หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 869-870
บทที่ 869 ห้าผู้บัญชาการออกโรง
กองทัพสีดำแผ่ออกไปราวกับคลื่นยักษ์ที่เบื้องหน้า
ขณะที่รัศมีจั้นยี่สีดำน้ำหมึกพลุ่งพล่านที่เบื้องบน ปีศาจหมาป่าส่งเสียงหอนทั่วชั้นฟ้ารัศมีจั้นยี่ก็ม้วนตัว ทำให้ผู้คนที่เฝ้ามองรู้สึกถึงแรงกดดันอันอัศจรรย์ที่พัดเข้ามา
สีหน้าของเหล่าผู้บัญชาการเปลี่ยนไปรุนแรงในยามนี้
แรงกดดันของรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามต่อชีวิต ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกของสำนักหลักสงครามจึงถูกสังหาร
มู่เฉินมองกองทัพตรงหน้าด้วยสายตาเคร่งขรึม จากนั้นสายตาก็จดจ่อไปที่ภาพเงาดำในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พลางพูดว่า “กองทัพนี้มีแม่ทัพที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้…”
สีหน้าของจิ่วโยวและคนอื่นกระตุกรุนแรง ซากอารยธรรมความตายนี้เต็มไปด้วยอันตรายแท้จริง แม้แต่ในกองทัพนักรบผีดิบที่สูญเสียสติปัญญายังมีคนที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้
ภายใต้สายตาตื่นระวังของพวกเขา ร่างเงาดำที่อยู่ในกองทัพห่างไกลก็เงยหน้าขึ้นมองมายังพวกมู่เฉินด้วยดวงตาที่ไม่มีริ้วความมีชีวิตชีวา เสียงแหบห้าวสะท้อนไปทั่ว
“ข้าคือ… ผู้ใต้บังคับบัญชาแห่งจักรพรรดิเทียนเจิ้น… แม่ทัพห้า… ทุกคนที่บุกรุกเข้ามาในสมรภูมิของจักรพรรดิข้าจะต้องตาย!”
เสียงพร่าและโบราณดังสะท้อนโดยไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพคนนี้ก็ถูกรุกรานโดยรัศมีปีศาจ ทำให้ร่างของเขาไม่สมบูรณ์จนราวกับผีดิบที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ
“จักรพรรดิเทียนเจิ้น? แม่ทัพห้า…”
แต่เมื่อพวกมู่เฉินได้ยินเสียงที่พร่าเลือน ก็รู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ หรือว่าซากอารยธรรมความตายนี้จะถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิเทียนเจิ้น? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าจักรพรรดิเทียนเจิ้นน่าจะเป็นจั้นเจิ้นซือที่พวกเขากำลังตามหาอยู่
“สมกับการเป็นจั้นเจิ้นซือ แม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชายังสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ และบัญชากองทัพทรงพลังเช่นนี้” จิ่วโยวอุทานชื่นชม หากแม่ทัพเงาดำคนนี้ถูกวางในกองทัพชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือ เขาจะต้องมีตำแหน่งสูงแน่นอน ทว่าภายใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเทียนเจิ้น เขาเป็นได้แค่แม่ทัพห้าเท่านั้น
จั้นเจิ้นซือทรงพลังอย่างแท้จริง
“กองทัพนี้แข็งแกร่งกว่าทุกหน่วยรบของพวกเรา” มู่เฉินจ้องมองไปที่วิญญาณสงครามหมาป่าปีศาจเบื้องบนก็พูดอย่างช้าๆ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่กำจายออกมาเป็นสิ่งที่แม้แต่หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็ไม่อาจต่อกรได้ นั่นเพราะขนาดกองทัพของสองฝ่ายต่างกันมากไป กองทัพนักรบผีดิบเบื้องหน้าคงมีกำลังพลเกินสองหมื่น กระทั่งเซียวเทียนก็ยังเทียบไม่ได้
“ทุกคน เตรียมโจมตีพร้อมกัน” มู่เฉินมองไปที่เหล่าผู้บัญชาการพร้อมกับพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม
แม้ว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพเบื้องหน้าพวกเขาจะกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกคนเดียวก็ต้องถูกสังหาร แต่น่าเสียดายที่พวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกถึงห้าคน!
ยิ่งถ้ามู่เฉินยืมพลังจากหน่วยรบวิหคโลกันตร์และเหยี่ยวโลหิตด้วย เขาก็จะสามารถเทียบเคียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก ดังนั้นถ้ามองมุมนี้พวกเขานับว่ามีจอมยุทธ์ระดับนี้ถึงหกคนเลยทีเดียว
กระบวนทัพนี้เป็นแหล่งที่มาของความมั่นใจที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน ซึ่งนี่ก็ทำให้เข้ารู้สึกโชคดีมาก ถ้าเวลานั้นมีเพียงเขาและจิ่วโยวที่มาตามลำพัง พวกเขาคงยากที่จะเดินหน้าต่อไป สมรภูมิหยุ่นลั้วเต็มไปด้วยอันตรายนานัปการ ด้วยพลังของหน่วยรบวิหคโลกันตร์อย่างเดียวยากที่จะผ่านไปได้
“ฮ่าๆ ศึกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกข้าห้าคนก็พอ ผู้บัญชาการมู่ช่วยเฝ้าระวังเถอะ นี่เป็นปลาใหญ่ในอวน จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด” เลี่ยซันหัวเราะขณะที่กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ที่เบื้องหลังเหล่าผู้บัญชาการอีกสี่คนก็ทะยานตามไป ทั้งห้าเร้าคลื่นหลิงทุกอณุในร่างออกมา ทำเอาระลอกคลื่นหลิงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สร้างพายุพลังงานรุนแรงกวาดออกไปทั่วบริเวณ
“ตู้ม!”
กองทัพนักรบผีดิบก็ระเบิดรัศมีจั้นยี่ดุเดือดตอบสนองเต็มที่ ทว่ารัศมีเสื่อมทรามเน่าเหม็นทำให้ผู้คนถึงกับรู้สึกสะอิดสะเอียน ส่วนวิญญาณสงครามหมาป่าปีศาจก็อ้าปากกว้าง ทันใดนั้นลำแสงสีดำพันจั้งก็ยิงใส่เลี่ยซันที่อยู่หน้าสุด
“มาเลย!”
เมื่อเลี่ยซันเห็นการโจมตีนี้ นอกจากจะไม่กลัวยังหัวเราะใส่ เขากำมือแน่นแล้วเหวี่ยงกำปั้นไปข้างหน้า คลื่นหลิงมหาศาลกวาดออกไปราวกับกระแสน้ำ ก่อเป็นเงาภูเขาขนาดใหญ่ที่เบื้องหลัง ประหนึ่งกำปั้นนี้มีพลังเทียบกับขุนเขาเลยทีเดียว
“หมัดเทพห้าคีรี!”
มิติเบื้องหน้าเลี่ยซันแตกสลายภายใต้กำปั้นนี้ กำปั้นที่มีน้ำหนักพอกับภูเขาก็ปะทะเข้ากับลำแสงของศัตรูราวกับสายฟ้าฟาด
ปัง!
ลอนคลื่นพลังป่าเถื่อนกวาดออก ทำให้มิติถึงกับผันผวน ร่างของเลี่ยซันกระเด็นไปด้านหลังนับพันจั้น ก่อนที่จะกระทืบเท้าลงไปจนพื้นที่ใต้ฝ่าเท้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ถึงทรงตัวไว้ได้
ใบหน้าเขาเหมือนจะพลุ่งพล่านไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ขณะสายตาจ้องมองกองทัพเบื้องหน้าพลางฉีกยิ้ม “ช่างเป็นรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลัง สะใจจริงๆ แม้แต่ข้ายังไม่ได้เปรียบเลย!”
เมื่อจิ่วโยวและคนอื่นเห็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มถูกซัดไปด้านหลังด้วยรัศมีจั้นยี่ สายตาของพวกเขาก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ทั้งสี่แลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ออกกระบวนท่าโจมตีพร้อมกัน
“ขนนกเก้าโลกันตร์”
“เพลงกระบี่สวรรค์”
“ปีกเหยี่ยวโลหิตสังหาร”
“…”
ทั้งสี่ปลดปล่อยวิชาโจมตี การใส่เต็มกำลังของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกทำให้แม้แต่มิติยังเกิดรอยแตกยาว ขณะที่คลื่นหลิงกระเพื่อมไหว รัศมีสีดำที่อัดแน่นทั่วบริเวณก็ลดลงอย่างมีนัย
“โฮก!”
แม่ทัพห้าของกองทัพนักรบผีดิบก็แผดเสียงคำรามต่ำลึกออกมาจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่าน ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่มาจากการโจมตีสอดประสานของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสี่คน ทันใดนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่พวยพุ่ง วิญญาณสงครามหมาป่าปีศาจเปล่งเสียงหอนยาว ลวดลายสีดำกะพริบบนร่างไม่หยุด ก่อนที่จะรวมเป็นเสี้ยวจันทร์สีดำที่ใต้ปาก
มีลวดลายพล่านบนเสี้ยวจันทร์ด้วยเช่นกัน รัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ฟุ้งกระจายออกมา
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ สายตาก็หดเกร็งเล็กน้อย รัศมีจั้นยี่ที่บัญชาโดยแม่ทัพห้าดูเหมือนจะละเอียดอ่อนมากกว่า อย่างน้อยการโจมตีเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
หัวของหมาป่าปีศาจสะบัดรุนแรง เสี้ยวจันทร์สีดำก็พุ่งออกมา ความเร็วไม่อาจบรรยายเลยทีเดียว พริบตาก็ไปปรากฏเบื้องหน้ากระบวนท่าการโจมตีของผู้บัญชาการทั้งสี่ก่อนที่จะทะลุทะลวงผ่านไป
ปัง! ปัง!
คลื่นพลังโจมตีสองสายปะทะกัน เสี้ยวจันทร์สีดำสำแดงพลังในการทำลายล้างที่น่าอัศจรรย์ ในเส้นทางที่กวาดผ่านสามารถทำลายการโจมตีได้ถึงสามกระบวนท่า ก่อนที่จะอันตรธานหายไป
แต่ถึงกระนั้นพลังการโจมตี่นี่ก็ทำให้จิ่วโยวและคนอื่นตกใจมากแล้ว เนื่องจากการโจมตีกระบวนท่านี้ทำลายทักษะวิชาของพวกเขาได้ถึงสามคนเลยทีเดียว!
ตู้ม!
แต่เมื่อเสี้ยวจันทร์สีดำแตกเป็นเสี่ยง การโจมตีสายสุดท้ายก็พุ่งทะลุท้องฟ้าซัดลงบนกองทัพนักรบผีดิบ ทันใดนั้นคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็กวาดออก ขณะที่นักรบผีดิบนับพันกลายเป็นเถ้าถ่าน
โฮก!
แม่ทัพห้าปล่อยเสียงคำรามด้วยเกรี้ยวกราด ทำเอารัศมีจั้นยี่ถึงกับเดือดพล่านมากขึ้นไปอีกหลายส่วน ขณะที่เริ่มปล่อยการโจมตีบ้าคลั่งเข้าใส่พวกจิ่วโยว รัศมีจั้นยี่ส่งเสียงฮึมฮัมไปทั่วพื้นที่ ช่างเป็นฉากที่ตระการตานัก
อีกด้านหนึ่งมู่เฉินกำลังเฝ้าดูฉากการต่อสู้จากระยะไกล เขาสั่งการให้หน่วยรบทั้งสี่ปิดล้อมบริเวณนี้เอาไว้ แม้ว่ากองทัพนักรบผีดิบนี้จะยากในการจัดการ แต่ก็เป็นถ้วยข้าวที่ส่งกลิ่นเย้ายวน ตามการประเมินของมู่เฉิน หากสามารถกลั่นกองทัพนักรบผีดิบนี้ได้ อย่างน้อยก็จะได้รับยาหยุ่นลั้วหลายพันเม็ดเลยทีเดียว ซึ่งนี่ไม่ใช่ปริมาณน้อยๆ เลย
นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือ…
มู่เฉินหรี่ตาพลางมองไปยังแม่ทัพห้าซึ่งยืนจังก้าอยู่ในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่สีดำที่กำลังเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการทั้งห้า… บางทีพวกเขาอาจจะได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับจักรพรรดิเทียนเจิ้นจากมันก็เป็นได้
ตึง! ตึง!
ขณะที่ความคิดแล่นผ่านในใจมู่เฉิน การต่อสู้ก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น ระลอกคลื่นผันผวนป่าเถื่อนทำให้แม้แต่หัวใจของเขายังเต้นไม่เป็นส่ำ
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือแม้จะเผชิญกับการโจมตีดุเดือดของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกห้าคน แต่กองทัพนักรบผีดิบก็ยังพยายามจะยืนหยัดสุดกำลังเพื่อจะต่อต้าน ทุกการโจมตีของวิญญาณสงครามหมาป่าปีศาจก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อผู้บัญชาการทั้งห้า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะปลดปล่อยการโจมตีอย่างไม่คำนึงถึงอะไร
แต่ชัดว่าสถานการณ์นี้อยู่ได้เพียงชั่วคราว แม้ว่ากองทัพนี้จะทรงพลัง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะต้านทานจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกห้าคนได้
แล้วสถานการณ์ก็ไม่ได้เกินจากการคาดหมายของมู่เฉิน การเข้าโรมรันกันกินเวลาประมาณสิบนาที ความสูญเสียของกองทัพนักรบผีดิบก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตตอนแรกเริ่มแสดงสัญญาณปั่นป่วนไปหมด
วิญญาณสงครามหมาป่าปีศาจตกอยู่ในการโจมตีของผู้บัญชาการสามคน ก็คือเลี่ยซัน จิ่วโยวและหลิงเจี้ยน ร่างของมันหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ดูท่าว่ากำลังสูญเสียรัศมีจั้นยี่ไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าแม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตราย แม่ทัพห้าก็ไม่มีท่าท่างที่จะถอยเลยสักนิด รัศมีทำลายล้างเปล่งออกมาอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น
ตู้ม!
พลังงานสามสายที่มีขนาดพันจั้งระเบิดจากมือเลี่ยซัน จิ่วโยวและหลิงเจี้ยน เจาะทะลุวิญญาณสงครามหมาป่าปีศาจ ทำให้อีกฝ่ายกรีดร้องเสียงหลงแล้วร่างมหึมาก็แตะสลายอย่างรวดเร็ว
เมื่อวิญญาณสงครามหมาป่าปีศาจถูกทำลาย รัศมีจั้นยี่ของกองทัพนักรบผีดิบก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว รัศมีจั้นยี่ดุเดือดลดฮวบลงต่ำสุด
โฮก!
แม่ทัพห้าเปล่งเสียงคำรามที่อัดแน่นไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่เขายังไม่คิดถอย พุ่งเข้าห้ำหั่นกับผู้บัญชาการทั้งห้า
แต่เมื่อปราศจากกองทัพ พลังในการต่อสู้ของเขาก็ด้อยกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เสียอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สร้างอันตรายใดๆ กับผู้บัญชาการทั้งห้า แต่ท่าทางที่ไม่กลัวตายของเขา ทำเอาใบหน้าของผู้บัญชาการทั้งห้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากอีกฝ่ายคือจอมยุทธ์อาวุโสที่เคยเข้าต่อสู้กับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเคารพ เพราะคนเหล่านี้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องมหาพันภพ
“ปล่อยให้ข้าเถอะ”
มู่เฉินถอนหายใจขณะที่ทะยานมาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าแม่ทัพห้า เขามองไปที่ดวงตากลวงโบ๋ จากนั้นก็นาบฝ่ามือลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พริบตาคลื่นหลิงยิ่งใหญ่ก็ระเบิดออกจากฝ่ามือราวกับพายุ
บึ้ม!
เมื่อคลื่นหลิงรุนแรงแทรกซึมเข้าไปในร่างแม่ทัพห้า แววหลุดพ้นก็เผยบนใบหน้าแห้งกรัง ในดวงตาที่กลวงโบ๋เหมือนจะมีสติกลับคืนมาในช่วงเวลาสุดท้าย
“ขะ…ขอบใจมาก…ข้างหน้ามีค่ายกลจตุเทวะ…”
“ระวัง… นายท่าน…”
ขณะที่ร่างแม่ทัพห้าระเบิดออกอย่างสมบูรณ์ เสียงแหบพร่าก็สะท้อนในโสตประสาทของมู่เฉินอย่างติดๆ ขัดๆ
บทที่ 870 กองทัพใหญ่รวมตัว
“ระวัง…นายท่าน…”
ขณะที่เสียงแหบแห้งดังสะท้อนไปทั่ว ร่างแม่ทัพห้าก็หายไป มู่เฉินมองไปที่จุดนั้นก็ประสานมือคำนับ
“ค่ายกลจตุเทวะเหรอ”
มู่เฉินมองไปยังส่วนลึกของซากอารยธรรมซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืดมิดที่มองไม่เห็นอะไร ซึ่งให้ความรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย
ผู้บัญชาการทั้งห้าทะยานตัวเข้ามา มีแววสงสัยในดวงตา ขณะพูดเสียงเบา “ค่ายกลจตุเทวะ?”
“น่าจะมีค่ายกลศึกที่แท้จริงอยู่ข้างหน้าแล้วล่ะ” มู่เฉินพยักหน้าพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อได้ยินคำว่าค่ายกลศึก แววตาของเหล่าผู้บัญชาการก็วูบไหวด้วยความหวาดเกรง นั่นเพราะพวกเขาเข้าใจถ่องแท้ว่ามีเพียงจั้นเจิ้นซือที่สามารถจัดตั้งค่ายกลศึกได้ แล้วเมื่อจัดตั้งสำเร็จก็จะทรงพลังจนสะเทือนฟ้าดิน
หลิงเจิ้นซือธรรมดาจะยืมพลังจากฟ้าดินเพื่อสร้างค่ายกล แต่จั้นเจิ้นซือกลับสร้างค่ายกลศึกจากกองทัพไร้ขอบเขต รัศมีจั้นยี่ที่ไร้สิ้นสุดระดับนั้นเป็นสิ่งที่กระทั่งสวรรค์และโลกยังหวาดกลัว
แม้ว่าครั้งนี้พวกเขาจะรวบรวมหน่วยรบอาณาเขตกงเวทวรรค์มากว่าครึ่งหนึ่ง แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวกับค่ายกลศึกที่สร้างขึ้นโดยจั้นเจิ้นซือ
แต่ถึงจะกลัวแค่ไหน พวกเขาก็ไม่คิดถอยกลับ ในเมื่อพากันมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าพวกเขาถอยไปก็จะเสียหน้าผู้บัญชาการหมด
“อย่างแรกกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วก่อนเถอะ” มู่เฉินถอนสายตาขณะที่พูด
หัวใจเหล่าผู้บัญชาการกระตุก ก่อนที่จะเพ่งความสนใจไปยังไอหยุ่นลั้วไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งกำลังพล่านออกมาจากการถูกทิ้งหลังจากกองทัพนักรบผีดิบลบล้างไปแล้ว
ในระยะไกล เมื่อกองทัพอื่นๆ ที่เร่งรุดมายังที่นี่เห็นไอหยุ่นลั้วมหาศาล ดวงตาของพวกเขาก็แดงก่ำด้วยความโลภ ทว่าพวกเขาเกรงการรวมตัวยิ่งใหญ่ของกลุ่มมู่เฉินจึงทำได้แค่ดึงความโลภในใจกลับลงไป เพราะนอกจากมีผู้บัญชาการทั้งหกยังมีหน่วยรบทั้งห้าจับตาดูอยู่ด้วย
ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เฝ้ามองมู่เฉินและเหล่าผู้บัญชาการลงมือกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้ว โดยมีจำนวนรวมเกือบหนึ่งหมื่นเม็ดเห็นจะได้
การเก็บเกี่ยวนี้เทียบได้กับซากอารยธรรมระดับสองเลยทีเดียว
เมื่อไอหยุ่นลั้วสายสุดท้ายถูกกลั่นเรียบร้อย เหล่าผู้บัญชาการก็หยุดกระบวนการลงด้วยความพึงพอใจ คราวนี้พวกเขาได้รับเม็ดยามากกว่าเก้าพันเม็ด หลังจากหารเฉลี่ยกันยังได้คนละเกือบสองพันเม็ดเลยทีเดียว
“ซากอารยธรรมความตายอยู่ในระดับหนึ่งจริงๆ” เลี่ยซันถอนหายใจ นี่เป็นเพียงกองทัพเดียวเท่านั้นก็สามารถกลั่นเม็ดยาได้ทีละเกือบหมื่นเม็ด หากเปรียบเทียบกับซากอารยธรรมระดับสามอาจจะต้องค้นหามากถึงสามสิบแห่งถึงจะพอเทียบเท่าได้
ทว่าแม้การเก็บเกี่ยวจะยอดเยี่ยม แต่ก็อันตรายนัก หากไม่ใช่การรวมตัวที่โอ่อ่าเช่นนี้ ผลลัพธ์ของพวกเขาคงไม่ได้ต่างจากสำนักหลักสงครามเท่าไร
“ต่อไป”
เหล่าผู้บัญชาการหันมามองมู่เฉินเชิงถามความคิดเห็น ก่อนที่แม่ทัพห้าจะหายไป เขาได้พูดถึงค่ายกลศึกน่าสะพรึงที่อยู่ลึกเข้าไปในซากอารยธรรมแห่งนี้ โดยเฉพาะที่นั่นอาจยังมีจักรพรรดิเทียนเจิ้น คนที่แม่ทัพห้าเรียกว่า ‘นายท่าน’ อยู่ด้วย
บางทีอาจมีสมบัติมากมายรอพวกเขาอยู่ แต่อันตรายที่ซ่อนอยู่ข้างในก็เกินจะกล่าวเช่นกัน
“ลองไปดูก่อนเถอะ ถ้าแข็งแกร่งเกินไปก็กลั่นเม็ดยาหยุ่นลั่วสักนิดค่อยถอยกลับ” มู่เฉินเงียบไปชั่วครู่ ก่อนพูดอย่างเด็ดขาด แม้ว่าข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือจะมีความสำคัญมากสำหรับเขา แต่เขาก็ไม่ต้องการให้พรรคพวกสูญเสียอะไรมากเพราะเรื่องนี้
เมื่อทั้งห้าได้ยินก็พยักหน้าโดยไม่คัดค้าน
“ไป”
มู่เฉินมองไปไกล เหล่าผู้ชมที่เฝ้าดูการดวลของพวกเขากับกองทัพนักรบผีดิบก็จากไปกันแล้ว ไม่มีใครโง่ที่จะปล้นพวกเขา โดยไม่ลังเลใดๆ มู่เฉินก็โบกมือกลายเป็นร่างแสงทะยานไปยังจุดลึกของซากโบราณ หน่วยรบที่รวมตัวกันก็ตามติดไปอย่างกระชั้นชิด
การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่น มีกองทัพนักรบผีดิบมากมายหลั่งไหลออกมาจากความมืดไม่รู้จบ เข้าขัดขวางพวกเขาทุกฝีก้าว ทว่าเนื่องจากพวกเขาไม่มีเส้นทางที่ดีกว่านี้ พวกเขาจึงได้แต่ตะลุยเข้าไป
หลังจากทำลายมาหลายด่าน ถึงแม้จะเป็นการรวมทัพที่โอ่อ่า ก็เริ่มมีคนได้รับบาดเจ็บ ถ้าเหล่าผู้บัญชาการไม่ตรงเข้าช่วยเหลือทันเวลาละก็ งานนี้คงจะมีจำนวนผู้บาดเจ็บมากกว่านี้แน่
ทว่าแม้แต่ละด่านจะทรงพลัง พวกเขาก็ยังเคลื่อนทัพลึกเข้าไปอย่างช้าๆ ขยับใกล้ส่วนลึกสุดของซากอารยธรรมความตายเข้าไปทุกที…ทุกที
ยิ่งพวกเขาเข้าไปลึกก็ยิ่งเห็นกองทัพน่าสังเวชแตกฉานซ่านเซ็นไปหมด แต่ละกองทัพเป็นขั้วอำนาจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือเลยทีเดียว บางกองทัพมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอยู่ด้วย กระนั้นพวกเขาก็ยังถูกกลืนกินโดยคลื่นกองทัพนักรบผีดิบ จอมยุทธ์ทรงพลังบางคนที่หนีเร็วยังรอดไปได้ แต่คนที่เหลือก็ต่างถูกฝังอยู่ที่นี่
ความพ่ายแพ้ของกองทัพเหล่านั้น ทำให้เกิดการสั่นไหวในหัวใจของกลุ่มมู่เฉิน แม้ว่าพวกเขาจะมีกระบวนทัพที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลายเป็นปุ๋ยอยู่ที่นี่ถ้าคิดประมาท
ตอนนี้กองทัพของพวกเขาเท่ากับครึ่งหนึ่งของสำนัก ถ้าพวกเขาถูกฝังกลบอยู่ที่นี่ จะต้องส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์แน่นอน
กองทัพยาตราผ่านความมืดมิด ความปั่นป่วนทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ที่เบื้องหน้ากองทัพ มู่เฉินกวาดสายตาแหลมคมไปทั่วอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงทรงพลังกระเพื่อมไหวรอบตัว อยู่ในสภาพพร้อมรบทุกเมื่อ
เส้นทางนี้เดินทางไม่กี่ร้อยลี้ พวกเขากลับถูกขัดขวางจากกองทัพนักรบผีดิบหลายสิบกองทัพ มากจนครั้งหนึ่งถูกกองทัพที่แข็งแกร่งไม่แพ้พวกเขาขัดขวาวง การต่อสู้ในครั้งนั้นไม่เพียงแต่จะมีนักรบบาดเจ็บล้มตาย กระทั่งหลิงเจี้ยนก็ยังได้รับบาดเจ็บไปด้วย
อันตรายในซากอารยธรรมความตายนี้เกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก
“ที่นี่น่าจะเป็นจุดลึกของซากอารยธรรมความตายแล้ว” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพูดช้าๆ พร้อมกับประกายแสงวูบไหวในดวงตาที่มองเข้าไปในความมืด
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินก็ร่างตึงเครียดขึ้นหลายส่วน จิ่วโยวกวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมกับมุ่นคิ้วแน่น “ทำไมถึงเงียบขนาดนี้ ไม่มีแม้แต่เงากองทัพผีดิบเลย”
“ถ้ำพยัคฆ์ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาหรอก” มู่เฉินหรี่ตาขณะจดจ้องไปยังระยะไกลพูดเสียงเบาว่า “ระตัวด้วย”
ร่างเขาทะยานออกไป คลื่นหลิงถูกเร้าขึ้นมาปกป้องร่างเอาไว้ ที่เบื้องหลังหน่วยรบก็จัดกระบวนทัพติดตามมาอย่างระมัดระวัง
กองทัพใหญ่เหาะผ่านภูเขาสีดำที่ไร้ชีวิตชีวาไปอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นร่างมู่เฉินที่อยู่หน้าสุดก็หยุดชะงัก ม่านตาเขาหดเกร็งลงฉับพลัน ริ้วความตื่นตะลึงฉายบนใบหน้า
ที่เบื้องหลังใบหน้าเหล่าผู้บัญชาการก็แข็งทื่อเช่นกัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอดในชั่วอึดใจ
“นรกขุมไหนกัน” เหล่าผู้บัญชาการอุทานออกมา
มุมปากของมู่เฉินกระตุก เขาจ้องเขม็งไปที่ด้านหน้า ด้านหลังเทือกเขาเป็นที่ราบมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด แต่ตอนนี้มองเห็นกองทัพนักรบผีดิบมหึมาแผ่ขยายออกไปสุดสายตา ร่างเงาเหล่านี้ราวกับต้นไม้สูงตระหง่านฝังรากลึกบนพื้นดิน ไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ แต่กลับมีรัศมีจั้นยี่น่าขนพองสยองเกล้าและยิ่งใหญ่กวาดออกมา ซึ่งทำให้ฟ้าดินถึงกับโยกคลอน
มีนักรบอย่างน้อยหลายแสนคนอยู่ที่นี่!
ราวกับมีเสียงคำรามทอดยาวดังกึกก้อง กองทัพนักรบผีดิบกระจายขบวนแถวออกไปจนสุดลูกหูลูกตา
การเผชิญหน้ากับกระบวนทัพเช่นนี้ กระทั่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างเหล่าผู้บัญชาการยังอดกลัวไม่ได้ กองทัพที่พวกเขาเจอก่อนหน้าเทียบอะไรไม่ได้กับภาพเบื้องหน้าเลย
“ทรงพลังเกินไป ต่อให้พวกเราเทหมดหน้าตักก็ถูกเขมือบแน่” เลี่ยซันพูดด้วยสีหน้าไม่น่าดู กองทัพของพวกเขามีนักรบประมาณสองหมื่นคน แต่ศัตรูกลับมีหลายแสนบวกกับจั้นเจิ้นซือที่แท้จริงอีกคน ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย กระทั่งสามจอมพลมาที่นี่ก็คงหวาดกลัวเช่นกัน
มู่เฉินถอนหายใจเบาพลางพยักหน้า เหล่าผู้บัญชาการด้อยกว่าเขาในเรื่องการมองรัศมีจั้นยี่ ดังนั้นเขามองได้ชัดเจนกว่าได้ว่ารัศมีจั้นยี่ที่เบื้องหน้าพวกเขาทรงพลังมาก นอกจากนี้ยังมีคลื่นความผันผวนที่ประหลาดอยู่ด้วย ซึ่งทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกหนังหัวชาหนึบ ถ้าเขาคาดไม่ผิดต้องมีค่ายกลศึกที่แท้จริงอยู่ในกองทัพนี้แน่
ทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหวเข้าไป จะต้องตายหมดทั้งกองทัพแน่นอน
ฟิ้ว!
ขณะที่มู่เฉินเกิดอาการลังเลในสถานการณ์ปัจจุบัน ก็มีเสียงลมแหวกอากาศขนาดใหญ่กวาดเข้ามาจากทางขวามือ พวกเขามองไปก็เห็นกองทัพขนาดใหญ่กำลังพุ่งเข้ามา ก่อนที่จะหยุดอยู่นอกที่ราบเหมือนกับพวกเขา แต่เมื่อกองทัพนั้นหยุดลง มู่เฉินก็รับรู้ถึงความตกตะลึงที่พล่านไปทั่ว
“นั่นพวกหมู่ตึกเทวะ!” เลี่ยซันอุทาน “พวกมันก็มาถึงกันแล้ว”
มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นจิตใจก็เคลื่อนไหวขณะมองไปอีกทิศทางหนึ่ง เป็นตามที่เขาคาดพวกตำหนักสุดนภาก็ทำลายด่านตามมาจนถึงที่นี่ได้เช่นกัน
ในเวลาสิบกว่านาทีต่อมาก็มีกองทัพเร่งรุดเข้ามาอีกบ้าง กองทัพเหล่านี้ไม่ได้มาจากขั้วอำนาจชั้นยอด แต่กลับมีขนาดที่น่าตกใจ เมื่อมองดีๆ ถึงจะพบว่าเป็นการรวมตัวของหลายๆ กองทัพ ก่อตั้งเป็นพันธมิตร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงบุกเข้ามาถึงที่นี่ได้
แต่พร้อมกับการมาถึงของกองทัพทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ มู่เฉินกลับรู้สึกดีใจแทนที่จะตกใจ ในเมื่อมีคนเหล่านี้อยู่ที่นี่ด้วย ก็อาจมีโอกาสที่จะฝ่าด่านนี้ไปได้
ขณะที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในใจ ร่างแสงร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากฝั่งหมู่ตึกเทวะ เสียงอ่อนโยนสะท้อนไปทั่วบริเวณ
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย เราสามารถมาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์นี้หน่อยได้ไหมว่าจะผ่านไปอย่างไร?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น