หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 929-930

 บทที่ 929 รอบสุดท้าย

จากลานประลอง


ร่างเพรียวบางของจิ่วโยวพลิ้วลงมาพร้อมกับคลื่นหลิงทรงพลังแผ่กระจายอยู่รอบตัว หลังจากดูดซับแก่นคลื่นหลิงที่ถูกทิ้งไว้จากปีศาจราชสีห์ทองคำ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย


พอเห็นจิ่วโยว โดยไม่รู้ตัวเหล่าผู้บัญชาการก็มีท่าทางเคร่งขรึมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสี่ยยิงที่จ้องมองจิ่วโยวก็มีความรู้สึกเคารพในสายตา


นั่นเป็นเพราะหลังจากศึกรอบนี้จบลง พวกเขาก็ตระหนักว่าพลังในปัจจุบันของจิ่วโยวเกินกว่าพวกเขาคิดมากแล้ว ท่ามกลางเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ คงมีเพียงซิวหลัวและเลี่ยซันที่สามารถปราบจิ่วโยวได้


ยิ่งถ้าให้เวลาจิ่วโยวเพิ่มอีกนิด นางอาจจะแซงหน้าเลี่ยซันไปด้วยก็ได้


แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คนอื่นๆ ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ย้อนกลับไปตอนที่จิ่วโยวเพิ่งขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการจนทำให้อยู่ในสถานะเดียวกันกับพวกเขา ทั้งหมดเป็นเพราะการสนับสนุนของจอมพลเทียนจิ้วและภูมิหลังเผ่าวิหคโลกันตร์ของนาง ผู้บัญชาการที่ผงาดขึ้นมาในตำแหน่งนี้ได้ด้วยภูมิหลังทำให้พวกเขาดูถูกนางมากจนก่อให้เกิดผลความขุ่นเคืองในปีหลังๆ


แต่หลังจากการต่อสู้ในวันนี้ พวกเขาต้องยอมรับว่าจิ่วโยวที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยดูถูกได้ไปไกลกว่าพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะมีความรู้สึกซับซ้อนพลุ่งพล่านในหัวใจ


“ฮ่าๆ ทำได้ดีมาก” เทียนจิ้วปลื้มใจเมื่อมองไปที่จิ่วโยว ความโดดเด่นของนางประหนึ่งมีไฟส่องมาที่ใบหน้าของเขาทีเดียว


มั่นถัวหลัวพยักหน้าเช่นกัน การประลองของจิ่วโยวน่ายินดีอย่างแท้จริง เทียนจิ้วพูดถูก จิ่วโยวเป็นอัจฉริยะมากความสามารถที่น่าตกใจ ความสำเร็จในอนาคตไม่สามารถจำกัดไว้ได้เท่านี้


จิ่วโยวยิ้มบางก่อนที่จะกวาดมองไปที่เหล่าผู้บัญชาการทั้งสี่ที่ยังไม่ได้ต่อสู้ ซึ่งมีมู่เฉินอยู่ในนั้นด้วย…


การประลองดำเนินมาจนถึงรอบที่หก ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เพิ่งจะได้รับชัยชนะสองครั้งเท่านั้น อีกสองรอบก็จะสามารถทำลายขบวนแถวของค่ายกลได้


แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย


เพราะในบรรดาผู้บัญชาการสี่คนที่เหลือ มู่เฉินถือว่าอ่อนแอที่สุด ถ้ามีกองทัพอยู่ที่นี่ เขาก็จะสามารถใช้พลังรัศมีจั้นยี่ร่วมได้ เรียกว่าเหนือกว่าเลี่ยซัน อยู่รองจากซิวหลัวเท่านั้น


แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถนำกองทัพมาที่นี่ได้ สิ่งเดียวที่มู่เฉินพึ่งได้ก็คือขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น ผู้บัญชาการที่นี่ล้วนบรรลุระดับจื้อจุนขั้นหกเป็นอย่างน้อย ดังนั้นเมื่อมองจากภายนอกมู่เฉินอยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายเลยทีเดียว…


คงไม่มีใครโลกสวยเกี่ยวกับการประลองอีกสี่รอบที่เหลือเลย


มั่นถัวหลัวมุ่นคิ้ว เนื่องจากนางรู้ว่ายากแค่ไหนสำหรับการประลองสี่รอบที่เหลือ แต่ ณ จุดนี้การยอมแพ้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ถึงจะรู้ว่าโอกาสล้มเหลวมีมาก แต่ก็ต้องลองเสี่ยงกันบ้าง


ดังนั้นนางจึงหันไปมองผู้บัญชาการทั้งสี่คน


เถี่ยหม่าง จิงกัง หงหยาและมู่เฉิน


ในบรรดาสี่คนมีสามคนเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นพลังของพวกเขาอ่อนแอกว่าเสี่ยยิงเสียอีก ส่วนมู่เฉินอยู่ระดับจื้อจุนขั้นห้า


แม้จะรู้ว่าโอกาสในการชนะมีไม่มาก แต่มั่นถัวหลัวก็ยังโบกมือเพื่อให้ขึ้นประลองรอบต่อไป ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองทำดู


แต่การมีความคิดเชิงบวกไม่ส่งผลกับชัยชนะ หลังจากจิ่วโยว เถี่ยหม่างและจิงกังก็ก้าวขึ้นลานประลอง แต่ผลลัพธ์ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกเคร่งเครียดในหัวใจขึ้นอีกหลายส่วน


เถี่ยหม่างแพ้!


จิงกังแพ้!


แม้ว่าความพ่ายแพ้จะไม่ได้เรื่องเหนือความคาดคิด แต่ใบหน้าของทุกคนก็ยังมืดมนลงเมื่อความจริงกระแทกใส่


ผู้บัญชาการทั้งคู่ล่าถอยไปอย่างละอาย ฝ่ายตรงข้ามที่พวกเขาปะทะแข็งแกร่งกว่ามาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะได้เปรียบในการประลอง


ขุมทรัพย์ตี้จื้ออันตรายอย่างยิ่งจริงๆ เพียงแค่ด่านแรกก็ขัดขวางการก้าวเดินของพวกเขาเอาไว้แล้ว


“รอบเก้า ให้ข้าขึ้นประลองเถอะ”


พร้อมกับความพ่ายแพ้ของเถี่ยหม่างและจิงกัง หงหยาก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนที่เขาจะกระแทกฝ่าเท้าทะยานไปยังลานประลอง ร่างเขาแข็งแกร่งประหนึ่งภูผาหนั่นแน่น


ทุกคนจ้องมองร่างเงานั้นก็ถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งความหวังมากกับอีกฝ่าย เพราะในแง่ของความแข็งแกร่งหงหยาอยู่ในระดับเดียวกับเถี่ยหม่างและจิงกัง


ครืน!


เมื่อหงหยาทะยานขึ้นบนลานประลอง เสาอีกต้นหนึ่งก็สั่นสะเทือน ขณะที่เปลือกทองแดงหลุดลงมา เงาสีดำก็กระโจนลงมาอย่างหนักหน่วง รัศมีน่ากลัวกระจายออกไป


สายตาทุกคนจ้องมองไปทันที ก็เห็นร่างเล็กสีดำราวกับว่าถูกหล่อด้วยเหล็กดำ ขณะที่มันมีหัวของลิง


“ปีศาจวานรเหล็กดำ” มั่นถัวหลัวจ้องมองร่างนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบาในหัวใจ แม้ปีศาจวานรเหล็กดำจะไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของมารอสูร แต่ก็ค่อนข้างลำบากที่จะจัดการ นั่นเป็นเพราะมันมีความเร็วที่สามารถเล่นงานจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกได้


ดูเหมือนว่าโอกาสชนะของหงหยาจะไม่สูงเหมือนกัน


เจี๊ยก!


เมื่อปีศาจวานรปรากฏขึ้น ก็แยกเขี้ยวยิงฟันที่ราวกับใบมีดโกนเบื้องหน้าหงหยา ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ ออกมา เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้นร่างของมันก็หายไปทันที


“ความเร็วสุดยอดมาก!” ทุกคนรู้สึกตกใจไปขณะที่ร้องอุทาน


ปัง!


ทันทีที่สิ้นเสียงร้องอุทาน ร่างของหงหยาก็กระเด็นออกไปแบบหนักหน่วง รอยเล็บลึกปรากฏขึ้นบนแขนของเขา แผลลึกจนมองเห็นกระดูกได้ เลือดสดไหลออกมาไม่หยุด


เจี๊ยก!


ร่างปีศาจวานรเผยตัวออกมา ตรงจุดที่หงหยายืนอยู่ในตอนแรก มันระเบิดเสียงหัวเราะ อึดใจก็กลายเป็นลำแสงสีดำหายไปอีกครั้ง


ปัง! ปัง! ปัง!


ไม่กี่นาทีต่อมาหงหยาก็อยู่ในสภาวะสิ้นหวัง เขาอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เผชิญหน้ากับความเร็วราวกับภูตผีของปีศาจวานร ก็เกิดบาดแผลปกคลุมทั่วร่าง เลือดสดไหลเจิ่งนอง


ทุกคนแทบสูญเสียความมั่นใจเมื่อเห็นฉากเบื้องหน้านี้


แต่ขณะที่ทุกคนรู้สึกผิดหวังพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่นฉายออกมา มั่นถัวหลัวที่จ้องมองการต่อสู้นิ่งก็เกิดประกายแสงแวววาวบนม่านตาสีทองคำ ด้วยความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน นางรู้สึกได้ว่าแม้หงหยาจะอยู่ในสภาพน่าสมเพช มีบาดแผลเต็มไปหมด แต่สำหรับหงหยาที่เชี่ยวชาญด้านการป้องกัน บาดเจ็บเหล่านี้ไม่ได้สาหัสอะไร


นอกจากนี้มั่นถัวหลัวยังรู้สึกได้คลุมเครือว่ามีการรวมคลื่นหลิงรุนแรงอยู่ในร่างหงหยาที่กำลังถูกโจมตี


ท่าทางหงหยาดูเหมือนจะไม่สามารถตอบโต้ได้ แต่ในความเป็นจริงเขากำลังซุ่มการโจมตีไว้ ความอดทนของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ


ตู้ม!


การโจมตีหนักหน่วงเกิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้หงหยากระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง แต่ก่อนที่เขาจะตั้งตัว รัศมีร้ายกาจก็กำจายอยู่ตรงหน้า ใบหน้าปีศาจวานรที่ดุร้ายปรากฏขึ้น


ริ้วแสงเย็นยะเยือกวูบไหวบนกรงเล็บของปีศาจวานรเหล็กดำราวกับใบมีด เสือกแทงบนหน้าอกของหงหยาอย่างหนักหน่วง


หงหยายกแขนขึ้นต้านทานการโจมตี


ชี่!


เลือดสดสาดกระเซ็น ขณะที่กรงเล็บแหลมคมของปีศาจวานรเจาะเข้าไปในแขนของเขา


ทว่าในเวลาเดียวกันกับที่กรงเล็บทะลุเข้าไปในเนื้อ รอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏบนใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยเลือดของหงหยา


คลื่นหลิงน่าสะพรึงรวมกันในมืออีกข้างหนึ่ง พริบตาก็ก่อร่างภูเขาขนาดเล็กบนฝ่ามือ


ภูเขามีขนาดเล็ก แต่มันถูกสร้างขึ้นโดยการอัดแน่นของคลื่นหลิงในตัวหงหยา ความน่าสยดสยองกระจายออกมา ทำให้มีมิติเกิดการกระเพื่อมไหว


“ไอ้เดรัจฉาน ตาข้าบ้าง!”


หงหยายิ้มเย็น เหวี่ยงกำปั้นออกไปราวกับสายฟ้าฟาด พุ่งเข้าใส่หัวของปีศาจวานร


พั่บ!


รับรู้ถึงการโจมตีที่น่ากลัวของหงหยา ปีศาจวานรก็คิดจะใช้ความเร็วที่น่าสะพรึงหลบหนีกระบวนท่ารุนแรงนี้ไป แต่มันกลับตระหนักได้ว่าไม่สามารถดึงกรงเล็บออกมาได้ กล้ามเนื้อบิดตัวบนแขนของหงหยา บีบจับกรงเล็บเอาไว้แน่น


ความเร็วที่น่ากลัวถูกจำกัดลงทันใด


ตู้ม!


พริบตาฝ่ามือราวกับภูผาของหงหยาก็ส่งเสียงกระหึ่ม อึดใจต่อมาก็ทุบเข้าที่หัวของปีศาจวานรโดยไม่ลังเล เสียงลั่นดังกึกก้อง ศีรษะของปีศาจวานรก็ระเบิดออกเหมือนลูกแตงโมโดนทุบ


ร่างปีศาจวานรโงนเงนก่อนที่ร่วงลงกับพื้นกลายเป็นประกายแสงพุ่งเข้าหาร่างหงหยา


เบื้องล่างลานประลองทุกคนต่างตะลึงกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกตะลึงใจ เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าหงหยาที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมจะอดทนจนถึงวินาทีสุดท้าย แล้วใช้กระบวนท่าเหี้ยมหาญเผด็จศึกปีศาจวานรเหล็กดำได้…


บนลานประลองเมื่อหงหยาซึมซับแก่นคลื่นหลิงได้ เขาก็เซตัวลงมา มั่นถัวหลัวยื่นมือออกไป คลื่นหลิงก่อตัวขึ้นช่วยพยุงหงหยาเอาไว้


เห็นได้ชัดว่าเขาก็มาถึงขีดสุดแล้ว หลังจากต้องรับการโจมตีดุเดือดของปีศาจวานรเหล็กดำด้วยความสามารถในการป้องกันเหนือชั้น


“ข้าไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง”


หงหยายิ้มอย่างยากลำบาก


“เจ้าทำได้ดีมาก” มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ ชัยชนะครั้งนี้เกินความคาดหมายของพวกนางทั้งหมด ต้องขอบคุณหงหยาที่โชคดี แม้ปีศาจวานรเหล็กดำจะมีความเร็วดีเยี่ยม แต่การโจมตีค่อนข้างอ่อนแอ หากเป็นสัตว์อสูรอื่นๆ ละก็ หงหยาคงไม่มีแรงที่จะพูดได้ในตอนนี้


“จากนี้การประลองจบลงแล้ว ข้าจะทำลายค่ายกลเอง” แสงสีทองพลุ่งพล่านในดวงตาเย็นเยือกของมั่นถัวหลัว การต้องเฝ้าดูผู้ใต้บังคับบัญชาเสี่ยงชีวิต ขณะที่นางต้องยืนนิ่งทำให้นางเริ่มรู้สึกโกรธตัวเอง


แม้ว่านางจะต้องสูญเสียพลังมาก แต่นางก็ต้องทำลายประตูทองคำเขียวให้จงได้!


มั่นถัวหลัวก้าวออกไปครึ่งก้าว คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวเริ่มรวมอยู่ในฝ่ามือ


ทว่าขณะที่นางกำลังจะเคลื่อนไหว ร่างหนึ่งก็วูบไหวเข้ามาจับแขนของนางหยุดการรวบรวมคลื่นหลิงเอาไว้


มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของมู่เฉิน


“ท่านประมุข… ในฐานะผู้บัญชาการแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เจ้าจะตัดสิทธ์การประลองของข้าไม่ได้นะ” มู่เฉินยิ้มบาง เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวไม่อยากให้เขาพยายามอย่างไร้ประโยชน์ ทว่าเวลานี้ในฐานะผู้บัญชาการแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาจะถอยหนีไม่ได้


“เจ้า…” มั่นถัวหลัวอึ้งไป นางมองเข้าไปในดวงตาของมู่เฉิน สายตาของชายหนุ่มยังคงสดใสเป็นประกายพร้อมกับความเด็ดเดี่ยวไหลเวียนอยู่ภายใน ซึ่งทำให้นางเข้าใจว่าเขาไม่ได้พึ่งพาการหลบหนีแบบนี้ในการมาไกลขนาดนี้


มั่นถัวหลัวคลายมือลงเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า “ระวังตัว หากเจ้าสู้ไม่ไหวก็ให้ถอยกลับทันที”


มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกระโจนตัวขึ้นสู่ลานประลอง สายตาแหลมคมพุ่งไปที่เสาหิน ร่างเขาเหยียดตรงราวกับหอกศักดิ์สิทธิ์


รอบสุดท้ายนี้ ข้าขอมาดูหน่อยว่าสิบมารอสูรว่าจะท้าทายแค่ไหน!


บทที่ 930 สิบมารอสูร พยัคฆามังกรฟ้า

บนลานประลอง


มู่เฉินยืนนิ่งประหนึ่งหอกศักดิ์สิทธิ์กำจายรัศมีคมชัดออกมา การประลองมาถึงรอบที่สิบแล้ว ซึ่งการต่อสู้ของเขาเป็นการชี้ขาดที่สำคัญที่สุด


ถ้ามู่เฉินได้รับชัยชนะ มั่นถัวหลัวก็จะสามารถทำลายค่ายกลได้ มิฉะนั้นนางจะต้องสิ้นเปลืองพลังในการทำลายค่ายกลซึ่งนั่นจะทำให้นางเหนื่อยมาก ถ้าพวกเขาต้องเจอกับประมุขสำนักคนอื่นๆ ระหว่างทาง นางก็จะเสียเปรียบในการแย่งชิงของเหลวหลิงเสิน


ซึ่งจะเป็นผลกระทบใหญ่หลวงต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์


ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรพวกเขาจะต้องทำให้มั่นถัวหลัวอยู่ในสภาพพร้อมรบเพื่อลงชิงชัยคว้าของเหลวหลิงเสิน


ดังนั้นรอบการต่อสู้ของมู่เฉินจึงเป็นตัวชี้ขาด


ด้านนอกลานประลองเหล่าผู้บัญชาการจ้องมองร่างมู่เฉินอย่างเคร่งขรึม แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าโอกาสไม่ได้มีสูงมากสำหรับมู่เฉินที่จะชนะด้วยพลังระดับจื้อจุนขั้นห้า แต่พวกเขาก็คาดหวังลึกๆ สำหรับชายหนุ่มคนนี้


ความคาดหวังมาจากปาฏิหาริย์ที่มู่เฉินสร้างขึ้นตลอดทาง


ในสมรภูมิหยุ่นลั้วเหล่าผู้บัญชาการเห็นมู่เฉินพลิกสถานการณ์สร้างปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์มานักต่อนัก ดังนั้นไม่มีใครฟันธงได้ว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่


ครืน!


อึดใจหลังจากที่มู่เฉินขึ้นไป ตำหนักโบราณก็สั่นคลอนอีกครั้ง ทุกคนขยับสายตาไปหยุดที่เสาหินต้นสุดท้าย


เปลือกทองคำหลุดร่วงอย่างรวดเร็ว ร่างสูงตระหง่านราวกับหอคอยทะยานลงมากระแทกตัวอย่างหนักหน่วงบนลานประลอง ผลกระทบที่น่ากลัวทำให้พื้นลานประลองสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเลยทีเดียว


รัศมีที่น่ากลัวกวาดออกไปจากร่างสูงตระหง่านนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว


ทุกคนที่นอกลานประลองเพ่งสายตาไปยังร่างสูงตระหง่าน รัศมีร้ายกาจหดตัวลง ร่างนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ


ร่างนั้นปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรสีดำ กล้ามเนื้อหนั่นแน่นราวกับเหล็ก พลังงานระเบิดที่ซ่อนอยู่ประหนึ่งมังกรหลับใหล มันมีหัวเป็นพยัคฆ์ที่ดุร้าย แต่บนหน้าผากกลับมีเขามังกรสีดำสาดแสงเย็นเยือกออกมา


“หนึ่งในสิบมารอสูรแห่งวังสวรรค์บรรพกาล พยัคฆามังกรฟ้า” มั่นถัวหลัวจ้องมองร่างที่กดดัน ม่านตาสีทองคำก็หดลง พยัคฆามังกรฟ้ามีชื่อเสียงดุร้ายอย่างยิ่งในบรรดามารอสูรแห่งวังสวรรค์บรรพกาล ว่ากันว่ามันมีสายเลือดของมังกรฟ้าไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ในเผ่ามังกร มังกรฟ้าด้อยกว่ามังกรเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น พูดให้เข้าใจง่ายก็คือถือว่าเป็นเทพอสูรชั้นสูงเลยทีเดียว


แม้ว่าสายเลือดมังกรฟ้าที่ไหลอยู่ในร่างพยัคฆามังกรฟ้าจะไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังมีพลังที่น่ากลัว ฝ่ายตรงข้ามที่มู่เฉินพบในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว


ซิวหลัว จิ่วโยวและคนอื่นก็รู้สึกได้ถึงแรงกดขี่ที่มาจากพยัคฆามังกรฟ้า ใบหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดลงหลายส่วนทันที


พลังของพยัคฆามังกรฟ้าน่าจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก เมื่อผนวกกับอานุภาพของมัน แม้แต่ผู้บัญชาการเสี่ยยิ่งและคนอื่นๆ ก็ด้อยกว่า มู่เฉินจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้เช่นนี้ได้ด้วยพลังที่มีได้จริงหรือ?


โฮก!


ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกกังวลใจในใจ พยัคฆามังกรฟ้าก็เปล่งเสียงคำรามของเสือ คลื่นเสียงกระจายออกไปทำให้เกิดระลอกคลื่นผันผวนในมิติ


ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดขณะจ้องมองพยัคฆามังกรฟ้า เขาอัดอากาศเข้าเต็มปอด ไม่กล้าที่จะประมาทคู่ต่อสู้ประเภทนี้เลย


หัวใจของมู่เฉินเต้นรัว ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืดอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าก็เรียบเฉยลง


คัมภีร์หวูซังซินหลัว สภาวะฤทัยปีศาจขั้นต้น!


เวลาเดียวกันคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งรอบตัวเขาก็หดลง ถ้าคลื่นหลิงของมู่เฉินราวกับภูเขาไฟรุนแรงเมื่อก่อน คลื่นหลิงในตอนนี้ก็ราวกับกระแสน้ำวนในมหาสมุทร แม้ว่าจะดูสงบแต่กลับอันตรายและน่ากลัวกว่าเดิมนัก


เมื่อเลี่ยซันและคนอื่นๆ สังเกตเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงละเอียดขึ้นของคลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉิน ม่านตาก็หดเกร็งโดยไม่สามารถควบคุมได้ เพราะกระทั่งพวกเขาเองยังควบคุมคลื่นหลิงในระดับยอดเยี่ยมแบบนี้ไม่ได้เลย


“การควบคุมคลื่นหลิงยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้” ซิวหลัวกล่าวอย่างเคร่งขรึม


ด้วยการควบคุมยอดเยี่ยมเช่นนี้ พลังที่มู่เฉินสามารถนำออกมาใช้ก็จะไม่เหมือนกับจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน มู่เฉินมีปัจจัยที่น่าชื่นชมจริงๆ มิน่าล่ะเขาถึงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้ครั้งแล้วครั้งเล่า


ตู้ม!


ในช่วงเวลาที่มู่เฉินเร้าสภาวะฤทัยปีศาจขั้นต้นขึ้นมา พยัคฆามังกรฟ้าก็ดูเหมือนจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของคลื่นหลิงรอบตัว มันปลดปล่อยเสียงคำรามลึกขณะกระทืบเท้าลงกับพื้น รอยแตกปรากฏขึ้นบนแผ่นหินเบื้องล่าง ก่อนที่ร่างมันจะเคลื่อนไปที่เบื้องหน้ามู่เฉิน กำปั้นเหวี่ยงออกด้วยคลื่นหลิงโหยหวนแรงกล้า คลื่นพลังก่อร่างเป็นพยัคฆ์ร้ายพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน


แสงกะพริบในดวงตาสีดำมืดของมู่เฉิน เท้าเขาเคลื่อนไหว ร่างเอี้ยวตัวหลบกำปั้นไป แต่มวลลมที่ห่อบนกำปั้นก็ยังคงทิ้งบาดแผลไว้บนไหล่ของเขา


ร่างทั้งสองแลกกระบวนท่ากันราวกับสายฟ้า สองนิ้วของมู่เฉินราวกับหอก เมื่อเทคลื่นหลิงลงไปกระทั่งมิติยังเป็นรอย นิ้วเสือกแทงไปที่ลำคอของพยัคฆามังกรฟ้า


ด้วยความช่วยเหลือของสภาวะฤทัยปีศาจ การโจมตีของมู่เฉินก็รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด กลยุทธ์การโจมตีหนักแน่นนี้ ทำเอากระทั่งผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกยังต้องหดตาลง


ตึง!


ทว่าแม้พยัคฆามังกรฟ้าจะไร้สติปัญญา แต่ก็มีประสบการณ์การต่อสู้เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ประสบการณ์เหล่านั้นถูกฝังลึกอยู่ในแกนกระดูก ดังนั้นมันจึงดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็วและป้องกันลำคอเอาไว้


เคร้ง!


ดัชนีหอกของมู่เฉินฟาดเข้ากับฝ่ามือ ประกายไฟแล่นพล่านราวกับโลหะชนกัน


พยัคฆามังกรฟ้ากระตุกยิ้มชั่วร้าย ก่อนที่จะพลิกมือคว้าข้อมือของมู่เฉินดึงเข้าหา พลังงานที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่ง พยายามฉีกแขนของมู่เฉินให้ได้


บึ้ม!


แต่ในเวลานั้น ลูกเตะก็เหวี่ยงออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต เล็งไปที่หัวของพยัคฆามังกรฟ้า


การโจมตีกะทันหันนี้ขัดจังหวะกระบวนท่าของพยัคฆามังกรฟ้า บีบให้ต้องตั้งแขนกันเอาไว้ ส่วนมู่เฉินก็ใช้โอกาสเสี้ยววินาทีนี้หลุดพ้นจากการยับยั้งไว้ได้ ร่างของเขาทะยานขึ้นบนท้องฟ้า เขากำหมัดเสาปีศาจก็ปรากฏขึ้น จากนั้นคลื่นหลิงถูกเทลงไป เงามหึมาก็เหวี่ยงลงปกคลุมร่างพยัคฆามังกรฟ้า


ขณะที่เสาปีศาจครางพุ่งลงมา พยัคฆามังกรฟ้าก็แผดเสียงคำราม แสงสีดำยิงออกมาจากเขาตรงหน้าผาก แผ่ขยายพุ่งออกไปปะทะกับเสาปีศาจ


ตึง!


การปะทะกันสร้างเสียงดังสนั่น คลื่นกระแทกที่น่ากลัวกระจายออกไป ทำให้พื้นบนลานประลองแตกเป็นเสี่ยง


ร่างของมู่เฉินปลิวไปตามแรงกระแทกที่น่าสะพรึงกลัว ฝ่าเท้าลากไถลไปหลายสิบเมตรบนพื้นดิน ก่อนที่เขาจะทรงตัวได้ เยื่อหนังระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขาดออก เลือดไหลลงมา


เขามองไปยังที่ต้นตอของผลกระทบอย่างเคร่งขรึม ตรงนั้นพยัคฆามังกรฟ้ายังคงยืนตระหง่าน สายตาดุร้ายสีแดงฉานจ้องเขม็งมาที่เขา


นอกลานประลองเหล่าผู้บัญชาการไม่สามารถละสายตาจากการต่อสู้รอบนี้ได้ การปะทะกันกระบวนท่าก่อนทั้งสองฝ่ายปลดปล่อยพลังการโจมตีที่โหดเหี้ยมและมากฝีมือ แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นฝ่ายได้รับผลเสียจากการปะทะกันสั้นๆ


เพราะไม่ว่าอย่างไร ด้วยพลังทรงประสิทธิภาพของพยัคฆามังกรฟ้าที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก ถ้านี่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าธรรมดาละก็ คนคนนั้นอาจถูกสังหารโดยพยัคฆามังกรฟ้าในกระบวนท่าแรกไปแล้ว


มีเพียงคนอย่างมู่เฉินเท่านั้นที่สามารถพึ่งพาพลังที่มีเผชิญหน้ากับพยัคฆามังกรฟ้า


แต่เห็นได้ชัดว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะพยัคฆามังกรฟ้าและได้รับชัยชนะครั้งสุดท้ายไป


ตู้ม!


ขณะที่ความคิดเหล่านั้นไหลวนอยู่ในใจของทุกคน เสาปีศาจราชันพระสุเมรุก็พุ่งออกจากมือของมู่เฉินขยายตามสายลมพุ่งเข้าใส่ศัตรู


โฮก!


พยัคฆามังกรฟ้าคำราม หางราวกับกระบองขยายตัวประมาณหนึ่งร้อยจั้ง ส่งเสาปีศาจบินกลับไปด้วยการฟาดหางเพียงครั้งเดียว


แต่ในเวลาเดียวกันเมื่อเสาปีศาจถูกซัดกลับไปโดยพยัคฆามังกรฟ้า เสียงคำรามของมังกรและช้างก็ดังขึ้นจากข้างหน้า มู่เฉินยืนอยู่ในอากาศ มิติที่ด้านหลังบิดเบี้ยว จุดจื้อจุนไห่ผันผวนขณะที่ลำแสงแปดสายยิงออกมา


โฮก!


เกลียวแสงทั้งแปดเปล่งแสงคำรามของมังกรและช้าง เมื่อทุกคนมองเข้าไปใกล้ก็เห็นมังกรสี่ตัวและช้างสี่ตัวยืนอยู่ในอากาศ


วิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเกือบเต็ม วิชาเก้ามังกรคชสาร!


เมื่อมังกรและช้างอย่างละสี่ตัวปรากฏขึ้น คลื่นหลิงน่าสะพรึงก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ความผันผวนเหล่านั้นทำให้เปลือกตาของเหล่าผู้บัญชาการกระตุก พวกเขารู้ว่ายามนี้มู่เฉินงัดไพ่ตายออกมาใช้แล้ว


“มังกรและช้างสี่ตัวรึ?” สายตาของจิ่วโยววูบไหว นางทราบดีว่ามู่เฉินฝึกฝนวิชาเก้ามังกรคชสาร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นมู่เฉินเรียกพวกมันอย่างละสี่ตัวออกมาได้


ทว่าขณะที่ดวงตาของจิ่วโยวกะพริบ มู่เฉินก็กวาดตามองภาพมังกรและช้าง ก่อนที่จะสูดลมหายใจ ตราประทับบนฝ่ามือไม่หยุดนิ่งยังคงเคลื่อนไหวต่อไป


“หรือว่าเขาจะกลั่นมังกรกับช้างออกมาอีก?” เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ นางก็ตกตะลึงในหัวใจ


โฮก!


ภายใต้การจับจ้องของจิ่วโยว มู่เฉินก็กระทืบฝ่าเท้าลงบนพื้นดิน แสงพวยพุ่งออกมาจากดวงตาสีดำมืด อึดใจถัดมามิติที่อยู่ข้างหลังก็บิดเบี้ยว จุดจื้อจุนไห่กลิ้งไปตามแรงคลื่นที่รุนแรง ขณะที่แสงสองสายทะยานออกมา


เสียงคำรามของมังกรและช้างดังสะท้อนไปทั่ว


เมื่อคนอื่นๆ เงยหน้าขึ้น พวกเขาก็อดตกใจไม่ได้


บนท้องฟ้า มู่เฉินยืนอยู่กับพร้อมกับม่านตาสีดำราวกับหลุมดำ มีมังกรและช้างอยู่ข้างหลังอย่างละห้าตัว แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าอัศจรรย์ปกคลุมประหนึ่งภูเขาไท่ซัน


นี่เป็นการโจมตีที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็รู้สึกหวาดกลัว!


แต่ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเผชิญหน้ากับพยัคฆามังกรฟ้าด้วยพลังของมังกรคชสารได้จริงหรือไม่!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)