หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 883-884
บทที่ 883 จักรพรรดิเทียนเจิ้น
มิติสีแดงฉานไร้สรรพเสียงใดๆ
ไม่ชีวิตชีวาสักนิดราวกับว่าเป็นทางเข้าปรโลกอย่างไรอย่างนั้น ความตายดูเหมือนว่าจะยืนยงมาตั้งแต่โบราณกาล
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นเสียงลมก็ดังขึ้นในแดนมรณะ ขณะที่ร่างแสงสองร่างปรากฏขึ้นบนขอบฟ้าที่ห่างไกล พวกเขาพุ่งผ่านขอบฟ้าไปในทันที
เมื่อร่างแสงทั้งสองปรากฏขึ้น ในที่สุดความเงียบงันบนแผ่นดินนี้ก็พังทลายลง ในมิติที่อึดอัดกดดันก็เกิดลอนคลื่นกระจายขึ้นมา
ร่างแสงทั้งสองนี้ก็คือมู่เฉินและจินไถหลิวหลี หลังจากได้ข้อสรุปจากการพูดคุย พวกเขาก็ตัดสินใจร่วมมือกันชั่วคราว
ถึงยังไงพวกเขาก็ยังระแวงและหวาดกลัวกับมิติที่ผิดแผกนี้ ถ้าพวกเขาทำงานร่วมกันได้ โอกาสประสบความสำเร็จก็จะมีมากขึ้น
ทว่าทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันมากระหว่างทาง มู่เฉินก็ไม่คิดจะพูดก่อน กลับทะยานตามหลังจินไถหลิวหลี ให้นางเป็นผู้นำทาง เห็นได้ชัดว่าแม้ทั้งคู่เลือกที่จะร่วมมือกัน แต่เขาก็ยังไม่ให้ความไว้วางใจในตัวจินไถหลิวหลี
ทั้งสองไม่พูดไม่จากัน ใช้เวลาเดินทางราวสิบนาที ก่อนที่จินไถหลิวหลีจะชะลอตัว ใบหน้างดงามเปลี่ยนเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น
เมื่อรู้สึกว่าจินไถหลิวหลีช้าลง มู่เฉินก็มองไปในระยะไกล จิตวิญญาณเขาถึงกับสั่นไหวเลยทีเดียว ตรงจุดที่ไกลนั้นพื้นที่สีแดงฉานเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ บริเวณมืดมนนั่นราวกับคุกนรก
มองเห็นบัลลังก์หินเลือนรางที่อยู่ภายในมิติราวหลุมดำ มีร่างร่างหนึ่งนั่งอยู่ แรงกดดันทรงพลังกำจายออกมาจากร่างนั้นกระจายไปทั่วมิติ
มู่เฉินและจินไถหลิวหลีหยุดนิ่งไม่ได้ขยับเขยื้อน สายตาจ้องมองร่างเลือนรางซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หินในความมืด
“หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปีในที่สุดก็มีคนมา…”
เสียงแหบแห้งและโบราณดังกึกก้องในบริเวณมืดมิด ทำให้ริ้วความมืดค่อยๆ กระเพื่อมไหว ขณะที่ร่างเลือนรางบนบัลลังก์หินยกศีรษะขึ้นช้าๆ
นี่เป็นใบหน้าที่มีร่องรอยของกาลเวลาฝังลึกเต็มไปหมด ทว่าดวงตาที่ดูเหมือนหลุมว่างเปล่ากลับเปล่งประกายเมื่อเห็นมู่เฉินและจินไถหลิวหลี
“ข้าคือจักรพรรดิเทียนเจิ้น ในเมื่อพวกเจ้าสองคนสามารถฝ่าด่านค่ายกลศึกจตุเทวะที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยข้า คิดว่าคงต้องมีพรสวรรค์ศาสตร์ด้านรัศมีจั้นยี่ อีกไม่นานจิตสำนึกของข้าจะหายไป มรดกจะถูกทิ้งไว้ให้กับผู้มีชะตาร่วมกัน…”
ร่างเลือนรางพูดด้วยเสียงแหบพร่า พลังงานของเขาดูเหมือนจะค่อยๆ หายไปทีละน้อยก่อนที่เขาจะโบกมืออย่างอ่อนแรง “เจ้าสองคนมาที่นี่…”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็กะพริบตา ทว่าทั้งสองไม่ได้ขยับเข้าหาเลย สายตาตรึงอยู่ที่ร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นนิ่ง
เมื่อร่างนั้นเห็นมู่เฉินและจินไถหลิวหลียังยืนนิ่ง ไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รับมรดก ใบหน้าก็แข็งทื่อ แต่เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่เอาหลังพิงบัลลังก์หินอย่างช้าๆ ร่างกายเหี่ยวแห้งมากขึ้น…มากขึ้น ราวกับว่ากำลังจะสลายเป็นอากาศธาตุ
ทว่ามู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็ไม่เคลื่อนไหว
ร่างนั้นหยุดเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งมิติกลับสู่ความเงียบพร้อมกับบรรยากาศผิดปกติแข็งทื่อล้อมรอบเอาไว้…
ความเงียบร้ายกาจกินเวลานาน สิบนาที… ยี่สิบนาที…
ดวงตาของจินไถหลิวหลีเกิดริ้วกระเพื่อมขึ้น นางมองไปที่มู่เฉิน ทว่าเขากลับส่ายหัวอย่างไม่ทันสังเกต ซึ่งทำให้นางระงับความอยากในใจลง
เมื่อเวลาผ่านไป ร่างเงาอ่อนระโหยที่หลับตาในบริเวณความมืดมิดก็ลืมตาโพลง แสงชั่วร้ายพวยพุ่งออกมา ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าขนลุก ขณะที่จ้องมองมู่เฉินและจินไถหลิวหลี เสียงร้องแหลมเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดแผดออกมา “ไอ้พวกบ้า ระงับความโลภได้ดีจริงๆ!”
พอได้ยินเสียงประโยคนี้ มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็โล่งใจก่อนหัวเราะพูดว่า “แกนี่ก็ปัญญาอ่อนมากที่เลือกเล่นบทนี้…”
“คิกๆ”
พอจินไถหลิวหลีได้ยินคำพูดนี้ นางก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้พลางถลึงตาใส่มู่เฉินไปด้วย ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นวิญญาณร้ายที่สามารถบุกรุกร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กกวนประสาทในสายตาของมู่เฉิน
จักรพรรดิเทียนเจิ้นมองมาที่มู่เฉินอย่างน่าขนลุก ใบหน้าแข็งทื่อกระตุกพูดอย่างเย็นชาว่า “ไอ้เด็กเหลือขอที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ แกไม่นับเป็นมดในสายตาข้าด้วยซ้ำ บังอาจกล้าเสียมารยาทต่อหน้าข้า!”
มู่เฉินฉายสีหน้าสงบเสงี่ยมตอบว่า “ถ้าเจ้ามีความสามารถจริง เจ้าออกมากำจัดพวกเรานานแล้ว ยังต้องพล่ามมากมายแบบนี้หรอ?”
จักรพรรดิเทียนเจิ้น ถลึงมองมู่เฉินก่อนจะเค้นเสียงเยือกเย็น “ระวังตัวจริงนะไอ้หนู แต่ถ้าแกอยากเสียเวลาก็ตามสบาย ข้าเฝ้ารอมานับหมื่นปีแล้วทำไมถึงต้องสนใจเวลาแค่นี้ด้วย? ถ้าพวกแกต้องการมรดกของไอ้นี่ ไม่กำจัดข้าให้ได้ก่อนก็ไม่ต้องคิดจะได้เลย”
มู่เฉินไม่ใส่ใจอีกฝ่าย มองไปที่จินไถหลิวหลีถามว่า “ค่ายกลศึกที่ทิ้งไว้โดยจักรพรรดิเทียนเจิ้นอยู่ที่ไหน?”
ตอนนี้จักรพรรดิเทียนเจิ้นเห็นได้ชัดว่าถูกครอบงำโดยวิญญาณปีศาจแล้ว แม้ว่ามู่เฉินจะไม่รู้ชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ทว่าเขาจะไม่เข้าไปในความมืดนั่นแน่นอน
ดังนั้นถ้าพวกเขาต้องการที่จะจัดการอีกฝ่าย พวกเขาก็ต้องพึ่งค่ายกลศึกที่ทิ้งไว้โดยจักรพรรดิเทียนเจิ้น
เมื่อได้ยินคำถามของเขา จินไถหลิวหลีก็กวาดสายตาไปทั่วมิติ หลังจากนั้นนางก็ขมวดคิ้ว เพราะนางไม่สามารถค้นพบร่องรอยของค่ายกลที่ถูกทิ้งไว้เลย
“หรือว่าค่ายกลศึกถูกทำลายไปแล้ว?” จินไถหลิวหลีขมวดคิ้ว ทว่าก็สลัดความคิดนี้ทิ้งทันที หากค่ายกลถูกทำลายจริง วิญญาณปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการหลอกล่อ เขาสามารถฆ่าพวกนางได้ตั้งแต่มาถึงแล้ว
สายตาของจินไถหลิวหลีกะพริบวูบไหว จากนั้นก็จ้องมองไปที่ความมืดพลางโบกมือ ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็กวาดออกไป รัศมีสีดำกระจายออกจากความมืดเบื้องล่าง…
เมื่อรัศมีสีดำสลายลง ภาพเบื้องล่างก็ถูกเปิดเผยต่อหน้ามู่เฉินและจินไถหลิวหลี ทำให้สายตาทั้งสองแข็งเกร็งทันที
ด้านล่างความมืดคือกองทัพขนาดหมื่นคน แต่กองทัพนี้มีนักรบเป็นรูปปั้นหิน ร่างพวกเขาทั้งหมดเต็มไปรอยด่างดำขณะกำลังยืนจังก้า ทว่าจิตสังหารเลือนรางก็กวาดไปทั่ว แม้จะอยู่ยงมาถึงหมื่นปี
“ช่างเป็นกองทัพที่ทรงพลังจริงๆ!” จินไถหลิวหลีกล่าวยกย่องเสียงนุ่ม
“พวกเขาไม่ใช่รูปปั้น” สายตามู่เฉินเคร่งเครียด เขาตระหนักได้ว่าแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นรูปปั้น แต่การแสดงออกบนใบหน้าก็ไม่ไร้อารมณ์ เหมือนมีอารมณ์บางอย่างอยู่บนนั้น
“นี่น่าจะเป็นกองทัพส่วนตัวของจักรพรรดิเทียนเจิ้น ซึ่งเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การบัญชาของเขา ย้อนกลับไปตอนที่เขาประสบกับจากการรุกรานของวิญญาณปีศาจ กองทัพคงใช้คลื่นหลิงที่มีเพื่อเปลี่ยนให้ตัวเองกลายเป็นหิน สร้างค่ายกลศึกขึ้นมาเพื่อปราบปรามวิญญาณปีศาจไว้”
จินไถหลิวหลีถอนหายใจ “โชคดีที่กองทัพนี้ไม่ได้วางกลศึกค่ายกลจตุเทวะ ไม่งั้นแม้ว่าพวกเขาจะอ่อนแอลงหลังจากผ่านเวลามาเนิ่นนาน เราก็ไม่สามารถทำลายได้”
มู่เฉินพยักหน้า เขามองกองทหารหินอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นสายตาเขาก็สั่นไหว เขาเห็นเส้นใยแสงสีเทาที่จะมีมากกว่าหนึ่งหมื่นเส้นเคลื่อนออกมาจากหัวของเหล่านักรบ เส้นใยแสงสีเทาเหล่านั้นทะลุผ่านความมืดและรวมตัวกันอยู่ใต้บัลลังก์หินของร่างปีศาจจักรพรรดิเทียนเจิ้น
เส้นใยแสงสีเทานี้ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุว่าทำไมจักรพรรดิเทียนเจิ้นจึงไม่สามารถออกจากความมืดได้
ในความมืดหลังจากร่างปีศาจจักรพรรดิเทียนเจิ้นเห็นกองทัพหินที่ซ่อนไว้ถูกค้นพบโดยจินไถหลิวหลี ใบหน้าแข็งกระด้างก็เปลี่ยนไป สายตาที่น่าขนพองสยองเกล้าเริ่มเปลี่ยนเป็นดุร้าย
“ไอ้เด็กเหลือขอสองคน พวกแกคิดจะเปิดใช้ค่ายกลศึกที่เหลืออยู่เรอะ?!” ร่างปีศาจจักรพรรดิเทียนเจิ้นเค้นเสียงเย็นพร้อมกับริ้วความเย้ยหยันไม่มีที่สิ้นสุดแฝงในเนื้อเสียง หากเขาอยู่ในจุดสูงสุด เขาสามารถจัดการมู่เฉินและจินไถหลิวหลีได้อย่างง่ายดายด้วยการพ่นลมหายใจครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นทั้งสองในสายตาเลย
“แม่นางจินไถ ต่อไปต้องพึ่งเจ้าแล้ว” มู่เฉินมองไปที่จินไถหลิวหลี พลางยิ้มบาง
จินไถหลิวหลีพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็กำมือกันแน่น ป้ายหินหยาบกระด้างปรากฏขึ้นในมือทันที มันมีขนาดเท่าฝ่ามือของนาง ลวดลายแปลกประหลาดเบาบางเผยบนพื้นผิว มู่เฉินไม่ได้แปลกใจสำหรับลวดลายเหล่านี้ เพราะนี่คือลวดลายจั้นเหวิน…
นอกจากนี้มู่เฉินยังตระหนักได้ว่าจังหวะที่จินไถหลิวหลีเอาป้ายหินออกมา แรงสั่นสะเทือนก็เกิดขึ้นจากกองทหารหินที่อยู่เบื้องล่าง
“ผู้บัญชาการมู่ป้ายหินนี้สามารถกระตุ้นกองทัพได้ แต่ต้องการคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลเพื่อเปิดใช้งาน ซึ่งข้าไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นจึงความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย” จินไถหลิวหลียิ้ม
มู่เฉินมองลึกลงไปในแววตาของจินไถหลิวหลี ผู้หญิงคนนี้ระวังตัวแจ นางกังวลอย่างชัดเจนว่าหลังจากใช้คลื่นหลิงไปเป็นจำนวนมากแล้ว นางจะไม่สามารถแข่งกับเขาได้ ดังนั้นนางจึงต้องการให้ทั้งสองทำงานเท่าเทียมกัน
ทว่ามู่เฉินไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความคิดนี้ เนื่องจากเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือจัดการปีศาจที่สิงจักรพรรดิเทียนเจิ้นอยู่ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ายื่นมือออกมา
ป้ายหินลอยมาอยู่ระหว่างฝ่ามือของทั้งสอง วินาทีต่อมาคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกจากฝ่ามือทั้งสองแล้วเทลงในป้ายหินโบราณอย่างรวดเร็ว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อคลื่นหลิงเทลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ป้ายหินก็ส่งเสียงกระหึ่ม ลวดลายจั้นเหวินบางจางบนนั้นก็เริ่มเปล่งแสงขึ้น
ยิ่งกว่านั้นเมื่อป้ายหินเปล่งประกาย ดวงตาของรูปปั้นหินที่เบื้องล่างก็เริ่มเปิดอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นสีหน้าของร่างปีศาจจักรพรรดิเทียนเจิ้นก็เปลี่ยนไปรุนแรง!
บทที่ 884 เชื่อใจ
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ในความมืดมิดที่เบื้องล่าง เมื่อป้ายหินเปล่งประกายรัศมีบนฝ่ามือของมู่เฉินและจินไถหลิวหลี กองทหารหินก็ลืมตาที่ปิดสนิทมานานนับหมื่นปีขึ้น
ตู้ม!
ทันทีที่พวกเขาลืมตา ผืนฟ้าและผืนดินสีแดงฉานก็เหมือนจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจนอธิบายไม่ได้ รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวกวาดออกมาราวกับคลื่นยักษ์กระจายไปทั่วบริเวณนี้
รัศมีจั้นยี่นี้ราวกับหอกแหลมคมที่สามารถฉีกขาดฟ้าดินออกจากกันได้ รัศมีเฉียบคมนี้เกินกว่ากองทัพใดๆ ที่พวกเขาเคยพบเห็นมาก่อน ตามการประเมินของมู่เฉินกองทัพนี้น่าจะยืนยงอยู่ใต้ขุมพลังตี้จื้อจุนเลยทีเดียว
ยิ่งถ้ารวมกับค่ายกลศึกของจักรพรรดิเทียนเจิ้นอาจสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงได้
กระทั่งนักรบวิหคโลกันตร์นับล้านคน ยังด้อยกว่ากองทหารหินหนึ่งหมื่นคนนี้เลย สามารถบอกได้ว่าช่องว่างระหว่างทั้งสองกองทัพห่างไกลกันเพียงใด
เมื่อกองทหารหินถูกเปิดใช้งานจากมู่เฉินและจินไถหลิวหลี ใบหน้าของร่างปีศาจจักรพรรดิเทียนเจิ้นก็บิดเบี้ยวรุนแรง แสงเกรี้ยวกราดวิ่งพล่านในดวงตาที่กลวงโบ๋ ขณะที่มองจอมยุทธ์ทั้งสองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไอ้เด็กเหลือขอ!”
ร่างปีศาจคำรามลั่น ขณะที่ผุดยืนขึ้น แสงสีดำเชี่ยวกรากกวาดออกมาจากร่าง เปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำยิงออกไปทันที
ครืด!
ทว่าทันทีที่มันพุ่งตัวออกมาจากบัลลังก์หินได้สักร้อยจั้ง โซ่โลหะที่อยู่เบื้องล่างก็ส่งเสียงดังกึกก้อง กระชากร่างที่กำลังพุ่งกลับไป แรงที่ทรงพลังนี้ทำให้ร่างปีศาจถึงกับหน้าคะมำ
สายตามู่เฉินและจินไถหลิวหลีมองตรงไปก็เห็นโซ่สีเทาสี่สายอยู่บนแขนขาของร่างปีศาจ โซ่เหล่านั้นมีสีดำเทาถูกปกคลุมไปด้วยอักขระ ซึ่งในตอนแรกก็จางมาก แต่พร้อมกับการตื่นขึ้นของกองทหารหิน อักขระบนโซ่ก็ค่อยๆ เปล่งรัศมีออกมา
พร้อมกับอักขระบนโซ่ที่เปล่งประกาย โซ่ก็ค่อยๆ ลากร่างปีศาจกลับไปยังบัลลังก์หิน ในเวลาเดียวกันฝุ่นบนบัลลังก์ก็หลุดร่อนเผยให้เห็นอักขระหนาแน่นแผ่แสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ
“ไอ้บ้าเอ๋ย กระทั่งแกตายไปเป็นหมื่นปีก็ยังคิดจะขังข้าไว้เรอะ?!” ร่างปีศาจกู่ร้องลั่น ขณะที่ใบหน้าบิดเบี้ยวรุนแรง ก่อนที่จะแผดเสียงคำรามเสียงคมชัด ทันใดนั้นรัศมีสีดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง รัศมีนี้มีความหนาแน่นสูงราวกับน้ำหมึก แม้แต่มิติยังสึกกร่อนในเส้นทางที่ถูกพาดผ่าน
รัศมีสีดำหนาแน่นเต็มไปด้วยรัศมีปีศาจร้ายกาจ
ภายใต้การโต้ตอบเต็มกำลังของร่างปีศาจ แรงดึงของโซ่ก็ได้รับการต่อต้านรุนแรงจากอีกฝ่าย รัศมีสีดำแพร่กระจายไปตามอักขระแล้วเริ่มกัดกร่อน
เมื่ออักขระถูกกัดกร่อน ร่างปีศาจก็ดิ้นรนขัดขืนทุกท่วงท่าขณะที่พยายามย่างเท้าออกไป ดวงตาลึกโหลจับจ้องไปที่มู่เฉินและจินไถหลิวหลีด้วยความเกรี้ยวกราดสั่นระริก เห็นได้ชัดว่ามันคิดจะฉีกทึ้งร่างทั้งสองออกเป็นชิ้นๆ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดื้อด้านขนาดไหน สีหน้าของมู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง
“ผู้บัญชาการมู่อย่าออมแรงไว้ ใช้กำลังเต็มที่กันเลย ไม่งั้นหากร่างปีศาจสามารถออกจากพื้นที่ปราบปรามได้ ค่ายกลนี้ก็จะไร้ประโยชน์!” จินไถหลิวหลีรีบเอ่ยเตือน
มู่เฉินพยักหน้ารับเคร่งขรึม แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อจินไถหลิวหลีทั้งหมด แต่เขาก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าถ้าร่างปีศาจหลุดเป็นอิสรละก็ ทั้งเขาและนางไม่ต้องคิดที่จะหลบหนีไปได้เลย
มู่เฉินหมุนฝ่ามือก่อนจะตบออก ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็พวยพุ่งออกมาราวกับคลื่นยักษ์เทลงในป้ายหินอย่างเต็มกำลัง
อีกด้านหนึ่งจินไถหลิวหลีก็ไม่กล้าชักช้า เทพลังทั้งหมดที่มีลงไปในป้ายหินเช่นกัน
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อทั้งสองเทพลังงานลงไป ความถี่ในการสั่นสะเทือนป้ายหินก็เพิ่มขึ้น ขณะที่เกลียวแสงแวววาวเบ่งบานออกกลายเป็นความพร่างพราวยิ่งขึ้น
โฮก!
ขณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงบนป้ายหิน กองทหารหินที่เบื้องล่างก็รู้สึกถึงแรงส่งเสริม ส่งเสียงคำรามตอบดังสนั่นออกมา เสียงสอดประสานกันจนฟ้าดินสั่นสะเทือนรุนแรง
ตู้ม! ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ที่แข็งแกร่งครางกระหึ่มออกมาจากร่างพวกเขาทุกทิศทาง ทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นคลอน แสงที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างพวกเขาขยายขนาดอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลำแสงสีเทานับหมื่น ฉากนี้งดงามตระการตานัก
ลำแสงกวาดข้ามขอบฟ้าเป็นทางยาว ก่อนจะพุ่งเข้าสู่พื้นที่มืดมิดเทลงบนบัลลังก์หิน ทันใดนั้นโซ่ทั้งสี่ที่ยึดร่างปีศาจไว้ก็ขยายขนาดขึ้น
ครืด!
ขณะที่โซ่สั่นสะท้านก็ค่อยๆ ดึงร่างปีศาจกลับไปที่บัลลังก์หิน
“ไอ้เวร!”
ดวงตาของร่างปีศาจเปลี่ยนเป็นแดงฉาน มันมองไปทางมู่เฉินและจินไถหลิวหลี จากนั้นก็แผดเสียงลั่น “วันนี้ข้าจะบดพวกแกให้กลายเป็นฝุ่นไปเลย!”
ปัง!
พร้อมกับเสียงตะโกน ของเหลวสีดำก็ไหลออกมาจากดวงตากลวงโบ๋ ซึ่งของเหลวนั้นดูเหมือนกับมีชีวิต มันบิดตัวไปมาบนใบหน้า ก่อนที่จะถักทอเป็นอักขระสีดำที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
อักขระผิดแผกและชั่วร้ายดูราวกับใบหน้าร้องไห้ เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าบิดเบี้ยวของร่างปีศาจ ก็ทำให้ใบหน้านี้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก
ครืน!
เมื่ออักขระชั่วร้ายปรากฏขึ้น พลังของร่างปีศาจก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากนั้นเขากระแทกเท้าก้าวไปบนมิติค่อยๆ ย่ำเดินออกไปด้านนอกความมืดมิด
เมื่อเห็นสิ่งนี้มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็กัดฟัน ขณะที่เร้าคลื่นหลิงออกมาไม่หยุด
ตู้ม! ตู้ม!
คลื่นน่าอัศจรรย์แผ่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง ทว่ามู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็ไม่กล้าที่จะผ่อนคลายกลับเทพลังลงไปไม่หยุดยั้ง ส่วนร่างปีศาจก็ไม่ต้องการปล่อยให้โอกาสดีหลุดมือไปได้ เขาถูกผนึกอยู่ที่นี่หลายหมื่นปี ถ้าไม่ใช่พลังงานจักรพรรดิเทียนเจิ้น เขาคงเหือดหายไปนานแล้ว แต่ถึงกระนั้นถ้าเขายังถูกผนึกไว้ที่นี่ อีกไม่ช้าก็จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ดังนั้นนี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ เขาจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ร่างปีศาจจึงใช้พลังทั้งหมดเร้าออกไปอย่างบ้าคลั่งเพื่อต่อต้านรัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ที่พลุ่งพล่านมาจากกองทหารหิน สายตาเขาก็จับจ้องไปที่มู่เฉินและจินไถหลิวหลี พูดเสียงเลวร้ายว่า “ข้าไม่เชื่อว่ามดสองตัวจะยืนหยัดได้นานด้วยคลื่นหลิงจ้อยร่อยที่มี!”
เขาฉลาดและรู้ว่าพลังของมู่เฉินและจินไถหลิวหลีมีจำกัด ถึงแม้จะมีพลังของป้ายหิน แต่ปริมาณคลื่นหลิงที่ใช้เพื่อกระตุ้นกองทัพก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ดังนั้นมู่เฉินและจินไถหลิวหลีไม่สามารถอยู่ได้นานแน่นอน
เมื่อไรที่ทั้งสองไม่สามารถคงสภาพไว้ได้ ค่ายกลศึกของกองทหารหินก็จะอ่อนกำลังลงเช่นกัน ในเวลานั้นไม่มีใครสามารถหยุดมันได้อีกแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงของร่างปีศาจ หัวใจของมู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็จมลง เนื่องจากพวกเขารู้เกี่ยวกับตัวเองดีที่สุด ก็เป็นอย่างที่ร่างปีศาจพูด พวกเขาอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
“ถ้าเจ้าสองคนต้องการมรดกก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนต่อสู้กันถึงตาย ตราบใดที่พวกเจ้าปล่อยข้าออกไป ข้าสาบานว่าจะมอบมรดกให้… แต่มีพวกเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับมรดกไป แล้วใครที่ต้องการล่ะ?” ร่างปีศาจยิ้ม น้ำเสียงน่ากลัวก็อ่อนโยนลงหลายส่วน
สายตาของมู่เฉินและจินไถหลิวหลีวูบไหว จากนั้นคนหน้าก็ยิ้มอย่างไม่แยแส “ทำไมต้องเล่นบทงี่เง่าให้พวกข้าระแวงกันเองล่ะ? ตัวโกงอย่างแกไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด หากเราปล่อยแกออกไป ข้าว่าสิ่งแรกที่แกจะทำก็คือฉีกร่างเราออกเป็นชิ้นๆ”
จินไถหลิวหลียิ้มบาง “ผู้บัญชาการมู่พูดถูก ข้าเห็นด้วยกับเขา”
เมื่อเห็นว่าจุดไฟแค้นระหว่างทั้งสองไม่ติด ซ้ำยังถูกล้อเลียนกลับมา สีหน้าของร่างปีศาจก็เรียกได้ว่าอุบาทว์อย่างที่สุด เขาจ้องมองอย่างน่าขนพองสยองเกล้า ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป รีบหมุนเวียนรัศมีสีดำทั้งหมดทุกหยดเพื่อกัดเซาะโซ่
ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ชักเย่อในการต่อสู้ชิงความได้เปรียบนี้
จินไถหลิวหลีมองสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ก็กัดฟันเบาๆ “ผู้บัญชาการมู่ หากเป็นแบบนี้ต่อไปข้าว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ดี… เราต้องบีบมันให้กลับไปที่บัลลังก์หินซะก่อน จากนั้นถึงจะสามารถเปิดค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์ กำจัดวิญญาณชั่วนั่นและปลุกจิตใต้สำนึกที่เหลืออยู่ของจักรพรรดิเทียนเจิ้น เพื่อจะได้รับมรดกของเขา…”
“เจ้ามีวิธีรึ?” มู่เฉินขมวดคิ้วแน่น เขารู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ไม่ดีสำหรับพวกเขาหากยังดำเนินต่อไป แต่นอกเหนือจากนี้พวกเขาเหมือนจะไม่มีวิธีอื่นแล้ว
จินไถหลิวหลีลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพูดว่า “ข้ามีวิธีการที่จะระเบิดพลังป้ายหินนี้ในเวลาอันสั้น ถ้ามีใครสักคนสามารถโจมตีมัน แยกสมาธิของมันออกจากการจัดการกับโซ่ พวกเราก็จะสามารถร่วมมือลากมันกลับไปที่บัลลังก์หินได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง คิ้วของมู่เฉินก็ขมวดเป็นปม เขาหันมามองจินไถหลิวหลี นั่นหมายความว่าใครบางคนจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับร่างปีศาจ แต่ด้วยพลังที่พวกเขามีนี่เป็นงานอันตรายยิ่งนัก
ไม่แน่อาจจะถูกสังหารโดยร่างปีศาจเลยก็ได้
หรือว่าจินไถหลิวหลีต้องการเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น?
ภายใต้สายตาวูบไหวของมู่เฉิน จินไถหลิวหลีก็ช้อนใบหน้างดงามมองมาโดยไม่มีความรู้สึกซับซ้อนแม้แต่น้อยในสายตา
น้ำเสียงของนางสงบขณะที่พูดต่อ “ข้าบอกวิธีนี้ออกมา ก็เพราะเราถูกสถานการณ์บังคับ ถ้าผู้บัญชาการมู่คิดว่าข้ากำลังเล่นเล่ห์ ก็ถือเป็นว่าข้าไม่เคยพูดละกัน”
มู่เฉินมองไปที่นัยน์ตาของจินไถหลิวหลีอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วมองเข้าไปในความมืดจากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ข้าจะเชื่อเจ้าอีกครั้ง”
เมื่อได้ยินเสียงราบเรียบของมู่เฉิน จินไถหลิวหลีก็ตัวสั่นเล็กน้อย นางมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่ซับซ้อน นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่างานนี้อันตรายแค่ไหนสำหรับเขา ถ้านางเพียงแค่ทำอะไรเล็กน้อย ก็สามารถทำให้มู่เฉินตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายสิ้นหวังได้เลย
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะเชื่อนาง
แม้ว่านางประสบผลทำให้มู่เฉินและคนอื่นๆ ไว้วางใจในแผนการก่อนหน้ามา แต่หัวใจของจินไถหลิวหลีก็รู้สึกซับซ้อนขึ้นมาในเวลานี้
ความไว้วางใจในอดีตล้วนมาจากแผนการ แต่ครั้งนี้มู่เฉินเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวนาง แม้จะรู้ถึงอันตรายและนิสัยเจ้าเล่ห์ของนาง
เมื่อมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของมู่เฉิน จินไถหลิวหลีก็กัดริมฝีปากสีแดง จนสุดท้ายพยักหน้า
“งั้นโปรดระวังตัวด้วย ผู้บัญชาการมู่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น