หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 885-886
บทที่ 885 ร่วมมือกำจัดปีศาจ
หลังจากทำข้อตกลงกับจินไถหลิวหลี
มู่เฉินก็ไม่ลังเล เขาเหลือบมองหญิงสาวนิ่งโดยไม่มีคำพูดก่อนจะทะยานตัวออกไป
เขาพุ่งเข้าไปในพื้นที่ที่มืดมิด ยามนี้ร่างปีศาจกำลังชักเย่อกับโซ่ตรวนเพื่อพยายามทำให้ตัวเองเป็นอิสระและหลบหนีจากค่ายกลที่กักขังเอาไว้นี้
แต่เมื่อมันเห็นมู่เฉินทะยานใกล้เข้ามา ประกายแสงชั่วช้าก็วาบขึ้นในดวงตา ลิ้นแลบเลียริมฝีปากช้าๆ ไอสังหารที่น่าขนลุกอัดแน่นเต็มใบหน้า
“ไอ้เวร รนหาที่ตายเองเลยนะ!”
ร่างปีศาจหัวเราะเสียงหลอนแล้วยกมือขึ้น รัศมีสีดำเหนียวหนืดที่รวมอยู่รอบตัวก็พุ่งออกไป ดูราวกับควันหมุนรัศมีปีศาจพวยพุ่งเข้ามาห่อหุ้มร่างมู่เฉินไว้
วาบ!
เมื่อเห็นการโจมตีของร่างปีศาจ มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้ออกกระบวนท่าป้องกันแต่อย่างใด แผ่นหลังของเขากระเทือน ปีกหงส์ฟ้าสีม่วงทองคู่ใหญ่กางออกมา ด้วยการกระพือรุนแรง ร่างของเขาก็พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วเหนือแสง
เมื่อยืมปีกจากลวดลายหงส์ฟ้าแท้จริงมาใช้ ความเร็วของมู่เฉินก็มาถึงจุดที่น่าทึ่ง เป็นความเร็วที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็ไม่สามารถเทียบได้
แม้ว่าควันหมุนปีศาจจะมีการเคลื่อนไหวรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสร่างมู่เฉินได้ ในทางตรงกันข้ามขณะที่มันไล่ตามมาก็ค่อยๆ เจือจางลงไป
นั่นเป็นเพราะพลังงานที่กักเก็บอยู่ภายในกำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นภาพนี้ ดวงตาของมู่เฉินก็วาววับ ดูเหมือนว่าร่างปีศาจจะถูกยับยั้งเอาไว้เป็นอันมากในความมืดมิดนี้ กระทั่งการโจมตีที่ปล่อยออกมาก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากค่ายกลที่ปกคลุมเอาไว้
ดูเหมือนว่าด้วยการใช้ค่ายกลศึกปราบปราม ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ที่จะถ่วงเวลาร่างปีศาจไว้
“ที่แท้ก็เป็นแค่ไอ้เด็กที่รู้แต่วิธีวิ่งหนีเหมือนหนู!”
เมื่อเห็นความเร็วในการหลบหนีของมู่เฉิน ร่างปีศาจก็ประหลาดใจไป แต่แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างน่าขนลุก เขาเหยียดนิ้วห้านิ้วที่เหี่ยวแห้งและซีดเซียวแล้วเคาะลง “ในเมื่อแกชอบวิ่ง งั้นข้าจะให้แกวิ่งต่อไปจนพอเลย!”
ตู้ม!
พร้อมกับที่นิ้วทั้งห้าชี้ออก รัศมีสีดำรอบตัวก็พลุ่งพล่านรุนแรง ก่อร่างเป็นอสรพิษปีศาจสีดำห้าตัวที่มีขนาดใหญ่ร้อยจั้ง ลำตัวมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่ดูน่าขยะแขยง อัดแน่นไปด้วยกลิ่นกัดกร่อน ทำให้เกิดรอยเบี้ยวบนมิติที่อยู่ในเส้นทางผ่านของพวกมัน
ฟ่อ!
ทันทีที่อสรพิษปีศาจทั้งห้าปรากฏขึ้นก็ส่งเสียงขู่ฟ่อดัง ทะลุผ่านมิติด้วยความเร็วสูง จากนั้นพวกมันก็กวาดร่างมาหามู่เฉินด้วยการล้อมกรอบเขาเอาไว้
เมื่อเห็นอสรพิษปีศาจทั้งห้า สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นผันผวนคุกคามมาจากพวกมัน แม้ว่าจะถูกกักขังไว้ที่นี่นับหมื่นปี พลังก็เหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจุดสุดยอด แต่จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็เหมือนกับภูเขาตั้งตระหง่านที่มู่เฉินไม่อาจข้ามไปได้ หากไม่ใช่เพราะพลังถูกควบคุมไว้โดยโซ่ ร่างปีศาจนี้ก็ฆ่ามู่เฉินด้วยการพลิกมือไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้นเมื่อร่างปีศาจเริ่มใช้พลังแท้จริง มู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงภัยคุกคาม
ฟิ้ว!
ดังนั้นปีกด้านหลังของมู่เฉินจึงสั่นสะท้าน ผลักความเร็วไปถึงขีดสุด ทิ้งภาพลวงตาไว้ข้างหลังขณะที่เสียงลมบาดแก้วหูดังกึกก้องตามมา
เขารู้แล้วว่าพลังของร่างปีศาจจะอ่อนแอลงในค่ายกลศึกนี้ ดังนั้นเขาแค่บินเป็นวงกลม การโจมตีก็จะลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อลดลงจนถึงระดับที่สามารถรับมือได้ มู่เฉินก็จะออกกระบวนท่าทำลายการโจมตีเหล่านั้น
แผนของมู่เฉินถูกต้อง แต่เขาดูถูกการโจมตีของร่างปีศาจครั้งนี้ไปมาก ความเร็วของอสรพิษปีศาจทั้งห้าเกินความคาดหมายของเขา พวกมันราวกับสามารถทะลวงผ่านมิติ พุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ไม่กี่อึดใจก็ทะยานเข้ามาหมายสังหารเขา
ครืน!
มิติทางด้านขวาของมู่เฉินแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่อสรพิษร้ายจะกระโจนออกมา หางราวกับกับหอกปีศาจคมชัดปรากฏต่อหน้ามู่เฉินตามด้วยเสียงกรอบแกรบดังขึ้นเล็งเป้ามาที่หัวใจเขา
มู่เฉินชะงักตัวกึก จากนั้นจิตใจก็เคลื่อนไหว แสงสีทองปะทุออกร่าง เกราะทองมังกรหงส์ปรากฏขึ้นพร้อมกับพลังที่ไม่สามารถทำลายได้กระจายออกไป
มู่เฉินไข้วแขนเป็นรูปกากบาทที่เบื้องหน้า เมื่อแสงสีทองกวาดออกไปก็เหมือนมีโล่ทองคำขวางหางอสรพิษที่เหวี่ยงเข้ามา
เคร้ง!
พลังงานสองสายปะทะกัน ทำให้เกิดประกายไฟแล่นเปรียะ เสียงปะทะกันของโลหะดังกึกก้อง มิติตรงนั้นเกิดการสั่นสะท้านมองเห็นระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว
ฟิ้ว!
มู่เฉินถลากลับไปหลายร้อยจั้ง แขนของเขาซึ่งได้รับการปกป้องด้วยเกราะทองถึงกับยุบลง ความเจ็บปวดบาดลึกพล่านออกมาจากลำแขน ทำให้เขารู้สึกสะดุ้งในหัวใจ แค่การโจมตีจากหางอสรพิษก็ทรงพลังมากถึงเพียงนี้
แต่ด้วยการยืมแรงต้านจากการโจมตีนี้ มู่เฉินก็หนีออกจากขอบเขตการโจมตีของอสรพิษไปได้ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถอนหายใจ มิติด้านหลังก็ถูกฉีกออกอสรพิษปีศาจตัวอื่นๆ ชูคอพุ่งออกมาอย่างดุร้าย
ความเร็วนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินที่มีปีกหงส์ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ทัน
“ใกล้แล้ว!”
ดวงตามู่เฉินกะพริบรวดเร็ว เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปพลังของอสรพิษปีศาจเหล่านี้ก็ไม่น่ากลัวเหมือนตอนแรก นอกจากนี้เขายังไม่มีเวลามากพอที่จะหลีกเลี่ยงการโจมตีแล้วเหมือนกัน
ตู้ม!
เมื่อความคิดแวบเข้ามาในหัว มู่เฉินก็ไม่ลังเล คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกราวกับพายุพร้อมกับความตั้งใจมุ่งมั่น คลื่นหลิงก็แผ่กว้างขณะที่ร่างแสงขนาดมหึมาปรากฏขึ้น
ร่างนั้นมีดวงตะวันส่องแสงอยู่ด้านหลังศีรษะราวกับรัศมีของพระพุทธรูปทองคำ กระเพื่อมไหวโดยรอบด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง
นี่คือร่างเทพสุริยะ
“เปิดคลื่นสามตะวัน!”
มือทั้งสองของมู่เฉินวาดตราประทับ ดวงตะวันสีทองอร่ามสามดวงก็ลุกโชนขึ้นจากร่างเทพสุริยะแล้วระเบิดออก แสงสีทองกวาดออกมาราวกับของเหลวสีทอง ทำให้ร่างเทพสุริยะเจิดจรัสยิ่งกว่าที่เคย
ครืน!
ร่างเทพสุริยะเหวี่ยงฝ่ามือออกไป กลั่นแสงสีทองก่อร่างเป็นผลึกสีทองที่แขน แรงกดของฝ่ามือราวกับว่าสามารถทำลายภูเขาทั้งลูกได้
ปัง!
ฝ่ามือใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยผลึกอัญมณีสีทองปะทะกับอสรพิษปีศาจอย่างดุร้าย ช่วงเวลาที่ปะทะกันมิติก็กระเพื่อมไหว คลื่นกระแทกป่าเถื่อนกระจายออกสร้างความหายนะไปทั่ว
ร่างเงาใหญ่โตของร่างเทพสุริยะถอยกลับไปทันทีจากคลื่นกระแทก ทั้งฝ่ามือระเบิดออกเป็นจุดแสง
แม้ว่าร่างเทพสุริยะจะจ่ายด้วยฝ่ามือ แต่อสรพิษปีศาจก็ถูกทำลายกลายเป็นประกายแสงสีดำเช่นกัน
ภายในร่างเทพสุริยะ มู่เฉินเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก สายตาเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขาใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดในการโจมตีกระบวนท่าก่อนหน้า แต่กระนั้นก็ยังต้องเสียฝ่ามือไปข้างหนึ่ง ซ้ำเขายังได้รับผลกระทบอีกด้วย แม้จะจ่ายราคาขนาดนี้ออกไป เขาก็ทำได้เพียงกำจัดอสรพิษปีศาจตัวเดียวเท่านั้น
แต่ตอนนี้ยังมีอสรพิษอีกสี่ตัวกำลังเลื้อยไปมาก่อแนวปราการ บังคับให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง
เมื่อร่างปีศาจออกกระบวนท่า ก็ทำให้มู่เฉินตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช ช่องว่างพลังระหว่างพวกเขาเผยออกมาอย่างชัดเจน
ครืน!
ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้ม มิติโดยรอบมีอสรพิษปีศาจสีดำสี่ตัวเลื้อยพันโอบล้อมร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง
“ยิ่งสู้พวกเจ้ายิ่งอ่อนกำลังลง ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะสามารถฆ่าข้าได้!”
แม้ว่าจะถูกกดด้วยอันตราย คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัว ตรงกันข้ามดวงตาของเขากลับโชนแสงดุดัน ทันใดนั้นร่างเทพสุริยะก็วาดกระบวนท่า เสาปีศาจปรากฏขึ้นในพริบตาพร้อมด้วยรัศมีร้ายกาจ ดวงตะวันโชติช่วงทั้งสามดวงในร่างกายก็เปล่งประกายยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มู่เฉินเร้าพลังออกมาทุกหยาดหยดแล้ว
ตู้ม!
ร่างเทพสุริยะทะยานไปข้างหน้า เสาปีศาจแผ่รัศมีน่ากลัวหลอมรวมกันห่อหุ้มอสรพิษปีศาจตัวหนึ่งไว้
การต่อสู้รุนแรงระเบิดขึ้น
ทุกกระบวนท่าระหว่างมู่เฉินกับอสรพิษปีศาจนั้น จะทำให้เกิดรอยร้าวบนร่างเทพสุริยะ มากจนเขายังได้รับผลกระทบ เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากมุมปาก
แต่ขณะที่มู่เฉินอยู่ในสภาพน่าสมเพช อสรพิษทั้งสี่ก็จ่ายราคามหาศาลเช่นกัน เสาปีศาจกระแทกร่างพวกมัน กระจายรัศมีสีดำรอบตัวออกอย่างต่อเนื่อง
ตู้ม!
เมื่อเสาปีศาจกระหน่ำลงมาอีกครั้ง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ครางกระหึ่ม อสรพิษปีศาจตัวสุดท้ายก็ต้านรับไม่ไหว มันส่งเสียงขู่ฟ่อแล้วแตกสลายลง แต่ก่อนที่มันสลายตัว ก็ใช้หางกระแทกหน้าอกร่างเทพสุริยะอย่างหนักหน่วง
ปัง!
ร่างเทพสุริยะที่ปกคลุมไปด้วยรอยร้าว ไม่สามารถทนต่อการโจมตีได้ก็พังทลายลงเช่นกัน ร่างพลังงานสูญสลายเงาร่างของมู่เฉินก็กระเด็นออกไปอย่างน่าสมเพช
อ็อก!
เลือดไหลกบปาก ใบหน้าเขาซีดเซียวลง ร่างปลิวออกไปพันจั้งก่อนที่จะทรงตัวได้
ลึกลงไปในความมืดเมื่ออสรพิษปีศาจทั้งห้าสลายไป ร่างปีศาจที่ดิ้นรนจากพันธนาการของโซ่ก็ดูเหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่าง สายตามืดมนจ้องไปยังมู่เฉิน
ตอนแรกเขาคิดว่าการโจมตีกระบวนท่านี้เพียงพอที่จะจัดการกับมู่เฉิน แต่ใครจะคิดว่ามดที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้นจะสามารถต้านการโจมตีจากเขาได้
การโจมตีนี้สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าได้เลยทีเดียว!
“เจ้าชักทำให้ข้าสนใจแล้ว!”
ร่างปีศาจแสยะยิ้มน่ากลัวให้มู่เฉิน อักขระปีศาจบนใบหน้าเต้นยุบยับ เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่นสีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เพราะเขารู้สึกถึงความผันผวนคุกคามรุนแรงในขณะนี้
ตู้ม!
อักขระปีศาจร้ายบนใบหน้าปริออกครึ่งหนึ่งกลายเป็นลำแสงสีดำยิงเข้าใส่มู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เขาผลักความเร็วให้ถึงขีดสุด เวลาเดียวกันใบหน้าก็เขียวคล้ำลงหลายส่วน จินไถหลิวหลียังไม่คิดลงมืออีกเรอะ?
หรือว่านางจะใช้แผนฆ่าเขาโดยยืมมือร่างปีศาจจริงๆ? ถ้าเป็นอย่างนั้นต่อให้ต้องจ่ายราคามหาศาล เขาก็จะฆ่านางที่นี่!
ขณะที่มู่เฉินเริ่มล่าถอยอย่างบ้าคลั่ง สายตาของจินไถหลิวหลีที่ด้านนอกค่ายกลก็วูบไหวเล็กน้อย นางลังเลอยู่อึดใจ สุดท้ายก็พรูลมหายใจเบาๆ สีหน้าเคร่งขรึมลงหลายส่วน
นางกัดนิ้วหยดเลือดสีแดงเข้มตกลงบนป้ายหิน จากนั้นมือก็วาดตราประทับอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนลั่น “ระเบิด!”
ตู้ม!
พร้อมกับเสียงจบลง ป้ายหินโบราณในมือนางก็ระเบิดออก!
บทที่ 886 จักรพรรดิเทียนเจิ้นตัวจริง
ตู้ม!!!
เมื่อป้ายหินโบราณในมือของจินไถหลิวหลีระเบิด ลำแสงก็ยิงออกมาจากทุกทิศทาง แสงสว่างไสวจนทำให้มิติสีแดงฉานสว่างขึ้น
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ขณะที่ลำแสงกระจายออกไป เสียงลมหวีดหวิวก็สะท้อนมาจากทุกทิศทาง ริ้วแสงมากมายพุ่งออกมาจากลำแสงเหล่านั้น ทุกช่วงข้อแสงบรรจุไปด้วยอักขระโบราณ
อักขระลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งเข้าไปในความมืดรวมเข้ากับลำแสงสีเทาที่มาจากกองทหารหินแล้วหลอมรวมเข้าด้วยกัน
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
พร้อมกับการหลอมรวม ลำแสงเหล่านี้ก็ขยายออกอย่างรวดเร็ว รัศมีจั้นยี่รุนแรงระเบิดขึ้นราวกับภูเขาไฟ พวยพุ่งออกมาฉับพลัน
แสงเข้มข้นพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ขับไล่ความมืดมิดออกไป ก่อนที่จะฝังลงในบัลลังก์หินที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ
บัลลังก์หินโบราณสั่นสะเทือนรุนแรง อักขระบนนั้นก็สว่างไสวในตอนนี้ ราวกับว่าถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
ครืน! ครืน!
โซ่ทั้งสี่บนบัลลังก์หินก็ขยายตัว เกลียวแสงเปล่งออกมาจากอักขระบนโซ่น่าตื่นตา รัศมีจั้นยี่ที่น่าอัศจรรย์ล้นปรี่
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่ร่างปีศาจกำลังจะพุ่งเข้าโรมรันกับมู่เฉิน วินาทีต่อมาเขาก็เห็นความปั่นป่วนขนาดใหญ่ที่มาจากด้านล่าง ทำให้ความกลัวพล่านบนใบหน้าที่บิดเบี้ยว
“ไม่!”
ร่างปีศาจแผดเสียงร้อง ขณะที่อักขระครึ่งหนึ่งบนใบหน้าปีศาจบิดตัวไปมาอย่างรวดเร็ว รัศมีสีดำที่มีฤทธิ์กัดกร่อนข้นคลั่กก็พุ่งออกมา พยายามต่อต้านรัศมีจั้นยี่บนโซ่
บึ้ม!
ทว่าค่ายกลศึกนี้ได้รับการเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบโดยจินไถหลิวหลี ซึ่งทรงพลังมาก บวกกับก่อนหน้าร่างปีศาจได้ฉีกอักขระไปครึ่งหนึ่งเพื่อฆ่ามู่เฉิน ทำให้พลังในร่างก็ถูกแบ่งออกไป ดังนั้นการต่อต้านจึงไม่เป็นผล โซ่ทั้งสี่พันธนาการกับแขนขาเอาไว้ จากนั้นก็ลากเข้าไปที่บัลลังก์หินที่เต็มไปด้วยอักขระมากมาย
โฮก!
ร่างปีศาจคำรามอย่างรุนแรง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เนื่องจากรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามร้ายแรงและรู้ว่าหากถูกดึงกลับไปที่บัลลังก์หินคราวนึ้ต้องถูกฆ่าตายจากค่ายกลศึกนี้แน่นอน
ตอนนี้เขาไม่มีพลังที่เทียบได้กับจุดสูงสุดอีกต่อไป
แต่ไม่ว่าจะขัดขืนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ร่างก็ยังถูกลากลงมาอย่างน่าสังเวชก่อนที่จะกระแทกลงบนบัลลังก์หินโบราณ
“ข้าจะฆ่าพวกแก!”
ทว่าทันทีที่ถูกลากกลับไป ร่างปีศาจก็จ้องมองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะแผดเสียงคำราม อักขระปีศาจครึ่งใบหน้าที่พุ่งไปหามู่เฉินก็เพิ่มความเร็วขึ้น เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะเป็นปลาตายตาข่ายขาด
เมื่อมู่เฉินที่กำลังถอยเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ปีกหงส์ฟ้าสั่นไหวอย่างรวดเร็วคลื่นหลิงรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่ในร่าง ความเร็วนั้นทิ้งภาพลวงตาไว้ที่ท้องฟ้าเบื้องหลังเลยทีเดียว
เขารู้สึกได้ว่าการโจมตีสุดกำลังก่อนตายของปีศาจตัวนี้น่าสะพรึงเพียงใด หากเขาถูกโจมตีเข้าละก็ งานนี้ถึงตายแน่
บึ้ม! บึ้ม!
ริ้วแสงสีดำพุ่งเข้ามา เส้นทางที่ผ่านเหล่านั้นก็ถูกกัดกร่อน ความเร็วนั้นราวกับสายฟ้าแลบ ไม่กี่อึดใจก็ปรากฎที่เบื้องหน้ามู่เฉินและเข้าใกล้เรื่อยๆ
มู่เฉินมองริ้วแสงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็กัดฟัน เขารู้ว่าไม่สามารถหลบได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเร้าแสงสีทองในร่าง เกราะทองมังกรหงส์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง บนหน้าอกลวดลายมังกรแท้จริงบินฉวัดเฉวียนไปมา คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตรวมตัวกันอยู่รอบเขา ตอนนี้เขาใช้ทุกวิถีทางที่มีเพื่อเตรียมรับการโจมตีนั่น
แม้เขาจะรู้ว่าเป็นเรื่องโง่ที่จะต้านรับซึ่งหน้ากับการโจมตีนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว!
แสงสีเข้มที่ดูอ่อนแอพุ่งถึงตัวเขาแล้ว
ทว่าจังหวะที่มู่เฉินใช้ทุกวิถีทางเพื่อรับการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นที่บัลลังก์หิน ร่างปีศาจถูกผนึกไว้ อักขระนับไม่ถ้วนเต้นระริกราวกับหนอนคืบคลานเข้าไปหามันปกคลุมจนมิดเม้น
รัศมีสีดำที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรอบร่างปีศาจหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่กำจายด้วยอักขระปีศาจก็เปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวน พร้อมกับรัศมีสีดำสลายไปเริ่มเจือจางลง
ในที่สุดอักขระหนาแน่นก็ครอบคลุมร่างปีศาจเต็มที่ ทันทีที่ทั่วทั้งร่างมันถูกปกคลุมมืดมิด เสียงกรีดร้องบาดแก้วหูก็หยุดลง
อักขระปีศาจบนใบหน้าหายวับไปในเวลาเดียวกัน
ในช่วงเวลานั้นเมื่ออักขระปีศาจบนใบหน้าหายไป ริ้วแสงที่กำลังจะต้องตัวมู่เฉินที่เกิดจากอีกครึ่งหนึ่งของใบหน้าก็ปล่อยเสียงโหยหวนก่อนที่จะระเบิดแตกกระจายกลายเป็นแสงสีดำปกคลุมท้องฟ้า
เมื่อมู่เฉินซึ่งอยู่ในสภาพพร้อมรบเห็นฉากนี้ เขาก็อึ้งไปก่อนจะถอนหายใจโล่งอกอย่างหนักหน่วง ตอนนี้เขาถึงได้รู้ตัวว่าแผ่นหลังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นหมดแล้ว
เขาไม่มั่นใจในการต่อต้านแสงมืดมิดนั้นได้ เมื่อครู่เขาแค่ทำให้ดีที่สุดสำหรับความเสี่ยง
ทว่าในเมื่อเขาไม่ต้องเดินบนทางแห่งความตาย ก็เป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับมู่เฉินแล้ว
มู่เฉินเช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก สลายแนวป้องกันออก สายลมหวีดหวิวดังขึ้น จินไถหลิวหลีทะยานเข้ามาพร้อมรถเข็น
ใบหน้าของจินไถหลิวหลีซีดมาก คิดว่ากระบวนท่าก่อนหน้าที่ใช้ ทำให้นางสูญเสียพลังไปมากเช่นกัน
“ขอบใจ” มู่เฉินมองจินไถหลิวหลีด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าแต่ก่อนชัดเจน เห็นได้ว่าจินไถหลิวหลีได้รับความเชื่อใจเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ในเมื่อนางไม่ได้เล่นตุกติกระหว่างการร่วมมือกัน อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องระวังตัวเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาก่อน
จินไถหลิวหลีเม้มปากก่อนจะยิ้มบาง “หายากสำหรับคนที่จะวางชีวิตของเขาไว้ในมือข้า หลังจากที่รู้ว่าข้าโกหกเป็นไฟ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคิดว่าก็จะทำให้เจ้าผิดหวังไม่ได้ใช่ไหม?”
มู่เฉินยิ้ม “นี่เป็นความร่วมมือที่ยอดเยี่ยม”
มู่เฉินไม่ได้ติดใจกับความเจ้าเล่ห์ของจินไถหลิวหลีก่อนหน้ามากนัก เพราะถ้าเขาอยู่ในสถานะเดียวกันกับนางก็มีโอกาสสูงที่จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน ยังไงพวกเขาก็เป็นแค่เบี้ยในสายตาของนางในเวลานั้น
ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่เหมือนกัน ทั้งคู่ลงเรือลำเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่แท้จริง ในเมื่อจินไถหลิวหลีไม่ได้สร้างผลลัพธ์น่าผิดหวังในความไว้วางใจที่เขาให้กับนาง ก็ทำให้มู่เฉินรู้สึกดีขึ้นมากเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้
จินไถหลิวหลีพยักหน้าก่อนที่จะมองไปที่บัลลังก์หินในความมืด นางแลกเปลี่ยนสายตากับมู่เฉิน ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะทะยานตัวออกไปอย่างระมัดระวัง พลิ้วตัวลงห่างจากบัลลังก์หินไปร้อยจั้ง
พวกเขาหยุดอยู่ที่นั่น ไม่ได้ก้าวต่อไป เนื่องจากพวกเขายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าวิญญาณชั่วร้ายในร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นถูกทำลายอย่างสมบูรณ์แล้วหรือยัง จึงมีโอกาสที่พวกเขาจะถูกฆ่าตาย ความพยายามก่อนหน้าก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ทั้งสองคนเฝ้ามองบัลลังก์หินโบราณอย่างระมัดระวัง บนบัลลังก์ร่างของจักรพรรดิเทียนเจิ้นถูกล้อมด้วยอักขระโบราณหนาแน่น สถานการณ์นี้กินเวลานานเกือบสิบนาที ก่อนที่ทั้งสองจะสังเกตเห็นอักขระเริ่มจางลงทีละน้อย…ละน้อย
เมื่ออักขระสลายไป มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็เกร็งร่างแน่น คลื่นหลิงพวยพุ่งอยู่รอบตัวเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ภายใต้สายตาระแวดระวัง อักขระบนร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นก็หายไปจนหมดสิ้น ใบหน้าของเขาถูกเปิดเผยต่อพวกเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ใบหน้าที่น่ากลัวและผิดเพี้ยนก็หายไปแทนที่ด้วยรูปลักษณ์ที่สุขุม
ใบหน้านั้นยังคงซีดอยู่เล็กน้อย แต่ความน่าขนพองสยองเกล้าก่อนหน้าไม่มีอีกแล้ว
เขานั่งบนบัลลังก์หินหลับตาแน่น ฉับพลันก็เกิดอาการสั่นเบาๆ เขาเปิดตาขึ้นอย่างช้าๆ ภายใต้สายตาระแวดระวังและวิตกกังวลของมู่เฉินและจินไถหลิวหลี
ดวงตาที่กลวงโบว๋ในตอนแรกเหมือนจะมีแสงประกายรวมอยู่ในตอนนี้ ความรู้สึกโบราณและฉลาดปรากฏขึ้นในแววตา
เมื่อเปิดตาขึ้นก็บิดลำคอที่แข็งทื่อก่อนที่จะก้มศีรษะลง เขามองที่ฝ่ามือตนเอง ความมืดและกองทหารหินเบื้องล่างก่อนจะถอนหายใจ
“หลังจากผ่านไปหมื่นปี ในที่สุดวิญญาณชั่วร้ายก็ถูกฆ่า…” เสียงนี้ค่อนข้างแหบห้าว ทว่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้าก็ไม่บาดหูและให้ความรู้สึกผ่านอะไรมามาก
มู่เฉินและจินไถหลิวหลีมองหน้ากัน ไม่กล้าพูดแทรกอะไร
ร่างบนบัลลังก์หินเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินและจินไถหลิวหลี เมื่อเห็นสายตานั่น ร่างของทั้งสองก็ตื่นตัว
“พวกเจ้าเป็นคนเปิดใช้งานค่ายกลศึกเพื่อฆ่าวิญญาณชั่วและปลุกจิตสำนึกที่เหลืออยู่ของข้าใช่ไหม?” เมื่อเห็นคนทั้งสอง เขาก็ยิ้มอ่อนโยนออกมา
มู่เฉินและจินไถหลิวหลีเหลือบมองกันแล้วก็พยักหน้า
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสคือ…” มู่เฉินลังเลชั่วครู่ก่อนถามอย่างระมัดระวัง
เมื่อร่างนั้นได้ยินคำถามของมู่เฉิน เขาก็อดยิ้มไม่ได้พลางยกมือขึ้น ด้วยการกดเบาๆ รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากไร้ขอบเขตที่กวาดออกมาจากเบื้องล่างก็เงียบลงก่อนที่จะพุ่งลงไปที่กองทหารหิน
เมื่อเห็นท่าทางนี่ มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็เกิดความตื่นเต้นดีใจและรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง นั่นเป็นเพราะนอกจากจักรพรรดิเทียนเจิ้นแล้ว จะใครอีกที่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ของกองทหารหินได้อย่างง่ายดาย?
**สำนวน ปลาตายตาข่ายขาด แปลว่าเสียประโยชน์ทั้งคู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น