หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 889-890

 บทที่ 889 ราชันสงครามจิ่วเจี๋ย

“คัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่…”


มู่เฉินเปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องอยู่ในใจ คำพูดโบราณที่สะท้อนจากสายฟ้าราวกับฝังเข้าไปในห้วงแห่งจิต


แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ดูรายละเอียดคัมภีร์จิตนี้ลึกลงไป แต่ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกถึงแรงกดดันรุนแรงที่กระจายไปทั่วในห้วงแห่งจิต


คัมภีร์นี้ไม่ธรรมดาแน่นอน


“ไม่คิดว่าเจ้าจะมีความเข้ากันได้สูงขนาดนี้กับมัน” เมื่อมู่เฉินลืมตา จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็มองไปที่เขาด้วยท่าทางแปลกประหลาด ก่อนจะเอ่ยช้าๆ


“ผู้อาวุโส คัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่นี้มีที่มาอย่างไรหรือขอรับ?” มู่เฉินถามด้วยความอยากรู้ เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของจักรพรรดิเทียนเจิ้น ดูเหมือนว่าคัมภีร์จิตนี้จะมีประวัติเบื้องหลังไม่ธรรมดา


“คัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่สร้างขึ้นตั้งแต่โบราณกาลโดยราชันสงครามจิ่วเจี๋ย” จักรพรรดิเทียนเจิ้นยิ้ม แม้ว่าน้ำเสียงจะสงบ แต่มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความพิเศษเมื่อเขาพูดถึงราชันสงครามจิ่วเจี๋ยซึ่งนั่นเป็นความเคารพเทิดทูน


“ราชันสงครามจิ่วเจี๋ย?”


มู่เฉินรู้สึกถึงความเกรงขามกับชื่อที่เด็ดขาดนี้ จากนั้นเขาก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้น นั่นเป็นเพราะเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้อาวุโสคนนี้เลย อีกฝ่ายน่าจะเป็นจั้นเจิ้นซือล่ะมั้ง?


“ราชันสงครามจิ่วเจี๋ยเป็นจั้นเจิ้นซือที่สามารถสร้างลวดลายจั้นเหวินได้ถึงสิบล้านลายในสมัยโบราณ” จักรพรรดิเทียนเจิ้นพูดอย่างช้าๆ เมื่อพูดถึงลวดลายจั้นเหวินสิบล้านลาย ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความปรารถนา


“ลวดลายจั้นเหวินสิบล้านลาย?”


ทว่ามู่เฉินกลับรู้สึกปวดหัวเกี่ยวกับความปรารถนาของจักรพรรดิเทียนเจิ้น นั่นเป็นเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับลำดับขั้นของจั้นเจิ้นซือเลย ลวดลายจั้นเหวินสิบล้านลายคืออะไรกัน?


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเพิ่งตั้งไข่กับการเป็นจั้นเจิ้นซือจริงด้วย”


เมื่อเห็นความสับสนของมู่เฉิน จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็จนคำพูดได้แต่ส่ายหัวไปมา “ในเมื่อเจ้าสามารถวิญญาณสงครามได้ ก็น่าจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของวิญญาณสงครามแตกต่างกันอย่างไรสินะ?”


มู่เฉินลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “น่าจะเกี่ยวกับจำนวนลวดลายจั้นเหวินใช่ไหมขอรับ?”


เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือจริงๆ แต่ยังไงเขาก็สามารถสร้างวิญญาณสงครามให้หน่วยรบทั้งห้าแล้ว ดังนั้นจึงพอตระหนักได้ว่าดูเหมือนว่ายิ่งวิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินมาก ก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น


จักรพรรดิเทียนเจิ้นพยักหน้า “จั้นเจิ้นซือในสมัยโบราณแบ่งระดับกันด้วยลวดลายจั้นเหวิน โดยจัดหมวดหมู่ไว้เป็นสี่ระดับใหญ่ๆได้แก่ วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ สือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ ไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือและเชียนวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ”


เมื่อได้ยินการจำแนกที่แปลกประหลาด มุมปากมู่เฉินก็กระตุก พวกจั้นเจิ้นซือนี่ขี้เกียจจริงๆ ขนาดการแบ่งระดับยังไม่มีการสร้างสรรกันเลย


แต่ถึงแม้ว่าจะไม่สละสลวย แต่มู่เฉินก็ยอมรับว่าชัดเจนมากเพียงแค่จากชื่อ


“แต่จำนวนลวดลายจั้นเหวินที่นี้ไม่ได้หมายถึงการรวมลวดลายบนวิญญาณสงครามหลายตัว แต่เป็นลวดลายที่ได้รับการกลั่นหลังจากรวมเอารัศมีจั้นยี่ทั้งหมด” จักรพรรดิเทียนเจิ้นอธิบาย


มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะเข้าใจโจ่งแจ้ง เรื่องนี้ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาควบคุมรัศมีของหน่วยรบทั้งห้า ตอนนั้นในแต่ละวิญญาณสงครามต่างมีลวดลายจั้นเหวินหลายพันลาย ถ้ารวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็มีลวดลายจั้นเหวินเกินหมื่นลายไปนานแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขามาถึงระดับวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ เพราะนอกเหนือจากเขาสามารถรวมรัศมีจั้นยี่ของห้าหน่วยรบเข้าเป็นหนึ่งเดียวและสร้างวิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลายขึ้นมาใหม่ แบบนั้นถึงจะถือว่าเขาเป็นวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือตัวจริง


“ยิ่งสูงก็ยิ่งยากในการปรับแต่งลวดลายจั้นเหวิน” จินไถหลิวหลีพูดเบาๆ จากด้านข้าง “ข้าบัญชากองทัพผลึกฟ้าที่มีนักรบสามหมื่นคน แต่จำนวนลวดลายจั้นเหวินที่ข้าสามารถปรับแต่งได้อยู่ประมาณเก้าพันลายเท่านั้น ซึ่งยังมีระยะห่างจากหนึ่งหมื่นลายอยู่”


พูดถึงจุดนี้ จินไถหลิวหลีก็เผยความมั่นใจบนใบหน้าพลางยิ้ม “แต่นั่นเป็นเพราะข้อจำกัดคลื่นจิตของข้า รอให้ข้าประสบความสำเร็จจากคัมภีร์จิตที่อาจารย์มอบให้ก็ไม่น่าจะยากในการไปถึงระดับวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ”


มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ตอนที่เขาบัญชาหน่วยรบวิหคโลกันตร์ซึ่งมีจำนวนนักรบห้าพันคน เขาสามารถกลั่นลวดลายจั้นเหวินได้สี่พันลาย แต่จินไถหลิวหลีที่ควบคุมนักรบสามหมื่นคนกลับสามารถกลั่นลวดลายจั้นเหวินได้เพียงเก้าพันลาย ดังนั้นจะเห็นได้ว่ายากเพียงใดในการกลั่นลวดลายจั้นเหวินเมื่อจำนวนลวดลายเพิ่มขึ้น


แต่จากการประเมินของมู่เฉิน ถ้าเขาสามารถบัญชากองทัพทรงพลังอย่างกองทัพผลึกฟ้า เขาอาจจะปรับแต่งลวดลายจั้นเหวินได้หมื่นลาย เพราะเขารู้สึกได้ว่าคลื่นจิตของเขาแข็งแกร่งกว่าจินไถหลิวหลีเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาเป็นหลิงเจิ้นซือด้วย


“มีสองประการใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นลวดลายจั้นเหวิน หนึ่งปริมาณกับคุณภาพของกองทัพ และสองคือความแข็งแกร่งของคลื่นจิต”


จักรพรรดิเทียนเจิ้นอธิบายให้มู่เฉินซึ่งไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือให้ฟังต่อ “กองทัพแสดงถึงแสนยานุภาพของรัศมีจั้นยี่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของจั้นเจิ้นซือและรัศมีจั้นยี่เป็นรากฐานของลวดลายจั้นเหวินเหล่านี้ ส่วนความแข็งแกร่งของคลื่นจิตก็จะเป็นตัวแทนว่าเจ้าสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาได้เต็มที่หรือไม่”


มู่เฉินพยักหน้า สำหรับจั้นเจิ้นซือกองทัพก็เป็นเสมือนอาวุธเทพและคลื่นจิตก็คือพลังในการควบคุมอาวุธนั่นเอง ยิ่งคลื่นจิตทรงพลังมากเท่าไรอาวุธเทพก็จะสามารถแสดงพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น


“สำหรับจั้นเจิ้นซือลวดลายจั้นเหวินก็คือเส้นแบ่ง หากเจ้าสามารถกลั่นวิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลาย ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงพลังอย่างสมบูรณ์”


“นั่นเป็นเพราะเมื่อวิญญาณสงครามกลั่นลวดลายจั้นเหวินหมื่นลายได้ ก็หมายความว่ารัศมีจั้นยี่นั้นประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้น ในเวลานั้นรัศมีจั้นยี่จะวิวัฒนาการไปสู่​ผนึกจั้นยี่”


“รัศมีจั้นยี่กลายเป็นผนึกจั้นยี่?” มู่เฉินออกอาการตะลึงงันบนใบหน้า เนื่องจากเขาไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้เลย


“ผนึกจั้นยี่เป็นระดับที่สูงขึ้นในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ ก็เช่นเดียวกับวิทยายุทธระดับเสินซู่ของขุมพลังหลิง สามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ แน่นอนว่าลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลายเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการสร้างค่ายกลศึก มีเพียงการไปถึงระดับนี้เท่านั้นถึงจะสามารถสร้างรูปแบบค่ายกลศึกที่จะปรับแต่งรัศมีจั้นยี่ได้มากและสร้างรูปแบบการโจมตีหลากหลายวิธีมากขึ้น” จินไถหลิวหลีอธิบายจากด้านข้าง


มู่เฉินพยักหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ ไม่คิดเลยว่ารัศมีจั้นยี่ยังสามารถนำมาใช้ในลักษณะนี้ได้ ถ้าคิดแบบนี้ วิธีก่อนหน้านี้ของเขาในการใช้รัศมีจั้นยี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หยาบกระด้างมาก


“พูดโดยทั่วไปเมื่อวิญญาณสงครามมีลวดลายจั้นเหวินหมื่นลาย ก็สามารถเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ถ้ามีถึงห้าหมื่นลายกระทั่งขั้นแปดยังต้องหวาดกลัว และถ้ามีถึงหนึ่งแสนลายก็สามารถเผชิญหน้ากับขั้นเก้าได้เลยทีเดียว” จักรพรรดิเทียนเจิ้นกล่าวเสียงเบา


ม่านตามู่เฉินหดลงริ้วความตกตะลึงฉายลึกในส่วนลึกของนัยน์ตา วิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินแสนลายสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าได้ ถ้าเช่นนั้นเชียนวั่นจั้นเจิ้นซือจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน?


หรือว่าราชันสงครามจิ่วเจี๋ยจะน่ากลัวจนเทียบเคียงกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้?


“ลวดลายจั้นเหวินล้านลายเทียบระดับตี้จื้อจุน ส่วนวิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินสิบล้านลายเป็นสิ่งที่แม้แต่ระดับเทียนจื้อจุนก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากัน พลังอันน่าสะพรึงกลัวสามารถทำลายล้างพิภพเขตล่างด้วยการสะบัดนิ้วครั้งเดียว” จักรพรรดิเทียนเจิ้นพูดด้วยท่าทางหนักหน่วง


“ทำลายพิภพเขตล่าง”


หัวใจของมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ ย้อนกลับไปตอนที่เขาตีความ ‘หัวใจแห่งจั้นเจิ้น’ ได้ ภาพที่เขาเห็นก็เหมือนจะเป็นอสรพิษเก้าหัวขนาดมหึมาไร้ขอบเขตที่สามารถฆ่าล้างเผ่าปีศาจที่อยู่พิภพเขตล่างด้วยการเคลื่อนไหวเดียว


ในตอนนั้นมู่เฉินไม่ได้สนใจมากนัก แต่ตอนนี้เมื่อคิดอีกครั้งดูเหมือนว่าวิญญาณสงครามอสรพิษเก้าหัวจะเต็มไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน ซึ่งอาจอยู่ในระดับสิบล้านลายก็ได้


“ไม่คิดว่าราชันสงครามจิ่วเจี๋ยจะมีที่มาที่ไปสุดยอดเช่นนี้” มู่เฉินอุทานด้วยความชื่นชม จอมยุทธ์แบบนั้นจะต้องเป็นจุดสูงสุดของสวรรค์และโลกต่อให้อยู่ในสมัยโบราณ นับว่าเป็นเสาหลักของมหาพันภพเลยทีเดียว ดูเหมือนเขาจะเสียไปอย่างแต่ก็ได้มาอย่าง แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับมรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้น แต่เขาก็ได้รับสิ่งที่หลงเหลือจากจอมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัว


“แต่อย่าได้ใจหลังจากได้รับ คัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่ในมือเจ้าไม่ครบสมบูรณ์ มีเพียงการเพาะบ่มภัยพิบัติสี่ประการแรกเท่านั้น อีกห้าประการหลังหายสาปสูญไปนานแล้ว แต่ถึงกระนั้นถ้าเจ้าสามารถฝึกฝนสี่ภัยพิบัติแรกได้สำเร็จ ก็คงไม่ยากที่จะกลั่นลวดลายจั้นเหวินได้หลายแสนลาย ยิ่งถ้าเจ้ามีความเข้ากันได้สูงกับคัมภีร์จิตนี้ เจ้าอาจจะสามารถกลั่นลวดลายจั้นเหวินได้นับล้านเลยทีเดียว” จักรพรรดิเทียนเจิ้นเอ่ยเตือน


“ลวดลายจั้นเหวินหลายแสนลายเรอะ”


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่มู่เฉินก็ไม่ผิดหวัง หากมีโอกาสในอนาคตเขาจะค้นหาภัยพิบัติอีกห้าประการมาให้จงได้ ยังไงตามการคาดการณ์ของเขาเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสำเร็จสี่ภัยพิบัติแรกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ


“ขอบคุณสำหรับการชี้แนะท่านผู้อาวุโส”


มู่เฉินประสานมืออย่างจริงใจต่อจักรพรรดิเทียนเจิ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับมรดกของอีกฝ่าย แต่จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็เปิดเส้นทางของจั้นเจิ้นซือให้กับเขา ซ้ำยังให้โอกาสเขามอบศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ให้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกขอบคุณในหัวใจยิ่งนัก


จักรพรรดิเทียนเจิ้นโบกมือ “เจ้ามีส่วนทำให้ข้าสามารถค้นหาผู้สืบทอดได้ในช่วงสุดท้าย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ข้าจะให้โอกาสนั้น”


พูดมามากมาย สีหน้าของจักรพรรดิเทียนเจิ้นก็ฉายความเหนื่อยล้า มู่เฉินสามารถสัมผัสถึงประกายในสายตาอีกฝ่ายพร่ามัวลง ซึ่งทำให้เขารู้ว่าจักรพรรดิเทียนเจิ้นคงทนได้อีกไม่นานแล้ว


“ข้าคงทนต่อไม่ไหวแล้ว ก่อนจะลาจาก ข้าขอมอบของขวัญอีกชิ้นให้เจ้าทั้งสองคน” จักรพรรดิเทียนเจิ้นฝืนยิ้มให้ทั้งสองคน จากนั้นก็โบกมือทำให้กองทหารหินเบื้องล่างสั่นสะเทือน ร่างเงาจำนวนมากทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นลำแสงสีเทาพลิ้วลงในมือของจักรพรรดิเทียนเจิ้น


กระดานหมากสองกระดานวางอยู่ในมือเขา มีกองทหารหินสร้างเป็นตัวเบี้ยงดงามบนกระดาน ซึ่งดูราวกับหมากรุก


“กระดานเทพปฏิยุทธ์อันตรายจริงๆ ด้วยกองทหารหินกว่าหมื่นคน ข้าสามารถก่อตั้งกองทัพได้เพียงสองพันคนเท่านั้น”


จักรพรรดิเทียนเจิ้นมองรูปปั้นหินบนกระดานทั้งสอง เขาถอนหายใจเสียงเบาก่อนที่จะสะบัดกระดานมาส่งให้มู่เฉินและจินไถหลิวหลี “กระดานเทพปฏิยุทธ์แต่ละกระดานมีกองทหารหินหนึ่งพันคน เมื่อตกอยู่ในอันตรายก็สามารถเปิดใช้งานได้ รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาจะช่วยให้เจ้าฝ่าวิกฤต แต่จำไว้ว่าใช้ได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นมันก็จะสลายเป็นเถ้าถ่าน”


ใบหน้าของมู่เฉินและจินไถหลิวหลีเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ขณะที่รับกระดานหมากโบราณมาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะคำนับจักรพรรดิเทียนเจิ้นด้วยมารยาทสูงสุด


ขณะที่พวกเขาโค้งคำนับ จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอนตัวพิงพนักบัลลังก์หินอย่างช้าๆ ประกายแสงในดวงตาเริ่มหม่นลงก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์


เมื่อแสงในดวงตาหายไป ร่างกายของจักรพรรดิเทียนเจิ้นก็เริ่มแข็งตัวเป็นหิน ก่อนที่จะกลายเป็นรูปปั้นหินนั่งเงียบๆ บนบัลลังก์หิน


เมื่อมู่เฉินและจินไถหลิวหลีเงยหน้าขึ้น พวกเขาก็เห็นจักรพรรดิเทียนเจิ้นกลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว ทั้งสองได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าผู้อาวุโสที่ถ่ายทอดศาสตร์แห่งจั้นเจิ้นซือให้ได้หายไปจากโลกนี้ตลอดกาลแล้ว


บทที่ 890 ล้อมรอบ

เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจักรพรรดิเทียนเจิ้นหายไปจากโลก


แสงสลัวรางบนท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะทะลุผ่านมิติ ค่อยๆ ส่องสว่างมิติสีแดงฉานนี้


จินไถหลิวหลีมองจักรพรรดิเทียนเจิ้นที่กลายเป็นหินด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนที่จะถอนหายใจด้วยความเจ็บปวด นางหันไปมองมู่เฉินพูดเบาๆ ว่า “เราไปกันเถอะ”


มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับมรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้นในการเดินทางมายังซากอารยธรรมความตายครั้งนี้ แต่เขาก็ได้รับวิชาการฝึกจิตที่ทิ้งไว้โดยจอมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัว—ราชันสงครามจิ่วเจี๋ย ซึ่งทำให้เขาพึงพอใจมากยิ่งเช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างไรสุดท้ายเขาก็รู้วิธีการเป็นจั้นเจิ้นซือแท้จริงแล้ว


ดังนั้นเขาจึงพอใจกับการเก็บเกี่ยวนี้


จินไถหลิวหลีหมุนตัวกำลังจะจากไป ทว่าทันใดนั้นร่างก็แข็งทื่อคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย นางกำมือเบาๆ เปลือกหอยชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น นางแนบไว้ข้างหูฟัง ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนไปรุนแรง


“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อมู่เฉินเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของนาง ก็อดถามไม่ได้


“ในช่วงเวลาที่เราเข้ามาที่นี่กองทัพที่ถูกทิ้งไว้โดยอาจารย์ข้าก็ค่อยๆ พังทลายลง ทุกกองทัพกำลังแย่งชิงไอหยุ่นลั้วกันน่าดู ส่วนหมู่ตึกเทวะกับตำหนักสุดนภากำลังร่วมมือกันจัดการอาณาเขตกงเวทสวรรค์” จินไถหลิวหลีกล่าวอย่างช้าๆ


“อะไรนะ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปทันที จิตสังหารพลุ่งพล่านในดวงตา ไอ้บ้าพวกนั้นฉกฉวยโอกาสได้ดีจริงๆ เนื่องจากหน่วยรบทั้งห้าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถูกเขานำเข้าสู่ค่ายกลศึกและอาจจะยังติดอยู่ที่นั่น เมื่อไม่มีหน่วยรบ จอมยุทธ์ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะอ่อนแอลงมาก แม้ว่าจะมีเหล่าผู้บัญชาการแต่ก็ยากในการจัดการกับจอมยุทธ์ชั้นสูงของหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาที่ร่วมมือกัน


“แม่นางจินไถถึงเราจะร่วมมือกันที่นี่ แต่ถ้าออกไปเมื่อไรเราก็จะเป็นศัตรูกัน ถึงเวลานั้นอย่าโทษข้าเลยนะ” ดวงตาคมปลาบของมู่เฉินจับจ้องไปที่จินไถหลิวหลีพลางพูดด้วยเสียงอันหนักแน่น


เมื่อจินไถหลิวหลีบัญชากองทัพผลึกฟ้า พลังก็จะอยู่ในระดับที่แม้แต่มู่เฉินยังหวาดกลัว ถ้าพวกเขาต้องสู้กันในเวลานั้น คงไม่มีการยั้งมือใดๆ


แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อยากต่อสู้กับจินไถหลิวหลี แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากพวกเขามาจากคนละสำนักกัน


จินไถหลิวหลีมองมู่เฉินจากนั้นดวงตาก็หลุบลง “ข้าไม่ได้สำนึกอะไรกับหมู่ตึกเทวะหรอก หากไม่ใช่เพราะข้าไม่มีทางเลือก ข้าก็ไม่อยากช่วยพวกมันด้วยซ้ำ”


มู่เฉินอึ้งไปขณะมองจินไถหลิวหลีด้วยความตะลึงงัน เขาไม่คิดว่านางจะไม่มีความรู้สึกอยากปกป้องหมู่ตึกเทวะเลย


“ในอดีตตระกูลของข้าเป็นกองทัพธรรมดาที่อยู่รอบนอกเขตแดนของหมู่ตึกเทวะ แต่ด้วยพรสวรรค์ของข้าเกี่ยวกับรัศมีจั้นยี่รั่วไหลออกไป ทำให้หมู่ตึกเทวะพยายามติดต่อให้ข้าเข้าร่วมกับพวกมัน แต่ข้าไม่สนใจที่จะอยู่ใต้อาณัติของหมู่ตึกเทวะ ดังนั้นข้าจึงออกปากปฏิเสธ ทว่าครึ่งเดือนจากนั้นก็มีกลุ่มคนลึกลับล่าสังหารครอบครัวของข้า ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก จนสุดท้ายพวกข้าได้รับการช่วยเหลือจากหมู่ตึกเทวะ” จินไถหลิวหลีพูดเสียงเฉยเมย แต่ในน้ำเสียงของนางอัดแน่นด้วยความหนาวสะท้านจิต นอกจากนี้ขณะที่นางพูดถึงหมู่ตึกเทวะที่เข้าช่วยเหลือ ก็ไม่มีความกตัญญูแฝงอยู่เลย ตรงกันข้ามเสียงของนางเย็นยิ่งกว่าอะไร


มู่เฉินขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดว่า “กลุ่มคนลึกลับมาจากหมู่ตึกเทวะสินะ?”


“ฮ่าๆ พวกมันคิดว่าแผนไร้ที่ติ แต่ไม่มีความลับใดซ่อนอยู่ในโลกได้หรอก”


จินไถหลิวหลีเค้นเสียงเย็นชา “หลังจากนั้นหมู่ตึกเทวะก็นำคนของข้ากลับไปที่สำนัก พวกมันทำเหมือนปกป้องแต่จริงๆ แล้วเป็นการเฝ้าระวัง พวกมันบังคับให้ข้าต้องนำทัพ มิหนำซ้ำน้องสาวของข้าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหายนะครั้งนั้นทำให้นางตกอยู่ในสภาพหมดสติ มีเพียงต้นเก้าวิญญาณเต็มสวรรค์สมุนไพรแห่งหมู่ตึกเทวะเท่านั้นที่สามารถช่วยชีวิตนางได้ แต่พวกมันไม่ยอมให้ข้าสักที ชัดว่าพวกมันตั้งใจจะควบคุมข้าในระยะยาว”


พูดถึงประโยคสุดท้ายจินไถหลิวหลีก็กำมือแน่น หยดเลือดสีแดงไหลจากปลายนิ้วมือ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้


มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจินไถหลิวหลีจะแบกรับเรื่องราวมากมายไว้ คิดว่าแม้นางจะดูเหมือนมีสถานะดีเยี่ยมในหมู่ตึกเทวะ แต่นางก็ไม่ได้รับความไว้วางใจเต็มร้อย


“ขอโทษ” มู่เฉินถอนหายใจ


จินไถหลิวหลีส่ายหน้าพลางระงับอารมณ์ในหัวใจ “แต่ถ้าข้าเป็นจั้นเจิ้นซือได้ในอนาคต หมู่ตึกเทวะก็จะให้ความสำคัญกับข้าอย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลานั้นข้าเชื่อว่าพวกมันจะไม่กล้าลากเรื่องนี้อีกต่อไป”


“แม้ว่าข้าจะไม่รู้สึกผูกพันกับหมู่ตึกเทวะ แต่ก็เป็นสถานที่ที่ดีที่มีทรัพยากรมากมายป้อนข้า นอกจากนี้ทรัพยากรก็เป็นตัวช่วยที่ดีในการบรรลุจั้นเจิ้นซือ ดังนั้นข้าไม่ถือที่จะยืนหยัดอดทนรอจนกว่าตนเองจะแข็งแกร่งพอที่จะทำลายหมู่ตึกเทวะได้!”


ใบหน้าของจินไถหลิวหลีเคลือบด้วยไอเย็นเยือก ทำให้แม้แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงในใจ เขาแอบเดาะลิ้น ตราบใดที่ผู้หญิงโหดเหี้ยมขึ้นมา ก็น่ากลัวกว่าผู้ชายเสมอ หมู่ตึกเทวะคิดไม่ได้แน่ว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูด้วยทรัพยากรมหาศาลของพวกเขา จะเป็นอสรพิษรอวันแว้งกัด…


มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ แล้วพูดว่า “งั้นเดี๋ยวเจ้าก็ระวังให้ดี”


“ข้าไม่คิดจะสู้กับเจ้า เพราะข้ารู้สึกได้ว่าต่อให้มีกองทัพผลึกฟ้าในมือ ข้าก็ยังต้องจ่ายราคามหาศาลหากเราต่อสู้กัน ข้าไม่โง่ที่จะทำเช่นนั้นหรอก” จินไถหลิวหลียิ้มบาง


มู่เฉินอึ้งไป ในการสู้กันระหว่างสองฝ่าย จินไถหลิวหลีถือเป็นกำลังน่าเกรงขามของหมู่ตึกเทวะแน่นอน พวกฟังยี่จะยอมให้นางยืนดูอยู่ข้างๆหรือ?


“ถ้าข้าสบายดี พวกมันก็ต้องให้ข้าเข้าร่วมแน่นอน แต่ถ้าข้ารับบาดเจ็บจนไม่อาจควบคุมกองทัพได้ล่ะ?” จินไถหลิวหลียิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับนางจิ้งจอก จากนั้นก็ยื่นมือออกมาตบลงบนหน้าอกของตัวเอง


อั้ก!


เลือดพ่นออกจากริมฝีปากสีกุหลาบ ใบหน้าจินไถหลิวหลีก็ซีดลงหลายส่วน มู่เฉินตกใจรีบพุ่งเข้าไปทันที แต่ถูกนางโบกมือหยุดเอาไว้


“ไม่เป็นไร ต้องทำให้สมจริงไว้ก่อน” จินไถหลิวหลียิ้ม จากนั้นนางก็ยีผมให้ยุ่งเหยิงทำให้ดูน่าสมเพชนัก


“เดี๋ยวข้าออกไปจะอ้างว่าได้รับบาดเจ็บหนักจากฝีมือเจ้า เนื่องจากข้าไม่ได้พากองทัพผลึกฟ้าติดตามไปด้วย ด้วยพลังที่มีข้าก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับเจ้าได้จริง ดังนั้นคิดว่าพวกมันคงไม่สงสัยอะไรกันหรอก”


มู่เฉินอึ้งไปขณะมองไปที่จินไถหลิวหลี จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ไม่พูดอะไรพลางพยักหน้าเบาๆ “ขอบใจมาก ถ้ามีโอกาสในอนาคตข้าจะตอบแทนแน่”


มู่เฉินรู้ว่าจินไถหลิวหลีมอบความช่วยเหลือครั้งใหญ่ให้แก่ตน ถ้านางเข้าร่วมการต่อสู้ แม้ว่านางจะไม่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่นางก็ขัดขวางเขาไว้ได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเหล่าผู้บัญชาการจะต้องเผชิญหน้ากับสองกองทัพใหญ่ ซึ่งอ่อนแอกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน ทำให้พวกเขาต้องจ่ายราคาหนักหนามากสำหรับศึกนี้


“ข้าก็ช่วยได้ไม่เยอะ แม้ว่าข้าจะไม่ลงมือ แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่จะรับศึกสองด้านจากหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภา ดังนั้นหลังจากออกไปจากที่นี่ สถานการณ์ของพวกเจ้าก็ไม่ได้ดีเท่าไรหรอก” จินไถหลิวหลีกล่าว


มู่เฉินพยักหน้าสายตาคมปลาบ “วางใจเถอะ พวกฟังยี่ยังไม่สามารถกลืนกินพรรคพวกข้าจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้หรอก”


จินไถหลิวหลีเม้มปากยิ้ม รอยเปื้อนเลือดที่มุมปากทำให้นางดูน่าดึงดูดอย่างยิ่ง แต่นางก็ไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่โบกมือให้มู่เฉิน


“งั้นก็เตรียมออกไปกันเถอะ”


เมื่อจบคำพูด ร่างนางก็กลายเป็นลำแสงทะยานออกไป ที่ด้านหลังมู่เฉินรออยู่ครู่หนึ่งก็พุ่งตามนางไปด้วยความเร็วสูงสุด ไล่ล่านางอย่างโหดเหี้ยม


พวกเขาทั้งสองมาถึงปากทางเข้าอย่างรวดเร็ว บริเวณนั้นมิติบิดเบี้ยวแล้ว จากนั้นร่างทั้งสองก็พุ่งตัวออกไปราวกับสายฟ้า


เมื่อพวกเขาออกมามิติก็กลับสู่ความสงบ ในอนาคตจะไม่มีใครสามารถเข้ามาที่นี่ได้อีกต่อไป สถานที่แห่งนี้จะถูกทำลายไปตามกาลเวลา


ฟิ้ว!


เมื่อจินไถหลิวหลีและมู่เฉินพุ่งออกจากมิติ เสียงตะโกนบ้าคลั่งก็ดังก้องจากทุกสารทิศ ขณะที่รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนพวยพุ่งไปทั่วบริเวณ


ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นในค่ายกลจตุเทวะ แต่ตอนนี้ค่ายกลก็ใกล้จะถูกทำลายเนื่องจากวิญญาณสงครามทั้งสี่หายไปนานแล้ว


เมื่อเผยตัวออกมา มู่เฉินก็เห็นห้าหน่วยรบของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่ถูกขังไว้ในค่ายกลเต่าดำ เนื่องจากไม่มีการสั่งการของมู่เฉิน พวกเขาจึงไม่สามารถสร้างวิญญาณสงครามและทำลายกระทั่งค่ายกลที่กำลังจะพังทลายเพื่อออกไปได้


ตรงกันข้ามยามนี้ค่ายกลมังกรครามและวิหคเพลิงว่างเปล่า เซียวเทียนและจอมยุทธ์ทั้งสามหายไปแล้ว ชัดว่าพวกเขาทำลายค่ายกลและออกไปจากที่นี่เรียบร้อย


“เซียวเทียนก็ออกไปแล้วด้วย”


เมื่อเห็นภาพนี้ สายตามู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหดลง


ภายนอกค่ายกล มู่เฉินเห็นการระเบิดรุนแรงของคลื่นหลิง ลำแสงจำนวนมากฉีกออกจากขอบฟ้า ปะทะกันเปรี้ยงปร้าง ทำให้ฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการต่อสู้ที่น่ากลัว


มู่เฉินเหมือนจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยการต่อสู้ที่วุ่นวาย ซึ่งก็คือเหล่าจอมยุทธ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์!


เมื่อเห็นภาพนี้แววตาของมู่เฉินก็ดิ่งลง


จินไถหลิวหลีที่อยู่เบื้องหน้าก็เห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน ทันใดนั้นนางก็ส่งสายตาให้มู่เฉิน จากนั้นก็พุ่งหนีเข้าไปยังทิศทางของกองทัพผลึกฟ้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันเสียงแหลมซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังก็ดังก้องระหว่างฟ้าดิน


“มู่เฉิน ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่นอน!”


เสียงแหลมดังขึ้นอัดแน่นด้วยความเกลียดชัง ทำให้การต่อสู้วุ่นวายที่อยู่ไกลออกไปชะงักลง สายตาจำนวนมากกวาดเข้ามาก่อนที่จะพุ่งความสนใจไปที่มู่เฉินตามด้วยเสียงอุทานตกใจ


“มู่เฉินออกมาแล้วจริงเรอะ?!”


“เขายังทำให้จินไถหลิวหลีจากหมู่ตึกเทวะบาดเจ็บด้วย!”


“…”


มู่เฉินฟังเสียงอื้ออึงที่ดังก้อง ใบหน้ากลับเย็นชาลงหลายส่วน ร่างขยับวูบไหวไปปรากฏตัวด้านในค่ายกลเต่าดำ โดยหน่วยรบทั้งห้ากำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ที่ผู้บัญชาการถูกล้อมรอบแบบร้อนใจ


“ผู้บัญชาการมู่!”


เมื่อพวกเขาเห็นการมาถึงของมู่เฉินก็ดีใจราวกับว่าพบเสาหลักของตน


มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าเย็นเยือก จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น น้ำเสียงเย็นเยือกอัดแน่นด้วยจิตสังหารสะท้อนออกมา


“เร้ารัศมีจั้นยี่ออกไปสังหารพร้อมข้า!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)