หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 871-876
บทที่ 871 วิธีผ่าน
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย เราสามารถมาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์นี้หน่อยได้ไหมว่าจะผ่านไปอย่างไร?”
เมื่อเสียงอ่อนโยนดังขึ้นไปทั่วเทือกเขา ทุกคนก็ต้องอึ้งไปก่อนที่สายตาจะวูบไหว จากบางแง่มุมทุกคนที่นี่คือคู่แข่งกัน ดังนั้นจึงเกิดการขัดแข้งขัดขาและตลบหลังคนอื่น แต่เวลานี้จินไถหลิวหลีจากหมู่ตึกเทวะกับชักชวนให้พวกเขาร่วมมือกันรึ?
สายตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปก่อนจะนิ่งเรียบลง แม้จินไถหลิวหลีดูเหมือนจะบอบบาง ทว่านางกล้าคิดกล้าทำเลยทีเดียว ในสถานการณ์นี้ไม่มีกองทัพใดกองทัพหนึ่งจะสามารถฝ่าด่านนี้เข้าไปได้
ทว่าจินไถหลิวหลีจะสามารถชักชวนแต่ละกองทัพที่มีแผนการและแนวคิดของตัวเองได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของนางแล้ว
เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่วเมื่อจินไถหลิวหลีพูดจบ ทว่าก็ไม่มีใครตอบรับนาง เนื่องจากทุกคนต่างระแวงกันและกันอย่างมาก
“ข้าเชื่อว่าการเดินทางมาที่นี่ของทุกคนไม่ใช่เพื่อการเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อย่างที่พวกเจ้าเห็นมีงานเลี้ยงโต๊ะจีนอยู่ข้างหน้า ถ้ากองทัพเบื้องหน้าถูกจัดการ เราก็จะสามารถกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วได้เป็นแสนเม็ดแน่นอน พอถึงตอนนั้นเราก็จะประสบผลสำเร็จในการรวบรวมเม็ดยา” จินไถหลิวหลีมองสถานการณ์ค่อนข้างขาด ดังนั้นนางจึงไม่มีท่าทางแปลกใจและพูดย้ำช้าๆ
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมาก็ทำให้หลายกองทัพหายใจหนักขึ้น เม็ดยาหยุ่นลั่วแสนเม็ดเป็นจำนวนที่มหาศาลต่อทุกขั้วอำนาจ มากจนอาจสามารถเปิดขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนด้วยเม็ดยาจำนวนมากเหล่านี้เลยทีเดียว
“นอกเหนือจากเม็ดยาหยุ่นลั้วแล้ว ในกองทัพเบื้องหน้ายังมีจอมยุทธ์โบราณที่ทรงพลังอยู่มาก หากได้รับวิทยายุทธเทพโบราณมา ข้าว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทุกคน”
“ศัตรูเบื้องหน้าเราทรงพลังจริงๆ ไม่มีใครสามารถเผชิญหน้าตามลำพังได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำลายได้ จากข้อมูลที่ข้าทราบมาดูเหมือนจะมีค่ายกลจตุเทวะซ่อนอยู่ในกองทัพ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ยากที่จะรับมือหากเข้าไป”
จินไถหลิวหลีพูดเปลี่ยนเรื่องทันที ทำให้กองทัพอื่นๆ อึ้งไปก่อนที่ใบหน้าแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลง ค่ายกลจตุเทวะที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดยังผ่านไปไม่ได้เหรอ?
“จินไถหลิวหลีรู้เยอะนะเนี่ย” มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย ดูเหมือนจินไถหลิวหลีจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับซากอารยธรรมนี้ไม่น้อย อย่างน้อยพวกเขาก็เพิ่งรู้เรื่องค่ายกลจตุเทวะมาเท่านั้นเอง
“แม้ว่าค่ายกลจตุเทวะจะทรงพลัง แต่ไม่ใช่ทำลายไม่ได้” เมื่อเห็นสีหน้าผู้คนเปลี่ยนแปลงรุนแรง จินไถหลิวหลีก็พูดออกมาอีกครั้ง ในน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มแสดงถึงความมั่นใจที่ผิดคาด
“แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดยังผ่านไปไม่ได้ เจ้าเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหน?” มีบางคนอดพูดขึ้นมาไม่ได้ คิดว่าคงไม่เชื่อคำพูดของจินไถหลิวหลี
“สำหรับวิธีผ่าน ข้าจะบอกต่อเมื่อทุกคนเห็นด้วยในการรวมพลังกัน ถ้าไม่สนใจข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด” จินไถหลิวหลีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แต่ละกองทัพแลกเปลี่ยนสายตากัน หรือว่าจินไถหลิวหลีจะมีวิธีผ่านเข้าไปจริงๆ?
มู่เฉินและจิ่วโยวมองเห็นริ้วความประหลาดใจในสายตากันและกัน จินไถหลิวหลีมีวิธีผ่านค่ายกลจตุเทวะจริงๆ รึ? ถ้าเป็นเช่นนี้หญิงสาวผู้นี้ก็อันตรายมากกว่าที่คิด
“ฮ่าๆ ถ้าแม่นางจินไถมีความมั่นใจขนาดนั้น อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าก็สนใจอยู่นะ” มู่เฉินคิดครู่เดียวก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา ตัวเขาสนใจซากอารยธรรมความตายนี้ พวกเขาอุตส่าห์มาตั้งไกลขนาดนี้ ดังนั้นเขายังไม่อยากยอมแพ้ ถ้าสิ่งที่จินไถหลิวหลีพูดมาเป็นความจริง เขาก็อยากลองดูสักตั้ง
แน่นอนว่ามู่เฉินไม่ใช่คนไร้เดียงสาจนมองว่าจินไถหลิวหลีใจกว้าง หญิงสาวแค่ต้องการจะใช้ประโยชน์จากกองทัพอื่นเพื่อจะทะลวงค่ายกลศึกนี้ไปเท่านั้น
หลังจากสถานการณ์จบลง พวกเขาก็คงหันกระบี่เข้าหากันเพื่อสมบัติอีกครั้ง
“ถ้าที่แม่นางจินไถพูดเป็นเรื่องจริง ตำหนักสุดนภาของข้าก็ขอร่วมด้วย” อีกฝั่งหนึ่งหลิ่วเหยียนก็คิดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดเสียงขรึม วัตถุประสงค์ของพวกเขาที่มาครั้งนี้ก็เพื่อรับมรดกจากจั้นเจิ้นซือ แต่ตอนนี้ชัดว่าตำหนักสุดนภาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ด้วยพลังของตน
ดังนั้นความคิดของจินไถหลิวหลีไม่ต่างกับเขาเลย
ที่ด้านข้างหลิ่วเหยียน เซียวเทียนมองมาที่มู่เฉินด้วยสายตามืดครึ้ม เส้นเลือดไต่ขึ้นมาบนลูกตาเขา ดูน่าสยองขวัญอย่างยิ่ง ทว่าน่าเสียดายที่มู่เฉินไม่สนใจแม้แต่จะมอง เมินไปอย่างเต็มที่
เนื่องจากขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสองเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้ ก็ทำให้เกิดระลอกความปั่นป่วนขึ้น ทัพพันธมิตรที่เกิดจากหลายกองทัพรวมกันก็เหมือนจะสนใจขึ้นมา
พวกเขาไม่ได้โง่และรู้ดีว่าจินไถหลิวหลีกำลังยืมมือ ทว่าพวกเขาก็มีความคิดเฉียบแหลม ดังนั้นแม้จะร่วมมือก็ต้องอยู่รักษาความมั่นคงของกองทัพไว้ก่อน
นอกจากนี้ถึงแม้จะไม่ได้รับสมบัติใดๆ มา แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วได้ ถ้าเกิดสถานการณ์ไม่ดีขึ้นมาพวกเขาก็แค่หลบหนีไปเท่านั้น
ความคิดดังกล่าวตกผลึกในใจ สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจโดยไม่ลังเลอีก
“ในเมื่อหมู่ตึกเทวะมีความมั่นใจ สำนักอรุณรุ่งของข้าก็ขอช่วยสนับสนุน”
“แดนอสุราเอาด้วย”
“ภูเขาสลักดาวยินดีที่จะร่วมมือ”
“…”
ทุกเสียงสะท้อนไปทั่ว ซึ่งเป็นตัวแทนของหนึ่งขั้วอำนาจชั้นสูงด้วย แม้ว่าแต่ละสำนักจะไม่สามารถเทียบกับขั้วอำนาจสูงสุดได้ แต่เมื่อพวกเขารวมพลังกันก็จะมีพลังที่แม้แต่กองทัพสูงสุดยังประมาทไม่ได้
มู่เฉินกวาดมองกองทัพต่างๆ อย่างเย็นชาที่แสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือกัน ก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว ทั้งคู่ยิ้มบาง เมื่อกองทัพเหล่านี้รวมตัวกัน พวกเขาถึงจะมีโอกาสแก้ปัญหานี้ได้
ทว่าใจมู่เฉินค่อนข้างสงสัยกับวิธีผ่านสถานการณ์นี้ ด้วยประสาทสัมผัสเกี่ยวกับรัศมีจั้นยี่ เขาสามารถรู้สึกถึงความปรวนแปรคลุมเครือที่น่ากลัวที่พวยพุ่งมาจากกองทัพบนที่ราบมืดมิด
ความแข็งแกร่งของลอนคลื่นเหล่านั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่อาจตอบโต้ได้
ขณะที่มู่เฉินกำลังพินิจพิเคราะห์ ร่างแสงหลายร่างก็พลิ้วตัวลงบนยอดเขาจากฝั่งหมู่ตึกเทวะ ซึ่งจินไถหลิวหลีเป็นผู้นำเข้ามา
ตอนนี้นางยังนั่งบนรถเข็น ชุดขาวสะอาดตาทำให้นางดูบอบบางน่าทะนุถนอม ทว่าริมฝีปากที่เม้มไว้แสดงถึงความดื้อรั้นเบาบาง
ฟังยี่ราวกับผู้พิทักษ์ยืนปกป้องอยู่เบื้องหลัง สายตาที่ฉายแววเยือกเย็นกวาดมาทางมู่เฉินเป็นช่วงๆ
“ผู้นำทัพทุกคนโปรดมาที่นี่เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีผ่านสถานการณ์นี้ด้วย” จินไถหลิวหลีกวาดมองเหล่ากองทัพมากมายก่อนจะยิ้มบาง
มู่เฉินและเหล่าผู้บัญชาการแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่เขาจะพยักหน้าแล้วทะยานตัวออกไปกับจิ่วโยว ทั้งคู่ปรากฏตัวบนยอดเขาพร้อมกับประสานมือทักทาย “มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ยินดีที่ได้พบแม่น่างจินไถ”
จินไถหลิวหลีมองมู่เฉิน ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มทำให้นางผงะไปเล็กน้อย นอกจากนี้ความอบอุ่นที่ฉายอยู่ก็ต่างกับตอนปะทะกับเซียวเทียนอย่างสิ้นเชิง
“ผู้บัญชาการมู่ไม่ต้องมากมารยาท” จินไถหลิวหลีพยักหน้าเบาๆ
ฟิ้ว!
หลิ่วเหยียนและเซียวเทียนก็มาถึงในเวลานี้ ทว่าสายตาทั้งคู่ที่จ้องมองมาที่มู่เฉินกลับอัดแน่นด้วยความเยือกเย็น หากไม่ใช่เพราะสถานที่นี้ไม่ดีนัก พวกเขาคงจะฟัดกับอีกฝ่ายสักยกแล้ว
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ผู้นำกองทัพอื่นก็ทยอยเข้ามาที่ยอดเขานี้เช่นกัน ช่วงเวลานี้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยจอมยุทธ์ทรงพลัง ช่างดูตระการตามาก
“แม่นางจินไถ ตอนนี้บอกวิธีทำลายกระบวนทัพได้หรือยัง?” หลิ่วเหยียนประสานมือพลางเอ่ยถาม
สายตาทั้งหมดเบนไปที่จินไถหลิวหลี แม้ว่านางจะดูอ่อนแอกระเสาะกระแสะ แต่ก็ไม่ได้แสดงความกลัวใดๆ เลยเมื่อถูกจ้องมองโดยกลุ่มจอมยุทธ์ นางพูดเสียงเบาว่า “จากข้อมูลที่ข้าทราบมา กองทัพนี้ถูกขนานนามว่ากองทัพจตุเทวะในอดีตกาล ผู้บัญชาการใหญ่ทัพนี้คือจักรพรรดิเทียนเจิ้น ซึ่งเป็นจั้นเจิ้นซือตัวจริง”
“ในจุดสูงสุด พวกเขามีกำลังพลถึงล้านคนซึ่งตอนนี้เอามาเปรียบเทียบไม่ได้ ดูจากตอนนี้น่าจะมีกำลังพลไม่ถึงครึ่งหนึ่ง แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจที่เราไม่สามารถประจัญบานได้”
ใบหน้าของทุกคนเคร่งเครียด คิดว่าคงตื่นตะลึงกับกำลังพลนับล้าน เพราะนั่นไม่ใช่การรวมตัวของคนทั่วไป แต่เป็นจำนวนนักรบชั้นยอดนับล้านที่ครอบครองรัศมีจั้นยี่ เมื่อไรที่รวมเข้าด้วยกัน ก็แทบไม่มีใครที่อยู่ใต้ระดับตี้จื้อจุนจะสู้ได้
“แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป กองทัพจตุเทวะทรงพลังก็จริง แต่ตอนนี้พวกเขาล้วนเป็นผีดิบเดนตายที่มีพลังไม่ถึงครึ่งหนึ่งจากตอนที่มีชีวิต”
จินไถหลิวหลียิ้มบาง “กองทัพจตุเทพวะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือทัพหน้ากับทัพหลวง โดยที่ทัพหน้ามีจำนวนนักรบมหาศาลยากที่จะเข้าปะทะ ส่วนค่ายกลจตุเทวะถูกวางไว้ที่ทัพหลวง ซึ่งไม่สามารถทำลายด้วยกำลัง ค่ายกลนี้ถูกแยกออกเป็นสี่ส่วน มีเพียงการทำลายทั้งสี่ส่วนถึงจะสามารถตีค่ายกลศึกนี้แตก มิฉะนั้นถ้าทำลายเพียงส่วนเดียว ส่วนที่พังทลายก็จะได้รับการซ่อมแซมจากพลังของอีกสามส่วนที่เหลือ…”
“นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือค่ายกลจตุเทวะโจมตีซี้ซั้วไม่ได้ มิฉะนั้นจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเมื่อปะทะกับคนที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเราต้องการจอมยุทธ์สี่คนควบคุมกองทัพของตนเองและทำลายค่ายกลนี้ด้วยพลังของตน!”
จินไถหลิวหลีกวาดตามองก่อนจะพูดต่อว่า “ดังนั้นทุกคนจะต้องประสานแรงจัดการกับทัพหน้า ส่วนค่ายกลจตุเทวะที่อยู่ในทัพหลวงจะต้องให้อัจฉริยะรัศมีจั้นยี่สี่คนเข้าจัดการพร้อมกัน…”
บทที่ 872 ทัพพันธมิตรอันยิ่งใหญ่
“อัจฉริยะรัศมีจั้นยี่สี่คน?”
เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลีก็อึ้งไปก่อนที่จะขมวดคิ้ว นั่นเพราะตอนนี้ถึงแม้จะรวมจินไถหลิวหลีและเซียวเทียนไปด้วยก็มีอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่สามคนเท่านั้น
หรือว่าพวกเขาจะต้องค้นหาอัจฉริยะอีกคน? นี่ไม่ใช่งานง่ายเลย เพราะแม้แต่ในภูมิภาคทางเหนือจอมยุทธ์ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ก็มีจำนวนนับได้ด้วยนิ้วมือเท่านั้น แล้วจะหาง่ายแบบนั้นได้ยังไง?
เมื่อจินไถหลิวหลีเห็นทุกคนขมวดคิ้วก็ยิ้ม “ข้ารู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะรวบรวบอัจฉริยะได้ครบสี่คน ดังนั้นยังมีวิธีที่ทดแทนกันได้ เราสามารถให้แม่ทัพสามคนที่มีความเชี่ยวชาญทางศาสตร์นี้นำทัพเข้าไปในส่วนที่สี่แทนได้”
“แบบนี้คงไม่สามารถทำลายค่ายกลศึกได้หรอกมั้ง?” มีจอมยุทธ์สายตาแหลมคมมองออกทันที นั่นเพราะทุกคนรู้ว่า แม้แต่แม่ทัพสามคนที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์รัศมีจั้นยี่ยังยากที่จะเทียบเคียงอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ได้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความเข้าใจในระดับเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นไปไม่ได้ที่จอมยุทธ์ทั้งสามจะเชื่อมโยงจิตใจเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเผชิญหน้ากับค่ายกลจตุเทวะนี้
“ตามที่แม่นางจินไถบอก ถ้าเราไม่สามารถทำลายค่ายกลจตุเทวะส่วนที่สี่ได้ ก็เปล่าประโยชน์สำหรับพวกเราที่จะทำลายอีกสามทิศใช่ไหม?” มู่เฉินเอ่ยถาม
“ถ้าค่ายกลจตุเทวะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก็จะเป็นเช่นนั้นนะ” จินไถหลิวหลีเอ่ยเสียงนุ่มจากนั้นก็พูดต่อว่า “แต่เนื่องจากกาลเวลาที่ผ่านมายาวนาน ค่ายกลก็ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์อีกต่อไป ดังนั้นแค่เราสามารถทำลายสามทิศได้รวดเร็ว ก็จะส่งผลให้ทิศที่สี่อ่อนแอลง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะง่ายต่อการทำลาย”
“ดังนั้นจอมยุทธ์ที่เข้าจัดการทิศที่สี่ไม่จำเป็นต้องทำลาย เพียงแต่ซื้อเวลาจนกว่าพวกเราสามคนจะจัดการเรียบร้อย”
พูดถึงจุดนี้นางก็กวาดมองทุกคนด้วยรอยยิ้มงดงามบนใบหน้า “ไม่ทราบว่าทุกคนคิดยังไง?”
ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลจตุเทวะ ในเมื่อจินไถหลิวหลีพูดแบบนี้ พวกเขาก็ไม่มีความคิดอื่น ถึงตอนนั้นหากเกิดเหตุกาณ์ร้ายแรงขึ้นก็แค่หนีออกไปได้เท่านั้นเอง
มู่เฉินมองไปที่ใบหน้าจินไถหลิวหลี ดวงตาวูบไหวแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ในเมื่อทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ก็ขอให้เตรียมตัวเถอะ สำหรับจอมยุทธ์ที่จะเข้าประจำตำแหน่งทิศที่สี่ ก็ขอให้พวกเจ้าเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา” จินไถหลิวหลีพยักหน้าโดยมีริ้วไอสังหารวูบไหวบนใบหน้า
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากันก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นกลับไปยังกองทัพของตนเริ่มจัดเตรียมกองทัพเพื่อให้พร้อมสำหรับความร่วมมือนี้
มู่เฉินไม่ได้จากไปทันที กลับยิ้มส่งไปให้จินไถหลิวหลี หลังจากที่ทุกคนออกไปหมดแล้ว “แม่นางจินไถทำไมถึงรู้เรื่องสถานที่นี้ได้ชัดเจนเช่นนี้? แม้แต่วิธีทำลายค่ายกลจตุเทวะยังรู้เลย”
จินไถหลิวหลีมองมู่เฉินคลี่รอยยิ้มสบายๆ “ข้าแค่ได้พบกับแม่ทัพภายใต้การบังคับบัญชาของจักรพรรดิเทียนเจิ้นระหว่างทางที่เข้ามา ข้าคิดว่าผู้บัญชาการมู่ก็คงได้พบพวกเขาเช่นกันใช่ไหม?”
“ข้อมูลของข้าไม่ละเอียดเท่าของแม่นางจินไถหรอกนะ แต่ในเมื่อพวกเราร่วมมือกันแล้ว ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่ตลบหลังกันนะ” มู่เฉินไม่ได้แสดงความคิดเกี่ยวกับคำอธิบายของจินไถหลิวหลี ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดที่จะพูดเพิ่มเติม เขาก็ไม่ถามอะไรอีก เขาประสานมือให้ก่อนจะออกไปพร้อมกับจิ่วโยว
ที่เบื้องหลังจินไถหลิวหลี สายตาฟังยี่สาดประกายวาววับด้วยแสงเย็นยะเยือก เขามองไปที่หญิงสาว “เจ้าสัญญากับข้าว่าจะช่วยจัดการมู่เฉิน”
“เขาไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายและซากอารยธรรมความตายนี้ก็สำคัญมากกว่า ซึ่งจะชี้ว่าข้าสามารถเป็นจั้นเจิ้นซือในอนาคตได้หรือไม่ เจ้าเองก็ควรรู้ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่ากัน ไม่งั้นก็ยากที่จะอธิบายให้ท่านประมุข” จินไถหลิวหลีหลุบตาลง ในน้ำเสียงทั้งราบเรียบและไม่แยแส
ฟังยี่ขมวดคิ้วไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเย็นว่า “ยังไงข้าก็เสนอเงื่อนไขไว้แล้ว ถึงเจ้าจะมีเวลาแต่น้องสาวของเจ้าไม่มี ต้นเก้าวิญญาณเต็มสวรรค์เป็นสมุนไพรล้ำค่ากระทั่งในหมู่ตึกเทวะ แม้ว่าเจ้าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกแต่ก็ยังยากจะเชื่อเพราะประวัติในอดีต ดังนั้นมีเพียงข้าไปช่วยร้องขอ เจ้าถึงจะมีโอกาส”
ผมหน้าม้าเฉียงของจินไถหลิวหลีทำให้เงาพากลงบนดวงหน้า นางหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะเงยหน้ายิ้ม “วางใจเถอะ สงครามล่าเพิ่งจะเริ่ม ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ”
ฟังยี่มองจินไถหลิวหลีก่อนที่จะพยักหน้าแล้วหันหลังจากไป
จินไถหลิวหลีมองฟังยี่ที่ออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทว่ามือใต้แขนเสื้อกลับกำแน่นจนกระทั่งเล็บเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
หลังจากที่ทุกคนกลับไปยังกองทัพของตน กองทัพก็เริ่มจัดระเบียบสร้างกระบวนทัพยิ่งใหญ่อย่างน่าสะพรึงกลัว
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งโดยมีหน่วยรบทั้งห้าอยู่เบื้องหลัง ราวกับสัตว์อสูรเหี้ยมหาญซ่อนตัวซึ่งกำลังเหยียดร่างเอาไว้ ขณะที่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระเพื่อมไหวออกมา
ที่ด้านหลังมู่เฉิน จิ่วโยวก็มุ่นคิ้วพลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าจินไถหลิวหลีพูดความจริงเหรอ?”
“นางใช้ประโยชน์จากพวกเราแน่นอน แต่ที่นี่ไม่มีใครโง่ ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่มีใครอยากกลับไปมือเปล่า แม้พวกเขารู้ว่าจะฉีกชิ้นเนื้อออกจากกันได้เมื่อทุกคนรวมตัวกันสู้ แต่พวกเขาก็ไม่มีใครที่สามารถรวมกำลังพลได้ ในเมื่อจินไถหลิวหลีมีความสามารถ พวกเขาก็ยินดีจะทำตามนั้น”
“แต่เราก็ต้องระวัง ข้ารู้สึกว่าจินไถหลิวหลีปิดบังอะไรบางอย่างไว้” มู่เฉินปรายตามองไปยังทิศที่จินไถหลิวหลีอยู่
เมื่อได้ยินจิ่วโยวก็พยักหน้า
ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงในการเตรียมการ กองทัพทรงพลังมากมายเริ่มกระจายไปทั่วเทือกเขาแห่งนี้ รัศมีจั้นยี่ทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า
ณ ที่แห่งนี้มีกองทัพชั้นยอดสามกองทัพและกองทัพชั้นสูงอีกสิบกว่ากองทัพ เมื่อมารวมตัวกันก็มีจำนวนกำลังพลถึงหลายแสนคนเลยทีเดียว ช่างเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่นัก
“ทุกคนพร้อมกันหรือยัง?” เสียงอ่อนโยนของจินไถหลิวหลีเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ยับยั้งความโกลาหลทั้งหมดลง สายตามากมายก็หันไปมองในทางเดียว
ทุกคนประสานมือให้จินไถหลิวหลีเป็นการบอกว่าพวกเขาเตรียมพร้อมแล้ว
“ในเมื่อพร้อมแล้วก็เคลื่อนพล แม้ว่าทัพหน้าของกองทัพจตุเทวะจะมีประสิทธิภาพด้อยกว่าทัพหลวง แต่เหนือกว่าในเรื่องที่มีจำนวนนักรบมหาศาล โชคดีที่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นผีดิบทำให้รัศมีจั้นยี่ลดลงไปเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจุดสูงสุด ดังนั้นตราบใดที่ทุกคนฟังคำสั่ง ข้ารับรองได้ว่าจะให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด” เสียงอ่อนโยนของจินไถหลิวหลีแสดงความมั่นใจ
ทุกกองทัพเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า ถ้าจินไถหลิวหลีสามารถนำพาพวกเขาไปได้ด้วยการเสียจำนวนพลน้อยที่สุดก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้านางใช้พวกเขาเป็นห่ากระสุน พวกเขาก็จะทิ้งภารกิจนี้ไปทันที สถานการณ์ตาข่ายขาดปลาตายแบบนั้น คิดว่าแม้แต่จินไถหลิวหลีก็ไม่กล้าทำอะไรที่เลวร้าย
มู่เฉินและผู้บัญชาการทั้งห้าแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะพยักหน้า
“ทุกคนเคลื่อนทัพได้ ข้าจะให้หมู่ตึกเทวะเป็นกองหน้าเข้าตะลุมบอน ส่วนกองทัพอื่นปกป้องด้านข้างเอาไว้” ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน จินไถหลิวหลีก็สูดลมหายใจเข้า ดวงตาสงบนิ่งส่องแสงพราว ก่อนที่นางจะยกมือขึ้นแล้วสะบัดมือลง
ตู้ม!
หมู่ตึกเทวะรับหน้าที่เป็นหน่วยทะลวงฟัน รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกไปราวกับมหาสมุทร ทำให้กระแสลมและหมู่เมฆถึงกับเปลี่ยนทิศฉับพลัน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
กองทัพมหึมากวาดออกราวกับก้อนเมฆสีดำ ที่เบื้องหลังกองทัพทั้งหลายก็ติดตามไปอย่างไม่ลดละ
กองทัพมหึมานี้ ทำเอาโลกถึงกับโยกคลอนทุกที่ที่ผ่าน แม้ว่ารัศมีจั้นยี่แต่ละส่วนจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนและไม่สามารถรวมตัวเข้ากันได้ ทว่าจำนวนกำลังพลที่มากมายนั้นก็น่าสะพรึงมาก
มู่เฉินเป็นผู้นำหน่วยรบทั้งห้าซึ่งอยู่ในช่วงกลางด้านหลังของกองทัพพันธมิตร เขามองกองทัพใหญ่โตมโหฬารนี้ก็ถึงกับแอบเดาะลิ้น รู้สึกตกตะลึงในใจ
กองทัพเคลื่อนพลราวกับเมฆดำกวาดผ่านขอบฟ้า สิบกว่านาทีก็เข้าสู่ที่ราบมืดมิด ภาพกองทัพนักรบผีดิบยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตาก็เผยออกมา
ธงรบตั้งตระหง่านบวกกับรัศมีจั้นยี่ที่เน่าเปื่อยกวาดข้ามไปทั่วขอบฟ้า ทำเอากองทัพพันธมิตรถึงกับมีสีหน้ากังวลขึ้นมา
ทว่าจินไถหลิวหลีที่อยู่ภายในกองทัพพันธมิตรไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย เพลิงหนาแน่นลุกโชนในดวงตา น้ำเสียงกระจ่างใสเปล่งออกมาเข้าโสตประสาทของทุกคน
“ลุย!”
ตู้ม!
กองทัพหมู่ตึกเทวะเป็นกองหน้า เสมือนใบมีดแหลมคม พุ่งเข้าไปในแนวป้องกันของกองทัพนักรบผีดิบ
คลื่นเชี่ยวกรากสองสายปะทะกันดังสนั่นหวั่นไหว
รัศมีจั้นยี่ทรงพลังทะยานขึ้นบนขอบฟ้า ทำเอามิติกระเพื่อมไหวโลกแตกร้าว ปราการแรกของกองทัพนักรบผีดิบแตกสลายทันที โดยกองทัพพันธมิตรที่ราวกับคลื่นน้ำบุกทะลวงเข้าสู่ช่องว่างปานสายฟ้าฟาด
นักรบผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นขี้เถ้าสลายไปในอากาศในพริบตา
ทว่ากองทัพพันธมิตรไม่ได้หยุดการเคลื่อนพล กลับพุ่งเข้าหาฝ่ายศัตรูฉีกทึ้งอย่างเกรี้ยวกราดเพื่อเข้าไปในส่วนลึก
เมื่อมู่เฉินเห็นรัศมีจั้นยี่ที่น่าขนพองสยองเกล้ากำลังปะทะกัน เขาก็อดสูดลมหายใจเย็นเข้าไปไม่ได้ เพราะภาพนี้ช่างน่าสะพรึงจริงๆ
เขามองไปยังร่างเงาบอบบางในชุดสีขาวที่อยู่ห่างไกล ความเคร่งเครียดก็วาบบนใบหน้า
แม่ทัพหญิงคนนี้เก่งกาจใช้ได้เลย
**สำนวนตาข่ายขาดปลาตายแปลว่าเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
บทที่ 873 ความสามารถของจินไถหลิวหลี
ตึง!
เหนือที่ราบมืดมิด ธงรบโบกสะบัดพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่เสื่อมทรามแผ่ขยายไปทั่วขอบฟ้า แต่ในขณะนี้คลื่นขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในกองทัพใหญ่
กองทัพพันธมิตรที่ประกอบด้วยจอมยุทธ์จำนวนมากจนน่าสะพรึงกำลังทำลายแนวป้องกันของกองทัพนักรบผีดิบออกจากกันอย่างบ้าคลั่ง รัศมีจั้นยี่ทรงพลังกวาดออกไป ทำให้นักรบผีดิบที่ขวางทางกลายเป็นเถ้าถ่าน
นี่คือกองทัพพันธมิตรที่มีหมู่ตึกเทวะเป็นหัวเรือใหญ่
ความปั่นป่วนที่เกิดจากกองทัพพันธมิตรใหญ่มาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเฉียบคมที่ทรงพลังตั้งแต่เริ่มต้นฉีกแนวป้องกันทัพหน้านักรบผีดิบได้อย่างง่ายดาย กองทัพพันธมิตรราวกับคลื่นสึนามิที่ฉีกแนวป้องกันแล้วพุ่งเข้ามา
จากนั้นก็พุ่งผ่านไม่หยุดยั้ง บุกเข้าไปในส่วนลึกของกองทัพนักรบผีดิบอย่างรวดเร็ว
เมื่อมู่เฉินที่อยู่ในกองทัพมองฉากสงครามเบื้องหน้า ใบหน้าของเขาก็นิ่งสงบโดยไม่มีความยินดีใดๆ เหมือนกับกองทัพอื่น นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าความราบรื่นนี้ไม่มีทางคงอยู่ตลอดไป
แม้แต่การป้องกันของทัพหน้านักรบผีดิบก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะต่อกร ความสำเร็จที่ผ่านมาเมื่อสักครู่เป็นเพียงเพราะการป้องกันด่านหน้าของอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไป
มิหนำซ้ำถึงกองทัพพันธมิตรจะไม่อ่อนแอ แต่ก็ต่อสู้ในส่วนของตัวเองเท่านั้น รัศมีของพวกเขาไม่สามารถควบรวมกันได้ ในขณะที่กองทัพนักรบผีดิบมีความสมบูรณ์แบบในการประสานงาน แม้ว่าจำนวนพลทั้งสองกองทัพจะใกล้เคียงกัน แต่ก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพลัง
หากไม่ใช่เพราะกองทัพนักรบผีดิบสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ตราบใดที่กองทัพนักรบผีดิบเปิดใช้งานรัศมีจั้นยี่ กองทัพพันธมิตรก็จะประสบกับปัญหาล้มตายนับไม่ถ้วนแน่
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝ่าแนวป้องกันนี้เข้าไปได้
และก็เป็นอย่างที่มู่เฉินคาดไว้ กองทัพพันธมิตรเริ่มชะลอลงหลังจากการโจมตีในช่วงแรกแรก รัศมีจั้นยี่เน่าเปื่อยอันเกรี้ยวกราดโหมกระหน่ำเข้ามาจากทุกทิศทาง ราวกับการรวมตัวของเมฆพายุฟ้าคะนอง พลังอำนาจทำให้โลกถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
เมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ หมู่ตึกเทวะที่พุ่งเข้าโรมรันที่เบื้องหน้าก็เริ่มถูกระงับไว้ รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตถูกค่อยๆ ตีกลับ ชัดว่าไม่สามารถเผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ที่ครอบงำจากกองทัพนักรบผีดิบได้
“สำนักรุ่งอรุณ แดนอสุรา เร้ารัศมีจั้นยี่ออกมา!”
แต่ขณะที่รัศมีจั้นยี่หมู่ตึกเทวะอ่อนลง จินไถหลิวหลีก็ตะโกนออกมา น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงไปด้วยการสังหาร
เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาว แม่ทัพสำนักรุ่งอรุณและแดนอสุราที่อยู่เบื้องหลังก็พยักหน้ารับแล้วพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว รัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังกวาดออกไปทั่วพร้อมกับต้านรัศมีจั้นยี่ที่เบื้องหน้าร่วมกับหมู่ตึกเทวะ
ตู้ม! ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ปะทะกันอย่างรุนแรง คลื่นกระแทกซัดออก ทำเอามิติถึงกับบิดเบือนไม่มีสิ้นสุด ภาพที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังขยาดเลย
“ประมุขน้อยหลิ่วเหยียน ฝากปีกขวาให้ตำหนักสุดนภาจัดการนะ!” จินไถหลิวหลีมองไปยังกองทัพตำหนักสุดนภาซึ่งอยู่ทางปีกขวาของกองทัพพันธมิตร บริเวณนั้นรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกำลังกวาดล้างเพื่อพยายามฉีกกองกำลังพันธมิตรออกจากกัน
หลิ่วเหยียนพยักหน้ายามนี้กองทัพพันธมิตรถูกล้อมกรอบเสียแล้ว เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอก เพราะถ้าเกิดกองทัพพันธมิตรถูกตีแตก กระทั่งพวกเขาก็ต้องจ่ายมหาศาลถึงจะถอยหนีออกไปได้
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ามองไปที่เซียวเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายโบกมือ กองทัพมากมายของตำหนักสุดนภาก็ระเบิดรัศมีจั้นยี่ออกมา ทำเอาโลกสั่นสะเทือน มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดออกไป ซึ่งทรงพลังมากจนสามารถต้านรัศมีจั้นยี่เน่าเปื่อยของกองทัพนักรบผีดิบทางปีกขวาเอาไว้ได้
เมื่อเห็นภาพนี้คิ้วของมู่เฉินก็เลิกขึ้น แม้ว่าเซียวเทียนจะเป็นคนน่ารังเกียจ แต่ก็มีความสามารถใช้ได้เลย เขาสามารถรักษาปีกขวาของกองทัพพันธมิตรได้ด้วยพลังของตำหนักสุดนภา
“ผู้บัญชาการมู่ ข้าจะมอบแนวหลังกองทัพพันธมิตรให้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์” จินไถหลิวหลีเบนสายตา น้ำเสียงอ่อนโยนถูกส่งเข้าไปยังโสตประสาทของมู่เฉิน
มู่เฉินประสานมือจากระยะไกลพลางพยักหน้า “พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะทำให้ดีที่สุด”
“ขอบใจ”
จินไถหลิวหลีพยักหน้าน้อยๆ น้ำเสียงที่ช้าชัดดังกึกก้องไปทั่วกองทัพพันธมิตร “ทุกคนรักษาตำแหน่งไว้ให้มั่น ถ้าตึงมือรับไม่ไหวให้แจ้งทันที”
น้ำเสียงอ่อนโยนของนางแสดงถึงความสงบ ตัวนางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับการถูกล้อมกรอบจากกองทัพนักรบผีดิบ ดังนั้นคลื่นความสงบนี้จึงทำให้กองทัพพันธมิตรเป็นไปอย่างมีระเบียบ การป้องกันก็แน่นหนามากขึ้น แม้แต่มู่เฉินยังอดชื่นชมในใจไม่ได้กับความสามารถของสตรีนางนี้ เขาตระหนักได้ว่าแม้นางจะดูเป็นหญิงอ่อนแอแต่กลับมีความสามารถอย่างมากในการจัดกระบวนทัพ
อย่างน้อยมู่เฉินก็รู้ว่าถ้าเป็นตนเองคงไม่สามารถปรับกระบวนทัพของกองทัพพันธมิตรที่ต่างมีความคิดไม่เหมือนกันมาเป็นระบบได้ในระยะเวลาอันสั้น
“หญิงสาวคนนี้มีความสามารถอย่างแท้จริง” ที่ข้างมู่เฉิน จิ่วโยวก็เอ่ยชื่นชมออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของนาง เหล่าผู้บัญชาการก็พากันพยักหน้ารับและชื่นชม หญิงสาวคนนี้เป็นทั้งอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่และยังสามารถบัญชาการสงครามได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง
ดูท่านางอาจจะสามารถนำกองทัพพันธมิตรบุกฝ่ากองทัพจตุเทวะเพื่อเข้าไปประจัญบานกับค่ายกลจตุเทวะได้จริง…
ตู้ม! ตู้ม!
ขณะที่พวกมู่เฉินกำลังชื่นชม ความปั่นป่วนขนาดใหญ่ก็ปะทุออกมาจากกองทัพพันธมิตรอีกครั้ง รัศมีจั้นยี่ทุกเส้นสายกำลังโรมรันรัศมีจั้นยี่นักรบผีดิบจากทุกทิศทาง
ทั้งสองฝ่ายเริ่มเผชิญหน้ากันด้วยรัศมีจั้นยี่โดยไม่มีทักษะใดเข้ามาเสริม การปะทะกันทุกครั้งส่งผลให้นักรบผีดิบนับไม่ถ้วนกลายเป็นเถ้าถ่าน ในเวลาเดียวกันเหล่าจอมยุทธ์ในกองทัพพันธมิตรก็เริ่มบาดเจ็บล้มตาย ซึ่งจำนวนผู้สละชีวิตยังอยู่ในระดับที่ทุกคนรับได้ นั่นเพราะพวกเขารู้แจ้งว่าถ้าไม่ใช่จินไถหลิวหลีสั่งการได้ดี ต่อให้พวกเขาล้มตายไปหมด ก็คงไม่สามารถบุกเข้ามาในกองทัพนักรบผีดิบเหล่านี้ได้
ภายใต้ผลกระทบของรัศมีจั้นยี่จำนวนมาก กองทัพนักรบผีดิบก็ถูกตีแตกเป็นส่วนๆ แล้วถูกกองทัพพันธมิตรบุกเข้าสู่ส่วนลึกที่เป็นที่ราบมืดมิดไปเรื่อยๆ
ด้านหน้ากองทัพพันธมิตรต้านรับแรงกกดดันใหญ่หลวง ถ้าเป็นกองทัพอื่นอยู่ในตำแหน่งนี้ คงมีคนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ทว่าจินไถหลิวหลีฉลาดมาก มีกองทัพหลายสิบกองทัพอยู่ภายใต้คำสั่งของนาง พวกเขาผลัดกันบุกตะลุยไปเบื้องหน้า เมื่อใดที่กองทัพหนึ่งไม่สามารถต้านได้ อีกกองทัพก็จะเข้ามาแทนที่ ด้วยวิธีการนี้ก็สามารถรักษาแนวรบของตนและฉีกแนวป้องกันกองทัพจตุเทวะได้
ขณะที่เฝ้ามองเบื้องหน้า จินไถหลิวหลียังสามารถแยกสมาธิมองดูกระบวนทัพของปีกทั้งสองข้าง ทุกส่วนการโจมตีได้รับการประสานงานจากนาง
แต่ในการบุกลุยนี้ เหล่าขั้วอำนาจชั้นสูงสูญเสียมากที่สุด ส่วนหมู่ตึกเทวะ อาณาเขตกงเวทสวรรค์และตำหนักสุดนภาทำเพียงรักษาสถานการณ์โดยรวม ในแง่ของจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจึงน้อยกว่ากองทัพอื่นๆ
ในสถานการณ์เช่นนี้ จินไถหลิวหลีก็พูดประโยคหนึ่งออกมาเบาๆ ซึ่งทำให้พวกกองทัพอื่นๆ ได้แต่หุบปาก
“เราทั้งสามกองทัพจะต้องรักษาพลังให้ได้มากที่สุดเพื่อเตรียมรับมือกับค่ายกลจตุเทวะ ถ้าเราสูญเสียรัศมีจั้นยี่ไปมากในตอนนี้ แล้วอะไรคือจุดสำคัญของงานนี้ล่ะ?”
พอได้ฟังคำพูดนี้ กองทัพอื่นๆ ก็ได้แต่กลืนคำพูดลงคอ นั่นเพราะพวกเขารู้ว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อค่ายกลจตุเทวะแตกแล้วเท่านั้น
และเพื่อที่จะทำลายค่ายกลศึก พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาพลังของจินไถหลิวหลี มู่เฉินและเซียวเทียน
ตอบสนองต่อความคิดนั่น มู่เฉินก็ยิ้มบาง สายตามองไปทางจินไถหลิวหลีอย่างมีความหมายลึกซึ้ง จากนั้นก็ส่งยิ้มให้พวกจิ่วโยว “คงไม่ยากที่จะผ่านแนวป้องกันด้านนอกไปได้”
เมื่อได้ยินพรรคพวกก็พยักหน้า แต่ละคนสัมผัสได้ว่ารัศมีจั้นยี่เน่าเปื่อยโดยรอบเริ่มอ่อนตัวลง เนื่องจากพวกเขาใกล้จะฝ่าแนวป้องกันไปได้แล้ว
แต่แม้พวกเขาจะผ่านแนวป้องกันทัพหน้านักรบผีดิบไปได้ พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจกลับตึงเครียดยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายส่วน สายตาของพวกเขาพุ่งไปในความมืดเวิ้งว้างที่มีธงรบตั้งอยู่ ราวกับมีสัตว์อสูรขนาดใหญ่อยู่ในความมืด ต่อให้มองไม่เห็น พวกเขาก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
ค่ายกลจตุเทวะถูกซ่อนไว้ที่นั่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดของซากอารยธรรมความตายนี้
ไม่มีใครมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำลายค่ายศึกได้ไหม ถ้าพวกเขาล้มเหลวความสูญเสียที่ต้องเผชิญจะไม่เหมือนกับการเสียชีวิตระหว่างทางมาที่นี่
ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนไม่มีที่สิ้นสุดภายใต้ผลกระทบของรัศมีจั้นยี่ ทำให้เกิดรอยแตกกระจายไปบนพื้นดิน นักรบผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อได้รับผลกระทบนี้ ในเวลาเดียวกันก็มีจอมยุทธ์กองทัพพันธมิตรนับไม่ถ้วนกระอักเลือดล้มลงจบชีวิตเช่นกัน
แม้ว่าจินไถหลิวหลีจะสั่งการยอดเยี่ยม แต่ผลกระทบของรัศมีจั้นยี่ก็ทรงพลัง ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็ทำให้กองทัพเสียหายยับเยินได้
ทว่าขณะที่กองทัพหัวเรือใหญ่ทั้งสองของกองทัพพันธมิตรกำลังเปิดใช้งานรัศมีจั้นยี่เพื่อต่อสู้ แรงกดดันรัศมีจั้นยี่ที่อยู่เบื้องหน้าก็หายวับไปกับตา
ยามนี้ราวกับว่าภูเขาที่กดทับร่างหายไป
ทุกคนเงยหน้าขึ้นด้วยความตะลึงใจ ก็พบว่ากองทัพนักรบผีดิบมหาศาลที่เบื้องหน้าหายไปหมดแล้ว บริเวณที่พวกยืนอยู่ตอนนี้เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ที่เบื้องหลังยังเห็นมีเหล่านักรบผีดิบยืนอยู่ แต่พวกมันกลับไม่ได้ก้าวออกมาแม้แต่ก้าวเดียว ราวกับว่ากลัวอะไรบางอย่าง
“เราลุยผ่านมาได้แล้ว!”
หัวใจของทุกคนเต้นไม่เป็นส่ำ ความปีติกระจายบนใบหน้า หลังจากสองชั่วโมงแห่งการเข่นฆ่า ในที่สุดพวกเขาก็ผ่านทัพหน้าจตุเทวะมาได้
ทว่าขณะที่คนอื่นๆ กำลังแสดงความยินดีบนใบหน้า สีหน้าของจินไถหลิวหลี มู่เฉินและเซียวเทียนที่อยู่ด้านหน้าก็เปลี่ยนไป ทั้งสามเงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกลด้วยสายตาเคร่งเครียด
แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวในความมืดแผ่ปกคลุมมาราวกับเมฆพายุฟ้าคะนองที่ครอบงำจนหายใจไม่ออก
ที่นั่นก็คือค่ายกลจตุเทวะ!
บทที่ 874 ค่ายกลจตุเทวะ
ดินแดนมืดมิดแผ่กระจายไปด้วยรัศมีเน่าเปื่อย
มองเห็นกระดูกสีขาวโพลนเลือนรางใต้พื้นดินโดยมีรอยแตกน่าขนลุกอยู่เต็มพื้นที่ไปหมด สามารถจินตนาการได้ถึงการต่อสู้ในยุคโบราณว่าดุเดือดเพียงใด
หลังจากกองทัพพันธมิตรฝ่าแนวป้องกันของส่วนนอกเข้ามา พวกเขาก็เข้าสู่ที่ราบว่างเปล่าที่อยู่ระหว่างชั้นนอกกับชั้นใน ไม่มีนักรบผีดิบจากทัพนอกกล้าเหยียบเข้ามาในบริเวณนี้ นอกจากนี้พวกเขาที่สูญเสียสติสัมปชัญญะก็ไม่คิดโจมตีทัพพันธมิตรยิ่งใหญ่อีกต่อไป
กองทัพพันธมิตรจึงได้เวลาพักผ่อนครู่หนึ่ง
ทว่าขณะที่กำลังพัก ผู้นำกองทัพต่างๆ ก็มองไปที่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ทั้งบริเวณนั้นปกคลุมไปด้วยความมืด ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่อยู่ภายในได้ แต่ทุกคนรู้สึกได้ถึงแรงกกดดันที่น่าสะพรึงกลัวที่กำจายออกมาจากความมืด ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่อดสีหน้าเปลี่ยนไปไม่ได้
ทุกคนรู้ชัดเจนว่าภายในความมืดมิดนั้นมีสถานที่ที่อันตรายที่สุดของซากอารยธรรมความตาย—ค่ายกลจตุเทวะ!
ที่ด้านหน้าของกองทัพพันธมิตร จินไถหลิวหลีมองไปที่ความมืดขณะที่ดวงตากะพริบวูบไหว ครู่หนึ่งนางก็หันกลับมาพลางคลี่ยิ้มให้มู่เฉินและเซียวเทียน “ทุกคนต่างจ่ายไปมหาศาลกว่าจะส่งเรามาถึงจุดนี้ ดังนั้นต่อไปก็ถึงคราวพวกเราแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลี ผู้คนก็หันไปมองมู่เฉินและเซียวเทียน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความกระตือรือร้นและความคาดหวังในสายตาของพวกเขาได้
ก่อนหน้าที่บุกตะลุยเข้ามา แม้ว่าจินไถหลิวหลีจะสั่งการได้ยอดเยี่ยม แต่นอกจากสามขั้วอำนาจชั้นยอด กองทัพอื่นๆ ล้วนได้รับความเสียหาย ทว่าขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสามกลับประสบความสูญเสียน้อยมากและเหตุผลที่จินไถหลิวหลีบอกก็คือพวกเขาจะต้องรักษาพลังไว้เพื่อทำลายค่ายกลจตุเทวะ
ตอนนี้พวกเขาได้ฝ่าส่วนนอกมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่กองทัพชั้นยอดทั้งสามจะต้องทำลายค่ายกลตามที่จินไถหลิวหลีอธิบายไว้ก่อนหน้า
มู่เฉินรู้สึกถึงสายตาร้อนรนเหล่านั้น ก็เบ้ปาก จากท่าทางของเหล่ากองทัพอื่นๆ ถ้าพวกเขาล้มเหลวในการทำลายค่ายกล กองทัพเหล่านี้อาจจะโกรธจนคลั่งก็ได้ แต่เนื่องจากเรื่องนี้เริ่มต้นโดยจินไถหลิวหลี ความโกรธจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบมาถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์บ้างเท่านั้น
ขณะที่มู่เฉินครุ่นคิดอยู่ในใจก็เหลือบมองจินไถหลิวหลี หญิงสาวยังคงสวมรอยยิ้มอบอุ่นเบาบางแฝงไว้ด้วยความสงบ ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรจากสายตาผู้อื่นเลย
นี่ทำให้มู่เฉินแปลกใจไป หรือว่าจินไถหลิวหลีมีความมั่นใจมากในการทำลายค่ายกลจตุเทวะจริงๆ?
ตู้ม!
ขณะที่ความคิดแล่นพล่านในใจของมู่เฉิน เสียงฟ้าคำรนก็ระเบิดออกมาจากในส่วนลึกของความมืด ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปทันที พวกเขารีบเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เมื่อเห็นว่าในส่วนลึกของความมืดกำลังเดือดพล่านอยู่ในขณะนี้ และแล้วความมืดก็หดตัวลงทีละน้อย…ละน้อย
เมื่อความมืดถอยห่าง ม่านตาของทุกคนก็หดเกร็ง
ขณะที่ความมืดหายไป สิ่งแรกที่เข้าสู่สายตาก็คือกองทัพดำมืดที่แน่นขนัดจนสุดลูกหูลูกตา แต่ละร่างราวกับหอกที่ตั้งมั่นอยู่บนที่ราบมืดมิดกำจายกลิ่นอายโบราณออกมา
กองทัพนี้แม้จะสู้เรื่องจำนวนกับทัพหน้าเมื่อสักครู่ไม่ได้ แต่เมื่อทุกคนเห็นกองทัพที่นิ่งราวรูปปั้นกลับรู้สึกยากในการหายใจ
กองทัพมหึมากระจายอยู่บนที่ราบ สามารถมองเห็นได้เลือนรางว่าแยกออกเป็นสี่ส่วน กระบวนทัพที่ดูไม่เป็นระบบมากนัก กลับทำให้เหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เย็นยะเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย เมื่อมองไป ราวกับว่าพวกเขารู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา
กองทัพที่เบื้องหน้านี้เป็นกองทัพจตุเทวะแท้จริง! กองทัพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเทียนเจิ้น!
ฮึ่ม!
ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกับกองทัพดำมืด ทั่วบริเวณก็เริ่มสั่นสะเทือน จากนั้นทุกคนก็ได้เห็นเหล่านักรบที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นบนที่ราบเริ่มเปิดเปลือกตาที่ปิดแน่นมานานนับหมื่นปีขึ้นอย่างช้าๆ
ตึง!
จังหวะที่ดวงตาเหล่านักรบจตุเทวะเปิดออก ความแวววาวก็วาบขึ้นในส่วนลึกของดวงตา นั่นเป็นความกระหายในการต่อสู้ พวกเขาเกิดมาเพื่อสู้รบ แม้ว่าจะตายไปแล้วปณิธานแรงกล้าในการต่อสู้ก็ยังคงอยู่
ทันใดนั้นมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ดำมืดหนาแน่นกว้างใหญ่ไพศาลก็กวาดออกจากเบื้องบนกองทัพ ทำให้ทั้งผืนฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
ครืน!
ระลอกคลื่นรัศมีจั้นยี่ราวกับมหาสมุทร มิติเหมือนจะส่งเสียงแตกกระจายดังลั่น เนื่องจากไม่สามารถรับแรงกดดันได้ แม้แต่มู่เฉิน จินไถหลิวหลีและเซียวเทียนก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นรัศมีจั้นยี่อันไร้ขอบเขตนั้น
“ช่างเป็นรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงอะไรแบบนี้!” ผู้นำกองทัพอื่นๆ ร้องลั่นด้วยความประหลาดใจ ความหวาดกลัวแผ่ซ่านบนใบหน้า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ยากที่จะหนีไปได้หากตกเข้าไปในนั้น
จินไถหลิวหลีกำมือแน่น สายตาจับจ้องไปยังกองทัพเบื้องหน้า แม้แต่คนที่สงบเย็นอย่างนาง ตอนนี้ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“ฟิ้ว!”
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับภาพที่เห็น รัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ของกองทัพจตุเทวะก็เปลี่ยนแปลง แสงสีดำกระจายออกไปก่อร่างเป็นกำแพงแสงทรงสี่เหลี่ยมที่มีขนาดหลายหมื่นจั้ง
กำแพงแสงเหล่านั้นกั้นสี่ทิศทางของกองทัพ อัดแน่นไปด้วยลวดลายโบราณที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ขณะที่ปลดปล่อยลูกคลื่นลึกซึ้งและลึกลับออกมา
มู่เฉินที่มองภาพเหล่านี้ก็หดดวงตา เขาสามารถมองเห็นว่าเหมือนจะมีกองทัพในกำแพงแสงทั้งสี่ด้านเหล่านั้น แต่เพราะรัศมีจั้นยี่ที่แผ่กระจายทำให้ไม่สามารถคำนวณกำลังพลได้อย่างชัดเจน
นี่ต้องเป็นค่ายกลจตุเทวะแน้แท้ เพียงว่าค่ายกลศึกนี้ดูเหมือนจะยังไม่ได้เปิดใช้งานขณะนี้ ดังนั้นมู่เฉินจึงยังไม่สามารถระบุได้ว่าค่ายกลทรงพลังเพียงใด
“ทุกคนสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าก็คือค่ายกลจตุเทวะ ตราบใดที่พวกเราสามารถทำลายได้ ซากอารยธรรมความตายก็จะล่มสลาย กองทัพนักรบผีดิบจะได้รับการชำระ จากนั้นก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวของเรา” จินไถหลิวหลีกวาดตามองทุกคนพลางเผยรอยยิ้มบาง
“แม่นางจินไถ เจ้ามีความมั่นใจในการทำลายค่ายกลศึกนี้จริงหรือ?” ผู้นำคนหนึ่งอดถามไม่ได้ หลังจากได้เห็นพลังค่ายกลจตุเทวะ ในใจพวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ไม่งั้นเรายังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?” จินไถหลิวหลียิ้ม “ค่ายกลจตุเทวะไม่ธรรมดาก็จริง แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป นักรบเหล่านี้ตายไปแล้วและพลังก็ลดลงอย่างมาก ดังนั้นก็ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ”
“แน่นอนว่าถ้าต้องการทำลายมัน ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้บัญชาการมู่และแม่ทัพเซียวเทียน” จินไถหลิวหลีมองไปที่มู่เฉินและเซียวเทียน
“เฮ้ ข้าก็อยากเห็นว่าค่ายกลศึกจตุเทวะจะทรงพลังขนาดไหนเหมือนกัน!” เซียวเทียนหัวเราะเสียงเย็น
มู่เฉินมองจินไถหลิวหลีขณะที่สายตาวูบไหว “แล้วแม่นางจินไถคิดว่าตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร?”
จินไถหลิวหลีมองไปที่กองทัพอื่นๆ พูดว่า “ไม่ทราบว่าทุกคนได้เลือกสามแม่ทัพหรือยัง?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้คนอื่นก็พยักหน้า จากนั้นจอมยุทธ์สามคนก็เดินออกมา ทั้งสามคนมีสายตาที่แหลมคมนัก พวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพที่ทรงพลังที่สุดของแต่ละขั้วอำนาจ แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบได้กับอัจฉริยะอย่างพวกมู่เฉิน แต่ก็ไม่สามารถประเมินพวกเขาต่ำได้
“ค่ายกลจตุเทวะทิศที่สี่มอบให้พวกเจ้าทั้งสามคน”
จินไถหลิวหลีพยักหน้าให้ทั้งสามก่อนที่จะมองมู่เฉินและเซียวเทียน “ครั้งนี้พวกเจ้าต้องนำกองทัพเข้าไปคนเดียว ไม่ได้จำกัดในเรื่องจำนวนนักรบของกองทัพ เพราะค่ายกลศึกนี้จะตอบโต้ผู้ที่แข็งแกร่งด้วยความแข็งแกร่ง แต่ดีที่ปัจจุบันสิ่งนี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยใคร ดังนั้นจอมยุทธ์ที่มีคลื่นหลิงที่ทรงประสิทธิภาพเกินไปก็ไม่สามารถเข้าไปพร้อมกองทัพได้ ไม่งั้นจะทำให้รูปแบบค่ายกลมีพลังยิ่งขึ้น”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนจะมองจิ่วโยวและพรรคพวก ตามคำพูดของจินไถหลิวหลีจอมยุทธ์อย่างจิ่วโยวและผู้บัญชาการที่มีคลื่นหลิงทรงพลังไม่สามารถเข้าร่วมศึกนี้ได้
เหล่าผู้บัญชาการมองหน้ากันพลางไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนผงกหัวมองไปที่มู่เฉิน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าผู้บัญชาการมู่ต้องการ ก็เอากองทัพเราไปใช้ได้เลย เพียงแต่ว่าระวังให้มาก”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับประสานมือเป็นเชิงขอบคุณ
“ทุกคนยังมีปัญหาอื่นอีกหรือเปล่า?” จินไถหลิวหลีหัวเราะเบา ๆ
ทุกคนส่ายหัว
“งั้นก็เตรียมตัวให้พร้อมที่จะเคลื่อนพลเถอะ หวังว่าเราจะสามารถทำลายค่ายกลศึกนี้ได้” จินไถหลิวหลียิ้มบางขณะที่พูดต่อ “ในเมื่อกองกำลังพันธมิตรเริ่มต้นจากหมู่ตึกเทวะ ดังนั้นพวกข้าก็จะนำบุกเข้าไปในค่ายกลเอง”
เมื่อจบคำพูด นางก็หันไปรอบๆ กำลังจะนำกองทัพหมู่ตึกเทวะเข้าสู่ค่ายกลศึก
“ช้าก่อน!”
ทว่าขณะที่จินไถหลิวหลีกำลังจะขยับ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทุกคนอึ้งไปแล้วพากันมองไปยังต้นเสียง ก็เห็นเซียวเทียนมองจินไถหลิวหลีด้วยสีหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
จินไถหลิวหลีมุ่นคิ้วมองเซียวเทียนพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเบาบางว่า “เจ้าหมายความว่าไง?”
“แม่นางจินไถบอกข้อมูลตั้งมากมาย ถ้ายังให้เจ้าเป็นคนแรกที่เข้าไปก็ใจร้ายไปหน่อย ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าควรให้ข้าไปก่อนดีกว่า” เซียวเทียนฉีกยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มู่เฉินก็แววตาวูบไหวเล็กน้อย ท่าทางเซียวเทียนจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับจินไถหลิวหลีเหมือนกัน
ใบหน้าของจินไถหลิวหลีมืดครึ้มลง
“แม่นางจินไถไม่เต็มใจรึ? หรือจะมีเหตุผลเบื้องหลังอะไรที่เราไม่รู้?” เซียวเทียนหัวเราะ
ทุกคนก็จ้องมองจินไถหลิวหลีด้วยความสงสัยในสายตา เพราะครั้งนี้จินไถหลิวหลีเป็นผู้นำคนแรกเสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าจินไถหลิวหลีได้บอกข้อมูลทั้งหมดให้พวกเขาหรือยัง
ภายใต้สายตาของทุกคน จินไถหลิวหลีก็เม้มริมฝีปากสีแดงชาดพลางยิ้มเบาๆ
“ในเมื่อแม่ทัพเซียวเทียนกล้าหาญขนาดนี้ งั้นให้เจ้าเป็นคนนำแล้วกัน”
บทที่ 875 ห้ากองทัพ
“ในเมื่อแม่ทัพเซียวเทียนกล้าหาญขนาดนี้ งั้นให้เจ้าเป็นคนนำแล้วกัน”
จินไถหลิวหลีพูดเสียงเบา แม้ว่าท่าทางของนางจะสงบ แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาในน้ำเสียง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นข้าขอทดสอบความน่าเกรงขามของค่ายกลจตุเทวะให้ทุกคนเอง”
เซียวเทียนไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงเย็นชาของจินไถหลิวหลี เขาแสยะยิ้ม จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากับหลิ่วเหยียนแล้วโบกมือส่งสัญญาณ
ตู้ม!
จังหวะที่มือของเซียวเทียนกดลง รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากก็กวาดออกมาจากด้านหลังกองทัพพันธมิตรขนาดใหญ่ ทุกคนมองเห็นกองทัพใหญ่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า นี่คือหน่วยรบสุดนภาที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเซียวเทียน
กำลังพลมีประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคน ในแง่ของจำนวนกระทั่งหน่วยรบแยกคีรีทางฝั่งมู่เฉินที่มีจำนวนสูงสุดในการรวมตัวครั้งนี้ก็ไม่อาจเทียบได้
ทว่าขณะที่ทุกคนคิดว่าเซียวเทียนจะนำทัพเข้าไปในค่ายกลศึก เขากลับยิ้มบางพลางกวาดสายตาเย็นชาไปให้มู่เฉิน ก่อนที่จะสะบัดมืออีกครั้งหนึ่ง
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังระเบิดออกอีกระลอกและเมื่อทุกคนมองไปยังทิศทางของรัศมีจั้นยี่ พวกเขาก็ต้องตะลึงไปเมื่อเห็นนักรบเรือนหมื่นเผยตัวออกมาที่ข้างๆ หน่วยรบสุดนภา
พวกเขาคือหน่วยรบของตำหนักสุดนภาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเซียวเทียน แต่มองจากสถานการณ์ปัจจุบัน เซียวเทียนตั้งใจจะนำหน่วยรบทั้งสองเข้าสู่ค่ายกลจตุเทวะ
การกระทำนี้ทำเอาผู้คนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนที่เสียงกระซิบกระซาบจะกระจายออกไปอย่างหยุดไม่ได้
“เซียวเทียนควบคุมทั้งสองกองทัพในเวลาเดียวได้ด้วยรึ?!”
“นี่น่าจะเป็นไม้เด็ดของเขา ถ้าเขาใช้พลังนี้สู้กับมู่เฉินก่อนหน้า ข้าว่ามู่เฉินก็คงไม่ได้เปรียบอะไรหรอก!”
“เซียวเทียนน่าสะพรึงอย่างแท้จริง”
“…”
เมื่อได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น สายตาของเซียวเทียนก็หยุดอยู่ที่มู่เฉิน ก่อนที่มุมปากจะตีเป็นเส้นโค้งที่น่าขนลุก การรวมพลังนี้เก็บไว้เพื่อเป็นไม้เด็ดของเขา ถ้าไม่ใช่ความจริงที่เขาต้องจ่ายบางอย่างในการบัญชาการกองทัพนี้ เขาคงใช้ระหว่างการต่อสู้กับมู่เฉินก่อนหน้า จัดการอีกฝ่ายโดยไม่ปล่อยให้ได้สร้างภาพที่น่าประทับใจนั่น
มู่เฉินรับรู้ถึงสายตาที่น่ากลัวของเซียวเทียน แต่เขาไม่ใส่ใจ เพียงแค่มีริ้วแสงประหลาดวาบในดวงตาที่หลุบลง เห็นได้ชัดว่าไพ่ลับนี้ของเซียวเทียนเกินความคาดหมายของเขาไปเล็กน้อย
เขารู้สึกได้ว่าแม้หน่วยรบสำรองนี้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนหน่วยรบสุดนภา แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอแน่นอน นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญก็คือนักรบเหล่านี้มีความเข้ากันได้สูงกับเซียวเทียน
นั่นหมายความว่าเซียวเทียนและหน่วยรบนี้ผ่านการฝึกฝนด้วยกันมาเป็นเวลานาน
มู่เฉินถอนหายใจกับข้อเท็จจริงนี้ เนื่องจากเวลาของเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์น้อยเกินไป ดังนั้นการเตรียมการของเขาจึงด้อยกว่าเซียวเทียนที่เตรียมการมาอย่างยาวนานหลายปีในตำหนักสุดนภา
ทว่าถึงแม้มู่เฉินจะรู้สึกประหลาดใจกับกองทัพสำรองของเซียวเทียน แต่ก็เท่านั้น จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชาสองหมื่นคนนั้นน่าเกรงขามก็จริง แต่ข้อนี้อย่างเดียวไม่เพียงพอให้มู่เฉินยอมแพ้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความเฉียบคมชัดก็ฉายในดวงตาที่หลุบลงของมู่เฉิน
เซียวเทียนทะยานไปปรากฏตัวตรงหน้าหน่วยรบทั้งสอง เขามองไปที่ทุกคน ความรู้สึกกลัวและนับถือฉายในสายตาเหล่านั้น ทำให้รอยยิ้มของเขาเด่นชัดขึ้น จากนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาสะบัดมือตะโกนเสียงดังออกมา
“เคลื่อนทัพเข้าค่ายกลศึกพร้อมกับข้า!”
“รับทราบ!”
เหล่านักรบตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่าทำให้พื้นสั่นสะเทือน รัศมีจั้นยี่ทรงพลังกวาดออกมาราวกับพายุ
จินไถหลิวหลีมองไปที่กองทัพทรงพลังเบื้องหลังเซียวเทียน จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉิน “ผู้บัญชาการมู่ ถ้าเจ้าไม่ไว้ใจก็เคลื่อนพลไปก่อนข้าได้นะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ยิ้ม “ข้าเชื่อใจในตัวแม่นางจินไถ ดังนั้นนำไปได้เลย”
แม้ว่าเขาจะมีข้อสงสัยกับจินไถหลิวหลีอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเซียวเทียนแย่งนำไปแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากอีก
จินไถหลิวหลีมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งพลางเผยรอยยิ้มบางออกมาก่อนจะพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองเซียวเทียนและกองทัพขนาดใหญ่ ริมฝีปากของนางยกขึ้นเบาๆ ดูเหมือนจะเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย
ทว่าปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นเพียงชั่วสั้นๆ ก่อนที่นางจะเก็บรอยยิ้มนั้นไว้ คนอื่นไม่ทันได้สังเกตเห็น มีเพียงมู่เฉินที่มองนางอยู่ตลอดสังเกตเห็นภาพนี้ผ่านมุมตา ทำเอาหัวใจของเขาสั่นสะท้านรุนแรง
จินไถหลิวหลียกมือขึ้นโบกมือเบาๆ เสียงคมชัดดังก้องไปทั่วที่ราบ “กองทัพผลึกฟ้า ฟังคำสั่ง!”
“รับทราบ!”
เสียงร้องราวฟ้าคำรามดังขึ้นฉับพลัน ทำให้หัวใจของผู้คนสั่นไหว ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น มองเห็นกลุ่มเมฆที่ดูสะดุดตาทะยานออกมาจากทัพพันธมิตร แล้วลอยอยู่เหนือท้องฟ้า
นี่ไม่ใช่ก้อนเมฆจริงๆ แต่เป็นนักรบที่ทรงพลังสวมชุดเกราะผลึกแก้วใสที่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากอัญมณีสังเคราะห์ คลื่นผันผวนแปลกประหลาดกระจายออกมา
“หน่วยรบนี้…”
เมื่อกองทัพนี้เผยออกมา แม้แต่มู่เฉินม่านตายังต้องหดเกร็ง เพราะเขาตระหนักได้ว่าจำนวนนักรบมีถึงสามหมื่นคนเห็นจะได้!
นอกจากนี้พวกเขาเป็นกองทัพเดียวกัน เนื่องจากคลื่นพลังที่กระเพื่อมไหวออกมาเหมือนกัน
“จินไถหลิวหลีซ่อนซะมิดเลยจริงๆ” หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนหน้าตอนที่กองทัพพันธมิตรยาตราเข้ามา เขาได้ตรวจสอบกองทัพหมู่ตึกเทวะ แต่ก็ไม่ได้พบกองทัพผลึกฟ้าในนั้น เห็นชัดว่าจินไถหลิวหลีซ่อนพวกเขาไว้ในกองทัพอื่นๆ ของหมู่ตึกเทวะ
กำลังพลสามหมื่นคนนี้ ระงับความยิ่งใหญ่ของเซียวเทียนในทันที
ใบหน้าของเซียวเทียนไม่น่าดูเมื่อเห็นฉากนี้ ผ่านไปสักพักถึงได้หัวเราะเบาๆ “กำลังพลสามหมื่นคน แม่นางจินไถต้องระวังไม่ฝืนตัวเองนะ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนรัศมีจั้นยี่ทำลายตัวเองเข้า”
การควบคุมรัศมีจั้นยี่ไม่ใช่เรื่องง่าย รัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่บรรจุด้วยคลื่นหลิงและกระแสจิตมุ่งมั่นของนักรบนับไม่ถ้วน ซึ่งต้องการกระแสจิตอันทรงพลังจากผู้นำเพื่อควบคุม ถ้ากระแสจิตไม่แข็งแกร่งพอ พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการตอบโต้อย่างรุนแรงโดยรัศมีจั้นยี่ กระแทกใส่ตนเองจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหน่วยรบแยกคีรีทรงพลังถึงได้มีแม่ทัพหลายคน นั่นเป็นเพราะไม่มีแม่ทัพคนใดที่กล้าพอที่จะควบคุมกองทัพทั้งหมด
“แม่ทัพเซียวเทียนไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก” จินไถหลิวหลีตอบอย่างเฉยเมย ก่อนจะมองไปที่มู่เฉิน “ผู้บัญชาการมู่ ค่ายกลจตุเทวะไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะแรงเกินไปสำหรับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ของเจ้านะ”
จินไถหลิวหลีไม่ได้พูดเยาะเย้ย แต่พูดความจริง นั่นเป็นเพราะหน่วยรบวิหคโลกันตร์มีนักรบห้าพันคนเท่านั้น ไม่ต้องเปรียบเทียบกับกองทัพผลึกฟ้าของจินไถหลิวหลี แม้กระทั่งหน่วยรบสุดนภาของเซียวเทียนก็ใหญ่กว่าถึงสามเท่า เห็นได้ชัดว่านักรบวิหคโลกันตร์ของมู่เฉินไม่ใช่นักรบที่ทรงพลังจนสามารถปะทะกับศัตรูได้แบบหนึ่งต่อร้อยหรือต่อพัน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะมีความสามารถมากเพียงใด เขาก็ไม่สามารถพุ่งเข้าโรมรันค่ายกลจตุเทวะโดยอาศัยเพียงหน่วยรบวิหคโลกันตร์เท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็มอบรอยยิ้มอบอุ่นให้จินไถหลิวหลี ก่อนที่หันไปหาเหล่าผู้บัญชาการ
“หากผู้บัญชาการมู่ต้องการก็นำทัพพวกเราได้เลย ตราบใดที่เจ้าควบคุมได้” เมื่อเห็นมู่เฉินจ้องมองมา เหล่าผู้บัญชาการก็พูดอย่างไม่ลังเล
“ขอบคุณผู้บัญชาการทุกคน”
มู่เฉินประสานมือขอบคุณจากใจ ก่อนที่จะหยุดครู่หนึ่งจากนั้นก็เผยรอยยิ้มน่าตรึงใจบนใบหน้าหล่อเหลา “งั้นข้าขอยืมหน่วยรบทั้งสี่นะ”
“สี่? สี่หน่วยรบเลยรึ?!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหล่าผู้บัญชาการแข็งทื่อ แม้แต่ผู้นำกลุ่มอื่นๆ ก็เบิกตามองไปที่มู่เฉินราวกับเห็นผี
ไม่เพียงแต่พวกเขา แม้แต่จิ่วโยวก็มองมู่เฉินด้วยความตะลึงใจ นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะยืมสี่หน่วยรบในเวลาเดียว เมื่อรวมหน่วยรบวิหคโลกันตร์เข้าไปด้วย เท่ากับมู่เฉินจะบัญชาห้าหน่วยรบเลยเรอะ?!
มิหนำซ้ำนักรบทั้งห้าหน่วยรบก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อรวมเข้าด้วยทั้งหมดจำนวนก็เกินกว่าสามหมื่นคน! มันจะง่ายในการควบคุมได้ยังไง?!
ใบหน้าของจินไถหลิวหลีก็ฉายความตกตะลึงไปวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติในเวลาสั้นๆ นางจ้องมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ไอ้บ้าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
เซียวเทียนตะเบ็งเสียงเย็น ในมุมมองของเขามู่เฉินตั้งใจทำเพื่อไม่ให้เสียหน้า ดังนั้นจึงฝืนตนไปขอยืมกำลังพลจากพรรคพวกมาแก้เก้อ
หากมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างการควบคุม ก็คงไม่ต้องปะทะกับค่ายกลศึกแล้ว มู่เฉินจะถูกทำลายจนเป็น(พวกสติไม่เต็มโดยรัศมีจั้นยี่ที่รุนแรงเอง
“ผู้บัญชาการมู่…”
เหล่าผู้บัญชาการก็ฟื้นจากอาการตกใจ มองมู่เฉินด้วยสายตาตกตะลึง แต่เมื่อเห็นสีหน้าสงบเยือกเย็นของมู่เฉิน พวกเขารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น
แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ทำได้เพียงกัดฟันพูดว่า “ในเมื่อเจ้ามั่นใจ ก็ขอฝากนักรบให้เจ้าดูแล!”
ในเวลานี้พวกเขาได้แต่เลือกที่จะเชื่อว่ามู่เฉินมีความสามารถในการบัญชารัศมีจั้นยี่ทั้งห้าที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มู่เฉินไม่สนใจสายตาที่ราวกับมองเขาเป็นคนบ้า เขาประสานมือคารวะเหล่าผู้บัญชาการอย่างเคร่งขรึมพลางเอ่ยเสียงจริงจัง “ขอบคุณ”
เขาไม่ได้พูดมากความ มองไปที่กองทัพแล้วโบกมือเบาๆ
ตู้ม!
หน่วยรบทั้งห้าที่แตกต่างทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กระบวนทัพยิ่งใหญ่แข็งแกร่งกว่าหน่วยรบสุดนภาและกองทัพนันภากาศเสียอีก
เพราะนี่คือห้าหน่วยรบเลยทีเดียว!
มู่เฉินเคลื่อนมาปรากฏตัวต่อหน้ากองทัพใหญ่ เขาไม่ได้สนใจสายตาตกตะลึงหลากหลาย มองไปที่เซียวเทียนก่อนจะแสดงสัญญาณมือแล้วยิ้มบาง
“แม่ทัพเซียวเทียน เชิญ!”
บทที่ 876 เซียวเทียนที่ตกลงไปในกับดัก
ลึกลงไปในที่ราบมืดมิด
กองทัพขนาดใหญ่หลากหลายยืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตหลั่งไหลออกมาไม่สิ้นสุด ทำให้มิติบิดเบี้ยวไม่รู้จบ
นี่คือกองทัพที่นำโดย จินไถหลิวหลี มู่เฉินและเซียวเทียน
หลังจากที่ทั้งสามเรียกกองทัพของตนออกมา แม่ทัพอีกสามก็นำกองทัพใต้บัญชาการที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ทำให้รัศมีจั้นยี่แผ่กระจายไปทั่วแผ่นดินในเวลานี้
เซียวเทียนยืนอยู่หน้าหน่วยรบสุดนภาก้มมองทุกคนก่อนที่จะกวาดสายตาเย็นชาใส่มู่เฉิน ยิ่งเมื่อเขาเห็นหน่วยรบทั้งห้าที่เบื้องหลังมู่เฉินแล้ว ริมฝีปากปากก็กระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่อาจควบคุมได้
ในมุมมองของเขา การกระทำของมู่เฉินโง่เง่าที่สุด คงเพราะอีกฝ่ายรู้ว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่อ่อนแอไม่สามารถปะทะกับค่ายกลศึกได้ เขาจึงดึงหน่วยรบอื่นๆ มาเพื่อเติมเต็มข้อบกพร่อง
“ข้าหวังว่าแกจะไม่ลากเราลงเหว ถ้าแกล้มเหลวอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะต้องแบกรับราคาทั้งหมดที่พวกเราจ่ายตลอดทางมาที่นี่” เซียวเทียนเค้นเสียงใส่ไปทางมู่เฉิน
คำพูดของเซียวเทียนแฝงความคิดน่ากลัวเบื้องหลัง ถ้าพวกเขาล้มเหลวในการปะทะกับค่ายกลศึกไม่ว่ากรณีใด เขาก็จะโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดของมู่เฉินแล้วดึงกองทัพอื่นเข้าร่วมผสมโรงด้วย
ทว่ามู่เฉินเพียงกวาดสายตามองอย่างเฉยเมยตอกกลับว่า “เอาคำพูดนี้ให้แกไว้ด้วย แม่ทัพเซียวเทียนระวังยกก้อนหินทับขาตัวเองซะล่ะ”
“ทั้งสองอย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย ประสานแรงเพื่อจัดการกับค่ายกลศึกนี้ก่อนเถอะ” จินไถหลิวหลีหยุดการท้าทายกันของชายหนุ่มทั้งสอง ก่อนที่จะปลายตามองเซียวเทียน
“หน่วยรบสุดนภา เคลื่อนพล!”
เซียวเทียนมองไปที่มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็ไม่พูดอะไร เพียงพ่นเสียงเย็นชา โบกมือทะยานออกไปพร้อมกับกองกำลังขนาดใหญ่ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด กวาดตัวเข้าไปในค่ายกลจตุเทวะที่ล้อมรอบด้วยแสงมืดมิด
“ไป!”
เมื่อเห็นว่าเซียวเทียนเคลื่อนไปทางที่ราบห่างไกล จินไถหลิวหลีก็เปล่งเสียงเบาทะยานออกไปพร้อมกับรถเข็น กองทัพผลึกฟ้าพร่างพราวก็ราวกับกลายเป็นมหาสมุทรผลึกอัญมณีติดตามไป
“ข้าไปล่ะ” มู่เฉินมองไปที่พรรคพวกพลางพูดอย่างเคร่งขรึม
“ระวังตัวด้วย”
จิ่วโยวชะงักคำพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟัน “หากเจ้าไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ ให้ถือความปลอดภัยของตัวเองเป็นที่ตั้ง เรายอมถอยซากอารยธรรมความตายก็ได้”
เห็นได้ชัดว่าจิ่วโยวรับรู้ว่าค่ายกลจตุเทวะน่ากลัวเพียงใด นอกจากนี้นางยังกังวลมากว่ามู่เฉินจะสามารถบัญชารัศมีจั้นยี่หน่วยรบทั้งห้าได้จริงหรือไม่ ถ้ามู่เฉินฝืนตัวเองอาจต้องจ่ายราคามหาศาลกันเลยทีเดียว
เมื่อรับรู้ถึงความกังวลในน้ำเสียงของจิ่วโยว มู่เฉินก็ยิ้มพยักหน้าให้ เขาไม่ได้พูดปลอบใจอะไร เนื่องจากเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานง่ายที่จะทะลวงค่ายกลศึกนี้ไปได้
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
มู่เฉินตอบเสียงเบา จากนั้นก็ไม่ลังเลและทะยานออกไป ข้างหลังกองกำลังขนาดมหึมาก็พุ่งตามไปอย่างรวดเร็ว เสียงลมฉีกอากาศดังขึ้นบนขอบฟ้า
ที่ด้านหลังสุด จอมยุทธ์ทั้งสามจากกองทัพพันธมิตรก็ติดตามไปด้วย ทว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาอ่อนด้อยกว่าสามคนที่นำหน้าอยู่หลายส่วน
ภายใต้การจ้องมองของสายตานับไม่ถ้วน กองกำลังขนาดใหญ่ก็ปรากฏที่เบื้องหน้าค่ายกลจตุเทวะ เซียวเทียนมองแสงสีดำที่พรั่งพรูออกมาก็เกิดความลังเลวูบหนึ่งในเวลาสั้นๆ แต่สุดท้ายก็กัดฟันแน่นพุ่งเข้าไป
เมื่อเซียวเทียนและหน่วยรบสุดนภาพุ่งเข้าหาแสงสีดำ ร่างก็อันตรธานหายไป ราวกับว่าถูกกลืนกิน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หลังจากเซียวเทียนเข้าไปแล้ว ก็เป็นตาจินไถหลิวหลีและกองทัพที่เข้าไปโดยไม่มีลังเล โดยมีมู่เฉินและหน่วยรบทั้งห้าทะยานเข้าไปเป็นลำดับสาม
ม่านแสงสีดำราวกับหลุมดำไร้ก้นที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งที่พุ่งเข้าใส่โดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ทำให้หัวใจของคนมองเย็นสะท้านจับจิต
“พวกเขาเข้าสู่ค่ายกลจตุเทวะแล้ว!”
แต่ความมืดที่ทำให้หัวใจสั่นไหวก็คงอยู่ไม่นาน มีเสียงร้องเตือนขึ้นกะทันหัน ทุกคนมองเห็นแสงวูบวาบระเบิดออกจากพื้นที่ขนาดใหญ่ทั้งสี่ เมื่อแสงลดระดับลง ทั้งสี่กองกำลังก็ปรากฏตัวขึ้นในสี่ทิศ
โฮก!
เมื่อสี่กองกำลังเผยตัวขึ้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงนักรบจตุเทวะที่ยืนเป็นรูปปั้นบนพื้นดินแผดเสียงคำรามลึก ทำให้เกิดการกระเพื่อมไหวบนมิติเลยทีเดียว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
รัศมีจั้นยี่สีดำพัดออกเหมือนกับพายุเฮอริเคนสีดำ รัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่านทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ภายใต้คลื่นหมุนวนจำนวนมหาศาล
ทุกคนถึงกับตกตะลึงไปเมื่อเห็นกองทัพจตุเทวะ ก่อนที่จะหายใจเข้าลึกสุดปอด ใบหน้าแต่ละคนเคร่งขรึมลงหลายส่วน นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าค่ายกลจตุเทวะเปิดใช้งานแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ทั้งสามจะสามารถทำลายค่ายกลศึกนี้ได้จริงไหม
ขณะที่กองทัพอื่นด้านนอกจับจ้องมาด้วยสายตากังวลใจ
มู่เฉินก็กวาดมองสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ยามนี้ดูเหมือนพวกเขาเข้าสู่มิติมืดมิด ชั้นความมืดที่ทำเอาหายใจไม่ออกห่อหุ้มพวกเขาไว้โดยรอบ
แม้ว่าผู้คนด้านนอกจะสามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน ทว่ากองทัพที่เข้ามาไม่สามารถมองออกไปได้
แต่ถึงแม้วิสัยทัศน์การมองจะถูกขัดขวาง มู่เฉินก็สามารถคาดเดาเหตุผลได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ตื่นตระหนก เขาหันกลับไปมองนักรบในหน่วยรบทั้งห้า ก็ไม่ได้อาการตื่นตระหนกเช่นกัน เพราะความสนใจทั้งหมดมุ่งมาที่มู่เฉินเท่านั้น สำหรับกองทัพผู้บัญชาการคือหัวใจ ตราบใดที่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับมู่เฉิน กองกำลังจะสามารถรักษาระดับขวัญกำลังใจและอำนาจการต่อสู้ไว้ได้
การมีหน่วยรบทั้งห้ายืนอยู่เบื้องหลัง ทำให้มู่เฉินมั่นใจมาก เมื่อมีหน่วยรบเหล่านี้อยู่ใต้บังคับบัญชา เขาก็ไม่ต้องเกรงกลัวกระทั่งจอมยุทธ์อย่างเลี่ยซัน
“ให้ข้าดูหน่อยสิว่าค่ายกลจตุเทวะยอดเยี่ยมแค่ไหน!” มู่เฉินกวาดมองความมืดรอบข้างขณะที่พึมพำ
ครืน!
ทันใดนั้นมิติก็สั่นสะเทือนในความมืด มู่เฉินหดตาลง นั่นเป็นเพราะเขาเห็นรัศมีจั้นยี่สีดำแผ่ซ่านออกมาจากความมืดอย่างรวดเร็ว
รัศมีนี้ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ก่อร่างเป็นมหาสมุทรสีดำในความมืดมิดพร้อมกับรัศมีจั้นยี่รุนแรงไม่รู้จบ
มู่เฉินร่างขมวดเกร็ง เตรียมตั้งรับเต็มที่
ขณะที่มู่เฉินตื่นระวัง ก็ราวกับมีเสียงโบราณแหบพร่าดังกึกก้องออกมาจากความมืด
“ค่ายกลจตุเทวะสร้างวิญญาณสงครามทั้งสี่จากรัศมีจั้นยี่ โดยแบ่งสี่ค่ายกล ได้แก่ มังกรคราม เสือขาว เต่าดำ และวิหคเพลิง ค่ายกลศึกมังกรครามเป็นหลัก ดังนั้นจึงแข็งแกร่งที่สุด คนที่บุกเข้ามาเป็นคนแรกจะเข้าสู่ค่ายกลมังกรคราม สองค่ายกลเสือขาว ตามลำดับ”
“วิญญาณสงครามทั้งสี่จะเปิดใช้งานในเวลาเดียวกัน คนแรกที่สามารถทำลายค่ายกลได้จะผ่านการทดสอบค่ายกลศึกและเข้าพบกับจักพรรดิของเรา”
เสียงโบราณดังก้องในความมืดทำให้มู่เฉินตะลึงไป ก่อนที่สายตาของเขาจะเปลี่ยนเป็นประหลาด เขาไม่คิดว่าค่ายกลศึกจะแบ่งลำดับการเข้าด้วย เนื่องจากเขาเป็นลำดับสามที่เข้ามา ดังนั้นก็น่าจะอยู่ในค่ายกลเต่าดำ…
ส่วนจินไถหลิวหลีอยู่ในค่ายกลเสือขาว ดังนั้นเซียวเทียนน่าจะอยู่ในค่ายกลมังกรครามที่แข็งแกร่งที่สุด… พอคิดถึงจุดนี้มุมปากของมู่เฉินก็กระตุกยิบๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมจินไถหลิวหลีถึงมีสีหน้าแบบนั้น ทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของนางจริงๆ
นางไม่คิดจะเข้าสู่ค่ายกลศึกเป็นคนแรกอยู่แล้ว เพราะไม่งั้นนางก็จะต้องเผชิญกับค่ายกลมังกรครามที่แข็งแกร่งที่สุด แต่นางก็ไม่สามารถบอกรายละเอียดข้อมูลพวกนี้ เพราะจะทำให้ไม่มีใครยอมเข้ามาเป็นคนแรก ดังนั้นนางจึงเผยความผิดพลาดโดยเจตนา ทำให้เขาและเซียวเทียนเกิดความสงสัย ด้วยวิธีนี้คนที่ขี้สงสัยจะไม่ยอมให้ทุกอย่างตกอยู่ในมือของนาง ดังนั้นก็จะปฏิเสธในการให้นางไปก่อน
เหมือนกับว่านางทำตัวว่าต้องการที่จะเข้าไปเป็นคนแรก แต่เซียวเทียนที่คิดสงสัยหลายอย่างก็หยุดนางและแย่งตำแหน่งนี้ของนางไป…
ดังนั้นเขาจึงถูกส่งไปยังค่ายกลมังกรครามที่แข็งแกร่งที่สุด
“ผู้หญิงคนนี้น่าครั่นคร้ามซะจริง… ค่ายกลจตุเทวะไม่เหมือนที่นางพูดในจุดที่ทิศทั้งสี่จำเป็นจะต้องถูกทำลายในเวลาเดียวกัน สิ่งเดียวต้องทำคือทำลายค่ายกลทิศทางของตนเองให้เร็วที่เร็วที่สุด เพื่อจะผ่านบททดสอบและได้รับมรดกของจักรพรรดิเจิ้นเทียน!”
มู่เฉินแอบดาะลิ้น กลายเป็นว่าพวกเขาหลงกลจินไถหลิวหลีตั้งแต่ต้น นางซ่อนข้อมูลบางส่วนไว้อย่างชัดเจนและใช้ประโยชน์จากทุกคน
เมื่อคิดว่าจินไถหลิวหลีที่อ่อนแอแสร้งทำอย่างไร มู่เฉินก็อดส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนคนเราไม่สามารถตัดสินหนังสือจากปก แม้ว่าเขาจะมีข้อสงสัย แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะโดนตลบหลังกันถ้วนทั่วแบบนี้
แต่มู่เฉินไม่ได้โกรธ เพราะคนที่ควรโกรธไม่ใช่เขา แต่เป็นเซียวเทียนที่ถูกส่งไปยังค่ายกลมังกรคราม… ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการจัดการแน่นอน แค่เซียวเทียนสามารถปกป้องตนเองในนั้นได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำลายค่ายกลศึกก่อนพวกเขาแน่
ดังนั้นเมื่อมองจากมุมหนึ่ง เซียวเทียนสูญเสียสิทธิ์การสืบทอดมรดกจักรพรรดิเจิ้นเทียนแล้ว
มู่เฉิ่นเต็มใจที่จะเห็นภาพนี้ ในเมื่อเขาไม่ได้ชมชอบอะไรกับเซียวเทียน ดังนั้นเมื่อรู้ว่าจินไถหลิวหลีหลอกเซียวเทียนสำเร็จ เขาก็หัวเราะอย่างสะใจในความโชคร้ายของเซียวเทียน
“ไอ้คนโชคร้าย…”
ขณะที่มู่เฉินหัวเราะร่วน ในค่ายกลมืดมิดอีกฝั่ง เมื่อเสียงโบราณหายไปในความมืด ใบหน้าของเซียวเทียนก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ สุดท้ายก็อดแผดเสียงคำรามออกมาไม่ได้
“จินไถหลิวหลี เจ้าจำไว้เลย!”
ครืน!
ท่ามกลางเสียงคำรามคั่งแค้นของเซียวเทียน ค่ายกลจตุเทวะก็เริ่มสั่นคลอนและเปิดใช้งาน คลื่นอันตรายที่น่ากลัวระเบิดขึ้นภายในค่ายกล
ค่ายกลจตุเทวะเปิดใช้งานเต็มอัตราศึกแล้ว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น