หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 909-910
บทที่ 909 ประจันหน้า
“จะคืนคนหรือจะสู้กัน จวนยมโลกเลือกมาเลย”
ขณะที่เสียงเย็นเยือกที่อัดแน่นด้วยไอสังหารของซิวหลัวดังก้องไปทั่ว หัวใจของผู้อื่นก็สั่นสะท้านเนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะใช้ดาบแทงทะลุตรงๆ แบบนี้
แค่เริ่มต้นการชุมนุม สถานการณ์ก็เดือดปะทุเปรี้ยงปร้างเสียแล้ว
เมื่อเสียงซิวหลัวกระจายออกไป เทียนเสียที่สวมชุดเกราะสีดำยืนอยู่หน้ากองทัพยมโลกก็ยกตาขึ้นช้าๆ เขาแลกเปลี่ยนสายตากับซิวหลัว ไอเย็นเยือกในดวงตากวนตัวรุนแรงจนสามารถแช่แข็งได้แม้แต่บรรยากาศ
“ผู้บัญชาการซิวหลัวนี่เป็นท่าทางของคนที่ต้องการขอคนคืนเรอะ?” เทียนเสียกล่าวอย่างช้าๆ น้ำเสียงแฝงความเยาะเย้ย
“ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์สามารถลดความถือดีขอร้องข้า ข้าอาจปล่อยผู้บัญชาการปิงเหอไปจริงๆ แต่ท่าทางเจ้าตอนนี้ไม่เหมือนการมาเจรจาเลยนะ”
รอยยิ้มเย็นผุดบนใบหน้าซิวหลัวขณะมองไปที่เทียนเสีย “ผู้บัญชาการเทียนเสียสายตาอะไรของเจ้าที่เห็นว่าข้ามาเพื่อเจรจา ไม่ว่าเจ้าจะคืนผู้บัญชาการปิงเหอมาหรือไม่ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่”
คำพูดของซิวหลัวมั่นคงและแน่วแน่พร้อมกับรู้สึกได้ถึงจิตสังหารหนาแน่น ปิงเหอถูกจับและผู้ใต้บังคับบัญชาถูกฆ่าจนไม่เหลือ หากพวกเขายอมกลืนความขุ่นเคืองนี้ ก็เท่ากับทำลายชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จนไม่เหลือหลอ
รอยยิ้มเย้ยหยันที่แขวนบนใบหน้าเทียนเสียค่อยๆ หุบลง เห็นได้ชัดว่าความแน่วแน่และเด็ดขาดของซิวหลัวอยู่เหนือความคาดหมายของเขา ตอนแรกพวกเขาวางแผนที่จะทำลายชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ซิวหลัวเฉลียวฉลาด ไม่คิดประนีประนอมแม้แต่น้อย ทำให้แผนที่วางไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า
แต่แม้ว่าแผนจะล้มเหลว ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทั่วไป เรื่องวันนี้เป็นการวางกับดักอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไว้ตั้งแต่ต้น ใบหน้าของเทียนเสียสาดความน่าขนพองสยองเกล้าขณะพูดเสียงไม่แยแสว่า “ไม่คิดปล่อยเรื่องไป? ผู้บัญชาการซิวหลัว เจ้าคิดว่าจวนยมโลกเป็นขั้วอำนาจดาษๆ ที่พวกเจ้าเคยปะทะมาก่อนหน้าเรอะ?”
“วันนี้กองทัพทั้งหมดของจวนยมโลกมารวมกันที่นี่ ดังนั้นต่อให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมากันหมดแล้วจะทำอะไรได้?”
ซิวหลัวตอกกลับเสียงเย็น “แล้วไง? อาณาเขตกงเวทสวรรค์ยอมเสี่ยงที่จะบาดเจ็บล้มตายเพื่อปะทะกับจวนยมโลก เมื่อถึงเวลานั้นเราก็กอดคอกันลงนรกไปด้วยกันเท่านั้นเอง!”
ทั้งสองฝ่ายเป็นขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นหากระเบิดศึกขึ้นจริงๆ ละก็ พวกเขาจะทุ่มทุกอย่างที่มีใส่ไม่ยั้ง ในเวลานั้นไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ ผลของชัยชนะอาจไม่ได้เป็นของพวกเขา แต่เป็นสำหรับคนอื่นที่จ้องมองรอคอยจังหวะนี่ต่างหาก
ม่านตาเทียนเสียหดเกร็ง ท่าทีเด็ดขาดของซิวหลัวทำให้พวกเขารู้สึกกดดันแท้จริง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถตัดสินใจได้เด็ดขาดในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายแบบนี้
ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็แอบเดาะลิ้นขณะที่ดูการประจันหน้านี้ ทั้งสองฝ่ายพรั่งพรูด้วยจิตสังหาร โดยปกติพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าแทรกในการต่อสู้ระดับนี้เลย ดังนั้นตอนนี้ทำเพียงยืนชมการต่อสู้แตกออกพอ พวกเขาจะรอดูว่ามีโอกาสที่จะตกปลาตัวใหญ่เพื่อรับประโยชน์จากการศึกครั้งนี้หรือไม่
“ฮ่าๆ ผู้บัญชาการซิวหลัวยังคงเหี้ยมหาญเช่นเดิมกระทั่งผ่านมาหลายปี น่าชื่นชมๆ แต่ข้ากลัวว่าวันนี้ยากที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสู้จนทำให้เสียหายทั้งสองฝ่ายสินะ” ขณะที่แสงเย็นวาบในดวงตาของเทียนเสีย เสียงหัวเราะดังกึกก้องก็ระเบิดออกมาจากอีกทิศหนึ่ง สายตานับไม่ถ้วนหันไป ทุกคนเห็นว่าเทียนหลงจู่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากองทัพหมู่ตึกเทวะกำลังยิ้มเอ่ย
เมื่อเทียนหลงจู่พูด กองทัพที่รายรอบก็สั่นสะท้านในใจ พวกเขารับรู้ถึงสถานการณ์ผิดปกติที่กำลังก่อตัว พวกเขาบอกได้ว่าในการชุมนุมครั้งนี้จวนยมโลกและหมู่ตึกเทวะต่างมีเป้าหมายที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์
ทว่าก่อนที่ความตกตะลึงในใจของพวกเขาจะสงบลง ชายสวมเกราะทองคำที่ยืนอยู่ต่อกองทัพตำหนักสุดนภาก็พูดเสียงต่ำ “ในเมื่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ชอบสร้างศัตรู งั้นตำหนักสุดนภาก็ขอเข้าร่วมด้วย มาดูสิว่าพวกเจ้าจะสามารถหลบหนีไปในวันนี้ได้ไหม!”
โห้!
หลังจากที่เทียนเสินจากตำหนักสุดนภาพูดออกมา ทั่วทั้งบริเวณก็ระเบิดด้วยความโกลาหล สายตาของพวกเขาเปลี่ยนแปลงวูบไหว ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คิดว่าจวนยมโลก หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาจะพุ่งเป้าไปที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์พร้อมกันแบบนี้!
เผชิญหน้ากับสามขั้วอำนาจสูงสุด แม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะอยู่ในระดับสูงสุดด้วย แต่ก็ยากที่พวกเขาจะหนีจากชะตากรรมการทำลายล้างได้!
หรือว่าก่อนศึกชี้ชะตาของสงครามล่า อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะถูกทำลายที่นี่ซะก่อน?
เหล่าจอมยุทธ์แต่ละคนดวงตากะพริบวูบไหวขณะที่บรรยากาศเริ่มแข็งตัว เมื่อขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสี่ยืนประจันหน้ากัน แรงกดดันนั้นเล่นเอาพวกเขาหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
โยวหมิงแห่งจวนยมโลก ฟังยี่แห่งหมู่ตึกเทวะ หลิ่วเหยียนและเซียวเทียนแห่งตำหนักสุดนภาก็จ้องมองมู่เฉินที่ยืนอยู่หน้ากองทัพอาณาเขตสวรรค์ ทำราวกับอีกฝ่ายเป็นเหยื่อที่อยู่ในกำมือพวกเขา เพราะตอนนี้ถือเป็นสถานการณ์สิ้นหวังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างแท้จริง
เผชิญหน้ากับการรวมตัวของขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสาม ผลลัพธ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ถูกกำหนดแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสี่คนรู้สึกประหลาดใจก็คือพวกเขาไม่เห็นอาการตื่นตระหนกบนใบหน้าของมู่เฉินเลย อีกฝ่ายยังคงรักษาความสงบไว้ได้
“เมื่อไรที่จับแกได้ จะดูสิว่าแกยังทำเป็นเก่งได้อีกไหม!” ทั้งสี่หัวเราะสาแก่ใจในใจ ขณะที่คิดว่ามู่เฉินแค่ทำเป็นแกร่งกร้าวต่อหน้าประชาชีเท่านั้น
ทั่วบริเวณเงียบกริบ บรรยากาศถูกแช่แข็ง
มู่เฉินยืนอยู่เบื้องหน้ากองทัพอาณาเขตสวรรค์ ก็สัมผัสได้ถึงสายตาของฟังยี่กับคนอื่น ทว่าเขาไม่ได้สนใจ เพียงแค่หลุบตาลง อึดใจก็มีเสียงสะท้อนออกมา ร่างกายที่ตึงเครียดของเขาคลายลง เพราะเสียงนี้มาจากฝั่งแดนปีศาจนั่นเอง
“ฮิๆ พวกเจ้าคิดหมาหมู่นี่ ทำเอาแดนปีศาจยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้เลย จวนยมโลกก็ควรให้คำอธิบายแก่พวกข้าในการทำลายอัฉริยะรัศมีจั้นยี่ของแดนปีศาจสักหน่อยนะ?” คนที่พูดออกมาก็คือเยาเซียนจื่อ นางหัวเราะเบาๆ ขณะจ้องเขม็งไปยังจวนยมโลก น้ำเสียงนุ่มนวลกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
การแทรกแซงโดยแดนปีศาจได้ตีบรรยากาศแข็งทื่อจนแตกออก เทียนเสียอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่ใบหน้าจะมืดครึ้มลง เขามองเยาเซียนจื่อพูดเสียงเย็นเยือก “อะไรกันแดนปีศาจของเจ้าคิดจะเข้ามาแส่กับเรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
“ในเมื่อทุกคนต่างไม่พอใจซึ่งกันและกัน งั้นยอดเขาหมื่นเทพของข้าเล่นด้วย”
ก่อนที่เยาเซียนจื่อจะตอกกลับเทียนเสีย ผู้อาวุโสเซิ่งแห่งยอดเขาหมื่นเทพก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสูงวัยเต็มไปด้วยความไม่แยแส “ถึงแม้ว่าหมู่ตึกเทวะจะทรงพลัง แต่ยอดเขาหมื่นเทพก็ไม่ใช่จะกลัวความแข็งแกร่งเช่นนี้ เมื่อไม่นานมานี้สำนักของเจ้าแอบซุ่มโจมตีผู้อาวุโสชิงของสำนักข้าจนเขาตาย เราก็น่าจะเอาปัญหานี้มาถกกันหน่อยนะ”
เมื่อยอดเขาหมื่นเทพเปิดเผยความตั้งใจเข้ามายุ่ง กองทัพอื่นๆ ก็พากันสูดลมหายใจเย็นเข้าปอดพร้อมกับแววตกตะลึงในสายตา สถานการณ์ตอนนี้คืออะไร? ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหกกำลังจะประกาศสงครามกันเลยเหรอ?
ถ้าพวกเขาสู้กัน สถานการณ์ในภูมิภาคทางเหนือเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน!
กองทัพอื่นมองด้วยความสนใจ พวกเขาไม่คิดว่าการประจันหน้ากันครั้งนี้จะรุนแรงตั้งแต่เริ่มต้น
เมื่อเทียบกับกองทัพคนอื่น ผู้นำของจวนยมโลก หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาก็มีใบหน้ามืดครึ้มลงหลายส่วน การเข้ามายุ่งกะทันหันของแดนปีศาจและยอดเขาหมื่นเทพทำลายแผนการของพวกเขาลงอีกเปลาะแล้ว
พวกเขาไม่คิดว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะแอบติดต่อกับคนอื่นไว้อย่างลับๆ หากเป็นเช่นนี้การรุมสกรัมครั้งนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร
นั่นเป็นเพราะหากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ยอดเขาหมื่นเทพและแดนปีศาจรวมตัวกัน ความแข็งแกร่งของทั้งสามกองทัพก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าพวกเขาเลย ถ้าพวกเขาต้องสู้กันจริงจัง ก็เป็นราคาที่ไม่มีใครจะจ่ายไหว
“หึ บทแสดงยอดเยี่ยมมากวันนี้ แต่ตำหนักเจ้าอสรพิษของข้าไม่ขอยุ่งเรื่องวันนี้ พวกเจ้าจะเล่นอะไรก็เชิญ ข้าจะดูอยู่ข้างๆ เอง”
เสียงหัวเราะแปลกประหลาดระเบิดออกมาจากผู้อาวุโสวั้นหมั่งแห่งตำหนักเจ้าอสรพิษที่ยังไม่ได้ประกาศจุดยืน เขาโบกมือนำกองทัพตนเองหลีกห่างออกไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้
แต่ท่าทางที่จะมองจากด้านข้างกลับทำให้หัวใจของเทียนเสียและคนอื่นๆ ดิ่งลง ตำหนักเจ้าอสรพิษฉลาดแกมโกงแท้จริง พวกเขาวางแผนรอดูจากด้านข้างเพื่อจับปลาใหญ่เมื่อการต่อสู้แตกหักลง
บรรยากาศที่ทำให้คนอื่นรู้สึกหายใจไม่ออกหายไปอย่างสมบูรณ์ สถานการณ์ในปัจจุบันกลับเป็นอิหลักอิเหลื่อ นั่นเพราะทุกคนรู้ว่าเมื่อทั้งสองฝ่ายมีพลังเท่ากัน โอกาสในการต่อสู้ก็จะลดลงอย่างมาก…
ผู้ที่หวังในใจว่าขั้วอำนาจสูงสุดจะเปิดศึกใหญ่ก็รู้สึกผิดหวัง เนื่องจากถ้าขั้วอำนาจสูงสุดเหล่านั้นไม่เปิดศึก แล้วพวกเขาจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อย่างไร?
บรรยากาศน่าอึดอัดใจยังดำเนินต่อไประยะหนึ่ง ก่อนที่เทียนเสียจะกล่าวเสียงขรึม “ช่างคิดนักนะไอ้พวกอาณาเขตกงเวทสวรรค์…”
สิ่งที่เขาหมายถึงก็คือสถานการณ์ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ควรถูกล้อมด้วยสามกองทัพได้เปลี่ยนเป็นการเผชิญหน้าที่น่าอึดอัดใจแทน
“ก็เหมือนกันนี่” ซิวหลัวตอบเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเหลือบมองไปที่มู่เฉินที่อยู่ด้านข้างด้วยความชื่นชม นั่นเป็นเพราะมู่เฉินเป็นคนจัดการเรื่องเจรจากับยอดเขาหมื่นเทพและแดนปีศาจ
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของซิวหลัว มู่เฉินก็ยิ้มบาง จวนยมโลกพยายามใช้ความขุ่นเคืองที่พวกเขามีกับหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาเพื่อมาจัดการ แต่ดันลืมไปว่าพวกเขาก็สามารถใช้กลยุทธ์เดียวกันได้
แต่แม้ว่าการต่อสู้จะไม่เกิดขึ้นยามนี้ อีกฝ่ายคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สงบลงง่ายๆ การปะทะของชุมนุมครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นตอนนี้
ขณะที่มู่เฉินมีความคิดเช่นนี้ หลินหมิงที่ยืนเยื้องเบื้องหลังเทียนเสียที่จ้องมองมาตลอดก็แลบเลียริมฝีปากเปิดเผยรอยยิ้มน่าขนลุก ก่อนจะย่างเท้าออกมาช้าๆ ภายใต้การจับตามองของขั้วอำนาจใหญ่น้อยในสถานที่แห่งนี้
**สำนวนดาบแทงทะลุตรงๆ แปลประมาณว่าแบบเจาะประเด็นตรงๆ
บทที่ 910 เดิมพันที่ใหญ่กว่า
เมื่อหลินหมิงเดินออกจากด้านหลังเทียนเสีย
ทุกสายตาก็พุ่งตรงไปที่เขาพร้อมกับแววตาอัดแน่นด้วยความสงสัยและหวาดเกรง
หนึ่งเดือนก่อนคงไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อหลินหมิง แต่ในวันนี้ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของเขากลับเทียบได้กับจอมยุทธ์ชั้นนำที่นี่เลยทีเดียว
นั่นเป็นเพราะในบรรดาคนที่ต่อสู้กับเขา นอกเหนือจากจินไถหลิวหลีแล้ว ทุกคนสูญเสียความสามารถในการควบคุมรัศมีจั้นยี่และกลายเป็นคนพิการไปเลย
เผชิญกับความโหดเหี้ยมนี้ ตอนนี้เขาถือเป็นคนที่เหล่าอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ในสมรภูมิหยุ่นลั้วหวาดกลัวที่สุดแล้ว
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจชัดเจนว่าหากพวกเขาไร้สมรรถภาพในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ สถานะของพวกเขาในสำนักก็จะดิ่งลง ผลลัพธ์นี้น่ากลัวนัก
ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นหลินหมิงก้าวออกมา เปลือกตาก็กระตุกถี่
ภายใต้สายตาหวาดกลัวปนโกรธแค้นของทุกคน หลินหมิงก็มายืนอยู่ข้างเทียนเสีย เขามองซิวหลัวก่อนที่จะยิ้มบาง “ผู้บัญชาการซิวหลัว ข้ากลัวว่าผลลัพธ์จากคำพูดที่โหดร้ายนี้จะทำให้พวกเราทั้งคู่บาดเจ็บล้มตาย เพราะผลที่ตามมาเจ้าคงแบกรับไม่ไหวเช่นกัน”
แววตาของซิวหลัววาบด้วยไอเย็นเยือก ขณะที่มองหลินหมิงอย่างไม่แยแส
“พวกเจ้าไหวพริบดีกับสถานการณ์ตอนนี้ที่สามารถดึงยอดเขาหมื่นเทพและแดนปีศาจมายืนอยู่ข้างเดียวกันได้และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะล้อมกรอบอาณาเขตกงเวทสวรรค์อีกต่อไป”
หลินหมิงเอี้ยวศีรษะ สายตาเป็นพิษสาดไปยังมู่เฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังซิวหลัว เขาสะบัดแขนเสื้อรัศมีจั้นยี่ก็พวยพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าจากกองทัพเบื้องหลัง ก่อร่างเป็นโซ่ผูกร่างร่างหนึ่งไว้ตรงกลาง
เมื่อมองเข้าไปใกล้ร่างนี้ก็คือปิงเหอที่หมดสติ
“แต่ถ้าพวกเจ้าต้องการช่วยเขา นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าวันนี้พวกเจ้ามีความสามารถหรือไม่!”
ซิวหลัวมองหลินหมิงอย่างเย็นชาตอบว่า “หากพวกเจ้าต้องการประกาศสงคราม อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสู้ด้วยจนถึงสุดท้าย!”
หลินหมิงหลุบตาลงขณะพูดต่อ “ข้าพูดไปแล้ว ดังนั้นอย่าขู่ข้าด้วยการต่อสู้ ตอนนี้ผู้บัญชาการปิงเหออยู่ในมือข้า ง่ายมากที่จะฆ่าเขา”
“หลังจากฆ่าแล้ว ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยากเริ่มสงคราม จวนยมโลกก็ไม่ใช่สำนักอ่อนแอที่พวกแกจะบดขยี้ได้ ถึงเวลานั้นมาดูกันสิว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย”
หลินหมิงเป็นคนเด็ดขาด เขารู้ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องจ่ายราคาแสนสาหัสหากสงครามเกิดขึ้นและอาณาเขตกงเวทสวรรค์คงยังไม่ใจเด็ดพอที่จะจ่ายราคาแบบนั้นให้กับปิงเหอเพียงคนเดียวหรอก
แววสังหารเพิ่มขึ้นในดวงตาของซิวหลัว สายตาของเขาที่มองหลินหมิง ราวกับต้องการที่จะแล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายให้สิ้นซาก ความครอบงำที่น่ากลัวของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแผ่ซ่านออกมาช้าๆ
ทว่าก่อนที่ความโกรธของซิวหลัวจะปะทุขึ้น เขาก็ถูกมู่เฉินหยุดเอาไว้ ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน ซิวหลัวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะระงับความโกรธในใจลง ขณะที่มู่เฉินก้าวไปข้างหน้า
เมื่อมู่เฉินก้าวขึ้นไป ทุกสายตาก็จ้องมองไปที่เขาพลางกระซิบกระซาบกัน
“นั่นคือผู้บัญชาการมู่แห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์รึ? เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น ปลายแถวชัดๆ”
“ตลก เจ้าไม่รู้หรือในซากอารยธรรมความตาย มู่เฉินเป็นผู้นำอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่เขาจะทำลายแขนของเซียวเทียนจากตำหนักสุดนภา แม้แต่จินไถหลิวหลีที่มีชื่อเสียงก็ยังเสียเปรียบในมือเขา”
“ว่ากันว่ามู่เฉินเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเช่นกัน…แต่ไม่รู้ว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันระหว่างเขากับหลินหมิง”
“…”
บทสนทนากระจายออกไป ทำให้ใบหน้าของเซียวเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิ่วเหยียนเขียวคล้ำ โดยเฉพาะสายตาที่จ้องมองมู่เฉิน ราวกับว่าเขาต้องการฉีกอีกฝ่ายให้เป็นชิ้นๆ
ตรงกันข้ามจินไถหลิวหลีกลับแสดงออกอย่างเรียบเฉยขณะมองไปที่มู่เฉิน นางรู้สึกคลุมเครือเมื่อเทียบกับการพบกันครั้งแรก มู่เฉินดูเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมาเช่นกัน
“หลินหมิงได้รับมรดกจากจั้นเจิ้นซือและวิธีการฝึกฝนก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ช่วงนี้คลื่นจิตของเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นศัตรูตัวฉกาจ ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะมีโอกาสชนะมากแค่ไหนเมื่อเผชิญกับเขา” แววตาของจินไถหลิวหลีวูบไหว ครั้งหนึ่งนางเคยต่อสู้กับหลินหมิง ดังนั้นนางจึงรู้ถึงความทรงพลังของอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไร ถ้าตอนนั้นนางไม่ได้รับมรดกสมบูรณ์แบบจากจักรพรรดิเทียนเจิ้น ก็เป็นไปได้ยากสำหรับนางที่จะสู้กับหลินหมิงจนถึงจุดเสมอกันได้
ที่สำคัญที่สุดคือยิ่งหลินหมิงหาอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่เป็นเป้าหมายได้มากเท่าไร คลื่นจิตของเขาก็จะเติบโตขึ้นมากเท่านั้น ซึ่งจุดนี้ทำให้จินไถหลิวหลีรู้สึกหวาดกลัว
ภายใต้บทสนทนา หลินหมิงก็หรี่ตาจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้มแขวนอยู่บนริมฝีปาก “เจ้าคืออัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่แห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์…มู่เฉินใช่ไหม?”
เผชิญหน้ากับจ้องมองที่น่าขนลุกของหลินหมิง มู่เฉินก็ยังยิ้มเรียบเฉย “พูดสิ่งที่ต้องการมา แม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าจะกลัวสำหรับราคาการทำสงคราม แต่นั่นก็เหมือนกับพวกเจ้าเช่นกัน ซึ่งบางทีเจ้าหรือแม้กระทั่งเทียนเสียก็ไม่สามารถรับผลที่เกิดขึ้นได้”
หลินหมิงยิ้มอ่อน “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ…ข้าได้ยินมาว่าในซากอารยธรรมความตาย เจ้าดักจับกองทัพหมู่ตึกเทวะเอาไว้ ซึ่งทำให้พวกเขาต้องจ่ายไปหลายเพื่อไถ่ตัวเลยใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดอีกฝ่าย ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็เปล่งแสงเย็นเยือก หลินหมิงร้ายนักคิดจะให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ใช้ยาหยุ่นลั้วเพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวประกัน เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้ทำเพื่อฉีกหน้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต่อหน้าทุกคน
ฝั่งหมู่ตึกเทวะเมื่อฟังยี่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น สายตาน่าขนลุกก็จ้องมองไปที่มู่เฉิน ขณะที่พูดอย่างสะใจพลางเค้นเสียงขึ้นจมูก “มู่เฉิน เจ้าก็มีวันที่ถูกปล้น…”
“ไม่ว่ายังไงปิงเหอก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก ถ้างั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็น่าจะแลกเขาด้วยยาหยุ่นลั้วสักสองแสนเม็ดดีไหม?” หลินหมิงหรี่ตายิ้ม
“รนหาที่ตาย!” พวกเลี่ยซันเบิกตากว้างขณะที่แผดเสียงลั่น
ซิวหลัวสีหน้าเขียวคล้ำขณะมองหลินหมิง ถ้าไม่ใช่หลินหมิงมีเทียนเสียซึ่งเป็นจอมยุทธ์ระดับเดียวกันสนับสนุนอยู่ละก็ เขาคงทะยานเข้าไปฆ่าหลินหมิงนานแล้ว
ยามนี้จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็แอบเดาะลิ้นขณะมองไปที่จวนยมโลก ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องจ่ายราคายาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดจริงๆ ความพยายามตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ถือว่าสูญเปล่าไปเลย
“จวนยมโลกคงไม่คิดที่จะยอม พวกเขาพยายามทำลายชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถช่วยหมู่ตึกเทวะล้างความอัปยศในซากอารยธรรมความตาย ซ้ำยังระรานอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ ขณะที่สร้างความสัมพันธ์อันดีกับหมู่ตึกเทวะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” ผู้นำกองทัพอื่นถอนหายใจ
แดนปีศาจและยอดเขาหมื่นเทพไม่ได้พูดอะไร พูดตามตรงพวกเขาไม่ได้เป็นพันธมิตรเหนียวแน่นกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เหตุผลที่พวกเขาก้าวเข้ามาเพื่อสนับสนุนอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เพราะความไม่พอใจ นอกจากนี้พวกเขาไม่ต้องการเห็นหมู่ตึกเทวะและจวนยมโลกที่พวกเขาไม่พอใจทำลายล้างอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างง่ายดาย ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะเป็นเป้าหมายต่อไปแน่นอน
ดังนั้นพวกเขายินดีที่จะช่วยเหลืออาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากไม่ต้องจ่ายราคาแพงมาก แต่ถ้าเกินขีดจำกัดพวกเขาก็ได้แต่หลบไปอยู่ด้านข้างเท่านั้นเอง
“ฮ่าๆ พวกเจ้าคิดยังไงกับเงินค่าไถ่นี้? หากพวกเจ้าไม่ต้องการจ่ายก็ไสหัวไปได้เลย แต่เมื่อไรที่หันกลับมาวิญญาณของปิงเหอก็หลุดลอยไปยมโลกแล้ว” หลินหมิงหัวเราะเบาๆ ขณะจ้องมู่เฉิน รอยยิ้มน่าขนลุกผุดบนริมฝีปากบาง
แน่นอนเช่นเดียวกับความคิดของผู้นำกองทัพอื่นๆ คาดไว้ พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะจ่ายเงินค่าไถ่ที่แพงเช่นนี้ แต่ถ้าพวกเขาหันตัวกลับจริงๆ หลินหมิงก็มีวิธีมากที่จะทำให้ชื่อของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เหม็นบูดขึ้นมา
ม่านตาดำของมู่เฉินเย็นชาลงขณะที่เหลือบมองหลินหมิงก่อนจะถอนสายตา ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ส่งเสียงสอดแทรกคลื่นหลิงไปยังผู้บัญชาการคนอื่น
ตั้งแต่วินาทีที่พวกเขามาถึงเทือกเขากู่ไห พวกเขาก็อยู่ในกับดักของจวนยมโลกแล้ว หากพวกเขาหันหลังกลับไปตอนนี้จะเป็นการย่ำยีชื่อเสียงอาณาเขตกงเวทสวรรค์ใหญ่หลวง ซึ่งเป็นสิ่งที่จวนยมโลกยินดีที่จะเห็น
พวกเขาตกอยู่ในความเสียเปรียบตั้งแต่ปิงเหอถูกจับไป นี่เป็นการสูญเสียตั้งแต่เริ่มคิด ดังนั้นไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะคว่ำโต๊ะ
ด้านหลังมู่เฉิน เมื่อพรรคพวกได้ยินเสียงมู่เฉินใบหน้าที่โกรธแค้นก็สงบลง แต่ยังมีความกังวลเคลือบอยู่บนใบหน้า นั่นเป็นเพราะการตัดสินใจของมู่เฉินค่อนข้างอันตราย
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาจะไปทางไหนก็ตกอยู่ในหลุมดักของอีกฝ่าย
ดวงตาของซิวหลัวกะพริบก่อนที่จะพยักหน้า “มู่เฉินตราบใดที่มั่นใจก็จัดการเรื่องนี้ได้เลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะประสานมือให้ “ข้าจะทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”
เขาหันหลังกลับสายตาคมกล้าจ้องเขม็งไปที่หลินหมิง เมื่ออีกฝ่ายเห็นก็ยกคิ้วเบาๆ ขณะที่เอ่ยเยาะเย้ย “ทำไม? อภิปรายกันจบยัง? ช่วยบอกหน่อยว่าตัดสินใจยังไง? จะจ่ายค่าไถ่หรือไสหัวไปล่ะ?”
มู่เฉินมองหลินหมิงเผยยิ้มบาง “ยาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดรึ? แน่นอนว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าจะจ่าย!”
ฮือฮา!
เมื่อพูดออกมา ทุกกองทัพที่อยู่ที่นี่ก็ต้องตกตะลึง หมู่ตึกเทวะ แดนปีศาจ ตำหนักสุดนภาและกองทัพอื่นถึงกับอ้าปากตาค้าง พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะยอมจ่ายยาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดเพื่อแลกกับตัวปิงเหอ พวกเขาไม่ทราบถึงความสำคัญของเม็ดยานี้เหรอ? ถ้าขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเปิดออกแล้วมีเม็ดยาไม่เพียงพอที่จะทำลายผนึกแล้วประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะให้อภัยพวกเขารึ?
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่หลินหมิงก็ยังม่านตาหดเกร็งก่อนจะยิ้มอย่างมีความสุข “กล้าหาญดี ถ้างั้นช่วยส่งมอบยาหยุ่นลั้วมาหน่อย!”
“ข้าจะมอบยาหยุ่นลั้วให้แน่นอน…”
มู่เฉินมองหลินหมิงด้วยมุมปากโค้งขึ้น “แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยากเล่นนัก ทำไมเราไม่เล่นอะไรที่ใหญ่กว่านี้ล่ะ? หรือว่าจวนยมโลกเป็นแค่สวะที่รู้แค่วิธีแยกย่อยแบบพวกลูกหนู ไม่มีความกล้าพอเลย?”
แม้ว่าคำพูดของมู่เฉินจะฟังดูนิ่งเฉย แต่ก็เดือดดาลราวกับฟ้าร้อง ทำให้จอมยุทธ์จวนยมโลกปะทุความโกรธขึ้นมา ใบหน้าของหลินหมิงบิดเบี้ยว นั่นเพราะสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือคนที่เรียกเขาว่าเป็นคนไร้ชื่อ แม้ว่าจะเป็นความจริง แต่ก็เป็นเพราะเขายืนหยัดจนก้าวขึ้นเป็นจั้นเจิ้นซือ เพื่อวันนี้เขาต้องกล้ำกลืนความอัปยศอดสู ดังนั้นหลังจากที่เขาเป็นจั้นเจิ้นซือ เขาไม่มีทางอดทนต่อความอัปยศดังกล่าวได้อีก!
หลินหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะมองมู่เฉิน รอยยิ้มที่มุมปากเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม “ไม่ว่าแกจะเล่นอะไร จวนยมโลกของข้าจะเล่นกับแกด้วย!”
มาถึงจุดนี้ก็เท่ากับมู่เฉินตัดเส้นทางการถอยไปของจวนยมโลก หากพวกเขาไม่เห็นด้วยแล้ว คนที่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเขาในวันนี้ก็คือพวกเขาเอง!
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของหลินหมิง แววตาก็คมกล้าขึ้นขณะเงยหน้าชี้ไปที่หลินหมิง ทุกคำพูดดังก้องราวกับฟ้าร้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของทุกคน
“เจ้ากับข้าสู้กัน คนแพ้จะต้องจ่ายยาหยุ่นลั้วสี่แสนเม็ด!”
ทันทีที่เขาพูด จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนก็สูดอากาศเย็นเข้าปาก
มู่เฉินใจเด็ดอย่างแท้จริงที่จะผลักดันให้ทั้งสองไม่มีทางถอย
คราวนี้จวนยมโลกเตะแผ่นโลหะของจริงเข้าแล้ว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น