หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 891-896

 บทที่ 891 ยมทูตโลหิตสังหารหวนคืน

ครืน!!!


ในดินแดนมืดมิดนี้ เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเมื่อเทียบกับก่อนหน้า กองทัพนักรบผีดิบที่ขัดขวางการเข้ามาของกองทัพต่างๆ สลายหายไปพร้อมกับการทำลายล้างของวิญญาณชั่วร้ายในร่างจักพรรดิเทียนเจิ้น


เมื่อนักรบผีดิบสลายไป ไอหยุ่นลั้วในร่างกายก็ถูกปลดปล่อยออกมากระจายทั่วฟ้าดิน


เมื่อกองทัพต่างๆ เห็นฉากนี้ ดวงตาแต่ละคนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที แววตาอัดแน่นไปด้วยความหิวกระหาย เพราะเหตุผลสำคัญที่พวกเขาเข้ามาในซากอารยธรรมความตายก็เพื่อกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้ว


ซากอารยธรรมความตายนี้อยู่ในระดับหนึ่ง ปริมาณไอหยุ่นลั้วที่อยู่ภายในสามารถกลั่นจนได้เม็ดยาหลายแสนเม็ด ซึ่งเป็นจำนวนที่น่าตกใจมากเลยทีเดียว


ปริมาณเม็ดยาหยุ่นลั้วเหล่านี้เพียงพอที่จะทำลายผนึกขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเลยทีเดียว ตราบใดที่พวกเขาคว้าเอามาได้ กองทัพของพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถทำลายผนึกหลังจากที่พบขุมทรัพย์นั่น


ดังนั้นแม้แต่กองทัพชั้นนำของภูมิภาคทางเหนืออย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หมู่ตึกเทวะ และตำหนักสุดนภาก็ยังถูกล่อลวงด้วยปริมาณเม็ดยาเหล่านี้


ความจริงก็เป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อกองทัพผีดิบกลายเป็นไอหยุ่นลั้วกระจายไปทั่วฟ้าดิน กองทัพชั้นสูงก็ลงมือโดยไม่ลังเล แต่ละฝ่ายเริ่มแย่งชิงไอหยุ่นลั้วกันอย่างบ้าคลั่ง


การกระทำของพวกเขา ทำให้กองทัพต่างๆ ก็ไม่เต็มใจจะรั้งท้าย แต่ละคนเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน


ดังนั้นต่อหน้าไอหยุ่นลั้วมหาศาล พันธมิตรชั่วคราวที่ก่อตั้งขึ้นก่อนหน้าก็สลายเป็นควัน


แม้ว่าไอหยุ่นลั้วจะเข้มข้นมากแต่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้การแย่งชิงของสามขั้วอำนาจสูงสุดและกองทัพอื่นๆ หลังจากนั้นการต่อสู้ก็ระเบิดขึ้นอย่างสมบูรณ์


จากนั้นกองทัพต่างๆ ก็หันหากันเพื่อฉกฉวยไอหยุ่นลั้ว แม้ว่าสามขั้วอำนาจสูงสุดจะเริ่มจากการกำจัดกองทัพที่อ่อนแอก่อน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เสือร้ายสามตัวจะอยู่ในถ้ำเดียวกัน


ดังนั้นไม่นานเสือร้ายทั้งสามก็เริ่มปะทะกัน แต่สิ่งที่ทำให้คนอื่นตกใจก็คือเสือสองตัวดันร่วมมือกันเพื่อกำจัดเสืออีกตัวให้สิ้นซาก


แล้วเสือที่ถูกรุมก็คืออาณาเขตกงเวทสวรรค์


นั่นเพราะเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสามขั้วอำนาจสูงสุด ตอนนี้พวกเขาอ่อนแอลงอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากพลกำลังทั้งหมดถูกมู่เฉินนำไป ยิ่งเมื่อมู่เฉินหายตัวไปก็เป็นไปไม่ได้ที่นักรบจะทำลายค่ายกลด้วยพลังที่ตนเองมี ดังนั้นยามนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงอ่อนแอลงไปหลายส่วน


แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีหน่วยรบทั้งห้า แต่เสือร้ายก็ไม่ทิ้งลาย ผู้บัญชาการทั้งหกเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่แท้จริง พวกเขาประสานพลังทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะถูกล้อมรอบด้วยกองทัพใหญ่ทั้งสอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกหกคน


ครืน!


คลื่นหลิงรุนแรงทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นในดินแดนที่มืดมิดนี้ ขณะที่คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวกวาดหายนะไปทั่ว ทำให้เกิดรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้นดิน


ปัง! ปัง!


บนท้องฟ้า ริ้วแสงปะทะกันปลดปล่อยการโจมตีที่น่ากลัว ทุกการปะทะทำให้มิติบิดเบือน


ทว่าพื้นที่ส่วนนี้ถูกควบคุมอย่างชัดเจนโดยหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภา ทั้งสองล้อมกรอบผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เอาไว้


“ฟิ้ว!”


บนท้องฟ้า จิ่วโยวสาดสีหน้าเย็นชา กระบี่ยาวขนสีนกดำในมือลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วง เจาะทะลุมิติอัดแม่ทัพฟ้าคนหนึ่งของตำหนักสุดนภากระเด็นถอยไป


ตู้ม!


ขณะที่บีบให้แม่ทัพฟ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกของตำหนักสุดนภาถอยไป คลื่นหลิงน่ากลัวก็พัดวาบมาจากเบื้องหลังของนาง เจ้าภูเขาเอ่อแห่งหมู่ตึกเทวะปรากฏในพริบตาและซัดกำปั้นเหล็กออกมา คลื่นหลิงแปรเปลี่ยนเป็นจระเข้สวรรค์ตัวใหญ่พุ่งเข้าหาจิ่วโยวอย่างดุร้าย


ใบหน้าของจิ่วโยวเย็นชาลงหลายส่วนขณะที่วาดตราประทับ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างถักทอเป็นวิหคอนธโลกันตร์ขนาดใหญ่เมื่อปีกกระพือ ลมใบมีดก็ผ่าท้องฟ้าลงมาปะทะกับจระเข้สวรรค์


ปัง!


คลื่นหลิงรุนแรงระเบิดออก ทำให้เกิดรอยร้าวบนมิติ ร่างทั้งคู่ถลากลับไปก่อนที่จะเร้าคลื่นหลิงของตัวเองเพื่อทรงตัวไว้ ใบหน้าแต่ละดวงค่อนข้างเคร่งเครียด


“ฮ่าๆ จิ่วโยว พวกแกหยุดต่อต้านได้แล้ว ประจันหน้ากับหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาแบบนี้ พวกแกแพ้แน่ ถ้ายอมมอบเม็ดยาหยุ่นลั้วมาซะดีๆ พวกข้าอาจจะปล่อยให้พวกแกไปก็ได้!” เจ้าภูเขาเอ่อจ้องจิ่วโยวขณะที่หัวเราะสาแก่ใจ


ขณะที่เจ้าภูเขาเอ่อกำลังหัวเราะ แม่ทัพฟ้าที่กระเด็นออกไปโดยจิ่วโยวก็พุ่งเข้ามา ล้อมหน้าล้อมหลังจิ่วโยวเอาไว้


เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสองคนแม้แต่จิ่วโยวก็ยังเสียเปรียบ ทว่าไม่มีริ้วความกลัวบนใบหน้าเลย นางพูดเสียงเยือกเย็น “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกแกมีความกล้าพอที่จะแย่งเม็ดยาไปได้ไหม ถ้าคิดจะล้างบางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็เตรียมตัวที่จะได้พักผ่อนอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์เลย มีใครกล้าไหมล่ะ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของจิ่วโยว สีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนไป แม้ว่าหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาจะจับมือกันเพื่อจัดการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขายังต่างระมัดระวังอีกฝ่าย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะโง่จ่ายราคามหาศาลปล่อยให้อีกฝ่ายได้รับประโยชน์


เนื่องจากพวกเขาต้องเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน สถานการณ์ยามนี้จึงอยู่ในสภาวะชะงักงัน แม้ว่าจะร่วมมือกันแล้วก็ตาม


“ฮ่าๆ จิ่วโยวพูดถูก ถ้าพวกแกต้องการรับผลประโยชน์ก็ต้องมีคนใช้ชีวิตมาจ่าย!” เลี่ยซันที่กำลังสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่ทรงพลังที่สุดของทั้งสองกองทัพก็หัวเราะร่วนออกมา เสียงหัวเราะราวกับฟ้าคำรน จิตสังหารที่แฝงในน้ำเสียงทำให้หัวใจผู้คนสั่นสะเทือน


“หึ ทุกคนไม่ต้องกลัว ถ้าเราไม่สามารถจัดการพวกมันได้แม้ว่าจะร่วมมือกัน ก็คงไม่สามารถไปรายงานกับท่านประมุขได้” ในระยะไกลฟังยี่ที่เฝ้ามองสถานการณ์ก็พ่นคำพูดออกมาอย่างเย็นชา


“ใช่เลย ตำหนักสุดนภาจงฟังจัดการพวกมันให้สิ้นซาก ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อเม็ดยาหยุ่นลั้วแค่นี้” หลิ่วเหยียนเค้นเสียงเย็นออกมา


เมื่อจอมยุทธ์จากหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาได้ยิน พวกเขาก็ผงกหัว แม้พวกเขาจะรักษาชีวิต แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้สถานการณ์ได้เปรียบนี้เสียไป ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการจัดการพวกอาณาเขตกงเวทสวรรค์


“ลงมือให้สุดกำลัง”


จอมยุทธ์ทั้งสองฝั่งแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะพยักหน้าปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ราวกับพายุพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างกาย


เมื่อเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เห็นภาพนี้หัวใจก็ดิ่งลง แต่จากนั้นก็กัดฟันแน่น พวกเขาต้องทุ่มทุกอย่างลงไปภายใต้สถานการณ์นี้แล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถลากเวลาออกไป จนกว่ามู่เฉินจะกลับมาพร้อมกับหน่วยรบทั้งห้า พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น เวลานั้นพวกเขาก็จะสามารถปราบปรามหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาได้


ทว่าขณะที่พวกเขากำลังจะพุ่งเข้าโรมรัน เสียงร้องแหลมก็ดังก้องทั่วฟ้าดิน ทำให้ใบหน้าของจอมยุทธ์แต่ละสำนักเปลี่ยนไปทันควัน “มู่เฉิน ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่นอน!”


เสียงกรีดร้องกะทันหัน ทำให้จอมยุทธ์จากกองทัพต่างๆ อึ้งไป ก่อนที่จะหันหัวไปมองยังค่ายกลที่วินาศสันตะโร พวกเขาเห็นร่างเงาจินไถหลิวหลีทะยานออกมาในสภาพน่าอนาถ ที่เบื้องหลังกองทัพผลึกฟ้าที่มีความยิ่งใหญ่สง่างามในตอนแรกก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยจากสภาพน่าสงสารของจินไถหลิวหลี ไม่มีท่าทางแข็งกร้าวเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว


“มู่เฉิน?”


เหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลี เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินทำสำเร็จแล้ว!


“ไอ้นั่นยังไม่ตายอีก!” หลิ่วเหยียนเผยสีหน้ามืดมนขณะกัดฟันกรอด


ใบหน้าฟังยี่ก็มืดครึ้มลงหลายส่วน แต่โชคดีที่เขาตระหนักว่าจินไถหลิวหลีสำคัญเพียงใด ดังนั้นเขาจึงทะยานออกไปรับตัวนางไว้ได้ทันท่วงที พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”


จินไถหลิวหลีเช็ดคราบเลือดออกจากมุมปาก ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “ไอ้บ้ามู่เฉินจะมาแย่งมรดกของข้า ทำให้ข้าบาดเจ็บ”


“มรดกถูกเขาเอาไปรึ?” ใบหน้าของฟังยี่เปลี่ยนไปอย่างมาก


“เขากับข้าได้รับมรดกคนละครึ่ง” สายตาของจินไถหลิวหลีวูบไหว นางไม่กล้าพูดว่าตัวเองไม่ได้อะไรเลย เพราะนั่นจะเป็นการลดสถานะของตัวเองในหมู่ตึกเทวะ ทำให้สูญเสียทรัพยากรจำนวนมาก


เมื่อได้ยินคำพูดของนางฟังยี่ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงน่าขนลุก “ไม่เป็นไร ถ้ามันกล้าออกมา เราจะให้มันคายมรดกคืน!”


พูดจบสายตาก็เลื่อนไปที่ค่ายกลวินาศสันตะโร ขณะที่มวลลมดังสนั่นออกมาจากทิศทางนั้น หน่วยรบทั้งห้าทะยานออกมาราวกับกองทัพตั๊กแตกบุก สร้างกระบวนทัพน่าอัศจรรย์


เหนือกองทัพทั้งห้า มีร่างเงาหนึ่งสยายปีกทองคำอยู่ ม่านตาสีดำอัดแน่นด้วยไอเย็นยะเยือก สายตาจ้องไปที่กลุ่มของฟังยี่เช่นกัน


จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นอย่างช้าๆ แล้วสะบัดลงกะทันหัน ขณะที่เสียงตะโกนเต็มไปด้วยจิตสังหารดังก้อง


“ห้าหน่วยรบฟังคำสั่ง ลุย!”


ตู้ม!


รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดออกมาราวกับระลอกคลื่นมหึมาทั่วฟ้าดิน วิญญาณสงครามทั้งห้ายืนตระหง่านอยู่ด้านหลังมู่เฉินพร้อมกับแรงกดดันของรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงกลัว


ภายใต้วิญญาณสงครามทั้งห้า มู่เฉินราวกับยมฑูตโลหิตสังหารหวนคืน รัศมีของเขาทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอย่างเจ้าภูเขาเอ่อยังตัวแข็งทื่อ


ไม่รู้เพราะเหตุใดพวกเขารู้สึกว่ามู่เฉินตอนนี้อันตรายมากกว่าเมื่อก่อนหลายขุม


บทที่ 892 ใกล้เคียง

ครืน!


รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระจายไปทั่วฟ้าดิน หน่วยรบทั้งห้าทะยานเข้ามา มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไม่มีที่สิ้นสุดรวมตัวกันเหนือพวกเขา มองเห็นวิญญาณสงครามขนาดมหึมาทั้งห้าอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้ ซึ่งก่อให้เกิดแรงกดดันน่าอัศจรรย์ เสียงคำรามลึกอัดแน่นสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก


การปรากฏขึ้นพร้อมกันของวิญญาณสงครามทั้งห้าเป็นฉากสะเทือนใจอย่างยิ่ง ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาก็ยังฉายสีหน้าตกใจ ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม


“ในที่สุดผู้บัญชาการมู่ก็ออกมา” เหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์รู้สึกโล่งใจมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาลำบากแค่ไหนเมื่อเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจทั้งสอง หากไม่ใช่เพราะพวกเขามีพื้นพลังแข็งแกร่ง พวกเขาอาจถูกหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาเขมือบไปแล้วก็ได้


แต่โชคดีที่พวกเขายังยืนหยัดได้จนมู่เฉินกลับออกมา ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายบวกกับการบัญชารัศมีจั้นยี่ของทั้งห้าหน่วยรบ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังต้องเกรงกลัวเขา ในแง่ของการข่มขวัญมีความแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์แบบเลี่ยซันหลายส่วนเลยด้วยซ้ำ


ทว่าตรงกันข้ามกับความสุขของพวกเขา ฟังยี่และหลิ่วเหยียนฉายสีหน้ามืดมนกับการปรากฏตัวของมู่เฉิน แต่ละคนสาดไอเย็นเยือกในดวงตา


“พี่ฟังไม่ง่ายเลยที่เราจะขังพวกมันไว้ได้ เราจะปล่อยให้เจ้านั้นทำลายแผนนี้ไม่ได้!” หลิ่วเหยียนมองไปที่ฟังยี่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


ฟังยี่พยักหน้าพลางขมวดคิ้ว ตอนนี้จอมยุทธ์ชั้นนำของกองทัพพวกเขาเข้าโรมรันกับเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาจึงไม่สามารถกระจายกำลังจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกคนใดเพื่อไปจัดการกับมู่เฉิน แค่พวกเขาสองคนชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ควบคุมกองทัพทั้งห้า


“หลิวหลี เจ้ายังสู้ไหวไหม?” ฟังยี่หันไปทางด้านข้างมองจินไถหลิวหลีที่มีใบหน้าซีดเซียว หากนางยังสามารถบัญชากองทัพผลึกฟ้าได้ ก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะขัดขวางมู่เฉิน


แต่จินไถหลิวหลีกลับส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่นกับความคาดหวังของเขา “ไม่ไหว ข้าได้รับบาดเจ็บหนักเกินไป หากฝืนบัญชารัศมีจั้นยี่ข้าจะโดนตอบโต้แน่”


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟังยี่ก็รู้สึกผิดหวัง ทว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสภาพบาดเจ็บภายนอกของจินไถหลิวหลีดูไม่ดีนัก ดังนั้นเขาไม่สามารถบังคับให้นางบัญชากองทัพผลึกฟ้าเพื่อจัดการกับมู่เฉิน เพราะนี่คือกองทัพที่หมู่ตึกเทวะดูแลมาอย่างดีด้วยทรัพยากรมหาศาล หากสูญเสียกองทัพนี้ ก็จะเป็นการสูญเสียใหญ่หลวงสำหรับสำนักเลยทีเดียว


“ปล่อยมู่เฉินให้ข้าจัดการ”


ขณะที่ฟังยี่กำลังปวดหัวหนึบ เสียงหัวเราะน่าขนลุกก็สะท้อนออกมา ในเนื้อเสียงอัดแน่นไปด้วยความเย่อหยิ่ง เมื่อมองที่มาของเสียงฟังยี่ก็เห็นเซียวเทียนเดินออกมาจากด้านหลังของหลิ่วเหยียน


“แม้ว่าหน่วยรบสุดนภาของข้าจะได้รับความเสียหายบ้างในค่ายกลมังกรคราม แต่ก็ยังเป็นกองทัพที่สมบูรณ์ ส่วนกองทัพของมู่เฉินเป็นพวกยำใหญ่ ง่ายราวกับพลิกมือที่ข้าจะทำลายมัน” ขณะที่เซียวเทียนพูด ก็เบนสายตาน่ากลัวมองจินไถหลิวหลี ถ้าไม่โดนนางหลอกไปละก็ เขาคงไม่ต้องต่อสู้ในค่ายกลมังกรคราม จนทำให้หน่วยรบสุดนภาประสบกับความสูญเสีย มิหนำซ้ำยังสูญเสียสิทธิ์ไม่ได้รับมรดกจากจักรพรรดิเทียนเจิ้นอีก


ทว่าจินไถหลิวหลีไม่แยแสกับสายตานี้ ไม่มีปฏิกิริยาใดเลย


“งั้นต้องรบกวนพี่เซียวแล้ว” ฟังยี่รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยิน อันที่จริงเซียวเทียนก็ทรงพลังมากเมื่อเข้าบัญชารัศมีจั้นยี่ สาเหตุที่เขาไม่สามารถทะลวงผ่านค่ายกลได้ เนื่องมาจากเขาโชคร้ายปะทะกับค่ายกลมังกรครามที่แข็งแกร่งที่สุด


ยิ่งไปกว่านั้นหน่วยรบสุดนภาของเซียวเทียนก็ดูแข็งแกร่งกว่าหน่วยรบทั้งห้าของมู่เฉิน เมื่อเขาลงมือต่อให้ไม่สามารถกำจัดมู่เฉินได้ แต่ก็คงไม่ยากที่จะกักตัวเอาไว้


พอได้ยินคำพูดของฟังยี่ มุมปากของจินไถหลิวหลีก็ฉายแววเยาะเย้ยโดยไม่มีใครสังเกต พวกโง่นี้ดูแต่พื้นผิวเท่านั้น ในเมื่อมู่เฉินสามารถตีค่ายกลเต่าดำแตกในเวลาเดียวกันกับนางด้วยหน่วยรบที่แตกต่างกันทั้งห้าได้ นั่นก็หมายความว่าเขามีศักยภาพสูงเกี่ยวกับค่ายกลศึก ถ้าไม่ใช่เพราะรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างทั้งห้าควบคุมยาก เขาอาจจะเป็นคนแรกที่ฝ่าฟันค่ายกลไปได้ แม้แต่นางก็ตามเขาไม่ติดฝุ่นเลย


แต่นางไม่ชอบขี้หน้าเซียวเทียน ดังนั้นก็เป็นปกติที่นางจะไม่พูดอะไรเพื่อเตือนเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางได้แต่มองจากด้านข้างอย่างเฉยเมย


“แต่ถ้าข้าสามารถจัดการกับมันได้ ข้าคิดว่าหมู่ตึกเทวะควรให้ข้ามีส่วนร่วมในการสืบทอดของจักรพรรดิเทียนเจิ้นด้วยไหม?” สายตาของเซียวเทียนกวาดมาขณะที่เปล่งเสียงหัวเราะ


เมื่อหลิ่วเหยียนได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “ใช่ พี่ฟังในเมื่อเราร่วมมือกัน เจ้าจะปล่อยให้พวกข้าทำงานเสียเปล่าไม่ได้นะ”


ฟังยี่ขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองไปที่จินไถหลิวหลี เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะกัดฟัน “ได้! ตราบใดที่เจ้าสามารถกำจัดมู่เฉินได้ เจ้าก็จะได้รับส่วนแบ่งในการสืบทอดของจักรพรรดิเทียนเจิ้น!”


“ฮ่าๆ พี่ฟังช่างใจกว้าง งั้นมาดูกันว่าข้าจะเด็ดหัวมันยังไง!” เซียวเทียนดีใจมาก จากนั้นก็มองใบหน้าเย็นชาของจินไถหลิวหลีด้วยท่าทางโอ้อวดก่อนจะโบกมือ ที่เบื้องหลังเขาหน่วยรบสุดนภาซึ่งมีนักรบมากกว่าสองหมื่นคนก็ระเบิดเสียงคำรามที่น่าตกใจ ขณะที่รัศมีจั้นยี่กวาดออกไปราวกับพายุ


ฟิ้ว!


เซียวเทียนทะยานนำออกไป หน่วยรบสุดนภาก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด ราวกับเมฆดำทะมึนมหึมาปรากฏที่เบื้องหน้าเฉินและหน่วยรบทั้งห้า ขัดขวางเส้นทางเอาไว้


“มู่เฉิน ถ้าข้าเป็นแก ตอนนี้จะรีบหันกลับหนีไป ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่มีกระทั่งโอกาสในการหนี” เซียวเทียนยืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่เค้นเสียงเยือกเย็นมองมู่เฉินด้วยท่าทางน่าขนพองสยองเกล้า


เผชิญหน้ากับการท้าทายของเซียวเทียน มู่เฉินก็ทำเพียงยิ้มอย่างไม่แยแสแล้วปัดมือ “ไสหัวไป”


เมื่อประจันหน้าเซียวเทียน การโต้ตอบของมู่เฉินก็ทั้งหยาบกระด้างและเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่า


“รนหาที่ตาย! แกคิดจริงๆ หรือว่าต่อสู้กับข้าได้ครั้งหนึ่ง จะมีคุณสมบัติทำหยิ่งกับข้า?”


ใบหน้าของเซียวเทียนมืดดำราวกับคั้นน้ำออกมาได้ เขามองมู่เฉินแบบจะกินเลือดกินเนื้อ “เดี๋ยวรอให้ข้าสังหารพรรคพวกแกให้หมด ข้าจะดูสิว่าแกยังกล้าพูดเย่อหยิ่งแบบนี้อีกไหม!”


“ตู้ม!”


เซียวเทียนโบกมือ รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากกวาดออกมาที่เบื้องหลัง ก่อร่างเป็นวิญญาณสงครามอสรพิษซึ่งมีขนาดใหญ่โตและดุร้ายกว่าก่อนหน้าที่เคยสู้กับมู่เฉินเสียอีก เมื่อเทียบกับวิญญาณสงครามของฝั่งมู่เฉินก็มีขนาดใหญ่กว่ามาก รัศมีจั้นยี่ที่พ่นออกมาพร้อมกับเสียงขู่ฟ่อ เผามิติโดยรอบเป็นเถ้าถ่านราวกับลาวาไหล


“ฟิ้ว!”


เมื่ออสรพิษยักษ์ก่อตัวขึ้นก็ไม่ได้ให้เวลามู่เฉิน มันพุ่งตัวทะลวงมิติพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ลุกโชติช่วงพ่นออกมาจากปากราวกับลมหายใจของมังกร ห่อหุ้มวิญญาณสงครามทั้งห้าไปทุกทิศทาง


โฮก!


วิญญาณสงครามทั้งห้าปลดปล่อยเสียงคำรามลั่นฟ้า รัศมีจั้นยี่ไม่มีที่สิ้นสุดห้าสายกวาดทะลุมิติ ปะทะกันจังใหญ่กับรัศมีจั้นยี่ที่ลุกโชติช่วงที่พุ่งเข้ามา ช่วงเวลาที่เกิดการชนกันนั้นคลื่นกระแทกก็กระจายตัว ทำให้มิติโดยรอบสั่นสะเทือนจากแรงที่เกิดขึ้น


วาบ!


ขณะที่คลื่นกระแทกสร้างหายนะ วิญญาณสงครามทั้งห้าก็ไม่มีความหวาดเกรง พวกมันกระโจนออกไปภายใต้การบัญชาของมู่เฉิน


“หึ!”


เซียวเทียนส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ขณะที่วิญญาณสงครามอสรพิษพุ่งออกมาจากด้านหลังเขาเช่นกัน บนร่างใหญ่โตมีลวดลายกะพริบวูบวาบ ซึ่งทำให้ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง


ตู้ม! ตู้ม!


วิญญาณสงครามทั้งหกปะทะกันบนท้องฟ้า ปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดราวกับสัตว์อสูร ทว่าพลังที่มีมันเหนือชั้นกว่ามาก


ทุกการปะทะกันทำให้มิติโดยรอบสั่นไหว แต่เผชิญกับการล้อมกรอบของวิญญาณสงครามทั้งห้า วิญญาณสงครามอสรพิษก็ไม่เกรงกลัว มันใช้รัศมีจั้นยี่ครอบงำที่เหนือชั้นกว่าผลักอีกฝ่ายคืนในทุกกระบวนท่า เมื่อมองจากการโจมตีของวิญญาณสงครามทั้งห้า ก็ไม่ได้กีดขวางวิญญาณสงครามอสรพิษมากนัก


“ฮ่าๆ มู่เฉิน แกคิดว่ากองทัพมั่วซั่วนี้จะเปรียบกับกองทัพชั้นยอดของข้าได้เรอะ? แม้ว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกัน แต่รัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบสุดนภาก็เกินกว่าน่วยรบทั้งห้าของแก!” เซียวเทียนอดใจเยาะเย้ยจากภาพที่เห็นไม่ได้


จากที่ไกลเมื่อฟังยี่และหลิ่วเหยียนเห็นเซียวเทียนได้เปรียบในการเผชิญหน้า พวกเขาก็ทอดถอนใจโล่งใจ ก่อนที่จะสั่งให้เหล่าจอมยุทธ์เร่งเผด็จศึกผู้บัญชาของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


จินไถหลิวหลีจ้องมองฉากนี้อย่างเย็นชา ถ้ามู่เฉินมีแค่วิธีการแค่นี้ เขาก็ไม่สามารถผ่านค่ายกลเต่าดำได้ดังนั้นเร็วเกินไปที่พวกเซียวเทียนจะยินดี


ห่างออกไปมู่เฉินก็มองวิญญาณสงครามอสรพิษที่ปลดปล่อยพลังเกรี้ยวกราดออกไปอย่างเรียบเฉย สายตาวูบไหวขณะที่พึมพำกับตัวเอง “วิญญาณสงครามของเซียวเทียนมีลวดลายจั้นเหวินเกือบแปดพันลาย…”


จากการทดสอบก่อนหน้า เขาสังเกตได้ว่าตอนนี้วิญญาณสงครามของเซียวเทียนมีลวดลายจั้นเหวินแปดพันลาย ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก


ทว่าถ้าคิดจะเอาชนะคนอย่างมู่เฉินด้วยลวดลายจั้นเหวินเพียงแปดพันลาย เซียวเทียนก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว


ดวงตามู่เฉินกะพริบ จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าลงไปพร้อมกับคลื่นจิตในใจเคลื่อนไหว วิญญาณสงครามทั้งห้าที่กำลังปลดปล่อยการโจมตีใส่อสรพิษร้ายก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะกระแทกกันอย่างรุนแรงภายใต้สายตาตกตะลึงที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน


ครืน!


รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระจายออกขณะที่วิญญาณสงครามที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงทั้งห้าโถมใส่กัน ความผันผวนรุนแรงก่อให้เกิดระลอกคลื่นในมิติโดยรอบจากการสั่นสะเทือนนี้ พวกมันก่อร่างเป็นวงแสงขนาดมหึมาที่มีมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พล่านอยู่ข้างใน


“แกกล้ารวมรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างกันห้าแบบเข้าด้วยกันเรอะ ไม่กลัวผลสะท้อนกลับรึไง? แกคิดว่าตัวเองเป็นจั้นเจิ้นซือเรอะ?!” ม่านตาเซียวเทียนหดลงเมื่อเห็นภาพนี้ จากนั้นก็พูดอย่างเยือกเย็น


ครืน!


เมื่อได้ยินเสียงนั่น มุมปากของมู่เฉินก็ตีโค้งเย็นชา เสียงกึกก้องกดลงมาจากท้องฟ้า ทุกคนรีบเงยหน้าขึ้น สายตาจ้องมองด้วยความตื่นตะลึงไปยังเสาแสงห้าสีที่มีขนาดประมาณหลายพันจั้งพุ่งออกมาจากวงแสงอย่างน่าตกใจ!


เสาแสงห้าสีนี้ดูเสมือนจริง เปล่งคลื่นที่น่ากลัวออกมา ลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนปกคลุมเสาแสง ซึ่งมีสีสันต่างกัน ทำให้รัศมีจั้นยี่ไม่ได้ดูกลมกลืนสักนิด แต่กลับรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อเกลียวคลื่นปะทะกัน


ราวกับว่ากระจายกลิ่นอายทำลายล้าง


ใบหน้าของจินไถหลิวหลีเปลี่ยนไปมากโดยไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้ในขณะนี้ นางสูดลมหายใจเยือกเย็น ความตกตะลึงอัดแน่นในดวงตา นั่นเป็นเพราะนางไม่คิดว่ามู่เฉินจะมาถึงขั้นตอนนี้ โดยการรวมรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างกันเข้าด้วยกัน นั่นเป็นวิธีที่จั้นเจิ้นซือตัวจริงเท่านั้นที่ทำได้!


ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้นางตกใจมากที่สุดก็คือนางพบว่ามีลวดลายจั้นเหวินมากกว่าเก้าพันลายบนเสาแสงห้าสีนั้น!


บทที่ 893 ตัวประกัน

ครืน!


เสาแสงแพรวพราวด้วยลวดลายจั้นเหวินพุ่งลงมา เมื่อมองจากที่ไกลก็ราวกับหอกแห่งการทำลายล้างที่สามารถทะลุผ่านมิติได้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรง


เสาแสงนี้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายคุกคามชีวิต


ภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน ใบหน้าของเซียวเทียนก็ดูเขียวคล้ำขณะมองดูเสาแสงระยิบระยับที่ใกล้เข้ามาพร้อมกับแววตาตื่นตะลึง เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่ามู่เฉินเร้ารัศมีจั้นยี่ทรงพลังเช่นนี้จากกองทัพผสมได้อย่างไร


รัศมีจั้นยี่ที่บรรจุอยู่ภายในเสาแสงเจิดจรัสทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสงครามอสรพิษของเขาอย่างเห็นได้ชัด


“ก็แค่พื้นผิว อย่ามาหลอกข้าให้ยาก!”


เซียวเทียนคำราม การเผชิญหน้าซึ่งเขามั่นใจกลับกลายเป็นสถานการณ์ดังกล่าว เห็นได้ชัดว่ายากสำหรับเขาที่จะยอมรับสิ่งนี้ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำขึ้น ขณะที่เขาวาดตราประทับเร็วจี๋พร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่วท้องฟ้า


“หน่วยรบสุดนภาปลดปล่อยพลังทั้งหมด!”


ตู้ม!


หน่วยรบสุดนภาเปล่งเสียงคำรามเดือดดาลอยู่เบื้องหลัง ขณะที่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ลวดลายจั้นเหวินบนวิญญาณสงครามอสรพิษสว่างวาบ ก่อนที่จะพุ่งออกไป ทำให้มิติแตกสลายด้วยแรงระเบิด


วิญญาณสงครามอสรพิษไม่ได้หลบเลี่ยง แต่กลับเลือกปะทะอย่างหนักหน่วง ดูราวกับมังกรมหึมาบินฉวัดเฉวียนขึ้นไปบนท้องฟ้า เวลาต่อมาก็ชนกับเสาแสงที่กดลงมาพร้อมกับรัศมีจั้นยี่หน่วยรบสุดนภากว้างใหญ่!


ฟ่อ!


จังหวะที่กระแทกกัน มิติตรงนี้ก็ยุบตัวลง ขณะที่รอยแตกขนาดใหญ่กระจายออกไปราวกับมังกรพล่าน ฉากนั้นดูคล้ายกับหายนะล้างโลก


เมื่อท้องฟ้าทรุดลง เสียงร้องกึกก้องก็เปล่งออกมาจาก ผู้คนนับไม่ถ้วนจับตามองไป จากนั้นก็เห็นวิญญาณสงครามอสรพิษถูกฉีกออกจากกันโดยเสาแสง ผลกระทบของรัศมีจั้นยี่น่าขนพองสยองเกล้า ทำให้ลวดลายจั้นเหวินบนร่างอสรพิษหม่นแสงลงและแตกสลาย…


ใบหน้าของเซียวเทียนซีดลงทันที


ฟังยี่และหลิ่วเหยียนที่อยู่ในระยะไกลก็ฉายสีหน้าน่าเกลียด ส่วนลึกของดวงตาส่องประกายด้วยความตื่นตะลึง นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักว่าเวลานี้มู่เฉินแข็งแกร่งกว่าตอนที่ต่อสู้กับเซียวเทียนก่อนหน้าเสียอีก


ถ้าเขาเปิดเผยวิธีน่าสะพรึงนี้เมื่อตอนที่ต่อสู้กับเซียวเทียนก่อนหน้า เซียวเทียนคงไม่กล้าปลุกปั่นแน่นอน


“ไอ้เวรนั่นซ่อนเก่งจริงๆ!”


เผชิญหน้ากับสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ เขาจ้องมองไปที่วิญญาณสงครามอสรพิษที่ถูกเสาแสงแทงทะลุไป ฉับพลันเขาก็กำกำปั้น


“ครืน!”


พร้อมกับหมัดที่กำขึ้น วิญญาณสงครามอสรพิษที่ถูกแทงทะลุก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป อึดใจก็ระเบิดกระจุยกระจายกลายเป็นประกายแสงบนท้องฟ้า


อ็อก! อ็อก!


เมื่อวิญญาณสงครามถูกทำลาย เลือดก็กบปากเซียวเทียน ใบหน้าซีดลงหลายส่วน ข้างหลังหน่วยรบสุดนภาก็มีนักรบจำนวนมากกระอักเลือดออกมา บางคนดิ่งลงมาจากท้องฟ้าด้วยซ้ำ รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาที่พลุ่งพล่านในตอนแรกเหี่ยวเฉาลงทันที…


เห็นได้ชัดว่าการทำลายวิญญาณสงครามทำให้หน่วยรบสุดนภาได้รับบาดเจ็บหนักไปด้วย


มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า สายตาไม่แยแสมองไปที่หน่วยรบสุดนภาที่พ่ายแพ้เต็มรูปแบบ เมื่อวิญญาณสงครามถูกทำลาย รัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบสุดนภาก็ไม่เป็นภัยอันตรายอีกต่อไป


เซี่ยวเทียนปาดเลือดที่มุมปากออก เขามองหน่วยรบสุดนภาเบื้องหลังที่ยามนี้ขวัญกำลังใจพังทลายลงหมด ชัดว่าไม่สามารถสร้างรัศมีจั้นยี่ได้อีกแล้ว พวกเขาแพ้ศึกครั้งนี้แล้ว


“ไอ้เวรเอ๋ย!”


เซียวเทียนสบถด่าลั่น ร่างเขาถอยหนีทันที เวลาเดียวกันก็ออกคำสั่ง ยามนี้หน่วยรบสุดนภายากที่กลั่นรัศมีจั้นยี่ได้อีก ซึ่งเขาก็ไม่มีทางที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฉินได้อีกต่อไป


แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไป สายตาเขาเย็นชาลงหลายส่วน เขาสะบัดแขนเสื้อลำแสงรัศมีจั้นยี่ก็ทะลุผ่านมิติ ราวกับสายฟ้าฟาดไล่ตามเซียวเทียนไป ซัดลงบนร่างนั้นอย่างหนักหน่วง


อ๊อก!


ทนกับการโจมตีที่หนักหนา เซียวเทียนก็กระอักเลือดอีกครั้ง กระทั่งดวงตายังเริ่มหม่นแสงลง เขาดูราวกับจะหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย ความตายกำลังมาเยือน


มู่เฉินทำท่าคว้าดึงเซียวเทียนเข้ามา คลื่นหลิงก่อตัวขึ้นเป็นเชือกพันรอบร่างเซียวเทียนอย่างแน่นหนา หลังจากจัดการกับเซียวเทียน แค่คิดคลื่นจิตก็ส่งรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกลายเป็นม่านแสง ล้อมกรอบหน่วยรบสุดนภาที่พ่ายแพ้เอาไว้


เมื่อไม่มีเซียวเทียน หน่วยรบสุดนภาก็เหมือนฝูงปลาในอวนที่สามารถเลือกเชือดได้ทีละตัว พวกเขาไม่สามารถต้านทานอะไรได้ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับการปิดล้อมของรัศมีจั้นยี่ พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานอะไรได้ ไม่ต้องพูดถึงการโจมตีที่น่ากลัวอย่างเมื่อก่อนเลย


กองทัพที่ไม่มีแม่ทัพก็ไม่ต่างจากนักรบธรรมดาที่ไม่สามารถรวบรวมรัศมีจั้นยี่ได้ ขุมพลังที่ไม่ถึงกระทั่งระดับจื้อจุน ก็เป็นเพียงฝูงมดเท่านั้น


แม้มดจะมีจำนวนมาก แต่ก็ยังไร้ประโยชน์


การลงมือดักจับเซียวเทียนและหน่วยรบสุดนภา มู่เฉินใช้เวลาเพียงสั้นๆ เมื่อเขาทำเสร็จสิ้นฟังยี่และหลิ่วเหยียนถึงได้ฟื้นจากอาการตกตะลึง ใบหน้าของหลิ่วเหยียนเขียวคล้ำลงทันที


“มู่เฉินปล่อยคนของข้า ไม่งั้นตำหนักสุดนภาเป็นศัตรูกับแกแน่!” หลิ่วเหยียนตะเบ็งเสียงพร้อมกับกัดฟันแน่น ไม่ว่าจะเป็นเซียวเทียนหรือหน่วยรบสุดนภา พวกเขาถูกฟูมฟักขึ้นมาจากทรัพยากรมหาศาลของตำหนักสุดนภา ดังนั้นการสูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่งจะเป็นผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อตำหนักสุดนภาเลยทีเดียว


ทว่าตอบสนองต่อการตะโกนของอีกฝ่าย มู่เฉินทำเพียงยกเปลือกตาขึ้น พูดด้วยท่าทางยิ้มแต่เหมือนไม่ยิ้ม“ฟังจากคำพูดของประมุขน้อยหลิ่ว ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันด้วยเหรอ?”


หลิ่วเหยียนชะงักไป จากนั้นก็มองหน้ามู่เฉินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าขนลุกว่า “แกต้องการอะไร?!”


“ให้คนจากตำหนักสุดนภาหยุดโจมตีก่อน” มู่เฉินเปล่งเสียงเฉยเมยจากนั้นก็พูดต่อ “หากพวกแกต้องการเปิดศึกมรณะ ข้าก็จะฆ่าไอ้นี่กับหน่วยรบสุดนภาเป็นอันดับแรกเลย”


แม้ว่าเสียงจะราบเรียบ แต่ความเยือกเย็นในน้ำเสียงก็บรรจุด้วยจิตสังหารแท้จริง


“ฝันไปเถอะ!” หลิ่วเหยียนเปล่งเสียงน่าขนลุก


พอได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็ไม่คิดจะเสวนาด้วย เขาเหยียดนิ้วสองนิ้วขึ้นไป คลื่นหลิงราวกับกระบี่ยื่นออกมาจากปลายนิ้วพร้อมกับเสียงกรีดเฉือน จากนั้นก็พุ่งทะลุไหล่ของเซียวเทียน เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ขณะที่เลือดสดกระเด็นออกมา แขนขวาขาดกระเด็นออกไป


“แก!”


หลิ่วเหยียนกัดฟัน ขณะที่จ้องมู่เฉินด้วยดวงตาราวกับพ่นไฟ ทว่าอีกฝ่ายยังคงมองหลิ่วเหยียนอย่างใจเย็นจากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นอีกครั้ง


“หยุด!” หลิ่วเหยียนคำรามลึก เซียวเทียนเป็นจอมยุทธ์ที่มีศักยภาพมากที่สุดในการเป็นจั้นเจิ้นซือของตำหนักสุดนภา ถ้าเขากลายเป็นคนไร้สมรรถภาพโดยมู่เฉิน หลิ่วเหยียนก็ไม่รู้จะไปอธิบายเรื่องนี้ให้หลิ่วเทียนเต้าฟังยังไง


มู่เฉินมองหลิ่วเหยียนอย่างเย็นชา


หลิ่วเหยียนกัดฟันกรอดแล้วยกมือขึ้น ทันใดนั้นจอมยุทธ์ตำหนักสุดนภาที่กำลังโรมรันพันตูก็ชะงักแล้วถอยกลับ เมื่อสมาชิกตำหนักสุดนภาถอยออกไป แรงกดดันของเหล่าผู้บัญชาการที่หนักหน่วงมาพักใหญ่ก็ลดลงอย่างมาก การโต้กลับของพวกเขาทำให้จอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว


“หลิ่วเหยียน เจ้า!” ใบหน้าของฟังยี่เปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพนี้


“ข้าไม่ต้องการสูญเสียอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่และกองทัพชั้นยอดโดยไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ!” หลิ่วเหยียนกัดฟัน


“เจ้าคิดว่ามันจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ รึไง? มู่เฉินเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก เจ้าทำตามที่มันบอกก็แค่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมันเท่านั้น” ฟังยี่กล่าวเสียงขรึม


“ฮ่าๆ ฟังยี่ แกก็เจ้าเล่ห์เหมือนกันแหละ แกยุแหย่ตำหนักสุดนภาให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ เพื่อที่แกจะเก็บประโยชน์จากการต่อสู้ของเราใช่ไหมล่ะ?” มู่เฉินยิ้มพูดเบา ๆ


ดวงตาหลิ่วเหยียนกะพริบวูบไหว


“หลิ่วเหยียนอย่าไปฟังคำพูดนั่น มันกำลังสุมไฟพวกเรา อาณาเขตกงเวทสวรรค์ทนได้อีกไม่นานแล้ว ตราบใดที่เรากดดันพวกมันให้หนักขึ้น เราก็จะสามารถกำจัดเหล่าผู้บัญชาการได้ ถึงเวลานั้นแม้ว่าพวกมันจะมีกองทัพในมือ มันก็อยู่ในกำมือพวกเรา!” เมื่อเห็นแววตาวูบไหวของหลิ่วเหยียน หัวใจของฟังยี่ก็โลดขึ้น เขารีบพูดทันที


“กลัวว่าหมู่ตึกเทวะจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้ายล่ะสิ!” มู่เฉินกล่าวเสริม ทำเอามุมหางตาของฟังยี่ถึงกับกระตุก แววตาน่าขนลุกเบนมาจ้องมู่เฉินราวกับจะฉีกเนื้อเป็นชิ้น ๆ


หลิ่วเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงขรึม “ตกลง มู่เฉินตราบใดที่แกปล่อยพวกเขา ตำหนักสุดนภาของข้าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก แต่ข้าขอเตือนว่าถ้าแกกล้าตุกติก ตำหนักสุดนภาไม่ปล่อยแกไปแน่!”


มู่เฉินยิ้ม “ประมุขน้อยหลิ่วให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อย่างแท้จริง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเป็นประมุขที่ดีในอนาคตแน่นอน ข้าปล่อยพวกมันแน่ แต่เจ้าคงต้องรอจนกว่าเราจะจัดการกับปัญหาที่นี่ให้เสร็จก่อน จากนั้นข้าจะคืนคนของเจ้าให้”


มู่เฉินไม่โง่ที่จะคืนคนในเวลานี้ หากเขาสูญเสียตัวประกัน หลิ่วเหยียนอาจจะแว้งกัดอีกก็ได้ เพราะคำขู่ของมู่เฉินชัดว่าทำให้อีกฝ่ายโกรธจนคลั่งแล้ว


หลิ่วเหยียนมองมู่เฉินด้วยแววตามืดครึ้ม จากนั้นก็ไม่สนใจความพยายามของฟังยี่ที่จะหว่านล้อม เขาสะบัดแขนเสื้อ ส่งสัญญาณให้สมาชิกตำหนักสุดนภาที่เหลือไปรวมตัวกันในระยะไกล


เมื่อตำหนักสุดนภาถอนกำลัง การต่อสู้ดุเดือดก็เปลี่ยนไปทันที กองทัพหมู่ตึกเทวะซึ่งก่อนหน้านี้เคยอยู่ในตำแหน่งได้เปรียบก็ถูกเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์กดจนเสียเปรียบ


เพราะในแง่ของการรวมตัว อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังคงความได้เปรียบ ส่วนฝั่งหมู่ตึกเทวะเนื่องจากสูญเสียความช่วยเหลือของจินไถหลิวหลี จึงทำให้พลังลดลงอย่างมาก


ยิ่งกว่านั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังมีมู่เฉินที่เพิ่งเอาชนะเซียวเทียน ซึ่งควบคุมหน่วยรบทั้งห้า ซ้ำยังจับจ้องมาราวกับพยัคฆ์


ใบหน้าของฟังยี่ดิ่งลงอย่างน่ากลัวกับฉากเบื้องหน้า ส่วนจินไถหลิวหลีกลับยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยอยู่ที่ด้านหลัง


ทว่าสีหน้าของฟังยี่ก็ไม่ได้คงอยู่นาน ทันใดนั้นม่านตาเขาก็หดลง นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่าสายตามู่เฉินที่ยิ้มไม่เชิงยิ้มเริ่มเบนมาทางเขาแล้ว


สายตานี้ทำให้ใบหน้าของฟังยี่เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าดู เขารู้สึกถึงความขมที่ตีขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาคือเป้าหมายต่อไปของมู่เฉิน


ตอนนี้จอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะถูกประกบโดยเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทั้งหมด ตัวเขาเหลือเพียงจินไถหลิวหลีอยู่ข้างๆ ซึ่งนางก็ได้รับบาดเจ็บมาก ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเพ้อฝันสำหรับเขาที่จะเอาชนะมู่เฉินที่ควบคุมห้ากองทัพด้วยตัวคนเดียว…


คราวนี้เขายกก้อนหินทับเท้าตัวเองจนตกอยู่ในที่นั่งลำบากแล้ว


บทที่ 894 ป่นปี้

เมื่อสายตาเย็นชาของมู่เฉินจ้องไปที่ฟังยี่


สีหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดลงหลายส่วน จากนั้นเขาก็สั่งการให้กองทัพหมาป่าเพลิง หมีเวหนและอื่นๆ ให้เข้ามาช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทว่ากองทัพพวกนี้ไม่ได้ควบคุมโดยอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ ดังนั้นแม้จะมีความสามารถในการต่อสู้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถสร้างวิญญาณสงครามได้ ทำให้พลังการต่อสู้ของพวกเขาจำกัดมาก


“หลิวหลีร่วมมือกับข้าจัดการมู่เฉิน มันสู้เราไม่ได้แน่!”


ทว่าฟังยี่ก็ตระหนักดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสกัดมู่เฉินด้วยกองทัพที่ไม่สามารถสร้างวิญญาณสงครามได้ ดังนั้นเขาจึงรีบหันไปมองจินไถหลิวหลี ตอนนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับมู่เฉินได้


เผชิญหน้ากับคำขอร้อง ใบหน้าของจินไถหลิวหลีก็ยังไร้สีเลือดขณะที่พูดเสียงระโหยว่า “ด้วยสภาพร่างกายข้าตอนนี้ ถ้าข้าบัญชากองทัพผลึกฟ้าเพื่อปะทะกับมู่เฉิน ข้ากลัวว่าผลลัพธ์คงไม่ต่างกับหน่วยรบสุดนภา”


“ตอนนี้เราต้องถอย ไม่งั้นจะต้องสูญเสียแน่นอน” จินไถหลิวหลีเอ่ยแนะนำ


“ไม่ได้!”


ฟังยี่ตะเบ็งเสียงเกรี้ยวกราด พวกเขาพยายามอย่างมากในการบีบบังคับให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ตกอยู่ในสถานะน่าสมเพช อีกไม่กี่ก้าวก็จะสำเร็จอยู่แล้ว หากเขาสามารถกำจัดผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ที่นี่ ก็เป็นข้อดีอย่างไม่ต้องสงสัย ฐานะของเขาในสำนักก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก


ดังนั้นกระทั่งคนที่ใจเย็นตลอดอย่างเขาก็ยังปฏิเสธคำแนะนำของจินไถหลิวหลีโดยไม่ลังเล


พอได้ยินคำพูดดังกล่าว จินไถหลิวหลีก็เงียบลง ทว่าแววเยาะเย้ยและเย็นชาพล่านในจุดลึกสุดของดวงตานาง


“งั้นก็ไม่ต้องหนีไปแล้ว”


ทันใดนั้นเสียงไม่แยแสของมู่เฉินก็สะท้อนทั่วขอบฟ้า ไอเย็นเยือกในดวงตาจับจ้องไปที่ฟังยี่ จากนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว


ตู้ม!


รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระเพื่อมผ่านขอบฟ้า กลายเป็นคลื่นพลังยิ่งใหญ่ราวกับมังกร ยิงเข้าใส่ฟังยี่


ฟิ้ว!


จินไถหลิวหลีถอยออกไปโดยไม่ลังเลกับภาพเบื้องหน้า เวลาเดียวกันกองทัพผลึกฟ้าก็ถอยออกจากขอบเขตการรบภายใต้คำสั่งของนาง ดูท่าว่านางไม่คิดจะทำอะไรเลย


“สกัดไว้!” เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของฟังยี่ เขาแผดเสียงใส่กองทัพทั้งหลาย


เมื่อได้ยินเสียงนี้ กองทัพก็ปั่นป่วนไปหมด แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกเพราะฐานะของฟังยี่ ดังนั้นแม่ทัพบางคนจึงสั่งการกองทัพให้ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่ ก่อร่างเป็นม่านพลังแผ่ออกไปเป็นแนวป้องกัน


ตู้ม! ตู้ม!


พลังรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ไม่ลังเลพุ่งลงมากระแทกกับม่านพลัง ทันใดนั้นก็เกิดผลกระทบ มิติโดยรอบแผ่ซ่านเป็นลอนคลื่น ม่านแสงพังทลายลงทันที


ในสายตาของมู่เฉิน กองทัพที่ไม่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ไม่เป็นภัยคุกคามอะไรเลย ฟังยี่โง่มากที่คิดใช้กองทัพเหล่านั้นเพื่อสกัด


“ตึง!”


ลำแสงรัศมีจั้นยี่ปกคลุมลงมา ทันใดนั้นก็ปรากฏตรงหน้าฟังยี่ ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำขณะวาดตราประทับในมืออย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตปะทุออกมาจากร่าง ร่างมหึมาปกคลุมรอบตัวเขาเอาไว้


นั่นก็คือ ร่างแสงดาวปฐมกาลที่เขาฝึกฝนมา


ตู้ม!


เมื่อลำแสงรัศมีจั้นยี่กระแทกลงอย่างโหดร้ายบนร่างดาวปฐมกาลก็เกิดเสียงดังลั่นแผ่ออกมา ร่างเทห์สวรรค์ที่ดูทรงพลังไม่สามารถคงอยู่ได้นาน ครู่เดียวก็สลายกลายเป็นละอองดาว


ขุมพลังของฟังยี่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นห้า ต่อให้เขาจะยกระดับพลังเพิ่มโดยร่างดาวปฐมกาล แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับระดับจื้อจุนขั้นหก ยามนี้ด้วยความช่วยเหลือของหน่วยรบทั้งห้าขุมพลังของมู่เฉินก็สามารถเทียบเคียงกับระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดแล้ว


ดังนั้นเห็นได้ว่าช่องว่างระหว่างมู่เฉินกับฟังยี่กว้างใหญ่เพียงใด


อ็อก!


ภายใต้ประกายแสงดวงดาวที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ร่างน่าสมเพชก็กระเด็นออกมา เลือดกระอักออกจากปากไม่หยุด คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวเขาก็ได้รับผลกระทบในเวลานี้


อั้ก! อั้ก!


ขณะที่ร่างปลิวออกไปพร้อมกระอักเลือด ลำแสงรัศมีจั้นยี่ก็แผ่ออกไป จอมยุทธ์ที่อยู่ในกองทัพรอบๆ กระอักเลือดตามกัน ด้วยรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านมู่เฉิน


นี่เป็นเพียงการโจมตีกระบวนท่าเดียว ไม่เพียงแต่เอาชนะฟังยี่ กระทั่งกองทัพอื่นๆก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่มากก็น้อย


ร่างของฟังยี่ปลิวไปโดยที่ใบหน้าขาวซีดมาก นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักได้ในที่สุดถึงช่องว่างระหว่างเขากับมู่เฉิน หลังจากมู่เฉินเข้าบัญชารัศมีจั้นยี่


หากพวกเขาปะทะกันตัวต่อตัวโดยใช้คลื่นหลิงอย่างเดียว เขาไม่กลัวมู่เฉินเลย แม้ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์มากมาย แต่ก็ไม่ง่ายที่มู่เฉินจะกำจัดเขาได้ แต่เมื่อมู่เฉินเข้าบัญชารัศมีจั้นยี่ ก็อยู่คนละระดับเลยทีเดียว


มู่เฉินภายใต้สภาวะนี้ คงมีแต่เจ้าภูเขาเอ่อและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นหกถึงสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้


หลังจากตระหนักถึงช่องว่างกว้างใหญ่ ในที่สุดฟังยี่ก็หมดหวังและเข้าใจว่าครั้งนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ความปรารถนาในการทำลายผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์สำเร็จได้


ไม่เพียงแต่เท่านั้น ตอนนี้กระทั่งหลุดพ้นจากสถานการณ์ยังเป็นเรื่องยากเลย


ไม่ว่ายังไงเขาต้องปกป้องตัวเองก่อน เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฟังยี่ก็กัดฟัน ความเร็วในการถอยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนีออกจากขอบเขตการโจมตีของมู่เฉินอย่างรวดเร็ว


“เจ้านี่วิ่งหนีเร็วดี”


มองฟังยี่ที่เผ่นหนีไป มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย ขณะที่พูดด้วยท่าทางไม่เชิงยิ้ม “แต่ในเมื่อแกทิ้งกองทัพไว้ข้างหลัง ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”


ฟังยี่สามารถหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเหล่านักรบที่เขาเรียกมา ไม่สามารถหนีไปได้ ดังนั้นมู่เฉินจึงหันเหความสนใจไปที่พวกเขา


มู่เฉินไม่ได้ให้เวลากับกองทัพเหล่านี้ในการตอบโต้ เขาสะบัดมือลง รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตก็พล่านไปทั่ว ก่อร่างเป็นปราการขนาดใหญ่ห่อหุ้มกองทัพที่เหลือไว้ภายใน


เมื่อฟังยี่ที่หนีออกนอกบริเวณเห็นภาพนี้ ใบหน้าของเขาก็น่าเกลียดลงหลายส่วน


“เจ้าภูเขาเอ่อยังต้องการสู้อีกไหม?” มู่เฉินไม่สนใจฟังยี่ แต่หันเหความสนใจไปยังจอมยุทธ์ของหมู่ตึกเทวะที่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบาก


จอมยุทธ์จากหมู่ตึกเทวะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชตั้งแต่การโต้กลับของผู้บัญชาการเมื่อครู่ พอพวกเขาได้ยินเสียงของมู่เฉินก็เหลือบไปมอง ใบหน้าแต่ละคนเขียวคล้ำ พวกเขาไม่คิดว่าภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงกองทัพชั้นยอดจะอยู่ภายใต้การกักขังของมู่เฉินทั้งหมด


“ฟังยี่ ไอ้โง่!”


จอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะคำรามเดือดพล่านในใจ จากนั้นพวกเขาก็กัดฟันกรอด ถอยกลับอย่างน่าสมเพช ไม่กล้าที่จะแลกหมัดกับศัตรูอีกต่อไป


“เจ้าภูเขาเอ่อ ไม่ต้องไปกลัวคำขู่ของมู่เฉิน ข้าส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้ว เพียงแต่สกัดมันไว้อีกครู่ กำลังเสริมของเราก็จะมาถึง!” เมื่อเห็นคนอื่นๆ ไม่สนใจที่จะสู้กับผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ฟังยี่ก็รีบพูดออกมา


“หุบปาก!” เจ้าภูเขาเอ่อตะโกน เส้นเลือดบนหน้าผากกระตุกไม่หยุด เขาจ้องฟังยี่ด้วยไอแห่งลางร้าย นักรบคนอื่นๆ ก็มองเขาด้วยท่าทางกินเลือดกินเนื้อ นั่นเป็นเพราะกองทัพทั้งหมดของพวกเขาตกอยู่ในมือของมู่เฉิน เนื่องจากการกระทำที่งี่เง่าของฟังยี่


“ข้าแค่ต้องการเวลา!” ฟังยี่กัดฟันกรอด


“พี่ฟัง ข้าพูดไปแล้วว่าเราต้องถอยตามสถานการณ์ หากเจ้าต้องการนัดล้างตากับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เจ้าก็ควรเคลื่อนไหวพร้อมกับหลิ่วเหยียนและเซียวเทียน ด้วยวิธีนี้แม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถ แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะเซียวเทียนได้อย่างง่ายดาย ยิ่งกว่านั้นก็ไม่สามารถยึดครองกองทัพไว้ได้” จินไถหลิวหลีกล่าวอย่างเย็นชา


ฟังยี่พูดไม่ออกได้แต่ตัวแข็งทื่อ นั่นเป็นเพราะคำแนะนำของจินไถหลิวหลีเหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ในเวลานั้นเขาเสียสติ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจรายละเอียดมากนัก


“พวกข้าจะแจ้งต่อท่านประมุขเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน” เจ้าภูเขาคนอื่นๆ พูดด้วยสีหน้ามืดมน


“ทุกคนเนื่องจากเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญอันดับแรกคือการช่วยเหลือกองทัพของเรา” จินไถหลิวหลีเอ่ยเบาๆ


เหล่าเจ้าภูเขาพยักหน้า แต่จากนั้นก็พูดด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “แต่พวกเราไม่มีจอมยุทธ์เหนือชั้นกว่านี้แล้ว มู่เฉินจะปล่อยพวกเขาง่ายๆได้ยังไง…”


“ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้เปรียบ แต่ก็ต้องยอมจ่ายเพื่อจัดการเราทุกคน มิหนำซ้ำมู่เฉินยังเป็นคนฉลาด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมเสียอะไรไปง่ายๆ หรอก”


จินไถหลิวหลีพูดอย่างใจเย็น “ยิ่งกว่านั้นถ้าเขาต้องการเปิดศึกมรณะจริงๆ แม้ข้าบาดเจ็บหนัก แต่ถ้ายอมลองเสี่ยงรับผลกระทบสักตั้ง ข้าก็จะสู้ตายกับเขาพร้อมกับกองทัพผลึกฟ้า”


เมื่อเหล่าเจ้าภูเขาได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลี พวกเขาก็อึ้งไปสีหน้าแสดงออกซับซ้อน เกิดความกตัญญูรู้คุณในแววตาพวกเขา เพราะจินไถหลิวหลีเต็มใจที่จะเสี่ยงหาทางช่วยพรรคพวกของพวกเขา ดังนั้นจึงเพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะเกิดความรู้สึกเชิงบวกกับนาง อย่างน้อยที่สุดในสายตาของพวกเขาตอนนี้จินไถหลิวหลีก็ดีกว่าฟังยี่มาก


“เราขอขอบคุณแม่ทัพใหญ่”


เมื่อฟังยี่เห็นเหล่าเจ้าภูเขาเต็มไปด้วยมารยาทกับจินไถหลิวหลี ใบหน้าของเขาก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ทว่าสุดท้ายเขาก็ได้แต่ปิดปากสนิท นั่นเพราะเขารู้ว่าถ้าตนเองเปิดปากพูดอะไรออกไปสักคำ คนเหล่านี้จะไม่ไว้หน้าเขาอีกต่อไป


จินไถหลิวหลีส่ายหัวมือผลักรถเข็นออกไปเผชิญหน้ากับมู่เฉิน ริมฝีปากสีแดงชาดยกขึ้นนิดๆ ทำให้นางดูเหมือนนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์


จากคำพูดและการแสดงชั้นยอดของนาง นางได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากจอมยุทธ์ชั้นสูงของหมู่ตึกเทวะ ซึ่งนี่จะเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคตสำหรับนาง


จินไถหลิวหลีกะพริบตามองมู่เฉิน ก่อนที่จะรีบปกปิด เสียงเย็นเปล่งออกมา


“มู่เฉินบอกมาว่าต้องการอะไรถึงจะยอมปล่อยกองทัพของเรา!”


บทที่ 895 รีดไถ

“มู่เฉินบอกมาว่าต้องการอะไรถึงจะยอมปล่อยกองทัพของเรา!”


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลีก็อดยิ้มไม่ได้ เขาสังเกตเห็นสีหน้าจากหญิงสาวและก็ไม่ได้รังเกียจอะไรกับการที่นางใช้การเจรจาต่อรองนี้เพื่อทำให้พวกหมู่ตึกเทวะรู้สึกขอบคุณ ในทางตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกชื่นชมนาง การมองเห็นและเข้าใจสถานการณ์เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชมเชย


เป็นการดีที่สุดที่สามารถหลีกเลี่ยงคนอย่างนางในฐานะศัตรูได้


แม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกชื่นชมจินไถหลิวหลีในใจ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกใดบนใบหน้า ไม่อย่างนั้นพวกหมู่ตึกเทวะจะระแวงในตัวจินไถหลิวหลีแน่


“อยากไถ่กองทัพพวกนี้คืนก็ไม่ยากอะไร แค่ขึ้นอยู่กับความจริงใจของหมู่ตึกเทวะ” มู่เฉินหรี่ตายิ้ม ท่าทางเหมือนเจรจาต่อรองง่าย


เมื่อเหล่าผู้บัญชาการหลุดจากสมรภูมิก็ทะยานเข้าไปหามู่เฉิน พวกเขามองกองทัพทั้งหลายที่ถูกมู่เฉินกักตัวไว้ ใบหน้าก็พิลึกไป แม้แต่พวกเขาเองก็แทบไม่เคยเห็นการนำกองทัพเป็นตัวประกัน


“เจ้าหมายความยังไง?” จินไถหลิวหลีขมวดคิ้วขณะที่พูดเสียงเย็นชา


“ยาหยุ่นลั้วห้าหมื่นเม็ดสำหรับหนึ่งกองทัพ ตอนนี้มีสามกองทัพอยู่ในมือ ดังนั้นแค่พวกเจ้าจ่ายยาหยุ่นลั้วทั้งหมดหนึ่งแสนห้าหมื่นเม็ด ข้าก็จะปล่อยตัวพวกเขา” มู่เฉินยิ้ม


เมื่อคำพูดของมู่เฉินดังออกมาก็ทำเอาฝูงชนต้องตะลึงไป จอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโกรธมากกับประโยคดังกล่าว


จากที่ไกลเมื่อหลิ่วเหยียนและสมาชิกตำหนักสุดนภาเห็นมู่เฉิดกำลังรีดไถหมู่ตึกเทวะ พวกเขาก็รู้สึกสะใจขึ้นมา เมื่อคนโชคร้ายพบกับคนโชคร้ายกว่า ความรู้สึกของคนคนนั้นก็คงเป็นแบบนี้


“มู่เฉิน แกฝันไปแล้ว ยาหยุ่นลั้วแสนห้าหมื่นเม็ด แกไม่กลัวสำลักตายรึไง?!” ในที่สุดฟังยี่ก็ไม่สามารถยับยั้งอารมณ์จนต้องตะโกนออกมา


สีหน้าเหล่าเจ้าภูเขาหมู่ตึกเทวะก็มืดมน ขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาโหดเหี้ยม


“ถ้าเป็นแบบนี้ ก็แปลว่าการเจรจาของเราจบลงสินะ?”


สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก จากนั้นเขาก็กำมือแน่น ปราการแสงที่ห่อหุ้มกองทัพทั้งสามของหมู่ตึกเทวะก็บีบอัดลงมากะทันหันราวกับภูเขาถล่ม กดอัดกองทัพทั้งสามลงไป


เผชิญหน้ากับการปราบปรามของมู่เฉิน แม้กองทัพทั้งสามจะพยายามต่อต้าน แต่ก็ไม่มีใครสามารถสั่งการรัศมีจั้นยี่ได้อย่างแท้จริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแสดงพลังยิ่งใหญ่ได้ พวกเขาได้เพียงแต่เฝ้ามองปราการแสงกดลงมาทีละน้อย…ละน้อย ความกดดันยิ่งใหญ่ทำให้ใบหน้าของเหล่านักรบซีดลง


ใบหน้าเจ้าภูเขาหมู่ตึกเทวะก็เปลี่ยนไปรุนแรง เสียงกรอดดังจากการกัดฟันแน่นด กองทัพทั้งสามได้รับการบำรุงด้วยทรัพยากรนับไม่ถ้วน หากถูกทำลาย พวกเขาจะต้องสูญเสียพลังมหาศาลอย่างแท้จริง


“หยุดก่อน!”


จินไถหลิวหลีตะเบ็งเสียงเย็นชาเพื่อหยุดการกระทำของมู่เฉิน จากนั้นก็หันไปมองเหล่าเจ้าภูเขาหมู่ตึกเทวะ “ทั้งสามต่อไปจะทำยังไงพวกเจ้าต้องตัดสินใจเองแล้ว หากจะออกไปประจันหน้า ข้าสามารถช่วยสนับสนุนได้”


สีหน้าของเจ้าภูเขาทั้งสามบิดเบี้ยว ตอนนี้กองทัพอยู่ในมือของมู่เฉิน เพียงแค่ความคิดแวบเดียว มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็จะพังทลายลง ยามนั้นกองทัพของพวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส คงจะสายเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะช่วยเหลือพรรคพวกได้


“เราใช้ยาหยุ่นลั้วไถ่กองทัพกลับมาก่อนไหม? เรายังสามารถค้นหาเม็ดยาเหล่านี้ใหม่ได้ แต่หากเราสูญเสียกองทัพไป ความพยายามทั้งหมดของเราในหลายปีที่ผ่านมาก็แทบจะกลายเป็นอากาศธาตุแล้ว” เหยียนหลังกัดฟันพูด


สูป้าและเทียนสงก็กำหมัดจนเกิดเสียงลั่นเปรียะ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ แม้แต่คนที่โหดเหี้ยมและดุร้ายอย่างพวกเขา ก็ไม่เต็มใจที่จะฝังกองทัพชั้นยอดไปต่อหน้าต่อตา เพราะกองทัพของพวกเขาใช้ทรัพยากรและพลังงานมหาศาลในการเลี้ยงดูเหลือเกิน


“ไม่ได้!” ฟังยี่คำราม “แม้ว่าเราจะรวมเม็ดยาทั้งหมดที่มี ก็มีเพียงเจ็ดหมื่นเม็ดเท่านั้น หากเราให้พวกมันทั้งหมด ไม่เท่ากับว่าเราทำงานเปล่าประโยชน์เหรอ? เราจะอธิบายเรื่องนี้ต่อท่านประมุขได้ยังไง?!”


“ถ้าไม่ใช่การกระทำงี่เง่าของเจ้า กองทัพของเราจะอยู่ภายใต้การควบคุมของมู่เฉินเรอะ? ถ้าต้องการคำอธิบายเจ้าก็หาทางเอง ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเรา!” สูป้ากล่าวอย่างมืดมน


เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าของฟังยี่ก็น่าเกลียดลง


จินไถหลิวหลีเหลือบมองพวกเขา ก่อนจะมองมู่เฉินพูดเสียงขรึมว่า “มู่เฉิน พวกข้าไม่ได้มียาหยุ่นลั้วถึงแสนห้าหมื่นเม็ด หนึ่งกองทัพต่อสองหมื่นเม็ด รวมทั้งหมดหกหมื่นเม็ด ถ้าคิดว่ารับได้ก็ปล่อยกองทัพมา ไม่งั้นพวกข้าขอสู้ตาย มาดูสิว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะจัดการกับพวกข้ายังไง!”


“เม็ดยาหยุ่นลั้วหกหมื่นเม็ดเหรอ?”


มู่เฉินยิ้มบางจากนั้นก็พยักหน้า “แม่นางจินไถรู้สถานการณ์ดี เม็ดยาหกหมื่นเม็ดก็ได้ ถือว่าเจ้าเป็นสหายของข้าละกัน”


เขารู้ว่าการเรียกร้องก่อนหน้าน่าขนลุกขนาดไหน ดังนั้นเขาไม่หวังให้หมู่ตึกเทวะยอมคั้นเม็ดยาจำนวนนั้นออกมาจริงๆ การได้รับเม็ดยาหยุ่นลั้วถึงหกหมื่นเม็ด เขาก็ค่อนข้างพอใจแล้ว ราคาที่เสนอโดยจินไถหลิวหลีอยู่ในช่วงการยอมรับของเขาได้ นอกจากนี้ยังให้จินไถหลิวหลีติดหนี้บุญคุณเขา ในการออกหน้าเพื่อคนเหล่านั้นจะได้รู้สึกขอบคุณนางมากขึ้น


จินไถหลิวหลีเฉลียวฉลาด จึงเข้าใจความคิดของมู่เฉินได้ ดังนั้นนางจึงขยิบตาให้มู่เฉิน ก่อนที่จะเค้นเสียงเยือกเย็น “ข้าไม่คู่ควรกับการเป็นสหายกับคนโลภมากหรอก”


น้ำเสียงของจินไถหลิวหลีเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและการเย้ยหยัน ทักษะการแสดงของนาง ทำให้มู่เฉินพูดไม่ออกเลยทีเดียว


จินไถหลิวหลีหันไปมองเจ้าภูเขาทั้งสาม ฝ่ายหลังฉายสีหน้าเจ็บปวด ทว่าพวกเขาก็ได้แต่กัดฟันสะบัดแขนเสื้อ ขวดหยกสามใบบินออกไป


ในนั้นคือเม็ดยาหลุ่นยั้วทั้งหมดที่พวกเขาเก็บเกี่ยวได้


จินไถหลิวหลีคว้าขวดเอาไว้แล้วโยนไปให้มู่เฉิน เขากำมือขวดหยกก็ไปปรากฏในมือ


เขาโยนเล่นเบาๆ ก่อนจะส่งไปให้จิ่วโยวตรวจสอบความถูกต้อง หลังจากได้รับการยืนยัน เขาก็ประสานพร้อมกับยิ้ม “ขอบคุณสำหรับของขวัญจากพวกเจ้า”


จินไถหลิวหลีสวมสีหน้าเย็นชา ขณะที่คนอื่นมีสีหน้าดุร้าย สายตาพวกเขาราวกับต้องการฉีกเนื้อมู่เฉินออกเป็นชิ้นๆ


“จะปล่อยพวกเขาได้หรือยัง?” น้ำเสียงของจินไถหลิวหลีเย็นเยือก


มู่เฉินพยักหน้ายิ้มตาหยี จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ปราการครอบกองทัพทั้งสามของหมู่ตึกเทวะไว้แยกออกจากกัน เมื่อปราศจากสิ่งกีดขวางเหล่านักรบก็พุ่งหนีกันจ้าละหวั่น ไม่สามารถรักษากระบวนทัพได้อีกต่อไป พวกเขาราวกับผู้ลี้ภัย น่าสมเพชอย่างยิ่ง


แม้ว่ากองทัพทั้งสามจะเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาของเจ้าภูเขา ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามในสายตามู่เฉินมากนัก เพราะตราบใดที่กองทัพเหล่านั้นไม่ได้ถูกควบคุมโดยอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่อย่างจินไถหลิวหลี เขาก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรเกี่ยวกับพวกเขา


ยิ่งตอนนี้เขาจับมือเป็นพันธมิตรลับกับจินไถหลิวหลี เขาจึงไม่ต้องกังวลว่ากองทัพเหล่านั้นจะเป็นอันตรายต่อเขา


ทั้งสามทัพหนีกลับไปหาพรรคพวกอย่างน่าสมเพช พวกเขาประสบกับความอกสั่นขวัญแขวนมากจากเหตุการณ์นี้ รัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่านก็จางลง ทำให้เปลือกตาของเหล่าเจ้าภูเขาถึงกับกระตุก


เมื่อมู่เฉินปล่อยกองทัพทั้งสามออกไป เขาก็เหลือบมองไปที่พวกหลิ่วเหยียนที่อยู่ไกล เมื่อเห็นสายตานั่น ใบหน้าของหลิ่วเหยียนก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด หลังจากได้เห็นว่าหมู่ตึกเทวะตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเพียงใด เขาก็กังวลว่ามู่เฉินจะใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันมาจัดการ เพราะไม่เพียงแต่เป็นกองทัพชั้นยอดของตำหนักสุดนภาจะตกอยู่ในมือมู่เฉิน กระทั่งอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ก็ด้วยเช่นกัน


“ประมุขน้อยหลิ่ว คนของพวกเจ้า ข้าค่อยคืนให้หลังจากที่ออกจากซากอารยธรรมความตายนะ?” มู่เฉินยิ้มอบอุ่น


เมื่อหลิ่วเหยียนได้ยินว่ามู่เฉินไม่คิดจะรีดไถ เขาก็ตกใจไปชั่วครู่ก่อนที่จะรู้สึกโล่งใจ เขาไตร่ตรองคำถามนั้นสั้นๆ ก่อนจะพยักหน้า


หลังจากเห็นสถานการณ์น่าสังเวชของหมู่ตึกเทวะ หลิ่วเหยียนก็รู้สึกว่ามู่เฉินใจอ่อนกับพวกเขามากนัก…


ที่จริงแล้ว ไม่ใช่เพราะมู่เฉินใจอ่อนกับตำหนักสุดนภา เขาแค่ไม่ต้องการบังคับหลิ่วเหยียนมากนัก เพราะสุดท้ายกระทั่งกระต่ายยังพุ่งเข้ากัดเมื่อถูกต้อนจนมุม หากเป็นเช่นนั้นบางทีหลิ่วเหยียนอาจยินดีที่จะเสียสละเซียวเทียนและหน่วยรบสุดนภาเพื่อรวมพลังกับหมู่ตึกเทวะ ในเวลานั้นถึงเป็นพวกเขาก็ต้องจ่ายราคาหนักหนาเลยทีเดียว


ดังนั้นมู่เฉินจึงนำความเหี้ยมโหดซัดลงไปที่หมู่ตึกเทวะโดยตั้งใจ แต่กลับไม่เร่งรัดกับตำหนักสุดนภา ด้วยวิธีนี้หลิ่วเหยียนจะไม่คิดที่จะเสี่ยงทุกอย่าง ในเวลาเดียวกันเมื่อหมู่ตึกเทวะเห็นว่าตำหนักสุดนภาไม่สูญเสีย พวกเขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจในใจ ดังนั้นความคิดที่จะให้ความร่วมมือกันก็ลดลง ด้วยวิธีนี้มู่เฉินสามารถป้องกันไม่ให้ทั้งสองกลุ่มร่วมมือกันได้มากที่สุด


เมื่อเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เห็นมู่เฉินแยกหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาออกจากกันได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากัน แต่ละคนมองเห็นแววตกใจและชื่นชมในสายตาของกันและกัน


กลยุทธ์ของมู่เฉินสุดยอดนัก


“ฮ่าๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ขอตัวไปก่อน” มู่เฉินหัวเราะร่าขณะที่โบกมือไปทางพรรคพวก จากนั้นก็ทะยานออกไปจากซากอารยธรรม


หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาก็ตามออกไปอย่างรวดเร็ว


บทสรุป ณ ดินแดนแห่งนี้เป็นที่ประจักษ์สายตากับกองทัพอื่นๆ พวกเขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ใครจะคิดว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซึ่งอยู่ในสถานการณ์อันตรายในตอนแรก กลับพลิกสถานการณ์ได้จากการปรากฏตัวของมู่เฉิน…


หลายคนถึงกับทอดถอนหายใจ พวกเขามีลางสังหรณ์บางทีในสงครามล่า ชายหนุ่มที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเมื่อเริ่มจะกลายเป็นม้ามืดที่น่าตื่นตะลึง…


บทที่ 896 เก็บเกี่ยว

ด้านนอกซากอารยธรรมความตาย


มีกองทัพอีกหลายกองทัพออรวมกันอยู่ใกล้ๆ ในที่ไกลก็ยังมีกองทัพเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เพื่อรอดูว่าจะได้รับผลประโยชน์อะไรจากซากอารยธรรมระดับหนึ่งหรือไม่


ฟิ้ว!


ทว่าขณะที่กองทัพอื่นๆ หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นซากอารยธรรมก็สั่นไหวรุนแรง เสียงลมกระโชกแรงกล้าดังกึกก้อง ก่อนที่ทุกคนจะตกใจเมื่อเห็นร่างแสงกวาดออกมาทุกทิศทาง ช่างเป็นภาพที่ดูอลังการมาก


“นั่นมันอาณาเขตกงเวทสวรรค์…พวกเขาออกมาแล้ว ดูเหมือนสมบัติของซากอารยธรรมความตายจะอยู่ในมือของพวกเขา…”


เมื่อคนกลุ่มใหญ่ปรากฏตัว เสียงกระซิบด้วยความอิจฉาก็สะท้อนอยู่นอกซากอารยธรรมนับไม่ถ้วน บางคนดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่เนื่องจากพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงไม่มีใครกล้าเปิดเผยความโลภออกมา


ที่เบื้องหน้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า สายตากวาดมองออกไปด้านนอกจากนั้นก็หันไปมองด้านในซากอารยธรรม ที่เบื้องหลังตำหนักสุดนภาและหมู่ตึกเทวะติดตามมาอย่างใกล้ชิด


“เราจะปล่อยพวกมันเหรอ?” จิ่วโยวถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกที่ด้านข้างมู่เฉิน


“ถ้าไม่ปล่อย กลัวว่าหลิ่วเหยียนจะคลั่งเอาน่ะ” มู่เฉินยิ้ม จากนั้นดวงตาก็วูบไหว เขาสะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก็พุ่งออกมาครอบคลุมหน่วยรบสุดนภาแล้วเหวี่ยงออกไปอย่างไม่เกรงใจ


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


รัศมีจั้นยี่ระเบิดออก เสียงร้องดังก้องบนท้องฟ้า จากนั้นทุกคนก็ตะลึงไปเมื่อเห็นนักรบสุดนภานับไม่ถ้วนปลิวกระจายออกไปราวกับเทพธิดาโรยกลีบดอกไม้


หลังจากโยนหน่วยรบสุดนภา มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง รัศมีจั้นยี่ล้อมรอบร่างเซียวเทียนกลายเป็นลำแสงยิงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราวกับสายฟ้าฟาด


เมื่อรัศมีจั้นยี่จางหายไปอย่างสมบูรณ์ เซียวเทียนก็คงถูกโยนไปไกลหลายร้อยลี้แล้ว


“ไป!”


สร้างสถานการณ์ให้วุ่นวายเพิ่ม มู่เฉินก็สะบัดมือโดยไม่ลังเลแล้วทะยานออกไป สมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เร่งความเร็วจนถึงขีดสุด หายเข้าไปในเส้นขอบฟ้าในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ


เมื่อพวกเขาหายจากไป คลื่นความผันผวนก็กวนตัวในซากอารยธรรมอีกครั้ง ตำหนักสุดนภาและหมู่ตึกเทวะก็พุ่งตามออกมา เมื่อหลิ่วเหยียนเห็นนักรบสุดนภาที่ร้องเสียงคร่ำครวญกระจัดกระจายอยู่เต็มภูเขา ก่อนที่จะมองไปในทิศทางที่เซียวเทียนถูกโยนออกไป ใบหน้าของเขาก็เขียวคล้ำ


“รวมหน่วยรบสุดนภาก่อนแล้วค่อยไปช่วยเซียวเทียน!” หลิ่วเหยียนขบฟันแน่น มู่เฉินเจ้าเล่ห์จริงๆ ทีนี้ตำหนักสุดนภาก็จะวุ่นวายไปพักใหญ่จนไม่สามารถไล่ตามอีกฝ่ายไปได้


ส่วนอีกด้านขวัญกำลังใจของหมู่ตึกเทวะก็แหลกเหลว ฟังยี่กับเหล่าเจ้าภูเขามีสีหน้าดำมืด การเดินทางมาที่ซากอารยธรรมความตายครั้งนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นผู้ชนะแท้จริง ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป หมู่ตึกเทวะของพวกเขาจะเป็นตัวตลกในสงครามล่าแน่อน


“เราจะปล่อยพวกมันไปง่ายๆ ไม่ได้! ทัพเสริมของเรากำลังจะมาถึงในไม่ช้า พวกเราไปตามล่าพวกมัน เราต้องงัดปากพวกมันให้คายสิ่งที่เอาจากเราไปให้จงได้!” ฟังยี่พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน


เมื่อเหล่าเจ้าภูเขาได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่ได้ตอบสนองเหมือนที่เคยทำในอดีต ตรงกันข้ามพวกเขากลับหันไปมองจินไถหลิวหลี ความหมายเบื้องหลังสายตาชัดเจนมาก พวกเขาต้องการฟังความคิดเห็นของนางก่อน


เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมา จินไถหลิวหลีก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “แม้ว่าเราจะมีกำลังเสริม แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีกำลังเสริมด้วยหรือไม่? ข้ายังบาดเจ็บอยู่ จึงไม่สามารถดึงพลังที่แข็งแกร่งของกองทัพผลึกฟ้าออกมาใช้ได้เต็มที่ มิหนำซ้ำขวัญกำลังใจของกองทัพอื่นๆ ก็ต่ำลงมากจากการตกเป็นตัวประกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้ ดังนั้นถึงจะตามไปทัน โอกาสที่จะชนะก็มีไม่เท่าไร…”


เมื่อเหล่าเจ้าภูเขาได้ยินคำพูดนี้ก็พยักหน้า เพราะสิ่งที่จินไถหลิวหลีพูดนั้นเป็นเรื่องจริง สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาไม่ดีนัก ส่วนตำหนักสุดนภาก็วุ่นวายกับเรื่องของตน ไม่มีความสนใจที่จะร่วมมือกันอีกแล้ว


“แล้วจะปล่อยพวกมันไปแบบนี้น่ะเรอะ?” ฟังยี่ตะเบ็งเสียงโกรธแค้น


“พี่ฟังไม่ต้องกังวล สงครามล่ายังไม่จบ นี่เป็นเพียงความผิดพลาดเล็กน้อยในการเผชิญหน้าครั้งหนึ่ง นอกจากนี้เราก็ไม่ได้มือเปล่าซะทีเดียว อย่างน้อยข้าก็ได้มรดกมาไม่ใช่เหรอ?” จินไถหลิวหลีเอ่ยเสียงเรียบ “ให้เวลาข้าในการทำความเข้าใจกับมรดกอีกหน่อย ข้าเชื่อว่าครั้งต่อไปที่เราพบกัน ข้าจะบรรลุการเป็นจั้นเจินซือที่แท้จริงได้ ในเวลานั้นข้าจะจัดการกับมู่เฉินด้วยตัวเองแน่นอน”


“โอ้?”


เมื่อได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลี สีหน้าของเหล่าเจ้าภูเขาก็เปลี่ยนไป พวกเขามองไปที่ใบหน้างดงามด้วยความตกใจก่อนที่จะอุทานว่า “แม่ทัพใหญ่จินไถจะบรรลุเป็นจั้นเจิ้นซือรึ?”


ไม่ผิดที่พวกเขาจะตกใจ เนื่องจากมีจั้นเจิ้นซือจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อยในโลกนี้ มิหนำซ้ำความสามารถที่พวกเขาครอบครองก็ข่มขวัญเหล่าจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนได้ สำหรับหมู่ตึกเทวะจั้นเจิ้นซือเป็นอาวุธระดับยุทธศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย การข่มขู่โดยจั้นเจิ้นซือเป็นสิ่งที่แม้แต่เจ้าภูเขาอย่างพวกเขายังเทียบไม่ได้


“ฮ่าๆ แม่ทัพใหญ่จินไถเป็นอัจฉริยะแท้จริง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหมู่ตึกเทวะคงจะเป็นสำนักแรกที่สร้างจั้นเจิ้นซือได้ ในสงครามล่าแม่ทัพใหญ่จะต้องแสดงความสง่างามและกำราบทุกคนจนเป็นที่ประจักษ์แน่นอน” เมื่อพวกเขาฟื้นจากความตกใจก็ประสานมือ เปรียบเทียบกับก่อนหน้ารอยยิ้มของพวกเขาอบอุ่นขึ้นมาก


นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจว่าเมื่อจินไถหลิวหลีบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือที่แท้จริง สถานะของนางในหมู่ตึกเทวะจะสูงขึ้นแค่ไหน ในเวลานั้นแม้แต่ฟังยี่ก็ต้องอยู่ใต้แสงความโดดเด่นของนาง


พลังของจินไถหลิวหลีเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเคารพแล้ว


ฟังยี่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตกตะลึง จากนั้นเขาก็ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจเกี่ยวกับจินไถหลิวหลีไว้เท่านั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขามั่นใจว่าสถานะของตนสูงกว่านางเล็กน้อย เนื่องจากการฝึกฝนของนางไม่ได้แข็งแกร่ง ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ก็ได้มาจากการพึ่งพาทรัพยากรมหาศาลของหมู่ตึกเทวะ เพื่อให้บัญชากองทัพได้สะดวกง่ายขึ้น


การลงทุนทรัพยากรเหล่านั้นก็เพื่อช่วยให้จินไถหลิวหลีเป็นจั้นเจิ้นซือ ตอนนี้ถือว่าหมู่ตึกเทวะลงทุนสำเร็จแล้ว ดังนั้นสถานะของจินไถหลิวหลีจะต้องยกระดับขึ้นไปอีก


จินไถหลิวหลีมองการเปลี่ยนแปลงกะทันหันบนใบหน้าของทุกคน นางยิ้มบาง “ทุกคนไม่จำเป็นต้องกังวล เราจะจดจำความแค้นนี้ไว้ก่อน จุดสำคัญของสงครามล่าไม่ได้อยู่ที่นี่…”


ทุกคนผงกหัว ถูกต้องจุดสำคัญของสงครามล่าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่ที่ระดับเหนือกว่าคนอื่น ถ้าท่านประมุขสามารถบรรลุในสงครามล่า พลังของเขาจะต้องอยู่เหนือเจ้าสำนักคนอื่นแน่ ถึงตอนนั้นหมู่ตึกเทวะก็จะกลายเป็นสุดยอดกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ บางทีอาจจะก้าวไปอีกขั้น…


แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความขุ่นเคืองในใจก็สงบลง เมื่อถึงเวลานั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะราบเป็นหน้ากลองโดยฝีมือของหมู่ตึกเทวะ ชีวิตของมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ถูกแขวนเก็บไว้ในความคิดพวกเขาเท่านั้น


“ไปกันเถอะ”


เมื่อเห็นว่าทุกคนสงบสติอารมณ์ลงแล้ว จินไถหลิวหลีก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่อ สายตานางกวาดมองไปยังกองทัพตำหนักสุดนภาที่ยังคงรวมตัวกัน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปทางทิศเหนือ


ที่ด้านหลังกองทัพหมู่ตึกเทวะก็ติดตามไปอย่างรวดเร็ว


หลิ่วเหยียนมองไปที่หมู่ตึกเทวะที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาก่อนจะจากไป ใบหน้าก็มืดมนลงเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายเขาก็หันไปมองทิศที่มู่เฉินจากไปพูดเสียงน่าขนลุกว่า “มู่เฉิน พวกแกท้าทายหมู่ตึกเทวะครั้งใหญ่ พวกเขาไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแน่นอน ในเวลาที่เสือสองตัวฟัดกันจนหนำใจ ตำหนักสุดนภาก็จะรอตกของใหญ่เพื่อผลประโยชน์เป็นคนสุดท้าย!”


“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องจบสิ้นในสงครามล่าครั้งนี้!”


ขณะที่หลิ่วเหยียนกำลังสาปแช่ง


มู่เฉินก็นำอาณาเขตกงเวทสวรรค์เดินทางมาไกลจากซากอารยธรรมความตายแล้ว หลังจากได้รับการยืนยันว่าปลอดภัย พวกเขาก็ชะลอตัวลง ก่อนที่จะมองหาเทือกเขาที่อยู่ไกลสายตาซ่อนกองทัพใหญ่ไว้ภายใน


พวกเขาผ่านการต่อสู้หนักหนาในซากอารยธรรมความตายมามาก แม้ผู้บัญชาการอย่างพวกเขาจะยังสามารถทนได้ แต่เหล่านักรบอ่อนล้าไปหมดแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกหยุดพักที่นี่เป็นการชั่วคราว


กองทัพใหญ่หยุดพักในเทือกเขา มู่เฉินกับเหล่าผู้บัญชาการก็มารวมตัวกัน พวกเขากำลังคำนวณการเก็บเกี่ยวในการเดินทางมายังซากอารยธรรมความตาย เมื่อผลลัพธ์ออกมาทุกคนก็หยุดอาการดีใจเอาไว้ไม่ได้


“ในซากอารยธรรมความตาย เรากลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วได้แปดหมื่นเม็ดบวกกับค่าไถ่จากหมู่ตึกเทวะและที่เรามีอยู่ก่อนหน้า ก็มีเม็ดยาเกือบสองแสนเม็ดแล้วตอนนี้” เมื่อจิ่วโยวบอกจำนวนเม็ดยามหาศาล แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้วเหล่าผู้บัญชาการก็ยังอดอุทานไม่ได้


“ยาหยุ่นลั้วสองแสนเม็ดเพียงพอที่จะทำลายผนึกของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนหนึ่งแห่ง ดูท่าเราทำตามเป้าหมายเสร็จก่อนกำหนดนะเนี่ย” เลี่ยซันยิ้มเผล่


“ทั้งหมดต้องขอบคุณมู่เฉิน ไม่งั้นไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่ได้รับยาหยุ่นลั้วจำนวนมากเช่นนี้ อาจยังได้รับบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากด้วย” หลิงเจี้ยนมองไปที่มู่เฉิน


คนที่เหลือก็พากันพยักหน้า แม้แต่เสี่ยยิงที่ไม่เคยชอบมู่เฉินมาก่อนก็ยังผงกหัวด้วยรอยยิ้ม หลังจากประสบกับสถานการณ์หลากหลาย แม้แต่ทหารชาญศึกที่มีประสบการณ์อย่างพวกเขาก็อดชื่นชมมู่เฉินในใจไม่ได้


ได้รับคำชื่นชมต่อหน้า มู่เฉินก็ตอบรับอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


“พวกเราพักที่นี่กันสักระยะนะ ข้าก็อยากใช้โอกาสนี้ในจัดการสิ่งต่างๆ ที่ได้รับจากซากอารยธรรมความตาย” มู่เฉินยิ้มขณะที่พูดต่อ “ดังนั้นข้าหวังว่าทุกคนจะสามารถปกป้องข้าได้ขณะที่ข้าเข้าสมาธิ”


“โอ้?”


สีหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่านางจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ขณะที่ริ้วความอัศจรรย์วูบวาบในดวงตา “เจ้าได้อะไรมาจากซากอารยธรรมความตายเหรอ?”


มู่เฉินยิ้มบางจากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ข้าอาจสามารถบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือได้หลังออกจากสมาธิครั้งนี้…”


เมื่อพูดออกมา ใบหน้าผู้บัญชาการทั้งหลายก็แข็งทื่อ ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นความตกใจในสายตาของกันและกัน


ในที่สุดอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะมีจั้นเจินซือตัวจริงแล้วเรอะ?!


**สำนวน เทพธิดาโรยกลีบดอกไม้แปลว่ากระจายไปทั่ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)