หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 919-924

 บทที่ 919 รับ

มิติเหนือเทือกเขากู่ไหกระเพื่อมไหว


แววตื่นตะลึงฉาบในดวงตาทุกคน ขณะจ้องมองร่างผู้อาวุโสคนที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ ชายผู้นี้ก็คือจอมพลเทียนจิ้ว หนึ่งในสามจอมพลแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์


ทันใดนั้นเสียงต่ำพร่าวุ่นวายก็ดังขึ้น เกิดอะไรขึ้นในส่วนลึกของสมรภูมิหยุ่นลั้วกัน ทำไมจอมยุทธ์ระดับนี้ถึงเผยตัวกันที่นี่แบบกะทันหัน?


เมื่อมู่เฉินและเหล่าผู้บัญชาการเห็นภาพการปรากฏตัวของเทียนจิ้ว พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา มีเทียนจิ้วอยู่ด้วยแบบนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จวนยมโลกจะทำอะไรพวกเขาอีกต่อไป


ใบหน้าของหมิงฮั้วมืดครึ้มลงทันทีที่เห็นการปรากฏตัวของเทียนจิ้วพลางพูดว่า “ไอ้เฒ่าบ้า แกนี่อย่างกับวิญญาณเกาะติดหลังข้า”


เทียนจิ้วยิ้มอ่อน ก่อนที่จะมองเทียนเสียที่ตัวแข็งทื่อ “พอ เรื่องวันนี้จบแค่นี้เถอะ”


“จบแค่นี้?” หมิงฮั้วตอบเสียงเย็นชา “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของแกทำให้จั้นเจิ้นซือเพียงคนเดียวของจวนยมโลกตาย แกคิดว่าเรื่องนี้ยอมกันได้ง่ายๆ เรอะ?”


“แกเป็นคนฆ่าเองไม่ใช่เหรอ?” เทียนจิ้วยิ้มพลางพูดต่อ “แต่ด้วยความเห็นใจกับที่พวกแกสูญเสียจั้นเจิ้นซือไป ดังนั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าก็ไม่เอายาหยุ่นลั้วสี่แสนเม็ดของพวกแกแล้วละกัน”


ดูเหมือนเขาจะทำใจดียอมไม่เอายาหยุ่นลั้วสี่แสนเม็ดอย่างง่ายดาย เนื่องจากเทียนจิ้วรู้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ไอ้เฒ่าหมิงฮั้วจะยอมส่งมอบยาหยุ่นลั้วสี่แสนเม็ดให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ที่พบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้ว


“แก!”


แววดุร้ายพวยพุ่งขึ้นในดวงตาของหมิงฮั้ว จากนั้นก็สาดสายตาเย็นชาไปที่มู่เฉิน เมื่อถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น มู่เฉินก็รู้สึกถึงความเย็นเยือกบนผิวกายราวกับว่าถูกอสรพิษมองมาจากมุมมืด


นี่ทำให้สีหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไป เพราะเขารู้ว่าถ้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดตัดสินใจที่จะสังหารเขา เขาจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากแน่ ในเวลานั้นแม้แต่ซิวหลัวก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้


เทียนจิ้วเคลื่อนไหวเข้าจับกุมเทียนเสียที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเอาไว้ได้ทันที แม้จะมีผลจากการลงมือกะทันหันจนไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ยังแสดงให้เห็นช่องว่างชัดเจนระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดและขั้นแปด


“ฮ่าๆ ไอ้เฒ่าหมิงฮั้ว ข้าขอแนะนำให้แกเก็บความคิดไปซะ เพราะเมื่อไรที่แกกระดุกกระดิก ข้าก็จะฆ่าเทียนเสียทันที” แต่ขณะที่แววตาของหมิงฮั้วกำลังสาดแสงดุร้าย เสียงของเทียนจิ้วก็ดังขึ้นอีกครั้ง


แววตาของหมิงฮั้วยิ่งมืดครึ้มลงขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินเขม็ง แต่สุดท้ายเขาก็เลื่อนสายตาออก เพราะเขารู้ว่าเทียนจิ้วพูดถูก ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของเขาเร็วแค่ไหน แม้ว่าเขาจะสามารถสังหารมู่เฉินได้ แต่จวนยมโลกก็จะสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดด้วยเหมือนกัน


นี่เป็นการสูญเสียยิ่งใหญ่กว่าหลินหมิงเสียอีก


“ครั้งนี้ถือว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ใจโหด แต่อย่าได้คิดลำพองเกินไป เมื่อท่านประมุขรู้เรื่องนี้ เขาไม่ปล่อยพวกแกไปง่ายๆ แน่!” หมิงฮั้วยิ้มน่าขนลุกก่อนที่จะเค้นเสียงเย็นชา ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ร่างของเขาก็หายไปปรากฏที่ด้านหน้ากองทัพจวนยมโลก เวลาเดียวกันเทียนจิ้วก็ปรากฏตรงหน้ากองทัพอาณาเขตสวรรค์พร้อมกับปิงเหอ


ทั้งสองต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ดังนั้นจึงไม่กระทำการอะไรที่ไร้ความหมาย เพราะพวกเขารู้ชัดเจนว่าหากไม่สนใจอะไรพุ่งเข้าห้ำหั่นกันและกันไม่ลดละ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่


“คารวะท่านจอมพลเทียนจิ้ว!” เมื่อเหล่าผู้บัญชาการเห็นเทียนจิ้วปรากฏตัวหน้ากองทัพ พวกเขาก็รีบประสานมือทักทาย


เทียนจิ้วยิ้มพลางโบกมือก่อนจะมองไปทางมู่เฉิน “ยินดีกับผู้บัญชาการมู่สำหรับการบรรลุเป็นจั้นเจิ้นซือ หลังจากผ่านมาหลายปีในที่สุดก็มีจั้นเจิ้นซือในอาณาเขตกงเวทสวรรค์สักที”


เขาหยุดพูดอึดใจ ก่อนจะยิงคำถามสำคัญ “ตอนนี้มียาหยุ่นลั้วจำนวนเท่าไรแล้ว?”


“หลังผ่านการคำนวณ พวกเรามียาหยุ่นลั้วสี่แสนสามหมื่นเม็ดขอรับ” ซิวหลัวตอบ


“สี่แสนสามหมื่นเม็ดหรือ?” ดวงตาของเทียนจิ้วโชนแสง จากนั้นก็ยิ้มปลื้มปีติ “ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าครั้งก่อนมาก แม้ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนครั้งนี้ที่เจอจะประหลาดไปหน่อย แต่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว”


“ถ้าไม่มีผู้บัญชาการมู่นำในสงครามล่าครั้งนี้ ข้าว่าเราคงไม่สามารถได้รับยาหยุ่นลั้วเพียงพอ” เลี่ยซันยิ้ม ในคำพูดชี้ให้เห็นถึงความชอบของมู่เฉิน


“ถูกต้อง ยาหยุ่นลั้วสี่แสนสามหมื่นเม็ดส่วนใหญ่มาจากผลงานของหน่วยรบผู้บัญชาการมู่” ซิวหลัวพูดออกไปตามความจริง ไม่ได้มีการปิดบังอะไร


เมื่อเทียนจิ้วได้ยินก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากตัวเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีผลงานโดดเด่นในสงครามล่าเช่นนี้ กระทั่งคนที่ทะนงตนอย่างเลี่ยซันและซิวหลัวยังปฏิบัติต่อชายหนุ่มแตกต่างจากเดิมและสุภาพมาก


“ผู้บัญชาการเลี่ยซันให้ค่าข้าเกินไป ถ้าไม่ใช่การทำงานร่วมกันของทุกคน ข้าก็คงไม่สามารถทำอะไรได้” มู่เฉินอึ้งไปเมื่อเลี่ยซันเล็งเห็นความดีในตัวเขา ทว่าเขากลับไม่ได้หยิ่งผยอง แต่เผยเพียงรอยยิ้มออกมา


“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าท่านประมุขและจิ่วโยวสายตาแหลมคมจริงๆ” เทียนจิ้วชื่นชมกับนิสัยของมู่เฉินที่ไม่หยิ่งผยองหรือหัวร้อน เขารู้สึกปลื้มใจเล็กน้อย ตอนแรกเหตุผลที่เขาปฏิบัติดีต่อมู่เฉินส่วนใหญ่ก็มาจากจิ่วโยว หลังจากนั้นก็เป็นเพราะความใส่ใจของท่านประมุขที่มีต่อมู่เฉิน ทว่าตอนนี้เขาถึงตระหนักได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์และมีความสามารถล้นเหลือ


ตลอดทางของชายหนุ่มเริ่มจากการปีนขึ้นในตำแหน่งแม่ทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทั่วไป พัฒนาการของเขาทำเอาพูดไม่ออกและน่าอัศรรรย์ใจ ไม่มีใครเดาได้ว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนในอนาคต…


จิ่วโยวมองมู่เฉินก็รู้สึกพอใจที่เขาได้รับการยอมรับจากทุกคนทีละน้อย ก่อนจะยิ้มให้เทียนจิ้ว “ผู้เฒ่าเทียนจิ้ว ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านประมุขพบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้วหรือเจ้าคะ?


เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินก็พากันหูผึ่งทันที การต่อสู้ฝ่าฟันทั้งหมดในสมรภูมิหยุ่นลั้วของพวกเขาก็คือการเตรียมการเพื่อเปิดขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน แต่พวกเขาไม่มีทางช่วยหาสถานที่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่พึ่งพาความสามารถของท่านประมุขเท่านั้น


เทียนจิ้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นท่าทางก็ดูจนใจขณะพูดว่า “พบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้ว แต่มีปัญหาเล็กน้อย…”


“ปัญหา?”


“ในส่วนที่ลึกสุดของสมรภูมิหยุ่นลั้วเป็นดินแดนที่มีความรุนแรงที่สุด ที่นั่นถูกครอบงำโดยพายุผลึกวิญญาณ เป็นสถานที่ที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ต้องระวังตัว หลังจากล้มเหลวหลายครั้งในการค้นหา เราก็ค้นพบร่องรอยของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนจริงๆ ซึ่งขุมทรัพย์นี้มีขนาดใหญ่มาก ยิ่งใหญ่เกินกว่าขุมทรัพย์อื่นๆ ที่เราเคยเจอมาในอดีตอีก” เทียนจิ้วพูดอย่างช้าๆ


“โอ้?” หัวใจของเหล่าผู้บัญชาการเต้นไม่เป็นส่ำ


“แต่เนื่องจากขุมทรัพย์นี้มีขนาดใหญ่เกินไป จึงโดนขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ เล็งไว้เช่นกัน” เทียนจิ้วพูดอย่างจนใจ


มู่เฉินและคนอื่นๆ ฉายแววตะลึงบนใบหน้า ก่อนที่ความรู้สึกชาหนึบจะเกิดขึ้นบนหนังหัว นั่นเพราะแค่คิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่มีจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนหกเจ็ดคนสนใจในสิ่งเดียวกัน ก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวแล้ว


หากการต่อสู้ระเบิดขึ้นก็จะเป็นหายนะครั้งใหญ่แน่นอน การต่อสู้ระดับของพวกเขาในที่แห่งนี้เทียบไม่ได้เลย


“แล้วตอนนี้พวกเราควรทำยังไง?” จิ่วโยวเอ่ยถาม


“เตรียมเคลื่อนพลไปยังพื้นที่ส่วนลึกที่สุดของสมรภูมิหยุ่นลั้ว ไม่ว่าอย่างไรเราก็ห้ามละทิ้งขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแห่งนี้ ดูจากความยิ่งใหญ่ของสถานที่นี้ จอมยุทธ์เจ้าของขุมทรัพย์จะต้องเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้าเราได้รับของเหลวหลิงเสินที่อยู่ในนั้นมา ท่านประมุขอาจบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็เป็นได้ แต่ถ้าประมุขหมู่ตึกเทวะ โยวมิ่งหรือหลิ่วเทียนเต้าได้รับไปก็จะไม่เป็นข่าวดีสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราเลย” เทียนจิ้วพูดเสียงขรึม


พอได้ยินคำพูดนี่ ทุกคนก็พยักหน้าเคร่งขรึม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบว่ามีความแตกต่างมากเพียงใดระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นกับขั้นปลาย แต่ในเมื่อเทียนจิ้วพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ก็ต้องเป็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหวแน่ ในเวลาเดียวกันโชคชะตาของอาณเขตกงเวทสวรรค์ก็จะถูกแขวนเอาไว้บนนั้นด้วย


เมื่อเทียนจิ้วเห็นการตอบสนองของทุกคนก็โบกมือกองทัพอาณาเขตสวรรค์ก็เริ่มเคลื่อนพล


ขณะที่กองทัพอาณาเขตสวรรค์เคลื่อนไหว สายตาเทียนจิ้วก็หดลง พวกมู่เฉินก็รู้สึกถึงบางสิ่ง พวกเขาเงยหน้าด้วยอาการตื่นตะลึงบนใบหน้า


นั่นเป็นเพราะขณะนี้เกิดการบิดเบือนหลายจุดระหว่างฟ้าดิน ร่างเงาหลายร่างพุ่งลงมาจากอุโมงค์มิติ แต่ละคนส่งแรงกดดันทรงพลัง ทำเอามิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเลยทีเดียว


แดนปีศาจ ตำหนักสุดนภาและกองทัพสูงสุดอื่นๆ ก็ส่งเสียงฮือฮากันยกใหญ่ เนื่องจากร่างที่ปรากฏเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดของสำนัก


หลังจากค้นพบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้ว ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหมดก็ส่งจอมยุทธ์ชั้นยอดออกมาเพื่อรับกองทัพของตนเองไป


“เจ้าพวกนี้มากันเร็วจริงๆ” เทียนจิ้วยิ้มบาง แต่ก็ไม่ลังเลขณะโบกมือเบาๆ คลื่นหลิงยิ่งใหญ่กระจายออกจากร่างกายเขา ก่อตัวเป็นม่านกั้นขนาดมหึมาปกคลุมกองทัพอาณาเขตสวรรค์ไว้


“ไป”


เทียนจิ้วพุ่งนำออกไปเป็นคนแรก โดยมีม่านมหึมาโอบอุ้มกองทัพอาณาเขตสวรรค์ตามไป ช่างราวกับหมู่เมฆ พริบตาหายไปในขอบฟ้า


พร้อมกับการเคลื่อนพลจากไปของกลุ่มเทียนจิ้ว ไม่นานกองทัพอื่นๆ ก็จัดกระบวนทัพอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะทะยานสู่ขอบฟ้า


เมื่อกองทัพชั้นนำได้เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็ถอนหายใจ พวกเขารู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นส่วนหลักของสงครามล่าแล้ว ถ้าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอยู่ในกองทัพ พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม


หลังจากสงครามล่าครั้งนี้ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ของภูมิภาคทางเหนือจะเปลี่ยนแปลงมากเท่าไรและจะมีขั้วอำนาจสูงสุดเท่าไรที่ล่มสลายลง…



บทที่ 920 มิติแตกสลาย

ลึกเข้าไปในสมรภูมิหยุ่นลั้ว


ที่นี่เป็นดินแดนป่าเถื่อนและน่ากลัวอย่างยิ่ง ท้องฟ้ามืดมนชั่วกัปชั่วกัลป์พร้อมกับพายุผลึกวิญญาณครอบงำไปทั่วขอบฟ้า ทุกที่ที่พายุเคลื่อนผ่านภูเขาถึงกับราบเรียบเป็นหน้ากอง แต่มีเพียงภูเขาสีดำทะมึนลูกเดียวเท่านั้นที่ทนทานตั้งรับพายุทรงพลังได้ นั่นเป็นเพราะภูเขาลูกนี้เกิดจากเหล็กหิมะ ที่มีความทนทานแม้กระทั่งการโจมตีเต็มพิกัดจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้


บนพื้นดินมีเหวลึกกว้างหมื่นจั้งราวกับมังกรดำตัวใหญ่หมอบนอนอยู่ เหวดำสนิทให้ความรู้สึกหนาวจับใจ


ลมน่าขนลุกกรูออกมาจากเหวเบื้องลึกพร้อมกับเสียงกรีดร้องของภูตผีที่น่ากลัว สามารถมองเห็นเงาวูบไหว นั่นก็คือดวงจิตของเหล่าจอมยุทธ์ที่จบชีวิตลงที่นี่ ทว่าพวกเขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว กลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับวิญญาณเร่ร่อน


เนื่องจากความจริงที่สิ่งเหล่านี้ได้ดูดซับพลังงานอันเป็นเอกลักษณ์ในสมรภูมิหยุ่นลั้ว พวกเขาจึงยังรักษาพลังตอนที่มีชีวิตอยู่ไว้ได้บ้าง นอกจากนี้ยังเต็มไปอาการก้าวร้าว ใครก็ตามที่เข้าใกล้ก็จะถูกโจมตีไม่ยั้ง


บริเวณนี้เป็นเหมือนดินแดนแห่งความตายที่ไม่มีร่องรอยพลังชีวิตเลย


ฟิ้ว!


ทว่าสัญญาณแห่งความตายก็สลายหายไปในวันนี้ เมื่อความมืดมิดบนท้องฟ้าถูกฉีกขาดด้วยลำแสงส่องสว่างขนาดใหญ่เหลือคณนาทะยานผ่านไป มองเห็นร่างคนจำนวนมากอยู่ในลำแสงเหล่านั้น


นี่คือหน่วยรบอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่เข้ามาถึงส่วนลึกของสมรภูมิหยุ่นลั้วจากการไปรับของเทียนจิ้ว


ทว่าแม้เทียนจิ้วจะไปรับพวกเขามาเอง แต่พวกเขาก็ยังระมัดระวังอย่างมาก…มากจนไม่กล้าแม้แต่จะบินบนท้องฟ้าสูง เลือกที่จะบินด้วยระดับเพดานต่ำ


กระนั้นเทียนจิ้วก็ยังเปลี่ยนเส้นทางเป็นช่วงๆ หลังจากเดินทางมาได้สักระยะ บางเส้นทางเป็นการอ้อมไกลด้วยซ้ำ แต่เส้นทางเหล่านี้ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีพายุมิติได้


พายุในส่วนลึกของสมรภูมิน่ากลัวกว่าภายนอกไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเท่า หากมีใครตกลงไปละก็ แม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คงไม่เหลือซาก


ภายใต้ภัยพิบัติทางธรรมชาตินานัปการ แม้แต่เทียนจิ้วก็สามารถปกป้องตนเองได้เท่านั้น


ทว่าถึงแม้จะมีเทียนจิ้วมาช่วย ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหลีกเลี่ยงพายุทุกลูก แต่โชคดีที่พวกเขาอยู่ในความดูแลของเทียนจิ้ว เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับพายุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เทียนจิ้วก็จะนำพากองทัพไปซ่อนตัวในภูเขาสีดำขนาดใหญ่เหล่านั้น


ฮู! ฮู!


ขณะที่กองทัพซ่อนตัวชั่วคราวอยู่ในภูเขาลูกหนึ่ง มู่เฉินก็ยืนอยู่ที่ปากถ้ำ พายุผลึกวิญญาณสีเทาดำครอบงำเหนือเส้นขอบฟ้า ทำให้กระทั่งมิติยังเกิดการบิดเบือนจากพายุ


มู่เฉิน จิ่วโยวและเหล่าผู้บัญชาการมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะจ้องมองพายุด้านนอกด้วยอาการตกใจในใจ นั่นเพราะพวกเขารับรู้ได้ว่าพายุน่ากลัวเพียงใด ถ้าพวกเขาถูกดึงเข้าไป ก็คงไม่สามารถหนีจากความตายได้


“โชคดีตอนที่ท่านประมุขและคนอื่นๆ พบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน พวกเขาก็หาเส้นทางปลอดภัยเจอ ไม่งั้นพวกเราคงจบเห่แน่ ถ้าเข้าไปอย่างสุ่มเสี่ยง” จิ่วโยวถอนหายใจ


ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดหมายหลัก หลังจากผ่านการต่อสู้ขมขื่นมากมายในสมรภูมิหยุ่นลั้ว แต่ตอนนี้ถ้าประมาทไป ความพยายามทั้งหมดที่ได้ทำไว้ก่อนหน้าก็จะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ส่วนลึกสุดของสมรภูมิหยุ่นลั้วอันตรายมาก มิน่าล่ะทำไมขนาดเทียนจิ้วยังต้องระวังตัวแจ


เขามองภายนอกที่เป็นสีเทาด้วยดวงตาหรี่แคบลง บางทีอาจเป็นเพราะคลื่นจิตของเขาแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การรับรู้ของเขาแหลมคมมากขึ้นตาม เขาสามารถรู้สึกได้ว่ามีริ้วคลื่นพลังลึกซึ้งมากมายซ่อนอยู่ในดินแดนแถบนี้


พื้นที่นี้เต็มไปด้วยอันตรายนานัปการ แม้แต่มู่เฉินก็ไม่กล้าสำรวจลึกลงไป เพราะกลัวว่าหายนะจะมาถึงตัวถ้าคิดทำ ในสถานที่แห่งนี้ถ้าเขาประมาทก็คงรอดออกไปไม่ได้แล้ว


“ในสมัยโบราณตอนที่เหล่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาในมหาพันภพ สถานที่แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งสมรภูมิใหญ่ จากข้อมูลที่เขียนไว้ในบางตำราโบราณ แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่สละชีวิตไว้ที่นี่จำนวนก็มากเกินกว่าที่นิ้วมือจะนับได้ นี่ยังไม่รวมถึงนักรบระดับเดียวกันของเผ่าปีศาจที่จบชีวิตที่นี่ด้วย” ที่ด้านหลังเทียนจิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง


มู่เฉินและคนอื่นๆ ถึงกับแอบเดาะลิ้นเมื่อได้ยิน ต่อให้รวมจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือมาก็มีไม่ถึงจำนวนนี้หรอก ดังนั้นสามารถอนุมานได้ว่าความน่าสะพรึงของภัยพิบัติที่มาสู่มหาพันภพน่ากลัวเพียงใด


“จอมพลเทียนจิ้วอีกนานแค่ไหนกว่าพวกเราจะไปถึงขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนขอรับ?” ซิวหลัวมองไปที่เทียนจิ้วพลางถามขึ้น


“ด้วยความเร็วนี้ น่าจะใช้เวลาอีกสองวันกว่าที่พวกเราจะไปถึงที่นั่น” เทียนจิ้วกล่าว ถ้าเขาไปคนเดียวก็จะไปได้เร็วกว่านี้หลายเท่า แต่นี่เขาต้องพากองทัพมหึมาไปด้วย


“นอกจากนี้ในการเดินทางที่นี่ หากพวกเจ้าคนใดสัมผัสได้ถึงคลื่นมิติที่ผิดปกติก็อย่าแตะต้องมัน มีจอมยุทธ์โบราณจำนวนมากเสียชีวิตที่นี่ ก่อนตายก็ซ่อนร่างกายไว้ในรอยแตกของมิติ ถึงแม้ว่าจิตสำนึกจะสูญสลาย แต่เนื่องจากพลังงานเอกลักษณ์ของสมรภูมิหยุ่นลั้วจึงยังสามารถคงสภาพร่างกายไว้ได้ มิหนำซ้ำยังมีพลังหลงเหลืออยู่ หากถูกปลุกเข้า ก็จะปล่อยการโจมตีบ้าคลั่งเอาได้” เทียนจิ้วเตือน


“ก่อนหน้าตอนที่หลิงถงและข้าค้นดูรอบๆ พวกข้าดันไปปลุกวิญญาณตัวหนึ่งเอาเข้า แม้ว่าพวกข้าจะรวมพลังกัน ก็ทำได้เพียงบีบให้มันถอยไปเท่านั้น”


“รับทราบ!”


เมื่อทุกคนได้ยินหัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ แม้แต่เทียนจิ้วและหลิงถงร่วมมือกันก็ยังทำได้แค่ป้องกันตนเอง ดังนั้นพลังของวิญญาณขณะที่มีชีวิตอยู่อย่างน้อยก็ต้องมีขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้า อาจจะอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้วด้วย ส่วนลึกสุดของสมรภูมิหยุ่นลั้วมีอันตรายทุกย่างก้าวจริงๆ


กองทัพพักอยู่ในภูเขาจนพายุหายไปก่อนออกเดินทางต่อ


ระหว่างการเดินทางก็ยังมีอุปสรรคมากมาย ถ้าพวกเขาไม่ได้มีผู้นำทางอย่างเทียนจิ้ว โดยการคาดเดาของมู่เฉิน ในกองทัพคงมีคนไม่ถึงหยิบมือที่สามารถอยู่รอดได้


ทว่าแม้การเดินทางจะช้าและลำบาก แต่สุดท้ายก็เพียงตกใจแต่ไม่มีอันตราย เมื่อวันที่สองสิ้นสุดลงในที่สุดกองทัพก็ผ่านดงภูเขาที่สูงเสียดฟ้า จากนั้นพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับฉากที่เห็นเบื้องหน้าครรลองสายตา


ด้านหลังภูเขาสีดำ พายุป่าเถื่อนสูญสลายไปหมด แม้แต่คลื่นหลิงก็สงบลงอย่างผิดปกติ


สิ่งที่ทำให้มู่เฉินและคนที่เหลือตกตะลึงไม่ใช่ความเงียบสงบของสถานที่นี้ แต่เยื้องขึ้นไปด้านบนกลับฉายภาพฉากที่แตกสลาย มิติดูเหมือนจะถูกฉีกออกจากกันด้วยพลังที่น่ากลัว รอยแตกสีดำราวกับปากที่น่าขนลุกกำลังบิดเบ้ไปมาระหว่างฟ้าดิน


เมื่อมองผ่านรอยแตกสีดำ แสงหลิงก็พวยพุ่ง มู่เฉินมองเห็นพีระมิดสีดำขนาดใหญ่ไร้ขอบเขตลอยอยู่ในส่วนลึกของมิติที่ถูกทำลาย


ขนาดของพีระมิดดำไม่สามารถหาคำอธิบายได้ เมื่อเทียบกับมัน พวกเขาก็ราวกับเป็นผงธุลี ความรู้สึกตะลึงใจครอบคลุมไปทั่ว ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนหนังหัวชาหนึบไปหมด


“พีระมิดสีดำนี้ก็คือขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนที่เราค้นพบ” เทียนจิ้วพึมพำเบาๆ เมื่อมองไปยังมิติแตกเป็นเสี่ยงๆ เบื้องหน้าจากนั้นก็อธิบายต่อ “มิตินี้ถูกแยกออกจากกันด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวจากสมัยโบราณ จากการประเมินจะต้องมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายละสังขารไว้ที่นี่แน่นอน”


“ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย?”


มู่เฉินและคนอื่นๆ สูดเอาอากาศเย็นเข้าปอด ประมุขของพวกเขามั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เมื่อเทียบกับขั้นปลายนางยังด้อยกว่าหนึ่งขั้น โดยปกติแล้วไม่มีจอมยุทธ์ระดับดังกล่าวในภูมิภาคทางเหนือ มิฉะนั้นสถานการณ์ในภูมิภาคทางเหนือก็คงไม่สมดุล เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้โดยสิ้นเชิง


“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึงจนได้”


ขณะที่พวกมู่เฉินกำลังตกตะลึงกับพีระมิดสีดำมโหฬาร ระลอกมิติก็กระเพื่อมไหวที่เบื้องหน้าพวกเขาพร้อมกับน้ำเสียงคุ้นเคยดังกังวานออกมา คนสามคนเดินออกมาจากช่องมิติ คนแรกที่นำออกมาเป็นร่างเงาเล็กกะทัดรัดนางก็คือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์…มั่นถัวหลัว ที่ด้านหลังก็คือจอมพลซุยนอนและจอมพลหลิงถง


“คารวะท่านประมุข!”


เมื่อมั่นถัวหลัวปรากฏตัว เหล่าผู้บัญชาการย์ก็แสดงความเคารพทันที กองทัพขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังก็คุกเข่าลง


มั่นถัวหลัวโบกมือเบาๆ ม่านตาสีทองคำจ้องมองไปที่มู่เฉินที่อยู่ในกลุ่มของเหล่าผู้บัญชาการ ริ้วความอัศจรรย์ใจปรากฏบนใบหน้าขณะที่ยิ้ม “เจ้าบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือแล้วหรือ?”


มู่เฉินยิ้มแล้วพยักหน้า


“ฮ่าๆ มู่เฉินไม่เพียงแต่บรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือแล้ว นอกจากนี้พูดแบบตรงประเด็นจั้นเจิ้นซือของจวนยมโลกก็ตายด้วยน้ำมือเขา ในสงครามล่ามู่เฉินสร้างผลงานมากมายเลยทีเดียว” เทียนจิ้วยิ้มจากด้านข้าง ขณะกล่าวถึงผลงานทั้งหมดของมู่เฉินในสงครามครั้งนี้


“โอ้?”


เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนจิ้ว มั่นถัวหลัว ซุยนอนและหลิงถงก็อึ้งไป ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินซึ่งมีพลังไม่ได้โดดเด่นในหมู่ผู้บัญชาการจะประสบความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้


“แบบนี้ก็หมายความว่าพวกเจ้ารวบรวมยาหยุ่นลั้วได้เพียงพอแล้วใช่ไหม?” มั่นถัวหลัวแย้มยิ้มบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกพึงพอใจมากกับการแสดงฝีมือของมู่เฉินมาก


“ยาหยุ่นลั้วสี่แสนกว่าเม็ดอยู่ในนี้ขอรับ” เทียนจิ้วสะบัดแขนเสื้อ กำไลเฉียนคุนก็บินไปหามั่นถัวหลัว


มั่นถัวหลัวจับเอาไว้และสัมผัสอย่างแผ่วเบา ก่อนที่รอยยิ้มจะกว้างขึ้น จากนั้นนางก็หันศีรษะ ม่านตาสีทองคำพุ่งไปทางรอยแตกสีดำก่อนที่จะพรูลมหายใจออกมา “ต่อไปเราก็สามารถพยายามทำลายผนึกแล้ว”


มู่เฉินและคนอื่นๆ มองตามสายตาของมั่นถัวหลัว พวกเขาก็พบว่าเหมือนมีอักขระโบราณมากมายอยู่ในมิติที่แตกสลาย อักขระเหล่านี้ก่อร่างเป็นปราการ ผนึกมิติภายในเอาไว้


“หืม?”


มู่เฉินจ้องมองอักขระโบราณลึกลับ จู่ๆ หัวใจของเขาก็กระตุกขึ้นเบาๆ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าเข็มทิศค้นวิญญาณที่ได้รับมาจากสมรภูมิหยุ่นลั้วเริ่มร้อนขึ้นในเวลานี้


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลัน ทำให้สายตามู่เฉินหดเกร็ง จากนั้นอัตราการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้น เนื่องจากเขานึกถึงคำพูดของเซียวชิงหยุนก่อนหน้า เข็มทิศจะนำพาเขาไปพบซากอารยธรรมของจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาล


นั่นหมายความว่าพีระมิดสีดำในมิติแตกสลายถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลเรอะ?!


บทที่ 921 ละลายอักขระลึกลับ

ปฏิกิริยาของเข็มทิศค้นวิญญาณ


ทำเอามู่เฉินตกใจและยินดีในเวลาเดียวกัน หากซากอารยธรรมที่เบื้องหน้าถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลจริงๆ เขาอาจจะได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลก็ได้


“มีอะไรหรือ?” มั่นถัวหลัวถามทันทีเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของมู่เฉิน


เมื่อได้ยินคำถาม มู่เฉินก็ไม่ได้คิดซ่อนอะไรไว้ เขาบอกทุกอย่างที่รู้ออกไป


“วังสวรรค์บรรพกาล จอมพลสี่?”


พอได้ยินคำอธิบายของมู่เฉิน เทียนจิ้วและคนอื่นๆ ก็ตกใจไป แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าใครคือจอมพลสี่ แต่พวกเขารู้ว่าวังสวรรค์บรรพกาลทรงพลังเพียงใด


ในสมัยโบราณวังสวรรค์บรรพกาลคือเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัว ว่ากันว่าแม้สำนักแห่งนี้จะสูญสลายไปก็ยังทิ้งซากสำนักไว้ในทวีปเทียนหลัว ดังนั้นหลายปีมานี้ขั้วอำนาจสูงสุดจำนวนมากในทวีปจึงใช้ความพยายามมากเพื่อค้นหา


มู่เฉินพยักหน้า เขามองไปทางมั่นถัวหลัว ก็เห็นว่าใบหน้านางว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง แต่นางก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว พูดด้วยความคิดลึกซึ้งว่า “จอมพลสี่เหรอ… ข้าเคยได้อ่านเกี่ยวกับประวัติเขาในบันทึกโบราณมาก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะเสียชีวิตในสนามรบโบราณแห่งนี้จริง เพียงแต่ข้าไม่เคยคิดว่าจะเป็นที่นี่”


“ว่ากันว่าตอนนั้นเขาเข้าสู้ศึกกับแม่ทัพทุนเทียนจนถึงจุดที่ท้องฟ้าดับวูบลง สุดท้ายทั้งคู่ก็สิ้นชีพ…”


“แม่ทัพทุนเทียน?” มู่เฉินและคนอื่นๆ อึ้งไปกับข้อมูลที่ได้ยิน


“แม่ทัพเผ่าปีศาจต่างมิติมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตอนนั้นมันเป็นหนึ่งในผู้นำทัพเข้ารุกรานทวีปเทียนหลัว”


มั่นถัวหลัวอธิบายกับ ม่านตาสีทองเหลือบมองไปที่พีระมิดสีดำในมิติแตกสลาย ประกายแสงวูบไหวในดวงตา “ถ้าที่นี่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยจอมพลสี่จริงๆ ละก็ ของเหลวหลิงเสินที่อยู่ที่นี่จะต้องทรงพลังมากแน่นอน พวกเราจะปล่อยให้กองทัพอื่นๆ อย่างหมู่ตึกเทวะได้ไปไม่ได้ มิฉะนั้นจะทำลายดุลอำนาจในปัจจุบันของภูมิภาคทางเหนือ ด้วยนิสัยของพวกมัน อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นสำนักแรกที่ได้รับผลกระทบ”


มู่เฉินพยักหน้า ค่อยๆ สงบอารมณ์ก่อนที่จะเบนสายตามองไปยังทิศทางอื่นพลางถามอย่างสงสัยว่า “ไหนบอกว่าขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็เล็งซากอารยธรรมนี่ไว้? ทำไมไม่เห็นร่องรอยของพวกเขาเลยล่ะ?”


“พื้นที่มิติแตกสลายแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล พวกขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ อยู่ทิศอื่น ระยะไกลจากเรามาก ดังนั้นไม่มีทางเข้าสู่ขุมทรพัย์ทางนี้แน่นอน ตราบใดที่มียาหยุ่นลั้วเพียงพอก็สามารถเข้าจากทางไหนก็ได้”


มั่นถัวหลัวยิ้ม “ปกติเปิดทางเข้าทางเดียวก็เพียงพอสำหรับทุกคน แต่ชัดว่าไม่มีกองทัพใดเต็มใจจะแบ่งปันยาหยุ่นลั้วที่หามาได้อย่างลำบากให้ผู้อื่นได้ใช้ด้วย”


มู่เฉินอึ้งไปจากนั้นก็เข้าใจทันที แม้การทำแบบนั้นจะช่วยประหยัดยาหยุ่นลั้วไว้มาก แต่ชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจทั้งหลายต้องการ พวกเขายอมจ่ายมากกว่าปล่อยให้กองทัพอื่นได้รับประโยชน์ หากไม่มียาหยุ่นลั้วในมือเพียงพอ ก็เชิญถอยกลับไปเลย เวลานี้การลดคู่แข่งลงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับขั้วอำนาจต่างๆ


ในเวลาแบบนี้ทุกคนต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น หากไม่สามารถทำได้ก็กล่าวได้ว่าไม่มีคุณสมบัติพอจะลงชิงชัยในขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน


“ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ดังนั้นมีเพียงเหล่าผู้บัญชาการเท่านั้นที่สามารถตามข้าเข้าไปได้ สำหรับคนที่เหลือให้อยู่ที่นี่และเตรียมพร้อมเอาไว้” มั่นถัวหลัวกวาดตามองไปที่กองทัพขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง ในพื้นที่อันตรายอย่างขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน หากนำกองทัพขนาดใหญ่เข้าไป ไม่เพียงแต่จะไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ มิหนำซ้ำอาจจะกลายเป็นภาระแทน หากคนเยอะแล้วเผลอไปกระตุ้นอะไรขึ้นมา ผลลัพธ์ก็เป็นเรื่องจินตนาการไม่ได้เลยทีเดียว


คนอื่นๆ พยักหน้า เหตุผลที่พวกเขานำกองทัพมาที่นี่ ก็เพราะพวกเขากังวลว่าหากไม่มีผู้บัญชาการ พวกทหารจะถูกล้อมกรอบอยู่ข้างนอกได้ง่าย ส่วนสถานที่นี้แม้จะดูอันตราย แต่ก็ปลอดภัยมากแน่นอน


“แต่การทำแบบนี้จะต้องทำให้ผู้บัญชาการมู่ลำบากสักหน่อย” เลี่ยซันมองไปที่มู่เฉิน ถ้าไม่สามารถนำทัพเข้าไปได้ คนที่เสียดายที่สุดก็คือมู่เฉิน เพราะในฐานะของจั้นเจิ้นซือหากสูญเสียกองทัพไปก็จะทำให้ความแข็งแกร่งลดลง


ทว่ามู่เฉินกลับตอบต่อความเห็นใจของพรรคพวกด้วยรอยยิ้มสงบนิ่ง “แม้ว่าศาสตร์รัศมีจั้นยี่จะเป็นเส้นทางการฝึกอย่างหนึ่งของข้า แต่ก็มีผลทางลบมากหากพึ่งพามากเกินไป มิหนำซ้ำพลังของข้าไม่ได้จำกัดเฉพาะศาสตร์นี้เท่านั้น”


แม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับไม่มีกลิ่นอายความฝืนอยู่ในนั้น ประกายแสงพวยพุ่งอยู่ในม่านตา ซึ่งเป็นความมั่นใจที่มีต่อตัวเอง นั่นเป็นเพราะในมุมมองของมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยพลังรัศมีจั้นยี่ แต่นั่นก็เป็นเพียงปัจจัยภายนอก ในโลกนี้มีเพียงความแข็งแกร่งที่ฝึกฝนด้วยตัวเองเท่านั้นที่มั่นคงที่สุดและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


ดังนั้นแม้มู่เฉินจะรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ของศาสตร์รัศมีจั้นยี่ แต่เขาก็แค่รู้สึกสุขใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น นั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยคิดที่จะเลิกการฝึกฝนขุมพลังหลิงเพื่อมุ่งแต่ศาสตร์นี้เท่านั้น


แม้ว่าเขาจะสูญเสียพลังรัศมีจั้นยี่ไป แต่มู่เฉินก็มั่นใจว่าตนเองไม่ธรรมดากับความสามารถที่มี ซึ่งเรื่องนี้เขาได้พิสูจน์แล้วจากความสามารถในประสบการณ์ที่ผ่านมา


เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินคำพูดราบเรียบของมู่เฉินก็อึ้งไปก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนขรึมลงด้วยความชื่นชมในใจ เนื่องจากจิตใจที่ยังคงสงบนิ่งและตั้งมั่นหลังจากสามารถควบคุมพลังรัศมีจั้นยี่ที่ทั้งสะดวกและแข็งแกร่ง เป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขายังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำได้หรือไม่


จนถึงตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจเลือนรางว่าทำไมชายหนุ่มเบื้องหน้าถึงสามารถผงาดขึ้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในเวลาเพียงสองปี


“พูดได้ดี เส้นทางของผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพลัง แต่เป็นการควบคุมพลัง!”


มั่นถัวหลัวปรบมือด้วยความชื่นชมกระจายเต็มไปใบหน้า แม้แต่ซุยนอนที่อยู่ในสภาวะหลับใหลตลอดเวลาก็ลืมตาขึ้นมามองไปที่มู่เฉิน ชัดว่าเขาก็รู้สึกอัศจรรย์ใจกับจิตใจเช่นนี้ของมู่เฉิน


มู่เฉินประหม่าเล็กน้อยจากคำชมของมั่นถัวหลัว เขาหัวเราะเสียงแห้งพลางยักไหล่ เขารู้สึกเพียงว่าตนเองไม่สามารถพึ่งพารัศมีจั้นยี่มากเกินไป กลัวว่าพอวันที่ไม่มีกองทัพอยู่ด้วย เขาจะตกลงมาจากบัลลังก์ หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นเขาคงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะไต่กลับขึ้นมา


“เตรียมเคลื่อนพลเถอะ”


มั่นถัวหลัวยิ้มไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นางยกมือขึ้นเบาๆ ร่างก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ โดยมีจอมพลทั้งสามและเหล่าผู้บัญชาการอยู่ด้านหลัง


การรวมตัวนี้ถือได้ว่าเป็นรูปแบบที่หรูหราและบุคคลเหล่านี้ก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขาในขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน อาณาเขตกงเวทสวรรค์อาจถึงกาลอวสานก็เป็นได้


มู่เฉินและคนอื่นๆ ทะยานตามมั่นถัวหลัวไป เมื่อเข้าใกล้มิติแตกสลายพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวของรอยแตกสีดำ


รอยแตกสีดำบิดเกลียวต่อเนื่องอยู่บนท้องฟ้า อักขระโบราณลึกลับโคจรไปตามรอยแตกเปล่งประกายแสงเงาเชื่อมโยงกันและกัน ก่อตัวเป็นกำแพงสีแดงเข้มผนึกรอยแตกเอาไว้


เมื่อยืนอยู่ตรงหน้ารอยแตก แม้จะมีการผนึกเชิงพื้นที่ แต่แรงกดดันที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก


เผชิญหน้ากับรอยแตกนั้น แม้แต่มั่นถัวหลัวก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ตอนที่นางเพิ่งค้นพบซากอารยธรรมแห่งนี้ ตัวนางก็ได้ลองใช้พลังของระดับตี้จื้อจุนเพื่อลองแหวกอักขระโบราณลึกลับให้เปิดออก แต่ผลลัพธ์ก็เป็นที่ชัดเจนว่าล้มเหลว


มีจอมยุทธ์จำนวนมากจบชีวิตในสมรภูมิหยุ่นลั้ว รวมทั้งจอมยุทธุ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่แข็งแกร่งกว่านาง ร่างเหล่านี้ทำให้ซากอารยธรรมถูกครอบงำด้วยพลังงานที่แปลกประหลาดแต่ทรงพลัง แม้ว่าจะไม่สามารถโจมตีได้ แต่ก็มีความสามารถในการป้องกัน ราวกับกำลังปกป้องความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์ของเหล่าผู้หาญกล้าที่สละชีวิต


นี่เป็นกฎของสมรภูมิหยุ่นลั้ว แม้กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังอย่างมั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถทำลายได้


มั่นถัวหลัวกำมือบางเอาไว้ กำไลเฉียนคุนปรากฏขึ้นในมือ นางลูบไล้เบาๆ เสียงกระหึ่มดังก้อง กระแสเชี่ยวกรากไหลออกมาจากกำไล


กระแสคลื่นเหล่านี้ราวกับอสรพิษยักษ์ขดตัวที่เบื้องหน้ามั่นถัวหลัว นี่ก็คือเม็ดยาหยุ่นลั้วที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่าแสนเม็ด


เมื่อเม็ดยาหยุ่นลั้วจำนวนมากปรากฏ กลิ่นหอมหนาแน่นก็ฟุ้งกระจายไปหมด พวกมู่เฉินสูดลมหายใจเข้าไป คลื่นหลิงภายในร่างกายก็ลุกฮืออย่างเร่าร้อน


คลื่นหลิงที่บรรจุอยู่ในยาหยุ่นลั้วแสนเม็ดหนาแน่นกว่าของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดเสียอีก ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า ถ้าเขาดูดซับและชำระได้ คลื่นหลิงของเขาจะต้องพัฒนาขึ้นมาเลยทีเดียว


ทว่ามั่นถัวหลัวกวาดมองที่ยาหยุ่นลั้วอย่างสงบ ก่อนที่มือจะประสานกันแล้วทำท่าขยี้เบาๆ ทันใดนั้นสายธารยาหยุ่นลั้วก็ระเบิดออก จากนั้นก็ราวกับถูกบีบอัดด้วยพลังที่ไม่มีใครเทียบ


สายธารยาเริ่มหดขนาดลง ในเวลาไม่กี่ลมหายใจยาหยุ่นลั้วแสนเม็ดก็กลายเป็นแอ่งน้ำเหนียวข้น


ของเหลวเคลื่อนไหวบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ ทำให้มิติบิดเบี้ยวในเส้นทางผ่านของมัน ราวกับว่าของเหลวขนาดเล็กนี้หนาแน่นกว่าภูเขาเสียอีก


มู่เฉินเดาะลิ้นไปกับภาพนี้ หากเขาชำระยาหยุ่นลั้วแสนเม็ดนี้คงต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่เมื่ออยู่ในมือของมั่นถัวหลัวเพียงแค่ถูมือนางก็ทำสำเร็จ ดังนั้นสามารถบอกได้อย่างหนึ่งว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนน่ากลัวเพียงใด


มั่นถัวหลัวกะพริบม่านตาสีทองคำ ก่อนที่จะสะบัดนิ้วมือ ทันใดนั้นของเหลวซึ่งผ่านการกลั่นก็ส่งเสียงหวือ หยดลงบนอักขระโบราณลึกลับบนรอยแตกมิติ


ชี่! ชี่!


เมื่อของเหลวหยดลง อักขระโบราณที่แม้แต่มั่นถัวหลัวยังไม่สามารถทำอะได้ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรวดเร็ว ขณะที่ควันสีฟ้าอมเขียวลอยโขมงโฉงเฉง พวกมู่เฉินก็อึ้งไปเมื่อเห็นว่าอักขระโบราณลึกลับเริ่มหม่นแสงลง เมื่อแสงหรี่จนถึงขีดสุดก็สลายไป


ในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที อักขระที่ปล่อยแรงกดขี่ออกมาก็ถูกกัดกร่อนด้วยของเหลวหยุ่นลั้วจนสลายหายไปอย่างสมบูรณ์


ในที่สุดประตูที่นำไปสู่ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนก็เปิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว


บทที่ 922 ล่าสมบัติ

ชี่! ชี่!


อักขระโบราณลึกลับค่อยๆ ละลายไปโดยของเหลวหยุ่นลั้ว ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจอักขระโบราณที่เบื้องหน้าก็ฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างช้าๆ รอยแตกขนาดสิบกว่าจั้งปรากฏขึ้น


เมื่อรอยแตกเผยออกมา รัศมีโบราณอ้างว้างก็พุ่งพรวด แรงกดดันที่บรรจุในรัศมีทำให้ร่างกายของพวกมู่เฉินแข็งทื่อ มีร่องรอยแห่งความวิปโยคผสมอยู่ในรัศมีโบราณเหล่านี้ด้วย ราวกับพิสูจน์ให้รู้ว่าศึกระหว่างจอมพลสี่กับแม่ทัพทุนเทียนเป็นมหาภัยในยุคโบราณอันแท้จริง…


มั่นถัวหลัวยังมีสีหน้าสงบเยือกเย็น ขณะที่โบกมือเบาๆ สลายรัศมีโบราณ ทำให้มู่เฉินและคนอื่นๆ สามารถควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง แต่ทุกคนมีร่องรอยความกลัวเขียนไว้บนใบหน้า สมกับเป็นขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแท้จริง ซึ่งอันตรายมาก แค่รัศมีจากปากทางเข้าก็คุกคามพวกเขาจนหัวหดไปหมดแล้ว


ถ้ามั่นถัวหลัวไม่ได้เป็นผู้นำอยู่ที่นี่ พวกเขาคงไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปเลย


“ไปกันเถอะ ระวังตัวให้มาก”


เสียงนุ่มนวลของมั่นถัวหลัวให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเหล่าสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมื่อจบคำพูดนางก็แทรกตัวเข้าไปในมิติแตกสลาย ติดตามด้วยเหล่าจอมพลและผู้บัญชาการ


เมื่อพวกมู่เฉินก้าวเข้าไปในรอยแตกของมิติ พวกเขาก็รู้สึกถึงรัศมีโบราณอ้างว้างลูบไล้เนื้อตัวไป แต่โชคดีที่การเข้ามาในครั้งนี้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปรอบๆ มิติที่ไม่คุ้นเคย


มิติแห่งนี้ราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ช่างมืดมิดและมีการบิดเบือนพื้นที่เป็นครั้งคราว กำจายความผันผวนที่รุนแรงและวุ่นวายออกมา


มีหินก้อนใหญ่น้อยอยู่ในมิติแตกสลายนี้ บางก้อนใหญ่จนราวกับภูเขาเลยทีเดียว


ทว่าพวกเขาก็กวาดตาแวบเดียว ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปยังที่ไกล ในมิติมีพีระมิดสีดำขนาดมโหฬารที่ไม่อาจอธิบายได้ตั้งตระหง่านอย่างเงียบๆ แม้ว่าจะมีระยะห่างระหว่างพวกเขา ความบีบคั้นและน่าตกใจก็ยังทำให้พวกเขาสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด


“ในเกาะลอยเหล่านี้ น่าจะมีจอมยุทธ์เสียชีวิตซ่อนอยู่ หากโชคดีก็อาจจะได้รับอาวุธโบราณ ทักษะเทพ ยาอายุวัฒนะหรือกระทั่งวิทยายุทธ” มั่นถัวหลัวมองเกาะหินลอยพลางพูดขึ้น


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของเหล่าผู้บัญชาการก็เปล่งประกาย


พอมั่นถัวหลัวเห็นการตอบสนองนี้ก็ยิ้มบาง “ข้าจะไปข้างหน้าเพื่อสำรวจเส้นทางพร้อมกับสามจอมพล พวกเจ้าก็ลองดูรอบๆ ถ้ามีใครเจอกับอันตรายก็ให้ขยี้หยกที่ข้ามอบให้ ข้าจะไปช่วยเอง”


เหล่าผู้บัญชาการต่างมีส่วนร่วมในสงครามล่า ในที่สุดตอนนี้ก็เข้ามาในขุมทรัพย์กันแล้ว ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงเต็มใจอย่างยิ่งที่จะให้พวกเขามองหาโชคของตัวเอง


“ขอบคุณท่านประมุข!” ทุกคนเผยความปีติยินดีบนใบหน้าเมื่อได้ยินคำอนุญาตของนาง เหล่าผู้วายชนม์ที่อยู่ที่นี่คือจอมยุทธ์ชั้นยอด หากพวกเขาสามารถได้รับสิ่งต่างๆ ที่หลงเหลือจากโบราณกาล ก็จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาได้มากขึ้นอีกหลายส่วน


มั่นถัวหลัวพยักหน้า ม่านตาสีทองคำเหลือบมองไปที่มู่เฉินเป็นการส่งสัญญาณให้เขาระวังตัว ก่อนที่นางจะทะยานออกไปพร้อมกับจอมพลทั้งสาม


เมื่อเหล่าผู้บัญชาการเห็นทั้งสี่ไปแล้ว พวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะเผยยิ้มให้กัน จากนั้นก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว เหาะเหินไปทางเกาะลอยเหล่านั้นทันที


มู่เฉินและจิ่วโยวไปด้วยกัน ก่อนที่จะเคลื่อนไหวอย่างไร้จุดหมาย ทั้งสองกวาดสายตาคมชัดไปทั่วเกาะที่อยู่โดยรอบ


พร้อมกับการผละไปของพวกเขาก็เกิดเสียงแตกเปรี้ยงปร้างดังกึกก้องในมิติที่เงียบสงบแห่งนี้ ซึ่งเป็นเสียงจากการทำลายเกาะลอยของเหล่าผู้บัญชาการ เพื่อค้นหาสิ่งที่ถูกทิ้งไว้โดยจอมยุทธ์ยุคโบราณ


แม้ว่าวิธีแบบนี้จะป่าเถื่อนไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในเวลานี้


ตู้ม!


มู่เฉินเหวี่ยงหมัดออกไป คลื่นหลิงแรงกล้าก็ส่งเสียงหวีดหวิว กำปั้นดุดันทำให้หินขนาดใหญ่ร้อยจั้งแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษหินพุ่งไปทุกทิศทาง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดในนั้น


เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ยักไหล่ให้จิ่วโยว ไม่มีใครรู้ว่ามีเกาะลอยอยู่ที่นี่มากเท่าไร ดังนั้นพวกเขาได้แต่พึ่งโชคชะตาเพื่อค้นหาสมบัติเท่านั้น


จิ่วโยวเอียงหน้าได้ยินเสียงหัวเราะร่วนระเบิดออกมา จากนั้นนางก็จือปาก “ดูเหมือนว่ามีบางคนค้นพบบางสิ่ง ไม่รู้ว่าเป็นใครกันที่โชคดีเช่นนี้”


มู่เฉินยิ้ม ขณะที่จะเคลื่อนไหวออกไป จู่ๆ หัวใจก็นึกบางอย่างได้ มือกำหมัดแน่น เข็มทิศค้นวิญญาณปรากฏขึ้นในมือ


“เข็มทิศค้นวิญญาณสัมผัสไวมากกับคลื่นหลิง หากมีของดีเหลืออยู่ มันก็น่าจะสัมผัสได้…”


พอจิ่วโยวได้ยินคำพูดนี้ แววประหลาดใจก็วูบไหวในดวงตา ถ้าเข็มทิศค้นวิญญาณมีประโยชน์จริงๆ อย่างว่าก็ถือเป็นอาวุธประเภทแสวงหาสมบัติแน่นอน อย่างน้อยก็มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้กำลังซัดหินให้แตกมั่วๆ อย่างพวกเขา


มู่เฉินจับเข็มทิศ จากนั้นก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าเข็มทิศมีประโยชน์หรือไม่ แต่ยังไงก็ต้องลองเสี่ยงดูหน่อย


ฟิ้ว!


ทั้งสองเหาะเหินอย่างว่องไว ผ่านเกาะลอยมากมาย หลบเลี่ยงพื้นที่บิดเบี้ยวตลอดเส้นเดินทาง เพียงหนึ่งถึงสองนาทีต่อจากนั้นพวกเขาก็บินผ่านดงเกาะลอยหลายสิบเกาะไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาผิดหวังก็คือไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากเข็มทิศเลย


“ดูเหมือนว่าเข็มทิศนี้จะไม่มีประโยชน์ในสถานที่แห่งนี้” จิ่วโยวชะลอความเร็วลงและพูดอย่างช่วยไม่ได้


มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ เตรียมยอมแพ้ แต่ขณะที่สิ้นเสียงถอนหายใจ เสียงหึ่งก็ดังขึ้น


เสียงแผ่วเบามากแต่มู่เฉินกับจิ่วโยวก็ยังสัมผัสได้ ทันใดนั้นทั้งสองคนก็อึ้งไป รีบก้มมองเข็มทิศก็เห็นจุดแสงจุดหนึ่งส่องสว่างบนเข็มทิศที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมาก่อน


“มีบางอย่าง!” จิ่วโยวลิงโลดขึ้นทันควัน


ดวงตาของมู่เฉินสว่างขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเงยหน้ากวาดมองและสุดท้ายเล็งไปที่เกาะลอยที่อยู่ไม่ไกล เกาะนี้ไม่ได้โดดเด่นมีขนาดประมาณหนึ่งร้อยจั้ง ซึ่งดูธรรมดามากเมื่อเทียบกับเกาะอื่นๆ ทว่ามู่เฉินรู้ดีว่าจุดแสงที่ระบุตำแหน่งในเข็มทิศชี้ไปยังทิศทางนั้น


มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันแล้วเคลื่อนไหวไปปรากฏตัวตรงงหน้าเกาะลอยนั่นทันที ทั้งสองผสานพลังเหวี่ยงฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พุ่งออกมาทำลายเกาะลอยแห่งนี้


ฟิ้ว!


ขณะที่หินกระจายไปทั่ว แววตาของมู่เฉินและจิ่วโยวก็สว่างวาบ ก่อนที่ทั้งสองจะทะยานผ่านดงเศษหินไป


ทั้งสองคนแยกเป็นสองฝั่งไปปรากฏตัวต่อหน้าจุดแสงแล้วคว้าเอาไว้ คลื่นหลิงของพวกเขากลายเป็นวงแสงล้อมจุดแสงเอาไว้ภายใน


ปัง! ปัง!


ในวงแสงคลื่นหลิงจุดแสงก็ราวกับกระทิงเปลี่ยวกระแทกซ้ายทีขวาทีเพื่อให้หลุดพ้นอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เกิดระลอกคลื่นผันผวนภายใน พลังงานนั่นทำให้มู่เฉินรู้สึกตกใจไป เขาหมุนเวียนคลื่นหลิงอย่างรวดเร็วเพื่อปราบจุดแสงไว้


เมื่อจุดแสงสงบลง มู่เฉินก็จ้องมองไป เห็นเข็มยาวสีแดงเข้มที่ดูบอบบางราวกับเส้นขนของวัวอยู่ในจุดแสง แม้ว่าจะดูไม่โดดเด่น แต่มู่เฉินก็เห็นลวดลายนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนเข็มด้วยสายตาที่เฉียบแหลม นอกจากนี้ทุกลวดลายก็ราวสัตว์อสูรดุร้าย


แสงสีแดงเข้มแล่นแปลบปลาบบนพื้นผิว เปล่งรัศมีดุร้ายคลุมเครือ ทำให้มู่เฉินตกใจเล็กน้อย


มู่เฉินค่อยๆ เร้าคลื่นหลิงเข้าไปในเข็มสีแดงเข้ม หลังจากผ่านมานานเข็มนี้ก็เป็นวัตถุที่ไม่มีเจ้าของ ดังนั้นมู่เฉินจึงสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย


เมื่อมู่เฉินควบคุมได้ ก็มีข้อมูลบางอย่างพุ่งเข้ามาในหัวของเขาเต็มไปหมด


เข็มหมื่นอสูรเป็นอาวุธพบสวรรค์ขั้นสูงประเภทสิ้นเปลือง กลั่นจากแก่นโลหิตสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนซึ่งมีความดุร้ายมาก จำเป็นต้องใช้เลือดของผู้ใช้ในการเปิดใช้งาน ยิ่งเลือดมีพลังมากเท่าไร ก็จะทรงมีพลังมากขึ้นเท่านั้น


“อาวุธพบสวรรค์ขั้นสูงประเภทสิ้นเปลืองเรอะ!”


มู่เฉินฉีกยิ้มแม้ว่าอาวุธพบสวรรค์แบบสิ้นเปลืองจะมีข้อบกพร่องที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก แต่ก็มีประโยชน์เช่นกัน นั่นก็คือพลังของมันจะแข็งแกร่งกว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นสูงแบบสามัญ


นอกจากนี้วัตถุชิ้นนี้ก็ยังซ่อนตัวได้แนบเนียนซึ่งทำให้ผู้อื่นยากที่จะป้องกัน ถ้าถูกใช้กับศัตรูแล้วก็จะมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดเลยทีเดียว


ขณะที่มู่เฉินเต็มไปด้วยความยินดีอยู่ในใจ จิ่วโยวก็ทะยานกลับมา ความสุขที่ไม่สามารถปกปิดได้กระจายบนใบหน้านาง ท่าทางนางจะได้รับของดีมาเช่นกัน


มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยว ทว่าก่อนที่จะถาม นางก็ยื่นมือออกมา บนฝ่ามือบางมีเม็ดยาสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งขนาดเท่าลูกลำไยที่เปล่งแสงจางๆ บนพื้นผิว แสงก่อตัวเป็นรูปหงส์ฟ้า แผดเสียงเอกลักษณ์ออกมาอย่างชัดเจน


กลิ่นโบราณและหอมเข้มข้นเล็ดลอดออกมาจากเม็ดยา ทำให้คลื่นหลิงในร่างมู่เฉินส่งสัญญาณเพิ่มขึ้น


“นี่คือ…?” มู่เฉินถามอย่างประหลาดใจ


“เม็ดยาวิหคอุบัติกลั่นออกมาจากแก่นโลหิตตระกูลหงส์ฟ้า ถ้าเทพอสูรที่มีสายพันธุ์คล้ายคลึงกันสามารถชำระได้ก็จะช่วยสนับสนุนสายเลือดดั้งเดิม ถ้าโชคชะตาเข้าข้างอีกาก็เกิดใหม่เป็นหงส์ฟ้าได้…” จิ่วโยวยิ้มกริ่ม


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนางก็อดเดาะลิ้นในความชื่นชมไม่ได้ เขาไม่คิดว่านางจะได้รับเม็ดยาเทพเช่นนี้ จิ่วโยวถือกำเนิดในเผ่าวิหคโลกันตร์และมีสายเลือดของวิหคอมตะที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับหงส์ฟ้า ดังนั้นเม็ดยานี้ถือได้ว่าเป็นวัตถุเทพสำหรับเทพอสูรอย่างจิ่วโยวแท้จริง


การใช้เข็มทิศค้นวิญญาณของทั้งคู่ได้รับการเก็บเกี่ยวมากพอในการล่าหาสมบัติครั้งนี้


“ยังมีเวลา หาของต่อกันเถอะ!” จิ่วโยวเก็บเม็ดยาวิหคอุบัติไว้พร้อมกับฉายท่าทางอยากล่าสมบัติต่อ ดูเหมือนว่าการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ทำให้ไฟในการค้นหาของนางจุดติดแล้ว


สำหรับทั้งสองมิตินี้เป็นดินแดนสมบัติแท้จริง!


มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พวกเขาต่อสู้มามากมายเพื่อเข้าสู่ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน ดังนั้นหากพวกเขาไม่ได้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ความพยายามทั้งหมดก็ไร้ผลแล้ว


ทั้งสองออกตัวอีกครั้งและยังใช้พลังของเข็มทิศเต็มพิกัด ซึ่งเกิดการตอบสนองขึ้นในเวลาไม่กี่นาที นอกจากนี้การค้นพบครั้งนี้ถึงกับทำให้ทั้งคู่ตกตะลึงไปเลยทีเดียว


นั่นเป็นเพราะจุดแสงบนเข็มทิศเปล่งประกายแวววาวราวกับดวงอาทิตย์ แม้แต่สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่เคยเกิดตอนที่พวกเขาค้นพบซากอารยธรรมระดับหนึ่ง!


ยิ่งเทียบกับผลลัพธ์บนเกาะลอยก่อนหน้านี้ ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว!


มู่เฉินและจิ่วโยวมองเข็มทิศด้วยความตกใจแล้วพากันสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด อะไรที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนเช่นนี้ในเข็มทิศค้นวิญญาณ!


หรือจะเป็นอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหรือแข็งแกร่งกว่านั้น?


บทที่ 923 วัตถุประหลาด

ฮึ่ม! ฮึ่ม!


แสงแวววาวกำจายออกมาจากเข็มทิศค้นวิญญาณ ทำให้มู่เฉินและจิ่วโยวไม่สามารถฟื้นสติจากความตื่นตะลึงของแสงสว่างที่รุนแรงในระยะสั้น หลังจากอึ้งไปพักใหญ่ ทั้งสองถึงได้แลกเปลี่ยนสายตากัน


“ไปดูกันเถอะ” มู่เฉินเลียริมฝีปาก แม้ว่าเขาจะตกใจอยู่บ้างในใจจากความปั่นป่วนที่เกิดจากเข็มทิศ แต่โอกาสแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมีง่ายๆ


“ระวังให้ดีด้วย”


จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ แต่ก็อดเตือนไม่ได้


มู่เฉินพยักหน้าเล็งตำแหน่งบนเข็มทิศ สายตาของเขากวาดไปทางทิศตะวันตกก่อนจะมองไปที่จิ่วโยว จากนั้นทั้งคู่ก็ทะยานออกไปโดยไม่ลังเล


ทั้งสองเหาะเหินอย่างรวดเร็วผ่านเกาะลอยน้อยใหญ่มากมาย พวกเขากวาดสายตาไปรอบๆ ขณะที่พยายามค้นหาต้นกำเนิดของแสงแวววาวบนเข็มทิศค้นวิญญาณ


การใช้เข็มทิศเพื่อระบุตำแหน่งเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก


นี่เป็นเกาะหินขนาดใหญ่ลอยอยู่ตรงหน้ามู่เฉินและจิ่วโยว พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตา นี่คือสถานที่ที่เข็มทิศชี้มาดังนั้นก็น่าจะเป็นเกาะลอยนี้ละมั้ง


“ปัง!”


พวกเขาสองคนเหลือบมองกันก่อนจะออกกระบวนท่าโดยไม่ลังเล ไม่กี่ลมหายใจภูเขาสูงตระหง่านก็บดขยี้ลงบนเกาะลอย


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


เศษหินแตกกระจายยิงออกไปทุกทิศทางโดยที่ดวงตาของมู่เฉินและจิ่วโยวจับจ้องชิ้นส่วนที่แหลกละเอียดทุกชิ้น สายตาของพวกเขาเฉียบคมมาก ดังนั้นสิ่งผิดปกติใดๆ ก็จะไม่สามารถเล็ดลอดไปได้


ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเศษหินใหญ่น้อยก็ถูกยิงออกไปจนหมด แต่ที่ทำให้มู่เฉินและจิ่วโยวตกตะลึงก็คือพวกเขาไม่ค้นพบสิ่งผิดปกติอะไรเลย


“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” จิ่วโยวถามอย่างงุนงง


มู่เฉินก็ขมวดคิ้วแน่น เมื่อครู่พวกเขาจ้องมองอยู่อย่างละเอียดถี่ถ้วนมาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่พวกเขาจะพลาดอะไร แต่ทำไมถึงไม่พบอะไรเลยล่ะ?


มู่เฉินก้มลงมองเข็มทิศก็ต้องอึ้งไป นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่าแสงสว่างบนเข็มทิศยังคงเจิดจรัสอยู่ แบบนี้ก็หมายความว่าต้นกำเนิดของมันยังอยู่ที่นี่


“เกาะลอยแห่งนี้เหมือนจะไม่ใช่เป้าหมาย…” มู่เฉินกล่าว


“ตำแหน่งไม่ได้บอกว่าอยู่ที่นี่เหรอ?” จิ่วโยวถามกลับ


“ตำแหน่งอยู่ที่นี่ก็จริง…” แววตามู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งเกาะลอยมาก่อน ทันใดนั้นเขาก็หดตาลง ขยับตัวเข้าไปใกล้เมื่อตระหนักได้ว่าจุดที่เคยเป็นเกาะลอยอยู่ในสภาพบิดเบี้ยว แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดรอยแตกของมิติได้


แต่มิติผิดส่วนนี้ถูกซ่อนอยู่ในเกาะลอย ความจริงนี้ทำให้คนเห็นรู้สึกสับสน


มู่เฉินจ้องมองไปที่มิติบิดเบี้ยว ก่อนที่จะยกเข็มทิศขึ้นมาเบาๆ ทันใดนั้นเข็มทิศก็พุ่งขึ้นพร้อมกับแสงที่โชติช่วง


จิ่วโยวก็สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ นางขยับเข้าหามู่เฉินอย่างรวดเร็วพลางมองไปยังมิติบิดเบี้ยว แววตะลึงใจเขียนอยู่บนใบหน้านาง


“ดูเหมือนจะเป็นมิติที่ผิดส่วนนะ” มู่เฉินพูดอย่างประหลาดใจ ที่แท้เกาะลอยเป็นเพียงส่วนหน้าที่เอาไว้บังตา มิติตรงหน้าต่างหากถึงเป็นจุดสำคัญ


“สมบัติคือนี่หรือ?” จิ่วโยวถามอย่างไม่เชื่อ


มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะหรี่ตาแคบลง เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดโพลงขึ้นว่า “เจ้าสามารถฉีกรอยร้าวในมิติผิดส่วนนี่ได้ไหม?”


จิ่วโยวตกใจไปกับคำพูดนี้พลางตอบว่า “เจ้าสงสัยว่าสมบัติถูกซ่อนอยู่ในมิติผิดส่วนนี้เหรอ?”


“มีคนพยายามซ่อนบางสิ่งที่นี่ ดังนั้นจะต้องมีเหตุจูงใจ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงน่าจะมีบางอย่างผิดปกติด้านใน” มู่เฉินพยักหน้า


“งั้นข้าจะลองดู”


เมื่อได้ยินมู่เฉินอธิบาย จิ่วโยวก็พยักหน้า จากนั้นนางก็กำหมัดคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกระแทกกับมิติผิดส่วนจนบิดเบ้ คลื่นพลังงานก่อตัวขึ้นเป็นมือขนาดใหญ่พยายามฉีกรอยแตกออกจากกัน


แต่เมื่อคลื่นหลิงของจิ่วโยวชนกับระลอกมิติ นางก็ต้องตกตะลึงในใจ เพราะนางสัมผัสได้ว่ามิติผิดส่วนนี้ทนทานกว่าที่คิดมาก


ด้วยขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นหก ไม่ได้ยากที่จะฉีกมิติออก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกลำบากมากล้น


“ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติที่นี่จริงๆ”


จิ่วโยวกัดฟันขณะที่คลื่นหลิงระเบิดออกมาจากภายในร่างไม่หยุดยั้ง ทำให้มิติผิดส่วนสั่นสะเทือนรุนแรงทันที สุดท้ายรอยแตกสีดำเล็กๆ ก็ค่อยๆ เปิดออก


ภายใต้พลังเต็มพิกัดของจิ่วโยว รอยแตกสามารถเปิดขึ้นประมาณสองฉื่อ แต่เมื่อแหวกมาถึงขนาดนี้ จิ่วโยวก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นขีดจำกัดของตนเองแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นรอยแตกมิติดูเหมือนจะต่อต้านและพยายามซ่อมแซมตัวเองไปด้วย


“เร็วเข้าข้าอดทนนานไม่ไหว” จิ่วโยวเร่ง


“ฮึ่ม!”


มู่เฉินไม่รอช้า ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วซึ่งดูราวกับปากพยัคฆ์พยายามกัดแยกรอยแตกมิติ ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็พุ่งขึ้นบนฝ่ามือ ก่อเป็นกระแสน้ำวนพร้อมกับแรงดูดระเบิดออกมา


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


เมื่อแรงดูดทรงพลังเข้าสู่รอยแตกขอมิติ เศษหินก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่พวกมันจะเข้าใกล้ฝ่ามือของมู่เฉินก็สลายกลายเป็นผงธุลี


มู่เฉินไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังรอยแตก ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปดู เพราะถ้าเขาหลงทางในความปั่นป่วนของมิติ แม้แต่มั่นถัวหลัวก็คงยากที่จะช่วยเขาออกมาได้


ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีดังกล่าว โดยใช้แรงดูดเพื่อดูว่าสามารถดึงอะไรออกจากมิติส่วนนี้ได้หรือไม่


ปุ! ปุ!


หินนับไม่ถ้วนยังพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายกระแสน้ำวนก็ทำให้สลายหายไป ทว่าก็ยังไม่มีวัตถุวิเศษใดปรากฏขึ้น


เมื่อเวลาผ่านไปฝ่ามือของจิ่วโยวก็เริ่มสั่นเทา ชัดว่ายากสำหรับนางที่จะคงสภาพเอาไว้แล้ว


พอเห็นสถานการณ์นี้ มู่เฉินก็ถอนหายใจ ทว่าขณะที่กำลังจะหยุดด้วยความผิดหวัง เสียงแปลกๆ ก็แผ่มาจากรอยแตกมิติ


ฟิ้ว!


ทันใดนั้นแสงสีดำก็พุ่งออกมากระทบกับกระแสน้ำวนเต็มแรง แต่คราวนี้กระแสน้ำวนไม่ได้สลายมัน กลับกลายเป็นกระแสน้ำวนแตกสลายแทน


มู่เฉินตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาเร้าคลื่นหลิงในมือจากนั้นก็คว้าแสงสีดำเอาไว้


เวลาเดียวกันจิ่วโยวก็หมดแรง รอยแตกหดตัวลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไป พื้นที่กลับสู่สภาพเดิม


จิ่วโยวซับเหงื่อออกจากหน้าผากขณะที่มองมู่เฉิน ก่อนที่จะเห็นแสงสีดำยิงออกมาจากสายตาอีกฝ่าย


มู่เฉินกางมือออก วัตถุสีดำก็เผยออกมา ดูเหมือนจะเป็นโลหะสีดำรูปสามเหลี่ยมที่ถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณบนพื้นผิว ทว่ามู่เฉินและจิ่วโยวสัมผัสไม่ได้ถึงคลื่นหลิงเลยสักริ้ว


ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน ชัดเจนว่าพวกเขาไม่เข้าใจในวัตถุ ทั้งสองพยายามคั้นสมองเพื่อหาคำอธิบาย ห้ได้ ซึ่งทำเอางุนงงไปตามๆ กัน หลังจากมองแล้วมองอีกวัตถุนี้ก็ไม่ได้เหมือนกับอาวุธเทพสักเท่าไร


มู่เฉินขมวดคิ้วพยายามเทคลื่นหลิงเข้าไป แต่สุดท้ายเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากมันเลย…


ทั้งสองคนพยายามขบคิด ทดลองวิธีการต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่มีการตอบสนองจากโลหะสีดำ จนสุดท้ายพวกเขาต้องยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้


“โอ๊ย เสียเวลาตั้งมากมาย ได้อะไรมาก็ไม่รู้” มู่เฉินและจิ่วโยวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แม้ความรู้สึกของพวกเขาจะบอกว่านี่ไม่ใช่วัตถุธรรมดา แต่เมื่อไม่มีวิธีใช้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเศษขยะหรอก


“ช่างเถอะ เอาเวลาไปหาสมบัติอื่นต่อดีกว่า”


มู่เฉินยิ้มขมขื่น ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ โลหะสีดำถูกโยนเข้าไปในกำไลเฉียนคุน เขาใช้เวลาที่เหลืออยู่ค้นหาสมบัติอื่นๆ ด้วยเข็มทิศค้นวิญญาณต่อไป


ขณะที่เขาพยายามค้นหาสมบัติต่อ ทันใดนั้นเขาก็มองไปในทิศที่ห่างไกลออกไป ชั่วขณะหนึ่งพีระมิดสีดำขนาดใหญ่ที่กำลังลอยอยู่ในอวกาศก็ดูเหมือนกับโลหะรูปสามเหลี่ยมที่เขาเพิ่งได้รับ…


แต่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นชั่วครู่ก่อนที่จะถูกปัดออกไปด้วยเสียงหัวเราะเยาะของมู่เฉิน เขารีบค้นหาสมบัติกับจิ่วโยวต่อ


เวลาที่เหลืออยู่มู่เฉินและจิ่วโยวก็เก็บเกี่ยวโดยใช้เข็มทิศช่วย ทว่าผลงานของพวกเขาไม่ดีเยี่ยมนัก เมื่อเปรียบเทียบกัน การเก็บเกี่ยวครั้งแรกดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด


ฮึ่ม!


ขณะที่ทั้งสองคนยังค้นหาสมบัติต่อ จู่ๆ เสียงกระหึ่มก็กำจายออกมา มู่เฉินและจิ่วโยวหยุดลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงนี้ ก่อนที่จะเหลือบมองกันแล้วทะยานไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว


นี่คือสัญญาณเรียกรวมตัวของมั่นถัวหลัว


ฟิ้ว!


บนเกาะลอยเหล่าผู้บัญชาการมารวมตัวกันอีกครั้ง เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าพวกเขา นางก็รู้ว่าพวกเขามีผลการเก็บเกี่ยวที่ดี ทว่านางไม่ได้ถามเรื่องนี้และไม่ได้ให้ส่งมอบมา


“เตรียมตัวเข้าสู่ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน ก่อนหน้าข้ารู้สึกได้ว่ากองทัพอื่นๆ เข้ามาในมิตินี้แล้ว”


เมื่อได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว หัวใจของทุกคนก็เต้นไม่เป็นส่ำ การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของสงครามล่ามีไว้สำหรับขุมทรพัย์ตี้จื้อจุน กองทัพสูงสุดทั้งหมดพยายามอย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ในนั้น การแข่งขันเข้าขั้นหายนะอย่างแน่นอน


“ไป!”


มั่นถัวหลัวไม่ได้พูดมาก นางโบกมือ ร่างก็เปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำทะยานออกไป สถานที่ที่นางเคลื่อนไปก็คือพีระมิดสีดำที่อยู่ห่างไกลเบื้องหน้า


เมื่อมู่เฉินเห็นว่ามั่นถัวหลัวรวดเร็วและเด็ดขาด เขาก็ไม่มีเวลาพูดถึงวัตถุประหลาดที่ค้นพบก่อนหน้า เขายักไหล่อย่างจนใจก่อนจะตามไปพร้อมกับจิ่วโยว


ขณะที่ติดตามเขาเห็นใบหน้าของเหล่าผู้บัญชาการตึงเครียดขึ้นหลายส่วน เขาอดถอนหายใจไม่ได้ ต่อจากนี้ไปการแข่งขันหายนะสุดโหดของสงครามล่าจะอุบัติขึ้นแล้ว…


บทที่ 924 เข้าสู่ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน

ฟิ้ววว!!!


ในมิติแตกสลายที่มืดมิด ลำแสงกลุ่มหนึ่งทะยานผ่านพื้นที่ว่างเปล่า ผู้นำมีรัศมีหนาแน่น เหาะเหินผ่านไปราวกับดาวตก ทุกสิ่งที่บดบังอยู่เบื้องหน้าก็จะถูกทำลายให้กลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้รัศมีนี้


คนกลุ่มนี้ก็คือสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ส่วนผู้นำนอกเหนือจากมั่นถัวหลัวก็ไม่มีใครที่จะเป็นได้


พวกเขาเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง พุ่งตรงไปยังพีระมิดสีดำโดยใช้ความเร็วเต็มพิกัด ภายใต้การเดินทางด้วยความเร็วนี้ มู่เฉินก็ตระหนักได้ว่ามิตินี้กว้างใหญ่เพียงใด


ก่อนหน้าตอนที่มอง พีระมิดสีดำก็ดูไม่ไกลนัก แต่ตอนนี้เมื่อเดินทางด้วยความเร็วเต็มที่ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าระยะทางนี้ไกลแค่ไหน


พวกเขาใช้ความเร็วนี้เดินทางเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ระยะทางที่ห่างจากพีระมิดสีดำก็ยังคงเหมือนเดิม ทำให้ มู่เฉินแอบตกตะลึงในใจ


“ฮ่าๆ มิตินี้ผิดเพี้ยนมาก ดังนั้นการแสดงภาพในมิติแตกสลายทำให้เราคิดไปว่าพีระมิดสีดำอยู่ไม่ไกล แต่ในความเป็นจริงระยะทางไม่น้อยกว่าหลายหมื่นลี้เลย” สัมผัสได้ถึงความประหลาดใจของมู่เฉิน เทียนจิ้วที่อยู่ด้านหน้าก็อธิบายด้วยรอยยิ้มบาง


มู่เฉินอุทานพลางพยักหน้า นี่เป็นการวิ่งจนตายเพราะเห็นพีระมิดจริงๆ


“แต่ตามความเร็วของเรา น่าจะไปถึงได้อีกในหนึ่งชั่วโมง มิติรอบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนผันผวนมาก ดังนั้นอย่าได้สัมผัสซี้ซั้วไปทั่ว ไม่งั้นจะถูกดูดเข้าไปในความปั่นป่วนของมิติได้” เทียนจิ้วมองไปที่มู่เฉินและเหล่าผู้บัญชาการขณะพูดเตือน


“รับทราบ”


เหล่าผู้บัญชาการตอบรับอย่างพร้อมเพรียงเมื่อได้ยินคำพูดของเขา


เทียนจิ้วพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก ทุกคนเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น พวกเขาราวกับเส้นแสงแล่นผ่านขอบฟ้า เดินทางผ่านมิติแตกสลายด้วยความเร็วสูง


ภายใต้การเดินทางด้วยความเร็วสูง อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา มู่เฉินก็สังเกตเห็นมั่นถัวหลัวเริ่มชะลอความเร็วลง ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งในใจ เพราะเหมือนเห็นเงาไร้ขอบเขตทอดลงมาจากขอบฟ้าห่อหุ้มร่างพวกเขาไว้


มู่เฉินและคนอื่นๆ เงยหน้าขึ้นก็ต้องสูดเอาอากาศเย็นเข้าไปลึกสุดปอด นั่นเป็นเพราะในชั้นอากาศที่เบื้องหน้าพวกเขามีพีระมิดสีดำขนาดมหึมากำจายแรงกดขี่ที่น่ากลัวออกมา กระทั่งมู่เฉินยังรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาจากแรงกดดันนี้


แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าพีระมิดสีดำน่าเกรงขามอย่างไร แต่เมื่อเข้ามาใกล้อย่างแท้จริงพวกเขาก็รู้สึกตกตะลึงสุดหัวใจ รูปลักษณ์ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ทำให้พวกเขาเกิดความเคารพยำเกรง


มิติโดยรอบพีระมิดดำเกิดการบิดเบี้ยวอย่างมากจากแรงกดดัน มีรอยร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นและจางหายไป…


“นี่คือเป้าหมายของเราในครั้งนี้”


มั่นถัวหลัวยืนอยู่บนท้องฟ้าขณะจ้องมองพีระมิดมหึมา แม้ว่าร่างของนางจะบอบบางที่สุดในกลุ่ม แต่ทุกคนรู้ว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวอัดแน่นอยู่ภายในร่างเล็กจ้อยนี่


ในมหาพันภพ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูง ซึ่งเป็นขุมพลังเป้าหมายของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนเช่นกัน


“ท่านประมุข เราจะลงมือยังไง?” ซุยนอนที่ยืนอยู่ด้านหลังมั่นถัวหลัวก็เปิดเปลือกตาขึ้น ดวงตาขุ่นกวาดแสงคมชัดพร้อมกับแรงกดแผ่วเบา กระทั่งเทียบกับเทียนจิ้วและหลิงถง ความกดดันของเขาก็แข็งแกร่งมากกว่า


มั่นถัวหลัวพยักหน้า “กองทัพอื่นก็น่าจะมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน เราต้องรีบลงมือก่อนคนอื่น”


เมื่อพูดจบมั่นถัวหลัวก็เคลื่อนตัวไปทางพีระมิดสีดำอย่างช้าๆ รอยแตกมิติปรากฏขึ้นในสภาพแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พยายามขัดขวางการเดินทางของนางเอาไว้ แต่เผชิญหน้ากับการต่อต้านแบบนี้ นางเพียงโบกมือก็ลบรอยร้าวซึ่งทำให้มู่เฉินและคนอื่นปวดหัวออก


ร่างของนางไปปรากฏที่เบื้องหน้าพีระมิดสีดำ เมื่อยืนอยู่ตรงนั้น นางก็มองเห็นได้ชัดเจนถึงลวดลายโบราณลึกลับบนพีระมิด มีคลื่นทรงพลังแผ่ออกมาเลือนราง


ระลอกคลื่นหลิงทรงพลังมาก แม้แต่มั่นถัวหลัวยังต้องหรี่ตา เมื่อเทียบกับผนึกก่อนหน้านี้ ที่นี่ทรงประสิทธิภาพมากยิ่งนัก


แต่โชคดีที่นางเตรียมมาพร้อม


มั่นถัวหลัวยกมือขึ้น กำไลเฉียนคุนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง สายธารยาหยุ่นลั้วหลั่งไหลออกมา มองจากขนาดมีปริมาณมากกว่าครั้งก่อนเสียอีก


กะคร่าวๆ กระแสธารยาที่หมุนวนรอบร่างมั่นถัวหลัวมีไม่ต่ำกว่าสองแสนเม็ด กระทั่งคนที่อยู่ข้างหลังก็มองด้วยความปวดใจกับจำนวน ถ้าเม็ดเหล่านี้ถูกแปลงเป็นของเหลวจื้อจุนจะมีจำนวนเกินกว่าสองล้านหยดเลยทีเดียว…


ของเหลวจื้อจุนสองล้านหยด แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจอมพลเทียนจิ้วยังอดใจหวั่นไม่ได้


มือของมั่นถัวหลัวถูเบาๆ เม็ดยาหยุ่นลั้วสองเม็ดก็ถูกบีบอัดอย่างรวดเร็วกลายเป็นของเหลวภายใต้สายตาเจ็บปวดของคนอื่น


ปุ! ปุ!


มั่นถัวหลัวสะบัดนิ้ว ของเหลวที่หนาแน่นประหนึ่งภูเขาก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนูออกจากแล่ง ตรงไปยังพีระมิดสีดำอย่างไม่ขาดสาย


มั่นถัวหลัวรู้ดีว่าผนึกบนพีระมิดสีดำทรงพลังอย่างยิ่ง เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ยาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดจะทำลายได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงเลือกที่เปิดรูขนาดเล็ก ของเหลวหยุ่นลั้วถูกกำหนดเป้าหมายบนพื้นที่ขนาดเล็กบนพีระมิดสีดำภายใต้การควบคุมที่ยอดเยี่ยมของนาง


ชี่! ชี่!


เมื่อของเหลวหยุ่นลั้วตกลงบนพีระมิดก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาตามคาด ลวดลายโบราณลึกลับบนพีระมิดเริ่มเลือนหายไปทีละน้อย…ละน้อย


เมื่อลวดลายสลายลง พีระมิดสีดำก็ดูเหมือนเริ่มหลอมละลาย ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรอยแตกขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภายใต้การกัดกร่อนของของเหลวหยุ่นลั้ว


ภายในเวลาไม่กี่นาทีเม็ดยาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดก็หมดลงอย่างสมบูรณ์ ขนาดของรอยแตกก็เพียงพอสำหรับคนจะลอดผ่านไปได้


“เตรียมพร้อมเข้าไป ระวังด้วยทุกคน” มั่นถัวหลัวมองที่รอยแตกก่อนจะหันกลับมาพูดกับทุกคน


“รับทราบ!”


คนอื่นๆ พยักหน้ารับทราบ ก่อนที่เข้าสู่ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนอันน่าสะพรึง ซากอารยธรรมที่พวกเขาเคยเข้าไปเทียบไม่ได้เลย แน่นอนว่าอันตรายที่อยู่ในนั้น สามารถทำให้ร่างกายกลายเป็นอากาศธาตุได้ทันที


มั่นถัวหลัวพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร นางหันกลับแล้วย่างกรายเข้าไปในรอยแตก คนที่เหลือติดตามไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อเข้าไปในรอยแตก ความมืดหนาแน่นก็ปกคลุมเอาไว้ ทำให้มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกถึงความหวาดกลัว ยามนี้พีระมิดสีดำราวกับสัตว์อสูรร้ายในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เปิดปากรอให้พวกเขาเข้าไป…


ความมืดครอบดวงตาทุกคน มู่เฉินก็สูดอากาศเต็มปอด เขาสัมผัสถึงกลิ่นคาวเลือด ในขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแห่งนี้ คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่รุนแรงได้แล้ว


ขณะนี้มู่เฉินไม่รู้ว่านี่เป็นการสัมผัสผิดของตนเองหรือไม่ แต่วัตถุรูปสามเหลี่ยมลึกลับที่เขาได้รับมาก่อนหน้าเหมือนเกิดการสั่นสะเทือนเบาๆ


ถัดต่อจากรอยแตกคือความมืดลึกล้ำที่ไม่สามารถวัดได้ ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว หลังจากก้าวเข้ามา มู่เฉินก็รู้สึกราวกับว่าตนเองไม่ได้เดินอยู่บนบก แต่กลับเป็นความว่างเปล่า


ดูเหมือนว่ากฎเชิงพื้นที่ของพีระมิดสีดำเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมาก


ทว่าแม้ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนจะลึกล้ำ แต่พวกมู่เฉินก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทาง เพราะพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่แท้จริงเป็นผู้นำทางอยู่เบื้องหน้า


แม้ว่าร่างนั้นจะเล็กจ้อย แต่คลื่นทรงพลังที่อยู่ในร่างนั้นก็ปกป้องพวกเขาทั้งหมดไว้ ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจ


ขณะที่ความคิดเหล่านี้หมุนเวียนอยู่ในใจของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวที่อยู่เบื้องหน้าก็หยุดลง เมื่อมองไปพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามีประตูบานหนึ่งปรากฏที่ตรงหน้ามั่นถัวหลัวตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ประตูบานนี้บิดเบี้ยว ระลอกคลื่นมิติทรงพลังเล็ดลอดออกมา ไม่มีใครรู้ว่ามันนำไปสู่อะไร


มั่นถัวหลัวแตะประตูเบาๆ จากนั้นก็คิ้วมุ่นเข้าหากัน “เมื่อเข้าไปในประตูนี้ เราก็จะเข้าสู่ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแท้จริง เวลานั้นเราจะได้สัมผัสกับอันตรายที่แท้จริงของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน พวกเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง?”


เมื่อได้ยินหัวใจของพวกเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม


มั่นถัวหลัวที่เห็นการตอบสนองของคนรอบตัวก็พยักหน้าเบาๆ เท้าเล็กยกขึ้นโดยไม่ลังเล ก้าวผ่านประตูไป เมื่อประกายแสงแวววาววูบไหว ร่างนางก็หายตัวไป


ที่เบื้องหลังเหล่าจอมพลก็ตามมาอย่างใกล้ชิด พวกผู้บัญชาการแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะแทรกตัวตามเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว


จิ่วโยวและมู่เฉินเป็นคนสุดท้าย ทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นก็ก้าวออกไปพร้อมกันแล้วหายเข้าไปในประตู


ชี่! ชี่!


เมื่อพวกเขาเข้าไป ประตูทางเข้าก็จางลงอย่างรวดเร็ว รอยแตกมิติของที่นี่กลับคืนสู่ความมืด


ในเวลาเดียวกันเมื่อพวกเขาเข้าสู่ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน ในทิศทางอื่นๆ คลื่นมิติก็ผันผวน ร่างมากมายวูบไหวราวกับภูตผี เป้าหมายของพวกเขาก็คือขุมทรัพย์แห่งนี้


รัศมีแรงกล้ากระจายออกมาจากมิติลึกลับอย่างเลือนลาง ในที่สุดขุมทรัพย์ที่เงียบสงบมานับหมื่นปีก็เปิดออกแล้ว…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)