หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 877-882
บทที่ 877 ค่ายกลเต่าดำ
ครืน!
มิติที่มืดมิดสั่นสะเทือนไปหมด รัศมีจั้นยี่สีดำอันไร้ขอบเขตหลั่งไหลออกมาจากความมืดราวกับมหาสมุทรสีดำ แผ่กระจายเข้าครอบงำมิติทั้งหมดไว้
สายตาของมู่เฉินเคร่งเครียดขณะมองไปข้างหน้า ตรงนั้นรัศมีจั้นยี่สีดำได้ก่อร่างเป็นมหาสมุทรที่มองไม่เห็นจุดจบเลยทีเดียว ระลอกคลื่นนับไม่ถ้วนส่งเสียงครางกระหึ่มอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากภายใน แรงกกดดันที่น่าอัศจรรย์แผ่ออกจากมหาสมุทรนี้
ตอนนี้ค่ายกลจตุเทวะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบแล้ว คิดว่ามิติที่พวกเขาเข้ามาคงจะเปิดเผยความโหดร้ายขึ้นในอีกไม่นาน…
มู่เฉินเหลือบมองไปที่ด้านหลัง จากนั้นก็โบกมือเบาๆ
ตู้ม!
เมื่อได้รับสัญญาณจากมือของมู่เฉิน หน่วยรบวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตก็ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่เต็มพิกัดในเวลาเดียวกัน รัศมีจั้นยี่สองสายพล่านเข้ามารวมตัวกันที่ด้านหลังของมู่เฉิน
หลังจากให้สองหน่วยรบเร้ารัศมีจั้นยี่ออกมาแล้ว มู่เฉินก็จับจ้องไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่สีดำเบื้องหน้า เมื่อเปรียบเทียบขนาดกันแล้ว มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่สีดำนี้แข็งแกร่งกว่าหน่วยรบทั้งสองสิบกว่าเท่า
ซ่าซ่า!
ขณะที่มู่เฉินตั้งระวัง ก็เหมือนมีเสียงน้ำดังก้องมาจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่สีดำที่เบื้องหน้า จากนั้นเขาก็เห็นลูกคลื่นหมื่นจั้งดันตัวขึ้น ในคลื่นมองเห็นเงาขนาดใหญ่ได้เลือนราง
ฟ่อ!
เสียงคำรามผิดแผกกำจายมาจากลูกคลื่นหมื่นจั้ง ทำเอามิติถึงกับสั่นไหว แรงกดดันที่น่าตกใจแข็งแกร่ง มากอยู่แล้วก็ยิ่งรุนแรงขึ้นอีกจนถึงขนาดทำให้การหายใจของมู่เฉินฝืดเคือง
“กำลังมาแล้ว!”
ร่างของมู่เฉินตึงเครียด มือทั้งสองกำแน่น
ตู้ม!
คลื่นหมื่นจั้งถั่งโถมลงมา ทำให้เกิดการกระเซ็นของรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต ภายใต้การกวาดตัว เต่าดำตัวมหึมาก็ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
เต่าสีดำตัวนี้มีขนาดใหญ่โตมโหระทึก ส่วนหัวดูดุร้ายและหางก็เป็นหางงู เสียงขู่ฟ่อนั้นดังออกมาจากปากงู ร่างใหญ่โตของเต่าดำเต็มไปด้วยลวดลายสีดำ การกระเพื่อมของรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวพรั่งพรูออกมา ราวกับว่าสามารถจะกลืนกินสวรรค์และโลกได้ ช่างน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก
“นี่เหรอค่ายกลเต่าดำ…”
หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวกับการปรากฏตัวของสัตว์เทพเหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่สีดำ สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นน่าสะพรึงกลัวที่กำจายออกมาจากวิญญาณสงครามเต่าดำ การเผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามแบบนี้ แม้แต่จอมยุทธ์มือพระกาฬแบบเลี่ยซันยังรู้สึกหนังศีรษะชาหนึบไปหมด
โฮก!
เท้าขนาดใหญ่ของวิญญาณสงครามเต่าสีดำดูราวกับยอดเขาตั้งบนมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ สายตาน่าขนลุกมองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะส่งเสียงคำรามราวกับฟ้าร้อง ก่อให้เกิดพายุโหมกระหน่ำทั่วสวรรค์และโลก
ตู้ม!
วิญญาณสงครามเต่าดำไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวหลังจากปรากฏตัว ลวดลายนับไม่ถ้วนที่อยู่บนตัวกะพริบวูบไหว ขณะที่รัศมีจั้นยี่พวยพุ่ง แสงสีดำก็หมุนคว้างภายในปากขนาดใหญ่ อึดใจลำแสงสีดำพันจั้งของรัศมีจั้นยี่ก็ยิงออกมา เจาะทะลุมิติครอบงำมู่เฉินพร้อมกับกองกำลังเอาไว้
เส้นทางที่ลำแสงรัศมีจั้นยี่สีดำพุ่งผ่าน เกิดลอนคลื่นมองเห็นได้ปรากฏในมิติ วิญญาณสงครามเต่าดำเห็นได้ชัดว่าโจมตีไม่ยั้ง การโจมตีนี้ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชได้
สายตาของมู่เฉินเคร่งขรึมเมื่อมองไปที่การโจมตีน่ากลัวทะลุทะลวงเข้ามา เขาไม่กล้าชักช้า ฝ่าเท้ากระทืบลง รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งเหนือหน่วยรบวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตที่อยู่ด้านหลัง
กีดดดด!
เสียงแหลมคมดังขึ้น วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตก่อร่างขึ้นพร้อมกันที่เบื้องบน วิญญาณสงครามทั้งสองกระพือปีก รัศมีจั้นยี่อันยิ่งใหญ่ก็กวาดออกปะทะกับลำแสงสีดำราวกับสายฟ้าฟาด
ปัง!
คลื่นกระแทกน่าตื่นตะลึงแผ่กว้าง สร้างความหายนะทันทีที่ชนกัน มู่เฉินก็ได้รับผลกระทบนี้ไปเต็มๆ ร่างเขาบินถลาไปด้านหลังอย่างน่าตกใจ แต่อึดใจคลื่นหลิงก็ระเบิดออกมาจากร่าง ต่อต้านพลังแปลกปลอมเอาไว้
ที่ด้านหลังวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์กับเหยี่ยวโลหิตก็ถูกผลักดันกลับ เสียงครวญครางดังขึ้นจากหน่วยรบทั้งสอง เห็นได้ชัดว่ามีนักรบได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทกนี้ด้วย
ใบหน้าของมู่เฉินไม่น่าดู เขาไม่คิดว่าหลังจากการปะทะกันจังๆ เพียงครั้งเดียว ฝ่ายเขาก็ถูกปราบปรามโดยสิ้นเชิง วิญญาณสงครามเต่าดำตัวนี้น่ากลัวอย่างแท้จริงที่สามารถเผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามทั้งสองด้วยตนเอง มิหนำซ้ำยังระงับศัตรูได้อย่างสมบูรณ์
“นี่คือพลังของค่ายกลศึกรึ?”
มู่เฉินเม้มปากแน่น ก่อนหน้านี้ที่วิญญาณสงครามทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าวิญญาณสงครามเต่าดำได้รับการปรับแต่งให้ดีขึ้น การโจมตีของมันจึงทางพลังมากขึ้นเช่นกัน
รัศมีจั้นยี่นั้นแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ เช่นกัน วิญญาณสงครามเต่าดำชัดว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิต
รูปแบบพลังงานที่สูงขึ้นมากจากค่ายกลที่ทำให้รัศมีจั้นยี่ทรงพลังมากขึ้น!
ก่อนหน้าถ้ามู่เฉินใช้เพียงวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์เพื่อต่อต้านการโจมตีดังกล่าว พวกเขาคงสูญเสียครั้งใหญ่ไปแล้ว เนื่องจากช่องว่างระหว่างสองกองทัพกว้างใหญ่เกินไป
ม่านตาสีดำของมู่เฉินจ้องไปที่เต่าดำที่ยืนอยู่เหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่สีดำพลางกำหมัดช้าๆ แม้ว่าเขาจะรู้สึกได้แล้วว่าเต่าดำน่ากลัวเพียงใด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว ในทางตรงกันข้ามส่วนลึกสุดของดวงตากลับสว่างวาบอย่างเห็นได้ชัด
บางทีเขาอาจสามารถใช้โอกาสที่สู้กับวิญญาณสงครามเต่าดำในการสัมผัส เพื่อดูว่ารัศมีจั้นยี่ที่ได้รับการเสริมพลังจากค่ายกลศึกจะแตกต่างจากรัศมีจั้นยี่ทั่วไปอย่างไร
ไม่แน่เขาอาจจะสามารถรับรู้ส่วนสำคัญของการเป็นจั้นเจินซือก็ได้
เวลาเดียวกับที่ดวงตาของมู่เฉินลุกโชติช่วง
จิ่วโยวและผู้บัญชาการคนอื่นๆ ก็ได้เห็นการเผชิญหน้าของมู่เฉินกับวิญญาณสงครามเต่าดำผ่านม่านแสงสีดำ
เมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉินบัญชาและสร้างวิญญาณสงครามเหยี่ยวโลหิตและเก้าโลกันตร์แต่ยังถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์ในการปะทะกันครั้งแรก สีหน้าของพวกเขาก็เคร่งขรึมลงเล็กน้อย
“วิญญาณสงครามที่ก่อตัวจากค่ายกลศึกดูเหมือนไม่ง่ายที่จะต่อกร” เลี่ยซันกล่าวเสียงขรึม เขาเข้าใจชัดเจนว่ามู่เฉินน่าสะพรึงเพียงใดหลังจากบัญชาหน่วยรบทั้งสอง ในสภาพนั้นมู่เฉินเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเลยทีเดียว ทว่าตอนนี้เขากลับไม่อาจต้านการโจมตีของวิญญาณสงครามเต่าดำได้ ดังนั้นจะเห็นว่านี่น่ากลัวขนาดไหน
“มู่เฉินไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลิงเจี้ยนอดถามไม่ได้ เขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับมู่เฉินก็จริง มิหนำซ้ำยังเป็นห่วงหน่วยรบที่เฝ้าดูแลมาหลายปี ถ้านักรบทั้งหมดล้มลง ถึงจะอยากร้องไห้ก็ไม่มีที่ให้ไปร้องแล้ว
กระทั่งสีหน้าของจิ่วโยวยังเคร่งเครียดไป แต่ตัวนางค่อนข้างมั่นใจในมู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ ในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ปัจจุบันก็ตาม
“ไม่ต้องกังวลเกินไป มู่เฉินน่าจะมีไพ่ตายเหมือนกัน ไม่งั้นเขาคงไม่นำหน่วยรบทั้งห้าไปหรอก” จิ่วโยวบอก
“มู่เฉินสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่หน่วยรบทั้งห้าที่แตกต่างกันได้จริงๆ รึ?” เลี่ยซันลังเลวูบหนึ่ง แต่ก็ยังอดตั้งคำถามนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วมู่เฉินมีพรสวรรค์เพียงใดในเส้นทางรัศมีจั้นยี่เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้?
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ จิ่วโยวก็ยิ้มขมขื่นและส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้… แต่ในเมื่อเขาทำเช่นนี้ เขาก็ต้องมีเหตุผล”
เหล่าผู้บัญชาการทำได้เพียงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาคงได้แต่รอดูว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายอะไรบ้าง…
“สถานการณ์อีกสามทิศทางก็ดูไม่ดีเช่นกัน”
จิ่วโยวกวาดมองอย่างรวดเร็วในอีกสามสมรภูมิ การต่อสู้รุนแรงเกิดขึ้นในค่ายกลแต่ละทิศ ทว่าพวกเขาก็เหมือนกับมู่เฉิน ไม่มีใครได้เปรียบในการเผชิญหน้านี้ได้
สถานการณ์ของจินไถหลิวหลีดีกว่าใครเพื่อน นางเข้าสู่ค่ายกลเสือขาว แต่ชัดว่ามีการเตรียมการไว้อย่างดี นักรบกองทัพผลึกฟ้าสามหมื่นคนที่นางนำเข้าไป ไม่ได้ใช้งานทั้งหมด นางใช้เพียงสองหมื่นคน รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกำลังพยายามต่อต้านการโจมตีที่ดุเดือดของวิญญาณสงครามเสือขาว…
ทว่าแม้สถานการณ์จะไม่ดี แต่จินไถหลิวหลีก็ยังแสดงออกอย่างสงบ คิดว่าสถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายนาง
นอกจากจินไถหลิวหลีแล้ว เซียวเทียนและจอมยุทธ์อีกสามคนก็อยู่ในสถานการณ์ที่น่าสมเพชมากที่สุด
เซียวเทียนเข้าสู่ค่ายกลมังกรครามที่แข็งแกร่งที่สุด แทบจะในทันทีที่ค่ายกลเปิดใช้งาน เขาก็ได้รับการปราบปรามอย่างสมบูรณ์ เมื่อวิญญาณสงครามมังกรครามคำราม รัศมีจั้นยี่ที่น่ากลัวก็ยิงออกมาจากทุกทิศทาง ทำให้วิญญาณสงครามอสรพิษที่สร้างขึ้นจากเซียวเทียนและหน่วยรบสุดนภาได้แต่ส่งเสียงขู่ฟ่อๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่นักรบบางคนก็กระอักเลือดออกมา…
สำหรับจอมยุทธ์ทั้งสามที่ร่วมมือกัน แม้จะอยู่ในค่ายกลวิหคเพลิงที่อ่อนแอที่สุด แต่พลังของพวกเขาก็อ่อนแอกว่ามู่เฉินมาก ดังนั้นต่อให้รวมพลังกันสามคนก็ยังตกอยู่ในความเสียเปรียบและความสูญเสียของพวกเขาก็ย่ำแย่ที่สุดในบรรดาทั้งสี่ทิศ
ที่ด้านนอกเมื่อกองทัพของจอมยุทธ์ทั้งสามคนเห็นเหตุการณ์นี้ ดวงตาของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความกังวล ทว่าไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้ ยามนี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปในค่ายกลแล้ว
เมื่อการสังหารของค่ายกลเริ่มต้นขึ้น สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือรอดูว่าใครจะสามารถทำลายค่ายกลศึกได้ก่อน…
ภายในค่ายกลเต่าดำ
ตู้ม! ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวปลดปล่อยหายนะออกมา ขณะที่การโจมตีราวกับภูเขาไท่ซันถล่มลงมาใส่มู่เฉินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้สถานการณ์นี้มู่เฉินก็ต้องถอยอย่างต่อเนื่อง หน่วยรบวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตก็สู้จนหลังชนฝา ลวดลายวิญญาณสงครามทั้งสองเริ่มมืดมัวลง ชัดว่าไม่สามารถเผชิญหน้าวิญญาณสงครามเต่าดำได้
ฮา
มู่เฉินทะยานกลับมาที่วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ เขาจ้องมองลวดลายที่หมองคล้ำบนร่างนั้น สีหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน จากนั้นสูดลมหายใจลึกสุดปอด แล้วมองหน่วยรยทั้งสามที่อยู่ข้างหลัง เขาค่อยๆ ยกมือขึ้น
ท่าทางของเขาทำให้นักรบสามหน่วยรบเกร็งขึ้น
ที่ด้านนอกเมื่อจิ่วโยวและเหล่าผู้บัญชาการเห็นมู่เฉินยกมือขึ้น ม่านตาของพวกเขาก็หดลง แม้แต่ลมหายใจยังหยุดชะงัก นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าในที่สุดมู่เฉินก็จะปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่ของทั้งห้าหน่วยรบแล้ว
แต่เขาจะสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ทั้งห้านี่ได้จริงหรือ?
เรื่องนี้แม้แต่จิ่วโยวก็อดกำหมัดแน่นไม่ได้
ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของทุกคน มู่เฉินก็โบกมือลงอย่างไม่ลังเล เสียงเคร่งขรึมดังก้องในโสตประสาทของนักรบทั้งห้าหน่วยรบ
“ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่!”
บทที่ 878 ปลดปล่อยวิญญาณทั้งห้า
“ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่!”
ขณะที่เสียงตะโกนของมู่เฉินสะท้อนไปในมิติมืดมิด หน่วยรบทั้งห้าก็เปล่งเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว รัศมีจันยี่ยิ่งใหญ่ทั้งห้ากวาดออกมาทั่วฟ้าดินราวกับพายุ
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ห้าสายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกระจายขึ้นไปเหนือกองกำลังขนาดใหญ่ ราวกับมีเสียงคำรามไม่รู้จบดังออกมาซึ่งทำให้มิติกระเพื่อมไหวไม่หยุด
รัศมีจั้นยี่ทั้งห้าสายแผ่กระจายออกไป แต่กลับแยกกันอย่างชัดเจน ไม่ได้แสดงสัญญาณที่จะหลอมรวมเพียงเพราะไม่มีความเป็นศัตรูต่อกัน จากบางแง่มุมพวกมันไม่ใช่พลังประเภทเดียวกัน
นั่นเป็นเพราะภายในรัศมีจั้นยี่เหล่านี้เป็นการรวมตัวของความมุ่งของจอมยุทธ์หลายหมื่นคน ด้วยความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ หากไม่มีผู้คอยควบคุม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน
ในบรรดารัศมีจั้นยี่ทั้งห้า หน่วยรบวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตสร้างวิญญาณสงครามขึ้นมาแล้ว เนื่องจากทั้งสองหน่วยรบอยู่ใต้การบัญชาของมู่เฉินมาตลอด
สำหรับรัศมีจั้นยี่อีกสามหน่วยรบ ก็เกิดเสียงคำรามลั่นดังออกมา แต่ไม่มีการแสดงสัญญาณหล่อหลอมเพื่อสร้างวิญญาณสงคราม
ในเวลาแบบนี้ ถ้าไม่สามารถสร้างวิญญาณสงครามขึ้นมาได้ สามหน่วยรบนี้ก็แทบจะช่วยอะไรมู่เฉินไม่ได้เลย
ดังนั้นเขาจะต้องสร้างวิญญาณสงครามของทั้งห้ากองทัพให้ได้พร้อมกัน ด้วยวิธีนี้เท่านั้นมู่เฉินถึงจะสามารถใช้ชั้นเชิงนี้สู่กับเต่าดำได้
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด สีหน้าฉายแววเคร่งเครียด เขาเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความยากลำบากในการควบคุมวิญญาณสงครามทั้งห้าในเวลาเดียวกัน ความยากลำบากนั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าจินไถหลิวหลีที่บัญชาการกองทัพผลึกฟ้าสามหมื่นคนเลย
ฝ่าเท้าของมู่เฉินแตะบนอากาศจากนั้นก็ทะยานตัวไปปรากฏที่เบื้องบนหน่วยรบทั้งสาม ใต้ฝ่าเท้าของเขาคือรัศมีจั้นยี่สามสายที่กำลังพลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำหลาก
มู่เฉินหลับตากระแสจิตกวาดออก ก่อนที่จะพุ่งเข้าสู่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตของทั้งสามหน่วยรบทันที
ตู้ม! ตู้ม!
ทันทีที่กระแสจิตของมู่เฉินพุ่งเข้ามา เสียงคำรามดังกึกก้องก็สะท้อนออกมา นี่เป็นเสียงคำรามจากความมุ่งมั่นของนักรบนับหมื่น ซึ่งเพียงพอที่จะทำลายสติสัมปชัญญะและระเบิดหัวของใครบางคนเละได้เลยทีเดียว
ทว่ามู่เฉินเคยประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ตอนที่สร้างวิญญาณสงครามของหน่วยรบเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีอาการตื่นตระหนกและละทิ้งการต่อต้านทั้งหมด ปล่อยให้กระแสจิตของเขารวมเข้ากับรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตของทั้งสามหน่วยรบอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับกระแสจิตของมู่เฉินหลอมรวมอยู่ภายใน รัศมีจั้นยี่ทั้งสามสายก็เริ่มแสดงสัญญาณเดือดพล่าน ราวกับว่าบรรลุสติและมาบรรจบกันอย่างรวดเร็ว แต่การบรรจบกันนี้ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในทันที เนื่องจากวิญญาณสงครามไม่ปรากฏขึ้นสักที มีเพียงโครงร่างให้เห็นเลือนรางเท่านั้น…
เม็ดเหงื่อหยดลงมาจากใบหน้าของมู่เฉิน ขณะที่เขากำหมัดแน่นพร้อมกับริ้วความยุ่งยากใจสะท้อนออกมาตรงหว่างคิ้ว การสร้างวิญญาณสงครามไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเท่ากับว่าเขาต้องแบ่งหัวใจออกเป็นห้าส่วน แม้เขาจะพอเข้าใจศาสตร์รัศมีจั้นยี่ได้ดี แต่ก็ไม่ง่ายที่จะบรรลุเป้าหมายนี้
ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่เขาสร้างวิญญาณสงครามของสามหน่วยรบ วิญญาณสงครามเต่าดำก็ไม่ได้นั่งรอให้เขาทำจนสำเร็จ มันเปิดการโจมตีที่รุนแรงขึ้น ภายใต้การโจมตีนี้ วิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตก็ร่นถอยไม่เป็นท่า ลวดลายบนร่างของพวกมันหม่นลงไปอีกหลายส่วน
ที่ด้านนอกค่ายกล หัวใจของจิ่วโยวและเหล่าผู้บัญชาการก็โลดมาถึงคอหอย สีหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าหากมู่เฉินไม่สามารถสร้างวิญญาณสงครามทั้งห้าได้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาชนะวิญญาณสงครามเต่าดำ
ครืน!
ภายใต้การจับจ้อง รัศมีจั้นยี่ที่อยู่เหนือสามหน่วยรบก็กวนตัวอย่างต่อเนื่อง พวกมันเหมือนกำลังก่อร่างอย่างยากลำบากและเชื่องช้ามาก
“มู่เฉินน่าจะทำได้ แต่เขาต้องการเวลา หวังว่าวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตจะต้านเต่าดำไว้ได้ชั่วคราว” เมื่อพวกเขาเห็นหน่วยรบทั้งสามที่กำลังสร้างวิญญาณสงครามอย่างช้าๆ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ แต่ยังกังวลในหัวใจอยู่บ้าง นั่นเพราะพวกเขาเห็นวิญญาณสงครามของวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตกำลังถูกตีถอยอย่างต่อเนื่อง
ติ๋ง
เม็ดเหงื่อหยดออกมาจากใบหน้าของมู่เฉินมากขึ้น เขาสามารถได้ยินเสียงการปะทะของวิญญาณสงครามดังก้องจากบริเวณเบื้องหน้าไม่ไกล และเขาก็รู้สึกได้ถึงสองวิญญาณสงครามที่ใกล้จะต้านไม่ไหวแล้ว
แต่ในช่วงเวลาสำคัญนี้หัวใจของมู่เฉินกลับสงบนิ่งยิ่งขึ้น เพราะเขารู้ว่าถ้าตนเองตื่นตระหนกไปในเวลาแบบนี้ ก็จะยิ่งเข้าใกล้ความพ่ายแพ้มากขึ้น
“ใกล้แล้ว…”
มู่เฉินพึมพำเบาๆ
ตู้ม!
ลำแสงรุนแรงอีกสายหนึ่งปะทะกับแนวป้องกันที่สร้างจากวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิต ทำให้นักรบจำนวนมากของสองหน่วยรบถึงกับกระอักเลือดออกจากปาก
โฮก!
เต่าดำคำรามอย่างดุเดือด สายตาเย็นชาของมันจับจ้องไปที่มู่เฉิน มันเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หางเต่าดำซึ่งเป็นอสรพิษตัวใหญ่ก็เปิดปากอ้า ลำแสงรัศมีจั้นยี่สีดำทะลุผ่านมิติราวกับหอกยาวในวินาทีต่อมา ผ่าแนวป้องกันของวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิต เล็งเป้าไปที่มู่เฉิน
เมื่อเห็นภาพนี้ใบหน้าของจิ่วโยวและเหล่าผู้บัญชาการก็เปลี่ยนไปทันที
ตู้ม!
ลำแสงรัศมีจั้นยี่สีดำวาบผ่าน แต่ทันทีที่กำลังจะโดนตัวมู่เฉิน มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ของสามหน่วยรบก็สั่นสะเทือนแล้วปะทุขึ้น ก่อนที่วิญญาณสงครามจะก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
เหนือหน่วยรบกระบี่เทพเป็นวิญญาณสงครามนักรบถือกระบี่กำลังฟาดฟันลงมาราวกับโล่ป้องกันให้มู่เฉินและสกัดทางลำแสงเอาไว้
ปัง!
คลื่นกระแทกรัศมีจั้นยี่กวาดออกไป กระบี่ขนาดใหญ่ถูกดันกลับ แต่แค่เสี้ยวจังหวะวินาทีมู่เฉินก็พลิ้วตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็เผยตัวเหนือหน่วยรบทั้งห้า
เขายืนอยู่บนอากาศเหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าอันกว้างใหญ่ ระลอกคลื่นที่ทรงพลังกวาดออก ทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือน
การปรากฏขึ้นของวิญญาณสงครามทั้งห้าสร้างความตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก กองทัพอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกค่ายกลศึกมองอย่างตกตะลึงเต็มที่ แต่ละคนอ้าปากตาค้าง แม้แต่หลิ่วเหยียนแห่งตำหนักสุดนภาก็ยังมีท่าทางไม่น่ามอง ความตะลึงใจพล่านในดวงตาอย่างไม่สามารถปกปิดได้เลย
“เขาทำได้จริงๆ!”
เลี่ยซันโล่งอก จากนั้นก็เบะปากกล่าวชื่นชม “ผู้บัญชาการมู่เป็นชายหนุ่มที่มากพรสวรรค์อย่างแท้จริง การควบคุมวิญญาณสงครามหน่วยรบทั้งห้าในเวลาเดียวกัน คงเป็นเรื่องที่อัจฉริยะรัศมีจั้นยี่คนอื่นยากที่จะทำได้สำเร็จ”
สีหน้ากังวลในตอนต้นของผู้บัญชาการคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้ม ทุกคนรู้สึกโล่งใจ เมื่อมองกระบวนทัพของหน่วยรบทั้งห้าในค่ายกลศึก พวกเขาก็อดทอดถอนใจไม่ได้ แม้ว่ามู่เฉินและกองทัพจะอยู่ในค่ายกลศึก ทว่าพวกเขาก็ยังรู้สึกถึงความแตกต่างพลังวิญญาณสงครามในมือของมู่เฉินเมื่อเทียบกับพวกเขา
กองทัพแบบนี้มีเพียงการอยู่ในมือของอัจฉริยะเท่านั้นถึงจะเป็นอาวุธชั้นยอดที่แท้จริง
ขณะที่กองทัพอื่นๆ กำลังแตกตื่นตกใจ มู่เฉินก็โล่งใจอย่างมาก โชคดีที่ก่อนหน้าเขาได้กลั่นวิญญาณสงครามเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงมีความเข้ากันได้บ้าง ไม่เช่นนั้นวันนี้คงจะใช้เวลานานกว่านี้ในการสร้างวิญญาณสงคราม เมื่อถึงตอนนั้นวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตคงจะแตกสลายลงเสียก่อน
แต่โชคดีที่เขาทำทันเวลา
มู่เฉินมองไปที่วิญญาณสงครามเหนือกำลังพล นอกเหนือจากวิญญาณสงครามนักรบกระบี่แล้ว วิญญาณสงครามของหน่วยรบแยกคีรีมีรูปร่างคล้ายขวานใหญ่ที่เต็มไปด้วยความดุร้าย ขณะที่หน้ารบเทพผาถ้ำเป็นเต่ายักษ์ที่มีขนาดใหญ่และมั่นคง
“ในบรรดาวิญญาณสงครามเหล่านนี้ หน่วยรบแยกคีรีน่าจะแข็งแกร่งที่สุด”
มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็สัมผัสได้ถึงระลอกรัศมีจั้นยี่ที่แผ่ซ่านออกมาจากวิญญาณสงครามแยกคีรีแข็งแกร่งที่สุด ซึ่งมีลวดลายมากกว่าหกพันลาย เมื่อเปรียบเทียบกับวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ที่มีสี่พันลายก็ถือว่าเข้มแข็งกว่ามาก
แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพของหน่วยรบแยกคีรีดีกว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ แต่เป็นเรื่องของจำนวนนักรบที่มีมากกว่า ซึ่งหน่วยรบแยกคีรีที่มีนักรบหมื่นกว่าคนถือเป็นจำนวนสองเท่าของหน่วยรบวิหคโลกันตร์แล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่หน่วยรบของข้า ดังนั้นความเข้ากันได้จึงต่ำไปหน่อย” มู่เฉินรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย ด้วยจำนวนนักรบวิหคโลกันตร์ที่มี เขาสามารถสร้างวิญญาณสงครามที่มีลวดลายมากกว่าสี่พันลาย แต่หน่วยรบแยกคีรีที่มีจำนวนนักรบนับหมื่นกลับมีมากว่าเพียงสองพันกว่าลายเท่านั้น”
แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดาย แต่เขาก็รู้ว่าตนจะต้องพึ่งพาทัพรวมพลังนี้ในเวลานี้ เพื่อเผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามเต่าดำ
“อีกอย่างตอนนี้ข้าควบคุมกำลังพลราวสามหมื่นคน ดูเหมือนจะเริ่มฝืนตัวเองแล้ว ถ้ามีมากกว่านี้ บางทีข้าอาจจะลำบากในการควบคุม สติสัมปชัญญะของข้าก็จะถูกทำลายโดยรัศมีจั้นยี่ที่ป่าเถื่อนรุนแรงนี้…”
มู่เฉินกะพริบตาแผ่วเบาขณะที่ความคิดแล่นในศีรษะไม่หยุด “แต่ทำไมพวกจั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังอำนาจเหล่านั้นถึงบัญชากองทัพที่มีนักรบเป็นแสนหรือเป็นล้านได้? กระแสจิตของจอมยุทธ์คนเดียวสามารถควบคุมกระแสความมุ่งมั่นของผู้คนมากมายได้ยังไง? ต้องมีบางสิ่งที่ข้าไม่รู้และบางทีนั่นก็จะเป็นความลับของจั้นเจิ้นซือ…”
ม่านตาสีดำของมู่เฉินวูบวาบด้วยประกายแสง จั้นเจิ้นซือเป็นบุคคลลึกลับแห่งยุคเลยทีเดียว ดังนั้นจึงมีข้อมูลน้อยนิดจนน่าสมเพชเกี่ยวกับคนเหล่านี้ ซึ่งทำให้มรดกของจั้นเจิ้นซือในซากอารยธรรมความตายมีค่ามากยิ่งนัก
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่สามารถผ่าเข้าไปได้ เขาก็น่าจะรู้ความลับของจั้นเจิ้นซือได้ ในเวลานั้นเขาจะบรรลุและกลายเป็นจั้นเจิ้นซือที่แท้จริง!
มู่เฉินค่อยๆ กำมือแน่นจ้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่ลุกโชน จดจ่ออยู่ที่วิญญาณสงครามเต่าดำดุร้ายเบื้องหน้า
ข้าไม่เชื่อว่าด้วยวิญญาณสงครามทั้งห้านี้ ข้าจะผ่าค่ายกลศึกทิศนี้ไม่ได้!
บทที่ 879 อนาถใจ
รัศมีจั้นยี่เกรี้ยวกราดพวยพุ่งอย่างรุนแรง
ขณะที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวทำให้มิติกวนตัวเป็นลูกคลื่น ทั่วทั้งมิติยามนี้ถูกครอบงำเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย
มู่เฉินยืนอหังการบนท้องฟ้าพร้อมกับวิญญาณสงครามทั้งห้ายืนเรียงอยู่เบื้องล่าง จับจ้องไปที่วิญญาณสงครามเต่าดำที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่
เมื่อวิญญาณสงครามทั้งหกเผชิญหน้ากัน วิญญาณสงครามเต่าดำก็เผยความได้เปรียบโดยธรรมชาติในแง่ของขนาด เนื่องจากใหญ่เป็นสองเท่าของวิญญาณสงครามของมู่เฉิน ทว่ามู่เฉินก็มีข้อได้เปรียบเชิงปริมาณ การปะทะกันแบบห้าต่อหนึ่ง รัศมีจั้นยี่กระเพื่อมไหวทรงพลังอย่างมาก
อย่างน้อยวิญญาณสงครามเต่าดำก็ปรากฏความกลัวให้เห็นในตอนนี้ ทำให้การโจมตีอ่อนลง เวลานี้ทั้งสองฝ่ายผูกติดกันในสภาวะหยุดนิ่ง
การชะงักไปนี้เป็นสิ่งที่มู่เฉินต้องการ เขาสั่งให้เหล่านักรบวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตที่ได้รับบาดเจ็บพักผ่อนเพื่อปรับให้ร่างกายมีเสถียรภาพมากขึ้น นั่นเพราะการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับวิญญาณสงครามเต่าดำกำลังจะแตกหักได้ทุกเวลา
หลังจากปะทะกันยกก่อน เขาเห็นชัดเจนว่าวิญญาณสงครามเต่าดำจัดการยากเย็นเพียงใด แม้ว่าตอนนี้เขาจะควบคุมวิญญาณสงครามทั้งห้าหน่วยรบไว้ เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถกำจัดเจ้าเต่าดำได้หรือไม่
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองดูสักครั้ง
ขณะที่ในใจของมู่เฉินพล่านด้วยความคิดนี้ วิญญาณเต่าดำก็ไม่ได้ปล่อยให้การหยุดชะงักดำเนินต่อไป แม้มันจะไม่มีสติปัญญาใด ที่ดำรงอยู่ได้ก็เพราะค่ายกลศึกนี้ แต่มันมีหน้าที่จะฆ่าทุกคนที่บุกเข้ามา ณ ที่แห่งนี้
โฮก!
ด้วยการแสดงออกที่เกี้ยวกราด วิญญาณสงครามเต่าดำตัวใหญ่โตก็ปลดปล่อยเสียงคำรามน่าอัศจรรย์ ร่างของมันกะพริบวูบไหวด้วยลวดลายโบราณเปล่งประกาย รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก่อเป็นหลุมดำกวนตัวออกมาจากร่างของมัน
ยามนี้วิญญาณสงครามเต่าดำราวกับเป็นเทพอสูรเต่าดำที่แท้จริงเลยทีเดียว
ตึง!
วิญญาณสงครามเต่าดำก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าใหญ่โต คลื่นเชี่ยวกรากยกตัวในมหาสมุทรสีดำที่เบื้องล่าง ลูกคลื่นหมื่นจั้งพร้อมพลังพังทลายภูเขากวาดเข้าใส่มู่เฉิน
โฮก!
วิญญาณสงครามทั้งห้าปลดปล่อยเสียงคำรามเกรี้ยวกราด รัศมีจั้นยี่ห้าสีที่แตกต่างกันก็พวยพุ่งออกมาราวกับใบมีดประสานพลังฉีกแยกคลื่นรัศมีจั้นยี่สีดำออกจากกัน
ทันทีที่คลื่นยักษ์แยกออกจากกัน สายตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา เพียงแค่คิดวิญญาณสงครามทั้งห้าก็พุ่งออกไปล้อมรอบวิญญาณสงครามเต่าดำเอาไว้
ตู้ม!
วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตกระพือปีก ขนที่ราวกับดาบแหลมคมพุ่งเข้าใส่วิญญาณสงครามเต่าดำ สำหรับวิญญาณสงครามอีกสามสาย ก็พุ่งไปที่เบื้องหน้า อาวุธขนาดมหึมาโบกสะบัดขณะที่พุ่งเข้าใส่เต่าดำพร้อมเพรียง
วิญญาณสงครามทั้งห้าทำงานประสานกันเป็นกลุ่มเข้าปะทะกับวิญญาณสงครามเต่าดำ
ทว่าเผชิญหน้ากับการโจมตีดุเดือด เต่าดำก็ไม่เกรงกลัว มันเหวี่ยงหัว รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก็พลุ่งพล่าน ก่อร่างเป็นแนวกำแพงป้องกัน
ปัง! ปัง!
การโจมตีของวิญญาณสงครามทั้งห้ากระแทกลงบนแนวป้องกัน ทำให้เกิดระลอกคลื่นบนพื้นผิว แต่ก็ไม่สามารถทำลายลงได้ ช่างเป็นการป้องกันที่ทรงพลังนัก
โฮก!
หลังจากสกัดการโจมตีของทั้งห้าได้แล้ว เต่าดำก็อ้าปากกว้าง รัศมีจั้นยี่เกรี้ยวกราดหมุนคว้างอยู่ในปาก ฟันแหลมคมฉีกมิติออกจากกัน
เต่าดำสะบัดหัวอย่างรุนแรง ว่องไวประหนึ่งมังกรทะยานออกจากถ้ำ ขณะที่กัดลงบนปีกของเหยี่ยวโลหิตฉีกออกเป็นแนวใหญ่
แค่ปะทะกันวิญญาณสงครามของมู่เฉินก็เสียหายแล้ว พร้อมกับความเสียหายนักรบเหยี่ยวโลหิตก็กระอักเลือดออกจากปาก ปฏิกิริยาฝืดลง แต่ละคนได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนทั่ว
เมื่อได้เห็นภาพนี้ แววตาของมู่เฉินก็สาดไอเย็นยะเยือก
ตู้ม!
กระบี่และขวานพุ่งลงมาจากท้องฟ้าในเวลานี้ ซัดลงบนแนวป้องกันของเต่าดำพร้อมกัน รัศมีจั้นยี่ทรงพลังระเบิดออก ทำลายการป้องกันลง
วิหคโลกันตร์ส่งเสียงแหลมคม ปีกคมฉีกผ่ามิติกวาดไปยังแนวป้องกันราวกับสายฟ้าฟาด เฉือนหัวของเต่าดำจังใหญ่ ทำให้เกิดรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้น รัศมีจั้นยี่สลายออกมาจากรอยร้าวนั้น
โฮก!
เต่าดำเปล่งเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว หางอสรพิษก่อเป็นแสงสลัวแล้วยิงออกในความมืด พร้อมกับรัศมีจั้นยี่ที่เดือดพล่าน ซึ่งราวกับต้องการที่จะฉีกมิติออกจากกัน
ฟิ้ว!
เต่าตัวมหึมาพุ่งออกมาขวางไว้ด้านหน้าปล่อยให้หางอสรพิษฟาดลงบนกระดองเต่า ทันใดนั้นผลกระทบที่น่าสะพรึงกลัวก็ซัดเต่าถลาออกไปพันจั้ง
วิญญาณสงครามเต่าตัวนี้เป็นของหน่วยรบเทพผาถ้ำ ซึ่งมีความโดดเด่นในการป้องกัน ดังนั้นรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาจึงแข็งแกร่งราวกับภูผา แม้ว่าพวกเขาจะขาดการรุก แต่การป้องกันก็เหนือกว่าวิญญาณสงครามของหน่วยรบอื่นๆ
หากเป็นวิญญาณสงครามของหน่วยรบอื่นได้รับผลกระทบจากเต่าดำเมื่อครู่ คงจะต้องทนทุกข์ทรมานสาหัสเหมือนกับเหยี่ยวโลหิต ทว่าเมื่อเป็นหน่วยรบเทพผาถ้ำก็ถูกผลักกลับไปเท่านั้น
เมื่อสกัดการโจมตีของเต่าดำเอาไว้ได้ วิญญาณสงครามทั้งสี่ก็พุ่งออกมา ปลดปล่อยการโจมตีไร้การควบคุมออกไป
ทว่าเผชิญกับสถานการณ์นี้ เต่าดำที่เกรี้ยวกราดก็พุ่งไม่ยั้งเช่นกัน รัศมีจั้นยี่สีดำทำให้มิติเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไปมา ด้วยความได้เปรียบในแง่รัศมีจั้นยี่ การโจมตีทุกครั้งทำให้วิญญาณสงครามทั้งสี่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอนาถ ถ้าไม่ใช่เพราะวิญญาณสงครามของหน่วยรบเทพผาถ้ำคอยช่วยป้องกันให้ คงมีวิญญาณสงครามถูกฉีกทำลายไปนานแล้ว
ที่ด้านนอกค่ายกลศึก กองทัพอื่นๆ ก็ตะลึงไป ขณะที่พวกเขาเฝ้ามองกลศึกของมู่เฉิน ชัดเจนว่าหัวใจของพวกเขาเขย่าไปกับภาพการต่อสู้ขมขื่นนี้
แม้ว่าการโจมตีทั้งห้าจะถูกเต่าดำต้านไว้ได้ทุกครั้ง มิหนำซ้ำการโจมตีของเต่าดำก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บกับฝ่ายตรงข้ามหนักหนานัก แต่ทุกคนมองออกว่าวิญญาณสงครามทั้งห้าประสานงานกันอย่างยอดเยี่ยมภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน การโจมตีและการป้องกันของพวกเขาสอดประสานกันอย่างดี จึงเป็นเหตุให้ร่างเต่าดำเริ่มแตกร้าวไปด้วย ขณะที่อาการของทั้งห้าหน่วยรบก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน…
ไม่มีใครคิดว่าวิญญาณสงครามทั้งห้าที่ดูดาษดื่นทั่วไป จะสามารถแสดงศักยภาพทรงพลังเช่นนี้ ภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน
“การควบคุมของผู้บัญชาการมู่เกินคำบรรยายจริงๆ… เต่าดำเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าทุกหน่วยรบที่เข้าไป ถ้าพวกเขาเผชิญหน้าแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ก็คงจะถูกตีแตกพ่ายในสามกระบวนท่า แต่ผู้บัญชาการมู่ใช้คุณสมบัติเฉพาะของวิญญาณสงครามแต่ละหน่วยรบเพื่อโจมตีและป้องกัน ทำให้สามารถต่อสู้ในระดับเดียวกับเต่าดำได้ ควรค่ากับการชื่นชมของพวกเราอย่างแท้จริง” เหล่าผู้บัญชาการจ้องมองไปที่สมรภูมิขมขื่นในค่ายกลเต่าดำ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพรสวรรค์ในศาสตร์รัศมีจั้นยี่ แต่พวกเขาก็เป็นนักรบ ดังนั้นสายตาของพวกเขาจึงเฉียบคมและรับรู้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่มู่เฉินจะสั่งการวิญญาณสงครามทั้งห้าที่อ่อนแอเผชิญหน้ากับเต่าดำได้
“แต่ว่าค่ายกลศึกฝั่งจินไถหลิวหลีดูเหมือนจะเริ่มตั้งตัวได้แล้ว” จู่ๆ จิ่วโยวก็พูดขึ้น สายตาจ้องมองไปที่ค่ายกลศึกอีกฝั่งด้วยความประหลาดใจที่ฉายบนใบหน้า นั่นเป็นเพราะในค่ายกลเสือขาว การโจมตีของเสือขาวถูกต่อต้านอย่างช้าๆ โดยกองทัพผลึกฟ้า ยามนี้จินไถหลิวหลีเริ่มพลิกสถานการณ์แล้ว
“จินไถหลิวหลีเป็นอัจฉริยะแท้จริง”
เหล่าผู้บัญชาการฉายท่าทางเคร่งเครียด เนื่องจากพวกเขาตระหนักดีว่าขณะที่มู่เฉินยังเผชิญหน้ากับเต่าดำอย่างต่อเนื่อง จินไถหลิวหลีก็เริ่มโจมตีกดทับเสือขาวแล้ว หากนางสบโอกาสก็จะสามารถทำลายค่ายกลเสือขาวได้ เมื่อถึงเวลานั้นนางจะเป็นจอมยุทธ์คนแรกที่ตีค่ายกลจตุเทวะแตก
แต่ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากจินไถหลิวหลีได้เตรียมการไว้รัดกุมในการเดินทางครั้งนี้ จากมุมหนึ่งกองทัพผลึกฟ้าสามหมื่นคนแข็งแกร่งกว่าหน่วยรบทั้งห้าของพวกเขารวมกันเสียอีก เพราะนั่นเป็นรัศมีจั้นยี่ที่รวมเป็นหนึ่งไม่แยกออกจากกัน
ดังนั้นจินไถหลิวหลีอาจเป็นคนเดียวที่สามารถทำลายค่ายกลทิศนี้ได้ก่อนมู่เฉิน สำหรับเซียวเทียน ต่อให้ใช้พลังทุกหยาดหยดของหน่วยรบสุดนภา เขาก็สามารถทำได้แค่ป้องกันตัวเองจากการโจมตีของมังกรคราม ไม่สามารถโต้กลับได้ ไม่ต้องพูดถึงการทำลายค่ายกลศึกเลย
ค่ายกลเสือขาว
จินไถหลิวหลีจ้องมองวิญญาณสงครามเสือขาวป่าเถื่อนที่เบื้องหน้า นางหรี่ตาลงกำหมัดอย่างช้าๆ ขณะที่พึมพำ “น่าจะใกล้ละ”
นางยกมือขึ้นก่อนจะสะบัดลงมา
ทันใดนั้นเสาแสงพร่างพราวก็พุ่งพรวดทะลุขอบฟ้าเหนือกองทัพผลึกฟ้า รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากม้วนตัวไปมา
ตู้ม!
ภายในค่ายกลเต่าดำ รัศมีจั้นยี่สีดำกวาดผ่านไปทั่ว ปะทะกับร่างเต่าหน่วยรบเทพผาถ้ำ ทันใดนั้นกระดองเต่าก็แตกออก นักรบหลายร้อยคนกระอักเลือดออกจากปาก
ปัง!
ขวานใหญ่ กระบี่ใหญ่และปีกแสงเปล่งประกายด้วยแสงคมคริบขณะที่ฟันลงมาจากท้องฟ้า กระแทกเข้ากับเต่าดำ ทำให้รัศมีจั้นยี่รุนแรงนั่นผลักอีกฝ่ายกลับ เต่าดำส่งเสียงคำรามลั่น
ทว่าวิญญาณสงครามเต่าดำก็ดุร้าย แม้ว่าจะถูกผลักกลับ แต่ก็ยังสามารถยิงคลื่นพลังงานออกมาจากปากได้ ทำให้วิหคโลกันตร์ถลาออกไป รอยร้าวกระจายไปตามร่าง
ร่างของมู่เฉินกระตุกทันที ใบหน้าซีดลง เม็ดเหงื่อไหลตกลงมาจากใบหน้า แม้ว่าจะไม่เห็นความอ่อนล้าในคลื่นหลิงของเขาจากการบัญชารัศมีจั้นยี่ถึงห้าหน่วยรบ ทว่านี่เป็นการสร้างภาระยิ่งใหญ่ให้กับกระแสจิตของเขา ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดรุนแรงในหัวสมองยิ่งนัก
นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าในไม่ช้าเขาจะถึงขีดจำกัดในการควบคุมรัศมีจั้นยี่แล้ว
“ลากศึกนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”
มู่เฉินกัดฟัน จอมยุทธ์คนแรกที่สามารถตีค่ายกลศึกแตกได้ จะได้รับมรดกจากจักรพรรดิเทียนเจิ้น แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเซียวเทียนและจอมยุทธ์อีกสามคนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ แต่จินไถหลิวหลีกลับเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง
หากศึกนี้ยังลากออกไป จินไถหลิวหลีอาจนำหน้าไปก็เป็นได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ไร้ความหมาย แม้ว่าเขาจะสามารถทำลายค่ายกลจนสำเร็จ
ดังนั้นยืดเวลาไม่ได้อีกแล้ว
ทว่าตอนนี้วิญญาณสงครามเต่าดำราวกับภูเขาไท่ซันตั้งตระหง่านที่เบื้องหน้า แม้ว่าวิญญาณสงครามทั้งห้าจะประสานงานกันอย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายวิญญาณสงครามเต่าดำได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากวิญญาณสงครามทั้งห้าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การโจมตีสร้างบาดแผลให้เต่าดำได้ แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้บาดเจ็บร้ายแรง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
ม่านตาของมู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็กัดฟันแน่น
“ลองเสี่ยงกันหน่อย!”
จบคำพูดมู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาโบกมือ เสียงดังสะท้อนในโสตประสาทของเหล่านักรบอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้หัวใจพวกเขาเต้นไม่เป็นส่ำเลยทีเดียว
“ทุกหน่วยรบฟังคำสั่ง วิญญาณสงครามทั้งห้าผสาน!”
บทที่ 880 ผสานวิญญาณสงครามทั้งห้า
“ทุกหน่วยรบฟังคำสั่ง วิญญาณสงครามทั้งห้าผสาน!”
เสียงคำรามดังก้องของมู่เฉินสะท้อนในโสตประสาทของนักรบทุกคน เมื่อได้ยินเสียงนี้ แม้โดยธรรมชาติของนักรบที่จะรับคำสั่งเสมอยังรู้สึกตกตะลึงไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่ความลังเลใจจะเผยในสายตา
ทว่าความลังเลก็อยู่เพียงวูบเดียว ก่อนที่จะระงับด้วยการกัดฟัน ในฐานะนักรบที่ได้รับการฝึกฝนมาหลายปี พวกเขาต้องปฏิบัติตามทุกคำสั่ง ตราบใดที่ผู้บัญชาการยังอยู่ แม้ว่าจะเป็นคำสั่งที่พวกเขาไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับ
ดังนั้นทั้งห้าหน่วยรบจึงระงับความสงสัยในใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นวิญญาณสงครามทั้งห้าก็คำรามลั่น แต่ละร่างกลายเป็นลำแสงชนกันบนท้องฟ้า
วิญญาณสงครามทั้งห้าปะทะกันแล้ว!
ตู้ม!
ในจังหวะที่ปะทะกันชุดระเบิดก็ดังขึ้นที่ขอบฟ้า รัศมีจั้นยี่สีสันต่างๆ กระจายออกไป ก่อร่างเป็นวงแสงที่พร่างพราว นี่เป็นวงแสงทรงกลมที่มีขนาดหมื่นจั้ง ในทรงกลมแสงนั้นรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างกันกำลังปะทะกัน ทุกครั้งของการปะทะจะทำให้เกิดเสียงรบกวนระดับสูง กระทั่งมิติยังเกิดคลื่นกระเพื่อมไหว
ที่ด้านนอกค่ายกล กองทัพอื่นๆ ก็มองฉากนี้ด้วยอาการตกตะลึง ไม่นานก็มีใครบางคนร้องอุทานออกมาอย่างอดไม่ไหว “มู่เฉินบ้าไปแล้วเหรอ? เขากล้าผสานรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างกันห้าสายเข้าด้วยกันรึ?!”
ทั้งจิ่วโยวและเหล่าผู้บัญชาการก็มองหน้ากัน สีหน้าแต่ละคนซีดลง ความตกตะลึงในดวงตาไม่สามารถปกปิดได้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าการกระทำของมู่เฉินเกินความคาดหมายไปมากเลยทีเดียว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพรสวรรค์มากมายเกี่ยวกับศาสตร์รัศมีจั้นยี่ แต่ต่างก็เป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมพวกเขารู้ว่ามู่เฉินบ้าดีเดือดแค่ไหนในขณะนี้
เขาพยายามผสานรัศมีจั้นยี่ห้าสายด้วยกัน!
ช่างเป็นงานที่บ้ามากที่จะผสมผสานพลังงานที่แตกต่างเข้าด้วยกัน นี่ก็ราวกับคลื่นหลิงที่ต่างกัน ถ้าพวกเขานำมาผสมกัน ก็จะมีผลลัพธ์เดียวเท่านั้นคือการระเบิดของคลื่นพลังงานพร้อมกับทำลายผู้ใช้ไปด้วย…
แม้ว่าจิ่วโยวจะไม่รู้ว่ารัศมีจั้นยี่เหมือนกับคลื่นหลิงหรือไม่ ทว่าก็ต้องยากยิ่งที่จะทำให้บรรลุกระบวนการแน่นอน
“ความกล้าบ้าบิ่นของมู่เฉินล้นเหลือ…” เลี่ยซันขยับริมฝีปาก สุดท้ายได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ดีว่าถ้าวิญญาณสงครามทั้งห้าผสมกัน ความสามารถจะต้องแข็งแกร่งกว่าตอนแยกกันแน่นอน แต่เรื่องแบบนี้พูดง่าย แต่การทำเต็มไปด้วยอันตรายไม่รู้จบ
บางทีจั้นเจิ้นซือตัวจริงอาจรวมรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างเข้าด้วยกันได้ แต่ชัดว่าตอนนี้มู่เฉินยังไม่ได้เป็นจั้นเจิ้นซือตัวจริงเลย
ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
แต่ไม่ว่าจะเกิดความวุ่นวายแค่ไหนในภายนอก ก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อมู่เฉินที่อยู่ในค่ายกลศึกได้ ยามนี้ดวงตาของมู่เฉินปิดแน่น เม็ดเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากตลอดเวลา มากจนกระทั่งเส้นเลือดยังบิดเกลียวบนหน้าผาก ตรงหว่างคิ้วก็ขมวดแน่นด้วยความเจ็บปวด
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องยากมากสำหรับมู่เฉินที่จะรวมรัศมีจั้นยี่แตกต่างกันห้าสายเข้าด้วยกัน
แต่ในเมื่อเขาต้องการที่จะทำลายค่ายกลศึกอย่างรวดเร็ว ก็มีเพียงการรวบรวมรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าเข้าด้วยกันแล้วซัดการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อทำลายวิญญาณสงครามเต่าดำ มิฉะนั้นถ้าการต่อสู้ถูกลากยาวออกไป บางทีจินไถหลิวหลีอาจเป็นคนแรกที่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้
มู่เฉินรู้ชัดว่าจินไถหลิวหลีเตรียมพร้อมและมีกองทัพผลึกฟ้าอยู่ใต้บังคับบัญชา ในแง่ของรัศมีจั้นยี่นางเหนือชั้นกว่าหน่วยรบทั้งห้าของเขามาก ดังนั้นหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่นางจะได้ผ่านเป็นคนแรก เมื่อนางได้รับมรดกจักรพรรดิเทียนเจิ้น คนที่เหลืออย่างพวกเขาก็จะไม่ได้รับอะไรเลย
ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น
ดังนั้นเขาต้องเสี่ยงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
อันที่จริงเขาไม่มีความมั่นใจในเรื่องนี้ โดยเฉพาะเมื่อติดต่อกับรัศมีจั้นยี่ทั้งห้า เขาก็รู้สึกได้ถึงการปฏิเสธแข็งแกร่งที่พุ่งเข้าใส่กัน
ซึ่งมู่เฉินไม่มีวิธีจัดการกับเรื่องนี้เลย ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีที่โง่ที่สุดนั่นคือหลอมกระแสจิตของตนเองเข้าไปกลั่นรวมรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าเข้าด้วยกัน!
แต่วิธีนี้ทำให้กระแสจิตของเขาอ่อนล้ามาก ลองคิดดูกระแสจิตหนึ่งไหลเวียนอยู่ท่ามกลางรัศมีหลายหมื่น มิหนำซ้ำจิตอันมุ่งมั่นเหล่านั้นยังปฏิเสธซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นภาระใหญ่หลวงมากต่อจิตใจผู้บัญชารัศมี หากเป็นคนอื่นที่พยายามทำเช่นนี้ แม้แต่เหล่าผู้บัญชาการก็คงถูกลบล้างกระแสจิตทันที ส่งผลกระทบเสียหายร้ายแรงต่อกระแสจิตอีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นซือที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นและหน่วยรบทั้งห้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเขา เขาคงไม่กล้าลองใช้วิธีนี้ แม้ว่าจะมีความมั่นใจก็ตาม
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ปวดหัวจนแทบระเบิดในขณะนี้ ราวกับว่าหัวถูกผ่าแยกออกจากกัน เส้นเลือดบนหน้าผากเต้นยุบยับเร็วขึ้น ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
ขณะที่เส้นเลือดดำบนหน้าผากสั่นสะท้าน วงแสงขนาดหมื่นจั้งก็เปล่งรัศมีตระการตาออกมาอย่างต่อเนื่อง เสียงสนั่นหวั่นไหวดังออกมาจากการปะทะกันของรัศมีจั้นยี่…
โฮก!
นอกจากนี้ขณะที่มู่เฉินต้องการรวมรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าเข้าไว้ด้วยกัน วิญญาณสงครามเต่าดำก็สัมผัสได้ถึงคลื่นคุกคามที่กำจายออกมาจากวงแสง มันร้องคำราม สายตาเกรี้ยวกราดจดจ้องไปยังร่างของมู่เฉิน
เมื่อเต่าดำจ้องมา ร่างของมู่เฉินก็เกร็งเครียดขึ้นทันที
ทันใดนั้นเต่าดำก็กวาดหาง ทำให้เกิดการฉีกขาดขนาดใหญ่ในมิติ ครอบร่างมู่เฉินเอาไว้
คลื่นน่าสะพรึงกลัวพุ่งมาพร้อมแสงมืดมิด เมื่อมองจากความผันผวน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าตรงๆ ซ้ำในเวลานี้มู่เฉินก็ไม่มีรัศมีจั้นยี่คุ้มกายและเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น ดังนั้นการโจมตีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตของมู่เฉินเลยทีเดียว
เต่าดำมีไหวพริบมากและจับโอกาสทองเอาไว้ ตอนที่มู่เฉินกำลังหลอมรวมรัศมีจั้นยี่ทั้งห้า เขาจะไม่สามารถแยกความสนใจออกไปที่สิ่งอื่นได้
ภาพนี้ทำให้เกิดเสียงอุทานนับไม่ถ้วน แม้แต่สีหน้าของเหล่าผู้บัญชาการก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน
ตู้ม!
ลำแสงมืดมิดพุ่งมาเร็วจี๋ ไม่ได้ให้เวลาในการตอบสนองก็ปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉินแล้ว ระลอกคลื่นน่าสะพรึงทำให้มู่เฉินรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั่วสรรพางค์กาย เขากัดฟันแน่น มือทั้งสองก็วาดตราประทับทันที!
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงทรงพลังพวยพุ่งออกมาจากร่างมู่เฉินราวกับพายุ ร่างใหญ่โตปรากฏขึ้นปกป้องมู่เฉินไว้ภายใน มองเห็นดวงตะวันเจิดจ้าสีทองที่ด้านหลังศีรษะ
นี่คือร่างเทพสุริยะ!
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ มู่เฉินเร้าคลื่นหลิงในร่างกายเพื่อสร้างร่างเทพสุริยะออกมา
ตู้ม!
ลำแสงมืดมิดกวาดไปทั่ว จากนั้นก็กระแทกบนร่างเทพสุริยะอย่างโหดเหี้ยม ทันใดนั้นแสงโชติช่วงก็ระเบิดออก ร่างเทพสุริยะแตกสลายในเวลานี้!
ร่างเทพสุริยะที่มู่เฉินภาคภูมิใจอยู่ได้เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น
ทันทีที่ร่างเทพสุริยะสลายหายไป ร่างเขาก็ถลาออกไปอย่างน่าสงสาร ทว่าแสงมืดมิดที่แตกเป็นเสี่ยงมีส่วนหนึ่งพุ่งออกมาไล่ตามกระแทกลงบนหน้าอกของมู่เฉิน
กึก!
เมื่อลำแสงมืดมิดกระทบลงบนหน้าอก ใบหน้าของมู่เฉินก็ซีดเซียวลง เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เสื้อผ้าบนร่างกลายเป็นผุยผง มีรูเลือดปรากฏบนหัวไหล่
ร่างเงาที่ดูไม่ได้ของมู่เฉินถลาออกไปนับหมื่นจั้งก่อนที่จะทรงตัวได้ ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ เขาก้มหัวลงมองไหล่ที่ชุ่มไปด้วยเลือด ความกลัวลอยอ้อยอิ่งในดวงตา
มังกรสีม่วงทองเคลื่อนตัวไปที่แผลของเขา นี่เป็นลวดลายมังกรแท้จริง ทว่าตอนนี้ลวดลายก็ซีดจางลงอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้ามันช่วยต้านการระเบิดให้มู่เฉิน ถ้าไม่ใช่เพราะลวดลายมังกรแท้จริงละก็ คงไม่ได้มีแค่แผลเลือดเท่านั้น แต่ทั้งบ่าของเขาจะระเบิดไม่เหลือซากเลยทีเดียว
การโจมตีครั้งเดียวของเต่าดำ ก็ทำลายร่างเทห์สวรรค์ซ้ำยังเกือบทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ความแข็งแกร่งของเทพอสูรตัวนี้น่ากลัวจริงๆ
“ไม่มีแรงสนับสนุนจากรัศมีจั้นยี่ ช่องว่างระหว่างข้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็กว้างใหญ่จริงๆ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หากเขายังได้รับการปกป้องจากวิญญาณสงคราม การโจมตีของเต่าดำก็ไม่สามารถทำร้ายเขาได้ ทว่าเมื่อไรที่สูญเสียวิญญาณสงครามก็จะเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามเต่าดำด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ที่มี
โฮก!
เมื่อเต่าดำเห็นว่ามู่เฉินยังมีชีวิตอยู่หลังจากทนต่อการโจมตีได้ มันก็ปล่อยเสียงคำรามเดือดดาลออกมา ขณะที่รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนพล่านเข้ามารวมตัวกันในปาก
ด้านนอกของค่ายกลศึกสีหน้าของจิ่วโยวซีดเผือด มู่เฉินที่สูญเสียวิญญาณสงครามทั้งห้า ไม่มีทางต้านทานการโจมตีเต็มรูปแบบจากเต่าดำได้!
ตู้ม!
เสียงคำรามของเต่าดำดังก้องไปทั่วมิติมืดมิด ลำแสงรัศมีจั้นยี่พันจั้งทะลุผ่านมิติยิงไปทางมู่เฉิน
เมื่อร่างเทห์สวรรค์ถูกทำลายจนไม่สามารถใช้งานได้ในขณะนี้ ถ้ามู่เฉินถูกโจมตีด้วยพลังทำลายล้างนี้ เขาตายคาที่แน่นอน!
กองทัพอื่นๆ ก็มีท่าทางเปลี่ยนไปเมื่อเฝ้าดูฉากนี้ ในค่ายกลทั้งสี่ทิศมู่เฉินจะเป็นคนแรกที่ถูกกำจัดแล้วหรือ?!
สายตาของหลิ่วเหยียนและฟังยี่เป็นประกายด้วยความดีใจ ในเมื่อนี่เป็นฉากที่พวกเขาอยากเห็นกับตาที่สุด
ครืน!
ลำแสงสีดำของรัศมีจั้นยี่ยิงเข้ามา ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีจากเต่าดำครั้งนี้ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม มู่เฉินกลับเช็ดรอยเปื้อนเลือดจากมุมปากอย่างนุ่มนวล ขณะที่จิตสังหารเย็นเยือกพล่านออกมาจากม่านตาสีดำ
“ไอ้ตัวร้าย คิดจะฆ่าข้าเรอะ?!”
เสียงคำรามต่ำเปล่งออกจากปากของมู่เฉินขณะวาดตราประทับในมืออย่างรวดเร็ว เมื่อกระบวนท่าในฝ่ามือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ทุกคนที่อยู่นอกค่ายกลศึกก็ต่างตกตะลึงในใจรีบเงยหน้าขึ้น ภายในวงแสงขนาดหมื่นจั้งที่อยู่เหนือร่างมู่เฉิน ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงร้องแหลมดังกึกก้องออกมา
เสาแสงสาดส่องลงมา!
เสาแสงนั้นบรรจุด้วยรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต ซึ่งทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนสีหน้าเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่ารัศมีจั้นยี่ทั้งห้าที่แตกต่างกันผสานอยู่ในเสาแสงนั่น!
มู่เฉินหลอมรวมรัศมีจั้นยี่เสร็จในวินาทีสุดท้าย!
บทที่ 881 ทำลายค่ายกล
ตู้ม!!!
ลำแสงมืดมิดที่อัดแน่นไปด้วยคลื่นทำลายล้างพุ่งทะลุมิติราวกับสายฟ้าฟาดมาปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินในเวลาอึดใจ ราวกับค้อนเทพแห่งความตายทุบลงมาห่มหุ่มร่างมู่เฉินทุกทิศทาง
เงามืดสะท้อนบนใบหน้ามู่เฉิน แต่เขาก็ยังสงบนิ่งไม่มีความหวาดกลัวใดๆ กับการโจมตีทำลายล้างที่เบื้องหน้า เขาตวัดนิ้วทั้งสองลงมาเบาๆ
“ร่วง!”
เสียงแผ่วเบาเปล่งออกมาจากริมฝีปากเขา
ฉ่า!
ทันใดนั้นเสียงแสบแก้วหูก็ดังขึ้นบนท้องฟ้า มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมาเสาแสงสะท้อนในดวงตาเป็นประกายแวววาว เสาแสงเคลื่อนลงมาจากวงแสงขนาดหมื่นจั้ง ช่างดูเป็นเสาแสงที่เรียบง่าย ทว่ากลับมีรัศมีจั้นยี่ห้าสีสอดประสานอยู่ภายใน!
นี่คือผลของรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าหน่วยรบรวมเข้าด้วยกัน
ด้วยกระแสจิตที่ทรงพลังของมู่เฉินจึงสามารถรวมเอารัศมีจั้นยี่ทั้งห้าเป็นหนึ่งเดียวได้!
แม้ว่าจะไม่ใช่การผสมผสานที่สมบูรณ์แบบ แต่พลังก็ยังคงเกินขีดจำกัดของแต่ละหน่วยรบไปไกล
ตู้ม!
ภายใต้สายตาตื่นตกใจนับไม่ถ้วน เสาแสงก็บีบกดลงมาปะทะกับรัศมีจั้นยี่สีดำมืดมิดที่กำลังจะโจมตีมู่เฉิน
จังหวะปะทะกัน ประกายไฟก็กวาดออกทั่วค่ายกลทิศนี้ เมื่อเกิดการแพร่กระจายออกไปก็สามารถเห็นคลื่นกระแทกรัศมีจั้นยี่ด้วยตาเปล่าได้…
ปุ! ปุ!
คลื่นกระแทกแล่นเข้าสู่ร่างของมู่เฉินด้วยเช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก ร่างถลาออกไปอย่างดูไม่ได้ ทว่าเวลาเดียวกันนั้นก็เกิดมุมโค้งขึ้นที่มุมปาก จากนั้นสองนิ้วของเขาก็งอลงเบาๆ
ตู้ม!
เสาแสงเจิดจ้าทำลายลำแสงมืดมิดขนาดใหญ่ ก่อนที่จะทะยานออกไปตามเส้นขอบฟ้า ดูราวกับอุกกาบาตพุ่งลงมาบนขอบฟ้าไปปรากฏเหนือร่างวิญญาณสงครามเต่าดำ มันหยุดลงชั่วครู่ พริบตานั้นก็พังทลายลงมาพร้อมกับคลื่นล้างโลก!
ขณะที่สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในค่ายกลเต่าดำ
ดวงตาของจินไถหลิวหลีที่อยู่ในค่ายกลเสือขาวก็หดเกร็ง ควบคุมรัศมีจั้นยี่ทรงพลังเพื่อป้องกัน
นั่นเพราะนางสัมผัสได้ว่าเกิดความล่าช้าวูบหนึ่งในการโจมตีของเสือขาว ราวกับว่ามันเริ่มอ่อนตัวลง
“ในที่สุดก็เริ่มเหนื่อยแล้วเหรอ? ถึงแม้ว่าวิญญาณสงครามทั้งสี่ทิศจะไม่ถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พลังจั้นยี่จะไม่มีจุดสิ้นสุด!”
จินไถหลิวหลียิ้มบาง ขณะที่ดวงหน้างดงามเย็นชาลงอีกหลายส่วน จากนั้นมือนางก็ขยับวาดตราประทับแปลกๆ ที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง
“ตราประทับสงครามผลึกฟ้า!”
เมื่อเสียงของจินไถหลิวหลีเปล่งออกมา ร่างหินสีฟ้าแวววาวที่อยู่ด้านหลังก็ก่อตราประทับประหลาดออกมาคล้ายคลึงกับของนาง
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
รัศมีจั้นยี่ดุเดือดรวมตัวกันเชื่อมโยงกับตราประทับสงครามผลึกฟ้า ประกายไฟแล่นเปรียะ ก่อนที่ตราประทับแสงขนาดพันจั้งจะปรากฏขึ้นใต้ฝ่ามือของวิญญาณสงคราม
ช่างเป็นตราประทับที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง บนพื้นผิวเต็มไปด้วยลวดลายมากมาย ซึ่งลวดลายนี้ไม่แปลกตาเลยเพราะก็คือวิญญาณสงครามนั่นเอง!
ตราประทับแสงนี้สร้างขึ้นจากรัศมีจั้นยี่!
กระบวนท่าของจินไถหลิวหลี ทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนตกใจ นั่นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นจอมยุทธ์ที่ควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ถึงระดับนี้!
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิธียอดเยี่ยมกว่ามู่เฉินและเซียวเทียนในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ จินไถหลิวหลีรู้จักวิธีใช้รัศมีจั้นยี่ที่แท้จริง!
ตู้ม!
ทว่าจินไถหลิวหลีไม่ได้ใส่ใจว่าการกระทำของตนทำให้ใครตกใจ นางมองเสือขาวด้วยสายตาเยือกเย็นแล้วสะบัดมือลงมาเบาๆ
มือใหญ่โตของวิญญาณสงครามผลึกฟ้าก็เคลื่อนลงมาเช่นกัน ตราประทับฉีกขาดมิติเกิดเสียงลั่นดัง พริบตาก็ไปปรากฏเหนือร่างเสือขาว กระแทกลงมาอย่างไร้ปรานี!
ครืน!
ก่อนที่ฝ่ามือจะฟาดไปถึงเป้าหมาย พื้นที่โดยรอบตัวเสือขาวก็พังทลายลง เสือขาวคำรามดุเดือด เส้นขนลุกชันขึ้นราวกับหนามแหลมคม ในเนื้อเสียงมีร่องรอยของความกลัวอยู่ภายใน
ปัง!
แต่ไม่ว่าจะส่งคลื่นเสียงคำรามอย่างไร ตราประทับก็กระแทกบนร่างกายใหญ่โตของมันอย่างโหดร้าย
ตู้ม! ตู้ม!
มิติที่มืดมิดเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวรุนแรงในยามนี้
ด้านนอกค่ายกลศึก
กองทัพอื่นๆ ต่างตะลึงกับการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินในค่ายกลเสือขาวและเต่าดำ วิญญาณสงครามทั้งสองที่มีชั้นเชิงเหนือกว่าเมื่อไม่นานกลับตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเสียแล้ว
“จินไถหลิวหลีและมู่เฉินน่าเกรงขามอย่างแท้จริง… สามารถบีบวิญญาณสงครามที่ทรงพลังได้ถึงระดับนี้!”
“จินไถหลิวหลีเก่งกว่าเห็นได้ชัด ในการเร้ารัศมีจั้นยี่ของนางแข็งแกร่งกว่ามู่เฉินซะอีก”
“แต่มู่เฉินก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เขาสามารถรวบรวมรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าไว้ด้วยกัน แค่จุดนี้จินไถหลิวหลีก็ไม่อาจทำสำเร็จได้”
“ตอนนี้ทุกอย่างน่าตื่นตาไปหมด ไม่รู้ว่าคนไหนที่จะสามารถทำลายค่ายกลได้ก่อนกัน”
“นี่น่าจะเป็นไพ่ตายสุดท้ายของพวกเขาแล้ว ถ้าล้มเหลวก็หมดหวังที่จะทำลายค่ายกลได้”
“…”
บทสนทนากระจายออกไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของจอมยุทธ์จากหลากหลายกองทัพฉายความตกใจ เห็นได้ชัดว่าการแสดงฝีมือของมู่เฉินและจินไถหลิวหลี ทำให้พวกเขารู้สึกอึ้งทึ่งไปเลยทีเดียว
จิ่วโยวและเหล่าผู้บัญชาการรู้สึกโล่งใจ ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้มอย่างขมขื่น การต่อสู้ของมู่เฉินพลิกตาลปัตรไปมา หากเป็นคนธรรมดาได้ดูภาพนี้ หัวใจของพวกเขาคงรับไม่ไหวแล้ว
ใบหน้าของหลิ่วเหยียนมืดครึ้มลงขณะที่จ้องไปในค่ายกลศึก การที่มู่เฉินพลิกสถานการณ์ได้ ทำให้เขาแทบคลั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นทั้งมู่เฉินและจินไถหลิวหลีแสดงสัญญาณว่าสามารถทำลายค่ายกลที่พวกเขากำลังปะทะอยู่ได้ ส่วนเซียวเทียนยังพยายามต่อต้านอย่างขมขื่นและมีนักรบบาดเจ็บล้มตายอย่างต่อเนื่อง ภาพนี้ทำเอาเส้นเลือดบนหน้าผากของเขากระตุกไม่หยุด
แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เวลานี้เขารู้ว่าไม่มีอะไรที่ตนเองสามารถทำได้เพื่อเปลี่ยนผลลัพธ์ในค่ายกลศึก ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือสาปแช่งให้การโต้กลับของมู่เฉินล้มเหลวในการเอาชนะวิญญาณสงครามเต่าดำ
ภายใต้สายตาจ้องมองนับไม่ถ้วน
ริ้วแสงเจิดจรัสในค่ายกลเต่าดำก็เริ่มหมัวหมองลง รัศมีจั้นยี่ที่ฉีกฟ้าดินออกจากกันก็ถอยกลับราวกับกระแสน้ำหลาก
ทุกสายตาจ้องเขม็งไปทันที
เมื่อแสงหายไป วิญญาณสงครามเต่าดำยังคงยืนหยัดอยู่บนมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ได้ ร่างมหึมาราวกับก้อนหินไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เมื่อจิ่วโยวและคนอื่นๆ เห็นว่าวิญญาณสงครามเต่าดำยังยืนอยู่ได้ หัวใจของพวกเขาก็ดิ่งลง ทว่าก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกสิ้นหวัง สายตาพวกเขาก็หดลง นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นรอยแตกกระจายไปตามร่างเต่าดำ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตไหลซึมออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น
แคร็ก!
รอยแตกขยายอย่างรวดเร็ว ในเวลาสิบกว่าลมหายใจ รอยแตกก็แพร่กระจายไปทั่วร่างใหญ่โตของเต่าดำแล้ว!
ตู้ม!
เมื่อรอยแตกกระจายออกไปจนสุด เต่าดำก็ปลดปล่อยเสียงร้องอย่างสิ้นหวัง ร่างใหญ่โตระเบิดออก ภายใต้สายตาตกตะลึงมากมาย!
พร้อมกับการทำลายล้างวิญญาณสงครามเต่าดำ มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ใต้เท้ามันก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
มิติมืดมิดกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ราวกับว่าการต่อสู้เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
อ็อก! อ็อก!
เมื่อเต่าดำหายไป ใบหน้าของมู่เฉินก็ซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว เลือดกระอักกบปาก จากนั้นร่างก็โซเซ คลื่นหลิงที่กำจายอยู่รอบร่างก็อ่อนล้าลงอย่างรวดเร็ว
วงแสงหมื่นจั้งบนท้องฟ้าก็หายไปด้วย หน่วยรบทั้งห้าก็มีท่าทางอ่อนล้าลง รัศมีจั้นยี่ที่ม้วนตัวอยู่โดยรอบไม่สามารถเทียบกับครึ่งหนึ่งของสภาพพร้อมรบได้เลย เห็นได้ชัดแม้ว่าพวกเขาจะเอาชนะวิญญาณสงครามเต่าดำได้ แต่ก็จ่ายไปมหาศาลเช่นกัน
มู่เฉินเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ด้วยกายามังกรหงส์ซึ่งเปรียบได้กับร่างเทพอสูร อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดที่เต่าดำพังทลาย มิติตรงนั้นบิดเบี้ยวค่อยๆ ก่อตัวเป็นประตูมิติสีดำขนาดใหญ่ ดูมืดดำน่ากลัวยิ่งนัก
ทว่าเมื่อมู่เฉินมองเห็นประตูบานนั้น ประกายแสงก็แวววาวในนัยน์ตา เขาลังเลวูบเดียวก่อนที่จะกัดฟัน ทันใดนั้นร่างเขาก็กลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในประตู
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามีอะไรกำลังรออยู่ในประตูนั่น แต่เพื่อได้รับมรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้น เขาผ่านความยากลำบากมามากกว่าจะมาไกลถึงเพียงนี้ ดังนั้นโอกาสตรงหน้า ยังไงก็ปล่อยไปไม่ได้
ทว่ามู่เฉินก็สำรองแผนไว้ เขาไม่ได้นำหน่วยรบติดตามไป กลับมีคำสั่งลับว่าหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ให้รีบติดต่อกับผู้บัญชาการที่อยู่ภายนอกเพื่อทำลายค่ายกลทันที
จากการคาดการณ์ของมู่เฉิน คนภายในมองไม่เห็นภายนอก แต่คนภายนอกน่าจะเห็นสถานการณ์ในค่ายกลตลอดเวลา
ขณะที่มู่เฉินพุ่งเข้าไปในประตูมืดมิด ความโกลาหลก็กระจายไปทั่วด้านนอก
“มู่เฉินทำลายค่ายกลได้สำเร็จจริงด้วย ประตูบานนั้นจะต้องเชื่อมต่อกับจุดลึกที่สุดของซากอารยธรรมความตายแน่!”
“ที่นั่นน่าจะมีมรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้นอยู่ หรือนี่จะถูกมู่เฉินคว้าไป?”
“หืม? มีประตูอีกบานปรากฏในค่ายกลเสือขาวด้วย! จินไถหลิวหลีและมู่เฉินผ่านด่านนี้พร้อมกัน!”
“…”
ภายใต้เสียงอุทานหลากหลาย วิญญาณเสือขาวก็พังทลายลงเช่นกัน เมื่อมันสลายลง ประตูมืดมิดขนาดใหญ่ก็ปรากฏที่เบื้องหลัง
ทันใดที่ประตูปรากฏ จินไถหลิวหลีก็ไม่ลังเลทะยานตัวเข้าไปในประตูเวลาเดียวกับมู่เฉิน!
จอมยุทธ์ทั้งสองหายวับไปจากค่ายกลในเวลาเดียวกัน!
บทที่ 882 ความร่วมมือที่เปราะบาง
เมื่อมู่เฉินพุ่งเข้าไปในประตูมิติ
เขาสัมผัสชัดเจนถึงความมืดมิดรอบตัวที่ถอยร่นราวกับคลื่นสึนามิ ภาพทิวทัศน์ที่ออกจากประตูมิติก็เป็นภาพที่แตกต่างจากเดิม
ผืนฟ้าและผืนดินถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน บนพื้นดินอัดแน่นไปด้วยรอยบากที่น่ากลัว เห็นได้ชัดว่าจะต้องเคยเกิดการต่อสู้รุนแรงขึ้นที่นี่แน่
เมื่อมู่เฉินก้าวเข้ามาในมิติสีแดงฉาน ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้นทันที แสงสีม่วงทองวูบไหวอยู่ตรงหัวไหล่ บาดแผลที่อยู่บนบ่าถูกรักษาอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยสภาพร่างกายซึ่งเปรียบได้กับเทพอสูรของเขา อาการบาดเจ็บดังกล่าวแทบจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขาเลย
คลื่นหลิงกว้างใหญ่กระเพื่อมเป็นลอนรอบตัวมู่เฉิน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่เขากำลังจะมุ่งหน้าต่อไป สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปฉับพลัน เพราะเขาพบว่าทางด้านขวามือมิติกำลังกระเพื่อมไหวเช่นกัน ไม่นานร่างเงาบอบบางก็ทะยานออกมาจากมิติที่บิดเบี้ยวปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าเขา
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน แต่ละฝ่ายอึ้งไป ก่อนที่ใบหน้าของพวกเขาจะเปลี่ยนไปและก้าวถอยหลังไปคนละหลายก้าว
“มู่เฉิน?!” ร่างเงานั่นอุทานเสียงเบา ใบหน้านางอัดแน่นด้วยความตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่าการที่มู่เฉินมาอยู่ที่ได้ ทำให้นางตกใจอย่างรุนแรง
“ฮ่าๆ แม่นางจินไถนั่นเอง” หลังจากที่ตะลึงไปวูบหนึ่ง มู่เฉินก็สงบสติอารมณ์ลงได้ เขามองจินไถหลิวหลีด้วยใบหน้าครึ่งบึ้งครึ่งยิ้ม
เมื่อจินไถหลิวหลีเห็นรอยยิ้มบนใบหน้ามู่เฉิน นางก็ยิ้มฝืดออกมา สายตาของนางวูบไหวขณะที่ซ่อนเร้นความไม่เชื่อในหัวใจเอาไว้
เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะผ่านด่านค่ายกลจตุเทวะมาได้ในเวลาเดียวกันกับนางและมาถึงที่นี่พร้อมกัน
‘มู่เฉินจัดการค่ายกลเต่าดำด้วยหน่วยรบทั้งห้าที่แตกต่างกันได้รึ? เขาทำสำเร็จได้อย่างไร?!’ จินไถหลิวหลีอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นขณะที่กัดริมฝีปาก
“ดูเหมือนแม่นางจินไถจะตกใจมากที่เห็นข้าที่นี่” มู่เฉินส่งรอยยิ้มให้จินไถหลิวหลี
เขายกแขนขึ้นกอดอกขณะที่ส่งยิ้มเยาะไปให้จินไถหลิวหลี เนื่องจากหญิงสาววางแผนหลอกใช้ทุกคนมาก่อนหน้าชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินยอมเสี่ยงรวมรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าเข้าด้วยกัน เขาคงไม่สามารถผ่านด่านแรกได้ เมื่อจินไถหลิวหลีเข้ามาได้เป็นคนแรก พวกเขาทุกคนก็เท่ากับถูกหลอกใช้อย่างไร้ประโยชน์
“ผู้บัญชาการมู่มีความสามารถแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่ทำลายค่ายกลเต่าดำได้” จินไถหลิวหลีถอยไปอีกสองก้าวขณะที่ฝืนยิ้ม
ตอนนี้นางไม่ได้มีกองทัพติดตามมาด้วย มิหนำซ้ำนางก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น ด้วยพลังดังกล่าวนางไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อมู่เฉินที่เอาชนะฟังยี่ได้เลย
หากไม่มีกองทัพผลึกฟ้า จินไถหลิวหลีก็ไม่มีอะไรจะเผชิญหน้ากับมู่เฉินได้ เพราะนางไม่ได้มีทักษะหลากหลายเหมือนปีศาจอย่างเขา อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะมีความสามารถศาสตร์รัศมีจั้นยี่ มิหนำซ้ำขุมพลังของเขาก็ไม่ด้อยกว่าพวกฟังยี่เลย
“แผนการของแม่นางจินไถหลิวหลียอดเยี่ยมจริงๆ” มู่เฉินยิ้มบาง
เมื่อจินไถหลิวหลีได้ยินคำชมเช่นนี้ก็ยิ้มขมฝาด พูดอย่างไม่ปิดบังว่า “สงครามล่ามีเป้าหมายจัดการฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว ข้าว่าหมู่ตึกเทวะและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เป็นศัตรูกัน ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะมีการวางแผนลับใช่ไหมล่ะ? ด้วยความเฉลียวฉลาดของผู้บัญชาการมู่ ข้าว่าเจ้าคงไม่เชื่อคำพูดข้าอยู่แล้วมั้ง?”
จินไถหลิวหลีพูดอย่างเปิดเผยกับมู่เฉินอย่างที่ไม่คาดคิด ทำเอาเขาต้องหรี่ตามอง “ก็อย่างที่เจ้าพูด เจ้าคงไม่ว่าอะไรถ้าข้าจะจัดการเจ้าตอนนี้ใช่ไหม?”
“พวกเราเป็นศัตรูกันตั้งแต่ต้น แม้ว่าเจ้าจะฆ่าข้าที่นี่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร” จินไถหลิวหลีพูดอย่างสงบนิ่ง
“จริงเหรอ?” แสงเย็นเยือกรวมตัวกันในนัยน์ตาของมู่เฉิน จิตสังหารรุนแรงพวยพุ่งอยู่ภายใน นั่นเป็นเพราะจินไถหลิวหลีเป็นตัวปัญหาอย่างมาก อย่าเห็นว่าตอนนี้นางเป็นลูกไก่ในกำมือ เมื่อไรที่นางมีกองทัพผลึกฟ้าละก็ แม้แต่มู่เฉินก็ไม่มีความมั่นใจว่าตนเองจะเผชิญหน้าได้ไหม ถึงจะมีหน่วยรบทั้งห้าช่วยหนุนก็ตาม
จินไถหิวหลีหลุบตาลงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “แต่ข้าเชื่อว่าถ้าเทียบกับการฆ่าข้า มรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการมากกว่า เหตุผลหนึ่งก็คือข้ารู้ข้อมูลมากกว่าเจ้า ดังนั้นหากพวกเราร่วมมือกัน เราอาจจะมีโอกาสได้รับมรดกมากขึ้น”
“ร่วมมือ? ตอนนี้เจ้ายังจะให้ข้าเชื่อเจ้าเหรอ? ถ้าข้าฆ่าเจ้า ข้าคิดว่าคงไม่มีใครมาแย่งมรดกจักรพรรดิเทียนเจิ้นกับข้าแล้วมั้ง?” มู่เฉินพูดเยาะด้วยรอยยิ้ม
“มีเรื่องคาดไม่ถึงมากมายในซากอารยธรรมความตาย ข้าเชื่อว่าด้วยความรอบคอบของผู้บัญชาการมู่ เจ้าคงไม่คิดว่าจะได้รับมรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้นง่ายๆ หรอกนะ? แม้ว่าเราจะสามารถผ่านด่านค่ายกลมาได้ แต่ใครจะรับประกันว่าอันตรายที่แท้จริงไม่เกิดขึ้นล่ะ?”
จินไถหลิวหลียิ้ม แววตามั่นใจกลับมา นางช้อนดวงหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉิน “จากข้อมูลที่ข้ารู้มา ผู้บัญชาการมู่เด็ดขาดในการสังหาร ถ้าเจ้าตั้งใจจะฆ่าข้าจริง เจ้าคงทำไปนานแล้ว จะมาพูดให้เสียเวลาทำไม?”
มู่เฉินหรี่ตาลงขณะที่จ้องมองจินไถหลิวหลี่อย่างไม่แยแส เกิดริ้วความประหลาดใจบางเบาในใจ ความสุขุมและความเฉลียวฉลาดของนางเกินความคาดหมายของเขาจริงๆ เพราะอย่างที่นางพูด เขายังรู้สึกไม่สบายใจและต้องระวังอย่างมากในสถานที่แปลกประหลาดนี้
แม้ว่าเขาจะผ่านด่านค่ายกลได้ แต่ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกว่าที่นั่นยังไม่ใช่สถานที่ที่อันตรายที่สุดในซากอารยธรรมความตายแห่งนี้
และจินไถหลิวหลีก็เข้าใจที่นี่ลึกซึ้งกว่า ตัวนางก็มีความสามารถบางอย่างที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือทันทีที่เห็นนาง
“ถ้าเจ้าต้องการจะร่วมมือก็แสดงความเชื่อมั่นออกมาให้ข้าเห็นหน่อย” ความเย็นชาในดวงตาของมู่เฉินจางลง แต่เขาก็ยังจ้องมองจินไถหลิวหลีไม่คลาดสายตา
จินไถหลิวหลีกัดริมฝีปากสีแดงชาดเบาๆ นางลังเลก่อนที่จะพูดออกมาในที่สุด “ความรู้สึกของเจ้าไม่ผิด เรายังไม่สามารถได้รับมรดกหลังจากผ่านด่านค่ายกลศึก เพราะตามข้อมูลที่ข้าได้รับ บางทีที่นี่ถึงเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในซากอารยธรรมความตายแห่งนี้”
ใบหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วขมวดพลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าหมายถึงอะไร?”
“กองทัพจตุเทวะไม่ใช่สิ่งเดียวที่ถูกรัศมีปีศาจรุกราน แม้แต่จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็ถูกรุกรานโดยรัศมีชั่วร้ายจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติในมหาสงคราม ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือจักรพรรดิเทียนเจิ้นที่ถูกรัศมีปีศาจรุกราน”
สีหน้าของจินไถหลิวหลีเครียดมากขณะที่พูดต่อ “เพราะรัศมีปีศาจทำให้ร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นไม่ถูกทำลาย หากการเดาของข้าถูกต้อง ข้าว่าเขาคงกำลังรอเราอยู่ในจุดที่ลึกที่สุด”
“เจ้าหมายความว่าเราผ่านค่ายกลศึกมากลับเข้าสู่แดนมรณะรึ?” มู่เฉินเค้นเสียง นั่นเป็นเพราะตามคำพูดของจินไถหลิวหลี ถ้าจักรพรรดิเทียนเจิ้นถูกรัศมีปีศาจรุกรานและสูญเสียสติสัมปชัญญะ เขาก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้ แต่ตอนนี้แม้จะรู้เรื่องนี้แล้วจินไถหลิวหลีก็ยังเลือกที่จะเข้ามา หรือว่าสมองนางมีปัญหากัน?
“ในเมื่อข้าเลือกเข้ามา ก็ต้องเป็นเพราะมีโอกาสพอจะคว้ามรดกมาได้”
จินไถหลิวหลีเข้าใจในข้อสงสัยของมู่เฉินดี ดังนั้นนางตอบเบาๆ ว่า “ย้อนกลับไปในอดีตตอนที่จักรพรรดิเทียนเจิ้นประสบกับการรุกรานของรัศมีปีศาจ เขาก็ได้เตรียมการบางอย่างไว้ เขาวางค่ายกลศึกเพื่อระงับวิญญาณชั่วร้ายในร่างไว้ในส่วนลึกของซากอารยธรรมความตาย ดังนั้นจิตวิญญาณชั่วร้ายจึงไม่สามารถใช้ร่างกายเขาเพื่อสร้างหายนะได้ ตราบเท่าที่เราสามารถไปถึงที่นั่น แล้วเปิดใช้ค่ายกลศึกสมบูรณ์แบบก็จะสามารถปราบปรามวิญญาณชั่วร้ายในร่างกายเขาเรียกคืนสติที่หลงเหลืออยู่ของจักรพรรดิเทียนเจิ้นออกมา เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะได้รับมรดกจากเขา”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของจินไถหลิวหลี ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปไม่หยุด เขารู้สึกได้ว่าครั้งนี้จินไถหลิวหลีไม่ได้โกหก คำพูดของนางเป็นความจริง
แน่นอนว่ามู่เฉินก็ไม่เชื่อเต็มร้อยกับเรื่องนี้ หลังจากพบกันหลายครั้งมู่เฉินก็เข้าใจว่าจินไถหลิวหลีเป็นนางหมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
“เราจะเปิดใช้งานค่ายกลศึกได้ยังไง?” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหว ขณะที่ชี้ประเด็นไปที่เรื่องสำคัญที่สุด
“ข้าเคยได้รับตำราโบราณที่ถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิเทียนเจิ้น วิธีการเปิดใช้ค่ายกลศึกบันทึกเอาไว้ในข้อความโบราณ ดังนั้นข้าจึงเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเปิดใช้งานได้” จินไถหลิวหลีพูดโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ในน้ำเสียงของตน
“งั้นก็หมายความว่าถ้าข้าต้องการมรดกก็ต้องได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าเรอะ?” มู่เฉินหัวเราะ
“ถูกต้อง”
จินไถหลิวหลีพยักหน้าแบบไม่แยแสน้ำเสียงเย็นเยือกไปกับเสียงหัวเราะของมู่เฉิน “อย่าคิดถามวิธีจากข้า เพราะต่อให้เจ้าจะฆ่าข้า ข้าก็ไม่บอก นอกซะจากเจ้าร่วมมือกับข้า เราทั้งคู่ก็จะชนะ”
มู่เฉินหรี่ตาลงมองจินไถหลิวหลีที่มองตอบอย่างไม่เกรงกลัว หลังจากจ้องหน้ากันมาระยะหนึ่ง เขาก็ถอนสายตาไตร่ตรองคร่าวๆ ก่อนจะพยักหน้า “งั้นเราจะทำตามที่เจ้าพูด แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้าข้าเจออะไรที่ตุกติกเกี่ยวกับเจ้าสักนิดเดียว ข้าเอาชีวิตเจ้าทันที อย่าคิดว่าสามารถสู้กับข้าด้วยพลังน้อยนิดของตัวเอง เมื่อไม่มีกองทัพผลึกฟ้า การฆ่าเจ้าก็ง่ายพอกับการพลิกฝ่ามือ!”
น้ำเสียงในประโยคสุดท้ายของมู่เฉินแฝงเจตนาเข่นฆ่าแน่แล้ว
จินไถหลิวหลีสัมผัสได้ถึงเจตนาเข่นฆ่าแฝงในคำพูดของมู่เฉิน แต่นางกลับไม่กลัว รอยยิ้มสดใสเผยออกมาก่อนที่จะยื่นมือเรียวบางไปหามู่เฉินเอ่ยว่า “ขอให้พวกเราร่วมมือกันอย่างมีความสุข”
มู่เฉินยิ้มขณะที่จับมือสัญญากับนาง ทั้งสองร่วมมือกันอีกครั้ง ทว่าความไว้วางใจที่มีต่อกันในใจเหลืออยู่เท่าไรก็มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น