หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 925-928
บทที่ 925 วังสวรรค์บรรพกาล สิบมารอสูร
เมื่อก้าวข้ามประตูไป
พวกมู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของมิติ แต่โชคดีที่ไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น การสั่นสะเทือนกินเวลากว่าสิบลมหายใจก่อนจะกลับมาเงียบสงบดังเดิม จากนั้นสายตาของพวกเขาก็เริ่มปรับรับแสงอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเท้าของพวกเขาก็ได้สัมผัสกับพื้นจริงๆ เสียที
เมื่อฝ่าเท้าแตะพื้น คลื่นหลิงก็พุ่งพรวดพราดออกมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ทันที หลังจากเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติพวกเขาถึงได้กวาดมองไปรอบๆ
แล้วก็ต้องอึ้งตะลึงงันกับภาพเบื้องหน้าครรลองสายตา
ตำหนักงดงามตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าราวกับภูเขาพร้อมกับมีเสาแสงเงินอยู่ภายในซึ่งมีความสูงหลายพันจั้ง ช่างเหมือนเสาหลักค้ำจุนสวรรค์
พวกเขาเล็กจ้อยราวกับมดเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าตำหนักหลังนี้
“นี่คือภายในขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเหรอ?” พวกมู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากัน
มั่นถัวหลัวกวาดสายตาเบาๆ จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปยังส่วนลึกของตำหนัก ท่าทางสงบแสดงให้เห็นว่านางไม่กังวลกับกับดักใดๆ เนื่องจากนางไม่จำเป็นต้องกลัว ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมาปรากฏต่อหน้า
ที่เบื้องหลังผู้คนก็ตามรอยเท้านางไปอย่างรวดเร็ว
คนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาในตำหนักโบราณอย่างช้าๆ เมื่อเดินลึกเข้าไป พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าจะเป็นผนัง กำแพงหรือเสาก็ถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณที่เปล่งความรู้สึกที่ไม่สามารถทำลายได้ออกมา
เลี่ยซันลองกระทืบเท้าอย่างหนักลงบนแผ่นหินด้านล่าง แต่พลังที่เคยทำให้ภูเขาแยกจากกันได้ กลับทำให้เกิดรอยแตกบนแผ่นหินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้คนที่เหลือตกตะลึงในใจ
“หืม?”
ขณะคนทั้งกลุ่มกวาดมองไปรอบๆ มั่นถัวหลัวที่เดินอยู่เบื้องหน้าก็หยุดฝีเท้าลง ม่านตาสีทองคำจ้องมองตรงไป ซึ่งนั่นก็ดึงดูดสายตาของทุกคนไปเช่นกัน
ที่สุดทางเดินของตำหนักมีประตูทองคำเขียวขนาดใหญ่ ทว่าตอนนี้ประตูปิดแน่นหนา ซึ่งดูเหมือนจะเปื้อนไปด้วยเลือด มิหนำซ้ำเลือดยังมีระลอกคลื่นหลิงทรงพลังมาก ทำเอาเปลือกตาของพวกมู่เฉินถึงกับกระตุก
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ เพียงแค่เหยียดนิ้วออกแตะลงไปเบาๆ
ฮึ่ม!
จังหวะเดียวกับนิ้วมั่นถัวหลัว มิติก็ราวกับพื้นผิวของทะเลสาบที่มีก้อนหินขว้างลงไป ทำให้เกิดระลอกคลื่นกระจายออกเป็นวงกว้าง อึดใจต่อมาคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็รวมตัวกัน ตรงจุดนั้นภูเขาผลึกแก้วใสแหลมคมก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ภูเขาผลึกแก้วเล็งเป้าไปที่ประตูทองคำเขียวที่มีริ้วแสงอัญมณีแล่นแปลบปลาบ เปล่งประกายคมชัด
เมื่อพวกมู่เฉินเห็นเปลือกตาก็กระตุก นั่นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าภูเขาผลึกแก้วใสถูกสร้างจากคลื่นหลิงในฟ้าดินที่ถูกมั่นถัวหลัวบีบอัดเข้าด้วยกัน…
เพียงแค่วาดกระบวนท่าง่ายดายของนาง ก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของระดับตี้จื้อจุน เพราะด้วยขุมพลังปัจจุบันของพวกมู่เฉิน แม้จะสามารถรวบรวมคลื่นหลิงในฟ้าดิน มิหนำซ้ำยังสามารถรวมเพื่อใช้ในการโจมตีได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถสร้างผลึกแก้วเช่นนี้ได้…
ในสายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน อาวุธเทพทั่วไปก็ราวกับต้นหญ้า เพราะผลึกพลังที่ก่อตัวขึ้นจากคลื่นหลิงมีความทนทานสูงมากเมื่อเทียบกับอาวุธเทพธรรมดา
ลองคิดดูเมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเปิดการโจมตีเต็มรูปแบบ ก็เปรียบได้กับอาวุธเทพนับไม่ถ้วนพุ่งมาจากทุกทิศทาง การโจมตีแบบนี้ทำลายล้างแค่ไหน?
ตู้ม!
ขณะที่พวกมู่เฉินกำลังตกตะลึง ยอดเขาแหลมคมผลึกแก้วก็ทะยานออกไปปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าประตูทองคำเขียว ก่อนที่จะกระแทกลงไปโดยไม่ลังเล
ครืน!
คลื่นความผันผวนน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกไปในตำหนักแห่งนี้ แม้แต่พื้นดินก็โยกคลอน มีรอยแตกกระจายไปทั่วผนังของตำหนัก
ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวจับจ้องที่ต้นกำเนิดของผลกระทบจากนั้นก็หดลง นั่นเป็นเพราะนางเห็นว่าเมื่อคลื่นหลิงกระจายออกไปประตูก็ยังอยู่ยง หลังจากได้รับการโจมตีรุนแรง ก็ไม่มีร่องรอยของการทำลายล้างบนประตูทองคำเขียวสักกระผีก
เหล่าผู้บัญชาการที่อยู่เบื้องหลังก็มีท่าทางเคร่งเครียด ประตูทองคำเขียวไม่ธรรมดาจริงๆ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่สามารถทำลายได้
“ดูเหมือนว่าเราเริ่มถูกกักโดยขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้ว” ซุยนอนพูดช้าๆ
“ใช้ยาหยุ่นลั้วได้ไหม?” มู่เฉินเอ่ยแนะ
มั่นถัวหลัวส่ายหัว “ยาหยุ่นลั้วสามารถละลายผนึกที่เกิดจากแหล่งพลังเดียวกันเท่านั้น พลังบนประตูทองคำเขียวนี้ไม่เหมือนก่อนหน้า”
“รอยเลือดที่ประตูดูแปลกๆ ไปนะ” สายตาของจิ่วโยววูบไหวพลางพูดออกมา
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนางก็เพ่งพินิจไป เมื่อมองไปอย่างตั้งใจก็ตระหนักได้ว่ารอยเปื้อนเลือดบนประตูทองคำเขียวกำลังดิ้นช้าๆ นอกจากนี้เมื่อมองจากระยะไกล รอยเลือดเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเป็นใบหน้าดุร้ายของสัตว์อสูร
มีใบหน้าสัตว์อสูรทั้งหมดสิบใบหน้า
มั่นถัวหลัวมองใบหน้าสัตว์อสูรทั้งสิบก็ครุ่นคิดและพึมพำว่า “ค่ายกลสิบมารอสูรโบราณเรอะ?”
ทันทีที่พูดจบ มั่นถัวหลัวก็เงยหน้าขึ้นมองเสาตั้งหง่านทั้งสิบเสาในตำหนัก ก่อนที่จะพบว่ามีรูปปั้นขนาดใหญ่อยู่บนยอดเสาทั้งสิบเสาต้น
“นั่นคืออะไร?” เลี่ยซันและคนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นตามและร้องถาม
มู่เฉินหรี่ตาลง รูปปั้นทั้งสิบมีร่างเป็นมนุษย์และหน้าเป็นสัตว์อสูร พวกมันทั้งหมดมีสีฟ้าอมเขียวเข้ม ซึ่งทำให้ดูเหมือนรูปปั้นทองคำเขียวในระยะไกล แต่หลังจากการสัมผัสอย่างละเอียด พวกเขาก็รู้สึกถึงรัศมีเลวร้ายที่น่าอัศจรรย์เปล่งออกมาจากรูปปั้นเหล่านี้
“ใบหน้าบนรูปปั้นเหล่านี้เหมือนกับภาพบนประตูทองคำเขียวเลย” ซิวหลัวพูดออกมา
“นั่นคือมารอสูรทั้งสิบแห่งวังสวรรค์บรรพกาล…” มั่นถัวหลัวหลุบตาลงขณะพูด
“มารอสูรทั้งสิบ?” เหล่าผู้บัญชาการต่างมองหน้ากัน
“นี่น่าจะเป็นค่ายกลป้องกันที่วางไว้โดยจอมพลสี่” มั่นถัวหลัวกล่าว “แหล่งพลังงานบนประตูทองคำเขียวมาจากมารอสูรทั้งสิบตัวนี้ ต้องทำลายพวกมันเท่านั้น เมื่อประตูสูญเสียพลังงานไปถึงจะเปิดขึ้นได้”
“งั้นก็มาทำลายพวกมันกัน” หลิงถงพูดอย่างไม่แยแส เขาอาจจะกลัวบ้างถ้ามารอสูรทั้งสิบยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้พวกมันตายหมดแล้ว พลังก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน แม้ว่าจะใช้วิธีพิเศษเพื่อรักษาพวกมันไว้ก็ตาม
“มีกฎอยู่ที่นี่ เราไม่สามารถแหกกฎได้” มั่นถัวหลัวส่ายหน้า จากนั้นก็สะบัดนิ้ว ลำแสงคลื่นหลิงสายหนึ่งก็พุ่งเข้าหารูปปั้นทองคำฟ้าอมเขียวตัวหนึ่ง แต่ก่อนที่ลำแสงจะสัมผัสกับรูปปั้น ลวดลายโบราณที่อัดแน่นก็วูบไหวออกมาจากเสาค้ำ ทักถอเป็นปราการป้องกันรูปปั้นเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ลบล้างการโจมตีของมั่นถัวหลัว
เมื่อซุยนอนเห็นสิ่งนี้ เขาก็อดอึ้งไม่ได้ คิ้วขมวดเข้าหากัน
“ในเมื่อมีกฎ ก็ทำตามกฎเถอะ” มั่นถัวหลัวยังคงสงบที่สุด นางกวาดสายตาออกไป ก่อนจะหยุดตรงพื้นข้างหน้า ทุกคนพุ่งสายตาตามไปก็ตระหนักได้ว่ามีอักขระมากมายแกะสลักอยู่บนพื้นกว้างใหญ่ของตำหนัก
มั่นถัวหลัวสะบัดนิ้วออกไปอีกครั้ง คลื่นหลิงก็ยิงเข้าใส่อักขระเหล่านั้น
ครืน!
เมื่อคลื่นหลิงพุ่งลงไปที่พื้นก็เกิดเสียงดังกึกก้องก่อนที่พื้นจะดันตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หมอกควันกระจายไปทั่ว มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีลานหินขนาดประมาณหมื่นจั้งปรากฏขึ้นในตำหนักโบราณในเวลาไม่กี่สิบอึดใจ
อักขระโบราณบินฉวัดเฉวียนบนท้องฟ้า ก่อร่างเป็นปราการป้องกันล้อมรอบลานหินเอาไว้
“ลานประลองเหรอ?”
ดวงตาของมั่นถัวหลัวส่องแสงวาบเมื่อเห็นสิ่งนี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจกฎ ก่อนที่จะมองไปที่ซุยนอน อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็โผทะยานขึ้นบนลานประลอง
แต่เมื่อซุยนอนกำลังจะสัมผัสกับปราการรอบลานประลอง ระลอกคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็พวยพุ่งขึ้น ประกายไฟแล่นแปลบปลาบ ทำให้ซุยนอนกระเด็นถอยกลับมา
ซุยนอนกลับมายืนที่ข้างมั่นถัวหลัวพร้อมกับคิ้วขมวดแน่น แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร มั่นถัวหลัววก็เอ่ยว่า “คลื่นหลิงของเจ้าทรงพลังเกินไป ลานประลองนี้ถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่ซึ่งดูเหมือนว่าจะจำกัดระดับของคลื่นหลิง เขาคงไม่ต้องการเห็นคนอื่นทำลายค่ายกลด้วยความรุนแรงน่ะ”
“ซิวหลัว เจ้าขึ้นไป”
มั่นถัวหลัวมองไปที่ซิวหลัวที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บัญชาการ เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าพลังจะอ่อนด้อยกว่าจอมพลทั้งสาม แต่ความสามารถในการต่อสู้นับว่าสูงที่สุดในบรรดาผู้บัญชาการ ดังนั้นหากมีการต่อสู้ เขาก็เป็นตัวเลือกแรก
“รับทราบ!”
ซิวหลัวตอบด้วยความเคารพ ก่อนที่จะส่งแรงไปที่พื้นร่างทะยานขึ้นไปบนลานประลอง ครั้งนี้เมื่อร่างเขาสัมผัสกับปราการป้องกันก็ไม่ได้รับการปฏิเสธใด ปล่อยให้ร่อนลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง
เมื่อทุกคนเห็นซิวหลัวขึ้นไปได้สำเร็จก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก
ครืน!
ทว่าขณะที่ซิวหลัวยืนอยู่บนลานประลอง ความปั่นป่วนก็สะท้อนก้องในตำหนักโบราณ มู่เฉินและคนอื่นๆ จ้องเขม็งไปที่แหล่งกำเนิดเสียง ก่อนที่ดวงตาจะหดลงทันที
บนเสาหินขนาดใหญ่ เปลือกทองแดงหลุดลงมาจากรูปปั้น พร้อมกันนั้นร่างเงาสวมชุดเกราะสีดำดุร้ายที่ดูราวกับหอคอยเหล็กสีดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
โฮก!
เสียงคำรามพุ่งสู่ชั้นฟ้า การปลดปล่อยเสียงราวกับเสียงฟ้าคำรนดังกึกก้องไปทั่ว ทำให้ทั้งตำหนักสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
ตู้ม!
การเหยียบหนักหน่วงกระแทกบนพื้น รอยแตกปรากฏบนเสาหิน ก่อนที่จะพุ่งลงมาบนลานประลองราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
กลุ่มควันกระจายออกไป มันก็ราวกับสัตว์อสูรยุคแรกที่ห่อหุ้มไปด้วยรัศมีน่าเกรงขามที่เชี่ยวกราก ทำให้แม้แต่ซิวหลัวก็ต้องหดตาลง
“นั่นคือหนึ่งในมารอสูรของวังสวรรค์บรรพกาลปีศาจเจียวกลืนฟ้า” มั่นถัวหลัวเอ่ย
นอกลานประลอง มู่เฉินและคนอื่นๆ ฉายสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้ว่าซิวหลัวที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะได้เปรียบไหม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหนึ่งในสิบของมารอสูรแห่งวังสรรค์บรรพกาล
นี่คงเป็นศึกล้างโลกแน่นอน
บทที่ 926 ผู้บัญชาการซิวหลัวปะทะปีศาจเจียวกลืนฟ้า
บนลานประลองมหึมา
ซิวหลัวยืดตัวตรง ร่างแข็งแกร่งราวกับภูเขาพร้อมกับคลื่นหลิงหนาแน่นและน่าเกรงขามกำจายรอบตัวเขา แม้แต่พวกมู่เฉินที่อยู่ด้านล่างลานประลองก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน
ที่เบื้องหน้าซิวหลัวเป็นร่างเงาราวกับหอคอย ร่างกายส่วนบนของมันเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่ดูดุร้าย ทำให้มันดูเป็นโหดร้ายมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าร่างนี้จะมีร่างกายคล้ายกับมนุษย์ แต่กลับมีหัวเป็นมังกร ฟันแหลมคมกะพริบแสงเย็นเยือก แสดงให้เห็นว่าพวกมันคมปานใด
ตอนนี้ดวงตาสีแดงเข้มฉายแววป่าเถื่อนจ้องมองไปที่ซิวหลัว ขณะที่รัศมีน่าเกรงขามเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านไปทั้งใจ
ทั้งสองมีรัศมีที่โดดเด่น การเผชิญหน้าเช่นนี้เป็นที่ดึงดูดสายตายิ่งนัก
“นั่นคือหนึ่งในสิบมารอสูรของวังสวรรค์บรรพกาล—ปีศาจเจียวกลืนฟ้ารึ?” มู่เฉินและคนอื่นๆ ฉายสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน รัศมีร้ายกาจที่กำจายออกมาจากสิ่งมีชีวิตนั้น ทำให้พวกเขารู้สึกกดดัน ดูเหมือนแม้ว่ามารอสูรทั้งสิบจะตายไปนานแล้ว แต่ด้วยวิธีพิเศษจึงทำให้พวกมันสามารถรักษาพลังส่วนใหญ่เอาไว้ได้
“พลังของปีศาจเจียวนี้มีความโดดเด่นกระทั่งในบรรดามารอสูรทั้งสิบของวังสวรรค์บรรพกาล ว่ากันว่าการเพาะพลังของมันเทียบเคียงกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เพราะตายแล้วทำให้พลังของมันอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด แต่ความจริงจากการใช้ประโยชน์ร่างสัตว์อสูรก็สามารถเผชิญหน้าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้” มั่นถัวหลัวมองทั้งสองที่ประจันหน้ากันบนลานประลองขณะพูดช้าๆ
เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินก็อึ้งงันไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวังสวรรค์บรรพกาลจึงเป็นเจ้าเหนือหัวแห่งทวีปเทียนหลัว แค่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพลสี่ก็ยังเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ สัตว์อสูรทั้งสิบก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า ซึ่งเปรียบได้กับจอมยุทธ์อย่างจอมพลเทียนจิ้วเลยทีเดียว
“ตู้ม!”
ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล ประกายแสงก็ปะทุออกมาจากดวงตาของซิวหลัวที่อยู่บนลานประลอง คลื่นหลิงทรงพลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า อึดใจต่อมาเขาก็ย่างก้าวออกไป แผ่นหินเบื้องล่างถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ ฉับพลันร่างเขาก็กลายเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าหาปีศาจเจียวกลืนฟ้า ตามด้วยกระบวนท่าที่ดุดัน
ด้วยฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ชัดว่าเขาไม่กลัวปีศาจเจียวตัวนี้
โฮก!
เมื่อปีศาจเจียวเห็นซิวหลัวพุ่งเข้าใส่อย่างจัง มันก็แผดเสียงคำรามดุร้าย ลำแสงบ้าคลั่งพลุ่งพล่านในดวงตา มือที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดบีบแน่นเข้าหากัน ก่อนจะเหวี่ยงหมัดที่กำจายไปด้วยคลื่นหลิงสีแดงเข้มออกไป
ภายใต้หมัดคลื่นหลิงสีแดงเข้มก็ราวกับมังกรร้าย ขณะที่ฉีกกัดก็ทำให้มิติถึงกับบิดเบือน
ตึง!
ทั้งสองโรมรันพันตูขณะหมัดแลกหมัด ทันใดนั้นคลื่นกระแทกที่น่าสยดสยองก็กวาดหายนะไปทั่ว รอยแตกแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจากพื้นใต้ฝ่าเท้า ร่างทั้งคู่ถลากลับไปเบื้องหลัง
ทันทีที่ทั้งสองทรงตัวได้มั่นคง พวกเขาก็กระโจนออกไปอีกครั้ง คลื่นหลิงรุนแรงสองสายปะทะกันเปรี้ยงปร้างบนลานประลอง
ตู้ม! ตู้มมม!
ทั้งสองใช้กระบวนท่าดุเดือดที่สุดขณะที่หมัดต่อหมัดซัดกันไม่ยั้ง ในเวลาสิบกว่าลมหายใจก็แลกกระบวนท่ามากกว่าร้อยกระบวนท่าแล้ว การปะทะกันของหมัดทุกครั้ง ทำให้มิติแปรปรวนไปเลยทีเดียว
นอกลานประลอง ทุกคนเฝ้ามองการประจัญบานของทั้งสองด้วยสายตาเคร่งเครียด เวลานี้ชัดว่าซิวหลัวเร้าคลื่นหลิงไปถึงขีดสุดเท่าที่จะทำได้ แรงกดของคลื่นหลิงที่กำจายออกมาจากการเคลื่อนไหวของเขาสามารถทำให้ภูเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อประสานกับการโจมตีกระบวนท่าดุร้ายก็เหมือนสัตว์อสูรยุคดึกดำบรรพ์ยิ่งกว่าปีศาจเจียวกลืนฟ้าเสียอีก
ทว่าเผชิญหน้ากับซิวหลัวที่ดุดัน ปีศาจเจียวก็ไม่ได้หลบหลีก แม้ว่าจะเสียเปรียบในการปะทะส่วนใหญ่ แต่รัศมีทรงพลังที่มีก็เพียงพอที่จะข่มขู่คู่ต่อสู้ที่มีจิตใจไม่มั่นคงได้
การประลองรุนแรงตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว
มั่นถัวหลัวและจอมพลทั้งสามสงบนิ่งขณะเฝ้าดูการต่อสู้ สายตาของพวกเขาเหนือชั้นกว่าเหล่าผู้บัญชาการ ดังนั้นพวกเขาสามารถบอกได้ว่าซิวหลัวกำลังได้เปรียบในการต่อสู้นี้
หากศึกนี้ดำเนินต่อไป ไม่ยากที่ผู้บัญชาการซิวหลัวจะได้รับชัยชนะ
ตึง!
ราวกับว่าเห็นด้วยกับความคิดของมั่นถัวหลัวและสามจอมพล ร่างทั้งสองบนลานประลองก็ปะทะกันราวกับสัตว์อสูรร้ายกาจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มือของซิวหลัวกลับเปลี่ยนเป็นสีแดง จิตสังหารเข้มข้นแผ่ขยายออกไป จากนั้นก็เหวี่ยงฝ่ามือออกมาเจาะทะลุผ่านมิติโดยตรง ทุบลงบนหน้าอกของปีศาจเจียวราวกับสายฟ้าฟาด
“ฝ่ามือโลหิตอสุรา!”
ปัง!
แสงสีแดงเข้มระเบิดบนหน้าอกของปีศาจเจียว ส่งร่างใหญ่โตบินถลาออกไปทันที เกราะบนหน้าอกแตกเป็นเสี่ยง กระทั่งหน้าอกก็ยุบตัวลง มันส่งเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ร่างปีศาจเจียวถลาบนลานประลองไปร้อยเมตรก่อนที่มันจะซัดมือลงบนพื้นแล้วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมด้วยความป่าเถื่อนอัดแน่นในดวงตา
มันไม่ได้สนใจหน้าอกที่ยุบลง พุ่งตัวออกไปราวกับกระทิงเปลี่ยว แสงสีแดงเข้มห่อหุ้มบนร่างกาย คลื่นหลิงหอนลั่น ก่อร่างเป็นมังกรสีแดงเข้มเคลือบบนพื้นผิว
ตึง! ตึง!
ทั้งบริเวณสนั่นหวั่นไหวภายใต้ผลกระทบของปีศาจเจียว
ต่อให้มีภูเขามาขวางกั้น ปีศาจเจียวก็จะพุ่งชนจนแตกสลายกลายเป็นฝุ่น
ซิวหลัวมองปีศาจเจียวที่พุ่งเข้ามาด้วยพลังน่าสะพรึงกลัว สายตาก็หดลงก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก มือประสานกัน
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงทรงพลังกวาดออกจากร่างราวกับพายุ อึดใจต่อมาลำแสงขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นรอบตัวซิวหลัว
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มีหัวกระทิง รัศมีสังหารไหลบ่าออกมา ราวกับเทพอสุรามหึมาเลยทีเดียว
“นั่นคือร่างเทพอสุราสวรรค์!”
มู่เฉินหดดวงตาจ้องไปเบื้องหน้า นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่ซิวหลัวฝึกฝน ซึ่งอยู่ในลำดับที่หกสิบเก้าของทำเนียบร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
ฮู่!
เทพอสุรากู่ร้องไปทั่วชั้นฟ้า ก่อนที่จะเหวี่ยงกำปั้นออกไป แสงสีแดงเข้มพวยพุ่ง มิติถูกทำลาย ก่อนที่จะปะทะกับร่างปีศาจเจียวที่พุ่งเข้ามา
ฮึ่ม!
คลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากระจายออก ชนกับกำแพงแสงโดยรอบ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง
ฟิ้ว!
ที่จุดปะทะร่างซิวหลัวถอยกลับมา ฝ่าเท้าทิ้งทางยาวไว้บนพื้น ตรงกันข้ามปีศาจเจียวบินถลาไปชนเข้ากับกำแพงกีดขวางทำเอาร่างสั่นสะเทือน ก่อนที่ร่างปีศาจเจียวจะแตกสลายเหลือเพียงริ้วแสง
ปีศาจเจียวกลืนฟ้าแพ้แล้ว!
เหล่าผู้บัญชาการที่ยืนอยู่นอกลานประลองเมื่อเห็นซิวหลัวได้รับชัยชนะก็รู้สึกโล่งใจมาก
คลื่นหลิงที่กระเพื่อมไหวอยู่รอบตัวซิวหลัวก็กลับเข้าไปในร่างก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้น จากนั้นเขาเห็นริ้วแสงของปีศาจเจียวรวมตัวกันแล้วพุ่งเข้าใส่ร่างเขา
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ซิวหลัวอึ้งไปขณะที่กำลังจะต่อต้าน เสียงของมั่นถัวหลัวก็ดังก้อง “นั่นเป็นแก่นคลื่นหลิงของปีศาจเจียว เป็นยาบำรุงชั้นดีสำหรับเจ้าถ้าดูดซับเอาไว้”
เมื่อได้ยินเสียงคำพูดของมั่นถัวหลัว ซิวหลัวก็ฉายความยินดีบนใบหน้าก่อนที่จะเร้าเคล็ดวิชาการเพาะบ่มพลังดูดซับแก่นคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกาย
ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ซิวหลัวจะลืมตาขึ้นช้าๆ ทันใดนั้นประกายแสงก็พวยพุ่งในดวงตา คลื่นหลิงรอบตัวแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าซิวหลัวมีพัฒนาการอย่างมากหลังจากที่ได้ดูดซับแก่นคลื่นหลิงที่ถูกทิ้งไว้โดยปีศาจเจียว
เมื่อคนอื่นได้เห็นประโยชน์ที่ซิวหลัวได้รับ ดวงตาก็ขึ้นริ้วแดงก่ำ เพราะเมื่อถึงขุมพลังอย่างซิวหลัวต้องใช้เวลาในการฝึกฝนยาวนานและขมขื่นหากต้องการพัฒนาขึ้นไปอีก แต่แก่นคลื่นพลังของปีศาจเจียวสามารถช่วยเขาได้ประหยัดเวลาไปมาก
หลังจากที่ดูดซับแก่นคลื่นหลิงไว้แล้ว ก่อนที่ซิวหลัวจะทันได้อ้าปาก แรงต้านก็ปรากฏขึ้นผลักเขากระเด็นออกจากลานประลองทันที
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงดังมาจากประตูทองคำเขียว เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นใบหน้าสัตว์อสูรหนึ่งในสิบกำลังละลาย
นั่นคือใบหน้าของปีศาจเจียวกลืนฟ้าที่พ่ายแพ้ซิวหลัวเมื่อครู่
“ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เอาชนะมารอสูรได้ตัวหนึ่งจะทำให้ผนึกหายไปนะ” เทียนจิ้วกล่าวขณะที่มองภาพนี้
“แต่ถ้าพวกมารอสูรทั้งหมดมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับปีศาจเจียว… ข้ากลัวว่าโอกาสที่พวกเราจะชนะไม่สูงนัก” หลิงถงเอ่ยขึ้น
ในบรรดาผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีเพียงซิวหลัวเท่านั้นที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ถึงระดับนี้ ดังนั้นโอกาสชนะมีไม่สูงหากต้องต่อสู้
“ปีศาจเจียวมีความโดดเด่นแม้จะอยู่ในหมู่มารอสูรทั้งสิบด้วยกัน ความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าทุกตัวจะทรงพลังเหมือนมัน” มั่นถัวหลัวส่ายหัวเบาๆ ขณะที่พูดต่อ “นอกจากนี้เราไม่ได้ต้องการชัยชนะสมบูรณ์แบบ เราต้องการให้สี่ผนึกละลายจากนั้นข้าก็จะสามารถทำลายได้แล้ว”
นางมองไปยังเหล่าผู้บัญชาการที่เหลือพูดต่อว่า “ดังนั้นเราต้องชนะการประลองสี่รอบ ถึงจะสามารถทำลายประตูทองคำเขียวได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ ชนะสี่รอบจากสิบ พวกเขามีโอกาสพอสมควร
“รอบที่สอง ใครไป?”
เมื่อได้ยินพวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่เลี่ยซันจะเดินออกมาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “รอบที่สองข้าเอง!”
ถึงแม้ว่าเลี่ยซันจะด้อยกว่าซิวหลัวไปบ้าง แต่ก็มีขุมพลังอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติออกไปประลอง
เมื่อไม่มีคำคัดค้าน เลี่ยซันก็เคลื่อนไหวว่องไวกระโจนขึ้นไปบนลานประลอง
ครืน!
พร้อมกับการเข้าไปของเลี่ยซัน ทุกคนก็เห็นรูปปั้นทองคำฟ้าอมเขียวตัวหนึ่งบนเสาสั่นไหว รัศมีร้ายกาจกระจายออกมา ร่างขนาดใหญ่ร่อนลงบนลานประลองทำเอาพื้นดินโยกคลอนเลยทีเดียว รัศมีโหดร้ายพวยพุ่งขึ้นเมื่อกระจายออกไป คลื่นเสียงมังกรก็ดังสะท้อนพร้อมกับพลังอำนาจมังกรแผ่ออกมา
เมื่อคนอื่นๆ เห็นภาพสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ดังกล่าว ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าสิ่งนี้แข็งแกร่งกว่าปีศาจเจียวกลืนฟ้าเสียอีก!
“ปีศาจมังกรโลหิต หัวหน้าสิบมารอสูร…” มั่นถัวหลัวขมวดคิ้วขณะที่พูดช้าๆ
พอมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนั่น หัวใจก็ดิ่งลง ไม่มีใครคิดว่าเลี่ยซันจะดวงจู๋ต้องปะทะกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังที่สุด…
บทที่ 927 พ่ายแพ้ยับเยิน
รัศมีร้ายกาจรอบตัวอันแข็งแกร่งร่นกลับ
ในเวลาเดียวกันดวงตานั้นก็กระจ่างขึ้น ยังมองเห็นร่างมนุษย์และหัวของสัตว์อสูรเช่นเดิม ทว่าตอนนี้ไม่ใช่หัวของเจียวแต่เป็นมังกร
ว่ากันว่าตอนที่สัตว์อสูรตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็มีขุมพลังเทียบเท่ากับระดับจื้อจุนขั้นเก้า แม้ว่าตอนนี้มันจะตายไปแล้ว แต่พลังที่สามารถรักษาไว้ได้ก็ยังแข็งแกร่งกว่าปีศาจเจียวกลืนฟ้าหลายส่วน
แค่ขนาดร่างของมันก็กำยำกว่าปีศาจเจียวกลืนฟ้า เพียงยืนอยู่บนเวทีเงียบๆ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมา
บนลานประลองเลี่ยซันก็มีสีหน้าน่าเกลียดจากการปรากฏตัวของปีศาจมังกรโลหิต นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงที่มาจากคู่ต่อสู้ตรงหน้า
เขารู้ดีเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของตนเอง หากพบสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่านี้เขาอาจจะสู้ได้ แต่ใครจะคิดว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามารอสูรทั้งสิบ ปีศาจมังกรโลหิตจะถูกเรียกตัวออกมา…
แทบไม่ต้องสงสัยผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งนี้เลย
เลี่ยซันรู้สึกได้ถึงความขมขื่นในใจ แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ก็ไม่มีทางถอยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องลุยสักตั้ง…
ฮา
พอคิดได้ดังนั้น เลี่ยซันก็สูดหายใจลึก ระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในหัวใจ แววตาฉายประกายเฉียบคม แม้จะรู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่ง แต่ตัวเขาก็เป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นเขาต้องไม่สูญเสียกำลังใจง่ายๆ แบบนี้
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจากร่างเลี่ยซัน พิจารณาจากคลื่นพลังบอกได้ว่าอีกก้าวเดียวเขาก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว แต่ก้าวเดียวสั้นๆ นี้ก็ยังทำให้มีระยะค่อนข้างห่างไกลเมื่อเทียบกับซิวหลัว
ตึง!
เลี่ยซันกำหมัดแน่น ขวานสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นในมือ ระลอกคลื่นหลิงแหลมคมกำจายออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาวุธพบสวรรค์ที่ไม่อ่อนแอเลย
เผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังเช่นนี้ เลี่ยซันไม่กล้าปะทะหมัดต่อหมัดดุเดือดเหมือนกับซิวหลัว
วาบ!
ร่างเงาเลี่ยซันเปลี่ยนเป็นริ้วแสงพุ่งออกไป พริบตาก็ปรากฏที่เหนือร่างปีศาจมังกรโลหิต ความเย็นยะเยือกพุ่งพรวดออกมาจากดวงตาขณะที่เหวี่ยงขวานลงไป
“คัมภีร์เทพเสี่ยเทียน กระบวนท่าเฉือนสวรรค์!”
เสียงคำรามอัดแน่นไปด้วยไอสังหารเข้มข้น ขวานแสงขนาดใหญ่หลายร้อยจั้งส่งเสียงหวีดหวิวครอบงำขณะซัดลงมา มิติถึงกับแตกร้าวในเส้นทางที่แสงผ่าน
เลี่ยซันรู้ชัดว่าปีศาจมังกรทรงพลังเพียงใด ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดหยั่งเชิง เขาเลือกใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาตั้งแต่เริ่ม
ครืน!
ขวานแสงซัดออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ครอบร่างปีศาจมังกรเลือดหนาแน่น กระบวนท่าดูราวกับว่าสามารถแยกฟ้าดินออกจากกัน
ยามนี้ดวงตาทุกคู่หรี่ลง
เมื่อฝุ่นที่ฟุ้งกระจายสงบลง ทุกคนก็จับจ้องไปยังจุดที่ปีศาจมังกรยืนอยู่ ทว่าดวงตาทุกคู่กลับเกร็งแน่น ส่วนเลี่ยซันก็มีใบหน้ามืดครึ้มลงหลายส่วน
นั่นเพราะเบื้องหน้าปีศาจมังกรยังคงยืนนิ่งสองมือไขว้กันปกป้องส่วนหัวเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามันใช้ท่อนแขนต้านทานการโจมตีที่ดุร้ายจากเลี่ยซันเอาไว้ได้
แต่แม้จะรับการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ ก็มีเพียงบาดแผลลึกที่ท่อนแขนของปีศาจมังกรเท่านั้น นอกจากนี้บาดแผลยังมีแสงเลือดไหลเวียนและฟื้นตัวด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ความสามารถในการฟื้นฟูของปีศาจมังกรน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
นอกลานประลองเหล่าผู้บัญชาการยิ้มขมขื่นขณะส่ายหัว ปีศาจมังกรโลหิตแข็งแกร่งเกินไปสำหรับคู่ต่อสู้ ถ้าตอนนี้เป็นซิวหลัวก็คงพอฟัดพอเหวี่ยง แต่สำหรับเลี่ยซันยังขาดพลังไปอีกส่วนหนึ่ง
“ไอ้เวรเอ้ย!”
เลี่ยซันมีสีหน้ามืดครึ้มขณะสบถพลางขบฟันแน่น ประกายแสงเหี้ยมเกรียมพวยพุ่งในดวงตา มือยกขวานขึ้นคลื่นหลิงในร่างกายพลุ่งพล่านรุนแรง
วันนี้เขาจะดูว่าสัตว์อสูรตัวนี้ทรงพลังเพียงใด!
“เลี่ยซันกลับมาเถอะ รอบนี้เราขอยอมแพ้” ทว่าขณะที่เลี่ยซันตั้งใจจะสู้ตาย เสียงของมั่นถัวหลัวก็ดังก้องอยู่ที่ด้านนอกลานประลอง
เมื่อได้ยินเสียงของมั่นถัวหลัว เลี่ยซันก็อึ้งไปพลางขบฟันอย่างไม่เต็มใจ เขาคลายมือที่จับด้ามขวานไว้แน่น แต่สุดท้ายก็ลดอารมณ์ลงหันหลังทะยานออกมาจากลานประลองด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
เขารู้ว่าถึงจะทุ่มสุดพลัง โอกาสที่จะชนะปีศาจมังกรก็ไม่สูงนัก มากจนถ้าทุ่มเกินตัวอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บหนักได้
พร้อมกับที่เลี่ยซันทะยานกลับมา ร่างปีศาจมังกรโลหิตก็เปล่งแสงก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้ากลับไปที่เสาเปลี่ยนเป็นรูปปั้นอีกครั้ง
เลี่ยซันมีความรู้สึกผิดเขียนบนใบหน้าขณะมองไปที่มั่นถัวหลัว “ข้าคนนี้ไร้ความสามารถ…”
มั่นถัวหลัวโบกมือ ห้ามปรามไม่ให้อีกฝ่ายพูดตำหนิตัวเอง “เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้ หากขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนผ่านไปได้โดยง่าย ก็ดูถูกจอมพลสี่เกินไปแล้ว”
“เอาน่า เราเพิ่งแพ้แค่รอบเดียวเท่านั้นเองนะ” เทียนจิ้วยิ้ม “ตราบใดที่สามารถคว้าชัยชนะได้อีกสามรอบ ท่านประมุขก็สามารถทำลายค่ายกลได้แล้ว”
“แม้จะแพ้รอบนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย อย่างน้อยปีศาจมังกรโลหิตก็จะไม่ออกมาอีกแล้ว” มั่นถัวหลัวพยักหน้า
จากกฎที่นี่ไม่ว่าจะเป็นผู้ท้าชิงหรือผู้ถูกท้าทายก็มีสิทธิ์ขึ้นประลองได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ได้ ดังนั้นปีศาจมังกรโลหิตจะไม่ปรากฏตัวอีกต่อไป
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินคำเหล่านั้น ก็รู้สึกโล่งใจไปบ้าง เพราะเมื่อซิวหลัวไม่สามารถขึ้นไปได้ ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่สามารถเผชิญหน้ากับปีศาจมังกรโลหิตได้
มู่เฉินถอนหายใจในใจเช่นกัน ถ้าเขาได้รับแรงเสริมจากกองทัพก็อาจจะสามารถใช้รัศมีจั้นยี่เพื่อเผชิญหน้ากับปีศาจมังกรโลหิต แต่น่าเสียดายในสถานที่นี้เขาต้องพึ่งพาพลังของตนเองเท่านั้น
“เหลืออีกแปดรอบ…ใครจะขึ้นเป็นคนต่อไป?” มั่นถัวหลัวมองผู้บัญชาการที่เหลือขณะที่พูดช้าๆ
ผู้บัญชาการที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตากัน สักพักเสี่ยยิงก็ย่างเท้าออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าขอท้ารอบที่สามนี้เองขอรับ”
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการประลองทั้งแปดรอบไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในฐานะจอมยุทธ์ชั้นสูงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาก็ถอยกลับไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องเดินหน้าสู้ตาย
ไม่งั้นหากพวกเขาไม่สามารถเข้าไปในส่วนลึกของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเพื่อรับเอาของเหลวหลิงเสินจากจอมพลสี่และปล่อยให้กองทัพอื่นยึดไป นี่จะเป็นหายนะล้างบางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาอย่างแท้จริง
ฟิ้ว!
เสี่ยยิงกระทืบเท้าส่งแรงพุ่งขึ้นไปบนลานประลองภายใต้สายตาของทุกคน
ครืน!
พร้อมกับเสี่ยยิงลงประลอง ตำหนักก็สั่นสะเทือนขณะที่รูปปั้นรูปหนึ่งมีชีวิตขึ้นมา ร่างนั่นร่อนลงบนลานประลองด้วยรัศมีน่าสะพรึงกลัว
“หนึ่งในสิบมารอสูร…หมีมังกรฟ้าที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก พลังมากจนสามารถถอนภูเขา…” มั่นถัวหลัวมองร่างตรงหน้าเสี่ยยิงก่อนที่จะพูดเบาๆ
“ไม่รู้ว่าเสี่ยยิงมีโอกาสชนะเท่าไร…” เทียนจิ้วกล่าวพลางขมวดคิ้ว
มั่นถัวหลัวหลุบตาลงขณะถอนหายใจในใจ แม้ว่าพลังของหมีมังกรฟ้าจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก แต่เสี่ยยิงก็เพิ่งจะอยู่ในระยะเริ่มต้นของขั้นหกเท่านั้น ดังนั้นนางไม่คิดมองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับการต่อสู้รอบนี้
แล้วก็เป็นตามที่มั่นถัวหลัวคาด การต่อสู้บนลานประลองรุนแรงตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งสองทั้งรุกทั้งรับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเสี่ยยิ่งก็เริ่มเผยจุดอ่อน
ดังนั้นเมื่อเสี่ยยิงเผยช่องโหว่ ในการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าครั้งสุดท้ายเขาก็กระเด็นออกนอกลานประลองโดยฝีมือของหมีมังกรฟ้า
รอบสามเสี่ยยิงแพ้ไป!
หลังจากความพ่ายแพ้ของเสี่ยยิง หัวใจของเหล่าผู้บัญชาการก็เริ่มเดือดดาลขึ้น ความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องกระตุ้นความภาคภูมิใจในหัวใจของพวกเขา
แต่ถึงจะโกรธพวกเขาก็ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งของมารอสูรทั้งสิบแห่งวังสวรรค์บรรพกาลอยู่ในระดับที่สูงกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ซึ่งจุดนี้สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนในรอบถัดๆ มา
รอบสี่
หลิงเจี้ยนปะทะกับอสรพิษสามหัว พ่ายแพ้ไป!
รอบห้า
ปิงเหอปะทะกับสิงคาลวิญญาณก็พ่ายแพ้ไปอีก!
การประลองสี่รอบนี้แพ้เรียบ
นอกจากรอบแรกของซิวหลัวที่จบลงด้วยชัยชนะ ที่เหลือเรียกว่ายับเยิน!
ผู้บัญชาการแต่ละคนล้วนมีท่าทางไม่น่าดู การพ่ายแพ้ติดต่อกันสี่รอบ ทำเอาใบหน้าเห่อแดงไปหมด
มั่นถัวหลัวถอนหายใจแผ่วกับภาพนี้ แต่นางไม่ได้ตำหนิอะไร “ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป ถ้าสุดท้ายเราแพ้ทั้งหมด ข้าก็จะพยายามทำลายค่ายกล…”
เมื่อได้ยินว่ามั่นถัวหลัวสามารถทำลายค่ายกลเอง เหล่าผู้บัญชาการกลับไม่ได้มีความยินดีใดๆ บนใบหน้าเลย เนื่องจากพวกเขารู้ว่านี่จะสร้างความเหนื่อยล้าใหญ่หลวงให้กับมั่นถัวหลัวในการทำลายค่ายกล หากพวกเขาต้องปะทะกับขั้วอำนาจสูงสุดอื่นในเวลานั้นละก็ พวกเขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าศัตรูจะไม่ใช้โอกาสนี้ตลบหลัง ในเวลานั้นก็เทียบเท่ากับพวกเขาถูกล้างบางอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ พวกเขาต้องช่วยมั่นถัวหลัวในการรักษาสภาพพร้อมรบไว้ ก่อนที่จะพบของเหลวหลิงเสิน
มู่เฉินจ้องมองรูปปั้นทองคำฟ้าอมเขียวบนเสาหินขนาดใหญ่พร้อมกับกำหมัดเบาๆ แต่ขณะที่เขาตั้งใจจะก้าวออกไป จิ่วโยวที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับย่างเท้าออกไปก่อน
“ท่านประมุขข้าจะลงประลองรอบที่หกเอง” จิ่วโยวมองไปที่มั่นถัวหลัวพลางเอ่ยขึ้น
มั่นถัวหลัวมองไปที่จิ่วโยวก็ครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะพยักหน้าเบา “หากเจ้าไม่ไหวก็ถอยกลับมา ข้าจะลงมือทำลายค่ายกลเอง”
จิ่วโยวพยักหน้าแล้วแลกเปลี่ยนสายตากับมู่เฉิน ทว่าก่อนที่เขาจะทันเปิดปากพูด ร่างนางก็กลายเป็นลำแสงพลิ้วตัวบนลานประลองแล้ว!
รอบหก จิ่วโยวขึ้นปะทะ!
บทที่ 928 จิ่วโยวขึ้นประลอง
บนลานประลองกว้างใหญ่
เมื่อร่างบอบบางของจิ่วโยวปรากฏตัวขึ้น รูปปั้นรูปหนึ่งก็กลับมามีชีวิตแล้วร่อนลงมาขณะปลดปล่อยรังสีน่าสะพรึงออกไป
พวกมู่เฉินรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว
สัตว์อสูรตัวนี้มีร่างกายประหนึ่งหอคอย แสงสีทองวาวโรจน์เปล่งอยู่รอบๆ ราวกับว่าถูกปั้นขึ้นมาจากทองคำที่ไม่สามารถทำลายได้ มันมีหัวเป็นสิงโตสีทอง สิ่งเดียวบนร่างที่ไม่ใช่สีทองก็คือดวงตาสีแดงก่ำประหนึ่งเลือดที่อัดแน่นไปด้วยความดุร้าย
เมื่อร่างสีทองปรากฏขึ้น รัศมีที่น่ากลัวก็แผ่ออกไป
“หนึ่งในสิบมารอสูรแห่งวังสวรรค์บรรพกาล…ปีศาจราชสีห์ทองคำ” มั่นถัวหลัวมองร่างสีทองนั้นก่อนจะพูดช้าๆ “สัตว์อสูรตัวนี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งมาก มิหนำซ้ำความแข็งแกร่งยังมากกว่ามารอสูรตัวอื่นๆ”
เมื่อคนอื่นได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหดดวงตาลง
“แต่ในฐานะวิหคอนธโลกันตร์ สายเลือดของจิ่วโยวก็แข็งแกร่งกว่าปีศาจราชสีทองคำ ดังนั้นหากปะทะกัน นางไม่เสียเปรียบแน่” มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบา ๆ
“จิ่วโยวเป็นอัจฉริยะของเผ่าวิหคโลกันตร์ นางสามารถพัฒนาร่างเป็นวิหคอนธโลกันตร์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นเรื่องหาได้ยากแม้แต่ในเผ่าพันธุ์ของนาง ดังนั้นหากโอกาสเอื้ออำนวยนาง ในอนาคตนางอาจสามารถทำลายขีดจำกัดปลุกสายเลือดวิหคอมตะได้…” เทียนจิ้วพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
เหล่าผู้บัญชาการคนอื่นๆ แอบเดาะลิ้นเมื่อได้ยินบทสนทนา วิหคอมตะเป็นเทพอสูรชั้นสูงในมหาพันภพซึ่งอยู่ในลำดับต้นๆ ของบันทึกเทพอสูร สัตว์เทพทุกตัวที่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับนั้นล้วนเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ
สายตาของมู่เฉินจ้องเขม็งไปยังร่างเพรียวบางของจิ่วโยว เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังที่กำจายออกมาจากร่างของนางก็ถอนหายใจ ตอนที่เขากับจิ่วโยวเข้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเพิ่งบรรลุขุมพลังจื้อจุน ขณะที่นางเพิ่งจะเสร็จสิ้นการวิวัฒนาการโดยที่พลังทะยานขึ้นไปเทียบเท่ากับระดับจื้อจุนขั้นห้า
ในเวลานั้นมู่เฉินไม่ได้รับความสนใจมากนัก ขณะที่จิ่วโยวเองก็รั้งตำแหน่งสุดท้ายในหมู่ผู้บัญชาการ แต่ใครจะคิดว่าในเวลาเพียงสองปีสั้นๆ จอมยุทธ์หน้าใหม่ที่ไม่มีความสำคัญจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการ ส่วนจิ่วโยวก็เติบโตขึ้นจนบรรลุระดับจื้อจุนขั้นหกได้?
แม้ว่ามู่เฉินจะชนะในการเปรียบเทียบพัฒนาการระหว่างพวกเขา แต่จิ่วโยวเป็นเทพอสูร วิธีการฝึกฝนของเทพอสูรไม่เหมือนกับมนุษย์ บางทีพัฒนาการของพวกเขาอาจจะล่าช้า แต่เมื่อวันหนึ่งที่พวกเขาสามารถเจาะคอขวดไปได้ ความเร็วในการพัฒนาของพวกเขาก็จะยิ่งกว่าน่าประหลาดใจ
ในปีที่ผ่านมาจิ่วโยวเพาะบ่มพลังแบบขมขื่นอยู่เกือบตลอดเวลา คนอื่นอาจไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มู่เฉินรู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง นอกเหนือจากซิวหลัวและเลี่ยซันซึ่งสามารถปราบปรามนางได้แล้ว ผู้บัญชาการคนอื่นๆ เทียบนางไม่ติดเลย…
อย่างไรก็ตามการประลองในวันนี้อาจเปลี่ยนสถานะของนางในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ได้
บนลานประลอง
จิ่วโยวมองร่างเงาสีทองเข้ม แววตาเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ พวกนางแพ้การประลองไปสี่รอบแล้ว นั่นหมายความว่าต้องการชัยชนะถึงสามรอบจากห้ารอบเพื่อจะสามารถเจาะโครงสร้างของค่ายกลได้
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชนะสามในห้ารอบ ดังนั้นถ้านางแพ้โอกาสของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะต่ำเตี้ยลงไปอีก
ดังนั้นนางจะแพ้ไม่ได้
จิ่วโยวสูดลมหายใจเย็นเข้าสุดปอด นางกำมือกระบี่ขนสีดำก็ปรากฏขึ้นในพริบตา เปลวไฟสีม่วงลุกโชนบนใบมีดยาว นี่คือเพลิงอมตะ
ตู้ม!
เมื่อจิ่วโยวเริ่มเร้าคลื่นหลิง ม่านตาสีแดงฉานของปีศาจราชสีห์ทองคำก็จ้องเขม็งมา ทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้าโจมตีโดยไม่รอให้จิ่วโยวลงมือ
แสงสีทองเจิดจ้าระเบิดออก ปีศาจราชสีห์ทองคำก็กระแทกฝ่าเท้าลงบนพื้น ทำให้เกิดเสียงลมฉีกผ่านอากาศทั่วลานประลอง ร่างแข็งแกร่งปรากฏตัวต่อหน้าจิ่วโยว จากนั้นมันก็ควงกำปั้นสีทองซัดลงมาอย่างไม่ลังเล
กำปั้นพุ่งลงมาทำให้เกิดการระเบิดในชั้นบรรยากาศ พลังของกำปั้นทำให้แผ่นพื้นเบื้องล่างแตกเป็นเสี่ยงๆ ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าพลังหมัดของปีศาจราชสีห์ทองคำทรงพลังเพียงใด
แสงสีทองสะท้อนในดวงตาของจิ่วโยวที่สั่นสะเทือนเล็กน้อย กระบี่ขนนกสีดำยกขึ้นมาปกป้องร่างนางเอาไว้
เคร้ง!
เสียงโลหะปะทะกันระเบิดออก กระบี่ขนนกสีดำถูกหมัดของปีศาจราชสีห์ทองคำซัดจนโค้งอย่างเห็นได้ชัด ทว่าก็ไม่ได้แตกหักลง
ชี่! ชี่!
สายตาจิ่วโยวเย็นเยือกลง เปลวไฟสีม่วงพวยพุ่งบนกระบี่ขนนกสีดำยึดกับกำปั้นของปีศาจราชสีห์ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงชี่ๆ กระจายออกไป แสงสีทองบนกำปั้นของปีศาจราชสีห์จางลงเล็กน้อย
แม้ว่าการป้องกันของปีศาจราชสีห์จะทรงพลัง แต่เพลิงอมตะของจิ่วโยวก็ไม่ได้เป็นแค่เปลวไฟธรรมดา
โฮก!
ความเจ็บปวดรุนแรงที่เกิดจากกำปั้นทำให้ปีศาจราชสีห์แผดเสียงคำรามลั่น หมัดแข็งแกร่งกว่าเดิมส่งร่างจิ่วโยวถอยกรูดออกไป
“กีด!”
เมื่อจิ่วโยวถูกผลักกลับ คลื่นหลิงอันไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันอยู่ข้างหลังนาง ก่อร่างเป็นวิหคอนธโลกันตร์ขนาดใหญ่ วิหคยักษ์กางปีกออก พริบตาขนสีดำที่มีเปลวไฟสีม่วงลุกโชนก็พุ่งออกไปห่อหุ้มร่างปีศาจราชสีห์เอาไว้
ขนสีดำเหล่านี้สร้างขึ้นมาจากคลื่นหลิงของจิ่วโยว ซึ่งสามารถฉีกเหล็กเฉือนหินจนป่นปี้ได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกยกระดับโดยเพลิงอมตะที่ครอบงำ พลังอำนาจก็ลึกซึ้งขึ้นมากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ไม่กล้าที่จะดูถูก
โฮก!
ปีศาจราชสีห์ทองคำรู้สึกหวาดกลัวต่ออำนาจเพลิงอมตะนัก มันส่งเสียงคำรามราวกับเกลียวสายฟ้าม้วนตัวแสงสีทองกระจายออกมาจากร่าง ก่อเป็นระฆังทองคำขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างมันไว้ภายใน
ระฆังทองคำไหลเวียนด้วยแสงสีทองอยู่รอบๆ ทำให้ดูเหมือนไม่สามารถทำลายได้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการป้องกันของปีศาจราชสีห์ทองคำ
เคร้ง! เคร้ง!
ขนนกสีดำที่มีเพลิงสีม่วงลุกโชนซัดเข้าใส่ระฆังทองคำ ทำให้เกิดเสียงโลหะดังลั่นต่อเนื่อง ขณะที่ระลอกคลื่นสั่นสะเทือนบนพื้นผิวระฆัง ทว่าระฆังก็ไม่ได้ถูกทำลาย
“ความสามารถในการป้องกันแข็งแกร่งมากจริงๆ ผู้บัญชาการจิ่วโยว นาง…”
เมื่อคนที่เหลือเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้วทันที แม้แต่การโจมตีของจิ่วโยวก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันของปีศาจราชสีห์ได้ ถ้าสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไป จิ่วโยวก็จะสูญเสียคลื่นหลิงจำนวนมาก ถึงตอนนั้นถ้านางเปิดเผยช่องโหว่ใดๆ ปีศาจราชสีห์ทองคำก็จะจับทางได้ จากนั้นก็ปล่อยสายฟ้าโจมตีเพื่อตัดสิน
แต่ขณะที่พวกเขากำลังขมวดคิ้ว ดวงตาของมั่นถัวหลัวกลับสว่างวาบขึ้น
มู่เฉินเองก็รู้สึกถึงสิ่งนี้เช่นกัน เขาเลื่อนสายตาก็มองเห็นว่าเมื่อขนนกสีดำปกคลุมไปทั่ว บริเวณรอบตัวปีศาจราชสีห์ก็เต็มไปด้วยขนนกสีดำ
เพลิงสีม่วงลุกโชนบนขนนกสีดำเหล่านั้น นอกจากนี้ยังมองดูยุ่งเหยิง แต่มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ผิดปกติในฐานะจั้นเจิ้นซือ
เคร้ง! เคร้ง!
ฝนขนนกสีดำซัดลงมากระทั่งชิ้นสุดท้าย ปิดกั้นระฆังทองคำไว้ทุกทิศทาง ตัวระฆังเริ่มแตกร้าว
เมื่อระฆังแตกออก ร่างแข็งแกร่งของปีศาจราชสีห์ซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีร้ายกาจก็ยังคงยืนอยู่ที่จุดเดิมดวงตาแดงฉานจับจ้องไปที่จิ่วโยว รอยยิ้มดุร้ายปรากฏบนใบหน้า
การโจมตีที่ทรงพลังของจิ่วโยวลดลง ต่อไปถึงตามันในการปล่อยการโจมตีที่รวดเร็วเพื่อทำให้คู่ต่อสู้แหลกลาญแล้ว
โฮก!
ปีศาจราชสีห์ทองคำทุบหน้าอกอย่างหนักทำให้เกิดเสียงดังสนั่น แสงสีทองระเบิดออกทุกทิศทาง คลื่นหลิงก็รุนแรงขึ้นทบทวีคูณ
แต่ขณะที่มารอสูรกำลังจะปลดปล่อยการโจมตี รอยยิ้มเย็นก็โค้งขึ้นบนใบหน้าของจิ่วโยว มือของนางประสานกัน
ฟู่! ฟู่!
ทันทีที่จิ่วโยวสร้างตราประทับ ขนนกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายไปรอบๆ ร่างปีศาจราชสีห์ก็ลุกโชติช่วงด้วยเพลิงสีม่วงเจิดจรัส ก่อตัวเป็นหม้อกลั่นสีม่วงห่อหุ้มปีศาจราชสีห์ไว้ภายใน
“หม้อกลั่นเพลิงอมตะ!”
อ้ากกกก!
ในช่วงเวลาที่หม้อกลั่นขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น ปีศาจราชสีห์ก็ส่งเสียงกรีดร้องที่น่าสมเพชออกมาจากข้างใน ร่างกำยำเริ่มแสดงสัญญาณของการถูกชำระ
เวลาเดียวกันพื้นดินที่อยู่ใต้หม้อกลั่นก็แห้งผากจากอุณหภูมิที่สูงจนน่ากลัว ก่อนที่รอยร้าวจะปรากฏขึ้น
ด้านนอกลานประลองผู้บัญชาการคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นจนสุดขั้วปอด เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกได้ว่าหม้อกลั่นสีม่วงน่ากลัวเพียงใด หากพวกเขาติดกับอยู่ข้างใน แม้จะเร้าร่างเทห์สวรรค์ก็คงได้รับการชำระไม่ต่างกัน
เพลิงอมตะครอบงำอย่างแท้จริง!
“โฮก!”
ปีศาจราชสีห์ทองคำคำรามอย่างบ้าคลั่ง พยายามกระเสือกกระสนออกจากวงล้อมของคลื่นหลิง ทว่าจิ่วโยวไม่ให้โอกาสที่จะทำเช่นนั้น ใบหน้าของนางเย็นชาลง ก่อนที่นางจะกำกำปั้น ทันใดนั้นหม้อกลั่นก็เริ่มหดตัวลงแล้วก็ระเบิดด้วยความปั่นป่วนครั้งใหญ่
เพลิงสีม่วงพุ่งออกไปทุกทิศทาง พุ่งไปปะทะบนกำแพงแสงที่ล้อมรอบลานประลอง ทำให้เกิดระลอกคลื่นเป็นวง
อุณหภูมิภายในตำหนักร้อนขึ้นมากในขณะนี้
จิ่วโยวยืนอยู่ลานประลอง มองไปข้างหน้าก็เห็นปีศาจราชสีห์ทองคำหายไปแล้ว มีเพียงแอ่งของเหลวทองคำทิ้งเอาไว้ต่างหน้า
ชี่! ชี่!
ของเหลวสีทองแตกออก กลายเป็นแสงสีทองพุ่งมารอบร่างจิ่วโยว จากนั้นก็แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายนาง
แสงสีทองเหล่านี้ก็คือแก่นคลื่นหลิงที่ถูกทิ้งไว้โดยปีศาจราชสีห์ทองคำ
จิ่วโยวยืนนิ่งบนลานประลองประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตา ทันใดนั้นมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงของนางที่ได้รับการขัดเกลาและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่านางได้รับประโยชน์ไม่น้อยจากการประลองรอบนี้
เมื่อคนที่แพ้เห็นภาพนี้ก็ต่างรู้สึกอิจฉา แต่ก็รู้ว่าจิ่วโยวพึ่งพาตัวเองเพื่อรับโอกาสนี้ด้วยการเค้นพลังทุกหยาดหยดที่มี ตอนแรกพวกเขาก็มีโอกาสเช่นนั้น แต่น่าเสียดาย… ที่ไม่มีพลังพอที่จะคว้ามาได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร การประลองรอบหก ในที่สุดอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ได้รับชัยชนะอีกครั้ง
ต่อจากนี้พวกเขาจะต้องเอาชนะอีกสองรอบถึงจะสามารถทำลายค่ายกลและเข้าไปในส่วนลึกของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน แต่…หลังจากการประลองหกรอบ ก็เหลือเพียงสี่ในสิบผู้บัญชาการที่ยังไม่ได้ลงชิงชัย ซึ่งจากระดับของทั้งสี่ถือว่าค่อนข้างอ่อนแอในหมู่ผู้บัญชาการ…
พวกเขาจะสามารถได้ชัยชนะสองรอบสุดท้ายจริงเหรอ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น