรงขามอย่างแท้จริง!”


เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไปเห็นการเผชิญหน้าที่น่าตกใจ พวกเขาก็อดตื่นตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะจอมพลสี่ แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็ยังสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนถึงเจ็ดคนได้ ซึ่งเป็นการท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง


ที่ยืนอยู่ตรงหน้าซุยนอน เทียนจิ้วและหลิงถงก็ฉายท่าทางที่เคร่งเครียด จากสายตาเฉียบแหลม พวกเขารับรู้ได้ถึงความน่าสะพรึงของจอมพลสี่ ซึ่งนี่ทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมจอมพลสี่ที่เสียชีวิตไปแล้วยังน่าขนพองสยองเกล้าขนาดนี้


ครืน!


ขณะที่ความตื่นตะลึงอัดเต็มใบหน้า การต่อสู้ก็เริ่มไปถึงตอนสำคัญ หลังจากได้รับเห็นความน่าสะพรึงจากหุ่นวิญญาณจอมพลสี่แล้ว มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าที่จะรั้งกระบวนท่าอีก


ทั้งเจ็ดคนเร้าพลังไปถึงขีดสุด คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก่อตัวขึ้นเป็นมิติที่ด้านหลังพวกเขา คลื่นหลิงที่ส่องประกายวูบวาบตกผลึกอย่างต่อเนื่อง ยิงเข้าใส่จอมพลสี่จากทุกทิศทาง


ภายใต้การโจมตีที่ดุเดือด มิติโดยรอบเกาะหินลอยหลายหมื่นจั้งก็แตกสลาย กระทั่งมหาสมุทรเบื้องล่างยังปรากฏรอยแตกมหึมา ใช้เวลานานกว่าน้ำมหาสมุทรจะกลับคืนสภาพเดิม


ประจันหน้ากับการโจมตีเลือดเดือดของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ด จอมพลสี่ก็ยังยึดฐานที่มั่นเกาะลอยได้อย่างมั่นคง เขาไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีใด กระบวนท่าทั้งหมดใช้เพื่อปกป้องทั้งนั้น ทว่าการป้องกันที่น่ากลัวนี้กลับทำให้ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแม้แต่เพียงคนเดียวสามารถก้าวเข้าสู่เกาะหินลอยได้


ตู้ม!


มือเรียวบางของมั่นถัวหลัวที่สร้างจากผลึกคลื่นหลิงพุ่งทะลุผ่านขอบฟ้า ปกคลุมใส่ร่างจอมพลสี่ ดวงตาสีทองคำเปล่งประกายวูบไหวขณะลงมือ


ต่อสู้มาถึงตอนนี้ นางบอกได้ว่าหุ่นวิญญาณจอมพลสี่ไม่ได้มีความคิดในการโจมตี แต่มุ่งเน้นพลังทั้งหมดเพื่อปกป้องเกาะหิน


แม้ว่าทั้งเจ็ดคนจะรวมพลังกัน แต่มั่นถัวหลัวก็รู้ดีว่าทุกคนออมพลัง ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดลงไป นั่นเป็นเพราะไม่มีใครต้องการที่จะหมดพลังอย่างสูญเปล่า ในเมื่อ…ของเหลวหลิงเสินยังไม่ปรากฏออกมา…


ถ้าสถานการณ์ยังดำเนินต่อไป พวกเขาจะไม่สามารถเข้าสู่เกาะหินได้ ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครได้รับของเหลวหลิงเสินไป แบบนี้พวกเขาไม่ต้องสู้จนหมดแรงกับหุ่นเงาตัวนี้เรอะ?


นี่โง่ไปหน่อยแล้ว


ประกายแสงในดวงตาของมั่นถัวหลัววูบไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นานนางก็กวาดมองปราการผลึกรอบๆ เกาะหิน ทันใดนั้นดวงตาของนางหรี่แคบลง


“การต่อสู้ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะกินเวลาอีกนานแค่ไหน…” จากระยะไกลซุยนอนสังเกตการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์ ขณะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาบอกได้เลยว่าทั้งเจ็ดคนไม่ได้มีความตั้งใจที่จะร่วมมือกันอย่างแท้จริง


มู่เฉินและคนอื่นๆ ยักไหล่ พวกเขาไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์นี้มากนัก ประมุขทุกคนต่างซ่อนความคิดของตัวเอง แล้วจะมาร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร?


“จอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ฟังคำสั่ง… ข้าจะหาโอกาสทำลายรอยแตกบนปราการผลึก ถึงตอนนั้นพวกเจ้ารีบเข้าไปค้นหาของเหลวหลิงเสิน!” ขณะที่มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกช่วยไม่ได้ เสียงเคร่งเครียดของมั่นถัวหลัวก็สะท้อนในโสตประสาท


เมื่อได้ยินจอมพลทั้งสามและพวกมู่เฉินก็อึ้งไป จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตาพลางพยักหน้าอย่างไม่ทันสังเกต ดูเหมือนว่าประมุขทั้งเจ็ดจะถูกผูกไว้กับศึกนี้เสียแล้ว ดังนั้นต่อไปจะต้องพึ่งพาพวกเขา…


ครืน!


คลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวสร้างความหายนะรอบเกาะหินอย่างต่อเนื่อง เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของประมุขทั้งเจ็ดคน หุ่นวิญญาณจอมพลสี่ก็ยังอยู่ในสภาพสงบนิ่ง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็มีคลื่นกระแทกที่กระทบปราการผลึกทำให้มันสั่นไหว


แม้ว่าหุ่นวิญญาณได้สืบทอดพลังของจอมพลสี่มา แต่ก็ไม่มีจิตสำนึกซึ่งนี่เป็นโอกาสของพวกเขา


ตู้ม!


การเผชิญหน้าบ้าคลั่งเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ได้อัดพลังลงไปเพิ่ม บีบบังคับให้หุ่นวิญญาณต้องถอยหลังกลับไปหลายก้าว


“โอกาสมาแล้ว!”


เมื่อจอมพลสี่ถอยหลัง แววตาของมั่นถัวหลัวก็วูบไหว นางสะบัดนิ้ว ลำแสงเจิดจ้าพุ่งออกมาจากปลายนิ้วมือ เจาะทะลุผ่านแนวป้องกันของหุ่นวิญญาณด้วยความเร็วที่อธิบายไม่ได้ ก่อนที่จะกระแทกกับขอบของปราการผลึก


ชี่! ชี่!


ลำแสงนี้แหลมมาก ทำให้กระทั่งปราการผนึกที่แข็งแรงยังเกิดรอยแตก


“ตอนนี้ล่ะ!”


มั่นถัวหลัวร้องเบาๆ ในใจ ทันใดนั้นเรือคลื่นหลิงก็พุ่งออกมาจากด้านหลังพุ่งผ่านรอยแยกปราการผลึกก่อนที่มันจะปิดตายอีกครั้ง


บนเรือคลื่นหลิงนี้มีร่างเหล่าจอมพลและพวกมู่เฉิน


“เข้าไปแล้ว!” เมื่อเห็นภาพนี้ มั่นถัวหลัวก็รู้สึกสมใจ แต่ก่อนที่นางจะคลายกังวล นางก็เห็นประมุขอีกหกคนพบโอกาสทองรีบไหลเวียนคลื่นพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพฉีกรอยร้าวบนปราการด้วยเช่นกัน


เมื่อรอยร้าวปรากฏขึ้น เบื้องหลังพวกเขาก็มีริ้วแสงปะทุขึ้นยิงเข้าไปในเกาะหิน


หมาจิ้งจอกเฒ่าฉลาดแกมโกงเหล่านั้น คิดวิธีเดียวกัน!


พวกเขาก็ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปยังเกาะหิน เพื่อค้นหาและแย่งชิงของเหลวหลิงเสิน


มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นแลกเปลี่ยนสายตากับประมุขอีกหกคนพอดิบพอดี จากนั้นใบหน้าแต่ละคนก็ต่างกระตุกไปเล็กน้อย…


บทที่ 937 การต่อสู้โกลาหล

“ไอ้พวกหมาจิ้งจอกเฒ่า”


ด้านนอกเกาะหิน มั่นถัวหลัวมองผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกส่งเข้าไปโดยประมุขคนอื่นก็เบ้ปาก


“ฮ่าๆ สมกับเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันหลายปีจริงๆ ท่าทางรู้ไส้รู้พุงกันดีทีเดียว” ประมุขหมู่ตึกเทวะยิ้มบาง ก่อนที่จะเหลือบคนทั้งหก


แต่ละคนพอได้ยินก็ผิวยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม


“เอาล่ะ ในเมื่อต่างคนต่างมีความคิดก็อย่าแกล้งทำอะไรอีกเลย ตอนนี้เราต้องรับมือกับหุ่นวิญญาณของจอมพลสี่เอาไว้ สำหรับของเหลวหลิงเสินก็ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปค้นหาเถอะ” มั่นถัวหลัวส่งเสียงร้องอย่างเย็นชา


ประมุขคนอื่นๆ ก็พยักหน้า ตอนแรกพวกเขาก็คิดเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ได้เห็นของเหลวหลิงเสินก่อน ไม่งั้นจะเร็วไปที่ต้องทุ่มสุดพลัง


ในเมื่อทำข้อตกลงกันแล้ว ทั้งเจ็ดคนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แต่ละคนออกกระบวนท่าน่าสะพรึงกลัวจู่โจมท่านจอมพลสี่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสไปขับไล่คนที่เข้าไปในเกาะหิน


บนเกาะหินลอย


ขณะที่ประมุขทั้งเจ็ดกำลังล้อมกรอบจอมพลสี่ไว้ รัศมีโบราณก็กำจายไปทั่ว ท่ามกลางเศษหิน ร่างแสงจำนวนมากก็ปรากฏขึ้น


คนกลุ่มนี้ก็คือจอมยุทธ์จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมื่อปรากฏตัวขึ้นมา แต่ละคนก็รีบหมุนเวียนคลื่นหลิงทันทีเพื่อป้องกันร่างกาย ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากกลัวว่าจะมีสิ่งมีชีวิตน่ากลัวโผล่อยู่บนเกาะหินนี้


ทว่าการตั้งแนวป้องกันของพวกเขาก็ดูจะไม่จำเป็น ที่นี่เงียบสงบไม่มีเหตุการณ์อะไรทั้งสิ้น


เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็รู้สึกโล่งใจในใจ ทว่าขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว ก็พบว่าจอมพลทั้งสามมีสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรงฉับพลัน


“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” มู่เฉินตกใจไป


“มีบางอย่างผิดปกติ!” ซุยนอนกล่าวเสียงเคร่งขรึม ดวงตาที่มักจะหลับอยู่เป็นนิจกลับเปล่งแสงวูบไหวในตอนนี้ แรงกดดันที่น่ากลัวปล่อยออกมาจากร่างเขา เขากำมือแน่นพร้อมกับคิ้วขมวดเป็นปม “คลื่นหลิงของข้าถูกระงับไว้โดยมาก!”


เมื่อครู่ตอนที่เขาหมุนเวียนคลื่นหลิง เขาสัมผัสได้ถึงการปราบปรามทรงประสิทธิภาพกดคลื่นหลิงของเขาเอาไว้ การไหลเวียนของคลื่นหลิงตอนแรกที่ทรงพลังกลับช้าลงมาก


ดูเหมือนจะมีพลังงานแปลกประหลาดผนึกจุดจื้อจุนไห่ในร่างกายของเขา ทำให้การหมุนเวียนของคลื่นหลิงอ่อนแอลง


“คลื่นหลิงของข้าก็ถูกจำกัดด้วย!” เทียนจิ้วและหลิงถงพูดออกมาพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย


เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยิน ก็ลองหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างทันที หลังจากนั้นใบหน้าของพวกเขาก็น่าเกลียดลงเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาประสบสถานการณ์เดียวกันอย่างชัดเจน


มู่เฉินขมวดคิ้วแน่นเมื่อสัมผัสกับคลื่นหลิงในร่าง ตามคาดคลื่นหลิงอ่อนแอลง ทว่าผลกระทบไม่รุนแรงจนเกินไป โดยรวมยังอยู่ในจุดที่เขายอมรับได้


“พลังข้าถูกระงับเจ็ดส่วน!” ซุยนอนเผยสีหน้าน่าเกลียดยิ่ง การถูกผนึกไว้ถึงเจ็ดส่วนแบบนี้ ก็หมายความว่าพลังของเขาในตอนนี้อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น


“เราประมาณหกส่วน” จอมพลอีกสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันพลางพูด


“พวกเราเกือบครึ่ง” เหล่าผู้บัญชาการที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็พูดออกมา


เมื่อมู่เฉินได้ยินก็อึ้งไปสั้นๆ ก่อนจะพูดว่า “ข้าก็ได้รับการระงับเช่นกัน แต่ว่าเล็กน้อยมาก น่าจะอยู่ที่สองส่วน…”


พูดถึงจุดนี้ ทุกคนก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งคนที่มีขุมพลังสูงก็จะถูกระงับคลื่นพลังมากขึ้น


“เกาะหินนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” ซุยนอนขมวดคิ้ว เมื่อเป็นเช่นนี้พลังในการต่อสู้ของกลุ่มก็ลดลงอย่างมีนัย


“กองทัพอื่นก็คงมีสถานการณ์เดียวกัน” เทียนจิ้วพูดออกมา เป็นไปไม่ได้ที่มีเพียงพวกเขากลุ่มเดียวต้องทนกับการระงับแบบนี้


“เราต้องไปด้วยกัน หาของเหลวหลิงเสินให้เจอก่อน” ซุยนอนเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในส่วนลึกของเกาะหินพลางกล่าวเสียงเคร่งขรึม


ทุกคนพยักหน้า ตอนนี้พลังถูกระงับลงหลายส่วน ความสามารถในการต่อสู้ก็อ่อนแอลงมาก พวกเขาต้องร่วมตัวกันไว้ถึงจะรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้


หลังจากตกลงกัน พวกเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งสู่จุดศูนย์กลางของเกาะหิน ด้วยความระมัดระวังพวกเขาไม่ได้เหาะเหินระดับสูงสุด กลับเหินตัวอยู่ใกล้กับพื้นดินด้วยความสูงสิบกว่าจั้ง


ขณะที่บินผ่าน ทุกคนก็รับรู้ว่าเกาะหินนี้กว้างใหญ่เพียงใด ไม่เพียงแต่มีภูเขาและผืนป่าขนาดใหญ่เท่านั้น ทว่ายังมีส่วนของทะเลทรายอีกด้วย รัศมีแห้งแล้งกำจายออกมาจากพื้นที่เหล่านี้ ทำให้พวกเขาอดรู้สึกนับถือในใจไม่ได้


ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือพวกเขาไม่ได้ถูกขัดขวางหรือจู่โจมตลอดทาง ความราบรื่นในการเดินทาง ทำให้พวกเขารู้สึกไม่น่าเชื่อเล็กน้อย


แต่ไม่ว่าอย่างไรในที่สุดพวกเขาก็เริ่มชะลอตัวลงหลังจากผ่านไปได้สิบกว่านาที เนื่องจากเริ่มเข้าใกล้ศูนย์กลางของเกาะหินแล้ว


ร่างของพวกเขาปรากฏขึ้นบนภูเขา สายตาทั้งหมดเพ่งมองไปข้างหน้า ภาพทะเลสาบหมื่นจั้งเผยออกมา


ทะเลสาบแห่งนี้เป็นสีเขียวมรกตราวกับของเหลวหยก กลิ่นหอมโชยออกมาพร้อมกับหมอกคลื่นหลิงบางเบาลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ทำให้ภาพทะเลสาบเหมือนกับภาพฝัน


“ที่นี่น่าจะเป็นศูนย์กลางของเกาะหิน ซึ่งเป็นจุดที่มีคลื่นหลิงหนาแน่นที่สุด ของเหลวหลิงเสินต้องอยู่ที่นี่แน่!” ซุยนอนมองทะเลสาบขณะที่พูด


หลิงถงกวาดสายตาออกไปพร้อมกับแสงหลิงวูบไหวในดวงตา จากนั้นพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “มีคนมา!”


ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา คนอื่นๆ ก็ได้ยินเสียงลมกรูเข้ามาอย่างรีบเร่ง จากนั้นพวกเขาเห็นลำแสงหลายสายทะยานลงบนยอดเขารอบทะเลสาบ


คนเหล่านั้นก็คือจอมยุทธ์จากขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ที่ถูกส่งเข้ามายังเกาะหินผ่านรอยแตกมิติที่เปิดออกโดยประมุขสำนักของตน


“ไอ้พวกนี้ ตามติดไม่ปล่อยเลยจริงๆ” เลี่ยซันอดสาปแช่งไม่ได้ ด้วยการเข้ามาของคนเหล่านี้ คงไม่ง่ายที่พวกเขาจะคว้าของเหลวหลิงเสินแล้ว


มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันและอดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ประมุขสำนักอื่นก็เคี้ยวยากไม่ต่างกัน


เมื่อสำนักทั้งหลายมารวมกันอีกครั้ง บรรยากาศที่นี่ก็ตึงเครียดลง แต่พวกเขาต่างระแวงซึ่งกันและกัน ทำให้ไม่ได้ระเบิดการต่อสู้ออกทันที


ซ่า! ซ่า!


ขณะที่จอมยุทธ์จากขั้วอำนาจทั้งหลายกำลังระแวดระวังกันอยู่นั้น ทันใดนั้นเสียงคลื่นกระเซ็นก็ดังก้องไปทั่วทะเลสาบ เสียงช่างน่าฟังยิ่งนัก เมื่อเข้ามาในโสตประสาทก็ทำให้จิตใจคนสงบ


เมื่อซุยนอนและคนอื่นๆ ได้ยินเสียงดังกล่าว สายตากลับหดเกร็ง รีบมองไปที่ทะเลสาบ หมอกคลื่นหลิงทำให้มองไม่เห็นด้านใน


ซุยนอนสะบัดมือ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดออกไปราวกับพายุ ทำให้หมอกสลายหายไปโดยตรง ทันใดนั้นภาพทะเลสาบมหึมาก็แจ่มชัด


พร้อมกับทะเลสาบใสกระจ่างขึ้น มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตระหนักได้ว่ามีกระแสน้ำวนขนาดใหญ่อยู่ใจกลางทะเลสาบ ซึ่งมีแสงเคลื่อนไหวอยู่ในกระแสน้ำวน จากนั้นก้อนแสงก็ปะทุออกมาจากมัน


ทุกคนมองไปที่ก้อนแสงที่ถูกพ่นออกมากะทันหัน ทันใดนั้นแสงหลิงมหาศาลก็พุ่งออกมาราวกับดวงอาทิตย์โชติช่วง


ก้อนแสงทุกก้อนมีคลื่นหลิงที่น่าอัศจรรย์แผ่ออกมา


“นั่นคือ…” มู่เฉินมองก้อนแสงทันใดนั้นดวงตาก็หดลง นั่นเป็นเพราะเขาเห็นวัตถุระยิบระยับราวกับม้วนคัมภีร์ หม้อกลั่น และของอื่นๆ อีกมากมาย


แม้ว่าพวกเขาจะบอกไม่ได้ว่ามีอะไรอยู่ในก้อนแสงเหล่านั้น แต่ตัดสินจากคลื่นหลิงทรงพลังกระเพื่อมไหว พวกเขาก็รู้ว่าวัตถุเหล่านั้นไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน


“นั่นน่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน!” ซุยนอนมีแสงกะพริบวูบวาบในดวงตา ขณะที่มองดูก้อนแสงที่โคจรอยู่ตลอดเวลา “ของเหลวหลิงเสินก็น่าจะอยู่ท่ามกลางของพวกนั้นด้วย!”


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของผู้บัญชาการแต่ละคนก็เต้นไม่เป็นส่ำ ขณะที่ลมหายใจเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงโดยไม่รู้ตัว


หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้านในเวลาเดียวกันด้วย ก่อนที่จะกวาดสายตามองจอมยุทธ์จากขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ เขาพบว่าดวงตาของคนเหล่านั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน


แม้ว่าแต่ละคนจะกระเหี้ยนกระหือรือ แต่สถานการณ์กลับเงียบสงบผิดปกติโดยสิ้นเชิง…


มู่เฉินหรี่ตาลง เขารู้ดีว่าความเงียบนี้เป็นเพียงสัญญาณเตือนก่อนพายุจะเข้า เนื่องจากขุมทรัพย์ปรากฏเบื้องหน้าแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ดุเดือดเพื่อแย่งชิงสมบัติจะเกิดขึ้นแน่นอน


เช่นเดียวกับที่มู่เฉินคาดไว้ ความเงียบที่เปราะบางกินเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจ ก่อนที่จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละสำนักจะส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่น


“ลงมือ! เราต้องคว้าของเหลวหลิงเสินให้ได้!”


ทันทีที่เสียงร้องดังขึ้น จอมพลทั้งสามก็พุ่งตัวออกไปในเวลาเดียวกัน เล็งเป้าไปที่ก้อนแสงในทะเลสาบ


ขณะเดียวกันจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของขั้วอำนาจต่างๆ ก็กระโจนตัวออกมาเช่นกัน


คลื่นหลิงป่าเถื่อนระเบิดขึ้นทั่วรอบทะเลสาบอย่างรวดเร็ว การต่อสู้โกลาหลของสำนักทั้งเจ็ดเริ่มขึ้นอย่างสมบูรณ์ในขณะนี้!


**สุภาษิต ผิวยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม แปลว่า ภายนอกยิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม


บทที่ 938 การเผชิญหน้าของสามผู้แข็งแกร่ง

วาบ!!!


ร่างแสงพร้อมกับเสียงลมกรูกันออกมาราวกับฟ้าคำรน พุ่งไปยังใจกลางทะเลสาบ ซึ่งมีคลื่นหลิงทรงพลังและป่าเถื่อนกระเพื่อมอยู่รอบๆ ร่างแสงเหล่านั้น


เพื่อฉกฉวยก้อนแสงที่ผุดขึ้นมาจากทะเลสาบ ทุกคนก็เข้าสู่การแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดโดยไม่มียั้ง


นั่นเป็นเพราะของเหลวหลิงเสินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทุกสำนักอาจซ่อนอยู่ในก้อนแสงเหล่านี้!


ยอดเขาที่ขั้วอำนาจสูงสุดยืนอยู่ห่างจากทะเลสาบเพียงไม่กี่พันจั้ง ด้วยความเร็วแค่อึดใจเดียวพวกเขาก็มาปรากฏตัวเหนือทะเลสาบแล้ว


ซ่า!


ทว่าขณะที่ทุกคนพุ่งเข้าไปในทะเลสาบกำลังมุ่งหน้าไปยังก้อนแสง พื้นผิวของทะเลสาบเบื้องล่างก็ระเบิดออก แสงสีเขียวหยกมรกตนับไม่ถ้วนปะทุขึ้นมายิงเข้าใส่ทุกคน


การโจมตีกะทันหันทำให้ทุกคนผงะไป แต่โชคดีที่พวกเขาเตรียมตัวไว้แล้ว เนื่องจากทุกคนรู้ถึงอันตรายของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนดี หากประมาทชีวิตของพวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตราย


ดังนั้นคลื่นหลิงจึงกวาดออกไปฉับพลันจากร่างจอมยุทธ์ทั้งหลายตามด้วยเสียงตะโกนขณะที่แสงหลิงแล่นแปลบปลาบ ทันใดนั้นลมใต้หมัดก็เหวี่ยงออก จอมยุทธ์บางคนถึงกับงัดอาวุธพบสวรรค์ทรงพลังซัดออกไป


ชี่! ชี่!


ทว่าถึงแม้จะเตรียมพร้อม แต่ทุกคนก็ยังดูถูกอันตรายที่อยู่ในทะเลสาบ แสงสีหยกมรกตยิงเข้ามา ทันทีที่มีการสัมผัส มันก็เจาะผ่านแนวป้องกันคลื่นหลิงของจอมยุทธ์หลายคน ทำให้เกิดเสียงร้องจ้าก้องทั่วมิติ


ยามนี้ทุกคนถึงได้มองเห็นแสงสีหยกมรกตได้อย่างชัดเจน ภายในแสงเป็นร่างงูสีเขียวมรกตตัวเล็กๆ แต่งูพวกนี้แปลกมาก พวกมันตัวแบนยาวเหมือนใบมีด เมื่อเกล็ดงูตั้งชันร่างก็ดูราวกับมีดดาบ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่น่าตกตะลึงก็คืองูเหล่านี้เต็มไปด้วยอักขระโบราณ ความรู้สึกคมชัดกระจายออกมาจากพวกมัน


แนวป้องกันคลื่นหลิงของมู่เฉินก็ถูกงูตัวเล็กเจาะเข้ามาเช่นกัน มันพุ่งมาที่ลำคอของเขา แต่ขณะที่มันกำลังจะสัมผัส ฝ่ามือของมู่เฉินก็ยกขึ้นกันเอาไว้ แสงสีทองเข้มพลุ่งพล่านอยู่บนผิวหนัง เสียงคำรามของมังกรดังก้อง ชัดว่าเขาใช้กายามังกรหงส์ทันที ทำให้การป้องกันร่างกายของเขาทรงพลังอย่างยิ่ง


เคร้ง!


งูสีเขียวมรกตปะทะเข้าที่ฝ่ามือของมู่เฉิน เกิดเสียงของโลหะปะทะกันดังขึ้น ผลกระทบนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บหน่วงบนฝ่ามือ ใบหน้าเริ่มเคร่งเครียดขึ้น ก่อนที่เขาจะพลิกมือคว้าจับงู เมื่อแสงสีทองพลุ่งพล่านขึ้นมา เขาก็บีบร่างงูจนระเบิดทันที


แต่เมื่องูระเบิดออกกลับไม่มีเลือดกระเด็นออกมาสักหยด มันยุบตัวกลายเป็นแสงระยิบระยับสลายหายไป


“สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์เรอะ?!”


เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้เข้าก็ตกใจ ตอนแรกเขาคิดว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง แต่สังเกตจากตอนนี้มันถูกสร้างโดยมนุษย์ด้วยวิธีการพิเศษอย่างชัดเจน โดยรวมน่าจะคล้ายๆ กับการสร้างอาวุธพบสวรรค์


งูตัวเล็กเหล่านี้มีความคมของอาวุธพบสวรรค์ขั้นต่ำทุกตัว ยิ่งกว่านั้นด้วยจำนวนมหาศาล แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ถูกโจมตีได้หากประมาท


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่านอกเหนือจากจอมยุทธ์ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ที่มีพลังระดับเดียวกับเหล่าจอมพลทั้งสามแล้ว คนส่วนใหญ่อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย บางคนโชคร้ายเลือดตกยางออกได้รับบาดเจ็บ


มู่เฉินหันไปมองจิ่วโยวอย่างรวดเร็ว ทว่าแม้อีกฝ่ายจะถูกล้อมกรอบเอาไว้ แต่นางก็เป็นเทพอสูรที่มีร่างกายแข็งแรงกว่าและไม่ได้อ่อนแอกว่ามู่เฉิน ดังนั้นนางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ขณะที่เหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์คนอื่นๆ อย่างเสี่ยยิงถึงกับหลั่งเลือด


“ทุกคนระวัง สิ่งเหล่านี้ได้รับการสร้างโดยทักษะของอาวุธพบสวรรค์ ซึ่งเอาไว้เจาะทะลุคลื่นหลิงโดยเฉพาะ!” เสียงคำรามของซุยนอนดังก้องในโสตประสาทของพรรคพวกฉับพลัน


“พวกเจ้าเกาะกลุ่มกันไว้ เทียนจิ้วกับหลิงถงมากับข้า ช่วยกันชิงสมบัติ!”


ซุยนอนมองไปทิศทางอื่น การฉกกัดรวดเร็วของงูเหล่านี้ ทำให้เกิดการกีดขวางสำหรับทุกคน แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางจอมยุทธ์ชั้นสูงได้ ดังนั้นจอมยุทธ์ชั้นสูงของขั้วอำนาจอื่นๆ ต่างกำลังเร่งรุดเข้าไปยังจุดศูนย์กลางของทะเลสาบ ชัดว่าตั้งใจจะฉกฉวยสมบัติให้มากที่สุด


“ได้!”


เทียนจิ้วและหลิงถงพยักหน้าแข็งขัน ทั้งสามคนเร้าคลื่นหลิงถึงขีดสุด สลัดตัวออกจากดงงูเหล่านี้ด้วยความเร็วปานสายฟ้า ในเวลาไม่กี่ลมหายใจก็เข้าใกล้ก้อนแสงแล้ว


ซุยนอนแสงวาบผ่านดวงตา เอื้อมมือออกไปพร้อมกับแรงดูดพวยพุ่งออกมา ก่อนที่ก้อนแสงจะพุ่งเข้าหาฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว


“หึ วางลง!”


ทว่าขณะที่ซุยนอนกำลังจะสัมผัสกับก้อนแสง เสียงคำรามก็ดังลั่นขึ้น พร้อมกันนั้นลมคลั่งเย็นยะเยือกจากฝ่ามือก็ฉีกผ่านช่องว่างส่งเสียงหวีดหวิวซึ่งอัดแน่นไปด้วยคลื่นความเย็น ทำให้อากาศกลายเป็นน้ำแข็งทันที


แม้ว่าจอมยุทธ์ที่เข้าสู่เกาะหินจะถูกยับยั้งคลื่นหลิงในร่างกาย แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดในภูมิภาคทางเหนือที่อ่อนด้อยกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้น ดังนั้นการเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงยังคงทรงพลังอย่างมาก


ทว่าเมื่อเผชิญกับการโจมตีนี้ ซุยนอนกลับเค้นเสียงเยาะเย้ยเย็นชา ก่อนที่เขาจะซัดฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่ใต้ฝ่ามือทันที พลังงานหลิงรุนแรงกวาดหายนะออกมาจากในวังวน


“ฟิ้ว!”


วังวนส่งเสียงลั่นปะทะกับฝ่ามือเย็นยะเยือก ขณะที่วังวนบิดเบี้ยวก็กลืนฝ่ามือเข้าไปทันที ก่อนที่จะแตกออกกลายเป็นสะเก็ดแสง


“หึ!”


ไม่ไกลนัก ร่างร่างหนึ่งที่ทะยานเข้ามาก็ชะงักพร้อมกับเสียงครางออกมาจากลำคอ จากนั้นเขาก็หยุดเคลื่อนไหว จับจ้องไปที่ซุยนอนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


คนคนนี้แต่งตัวด้วยชุดสีเทา มีผมสีขาวแซม สายตาคมกริบ เขาก็คือหัตถ์ตะวันตกแห่งหมู่ตึกเทวะ ซึ่งมีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดยามปกติ


แต่เห็นได้ชัดว่ากระบวนท่าก่อนหน้าเขาเสียเปรียบเมื่อเผชิญหน้ากับซุยนอน


“จอมพลซุยนอนแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์สมคำร่ำลือ แต่วันนี้หมู่ตึกเทวะของข้าจะขอต่อกรสักตั้งดูสิว่าจอมพลทั้งสามมีความสามารถมากเพียงใด!” หัตถ์ตะวันตกกล่าวเสียงขรึม ทันทีที่พูดจบ ร่างแสงอีกสองสายก็พุ่งมาจากสองทิศทาง เผยให้เห็นร่างของผู้อาวุโสสองคน


ซุยนอนกำหมัด ดูดก้อนแสงไว้ในมือ เมื่อแสงจางลงก็เผยภาพกระบี่สีฟ้ายาวสามฉื่อ บนตัวกระบี่มีแสงเย็นไหลอยู่ อักขระโบราณบิดเกลียวราวกับงู ขณะที่แสงเย็นหมุนวนอยู่บนใบมีด ทำให้กระทั่งมิติยังเกิดรอยแตก


นี่คืออาวุธพบสวรรค์ขั้นสูง


สมบัติในขุมทรัพย์นี้สุดยอดจริงๆ แค่เอื้อมมือก็คว้าอาวุธพบสวรรค์ขั้นสูงมาได้ ถ้าวัตถุแบบนี้ถูกนำขึ้นประมูลในภูมิภาคทางเหนือ ก็จะดึงดูดความโลภของจอมยุทธ์จื้อจุนมากมายแน่นอน


แต่สำหรับซุยนอนที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า มีเพียงอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเท่านั้นที่ทำให้หัวใจเขาขยับได้ มิหนำซ้ำยังเพิ่มขีดพลังการต่อสู้ของเขาได้มากด้วย


แน่นอนว่ายังมีสมบัติที่อยู่เหนือกว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม แต่สมบัติเหล่านั้นไม่ได้ถูกเรียกขานเช่นนี้ แต่ได้รับการขนานามว่าเป็นอาวุธมหสวรรค์ สมบัติหาที่เปรียบไม่ได้นี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่มีครอบครอง ดังนั้นซุยนอนจึงไม่เคยคิดที่จะได้ครอบครอง


ซุยนอนปรายตามองอาวุธชิ้นนี้ ก่อนที่จะเก็บพลางขมวดคิ้ว มีก้อนแสงผุดขึ้นจากทะเลสาบมากมาย แต่ไม่รู้ว่าก้อนไหนคือของเหลวหลิงเสิน ด้วยสถานการณ์ที่โกลาหลแบบนี้ ไม่มีเวลาไปแย่งชิงทีละชิ้น เพราะแบบนั้นจะเสียเวลาเกินไป…


เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจ ซุยนอนก็เงยหน้าขึ้นมองตาเฒ่าสามคนที่เบื้องหน้า ก่อนที่จะกวาดมองแล้วหยุดอยู่ที่คนทางซ้ายสุด ชายผู้นี้สวมชุดสีขาว ดูอ่อนโยนและมีรอยยิ้มอบอุ่นประดับบนใบหน้า ทว่าซุยนอนสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่ไม่อ่อนแอกว่าตัวเขาเล็ดลอดออกมาจากอีกฝ่าย


ชายคนนี้ก็คือจอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาหัตถ์ทั้งสี่แห่งหมู่ตึกเทวะ…หัตถ์ตะวันออกที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเช่นกันกับเขา!


หมู่ตึกเทวะส่งจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดมาเพื่อจัดการกับจอมพลทั้งสาม ซึ่งชัดว่ากำลังเล็งจัดการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาไม่คิดที่จะให้จอมพลทั้งสามมีโอกาสไปแย่งชิงของเหลวหลิงเสิน


“แยกกันจัดการ!”


ซุยนอนพูดกับพรรคพวก ทั้งสองคนก็พยักหน้าก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังทิศทางอื่น


“ฮ่าๆ ท่านประมุขสั่งไว้ว่าห้ามให้อาณาเขตสวรรค์ได้มีโอกาสสัมผัสกับของเหลวหลิงเสิน” เมื่อหัตถ์ตะวันออกเห็นสถานการณ์นี้ก็หัวเราะเบาๆ แต่ไม่มีรอยยิ้มใดในดวงตา ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยความเฉยเมย เขาพยักหน้าเบาๆ หัตถ์อีกสองคนก็ทะยานตามเทียนจิ้วและหลิงถงไป


“ข้ากลัวว่าหมู่ตึกเทวะยังไม่มีความสามารถขัดขวางอาณาเขตกงเวทสวรรค์สินะ” ดวงตาของซุยนอนที่หรี่ปรืออยู่เสมอก็ฉายแสงเย็นในตอนนี้ขณะจับจ้องหัตถ์ตะวันออก


“งั้นเชียว?”


หัตถ์ตะวันออกยิ้มบาง คลื่นหลิงมหาศาลก็ระเบิดออกจากร่างกายราวกับพายุ ภายใต้ผลกระทบของคลื่นหลิงแบบนี้ มิติทั้งบริเวณนี้เกิดการบิดเบือนทันที


สายตาเรียบเฉยของซุยนอนจ้องมองหัตถ์ตะวันออกที่เปี่ยมด้วยพลัง เขาค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้น แรงกดดันที่ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าอีกฝ่ายกระจายออกไป


ขณะที่สองจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าซึ่งเป็นรองขุมพลังตี้จื้อจุนก้าวเดียวเผชิญหน้ากัน ก็ทำให้สำนักอื่นๆ ล่าถอยไปจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมในปะทะกันเช่นนี้


ฟิ้ว!


เมื่อมู่เฉินเห็นว่าจอมพลทั้งสามถูกหยุดไว้ก็ขมวดคิ้วทันที ดูท่าหมู่ตึกเทวะจะโกรธแค้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์จริงๆ จากรูปการณ์ปัจจุบันพวกเขาตั้งใจที่จะขัดขวางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ให้ไม่ได้รับของเหลวหลิงเสินอย่างสมบูรณ์


แต่หากพวกเขาคิดว่าสามารถขัดขวางอาณาเขตกงเวทสวรรค์จากการฉกสมบัติ โดยการขัดขวางสามจอมพลไว้เท่านั้นก็ดูจะไร้เดียงสาเกินไป


เมื่อคิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็อัดอากาศเข้าเต็มปอด มือทั้งสองสร้างตราประทับ แสงสีทองเจิดจรัสระเบิดที่แผ่นหลัง เสียงร้องคมชัดดังกึกก้อง ปีกหงส์ฟ้ามหึมาแผ่สยายที่ข้างหลัง


ปีกกระพือวูบไหว ทันใดนั้นก็ซัดงูเขียวมรกตที่เข้ามาทันที จากนั้นปีกสั่นไหว ความเร็วของเขาก็พุ่งพรวดสูงขึ้น ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป มุ่งหน้ายังใจกลางทะเลสาบ


เนื่องจากเกาะหินลอยนี้ ยิ่งจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังแข็งแกร่งจะถูกยับยั้งคลื่นหลิงมากกว่า ทำให้ในเวลานี้พลังของมู่เฉินแข็งแกร่งกว่าผู้บัญชาการคนอื่นมาก


แต่ชัดว่าสำนักอื่นให้ความสนใจกับม้ามืดอย่างมู่เฉินไว้นานแล้ว ดังนั้นทันทีที่เขาเคลื่อนไหวเพื่อเข้าไปที่จุดศูนย์กลางของทะเลสาบ ก็มีร่างแสงสองร่างพุ่งออกมาจากสองทิศทางเพื่อสกัดเขาไว้


มู่เฉินกวาดสายตามองทั้งสองก็อดหรี่ตาแคบลงไม่ได้ ไอเย็นเยือกแผ่ซ่านออกมา


นั่นเป็นเพราะเขาพบว่าคนที่มาขัดขวางก็คือโยวหมิงแห่งจวนยมโลกกับฟังยี่แห่งหมู่ตึกเทวะ!


ช่างเป็นเรื่องน่าบังเอิญที่สามอันดับแรกของบันทึกมังกรหงส์มารวมกัน นอกจากนี้ที่น่าแปลกก็คือที่หนึ่งและที่สองจับมือกันเพื่อจัดการกับมู่เฉินที่เป็นอันดับสาม…


โยวหมิงยืนอยู่บนท้องฟ้า หอกโลหิตชี้ปลายลงสภาพเตรียมพร้อม สายตามองมู่เฉินอย่างเย็นชา “ไม่มีรัศมีจั้นยี่ แกยังกล้าดีอยู่อีกเหรอ? ข้าแนะนำให้แกไสหัวไปจากทะเลสาบแห่งนี้ เพื่อที่จะยังรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้!”


พอได้ยินคำพูดนี่ มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนแต่ไม่ตอบอะไร นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่ระเบิดออกมาจากร่างเขาได้ตอบแทนแล้ว


โยวหมิงสาดแสงเย็นเยือกในดวงตาเมื่อเห็นเช่นนี้ มือกระชับที่หอกโลหิตแน่น


“ในเมื่อแกดื้อด้าน วันนี้ข้าก็จะให้แกรู้ว่าเมื่อไม่มีรัศมีจั้นยี่แกก็เป็นตัวไร้ค่าในสายตาของข้า!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)