หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 901-908

 บทที่ 901 สิ้นสุดการฝึก

เหนือจุดจื้อจุนไห่


ร่างดวงจิตของมู่เฉินลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่มาจากพัฒนาการที่ดีของคลื่นจิต


พูดโดยทั่วไป คลื่นจิตของเขาจะอ่อนแออย่างยิ่งเมื่อแยกออกเป็นสองส่วน แต่ความจริงครั้งนี้ทำให้เขาประหลาดใจ เทียบกับเดือนที่ผ่านมาไม่เพียงคลื่นจิตจะไม่อ่อนแอลงเท่านั้น กลับเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นอีกต่างหาก


“ดูเหมือนหนึ่งเดือนในการสร้างภาพคุกสายฟ้าจะเพิ่มความเข้มข้นของคลื่นจิตมากเลยทีเดียว” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นดวงตาก็อดเปล่งแสงไม่ได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจประโยชน์ยิ่งใหญ่ของทักษะการฝึกฝนคลื่นจิตแล้ว


เมื่อก่อนมู่เฉินไม่มีวิธีที่จะพัฒนาคลื่นจิต เขาพึ่งพาโอกาสบางอย่างเพื่อเสริมความเข้มแข็งเท่านั้น นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นก็ไม่ชัดเจน เพียงแต่ว่าเป็นการสะสมทีละน้อย ทำให้คลื่นจิตของเขาแซงหน้าจอมยุทธ์ธรรมดาไป


แต่ตอนนี้หลังจากได้รับคัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่ เขาที่ทำการฝึกฝนเพียงหนึ่งเดือน คลื่นจิตก็มีพัฒนาการเทียบเท่ากับหนึ่งปีก่อนเลยทีเดียว…


“มิน่าล่ะทำไมคนทั่วไปถึงเป็นจั้นเจิ้นซือได้ยากเย็นเช่นนี้ ถ้าไม่ได้รับทักษะการฝึกคลื่นจิต ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างวิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินหมื่นลายเลย” มู่เฉินถอนหายใจขณะที่ส่ายหัว เพราะแม้ว่าเมื่อก่อนคลื่นจิตของเขาจะทรงพลัง แต่เขาก็ยังคงติดแหง็กอยู่ที่ลวดลายจั้นเหวินหมื่นลาย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ ที่คิดจะเป็นจั้นเจินซือเลย


ในเส้นทางของจั้นเจิ้นซือ การเริ่มต้นเป็นส่วนที่ยากที่สุด


“ตอนนี้ข้าเห็นภาพคุกสายฟ้าแล้ว น่าจะพอประสบความสำเร็จในการก้าวทีละขั้นของคัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่ ในอนาคตเพียงแค่ขัดเกลาคลื่นจิตให้มากก็คงสามารถดูดดึงภัยพิบัติสายฟ้า ตราบใดที่สามารถผ่านภัยพิบัติประการแรกได้ ข้าก็จะได้รับคลื่นจิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก… ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลาย แม้แต่ห้าหมื่นลายก็เป็นไปได้”


ขณะที่ความคิดแล่นในใจ เพียงแค่คิดถึงวันนั้นก็มอบความคาดหวังให้เขาแล้ว ลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลายไม่สามารถทำลายได้โดยจอมยุทธุ์มพลังจื้อจุนที่ต่ำกว่าขั้นเจ็ด หากเขาสามารถเข้าถึงลวดลายจั้นเหวินได้มากกว่าสามหมื่นลาย บางทีกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ต้องหวาดกลัวเขา


แน่นอนมู่เฉินรู้ว่าตนเองต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองยาวนาน ก่อนที่จะสัมผัสกับประสบการณ์ภัยพิบัติประการแรก ทว่าส่วนที่ยากที่สุดในการสร้างโครงร่างเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของเวลาที่จะนำพาเขาผ่านภัยพิบัติไป


การเป็นจั้นเจิ้นซือทำให้มู่เฉินมีความมั่นใจมากขึ้น ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นจั้นเจิ้นซือ เขายังเป็นหลิงเจิ้นซืออีกด้วย ศาสตร์สองแขนงนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกันในสมัยโบราณ ดังนั้นจะต้องมีจอมยุทธ์ที่ศึกษาศาสตร์ทั้งสองในอดีต ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นยอดยุทธ์โดดเด่นกระทั่งในสมัยโบราณ


ฮา


มู่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับคลื่นพลุ่งพล่านในหัวใจ จากนั้นด้วยความคิดสายหนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าของจุดจื้อจุนไห่ เจดีย์สีดำยังคงตั้งตระหง่านนิ่งเงียบต่อหน้าเขา


เปลวไฟสีทองสว่างไสว ขณะที่กลั่นควันสีฟ้าอมเขียวที่เข้ามาในเจดีย์อย่างไม่สิ้นสุด คลื่นหลิงเทลงมาจากเจดีย์พร้อมกับเสียงดังกึกก้องพล่านเข้าไปในจุดจื้อจุนไห่ที่อยู่เบื้องล่าง


ช่วงเวลาหนึ่งเดือน เจดีย์ฝูถูทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อกลั่นแก่นคลื่นหลิงในเม็ดยาหยุ่นลั้ว กลั่นโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย มู่เฉินรู้สึกได้ว่าเทียบกับเดือนก่อนคลื่นหลิงของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก ระดับของความเข้มข้นในจุดจื้อจุนไห่ก็เพิ่มขึ้นด้วย


“คลื่นหลิงระดับนี้… ไม่ไกลจากระดับจื้อจุนขั้นห้าแล้ว”


ประกายแสงวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน ขณะที่เขาสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ถึงปลายสุดของระดับจื้อจุนขั้นสี่แล้ว ซึ่งห่างจากขอบเขตของขั้นห้าอีกเพียงก้าวเดียว!


“แต่ถึงจะกลั่นยาหยุ่นลั้วสองหมื่นเม็ดหมดลง ก็กลัวว่ายังไม่สามารถบรรลุในก้าวสุดท้ายได้” ความคิดวนเวียนอย่างรวดเร็วในใจของมู่เฉิน อึดใจจิตใจก็เคลื่อนไหวออกจากสภาวะการฝึกฝน ร่างเขาที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาในถ้ำก็เปิดตาขึ้นอย่างช้าๆ


ควันสีฟ้าอมเขียวหนาแน่นในถ้ำบางเบาลงมาก เนื่องจากถูกมู่เฉินดูดซับและกลั่น ตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมาเขาค่อยๆ กินยาหยุ่นลั้วสองหมื่นเม็ดเข้าไปจนหมด


มู่เฉินจ้องมองควันสีฟ้าอมเขียวที่จางลง จากนั้นก็จมลงในความคิดชั่วครู่ ก่อนที่จะตบกำไลเฉียนคุนบนข้อมือ ทันใดนั้นกระแสน้ำก็ไหลออกมา กระจายไปทั่วถ้ำ


กระแสน้ำที่พวยพุ่งออกมาก็คือของเหลวจื้อจุนจำนวนนับไม่ถ้วน กะคร่าวๆ น่าจะมีอย่างน้อยแสนหยด


ตอนนี้ชัดว่ามู่เฉินมีฐานะดีกว่าช่วงแรกที่เพิ่งเข้ามาในภูมิภาคทางเหนือมาก หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ปริมาณของเหลวที่มีครอบครองก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าจะใช้ไปพอสมควรในช่วงปีที่ผ่านมา แต่เขาก็ยังคงสะสมส่วนหนึ่งไว้สำหรับตัวเขาเพื่อช่วยในการมีพัฒนาการก้าวสุดท้ายนี้


ด้วยของเหลวจื้อจุนแสนหยดก็น่าจะเพียงพอสำหรับมู่เฉินที่จะบรรลุในครั้งนี้แล้ว


ครืน!


มู่เฉินวาดกระบวนท่าในมืออย่างรวดเร็ว เขาเปิดปากขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นของเหลวจื้อจุนก็หลั่งไหลเข้าไป


ท้องฟ้าแยกออกในจุดจื้อจุนไห่อีกครั้ง จากนั้นสายธารก็ตกลงมาราวกับน้ำตก ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในเจดีย์


ครืนนน!


พร้อมกับคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นจากของเหลวจื้อจุน ความเร็วในการกลั่นของเจดีย์ก็เริ่มเพิ่มขึ้นตาม ขณะที่เปลวเพลิงสีทองสว่างไสวก็กลั่นคลื่นหลิงจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเทลงในจุดจื้อจุนไห่ เปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงของมู่เฉิน


มู่เฉินมองภาพเบื้องหน้าก็นั่งลงบนท้องฟ้า ตราประทับสร้างขึ้นในฝ่ามือ เขาหมุนเวียนวิชามหาเจดีย์ ทันใดนั้นเจดีย์ฝูถูก็เริ่มสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น มังกรจำนวนมากบินฉวัดเฉวียนออกมาจากเจดีย์ไม่สิ้นสุด…


จุดจื้อจุนไห่โยกคลอนตามด้วยเสียงกระหึ่ม ขณะที่คลื่นหลิงขนาดใหญ่กลิ้งตัวบนผิวน้ำรุนแรง ชั้นของคลื่นซ้อนทับกันพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า


ภาพนี้ราวกับว่ากำลังพยายามทำลายตรวนไปให้ถึงระดับที่สูงขึ้น


เส้นทางการเป็นยอดยุทธ์ต้องไร้ความหวาดกลัวต่ออันตรายทุกรูปแบบ โดยไม่สนใจเพื่อพาตนเองบรรลุถึงจุดสูงสุดให้ได้ เพราะมีเพียงวิธีนี้พวกเขาถึงจะโดดเด่นท่ามกลางจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนในโลก กลายเป็นหนึ่งเดียวในมหาพันภพ!


ดังนั้นขณะที่มู่เฉินเริ่มรวบรวมสมาธิกลั่นยาหยุ่นลั้วและของเหลวจื้อจุนอย่างเต็มกำลัง เวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปอีกครั้ง…


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


ในเทือกเขาห่างไกล เสียงหวีดหวิวดังออกมาจากทุกทิศทาง ขณะที่ร่างแสงนับไม่ถ้วนพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปไกล ในเวลาเดียวกันร่างแสงจำนวนเดียวกันก็พุ่งมาจากระยะไกลพร้อมกับรัศมีรุนแรง


เทือกเขานี้เป็นสถานที่พักของหน่วยรบทั้งห้าแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ อันที่จริงพวกเขาไม่คิดเลยว่าการฝึกฝนของมู่เฉินจะกินเวลานานถึงหนึ่งเดือน


ในช่วงเดือนที่ผ่านมาพวกเขาตั้งมั่นอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องมู่เฉิน ในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างการฝึกฝนของเขา แต่โชคดีหลังจากที่พวกเขาเดินทางออกจากซากอารยธรรมความตาย พวกเขาก็โกยยาหยุ่นลั้วมาได้เพียงพอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ประสบความสูญเสียใหญ่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา


ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิ พวกผู้บัญชาการก็ผลัดกันออกไปจากที่พักเป็นครั้งคราวเพื่อมองหาซากอารยธรรมอื่นเพื่อช่วยละลายความเบื่อหน่ายให้คลายลงได้บ้าง


ขณะที่พวกเขาออกไปก็ยังแอบไปสืบข่าวในสมรภูมิหยุ่นลั้วด้วย เห็นได้ชัดว่าเมื่อเวลาผ่านไปความโหดร้ายของสงครามล่าก็ลุกลามเป็นวงกว้าง


เพียงเวลาหนึ่งเดือนก็เกิดการต่อสู้โหดร้ายนับไม่ถ้วนในสมรภูมิหยุ่นลั้ว บางขั้วอำนาจที่อ่อนแอถูกทำลายล้างหรือทิ้งไว้เป็นซากในสนามรบโบราณนี้ ทั่วดินแดนโหดร้ายมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก


ในบรรดาขั้วอำนาจเหล่านั้นมีกระทั่งสำนักชั้นสูงที่จ่ายราคามหาศาลจนต้องถอยออกจากสนามรบ


แน่นอนว่า ยิ่งกว่านั้นความขัดแย้งก็ทวีความรุนแรงขึ้นขณะที่เวลาผ่านไป แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดก็เริ่มมีการปะทะกัน


ทุกคนรู้สึกได้ว่าสงครามล่าตอนนี้มาถึงจุดที่บ้าคลั่งแล้ว… แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดก็มีความเสี่ยงที่จะถูกทำลายล้าง!


บนยอดเขา


ร่างเพรียวบางของจิ่วโยวยืนท้าสายลมที่พัดเข้ามา สายตานางจับจ้องอยู่ที่ยอดเขาซึ่งอยู่ไม่ไกล ที่นั่นเป็นถ้ำที่ปิดแน่นหนา ซึ่งมู่เฉินกำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่


นับตั้งแต่มู่เฉินเข้าไปก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย หากไม่ใช่ว่าพวกนางยังสามารถรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงจากด้านใน พวกนางอาจคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการฝึกฝนของมู่เฉินไปแล้ว


หนึ่งเดือนไม่ใช่เวลาสั้นๆ ในสงครามล่า หากพวกเขาไม่ได้เก็บเกี่ยวเพียงพอในซากอารยธรรมความตาย พวกเขาคงจะถูกทิ้งไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว


ฟิ้ว!


เสียงลมอัดอากาศดังก้อง ขณะที่ร่างจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นข้างจิ่วโยว พวกเขาก็คือผู้บัญชาการคนอื่นๆ แต่ละคนมองสถานที่ฝึกของมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “ผู้บัญชาการมู่ยังไม่มีทีท่าจะออกมาอีกเรอะ?”


จิ่วโยวส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น เห็นได้ชัดว่าเวลาในการเข้าสมาธิของมู่เฉินเกินความคาดหมายไปมาก


“ฮ่าๆ เข้าสมาธินานขนาดนี้ คงเก็บเกี่ยวดีงามแน่ ดูท่าหลังจากการเข้าสมาธิครั้งนี้พลังของผู้บัญชาการมู่จะได้รับการส่งเสริมขึ้นอย่างมากแน่” เสี่ยยิงยิ้มพูดจากด้านข้างโดยไม่ได้ร้อนใจอะไร


“แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาเราจะไม่ได้เก็บเกี่ยวมากมาย แต่ก็ถือว่าพักผ่อนเต็มที่และหลีกเลี่ยงบรรยากาศที่น่ากลัวในสมรภูมิหยุ่นลั้ว ไม่งั้นถ้าเราพบกับหมู่ตึกเทวะที่โหดขึ้นในตอนนี้ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน” หลิงเจี้ยนเอ่ย


เมื่อได้ยินคำว่าหมู่ตึกเทวะ สีหน้าของเหล่าผู้บัญชาการก็เย็นกระด้างขึ้น ครึ่งเดือนก่อนหมู่ตึกเทวะได้ปะทะกับยอดเขาหมื่นเทพซึ่งเป็นอีกหนึ่งขั้วอำนาจสูงสุดเหมือนกัน เพื่อที่จะแย่งชิงซากอารยธรรมระดับหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้ทุกคนตกตะลึง


อัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของยอดเขาหมื่นเทพพ่ายแพ้ให้กับจินไถหลิวหลีแห่งหมู่ตึกเทวะ ไม่เพียงแต่เขาได้รับบาดเจ็บหนัก กระทั่งกองทัพชั้นยอดครึ่งหนึ่งก็ล้มหายตายจากในการต่อสู้ มิหนำซ้ำยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่สิ้นชีพจากการปะทะกันครั้งนี้ ถือเป็นการสูญเสียที่น่าสลดใจนัก…


การต่อสู้ครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงให้กับจินไถหลิวหลีอย่างสมบูรณ์ ยิ่งใหญ่กว่ากระทั่งฟังยี่ที่เป็นเจ้าบันทึกมังกรหงส์ก็ดูหมองลงหลายส่วน


“จินไถหลิวหลีน่าจะบรรลุเป็นจั้นเจิ้นซือแล้ว” จิ่วโยวกล่าวอย่างเคร่งขรึม หากไม่เป็นเช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย


สีหน้าของคนที่เหลือเคร่งเครียดลง การเผชิญหน้ากับจั้นเจิ้นซือที่ควบคุมกองทัพชั้นยอด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังกล้วจนลนลาน


“มีข่าวว่าช่วงนี้ฟังยี่ค้นหาร่องรอยของพวกเรา ดูเหมือนว่าพวกเขาอยากแก้แค้น เราเก็บตัวกันก่อนก็ดี” จิ่วโยวพูดเสียงเบาๆ “รอให้มู่เฉินออกจากสมาธิ เราก็สามารถเคลื่อนพลไปร่วมกับหน่วยรบอื่นพื่อรอคำสั่งท่านประมุข”


คนอื่นๆ พยักหน้าเป็นความจริงที่การเคลื่อนไหวของหมู่ตึกเทวะตอนนี้ดุร้ายยิ่งนัก บวกกับจินไถหลิวหลีซึ่งเป็นจั้นจิ้นซือ พวกเขาคงต้องรอจนกว่ามู่เฉินจะออกมาก่อนถึงจะไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้


ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่สามารถต้านทานคงหอกคมดาบของหมู่ตึกเทวะได้


ตึง!


ขณะที่ความคิดไหลเวียนอยู่ในหัว ทันใดนั้นผืนดินก็สั่นสะเทือน ทำให้เหล่าผู้บัญชาการตกใจไป พวกเขารีบเงยหน้าขึ้นมองดูปากถ้ำที่ปิดสนิทด้วยสายตาประหลาดใจและดีใจ


พวกเขารู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงยิ่งใหญ่หลั่งไหลออกมาจากถ้ำคล้ายกับการระเบิดของภูเขาไฟในเวลานี้!


ชัดว่าคลื่นหลิงนี้เป็นของมู่เฉิน!


หลังจากอยู่ในสมาธิหนึ่งเดือนเต็ม ในที่สุดเขาก็มีการเคลื่อนไหวแล้ว!


บทที่ 902 วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ

ครืน!


ทันใดนั้นเทือกเขาที่อยู่ห่างออกไปก็สั่นสะเทือน โดยเฉพาะตรงต้นกำเนิดแรงสั่นสะเทือนโยกคลอนมากจนกระทั่งหินน้อยใหญ่ร่วงหล่นลงมา ทำให้เกิดหลุมบนพื้นดิน


เมื่อเหล่าผู้บัญชาการเห็นภาพนี้ใบหน้าก็ฉายไปด้วยความสุข นั่นเป็นเพราะเวลาเดียวกับเกิดการสั่นสะเทือน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงกระเพื่อมไหวเกิดขึ้นฉับพลันในถ้ำ


มู่เฉินคือต้นกำเนิดของแรงสั่นสะเทือนนี้


หลังจากหนึ่งเดือนที่อยู่ในสมาธิ คลื่นหลิงของมู่เฉินก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของระลอกคลื่น ก็แรงกล้ายิ่งกว่าเมื่อเดือนที่แล้วเสียอีก


“ในที่สุดเขาก็ออกมาสักที” เลี่ยซันและคนอื่นๆ รู้สึกโล่งใจมาก ถ้ามู่เฉินยังไม่ออกมา พวกเขาคงต้องเข้าไปปลุกเขาแล้ว ไม่งั้นพวกเขาก็จะล่าช้าในสงครามล่า


ตึง!


ความถี่ของการสั่นสะเทือนเพิ่มขึ้น จนสุดท้ายรอยแตกก็กระจายออกมาครอบคลุมภูเขาทั้งลูกในเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ


ในส่วนลึกถ้ำ การไหลเวียนของคลื่นหลิงทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อถึงขีดสุดก็เหมือนกับการปะทุของภูเขาไฟ


ปัง!


ยอดเขาระเบิด เสาแสงคลื่นหลิงหลายร้อยจั้งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทะลุผ่านชั้นเมฆ เสาแสงนี้สามารถมองเห็นได้ไกลไปหลายร้อยลี้เลยทีเดียว


ขณะที่เสาแสงตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ระลอกคลื่นหลิงก็กระจายออกไป ทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือนไปพร้อมกัน


จิ่วโยวและคนที่เหลือจ้องที่เสาแสงนิ่ง ทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องหดดวงตา ก่อนที่จะเห็นร่างสูงโปร่งอยู่ภายในเสาแสง คลื่นหลิงน่าอัศจรรย์กำจายออกมาจากร่างเขา


“คลื่นหลิงนี่…”


สีหน้าเหล่าผู้บัญชาการอัดแน่นด้วยความตื่นตะลึง “ผู้บัญชาการมู่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าด้วยรึ?!”


แต่เดิมพวกเขาคิดว่ามู่เฉินเข้าสมาธิเพื่อบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะก้าวข้ามจากขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เป็นขั้นห้าในเวลาเพียงเดือนเดียวด้วย!


แม้ว่าจะเป็นเพียงความแตกต่างของตัวเลขระหว่างขั้นสี่และห้า แต่ก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ใครก็ตามที่บรรลุไปถึงขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็จะมีคุณสมบัติได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ ขณะที่ขั้นสี่ได้แค่ปกครองเมือง ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับโลกเลยทีเดียว


จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าชิงตำแหน่ง แม้ว่ามู่เฉินจะเคยพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยความพลังที่มีแล้วก็ตาม


ไม่ว่าขั้วอำนาจใดในภูมิภาคทางเหนือ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าจะได้รับการปฏิบัติด้วยมารยาทสูง


“มิน่าล่ะเขาถึงเข้าสมาธินานขนาดนี้” หลิงเจี้ยนถอนหายใจ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าหนึ่งเดือนยาวนานเลย นั่นเป็นเพราะตอนที่พวกเขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นห้าเวลาที่ใช้ไปไม่ใช่แค่ครึ่งเดือน


ภายใต้คำอุทาน เสาแสงคลื่นหลิงก็อ่อนจางลงแล้วสลายไป ร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ผมสีดำของเขาปลิวไสว ทำให้เขาดูอิสระและหล่อเหลายิ่งขึ้นไปอีก


เวลาเดียวกันดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดออกมองภูเขาเขียวชอุ่มและพรรคพวกตรงหน้าซึ่งไม่ได้เจอกันมานาน ความรู้สึกผ่อนคลายเกิดขึ้นในใจ


แม้ว่าเป็นเดือนเดียว แต่เนื่องจากการฝึกคลื่นจิตได้ ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าหลายปีผ่านไป


มู่เฉินระงับอารมณ์พลุ่งพล่านไว้ในใจ ก่อนจะทะยานไปบนยอดเขาที่พวกจิ่วโยวยืนอยู่ เขาประสานมือพูดด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษ “ขอโทษที่ทำให้ทุกคนรอนาน”


ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองน่าจะใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนสำหรับการเข้าสมาธิครั้งนี้ แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา ถ้าเป็นเวลาอื่นคงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสงครามล่าซึ่งอันตรายมาก อาจมีหลายสิ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา


เมื่อได้ยินคำพูดมู่เฉิน เหล่าผู้บัญชาการก็ยิ้มพลางโบกมือ จากนั้นถามด้วยความระมัดระวัง “ผู้บัญชาการมู่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้วใช่ไหม?”


แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกถึง แต่ก็ยังต้องการคำยืนยัน


มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม


เมื่อทุกคนได้รับการยืนยัน พวกเขาก็ถอนใจอย่างไม่สามารถควบคุมได้อีกครั้ง เพราะตอนที่มู่เฉินเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเพิ่งบรรลุระดับจื้อจุนเท่านั้น กระนั้นเขากลับบรรลุระดับจื้อจุนขั้นห้าในเวลาสองปี ช่างเป็นความเร็วในการฝึกฝนที่น่าตกใจ


ถ้าเป็นจอมยุทธ์คนอื่นคงยากที่จะไปถึงขั้นสองในเวลาแค่สองปีด้วยซ้ำ ทว่ามู่เฉินกลับราวกับขี่ม้าวิ่งไปไกลทิ้งเหล่าอัจฉริยะหลายคนไว้เบื้องหลัง


“แล้วตอนนี้เจ้านับเป็นจั้นเจิ้นซือแล้วหรือยัง?” จิ่วโยวกะพริบตาขณะยิ้มถามคำถามสำคัญมากกว่าคนอื่น แม้ว่าระดับจื้อจุนขั้นห้าจะทรงพลัง แต่ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ในแขนเสื้อของมู่เฉิน ก็ไม่ได้มีอะไรที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าจะสามารถต่อกรกับเขาได้ มากกระทั่งมู่เฉินกล้าเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกด้วย


แต่เห็นได้ชัดว่าในสถานการณ์ปัจจุบันพลังของจั้นเจิ้นซือแข็งแกร่งกว่าขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าของมู่เฉินมาก ซึ่งสามารถเห็นได้จากการเคลื่อนไหวล่าสุดของจินไถหลิวหลี ยอดเขาหมื่นเทพก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุด มีจอมยุทธ์ทรงพลังมากมาย แต่ในการเผชิญหน้ากับหมู่ตึกเทวะครั้งนี้ไม่เพียงแต่อัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก กระทั่งเหล่านักรบยังได้รับบาดเจ็บจำนวนมากจนถึงจุดที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกจบชีวิตในการต่อสู้ด้วยซ้ำ


ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่จินไถหลิวหลีบรรลุการเป็นจั้นเจินซือแล้ว ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าจั้นเจินซือทรงพลังเพียงใดในสงครามล่า


เมื่อได้ยินคำถามของจิ่วโยว เหล่าผู้บัญชาการก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสงสัยมากเกี่ยวกับคำถามนี้เช่นกัน


แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าจะทรงพลัง แต่ในศึกใหญ่อย่างสงครามล่า ชัดเจนว่าไม่มีผลกระทบใดๆ มีเพียงจั้นเจิ้นซือเท่านั้นที่สามารถรวมหน่วยรบชั้นยอดของกองทัพสูงสุดเพื่อปลดปล่อยความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้น


มู่เฉินมองดวงตาวิบวับเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มบาง เขาไม่ได้พูด แต่กลับเบนสายตาไปที่หน่วยรบทั้งห้าในเทือกเขา


ตู้ม!


พวกจิ่วโยวจ้องไปที่ดวงตาของมู่เฉิน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าดวงตาของอีกฝ่ายเปล่งประกายขึ้น พวกเขารู้สึกถึงพายุที่มองไม่เห็นระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉินฉับพลัน


ครืน!


พายุไร้รูปร่างปะทุขึ้น ทำให้มิติกระเพื่อมเป็นลอน สีหน้าของเหล่าผู้บัญชาการเปลี่ยนแปลงรุนแรง นั่นเพราะพวกเขารู้สึกเจ็บที่หว่างคิ้วจากพลังที่มองไม่เห็น


พลังงานนี้ไม่มีรูปไม่มีร่างเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก


“นี่เป็นพลังงานเอกลักษณ์ของจั้นเจิ้นซือเรอะ?” สายตาของพวกจิ่วโยววูบไหว พวกเขาเป็นนักรบที่มีประสบการณ์มากมาย ดังนั้นจึงเป็นปกติที่พอจะรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือ ว่ากันว่าจั้นเจิ้นซือสามารถพึ่งพาพลังเอกลักษณ์นี้เพื่อรวบรวมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพได้


แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับพลังนี้ แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังตรงหน้านี้ของมู่เฉินแข็งแกร่งกว่าในอดีตหลายเท่า


พลังที่มองไม่เห็นก็คือพลังจิตของมู่เฉิน


มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า เอามือไพล่หลัง เรือนผมพลิ้วสยายในสายลม ขณะที่คลื่นจิตกวาดออกก็พุ่งเข้าไปในหน่วยรบทั้งห้า ในเวลาเดียวกันเหล่านักรบก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องอยู่ในใจ


“เร้ารัศมีจั้นยี่ของพวกเจ้าออกมา”


น้ำเสียงสงบราบเรียบ แต่บรรจุไปด้วยเกียรติภูมิที่อธิบายไม่ได้ กระทั่งพวกเขายังลืมที่จะขอคำยืนยันจากผู้บัญชาการ ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่ออกมาโดยไม่รู้ตัว


ครืน!


รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพวยพุ่งขึ้นไปถึงท้องฟ้าจากบนเทือกเขา ลอยอยู่เหนือหน่วยรบทั้งห้า ดวงตาของมู่เฉินเปล่งประกายขณะที่จ้องมองรัศมีจั้นยี่ห้าสายที่พรั่งพรู จากนั้นเขาก็โบกแขนเบาๆ


ตู้ม! ตู้ม!


มหาสมุทรกว้างใหญ่ของรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าส่งเสียงหวีดหวิวทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น วิญญาณสงครามขนาดใหญ่ทั้งห้าก่อตัวขึ้นเหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่นี้


โฮก!


วิญญาณสงครามทั้งห้ายืนอยู่บนท้องฟ้า เสียงคำรามถึงกับเขย่าชั้นฟ้าเลยทีเดียว ลวดลายจั้นเหวินเปล่งประกายบนร่างพวกมัน คลื่นความผันผวนที่ปล่อยออกมาทรงพลังกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า


พวกจิ่วโยวตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ ในอดีตแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถสร้างวิญญาณสงครามจากทั้งห้าหน่วยรบได้ แต่ก็ไม่มีทางทำให้เป็นไปตามธรรมชาติเหมือนในเวลานี้


เมื่อครู่เขาโบกมือวูบเดียวเพื่อก่อร่างวิญญาณสงครามเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รู้เรื่องศาสตร์รัศมีจั้นยี่ แต่พวกเขาก็บอกได้ว่าวิญญาณสงครามทั้งห้าแข็งแกร่งกว่าในอดีตหลายขุม


มู่เฉินจ้องมองวิญญาณสงครามทั้งห้า จากนั้นมือทั้งสองก็สร้างตราประทับทันที


“รัศมีจั้นยี่รวมตัว!”


ตู้ม!


วิญญาณสงครามขนาดใหญ่ทั้งห้าลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและปะทะกัน ช่วงจังหวะนั้นรัศมีจั้นยี่ที่ป่าเถื่อนก็กระจายออกในรูปแบบคลื่นกระแทกกวาดหายนะออกไป ทำให้เกิดรอยแตกขนาดใหญ่บนเทือกเขารอบข้างจากแรงสั่นสะเทือน


พวกจิ่วโยวได้แต่จ้องมองวงแสงระยิบระยับของรัศมีจั้นยี่ที่อัดแน่นด้วยรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระเพื่อมอยู่ภายใน


มู่เฉินเคยใช้วิธีนี้ในอดีต แต่ตอนนั้นแทบกระอักกว่าจะสำเร็จ


ครืน!


วงแสงรัศมีจั้นยี่กระเพื่อมไหวก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนบนท้องฟ้า ภายใต้สายตาตกตะลึงของพวกจิ่วโยว มือขนาดใหญ่พันจั้งก็ก่อตัวขึ้นในวงแสงอย่างช้าๆ มือนั้นเต็มไปด้วยลวดลายจั้นเหวินหนาแน่น ความผันผวนน่าสะพรึงกลัวกระจายออกมา ความผันผวนของรัศมีจั้นยี่นี้ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างเลี่ยซันยังมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรง


ฮา


มู่เฉินมองมือขนาดใหญ่ในวงแสงก็พ่นอากาศออกมาเบาๆ ก่อนที่จะระงับความตื่นเต้นในหัวใจ


นั่นเป็นเพราะจำนวนลวดลายจั้นเหวินในมือใหญ่เกินหมื่นลายแล้ว!


ซึ่งหมายความว่าในที่สุดมู่เฉินก็บรรลุการสร้างลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลายอย่างเป็นทางการ เขาก้าวเข้าสู่การเป็นวั่นเหวินจั้นเจินซือเต็มตัวแล้ว


บทที่ 903 สมรภูมิหยุ่นลั้วที่จลาจล

บนเทือกเขาห่างไกล


เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ขึ้น ที่มาของแรงสั่นสะเทือนก็คือมือขนาดใหญ่พันจั้งที่สร้างจากรัศมีจั้นยี่บนท้องฟ้านั่นเอง


มือใหญ่โตราวกับมือยักษ์โบราณที่ปรากฏมาจากห้วงมิติ รัศมีจั้นยี่น่าขนพองสยองเกล้าแผ่กระจายออกไปจากลวดลายจั้นเหวินเหล่านั้น ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในมิติ


เมื่อมองมือใหญ่โตที่เต็มไปด้วยลวดลายจั้นเหวิน กระทั่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังแบบเลี่ยซันก็ยังอดดวงตาหดเกร็งไม่ได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม


นั่นเพราะพลังงานที่เขาสัมผัสได้จากมือยักษ์ทำให้กระทั่งตัวเขายังเกิดความรู้สึกหวาดกลัว หากเขาต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถต้านทานได้เลย


ถ้าขนาดเลี่ยซันยังอดตกตะลึงไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผู้บัญชาการที่เหลือ พวกเขามีพลังน้อยกว่า ดังนั้นอันตรายที่พวกเขารู้สึกจากมือนั่นรุนแรงยิ่งกว่าหลายเท่า


“นี่คือพลังของจั้นเจิ้นซือเรอะ? น่ากลัวจริงๆ” จิ่วโยวพูดพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจินไถหลิวหลีสามารถนำหมู่ตึกเทวะเข้าโจมตียอดเขาหมื่นเทพจนราบเป็นหน้ากลองทั้งที่ทั้งสองก็เป็นขั้วอำนาจสูงสุดเช่นกัน ที่แท้พลังของจั้นเจิ้นซือไปไกลเกินกว่าอัจฉริยะแห่งศาสตร์รัศมีจั้นยี่มากเลยทีเดียว


อย่างน้อยในสายตาของพวกเขา รัศมีจั้นยี่ที่มู่เฉินใช้ในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อเดือนก่อนหลายเท่า ซึ่งเปรียบเทียบแล้วทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย


บนท้องฟ้ามู่เฉินจ้องไปที่มือใหญ่รัศมีจั้นยี่ก็สะบัดแขนเสื้อ มือใหญ่กระจายตัวเป็นประกายแสง รัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ที่ปกคลุมขอบฟ้าก็เริ่มสงบลง ก่อนที่จะลอยหวือกลับลงไปในที่หน่วยรบทั้งห้า


ถึงรัศมีจั้นยี่จะสงบแล้ว แต่ระลอกคลื่นในหัวใจของมู่เฉินไม่ได้สงบลงตาม ขณะที่เหล่าผู้บัญชาการพากันตกใจกับความแข็งแกร่งของจั้นเจิ้นซือ ตัวเขาเองก็ตกใจไม่ต่างกัน


นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงความแตกต่างที่น่ากลัวของจำนวนลวดลายจั้นเหวินที่น้อยกว่าและมากกว่าหนึ่งหมื่นลาย เขายืนยันได้ว่าถ้าเขาเจอศัตรูในอดีต เขาอาจสามารถฆ่าอีกฝ่ายด้วยการสะบัดมือครั้งเดียว


ลวดลายจั้นเหวินเก้าพันลายกับหนึ่งหมื่นลาย อาจถูกมองว่าเป็นความแตกต่างเพียงจำนวนตัวเลขหนึ่งพันลายเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งสองระดับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


ยามนี้มู่เฉินมีความมั่นใจว่าด้วยพลังลวดลายจั้นเหวินหมื่นลาย ในขุมพลังจื้อจุนขั้นหก เขาจะไม่ต้องกลัวใครอีกแล้ว


จั้นเจินซือเป็นศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นเส้นทางเลือกก็ยังน่าตื่นตาอย่างยิ่ง ในมุมหนึ่งก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าศาสตร์ขุมพลังหลิงเลย เพียงแต่ว่ามีความแตกต่างในรากฐานของศาสตร์ทั้งสอง จอมยุทธ์ขุมพลังหลิงฝึกฝนร่างกาย ทำให้ร่างกายมีพลังที่น่ากลัวผ่านทางฟ้าดิน ขณะที่จั้นเจินซือกลับยืมพลังจากกองทัพ ใช้ปริมาณในการเอาชนะประสิทธิภาพ


ไม่มีอะไรดีกว่ากัน ทั้งสองศาสตร์แค่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น


แน่นอนว่า ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวของจั้นเจิ้นซือก็คือความต้องการในการบัญชากองทัพตลอดเวลา มิฉะนั้นแม้แต่จั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหากปราศจากกองทัพ


ขณะที่จอมยุทธ์ขุมพลังหลิงจะกำกับเมฆฝนและยืนตระหง่านบนฟ้าดินด้วยพลังของตนเอง


ทั้งสองมีแง่มุมความแข็งแกร่งของตัวเอง เส้นทางการฝึกฝนที่มีหลังจากผ่านมาหมื่นปีก็ต้องมีข้อดีของตัวเองอยู่แล้ว


เมื่อแรงสั่นสะเทือนในใจของมู่เฉินสงบลง ร่างก็พลิ้วลงไปช้าๆ


“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีผู้บัญชาการมู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราก็มีจั้นเจิ้นซือตัวจริงแล้ว ในสงครามล่าครั้งนี้ผู้บัญชาการมู่คงได้แสดงศักยภาพให้เป็นที่ประจักษ์แน่นอน” เลี่ยซันประสานมือด้วยรอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความนับถือ ท้ายที่สุดโลกก็ยังเคารพพลังและพลังที่มู่เฉินแสดงออกเมื่อครู่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นวัยวุฒิของมู่เฉินจึงถูกพับเก็บโดยสิ้นเชิงในขณะนี้


เมื่อได้ยินคำชื่นชม มู่เฉินก็ยิ้มขณะที่คารวะตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา


พวกจิ่วโยวเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟังโดยเฉพาะการต่อสู้ระหว่างหมู่ตึกเทวะและยอดเขาหมื่นเทพ


“จินไถหลิวหลีบรรลุการเป็นจั้นเจินซือแล้วจริงด้วยรึ?” เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เฉินก็ไม่แปลกใจ เพราะมรดกที่จินไถหลิวหลีได้รับสมบูรณ์กว่าของเขา แม้ว่าจักรพรรดิเทียนเจิ้นจะด้อยกว่าราชันสงครามจิ่วเจี๋ยซึ่งเป็นผู้คิดค้นคัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่ แต่เคล็ดวิชาที่มู่เฉินได้รับยังไม่สมบูรณ์ เขาต้องค้นคว้าไปตามเส้นทางของหลายสิ่ง ขณะที่จินไถหลิวหลีมีอาจารย์ปูทางให้ ดังนั้นเข้าใจได้ไม่ยากว่านางจะสำเร็จวิชาเร็วกว่าเขา


“ตอนนี้ชื่อของจินไถหลิวหลีดังเป็นพลุแตกในสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้ว ข้าเชื่อว่าหลังจากสงครามล่าจบลง นางจะกลายเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือแน่” จิ่วโยวถอนหายใจ


เผชิญหน้ากับวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังหวาดกลัว


“มีข่าวอีกว่าขั้วอำนาจสูงสุดที่เหลือก็ให้ความสนใจเรื่องนี้ ต่างฝ่ายก็กำลังมองหาซากอารยธรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับจั้นเจิ้นซือ พวกเขาพยายามค้นหามรดกสืบทอดเพื่อที่จะนำบำรุงเหล่าอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาให้กลายเป็นจั้นเจิ้นซือบ้าง” เลี่ยซันกล่าว


มู่เฉินพยักหน้า เนื่องจากในสงครามระดับนี้ความแข็งแกร่งของจั้นเจิ้นซือทรงพลังยิ่งนัก ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่กองทัพอื่นๆ จะอยากได้เช่นกัน


“การค้นหาของพวกเขาเป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินถาม สมรภูมิหยุ่นลั้วกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขาค้นหาได้เพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ดังนั้นจั้นเจิ้นซือที่ละสังขารลงที่นี่ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเพียงจักรพรรดิเทียนเจิ้นคนเดียว แน่นอนว่าจะมีซากอารยธรรมที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยจั้นเจิ้นซือรายอื่นเช่นกัน


“ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ วิ่งวุ่นค้นหากันจ้าละหวั่น ในที่สุดก็ได้รับการเก็บเกี่ยวมาบ้างเช่นกัน เรายังได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขา เพียงแค่ว่าไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่” จิ่วโยวครุ่นคิดสั้นๆ พูดต่อว่า “เมื่อไม่นานมานี้มีข้อมูลหนึ่ง จวนยมโลกปะทะกับกลุ่มหนึ่งของหมู่ตึกเทวะโดยที่มีจินไถหลิวหลีอยู่ด้วย ศึกนั้นจบลงที่ผลลัพธ์เสมอกัน”


“โอ้?”


สายตามู่เฉินหดลง จวนยมโลกยันเสมอกับจินไถหลิวหลีได้รึ? หรือว่าจวนยมโลกจะมีจิ้นเจิ้นซืออยู่ด้วย?


“พวกเราสงสัยว่าจวนยมโลกก็ค้นพบซากอารยธรรมของจั้นเจิ้นซือและได้รับมรดกที่อยู่ในนั้น ทำให้อัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือเหมือนกัน” จิ่วโยวพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ บางทีนี่น่าจะสมเหตุสมผลดี แต่ก็ยังทำให้เขาทอดถอนหายใจ เพียงเวลาหนึ่งเดือนสถานการณ์ในสมรภูมิหยุ่นลั้วก็เปลี่ยนไปมาก ตอนเข้ามาไม่ได้มีจั้นเจิ้นซือแม้แต่คนเดียว แต่ตอนนี้กลับเริ่มปรากฏตัวขึ้นราวกับน้ำพุร้อน แม้ว่าสมรภูมิหยุ่นลั้วจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็มีโอกาสมากมายที่ปลาคาร์พจะกลายเป็นมังกร


ทว่าจวนยมโลกก็ไม่ใช่มิตรกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นมู่เฉินจึงยินดีที่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างทั้งสอง


“นอกจากนี้ฟังยี่เหมือนจะพ่ายแพ้โยวหมิงในการเผชิญหน้าครั้งล่าสุดด้วย” จิ่วโยวหยุดไปนิดก่อนจะพูดต่อ


มู่เฉินอึ้งไปทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงค่อนข้างประหลาดใจ “พลังของโยวหมิงเติบโตเร็วขนาดนี้เชียว?”


ครั้งก่อนในเขตหลงเฟิ่ง โยวหมิงชัดว่าอ่อนกว่าฟังยี่ ทว่าเพียงเวลาไม่ถึงครึ่งปี เขากลับเป็นปลาเค็มพลิกตัวแซงฟังยี่ไปงั้นรึ?


ก่อนหน้านี้ที่เขาสู้กับฟังยี่ อีกฝ่ายก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า นั่นหมายความว่าโยวหมิงต้องประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน คนพวกนี้มองข้ามไม่ได้เลย


มู่เฉินถอนหายใจ จากนั้นก็มองไปที่พรรคพวก “งั้นเราควรทำอะไรตอนนี้ดี?”


“เราทำภารกิจสำเร็จลุล่วงแล้วด้วยปริมาณยาหยุ่นลั้วที่เรามีอยู่ในมือ ดังนั้นข้าแนะนำว่าเราไปรวมตัวกันกับผู้บัญชาการอื่นๆ ก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น” เลี่ยซันกล่าวอย่างเคร่งขรึม


สถานการณ์ในสมรภูมิหยุ่นลั้วเริ่มทวีความรุนแรง กระทั่งขั้วอำนาจสูงสุดอย่างยอดเขาหมื่นเทพก็ประสบความสูญเสียที่น่าสังเวช มากจนสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก ดังนั้นตอนนี้พวกเขาต้องรวมตัวกันเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกล้อมรอบโดยขั้วอำนาจอื่น


มู่เฉินพยักหน้า ตอนแรกกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็แยกกันในสมรภูมิหยุ่นลั้วเพื่อค้นหาซากอารยธรรมในการกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้ว เหตุผลที่พวกเขามารวมตัวกันก็เพราะเข็มทิศค้นวิญญาณของมู่เฉินที่มีความสามารถในการค้นหาซากอารยธรรมได้ ขณะที่ผู้บัญชาการคนอื่นคงยังต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น


ในเมื่อสถานการณ์สมรภูมิหยุ่นลั้วไปไกลขนาดนี้แล้ว ถ้าพวกเขายังคงพึ่งพาตัวเองเพื่อต่อสู้ ก็จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง นั่นเป็นเพราะพวกเขาจะเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับขั้วอำนาจอื่นๆ


หากพวกเขาถูกล้อมเม็ดยาหยุ่นลั้วที่ได้รับมาด้วยความพยายามยิ่งใหญ่ ก็จะสลายหายไปเป็นอากาศธาตุ อาจมากจนแม้แต่พวกเขาได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เนื่องจากในช่วงนี้หน่วยรบที่โดดเดี่ยวจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นพิเศษ


มู่เฉินและคนอื่นพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดเลี่ยซัน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาควรทำคือรวบรวมคนทั้งหมด นั่นเป็นเพราะพวกเขาจะได้รอคำสั่งของมั่นถัวหลัว ตราบใดที่นางค้นพบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน พวกเขาก็จะสามารถเคลื่อนพลได้ในครั้งเดียว


“ไปกันเถอะ!”


เมื่อทุกคนตัดสินใจเด็ดขาดก็ไม่มีความลังเล แขนเสื้อสะบัดไหวแต่ละคนก็ส่งคำสั่งไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้เทือกเขาถึงกับสั่นสะเทือนฉับพลัน จากนั้นคนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นลำแสงหายไปที่เส้นขอบฟ้า


ขณะที่กลุ่มของมู่เฉินเดินทางไปยังสถานที่รวมพลของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


ก็มีเงาร่างสองร่างอยู่บนยอดเขาทางเหนือห่างไกล หนึ่งในนั้นก็คือโยวหมิงแห่งจวนยมโลกและอีกหนึ่งเป็นจอมยุทธ์สวมเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ข้างเขาอย่างเงียบๆ


ฟิ้ว!


เสียงลมฉีกออกจากกันดังขึ้นด้านหลัง ขณะที่ร่างร่างหนึ่งทะยานเข้ามาหาโยวหมิง ผู้มาใหม่ยื่นม้วนกระดาษให้ด้วยความเคารพ


โยวหมิงรับมาอย่างเรียบเฉย ก่อนที่จะเปิดม้วนกระดาษออก สายตาวูบไหว เขายิ้มบางก่อนที่จะมองไปที่ชายสวมเสื้อคลุมสีดำข้างตัว “ไอ้ลูกหนูที่ซ่อนตัวมาหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ปรากฏออกมาแล้ว…”


เมื่อชายสวมเสื้อคลุมสีดำได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายด้วยแสงแปลกประหลาด เขาพยักหน้าเบาๆ พูดด้วยเสียงแหบห้าว


“รอให้ข้าดูดซับคลื่นจิตของมันก่อน จากนั้นก็ถึงตาจินไถหลิวหลี”


**ปลาเค็มพลิกตัวหมายถึงบุคคลที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก กำลังพบจุดเปลี่ยนให้ชีวิตดีขึ้น


บทที่ 904 หลินหมิง

พายุคลื่นหลิงยังคงสาดซัดไปทั่วสมรภูมิหยุ่นลั้ว


ขณะที่การแข่งขันหฤโหดยังคงดำเนินต่อไป การต่อสู้เข้มข้นเพื่อแย่งชิงเม็ดยาหยุ่นลั้วและมรดกต่างๆ ที่ได้รับไว้ก็เกิดขึ้นจากกองทัพหลากหลาย ในการต่อสู้มีขั้วอำนาจบางส่วนทนรับความเสียหายไม่ได้ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเผ่นหนีออกจากสนามรบไป


แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถอนตัวออกจากสนามรบ เมื่อสงครามล่ามาไกลถึงขนาดนี้ นั่นเพราะเคยมีบางขั้วอำนาจที่ต้องการถอยออกไปเพื่อรักษาพลัง แต่กลับถูกซุ่มโจมตี ซึ่งส่งผลให้จอมยุทธ์ชั้นสูงในสำนักถูกทำลายโดยสิ้นเชิง คนที่หลบหนีก็ชัดเจนว่าไม่สามารถรักษาสำนักไว้ได้อีกต่อไป ดังนั้นขั้วอำนาจนั้นที่เคยครอบครองชื่อเสียงเกียรติยศในภูมิภาคทางเหนือก็จะหายไป


นี่คือสงครามล่า ไม่มีนักล่านิรันดร์ที่นี่และไม่มีใครรู้ว่านักล่าจะกลายเป็นเหยื่อในวินาทีต่อไปหรือไม่


ภายใต้บรรยากาศโหดร้าย มู่เฉินเป็นผู้นำหน่วยรบทั้งห้าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ออกจากสถานที่เงียบสงบ เดินทางไปยังสถานที่รวมพลที่นัดแนะกันไว้


กลุ่มของพวกเขานับว่าเป็นกลุ่มที่น่าเกรงขาม บวกกับความปั่นป่วนที่พวกเขาสร้างขึ้นในซากอารยธรรมความตาย ดังนั้นทันทีที่ปรากฏตัวจึงได้รับความสนใจจากขั้วอำนาจมากมาย


ในช่วงเดือนที่ผ่านมา จินไถหลิวหลีเจิดจรัสที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าแม้แต่จินไถหลิวหลีก็บาดเจ็บจากฝีมือของมู่เฉินในซากอารยธรรมความตาย ดังนั้นในมุมมองของหลายๆ คน มู่เฉินอาจเป็นตัวปัญหาในการจัดการมากกว่าจินไถหลิวหลี เมื่อเขาปรากฏตัวจอมยุทธ์หลายคนจึงพุ่งความสนใจมาให้ทันที


ทว่ามู่เฉินมองข้ามความสนใจของพวกเขา ความเร็วของเขาถูกผลักจนถึงขีดสุด เขาไม่ได้หยุดพักระหว่างทาง ในเวลาเดียวกันด้วยชื่อเสียงของมู่เฉินบวกกับการรวมตัวของพวกเขา ก็ไม่มีขั้วอำนาจไหนที่โง่เง่าเข้ามาขัดขวาง


ดังนั้นพวกเขาจึงเดินผ่านพื้นที่เกือบครึ่งของสมรภูมิหยุ่นลั้วในเวลาเพียงสี่วัน ค่อยๆ เข้ามาถึงพื้นที่ส่วนใน


เมื่อเทียบกับก่อนหน้า พื้นที่ส่วนนี้โหดร้ายมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะกองทัพที่กล้าเข้ามาในส่วนนี้ล้วนแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แม้แต่กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นขั้วอำนานจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือ


ดังนั้นแม้ว่าจะมีการต่อสู้ที่น้อยลง ณ ที่แห่งนี้ แต่ถ้าเกิดขึ้นเมื่อไรก็จะรุนแรงอย่างยิ่ง


นอกจากนี้หลังจากเข้ามาในส่วนพื้นที่กว้างใหญ่นี้ แม้แต่มู่เฉินก็เริ่มชะลอความเร็วลง ขณะเดียวกันพวกเขายกระดับการป้องกันของกองทัพเพื่อไม่ให้ถูกซุ่มโจมตีโดยกองทัพอื่นที่นี่


พื้นที่ด้านในของสมรภูมิหยุ่นลั้วมืดมน สีนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกถูกกดดันอย่างมาก พื้นที่แห่งนี้อัดแน่นด้วยรอยแตกดุร้าย ดูเหมือนกับเหวทะลุผ่านพิภพ ช่างเป็นความมืดที่ลึกล้ำยิ่งนัก…


สิ่งเหล่านี้ถูกทิ้งไว้ในสนามรบจากศึกในยุคโบราณ


ฟิ้ว!


บนที่ราบสีดำมีลมหอบใหญ่ส่งเสียงดังกึกก้องออกมา ขณะที่ริ้วแสงยาวพาดผ่านไปด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว ซึ่งทำให้ฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือน


มู่เฉินยืนอยู่ด้านหน้าพรรคพวก ขณะที่หรี่ตากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนที่จะหันไปทางจิ่วโยว “อีกแค่ไหนกว่าจะถึงจุดรวมพล”


“ตามความเร็วนี้คงใช้เวลาอีกสองวัน” จิ่วโยวตอบ


“สองวันเรอะ?” มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ จากนั้นก็ผงกหัว “เพิ่มการป้องกัน…ระวังเป็นพิเศษกับจวนยมโลก”


จิ่วโยวอึ้งไปก่อนจะพยักหน้า ไม่กี่วันก่อนพวกเขาได้รับข้อมูลบางส่วนว่าจวนยมโลกสนใจพวกเขา แต่เนื่องจากระยะห่างระหว่างพวกเขาจึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัว แต่ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในพื้นที่ส่วนในของสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้วก็จำเป็นต้องเฝ้าระวังให้ดี


“การเคลื่อนไหวช่วงนี้ของจวนยมโลกบ่อยครั้งและรุนแรง นอกจากนี้สิ่งที่แปลกก็คือพวกเขาค้นหาคู่ต่อสู้ที่เป็นอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่…” มู่เฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงความคลุมเครือว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นเป็นเพราะมีการพุ่งเป้าในการเคลื่อนไหวของจวนยมโลกชัดเจน


แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าทำไมจวนยมโลกจึงตั้งเป้าไปที่จอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ศาสตร์รัศมีจั้นยี่ ดังนั้นจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้กับตัว จากนั้นก็โบกมือนำพรรคพวกเดินทางต่อไป


“หืม?!”


ทว่าขณะที่กลุ่มมู่เฉินกำลังจะขยับตัว สายตาของเขาพร้อมกับเหล่าผู้บัญชาการก็หดแคบลง ก่อนที่จะโบกมือส่งสัญญาณให้นักรบที่อยู่ข้างหลังตื่นตัวไว้


พวกเขามองไปทางท้องฟ้าฝั่งขวาก็เห็นกองกำลังขนาดใหญ่พุ่งเข้ามา เมื่อคนเหล่านั้นเห็นพวกมู่เฉินก็อึ้งไปก่อนจะชะลอความเร็วลง ซ้ำยังตั้งระวังไว้สูงมาก


“นั่นแดนปีศาจนี่” จิ่วโยวมีประสาทสัมผัสเฉียบแหลม ดังนั้นนางจึงจดจำสัญลักษณ์ของสำนักขนาดใหญ่ได้


“โอ้?”


หัวใจของมู่เฉินและคนอื่นๆ สั่นไหว จากนั้นก็ระวังตัวขึ้นมา แดนปีศาจเป็นขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือเช่นกัน พวกเขามีกระบวนทัพที่น่าเกรงขาม ดังนั้นหากเกิดการต่อสู้ขึ้น จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน


“อย่าเพิ่งลงมือก่อน” มู่เฉินแนะนำ ความจริงเขาไม่ต้องการก่อความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแดนปีศาจ เนื่องจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้เป็นศัตรูกับอีกฝ่าย นอกจากนี้พวกเขายังได้สร้างเรื่องไว้กับหมู่ตึกเทวะ จวนยมโลกและตำหนักสุดนภา ดังนั้นจึงไม่ฉลาดที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับแดนปีศาจเปลี่ยนไป


เมื่อแดนปีศาจเห็นว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่มีความคิดจะเปิดโจมตีก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นร่างร่างหนึ่งก็ทะยานออกมาปรากฏตัวต่อหน้าหน่วยรบทั้งห้าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


นี่เป็นร่างเงางดงามสวมชุดสีแดงที่เน้นส่วนโค้งเว้าทรงเสน่ห์ ใบหน้าดอกท้อช่างดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับมู่เฉิน นางคือหงหยูจากแดนปีศาจซึ่งเคยพบกันในเขตหลงเฟิ่งนั่นเอง


“ไม่ทราบว่าพี่มู่อยู่ที่นี่ไหม?” เมื่อหงหยูปรากฏตัวต่อหน้าคนกลุ่มใหญ่ นางก็ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนที่สามารถทำให้กระดูกของผู้คนอ่อนนุ่มได้


เมื่อมู่เฉินได้ยินหงหยูถามถึงตัวเอง เขาก็อึ้งขณะที่เหล่าผู้บัญชาการจ้องมองลึกซึ้งเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ผู้ชายรู้กัน


มู่เฉินเหลือบมองอย่างจนใจ ก่อนจะก้าวออกไปพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ทราบว่าแม่นางหงหยูกับนักรบแดนปีศาจมีเรื่องอะไรเหรอ?”


สายตาของหงหยูทอแสงเมื่อเห็นมู่เฉิน จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ครั้งนี้พบโดยบังเอิญ…แต่ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากพี่มู่น่ะ”


“โอ้?” มู่เฉินอึ้งไป


“สองวันก่อนพวกข้าปะทะกับจวนยมโลก” หงหยูฉายท่าทางเคร่งเครียดขณะที่พูด


เมื่อได้ยินคำพูด มู่เฉินก็หรี่ตาลง เนื่องจากการเคลื่อนไหวล่าสุดของจวนยมโลก พวกเขาแสดงความสนใจในตัวเขามู่เฉิน ดังนั้นส่วนตัวเขาก็ให้ความสนใจอีกฝ่ายไม่แพ้กัน


“พวกข้ามีอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่คนหนึ่งในกองทัพเช่นกัน แต่ในการเผชิญหน้าเมื่อสองวันก่อนเขาพ่ายแพ้หลินหมิงแห่งจวนยมโลก…” หงหยูกัดฟันกรอดขณะที่พูดต่อ “แต่ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากที่พ่ายแพ้หลินหมิง เขาก็ล้มลงหมดสติ พวกข้าใช้หลายวิธีก็ไม่สามารถปลุกเขาได้…”


เปลือกตาของมู่เฉินกระตุก หลินหมิงคืออัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของจวนยมโลกใช่ไหม?


“พี่มู่เองก็เป็นอัจฉริยะด้านนี้และจากเหตุการณ์ที่ซากอารยธรรมความตาย ข้าเชื่อว่าตอนนี้เจ้าบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือแล้วสินะ? ดังนั้นข้าอยากให้พี่มู่ช่วยตรวจคนของข้าและดูว่าสามารถปลุกเขาได้ไหม” หงหยูอ้อนวอน


มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอนั้น กลับตั้งคำถามแทน “แม่นางหงหยู เจ้าควรรู้ว่ามีแผนซ้อนแผนมากมายในสงครามล่า ดังนั้นถ้าข้าปลุกคนของเจ้า จะไม่เท่ากับข้าสร้างปัญหาในอนาคตหรือ?”


หงหยูช้อนดวงหน้าพูดจริงใจ “แต่ก็เป็นการสร้างมิตรนะ แดนปีศาจถูกจวนยมโลกเล่นงานจมอ่วม แน่นอนว่าพวกข้าต้องจัดการกับหนี้แค้นนี้ ตามที่ข้ารู้มาจวนยมโลกกำลังมองหาร่องรอยของเจ้า ข้าเชื่อว่ามันไม่ได้มีเจตนาดี อย่างน้อยเราก็มีศัตรูร่วมกันไม่ใช่เหรอ?”


“นอกจากนี้หลินหมิงยังประกาศว่าเขาต้องการที่จะจัดการกับเจ้า โดยที่เจ้ายังไม่ทราบถึงวิธีการของเขา บางทีเจ้าอาจรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเขาจากคนของพวกข้าที่ได้บาดเจ็บเพื่อเจ้าจะได้เตรียมตัวเอาไว้นะ”


“นอกจากนี้ข้าเชื่อว่าด้วยพลังในปัจจุบันของพี่มู่ อัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่คงไม่ได้เป็นภัยคุกคามเจ้าเท่าไรหรอกมั้ง?”


แม้แต่คนที่มีนิสัยอย่างมู่เฉินก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าหงหยูฉลาดพูดมากแค่ไหน หงหยูเป็นคนเฉลียวฉลาดแท้จริง คำพูดของนางตีกระทบความคิดของมู่เฉินจังใหญ่ นอกจากนี้นี่ยังเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเรื่องนี้


แม้ว่ามู่เฉินจะรู้ว่าไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรในสงครามล่า แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับแดนปีศาจดีขึ้นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์พอสมควรเลยทีเดียว


“งั้นรบกวนไปพาเขามา” มู่เฉินกล่าว เขาไม่มีทางเดินดุ่มเข้าไปในกองทัพอีกฝ่ายแน่นอน


หงหยูรู้ชัดเจนว่ามู่เฉินไม่มีทางก้าวเข้ามา ดังนั้นนางจึงโบกมือขณะที่ร่างหลายร่างทะยานออกมาจากกองทัพของนาง พวกเขายกเปลไม้ที่มีชายใบหน้าซีดขาวนอนปิดตาสนิทอยู่เข้ามา


มู่เฉินมองที่ชายหน้าซีดก็ขมวดคิ้ว ที่ข้างหลังพวกจิ่วโยวก็ส่งเสียงต่ำแผ่วเบา “เกิดอะไรขึ้น? ไม่มีอะไรผิดปกติกับคลื่นหลิงในร่างเขาเลย…”


มู่เฉินพยักหน้า เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะเหยียดนิ้วสองนิ้วออกแตะเบาๆ ที่กึ่งกลางคิ้วของอีกฝ่าย จากนั้นม่านตาเขาก็หดเกร็ง ขณะที่แววเฉียบคมสาดออกมา


“พี่มู่ เขาเป็นยังไงบ้าง?” จ้องมองภาพนี้ หงหยูก็ถามทันที


มู่เฉินหดนิ้วมือพูดช้าๆ ด้วยท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน “เขาไม่มีคลื่นจิตแล้ว ในอนาคตเขาจะไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้อีกต่อไป…”


เมื่อพูดจุดนี้หัวใจของมู่เฉินสั่นเทา หลินหมิงแห่งจวนยมโลกมีวิธีการครอบงำผิดปกติในการทำลายคลื่นจิตของผู้อื่น


ในฐานะที่เป็นจั้นเจิ้นซือ มู่เฉินรู้ดีว่าอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของแดนปีศาจกลายเป็นคนพิการไปแล้ว


หลินหมิงดูเหมือนว่าจะเป็นตัวปัญหาใหม่เลยทีเดียว


บทที่ 905 รวมพลผู้บัญชาการ

“ในอนาคตเขาจะไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้อีกต่อไป…”


เมื่อมู่เฉินพูดประโยคนี้ออกมา ไม่เพียงแต่ใบหน้าของหงหยูจะเปลี่ยนไป กระทั่งเหล่าผู้บัญชาการเองก็ยังตัวสั่นเทาด้วยสีหน้าตกตะลึง


“เป็นไปได้ไง?” หงหยูสีหน้าซีดเผือด อัจฉริยะของพวกนางแค่พ่ายศึกเท่านั้น คลื่นหลิงในร่างกายเขาก็ยังคงมีความเสถียร แล้วทำไมเขาจึงไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้อีกต่อไป?


มู่เฉินไม่ได้สนใจสีหน้าซีดเผือดของหงหยู เขาจ้องมองอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ของแดนปีศาจ “ไม่เพียงแต่คนของเจ้าจะไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ เขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นแค่อัมพาต แต่เมื่อคลื่นหลิงที่หล่อเลี้ยงแห้งลง ร่างกายก็จะค่อยๆ เน่าเปื่อยไป”


ทีนี้หงหยูพูดไม่ออกไปเลย ใช้เวลานานกว่าที่นางจะเรียกสติคืนมาได้ ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเลยทีเดียว


นางรู้ว่ามู่เฉินไม่ได้โกหก ดังนั้นนี่ก็หมายความว่าอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ของแดนปีศาจเป็นง่อยจากฝีมือของหลินหมิง


“วิธีของหลินหมิงแปลกประหลาดและไร้ความปรานี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคลื่นจิตของจอมยุทธ์ถูกทำลาย”


มู่เฉินขมวดคิ้ว เพราะเขารู้สึกว่าคลื่นจิตของอัจฉริยะแดนปีศาจคนนี้เหมือนถูกกระชากออกและกลืนกินเข้าไป ความแปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกว่าหัวใจบีบรัด


ดูเหมือนว่าในสงครามล่าจะมีความชั่วร้ายทุกประเภทที่จะต้องระวัง


“แดนปีศาจของข้าจะจำความแค้นนี้ไว้ พวกข้าจะคืนสิ่งนี้ให้กับจวนยมโลกแน่นอน!” หงหยูกัดฟันแน่น ม่านตาอัดแน่นด้วยความเกรี้ยวกราด นางรังเกียจวิธีชั่วช้าของจวนยมโลกนัก แดนปีศาจใช้ทรัพยากรไปมหาศาลเพื่อฟูมฟักอัจฉริยะคนนี้ แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นผักจากการกระทำของหลินหมิง


“แม่นางหงหยู พวกเจ้ามีข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของจวนยมโลกไหม?” มู่เฉินถาม แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ปะทะกับหลินหมิง แต่เขารู้สึกว่าหลินหมิงจะมาหาในท้ายที่สุด


หงหยูครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบว่า “กองทัพจวนยมโลกของหลินหมิงเพิ่งจะเริ่มลงมือในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายคนนี้มีข้อมูลน้อยมากในอดีต”


“ภายในสองสัปดาห์หลินหมิงได้นำจวนยมโลกปะทะกับแปดกองทัพและกองทัพทั้งหมดมีปัจจัยคล้ายคลึงกันบางอย่าง นั่นคือพวกเขามีแม่ทัพมากพรสวรรค์ ผลของการต่อสู้เห็นได้ชัดหลินหมิงทำลายศัตรูทั้งหมด ตอนนี้ใครๆ ก็กลัวชื่อเสียงเหม็นเน่านี้นัก”


สายตามู่เฉินหดลง เอ่ยถาม “แล้วคนที่พ่ายแพ้ต่อเขา ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”


หงหยูคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว “รู้สึกจะไม่ได้ยินข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับพวกเขาอีกเลย…หรือว่าพวกเขาก็?”


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ขณะที่ความตกใจพล่านในใจ หากจอมยุทธ์คนอื่นมีผลลัพธ์เช่นนี้หลังจากที่พ่ายแพ้ หลินหมิงคนนี้จะต้องมีวิธีการที่โหดเหี้ยมในการสกัดคลื่นจิตของผู้อื่น


ศัตรูคนนี้รับมือลำบากนัก


“หลินหมิงเอาชนะการประลองอย่างราบรื่นจนกระทั่งพบกับจินไถหลิวหลี การเผชิญหน้าของทั้งสองจบลงที่เสมอกัน ไม่มีใครได้เปรียบใคร” หงหยูกล่าวต่อ


“ดูเหมือนว่าหมิงหมิงจะเป็นจั้นเจิ้นซือแล้ว” มู่เฉินพยักหน้า เผชิญหน้ากับจินไถหลิวหลีที่ได้รับการสืบทอดมรดกจากจักรพรรดิเทียนเจิ้นได้ นั่นก็หมายความว่าหลินหมิงจะต้องเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเช่นกัน


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของหงหยูก็บิดเบี้ยวจนดูไม่น่าดู เพราะนี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพวกนางเลย


“แม่นางหงหยูมีแผนอะไรต่อหรือ?” มู่เฉินยิ้มบาง


“ตอนนี้ก็เข้ามายังด้านในของสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้ว พวกข้าน่าจะต้องรีบไปรวมตัวกับกองทีพอื่นของแดนปีศาจให้เร็วที่สุด ข้าเชื่อว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คิดเช่นเดียวกันใช่ไหม?” หงหยูไม่ได้ซ่อนเจตนาของตน เพราะสุดท้ายกองทัพเข้ามาในส่วนในก็ล้วนมีความคิดเช่นเดียวกัน ตราบใดที่สามารถรวมพลังเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกล้อมตีจากกองทัพสำนักอื่นๆ


หากกองทัพสำนักอื่นๆ รวมตัวกันหมดแล้ว ก็จะก่อให้เกิดต่อต้านที่ทรงพลัง หากการต่อสู้ถึงขั้นแตกหักในเวลานั้น ก็จะทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลยทีเดียว


มู่เฉินพยักหน้าพลางยิ้ม “ไม่รู้ว่าแดนปีศาจคิดอย่างไรกับจวนยมโลก?”


“ในฐานะขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือเหมือนกัน แดนปีศาจไม่อาจยอมรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เมื่อพวกข้ารวมตัวเป็นกองทัพใหญ่ ข้าจะตามไปล้างบางพวกมัน” เสียงของหงหยูเย็นเยือกลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่านางโกรธแค้นหลินหมิงมาก


มู่เฉินยิ้ม “แต่ในเวลานั้นจวนยมโลกก็คงรวบรวมกองทัพแล้วเช่นกัน พวกเขาไม่อ่อนแอกว่าแดนปีศาจ ยิ่งเมื่อรวมหลินหมิงเข้าไปด้วย ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายที่จะรับมือพวกเขา แม้ว่าแดนปีศาจจะทุ่มสุดตัวก็ตาม”


หงหยูอึ้งไปจากนั้นก็มองมู่เฉิน ส่วนโค้งที่มีเสน่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากขณะที่หัวเราะเสียงพลิ้ว “พี่มู่พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า”


“ร่วมมือกันกำจัดหลินหมิง เพื่อให้จวนยมโลกรับทุกข์ทรมานไปซะ” มู่เฉินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา


“ก่อนหน้ามีข่าวว่าหลินหมิงสนใจพี่มู่มาพักใหญ่แล้ว จากการคาดเดาข้าคิดว่าพวกมันคงจะตามหาเจ้าพบไม่นานจากนี้แน่ แบบนี้พี่มู่คืออยากรวมพลังกับแดนปีศาจเพื่อจัดการกับพวกมันใช่ไหม?” หงหยูมองไปรอบๆ ขณะยิ้ม


“ถึงแม้ว่าหลินหมิงจะเก่งกาจ แต่ข้าไม่กลัวเขา” มู่เฉินยิ้ม แม้ว่าน้ำเสียงจะสงบ แต่ความมั่นใจในตัวเองที่กำจายอยู่ ทำให้หงหยูไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของเขาได้ เนื่องจากนางได้เห็นปาฏิหาริย์มากมายที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นต่อหน้ามาแล้ว


“จวนยมโลกไม่อ่อนแอ ดังนั้นไม่ง่ายเลยสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่จะเขมือบพวกเขา แต่ถ้าได้รับความช่วยเหลือจากแดนปีศาจ เราก็จะสามารถสร้างหายนะใหญ่หลวงใส่พวกเขาได้ ดังนั้นข้าเชื่อว่าความร่วมมือของเราเป็นประโยชน์ต่อกัน”


หงหยูอยู่ในภวังค์ความคิด นางมีความคิดที่จะถูกโน้มน้าว ทว่านางก็ไม่ตกปากรับคำทันทีตอบว่า “ข้าจะแจ้งเรื่องนี้กับทางสำนัก ข้าไม่สามารถตัดสินใจคนเดียวได้”


“นอกจากนี้แม้ว่าเราจะร่วมมือกัน แต่เป้าหมายของเราก็เป็นเพียงจวนยมโลก สำหรับกองทัพอื่นแดนปีศาจไม่ขอยุ่งเกี่ยว”


หงหยูฉลาดเฉลียว นางรู้ข่าวเป็นอริกันระหว่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภา ดังนั้นนางไม่ต้องการที่จะไปกระตุ้นกองทัพสูงสุดทั้งสองที่ไม่กินเส้นกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เพียงเพื่อจัดการกับจวนยมโลก


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มู่เฉินก็พยักหน้าสบายๆ เนื่องจากเขาไม่ได้คาดหวังชัดเจนว่าแดนปีศาจจะปะทะกับหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภากับพวกเขา ในสงครามล่านี้มีเพียงความร่วมมือเกี่ยวกับผลประโยชน์เท่านั้น


“งั้นข้าไปก่อนนะ เมื่อแดนปีศาจรวมตัวกันเรียบร้อย ข้าจะแจ้งให้เจ้าทราบหากมีการเคลื่อนไหวใดๆ จากทางข้า เมื่อเวลานั้นหงหยูจะรอดูพี่มู่ปลดปล่อยพลังทั้งหมด” จบคำพูดนางก็ไม่ได้อ้อยอิ่ง นางส่งรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ให้มู่เฉิน ก่อนที่จะโบกมือหันกลับไปยังกองทัพของตน จากนั้นพวกนางก็ผิวปากส่งสัญญาณ ร่างกายเป็นลำแสงพุ่งหายไปทางขอบฟ้า


“เจ้าคิดจะร่วมมือกับแดนปีศาจเหรอ?” เมื่อกองทัพแดนปีศาจจากไป เหล่าผู้บัญชาการก็หันมามองมู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะเพิ่งบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แต่กระทั่งจอมยุทธ์บางคนที่ทรงพลังเช่นเดียวกับเลี่ยซันก็ยังไม่กล้าดูแคลนมู่เฉินจากการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ ดังนั้นไม่มีใครคิดว่าเขากำลังประมาทในการตัดสินใจ


“แม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าความร่วมมือนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็สามารถช่วยเราลดแรงกดดันบางอย่างได้ เราไม่สามารถมีเรื่องกับขั้วอำนาจสูงสุดทุกขั้วอำนาจที่นี่ได้” มู่เฉินกล่าว


เขาไม่ได้หวังจะให้ความร่วมมือมั่นคง แต่อย่างน้อยแดนปีศาจมีเรื่องกับจวนยมโลก ถ้าจวนยมโลกยังกล้าที่จะเคลื่อนไหวมาหาเรื่องพวกเขา เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะร่วมมือกับแดนปีศาจเพื่อทำให้จวนยมโลกเลือดตกยางออกเสียบ้าง


“ไปกันเถอะ เราควรเดินทางต่อ สถานการณ์ตอนนี้ชักจะวุ่นวายมากขึ้น ดังนั้นเราสามารถป้องกันตัวเองเมื่อรวบตัวกับผู้บัญชาการที่เหลือเท่านั้น” มู่เฉินกล่าว


เมื่อคนอื่นได้ยินก็พยักหน้า แม้แต่กองทัพสูงสุดอย่างแดนปีศาจยังต้องจ่ายราคาหนักหนาดังนั้นพวกเขาจึงต้องปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างจริงจัง


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน มู่เฉินก็ทะยานตัวออกไปพร้อมกับหน่วยรบทั้งห้าติดตามเบื้องหลัง


สองวันถัดมาพวกมู่เฉินก็ไม่ได้ชะลอตัวจน มุ่งหน้าไปที่จุดรวมพล ระหว่างทางก็เจอหลายกองทัพ แต่ไม่ได้ถูกขัดขวางเลย


ด้วยความเร็วนี้ เมื่อเข้าวันที่สามภาพหุบเขาใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา กองทัพมหึมาครอบคลุมท้องฟ้าของหุบเขา บรรยากาศแกร่งกร้าวแผ่ขยายออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงเชี่ยวกรากกระจายไปทั่วบริเวณ


เมื่อพวกมู่เฉินเห็นการรวมพลใหญ่ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายก็มาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์และสถานที่แห่งนี้เป็นที่รวมพลใหญ่


“ในที่สุดเราก็มาถึงที่นี่”


หลังจากสามเดือนที่เหล่าผู้บัญชาการแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์แยกตัวก็ถึงเวลากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่สามเดือนที่แล้วพลังของมู่เฉินที่รั้งท้ายเหล่าผู้บัญชาการ ตอนนี้ในแง่ของความแข็งแกร่งทั่วไป เขาติดหนึ่งในสามอันดับแรกแล้ว!


พัฒนาการของมู่เฉินในช่วงสามเดือนที่ผ่านมายอดเยี่ยมมาก


ฮึ่ม!


ทว่าเมื่อพวกเขาปรากฏตัวเบื้องหน้าหุบเขาและกำลังจะรวมเข้ากับกองทัพใหญ่ เสียงดังกระหึ่มก็ดังมาจากภายใน


สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียง


นั่นเป็นเพราะนี่คือสัญญาณขอความช่วยเหลือจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์!


บทที่ 906 ถูกจับ

ฮึ่ม!


เสียงเสียดแก้วหูดังออกมาจากหุบเขาใหญ่ เมื่อระลอกเสียงดังก้องก็สะท้อนกองทัพใหญ่ที่อยู่ด้านนอกหุบเขา จากนั้นร่างหลายร่างก็พุ่งกลับไปในหุบเขาอย่างรวดเร็ว ชัดว่าได้รับคำสั่งบางอย่าง


พวกมู่เฉินที่เพิ่งมาถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าเล็กน้อย สัญญาณช่วยเหลือนั่น เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


“ผู้บัญชาการเลี่ยซันพวกเจ้าเข้ามาก่อนเถอะ” ขณะที่สีหน้าของพวกมู่เฉินเปลี่ยนไป เสียงกัมปนาทก็สะท้อนออกมาจากหุบเขา นั่นเป็นเสียงของผู้บัญชาการซิวหลัว


“ไป!”


มู่เฉิน จิ่วโยวและคนอื่นไม่กล้าที่จะชักช้า รีบสั่งหน่วยรบของตนเองให้เฝ้าด้านนอกหุบเขา ก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงทะยานเข้าไป เมื่อเหล่านักรบที่ประจำการอยู่ด้านนอกเห็นการมาถึงของพวกเขา ก็รีบเปิดทางให้ทันที


ฟิ้ว!


เมื่อพวกมู่เฉินเข้ามาในหุบเขาก็ปรากฏตัวในส่วนลึกในเวลาไม่กี่วินาที บนแท่นหินสูงตระหง่านในส่วนลึกสุดของหุบเขามีคนมากมาย มองเห็นเงาร่างของซิวหลัวและผู้บัญชาการอื่นๆ อยู่ตรงกลาง


ทว่าตอนนี้บรรยากาศในหุบเขาค่อนข้างตึงเครียด ใบหน้าของแต่ละคนค่อนข้างมืดมน


มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ทะยานตัวลงอย่างรวดเร็ว ประสานมือให้ซิวหลัว


“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึงสักที” ซิวหลัวมองพรรคพวกที่มาถึง ใบหน้าซึ่งตึงเครียดก็คลายลงเล็กน้อย


“ผู้บัญชาการซิวหลัวเกิดอะไรขึ้น?” เลี่ยซันมองจอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาพวกเขา ขณะที่ถามด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด


ใบหน้าของซิวหลัวมืดครึ้ม เขาสะบัดแขนเสื้อกระจกก็พุ่งออกมา แสงแพรวพราวส่องลงมาจากท้องฟ้าก่อตัวเป็นกระจกแสง ยามนี้มีคลื่นหลิงรุนแรงพุ่งทะยานสู่ขอบฟ้าจากภายในกระจก เกลียวแสงขนาดใหญ่บินฉวัดเฉวียนผ่านไปมา


นั่นดูเหมือนจะเป็นการเผชิญหน้ากันของสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสวมชุดเกราะน้ำแข็ง อากาศเย็นยะเยือกกระจายออกไปในท้องฟ้าทำให้อุณหภูมิลดลง มีธงรูปเกล็ดหิมะโบกสะบัดอยู่


“นั่นผู้บัญชาการปิงเหอ!”


เมื่อคนอื่นๆ เห็นสัญลักษณ์เกล็ดหิมะ ท่าทางก็ตึงเกร็งลง นั่นเป็นธงประจำหน่วยรบของปิงเหอ ซึ่งหมายความว่านี่เป็นหน่วยรบธารหิมะ


“คนที่ขัดขวางผู้บัญชาการปิงเหอคือ…” สายตาของมู่เฉินจับจ้องไปยังอีกทิศทางหนึ่งในกระจก เมฆดำพวยพุ่ง รัศมีน่าขนลุกกำจายพร้อมกับธงหัวกะโหลกของจวนยมโลกโบกสะบัด!


“จวนยมโลก!” สีหน้าของพวกหลิงเจี้ยนเปลี่ยนไป ปิงเหอถูกจู่โจมโดยจวนยมโลก


มู่เฉินมองที่กองทัพจวนยมโลกก็เห็นร่างเงาหนึ่งก้าวย่างอย่างช้าๆ ออกจากเมฆดำที่พลุ่งพล่าน ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ รัศมีที่น่าขนลุกกระจายทั่วร่างเขา


เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาแคบน่าขนลุกที่กำลังจ้องมองหน่วยรบธารหิมะด้วยรอยยิ้มเยาะแขวนที่มุมปาก จากนั้นก็ยกมือขึ้น


ตู้ม!


รัศมีจั้นยี่น่าขนพองสยองเกล้ากวาดออกจากก้อนเมฆสีดำที่ด้านหลัง ก่อตัวเป็นกะโหลกสีดำที่มีขนาดหลายพันจั้งซึ่งอัดแน่นไปด้วยลวดลายจั้นเหวิน


โฮก!


กะโหลกเปิดปากเปล่งเสียงน่ากลัวออกมา คลื่นเสียงสีดำกวาดออกมาอย่างป่าเถื่อน ทำให้พื้นดินปริแยกในเส้นทางพาดผ่านไป ยอดเขาที่อยู่โดยรอบก็ยุบตัวลงบนพื้นทันที…


ในหน่วยรบธารหิมะมีแม่ทัพหลายคนที่มีพรสวรรค์ในรัศมีจั้นยี่ก็รีบเข้าทำหน้าที่ เร้าคลื่นพลังกวาดล้างออกไปไม่หยุดยั้ง


ตู้ม! ตู้ม!


แต่เนื่องจากความแตกต่างมากระหว่างสองฝ่าย รัศมีจั้นยี่หิมะจึงพังทลายลงอย่างไม่หยุดยั้งเมื่อปะทะกัน


อั้ก!


เหล่าแม่ทัพของหน่วยรบธารหิมะก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักกระอักเลือดกบปาก กระทั่งในกองทัพยังมีนักรบจำนวนมากพ่นเลือดออกมา ชัดว่าได้รับผลกระทบเช่นกัน


เผชิญหน้ากับหน่วยรบธารหิมะที่ได้รับบาดเจ็บหนัก ชายชุดสีดำก็ออกกระบวนท่าโดยไม่มีการผ่อนปรน การโจมตีดุร้ายกวาดออกมาอีกครั้ง บังคับให้หน่วยรบธารหิมะต้องถอยร่น นักรบหลายคนทนทุกข์จากพลังของอีกฝ่ายที่บดขยี้ ร่างร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า


ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ปะทะกัน หอธารหิมะสูญเสียมหาศาล แม้แต่หน่วยรบก็พ่ายแพ้ย่อยยับ


สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการต่อสู้ฝ่ายเดียว เมื่อหน่วยรบธารหิมะทนไม่ได้อีกต่อไป แสงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกองทัพพุ่งเข้าใส่ร่างชายสวมเสื้อคลุมสีดำ การโจมตีเต็มรูปแบบแยกท้องฟ้าออกจากกันเลยทีเดียว


การโจมตีน่าสะพรึงซัดออกมาจากผู้บัญชาการปิงเหอที่อดกลั้นมานาน!


ทว่าการโจมตีของเขาไม่ได้สร้างผลลัพธ์ตามที่หวัง จังหวะที่เขาพุ่งออกไป ร่างสีดำสี่ร่างก็พุ่งออกมาจากกองทัพยมโลก คลื่นหลิงไร้ขอบเขตฉีกมิติปะทะเข้ากับปิงเหอ


อั้ก! อั้ก!


ทั้งสี่คนไม่อ่อนแอกว่าปิงเหอ ดังนั้นเมื่อพวกเขาโจมตีด้วยกัน แค่กระบวนท่าเดียวก็ทำให้ปิงเหอกระอักเลือดออกมา ร่างถลาออกไปพร้อมกับรอยเลือดปรากฏบนร่างกาย


ทั้งสี่ปรากฏที่ด้านหลังปิงเหอได้รับบาดเจ็บหนัก จากนั้นก็กลุ้มรุมคว้าร่างน่าสมเพชที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายไว้


เมื่อหน่วยรบธารหิมะเห็นว่าผู้บัญชาการถูกจับก็สูญเสียกำลังใจ รัศมีจั้นยี่เริ่มดิ่งลงขณะที่กระบวนทัพเริ่มระส่ำระสายหนีตาย เมื่อชายชุดดำเห็นเหตุการณ์นี้ มุมโค้งโหดร้ายก็ผุดขึ้นที่มุมปาก เขาสะบัดแขนเสื้อ เสียงน่าขนลุกดังก้องทั่วขอบฟ้า


“ฆ่าพวกมันทั้งหมด!”


กองทัพที่อยู่ด้านหลังพุ่งตัวออกราวกับฝูงตั๊กแตน ต่อไปก็เป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว นักรบธารหิมะถูกสังหารอย่างสมบูรณ์ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่โชคดีหนีรอดไปได้


การสังหารหมู่ครั้งนี้ย้อมแผ่นดินเป็นสีแดงฉาน ร่างชุดดำยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับกลุ่มแม่ทัพใต้บัญชาของปิงเหอที่สลบไสลไม่ได้สติ เขาแสยะยิ้มน่ากลัวขณะที่เหยียดนิ้วออกไปสัมผัสหว่างคิ้วของอีกฝ่าย แม่ทัพทุกคนเผยสีหน้าที่เจ็บปวดและบิดเบี้ยว ใบหน้าของพวกเขาซีดลงเรื่อยๆ ราวกับว่าพลังชีวิตถูกดึงออกจากร่าง


ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ร่างของแม่ทัพเหล่านั้นก็แข็งทื่อ ร่างถูกโยนทิ้งไปโดยไม่ใส่ใจจากชายชุดดำ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นเหมือนมองมาทางกระจก น้ำเสียงน่าขนลุกดังกึกก้อง “สามวันจากนี้จวนยมโลกจะเปิดชุมนุมที่เทือกเขากู่ไห ในเวลานั้นข้าขอเรียนเชิญอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาพบปะสังสรรค์กันหน่อย ไม่อย่างงั้นข้าจะเชือดผู้บัญชาการปิงเหอต่อหน้าทุกคน…”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดลงชั่วขณะก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะดุร้ายขึ้นอีกหลายส่วน “และไอ้สารเลวที่ชื่อมู่เฉิน หวังว่าจะมาด้วยนะ ข้าเชื่อว่าคลื่นจิตของเจ้าคงอร่อยน่าดู…”


ชี่


เสียงหัวเราะน่าขนพองสยองเกล้าของชายชุดดำดังก้องอยู่ในเทือกเขาขณะที่ฉากนี้จางหายไป ซิวหลัวฉายท่าทางเย็นชา เขาสะบัดมือทุบกระจกทองแดงจนแหลกละเอียด


ในหุบเขาใบหน้าผู้บัญชาการคนอื่นก็มืดครึ้ม ความโกรธแค้นพล่านในสายตา จวนยมโลกกำลังเหยียบหัวอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขา!


ใบหน้าของมู่เฉินและจิ่วโยวขรึมลงจนไม่น่าดู จวนยมโลกช่างเป็นทรราช ไม่เพียงแต่วิธีการจะโหดเหี้ยม พวกมันยังส่งข้อความมาหยามอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจตบหน้าพวกเขาฉาดใหญ่


“ชายคนนั้นคือหลินหมิงแห่งจวนยมโลกที่เพิ่งมีชื่อเสียงเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้มันยังเป็นจั้นเจิ้นซืออีกด้วย” ซิวหลัวพูดเสียงต่ำ ทำให้ผู้บัญชาการคนอื่นต้องหดดวงตา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ยินชื่อนี้บ่อยมากในช่วงนี้


บางทีขุมพลังของหลินหมิงไม่ได้อยู่ในสายตาของเหล่าผู้บัญชาการ แต่เมื่อเขาเป็นจั้นเจิ้นซือ พวกเขาก็ต้องหวาดเกรง สถานการณ์ที่หน่วยรบธารหิมะพ่ายแพ้เมื่อครู่ยังติดตาพวกเขาอยู่เลย


ด้วยพลังของรัศมีจั้นยี่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยากลำบากในการปะทะกับหลินหมิง


มู่เฉินหรี่ตาลง ก่อนหน้าที่หลินหมิงจู่โจมก็ยืนยันตัวตนเรียบร้อย ลวดลายจั้นเหวินมากกว่าหนึ่งหมื่นลายบนกะโหลกสีดำนั่น ดังนั้นพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าหลินหมิงเป็นวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือแท้จริง


“พวกเจ้ามีความคิดยังไงกับเรื่องนี้?” ซิวหลัวมองไปที่คนอื่นๆ ขณะที่ถามว่า “จวนยมโลกจัดงานชุมนุม ข้าได้ยินมาว่ามีหลายกองทัพได้รับเชิญ มิหนำซ้ำผู้บัญชาการปิงเหอก็อยู่ในมือพวกมัน ถ้าพวกมันฆ่าเขาต่อหน้าธารกำนัลมิเท่ากับเอาขี้มาป้ายหน้าเราหรอกรึ ในเมื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกำลังมาถึง สถานการณ์นี้จะทำให้กองทัพของเราเสื่อมเสียอย่างมาก”


“พวกเราควรไปที่เทือกเขากู่ไหเพื่อช่วยผู้บัญชาการปิงเหอหรือไม่?” หลิงเจี้ยนครุ่นคิดครู่หนึ่งขณะที่พูดต่อ “กลัวว่านี้จะเป็นกับดักที่จวนยมโลกวางไว้”


“จวนยมโลกจะกินอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปได้รึไง?” เสี่ยยิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว


“กันไว้ดีกว่าแก้นะ”


“ถ้าผู้บัญชาการปิงเหอถูกฆ่าตาย คงจะทำให้เราหน้าม้านอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าคิดว่าแม้แต่ท่านประมุขก็คงโกรธเช่นกัน”


“…”


ซิวหลัวกวาดมองผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่มีความคิดเห็นแตกต่าง เขาขมวดคิ้วพลางหันไปมองเลี่ยซัน ในบรรดาผู้บัญชากรของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นอกเหนือจากตนศักดิ์ศรีของเลี่ยซันสูงกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงถามอีกฝ่าย “ผู้บัญชาการเลี่ยซันคิดยังไง?”


เลี่ยซันคิดครู่หนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองมู่เฉิน “ผู้บัญชาการมู่มีอะไรแนะนำไหม?”


เมื่อเห็นการกระทำนี้ จอมยุทธ์ชั้นสูงอื่นๆ ก็อึ้งไป ก่อนสงครามล่าเริ่มต้นแม้ว่ามู่เฉินจะเป็นผู้บัญชาการอายุน้อยที่สุดในพิธีมอบยศราชัน แต่พลังก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวเข้าสู่รากฐานของการเป็นผู้บัญชาการ ดังนั้นในสายตาของคนอื่น เขาจึงอยู่ในอันดับท้ายสุด


แต่ตอนนี้เลี่ยซันกลับมอบความสุภาพและขอความเห็นของมู่เฉิน มิหนำซ้ำยังมีความเคารพในทัศนคติ ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์รู้สึกประหลาดใจไป


“ฮ่าๆ อย่าดูถูกผู้บัญชาการมู่ ตอนนี้เขาเป็นจั้นเจินซือหนึ่งเดียวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเรา แม้แต่จินไถหลิวหลียังพ่ายแพ้ในมือของเขา” เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองมา เลี่ยซันก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้


“โอ้?”


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นซิวหลัวก็ตกใจ เขาหันขวับไปมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเข้าใจความสามารถของจั้นเจิ้นซือดี


“แล้วผู้บัญชาการมู่คิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?” ซิวหลัวยิ้มให้มู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเป็นสุภาพมากขึ้น ไม่มีการประเมินต่ำจากประสบการณ์และอายุยังน้อยของมู่เฉินอีกต่อไป


มู่เฉินพยักหน้าให้ซิวหลัวอย่างสุภาพ จากนั้นก็กวาดสายตามองทุกคนก่อนที่จะพูดอย่างนิ่งเรียบ


“ข้าเสนอให้ช่วยเหลือผู้บัญชาการปิงเหอ”


บทที่ 907 ชุมนุม

“ข้าเสนอให้ช่วยเหลือผู้บัญชาการปิงเหอ”


เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของมู่เฉินก็มีการเปลี่ยนแปลงในท่าทางอยู่บ้าง แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองมา เมื่อเห็นดังนี้มู่เฉินก็ยิ้ม “ข้าเชื่อว่าทุกคนรู้ข้อดีข้อเสียแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผู้บัญชาการปิงเหอก็ยังเป็นสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากเราปล่อยให้เขาถูกประหารต่อหน้าขั้วอำนาจอื่นๆ ก็จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของเรา ขั้วอำนาจที่ปล่อยให้นักรบของตนต้องตายแบบน่าอับอายและไม่ทำอะไร เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของผู้อื่นเหน็บหนาวได้”


“การกระทำของจวนยมโลกเป็นการพยายามทำลายขวัญกำลังใจของเราจากภายใน ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปกองทัพของเราก็จะตกต่ำอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อศึกสุดท้ายใกล้เข้ามา หากขวัญกำลังใจลดลงพลังในการต่อสู้ก็จะได้รับผลกระทบแน่นอน”


“ดังนั้นถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ก็จะเป็นไปตามแผนที่จวนยมโลกต้องการ”


ใบหน้าของคนอื่นๆ ฉายความเคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะที่พยักหน้า พวกเขาสัมผัสได้ถึงแผนเหี้ยมโหดของจวนยมโลก


“แต่ข้าเกรงว่าจวนยมโลกคงไม่ให้เราช่วยเขาได้ง่ายนัก นอกจากนี้อาจเป็นการขุดหลุมเพื่อให้เรากระโดดเข้าไปซะมากกว่า” จิ่วโยวเอ่ย


“ด้วยพลังของจวนยมโลก ในกรณีที่จอมยุทธ์ชั้นสูงของทั้งสองฝ่ายอยู่ไม่ครบ ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลืนกินพวกเรา ดังนั้นพวกมันไม่สามารถทำอะไรได้หรอก”


ม่านตาสีดำของมู่เฉินกะพริบ จากนั้นก็พูดต่อเบาๆ “ในเมื่อนี่เป็นการชุมนุม พวกมันต้องเชิญหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภามาด้วยแน่…ซึ่งคนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับเราที่แย่มาก หากทั้งสามมารวมกันพวกมันอาจฝังกลบเราได้จริงๆ”


เมื่อได้ยินแม้แต่ใบหน้าของซิวหลัวก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป ถ้าขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสามมีความตั้งใจเช่นนั้น สถานการณ์คงย่ำแย่อย่างยิ่งสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์


“แล้วเราจะยังไปช่วยเขาอยู่ไหม?” บางคนขมวดคิ้ว จวนยมโลกร้ายกาจแท้จริง บังคับพวกเขาให้ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้


“ในเมื่อจวนยมโลกหาคนมาช่วยได้ ทำไมเราทำมั่งไม่ได้ล่ะ? ” มู่เฉินยิ้ม


เหล่าผู้บัญชาการมองหน้ากัน


“จวนยมโลกสังหารอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ของแดนปีศาจ ดังนั้นความโกรธแค้นระหว่างสองกองทัพจึงเป็นเรื่องใหญ่หลวงอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดคุยข้อตกลงไปบ้าง ถ้าจะจัดการกับจวนยมโลกพวกเขาก็ยินดีที่จะร่วมมือกับเรา มิหนำซ้ำยอดเขาหมื่นเทพก็ไม่ค่อยพอใจหมู่ตึกเทวะ ถ้าหมู่ตึกเทวะเข้าร่วมก็ไม่ยากที่เราจะเชิญยอดเขาหมื่นเทพร่วมกับทางเรามั่ง ด้วยวิธีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวทั้งสามที่รวมพลังกันหรอก” มู่เฉินกล่าวช้าๆ


“เจ้าทำข้อตกลงกับแดนปีศาจไว้แล้วรึ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน แม้แต่ซิวหลัวก็ยังฉายสีหน้าประหลาดใจ ขณะคนอื่นๆ ถึงกับตกตะลึงไป ในสงครามล่าไม่ว่าใครก็ถือว่าเป็นศัตรูทั้งหมด ยากยิ่งที่จะได้รับการสนับสนุนความร่วมมือ แต่มู่เฉินกลับสามารถร่วมมือกับแดนปีศาจได้ ช่างเกินความคาดหมายนัก


มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้ยากเกินสำหรับความร่วมมือในสงครามล่า ตราบใดที่ได้ผลประโยชน์ก็ไม่มีใครปฏิเสธหรอก เหมือนกับที่หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาร่วมมือกับจวนยมโลกไง ทั้งสามมีเป้าหมายเดียวกันซึ่งก็คือกำจัดอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราให้พ้นทาง”


พวกซิวหลัวพยักหน้า จากนั้นก็ครุ่นคิดก่อนที่จะกวาดสายตา “ถ้างั้นทุกคนยังมีความเห็นอื่นอีกไหม?”


คนที่เหลือส่ายหน้า ในเมื่อตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็ไม่คิดกลัวจวนยมโลก เพราะการกระทำครั้งนี้ของจวนยมโลกเพิ่มความเกรี้ยวกราดให้กับจอมยุทธ์ชั้นสูงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยิ่งนัก หากพวกเขาก้มหน้ารับชะตากรรม อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเหลือฐานรากในภูมิภาคทางเหนือได้อย่างไรในอนาคต?


“ตกลง งั้นแจ้งคำสั่งออกไป เราจะเคลื่อนทัพไปยังเทือกเขากู่ไหสามวันนับจากนี้ แล้วมาดูกันสิว่าจวนยมโลกจะกระหายอยากมากจนกินอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราได้หรือไม่!” ซิวหลัวเผยรอยยิ้มเย็นขณะที่พูดอย่างเย็นชา


เมื่อคนอื่นได้ยินคำพูดของเขาก็พยักหน้าหนักแน่น ตอนนี้พวกเขารวบรวมจำนวนยาหยุ่นลั้วได้เรียบร้อยแล้ว ได้แต่รอคำสั่งของมั่นถัวหลัวและจอมพลทั้งสาม ในเมื่อจวนยมโลกกล้าปีนเกลียวกันแบบนี้ พวกเขาก็ต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าต้องจ่ายราคาสูงระยับแค่ไหนในการทำเช่นนั้น!


“ผู้บัญชาการมู่เป็นจั้นเจินซือแล้วใช่ไหม?” เมื่อเห็นบรรยากาศพลุ่งพล่านรอบตัวทุกคน ซิวหลัวก็ยิ้มพลางมองไปทางมู่เฉิน


เมื่อเห็นสายตาของซิวหลัว มู่เฉินก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ


“ฮ่าๆ ได้ข่าวว่าผู้บัญชาการมู่ช่วยผู้บัญชาการเลี่ยซันและหน่วยรบกลั่นวิญญาณสงครามแล้วใช่ไหม?” ซิวหลัวยิ้มตาหยี


เมื่อผู้บัญชาการคนอื่นได้ยิน ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายทันที แต่ละคนมองมู่เฉินด้วยแววตาน้ำลายสอ ความตั้งใจของพวกเขาชัดเจนล้นเหลือ


เมื่อเห็นสายตาเหล่านี้ มู่เฉินถึงกับขนลุกชัน ผู้บัญชาการซิวหลัวข่าวไวจริงๆ เขายังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ถูกรู้เข้าแล้ว


แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่มีเหตุผลใดที่มู่เฉินจะปฏิเสธ เขายิ้มอย่างไม่คิดปิดบัง “ถ้าทุกคนไว้วางใจข้า สามารถนำหน่วยรบของเจ้ามาให้ข้าเพื่อกลั่นวิญญาณสงครามได้ แต่วิญญาณสงครามที่ถูกกลั่นโดยข้าจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไรก็ขอให้รับรู้ไว้ก่อน”


สิ่งที่เขาพูดก็คือการที่เขากลั่นวิญญาณสงครามก็จะมีรอยประทับของเขาหลงเหลืออยู่ ดังนั้นถ้าหน่วยรบหันกลับมาต่อต้านเขา แค่ความคิดสายเดียวของเขาก็เพียงพอจะทำลายรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาจนไม่เหลือซาก


แต่ถึงแม้จะรู้เรื่องนี้แล้วก็ไม่มีใครใส่ใจ “ผู้บัญชาการมู่ทำไปให้เต็มที่เลย”


พวกเขาไม่คิดว่าจะมีวันไหนต้องใช้หน่วยรบมาสู้กับมู่เฉิน เพราะหากสถานการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะต้องตกอยู่ในจลาจลแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่มีใครสนใจเรื่องนี้หรอก


เมื่อได้ยินเสียงคำอนุญาตของพวกเขา มู่เฉินก็ยิ้มพลางพยักหน้า “งั้นปล่อยเป็นหน้าที่ข้า อีกสามวันข้างหน้าข้าจะคืนหน่วยรบที่กลั่นวิญญาณสงครามเรียบร้อยให้พวกเจ้า”


ด้วยพลังในปัจจุบันของเขาในฐานะวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ ไม่ยากสำหรับเขาที่จะช่วยหน่วยรบเหล่านี้กลั่นวิญญาณสงคราม แต่เมื่อวิญญาณสงครามหลุดออกจากการควบคุมของเขา ความสามารถกองทัพที่จะปลดปล่อยออกมาก็จะลดลงอย่างมาก


แต่ไม่ว่าจะอ่อนแอแค่ไหน ก็ยังแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน ตอนนี้สงครามใหญ่กำลังจะมาถึง ถ้าพลังการต่อสู้ของกองทัพสามารถยกระดับเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย บางทีอาจสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงได้ ไม่ว่าอย่างไรการบำรุงกำลังนักรบเหล่านี้ ผู้บัญชาการทั้งหลายก็เสียพลังงานและทรัพยากรไปมาก


“ขอบใจสำหรับเรื่องนี้ผู้บัญชาการมู่!”


เมื่อคนอื่นเห็นมู่เฉินพยักหน้า พวกเขาก็ยินดีประสานมือขอบคุณทันที ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าทำไมพวกเลี่ยซันถึงได้สุภาพต่อมู่เฉินนัก กระทั่งเสี่ยยิงที่เคยกระทบกระทั่งกับจิ่วโยวและมู่เฉินก็ยังเต็มไปด้วยมารยาท ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถดูถูกตัวตนของมู่เฉินในฐานะจั้นเจิ้นซือได้


มู่เฉินยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติและตอบสนองต่อพวกเขาด้วยการยกมือคารวะ เขาไม่หยิ่งผยองเพียงเพราะตัวตนของเขาในฐานะจั้นเจิ้นซือ นี่ทำให้ผู้บัญชาการคนอื่นๆ พยักหน้าในใจ ถึงแม้ว่ามู่เฉินจะอ่อนอาวุโสมาก แต่เขาก็ไม่หยิ่งทะนงส้นฟ้าจนเกินไป ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกดี ความคิดที่ผ่านมาของพวกเขาที่มองมู่เฉินยังเด็กและไม่มีประสบการณ์ที่จะได้รับการจัดอันดับเดียวกับพวกเขาถูกกำจัดไปแล้ว


มู่เฉินไม่ได้พึ่งพามั่นถัวหลัวและจิ่วโยวเพื่อให้ตนเองมาได้ไกลขนาดนี้ เขาพึ่งพาความแข็งแกร่งและการทำงานหนักของตนเอง


สามวันถัดมาอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เตรียมกระบวนทัพ


ทุกหน่วยรบมีกำลังใจในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแผนการชั่วที่จวนยมโลกกระทำต่อพรรคพวกกระจายออก ทำให้นักรบทุกคนถึงกับเดือดดาล พวกเขารู้สึกภูมิใจที่เป็นสมาชิกของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เสมอ ทว่าตอนนี้จวนยมโลกจับตัวผู้บัญชาการปิงเหอไว้เพื่อประหารต่อหน้าธารกำนัล พวกมันตั้งใจจะเหยียบหัวกัน


ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะทนไม่ได้!


ขณะที่นักรบทุกคนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังเตรียมปะทะกับกองทัพจวนยมโลก ข่าวการชุมนุมก็ถูกกวนตัวในช่วงสามวันที่ผ่านมา ก่อนที่จะกระจายไปถึงหูของทุกขั้วอำนาจ


พื้นที่ส่วนในมีความปั่นป่วนบางส่วนเกิดขึ้นเช่นกัน บางคนที่ได้รับข้อมูลพิเศษก็รู้เรื่องผู้บัญชาการปิงเหอแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถูกจับตัวไปโดยจวนยมโลก ซึ่งนี่ทำให้หลายคนตกตะลึง ที่เรียกว่าการชุมนุมอาจเป็นลานประหารซะมากกว่า แต่…อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะง่ายต่อการฆ่าจริงเหรอ?


นั่นเป็นขั้วอำนาจสูงสุดที่ยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคทางเหนือมาหลายปีเหมือนกันนะ!


ด้วยความภาคภูมิใจของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาจะนั่งดูผู้บัญชาการของตนถูกประหารโดยจวนยมโลกได้อย่างไร? ดังนั้นคงจะเกิดการเผชิญหน้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่างสองยักษ์ใหญ่


หลายขั้วอำนาจที่มีประสาทสัมผัสว่องไวก็รู้สึกคลุมเครือว่าในการชุมนุมนี้ อาจจะเกิดการต่อสู้ดุเดือดที่สุดตั้งแต่เริ่มสงครามล่า ไม่แน่อาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอันดับขั้วอำนาจของสงครามล่าครั้งนี้ก็ได้


เพราะตอนนี้จอมยุทธ์ชั้นสูงทั้งหมดอยู่ในส่วนที่ลึกของสมรภูมิหยุ่นลั้วเพื่อค้นหาขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน หากหนึ่งในนั้นสามารถก่อหายนะหนักหน่วงกับกองทัพอื่นๆ ได้ก็จะเป็นข้อดีอย่างมาก


ดังนั้นการชุมนุมครั้งนี้จะต้องเป็นการเผชิญหน้าที่ดุเดือดที่สุด ก่อนการปรากฏขึ้นของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน


จึงไม่ควรพลาดการชุมนุมนี้อย่างเด็ดขาด


เมื่อเกิดความคิดซ่อนเร้นนี้ขึ้น ทุกขั้วอำนาจที่ยึดถือความคาดหวังเหล่านี้ก็เดินทางอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกระแสความปั่นป่วนในพื้นที่ด้านในทั้งหมด เงาร่างนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากทุกทิศทางเข้าไปในส่วนลึก


ในเวลาเดียวกันบนท้องฟ้าของหุบเขาขนาดใหญ่ กองทัพมหึมายืนตระหง่าน รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพวยพุ่ง ทำให้แม้แต่หุบเขายังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น


ซิวหลัว มู่เฉิน จิ่วโยวและผู้บัญชาการคนอื่นยืนอยู่หน้ากองทัพใหญ่ แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน สายตาของพวกเขาคมขึ้นกล้า ซิวหลัวค่อยๆ ยกมือขึ้นแล้วสะบัดมือลง น้ำเสียงเหี้ยมหาญดังก้องไปถึงขอบฟ้า


“กองทัพอาณาเขตสวรรค์เคลื่อนพล—ช่วยเหลือ!”


บทที่ 908 การชุมนุมของกลุ่มทั้งหมด

เทือกเขากู่ไหอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสมรภูมิหยุ่นลั้ว


พื้นที่กว้างใหญ่นี้ล้อมรอบไปด้วยดงเทือกเขาหนาแน่น กระดูกสีขาวผุพังนับไม่ถ้วนเผยถึงช่วงยุคที่ยาวนาน นั่นเป็นเพราะเจ้าของกระดูกเหล่านั้นก็คือจอมยุทธ์ชั้นยอดที่สิ้นชีพ ดังนั้นกระดูกของพวกเขาจึงได้ย้อมภูเขาแห่งนี้เป็นสีขาว…


มองจากที่ไกลราวกับภูเขาทั้งลูกถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่เมื่อใกล้เข้ามามากขึ้นก็จะสังเกตเห็นบรรยากาศที่น่าขนลุกพร้อมกับเถ้ากระดูกหมุนคว้างไปตามสายลม


เมื่อก่อนแทบไม่มีร่องรอยของผู้คนบนเทือกเขากู่ไห เพราะถึงแม้ว่าจะมีจอมยุทธ์จำนวนมากสิ้นชีพอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่มีซากอารยธรรมคุ้มค่าอยู่โดยรอบเลย ดังนั้นจึงไม่มีกองทัพใดเยี่ยมหน้ามาในสถานที่แห่งนี้


แต่วันนี้พื้นที่ห่างไกลกลับมีชีวิตชีวา ขับไล่บรรยากาศน่าขนลุกลงอย่างสิ้นเชิง…


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


เสียงพุ่งผ่านอากาศดังออกมาจากทุกทิศทาง ขณะที่ผู้คนหลั่งไหลมาไม่สิ้นสุด ก่อนที่จะพลิ้วตัวลงบนเทือกเขากู่ไหขนาดใหญ่


ที่ส่วนลึกของเทือกเขามีที่ราบขนาดหลายหมื่นจั้ง ถ้ามองจากบนท้องฟ้าก็จะพบว่ามันเป็นภาพพิมพ์ฝ่ามือที่กว้างใหญ่


เห็นได้ชัดว่ามีจอมยุทธ์ยุคโบราณทิ้งสิ่งนี้ไว้ต่างหน้าหลังจากทำลายภูเขาลง


ตอนนี้ทั่วบริเวณมีกองทัพต่างๆ พลิ้วลงมาจากท้องฟ้าล้อมรอบลานฝ่ามือนี้เอาไว้ พวกเขามองไปรอบๆ ความระมัดระวังตื่นขึ้น


กองทัพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างกัน เพราะทุกคนที่สามารถเข้ามาในพื้นที่ด้านในได้ล้วนมีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง พวกเขาอาจเคยต่อสู้กันมาก่อน ดังนั้นจึงมีความขุ่นเคืองที่ซับซ้อนระหว่างกัน มีแม้กระทั่งกองทัพบางส่วนมองอีกฝ่ายอย่างอาฆาตมาดร้าย จิตสังหารพวยพุ่งในดวงตา ราวกับว่าต้องการฉีกอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ


ทว่าความตั้งใจฆ่าไม่ได้ปะทุขึ้น เพราะทุกคนชัดเจนในใจว่าตัวเอกในการชุมนุมวันนี้เป็นขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือ แม้ว่าขั้วอำนาจอื่นจะสาดความดุร้ายใส่กันและกัน แต่พลังของพวกเขาก็ยังด้อยกว่า ดังนั้นคนที่ฉลาดก็ไม่โง่พอที่จะไปแย่งความสนใจของเจ้าภาพ


ขณะที่กองทัพต่างๆ ปรากฏรอบเทือกเขา ทันใดนั้นความโกลาหลขนาดใหญ่ก็กระจายมาจากส่วนลึกของเทือกเขากู่ไห จากนั้นทุกคนก็เห็นริ้วแสงพุ่งมาจากทุกทิศทางปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าบนพื้นที่กว้างใหญ่นี้ กระบวนทัพช่างยิ่งใหญ่นัก


เมื่อกองทัพอื่นมองไปที่พวกเขาก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “นั่นจวนยมโลก!”


เมฆดำพวยพุ่งข้ามขอบฟ้าพร้อมด้วยกองทัพสวมชุดเกราะสีดำและรัศมีจั้นยี่อันน่าขนลุกไหลออกจากร่างของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ แต่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังรู้สึกถึงไอเย็นบนผิว…


เบื้องหน้ากองทัพสง่างามของจวนยมโลกมีคนหลายคนยืนอยู่ มีคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุด เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีดำ ใบหน้าเรียวเล็กแต่ดวงตาของเขากลับเย็นชาน่าขนลุก


เยื้องไปข้างหลังก็คือใบหน้าคุ้นเคยของโยวหมิง ขณะที่ชายร่างผอมสวมชุดเกราะสีดำยืนอยู่ข้างเขา ริมฝีปากราวกับใบมีดยกขึ้นนิดๆ ทำให้เกิดความเฉียบคม


ชายคนนี้ก็คือจั้นเจิ้นซือซึ่งมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วสมรภูมิหยุ่นลั้วในตอนนี้…หลินหมิง!


กองทัพใต้บัญชาการของผู้บัญชาการปิงเหอพ่ายแพ้ให้เขา


ถัดจากทั้งสามก็เป็นร่างเงามากมายที่กำจายลอนคลื่นหลิงแข็งแกร่งรอบตัวซึ่งอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกทั้งหมด การจัดกระบวนทัพแบบนี้สามารถทำลายขั้วอำนาจชั้นสูงในภูมิภาคทางเหนือได้เลย


บนท้องฟ้า ชายที่สวมชุดเกราะหนักก็กวาดตามองกองทัพอื่นๆ ก่อนจะมองไปในระยะทางไกล ทันใดนั้นก็ยิ้มบางพลางเอ่ย “มากันพร้อมหน้าพร้อมตากันจริงๆ แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็แสดงตัวเถอะ”


น้ำเสียงราบเรียบของเขากระจายออกไป แต่การสะท้อนของคลื่นเสียงราวกับเสียงคำรณดังก้องไปมาระหว่างฟ้าดิน การกระเพื่อมของคลื่นเสียงกวาดไปยังขอบฟ้า


ในเทือกเขากู่ไหกองทัพอื่นๆ ต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ มีเพียงจอมยุทธ์ชั้นสูงบางคนเท่านั้นที่แววตาเกิดการสั่นไหว ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้นราวกับว่าสัมผัสอะไรบางอย่างได้…


ไม่นานหลังจากเสียงของชายวัยกลางคนจากจวนยมโลกดังกึกก้อง ฟ้าดินก็เริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันจากการกดขี่คลื่นหลิงอันทรงพลังทะลุผ่านมิติมาทำให้ทั้งเทือกเขาสั่นสะเทือน


ตู้ม! ตู้ม!


ขณะที่คลื่นหลิงกระเพื่อมไหว กองทัพอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้น ก่อนที่จะเห็นกระแสคลื่นหลากสีกวาดมาจากทุกทิศทาง ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจก็ฉีกขาดท้องฟ้าปรากฏตัวเหนือเทือกเขากู่ไหราวกับผืนเมฆ


กลุ่มคนที่เผยตัวในครั้งนี้ต่างกำจายความเผด็จการ ทำให้แม้แต่มิติโดยรอบยังบิดเบี้ยวไปจากการเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ของคลื่นหลิง ทำเอาขั้วอำนาจชั้นสูงบางส่วนถึงกับสวมสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ถอนหายใจในใจ มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างขั้วอำนาจชั้นสูงกับขั้วอำนาจสูงสุดจริงๆ


“หมู่ตึกเทวะ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตำหนักสุดนภา ยอดเขาหมื่นเทพ แดนปีศาจ และตำหนักเจ้าอสรพิษ…”


“ช่างเป็นการรวมตัวยิ่งใหญ่ยิ่งเมื่อรวมจวนยมโลกเข้าไปด้วย ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหมดของภูมิภาคทางเหนือก็แทบมากันครบแล้ว ถือเป็นการรวมตัวของนักรบผู้กล้าอย่างแท้จริง”


“การต่อสู้ชี้ชะตาของสงครามล่ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ความปั่นป่วนดังกล่าวกลับเกิดขึ้นแล้ว ดูท่าว่าการชุมนุมนี้ไม่มีทางจบอย่างสงบสุขแน่”


“หึ สู้กันให้ตายไปเลย ถ้าขั้วอำนาจสูงสุดเหล่านี้ไม่ต่อสู้กัน เราจะลืมตาอ้าปากได้อย่างไร พวกเขามีทรัพยากรมากเกินไปแล้ว”


“…”


พื้นที่บนท้องฟ้าที่ขั้วอำนาจสูงสุดต่างๆ ยึดครองดึงดูดเสียงพึมพำนับไม่ถ้วนจากขั้วอำนาจอื่นๆ พวกเขาเกิดความคาดหวังและแผนการถักทอขึ้นในใจ


แต่เห็นได้ชัดว่าพร้อมกับที่ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหลายปรากฏตัว การชุมนุมครั้งนี้ก็สมชื่อแล้วสมชื่อแล่ว


ขณะที่เสียงกระซิบดังก้อง มู่เฉินที่ยืนอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็มองไปยังจวนยมโลกเป็นอันดับแรก


เมื่อมู่เฉินเห็นชายวัยกลางคนสวมเกราะสีดำ ร่างเขาก็เกร็งขึ้น เขารู้สึกอย่างชัดเจนถึงภัยคุกคามหนาแน่นที่มาจากอีกฝ่าย


“ชายชุดดำคนนั้นก็คือผู้บัญชาการเทียนเสียแห่งจวนยมโลก เขามีตำแหน่งสูงมาก ข้าเกรงว่าเขาจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว ท่ามกลางผู้บัญชาการของพวกเรา คงมีแต่ซิวหลัวเท่านั้นสามารถต่อกรได้” จิ่วโยวพุ่งสายตาไปทิศทางเดียวกันกับมู่เฉิน นางพูดด้วยเสียงต่ำที่เต็มไปด้วยความยำเกรง


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็หดดวงตาพลางผงกหัว ขณะที่กำลังจะพูดก็เหลือบไปเห็นหลินหมิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเทียนเสีย อีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นแปลกประหลาด มองมาที่เขาราวกับว่าเป็นเหยื่อ…


เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน หลินหมิงก็ยกริมฝีปากขึ้นเป็นมุมโค้งน่าขนลุก เขาเลียริมฝีปากด้วยลิ้นสีแดงสด ความโลภพล่านในดวงตา


“นั่นหลินหมิง ปิงเหอถูกเขาจับไปได้” จิ่วโยวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นกระด้าง


มู่เฉินพยักหน้าขณะที่มองสายตาแปลกประหลาดของหลินหมิง ก่อนที่ดวงตาเขาจะหรี่แคบลงแล้วหลุบต่ำ แสงอันตรายกะพริบอยู่ภายใน


มู่เฉินไม่ได้สนใจการยั่วยุของหลินหมิง เขาเบนสายตาไปยังทิศทางอื่น ซึ่งเป็นกองทัพใหญ่ของหมู่ตึกเทวะ


ยืนอยู่แถวหน้าของหมู่ตึกเทวะเป็นชายผมขาว ร่างเขากำยำมาก ทำให้คนอื่นรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างรุนแรง ราวกับมีรัศมีมังกรพุ่งออกมาจากดวงตาเขา


ภัยคุกคามที่กำจายออกไปนั้น ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทียนเสียเลย


“นั่นคือเทียนหลงจู่แห่งหมู่ตึกเทวะเป็นเจ้าภูเขาที่แข็งแกร่งที่สุด…” จิ่วโยวพูดต่อ “ที่ด้านข้างเขาก็คือแม่ทัพใหญ่ตำหนักสุดนภาที่แข็งแกร่งที่สุดเทียนเสิน”


“ตาแก่สวมชุดขาวจากยอดเขาหมื่นเทพ มีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่ เรียกขานกันว่าผู้อาวุโสเซิ่ง…” จิ่วโยวชี้ไปทางผู้อาวุโสสวมเสื้อคลุมสีขาวที่ยืนอยู่หน้ายอดเขาหมื่นเทพ ในมือถือไม้เท้าอสรพิษ


“อีกคนจากแดนปีศาจก็คือเยาเซียนจื่อ นางมีชื่อเสียงมากและเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังในภูมิภาคทางเหนือเช่นกัน” ในทิศของแดนปีศาจ หญิงสวมชุดแดงมีเสน่ห์เหลือล้นยืนอยู่ แต่ขณะที่นางกวาดมองไปรอบๆ ก็มีประกายแสงวาบผ่านดวงตาไปทำให้ดูตระการตามาก


“นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสวั้นหมั่งแห่งตำหนักเจ้าอสรพิษ…”


จิ่วโยวมองไปรอบๆ และแนะนำจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละกองทัพ เมื่อมู่เฉินได้ยินการแนะนำจบลงหัวใจก็สั่นระรัว การชุมนุมครั้งนี้ขั้วอำนาจสูงสุดทุ่มสุดตัวแท้จริง หากพวกเขาปะทะกันก็จะเป็นหายนะใหญ่หลวง


มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะรู้สึกถึงสายตาที่พุ่งมาหา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นจินไถหลิวหลีสวมชุดขาวยืนอยู่


ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันวูบหนึ่ง ก่อนที่จะเบนสายตาออกไป เป็นปกติที่พวกเขาไม่สามารถเปิดเผยช่องโหว่ใดในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าพวกเขาจะเคยทำงานร่วมกัน แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในฝั่งเดียวกันในขณะนี้


“ฮ่าๆ จวนยมโลกของข้าขอแสดงความขอบคุณก่อนที่ทุกคนมาที่นี่” คลื่นหลิงแผ่กระจายออกไป เทียนเสียแห่งจวนยมโลกก็ยิ้มกล่าวพลางประสานมือคารวะ


ทว่าสนองต่อคำทักทายนั่น ซิวหลัวทำเพียงยกเปลือกตาขึ้น เขาไม่ได้สุภาพกับอีกฝ่ายเลย เสียงที่อัดแน่นด้วยไอสังหารซึ่งทำให้จิตใจของผู้อื่นเย็นสะท้านดังก้อง เขาพูดอย่างช้าๆ ซึ่งนั่นทำให้กองทัพอื่นๆ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ศึกหลักจะเกิดขึ้นแล้วเหรอ…


“ผู้บัญชาการเทียนเสีย จะคืนคนหรือจะสู้กัน จวนยมโลกเลือกมาเลย”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)