หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 863-868
บทที่ 863 จินไถหลิวหลี
ซากอารยธรรมความตาย
ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสมรภูมิหยุ่นลั้ว ซึ่งอยู่ไกลจากจุดที่พวกมู่เฉินพักแรม ดังนั้นหลังจากตัดสินใจพวกเขาก็ออกเดินทางโดยไม่ลังเล
เนื่องจากมีเวลาจำกัด พวกเขาจึงต้องเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ระหว่างทางเข็มทิศค้นวิญญาณก็พบซากอารยธรรมจำนวนมาก กระทั่งระดับสองก็มีมาประปราย ทว่ามู่เฉินก็ห้ามใจในการเข้าไปค้นหา เนื่องจากตอนนี้ใจของเขาพุ่งที่ซากอารยธรรมความตายเรียบร้อยแล้ว
พูดให้ถูกคือเพราะข่าวเกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือนั่นเอง
ปัจจุบันในมหาพันภพมีจั้นเจิ้นซือจำนวนน้อยมาก ดังนั้นข่าวใดๆ เกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือเป็นอะไรที่หายากมาก ใครก็ตามที่มีโอกาสเป็นจั้นเจิ้นซือคงไม่ปล่อยโอกาสแบบนี้หลุดมือไปได้
ผู้เชี่ยวชาญรัศมีจั้นยี่อีกสองคนก็คงมีความคิดไม่แตกต่างกัน มิฉะนั้นคงไม่เร่งรุดเดินทางไปกันหรอก
ดังนั้นเมื่อมู่เฉินที่มีความคิดเดียวกัน จึงเดินทางด้วยความเร็วเต็มพิกัด พุ่งไปที่ซากอารยธรรมความตายที่ยามนี้เต็มไปด้วยคลื่นมหาชน
ทว่าแม้กลุ่มของมู่เฉินจะเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ก็ยังมาถึงจุดหมายในช่วงเย็นของวันที่สอง…
เขตตะวันตกเฉียงเหนือ
เมื่อกลุ่มของมู่เฉินก้าวเข้ามาในเขตนี้ พวกเขาก็รู้สึกว่าพื้นที่แถบนี้มืดมนยิ่งนัก ทว่าจำนวนผู้คนที่มาที่นี่ก็มากกว่าพื้นที่อื่นเลยทีเดียว
รอบท้องฟ้ามีกองทัพน้อยใหญ่เร่งรุดเดินทางเข้ามาอยู่เรื่อย ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในส่วนลึกสุดปานสายฟ้าฟาด
ชัดว่าจอมยุทธ์เหล่านี้มาที่นี่ก็เพราะซากอารยธรรมความตาย แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยลางร้าย แต่ข่าวเกี่ยวกับซากอารยธรรมระดับหนึ่ง ก็ทำให้กองทัพจำนวนมากสูญเสียสติไป
เพราะไม่ว่าอย่างไรทั้งสมบัติ วิทยายุทธ สิ่งประดิษฐ์และของมีค่าอื่นๆ ของซากอารยธรรมระดับหนึ่งก็อยู่ต่ำกว่าแค่ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน จอมยุทธ์ทุกคนที่อยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนคงไม่มีใครไม่ถูกดึงดูด
เมื่อมู่เฉินเห็นเขตตะวันตกเฉียงเหนือคึกคักเพียงใด เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าซากอารยธรรมความตายจะทำให้เกิดความปั่นป่วนถึงขนาดนี้ได้
ทว่าแม้สถานการณ์จะยุ่งเหยิงไปบ้าง แต่มู่เฉินก็ไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้มากเกินไป การรวมตัวของพวกเขายิ่งใหญ่และทรงพลัง ด้วยมีหน่วยรบถึงสี่หน่วยรบและจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสี่คน กระบวนทัพแบบนี้เทียบเคียงได้กับการออกทัพทั้งหมดของขั้วอำนาจชั้นต้นๆ เลยทีเดียว
ด้วยพลังสุดยอดนี้ พวกเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะปะทะกับจอมยุทธ์ทุกคนโดยไม่ต้องใส่ใจเรื่องสถานการณ์
มู่เฉินมองพื้นที่ระยะไกลที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกกดดัน ทว่าสุดท้ายนั่นก็ไม่สามารถสร้างความกลัวให้กับมู่เฉิน เขายิ้มบาง
“ไปกันเถอะ อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะพลาดเรื่องใหญ่แบบนี้ได้ยังไง? มาดูกันสิว่ามีใครที่เข้ามาในซากอารยธรรมความตายบ้าง”
เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวเท้าออกไป จิ่วโยว สี่ผู้บัญชาการและเหล่านักรบก็เคลื่อนตัวติดตามไปอย่างรวดเร็ว พวกเขากลายเป็นลำแสงปกคลุมท้องฟ้าไปแถบหนึ่งเลยทีเดียว
ความปั่นป่วนที่เกิดจากกองทัพของมู่เฉิน ทำให้สีหน้าของผู้คนนับไม่ถ้วนในบริเวณนี้เปลี่ยนไป หลายกองทัพรีบเปิดเส้นทางให้พวกเขาผ่านไปก่อน ไม่มีใครกล้าที่จะขวาง เมื่อพวกเขาผ่านไปไกลเสียงกระซิบกระซาบถึงจะดังไปทั่ว
“นั่นอาณาเขตกงเวทสวรรค์นี่…”
“คนที่นำอยู่นั่นคือมู่เฉินที่สร้างชื่ออย่างกับพลุแตกเมื่อเร็วๆ นี้ใช่ไหม? ไม่คิดว่าเขาก็รีบมาที่นี่เช่นกัน”
“ว่ากันว่ามีข่าวจั้นเจินซือในซากอารยธรรมความตาย มู่เฉินก็เหมือนจะควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปหรอก”
“คึๆ จั้นเจิ้นซือของตำหนักสุดนภาและหมู่ตึกเทวะก็อยู่ที่นี่ พวกเขาหาตัวมู่เฉินกันควั่กมาพักหนึ่งแล้ว ไม่คิดว่าเขากลับพาตัวเองไปเคาะถึงประตูหน้าบ้านคนอื่น”
“ข้าเคยเห็นการประลองของจอมยุทธ์มามาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จะเห็นพวกจั้นเจิ้นซือปะทะกัน ดูเหมือนว่าครั้งนี้เปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ”
“การเดินทางไปซากอารยธรรมความตายครั้งนี้ชักจะสนุกแล้ว”
“…”
ส่วนลึกเขตตะวันตกเฉียงเหนือ
หย่อมความมืดปกคลุมไปทั่วบริเวณ ราวกับแสงสว่างถูกความมืดมิดกลืนกิน เมื่อความมืดเข้มข้นขึ้นก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว ที่นี่ก็คือสถานที่ตั้งของซากอารยธรรมความตายนั่นเอง
ขณะนี้รอบนอกสภาพแวดล้อมที่มืดมิดกลับคึกคักอย่างมาก โดยมีกลุ่มแสงนับไม่ถ้วนพุ่งมาจากระยะไกลแล้วพลิ้วตัวลง ณ บริเวณนี้อยู่เรื่อยๆ
กองทัพทรงพลังบางส่วนเข้ายึดครองพื้นที่ใกล้เคียงกับซากอารยธรรมแห่งนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ได้เปรียบในเรื่องเวลาและโอกาส ส่วนกองทัพอ่อนด้อยก็ยืนอยู่ข้างหลัง ไม่กล้าที่จะเข้าไปยืนในมุมที่ดีที่สุดแต่อย่างใด
ณ ที่แห่งนี้ผู้แข็งแกร่งคือราชัน
ทุกกองทัพกำลังกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อสังเกตและประเมินพลังของกองทัพอื่นๆ
แต่การกวาดมองส่วนใหญ่ถูกจำกัดไว้ที่ยอดเขาไม่กี่แห่งที่เบื้องหน้าด้วยความหวาดกลัวอัดแน่นในดวงตา
กองทัพที่ครอบครองยอดเขาเหล่านั้นคือกองทัพสูงสุด ซึ่งมีพลังที่แข็งแกร่งมาก มิหนำซ้ำการจัดกระบวนทัพก็ยังน่าสะพรึงอีกด้วย
ในบรรดาคนเหล่านี้ ยอดเขาทางเหนือมีร่างเงาเพียงไม่กี่ร่าง ทว่าร่างเงาเหล่านี้ล้วนกำจายคลื่นหลิงที่ทรงพลังที่สามารถรับรู้ได้แม้จะอยู่ในระยะไกล
ทว่าพวกเขาไม่ได้สนใจที่ตรงนั้น ที่เบื้องหน้ากองทัพเป็นสตรีสวมชุดขาวนั่งบนรถเข็น เส้นผมของนางระตามใบหน้ารูปไข่และผิวที่ขาวราวหิมะ รูปลักษณ์ช่างอรชรอ้อนแอ้น กลิ่นอายอ่อนจางสัมผัสได้จากร่างกายของนาง
แม้จอมยุทธ์หญิงคนนี้ให้ความรู้สึกอ่อนแอ แต่ทุกกองทัพกลับไม่กล้าดูถูกนางเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขารู้ว่านางก็คือผู้เชี่ยวชาญด้านรัศมีจั้นยี่ของหมู่ตึกเทวะที่เร้นตัวมานาน
จินไถหลิวหลี
แม้ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้ว่าฟังยี่เป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นในหมู่ตึกเทวะ แต่มีเพียงบางคนที่มีความสามารถจริงๆ ถึงจะรู้ว่าในแง่ของพลังที่จะเผยออกมาในอนาคตจินไถหลิวหลีอาจจะแข็งแกร่งกว่าฟังยี่
แม้ว่านางจะด้อยกว่าฟังยี่ในการเพาะบ่มขุมพลัง ทว่าพรสวรรค์ของนางในศาสตร์รัศมีจั้นยี่ก็สูงเกินกว่าอีกฝ่ายไปมาก กระทั่งประมุขของหมู่ตึกเทวะก็เคยพูดไว้ว่าจินไถหลิวหลีจะเป็นจั้นเจินซือได้อย่างแน่นอน คำพูดนี้จึงเป็นตัวกำหนดฐานะที่โดดเด่นของนางในหมู่ตึกเทวะ
ทว่าอัจฉริยะเงาที่ซ่อนตัวมาตลอดเมินสายตาผู้คนที่จ้องมองมา ม่านตาของนางสงบนิ่งจ้องมองไปที่ซากอารยธรรมความตายที่ปกคลุมด้วยความมืดมน สายตาวูบไหวดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
มีคนอยู่เบื้องหลังนางหลายคน ซึ่งแต่ละคนมู่เฉินก็คุ้นหน้าดี ไม่เพียงแต่จะมีฟังยี่ สูป้า เจ้าภูเขาเหยียนหลังและเจ้าภูเขาเทียนสงก็อยู่ที่นี่ ช่างเป็นการรวมตระการตานัก
จู่ๆ ใต้ยอดเขาก็มีร่างร่างหนึ่งทะยานขึ้นมา ก่อนที่จะพุ่งไปกระซิบกระซาบบางอย่างข้างหูฟังยี่ ใบหน้าของฝ่ายหลังถึงกับมืดครึ้มลงทันที ก่อนที่จะหันไปพูดกับทุกคนว่า “อาณาเขตกงเวทสวรรค์มาถึงแล้ว มู่เฉินก็อยู่ด้วย”
เมื่อได้ยินชื่อของมู่เฉิน สีหน้าของพวกสูป้าก็น่าเกลียดลงทันที
ไม่มีระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวในดวงตาของสตรีในชุดขาว ผ่านที่ครู่หนี่งนางถึงได้ถอนหายใจแผ่วก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเบาบาง “ท่านฟัง ตอนนี้ซากอารยธรรมเบื้องหน้าเราสำคัญกว่า นอกจากนี้…จะมีใครบางคนช่วยเราวัดความสามารถของเขาเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง สีหน้าของฟังยี่ก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปยังยอดเขาที่อยู่ห่างไกลและพยักหน้า
ฟิ้ว!
ไม่นานหลังจากการสนทนาพวกเขาจบลง เสียงลมแหวกอากาศก็ดังมาจากด้านหลัง กองทัพจำนวนมากหันไปมองก็เห็นภาพกองทัพใหญ่ราวกับพายุ ก่อนที่สีหน้าพวกเขาจะเปลี่ยนไป
“นั่นอาณาเขตกงเวทสวรรค์…”
ท่ามกลางเสียงอุทานนับไม่ถ้วน กองทัพขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า มู่เฉิน จิ่วโยวและผู้บัญชาการทั้งสี่ก็เผยตัวออกมา
มู่เฉินกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ ก็รู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังมากมายที่กำลังไหลเวียน ดวงตาเขาหรี่ดลง ดูเหมือนว่ากองทัพชั้นสูงจำนวนมากถูกดึงดูดมาโดยซากอารยธรรมแห่งนี้
“ไปที่นั่น”
ไม่นานมู่ก็เบนสายตาไปยังพื้นที่ที่ดีที่อยู่ตรงเบื้องหน้าสุด แม้ว่าตอนนี้จะเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ แต่ด้วยสถานะของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาก็ไม่กลัวใคร
ผู้บัญชาการทั้งสี่พยักหน้าพลางโบกมือสั่งให้หน่วยรบเคลื่อนไปลงบนยอดเขาใหญ่แห่งหนึ่ง
ทว่าขณะที่กองทัพขนาดใหญ่กำลังจะลงมาถึง เสียงหัวเราะบาดแก้วหูก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ใครคิดจะมาก็ได้”
สีหน้าของผู้บัญชาการทั้งสี่เย็นยะเยือก ขยับสายตาดุดันไปบนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปอย่างน่าขนลุก มองเห็นคลื่นหลิงทรงพลังพวยพุ่ง ร่างเงานับไม่ถ้วนยืนตัวไว้สง่า ความกดดันของคลื่นหลิงที่ทรงพลังเล็ดลอดออกมาจากอีกฝ่าย
นั่นคือตำหนักสุดนภา!
ที่ยืนอยู่หน้ากองทัพเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีผมดำปล่อยยาว สวมชุดดำ สองตาแดงก่ำ เขากำลังยิ้มด้วยสายตาที่หรี่แคบลงมองมาทางมู่เฉิน
“ข้าชื่อเซียวเทียนจากตำหนักสุดนภา…”
ชายคนนั้นเลียริมฝีปากด้วยลิ้นสีแดงสดแล้วหันมาหามู่เฉินสาดรอยยิ้มที่น่าขนลุก
“ขอยืมหัวของแกมาใช้หน่อยสิ”
บทที่ 864 เซียวเทียน
“ข้าชื่อเซียวเทียนจากตำหนักสุดนภา…”
“ขอยืมหัวของแกมาใช้หน่อยสิ…”
เมื่อเสียงหัวเราะของชายชุดดำดังขึ้น ก็ส่งผลให้เสียงอื้ออึงในบริเวณนี้เงียบกริบลง สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ซึ่งร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าหล่อเหลากำลังยืนอยู่อย่างสงบนิ่งราวกับสายน้ำ
ทั่วบริเวณเงียบลง กองทัพอื่นๆ ก็เฝ้ามองฉากนี้ด้วยความสนใจจากด้านข้าง พวกเขาเคยได้ยินชื่อของมู่เฉินในนามของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งสามารถรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้หลังจากปะทะเดือดกับฟังยี่ ดังนั้นยามนี้ไม่มีใครสงสัยความสามารถของมู่เฉินอีกแล้ว
ทว่าแม้มู่เฉินจะแข็งแกร่ง แต่ชายชุดดำที่พูดก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา นั่นเป็นเพราะเขาคืออัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของตำหนักสุดนภา—เซียวเทียน
ในแง่ของขุมพลังเซียวเทียนที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่ถือว่าพอใช้ได้เท่านั้น แต่ตัวตนของเขาในฐานะอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ กลับทำให้คนอื่นไม่กล้าที่จะดูถูก
นั่นเพราะทุกคนรู้ชัดว่าหากอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่อย่างเซียวเทียนสามารถบัญชากองทัพชั้นสูงได้ ก็สามารถระเบิดพลังที่น่ากลัวออกมาได้
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนมู่เฉินก็มองไปที่เซียวเทียนด้วยดวงตาสีดำสนิทนิ่ง ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองกับการกระทำของอีกฝ่ายเลย
“ไอ้โง่นี่มาจากไหนถึงกล้ามาพ่นคำอวดดีแบบนี้ เดี๋ยวข้าก็ตบตายให้ซะหรอก” น้ำเสียงน่าขนลุกดังก้องออกไป เสี่ยยิงมองเซียวเทียนด้วยดวงตาอัดแน่นด้วยรังสีสังหาร การที่เซียวเทียนหยิ่งผยองกล้าท้าท้ายมู่เฉินต่อหน้ากันแบบนี้ ทำให้เสี่ยยิงถึงกับเดือดดาลไปหมด
“อวดดีเรอะ? แกคิดว่าตำหนักสุดนภาไม่มีคนรึไง” เสียงหัวเราะเย็นชาดังออกมาจากข้างหลังเซียวเทียน จากนั้นร่างเงาร่างหนึ่งก็เดินออกมา ใบหน้าคุ้นเคยทำให้มู่เฉินอึ้งไป นั่นเพราะนี่ก็คือหลิ่วเหยียนที่ถูกบีบให้ต้องระเบิดร่าง แล้วยามนี้เมื่อหลิ่วเหยียนปรากฏตัวก็มองมู่เฉินด้วยแววตาโหดเหี้ยม
“อา… ประมุขน้อยตำหนักสุดนภา—หลิ่วเหยียน ดูท่าประมุขหลิ่วจะยอมจ่ายราคามหาศาลเพื่อช่วยเจ้าปรับแต่งร่างกายใหม่ได้ไวนะเนี่ย” มู่เฉินส่งยิ้มให้หลิ่วเหยียน
ใบหน้าของหลิ่วเหยียนเขียวคล้ำ ท่าทางน่าขนลุกราวกับจะเผามู่เฉินให้กลายเป็นเถ้าถ่าน ในศึกมังกรหงส์ชื่อเสียงของเขาถูกมู่เฉินทำลายจนยับเยิน ซ้ำร่างยังถูกทำลายจนแหลกเหลว หากไม่ใช่บิดาของเขาจ่ายราคามหาศาล เขาก็ยังคงเป็นวิญญาณล่องลอยไม่มีทางได้ร่างกลับคืน
“มู่เฉิน หยุดพล่ามซะ! ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องการเข้ามายุ่งกับซากอารยธรรมความตาย ก็ต้องถามตำหนักสุดนภาของข้าก่อน!” หลิ่วเหยียนกล่าวเสียงเย็น
เมื่อหลิ่วเหยียนจบคำพูด ร่างสี่ร่างก็มาปรากฏที่ด้านข้างเขา ทั้งสี่แข็งแกร่งราวกับหอคอยเหล็ก เมื่อยืนอยู่ข้างหลิ่วเหยียน เงาของพวกเขาก็ห่อหุ้มหลิ่วเหยียนไว้จนมิด
แน่นอนว่า แม้ร่างกายแบบนี้จะดึงดูดความสนใจของผู้อื่น แต่ที่ทำให้แววตาผู้คนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม คือแรงกดดันคลื่นหลิงความรู้สึกน่าอัศจรรย์ใจที่เปล่งออกมาจากร่างจอมยุทธ์ทั้งสี่นี้
นี่เป็นแรงกดดันของคลื่นหลิงที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก
“เจ็ดแม่ทัพฟ้าของตำหนักสุดนภานี่เอง” เลี่ยซันกวาดมองคนทั้งสี่ก่อนจะส่งเสียงเย็นขึ้นจมูก ขณะที่สายตาอัดแน่นด้วยความดูถูก “ทำไม? คิดว่าแค่สี่คนที่มีลำดับรั้งท้ายจะขัดขวางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าได้เรอะ?”
“ฮึ่ม กร่างจริง แกคิดว่าตัวเองเหนียวจนเคี้ยวไม่ได้เรอะเลี่ยซัน? ข้าอยากดูว่าแกจะเจ๋งเหมือนคำพูดตัวเองไหม!” ร่างหอคอยเหล็กร่างหนึ่งที่อยู่ข้างหลิ่วเหยียนจ้องเลี่ยซันด้วยสายตาจะกินเลือดเกินเนื้อ ขณะที่พูดเสียงเย็นยะเยือก
“งั้นแกก็มาลองสิ” เลี่ยซันหัวเราะลั่นพลางก้าวออกไปคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวนตัวราวกับพายุ ทำให้ท้องฟ้ามืดลงทันใด ส่งผลให้ใบหน้าของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนดิ่งลง พวกเขาสัมผัสได้ว่าขุมพลังของเลี่ยซันมาถึงขั้นหกระยะปลายสุดแล้ว
เมื่อร่างแม่ทัพฟ้าสูงตระหง่านของตำหนักสุดนภารู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังที่มาจากเลี่ยซัน สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าไม่มีริ้วความกลัวอะไรมาก ร่างเขาเคลื่อนไหวเตรียมออกมาประจัญบาน แต่ทันใดนั้นก็ถูกหลิ่วเหยียนห้ามไว้
หลิ่วเหยียนมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพลางเค้นเสียงในลำคอ “มู่เฉิน แกน่าจะรู้สถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าพวกเราเปิดศึกกันที่นี่ ข้าเชื่อว่าพวกแกคงใกล้ได้ออกจากสงครามล่าแน่”
มู่เฉินหรี่ตาลง หากเป็นเวลาอื่นเขาคงพุ่งเข้าโรมรันกับหน่วยรบสุดนภาไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เนื่องจากมีจำนวนจอมยุทธ์มากมายมารวมตัวกันที่นี่ ไม่รู้ว่ามีกองทัพเท่าไรที่กำลังจับจ้องมา แม้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นขั้วอำนาจสูงสุด แต่ถ้าเกิดช่องโหว่ขึ้น ก็อาจทำให้ฝูงหมาป่าหันมาแว้งกัดพวกเขา ดังนั้นพวกเขายังไม่ควรเปิดศึกกับตำหนักสุดนภา
“ฮ่าๆ พี่หลิ่วเหยียน เราสามารถรวมพลังกันกำจัดอาณากงเวทเขตสวรรค์ก่อนนะ” ขณะที่สายตาของมู่เฉินกำลังวูบไหว เสียงหัวเราะเบาๆ ก็เปล่งออกมา ทำให้สีหน้ากองทัพโดยรอบเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะเบนสายตามองไปที่ยอดเขาที่กองทัพหมู่ตึกเทวะตั้งอยู่
บนยอดเขาฟังยี่กำลังมองมาที่มู่เฉินครึ่งบึ้งครึ้งยิ้ม
เมื่อคนอื่นๆ เห็นภาพนี้หัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ หรือว่าหมู่ตึกเทวะจะร่วมมือกับตำหนักสุดนภาเพื่อกำจัดอาณาเขตกงเวทสวรรค์? ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปได้สร้างระลอกคลื่นใหญ่ทั่วสมรภูมิแน่นอน
มู่เฉินมองไปที่ฟังยี่อย่างเย็นชาและพูดแบบไม่แยแส “หมาจรจัดยังกล้าเห่าที่นี่อีก การถูกไล่ล่าพันลี้ครั้งก่อนยังไม่พอรึไง?”
สายตาของฟังยี่และสูป้าเย็นชาลงอีกขณะมองไปที่มู่เฉิน
“ถ้าแกคิดจะร่วมมือกันก็เข้ามาเลย แต่เชื่อข้าเถอะ แม้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะพินาศที่นี่ แต่พวกแกก็ต้องตายไปพร้อมกัน!” ทันใดนั้นดวงตามู่เฉินก็ระเบิดแสงแรงกล้า น้ำเสียงอัดแน่นด้วยความดุร้าย
เมื่อเห็นสายตาดุร้ายราวหมาป่าของมู่เฉิน ม่านตาของฟังยี่ก็หดเกร็งลง ด้วยกระบวนทัพของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ครั้งนี้ หากพวกเขาประจัญบานเต็มกำลังก็ต้องสูญเสียมหาศาลแน่
“ท่านจอมยุทธ์ หมู่ตึกเทวะของข้าไม่ต้องการที่จะสู้กับเจ้าในตอนนี้ ความเป็นปฏิปักษ์จะตัดสินในอนาคต ตอนนี้พวกเจ้าไปจัดการกับศัตรูอย่างตำหนักสุดนภาก่อนเถอะ” เสียงไพเราะกำจายออกมา น้ำเสียงที่อ่อนโยนทำให้ความตึงเครียดลดลงไปหลายส่วน
มู่เฉินกวาดสายตามองที่มาของต้นเสียง ก็เห็นร่างหญิงสาวชุดขาวนั่งอยู่บนรถเข็น รูปลักษณ์สะคราญโฉมทำให้เขาตะลึงไปเล็กน้อย อึดใจสายตาก็กะพริบวูบไหวเมื่อรู้ถึงตัวตนของนาง นั่นจะต้องเป็นอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของหมู่ตึกเทวะแน่นอน
แต่เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ต้องการจะต่อสู้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในตอนนี้ แต่กลับผลักตำหนักสุดนภาออกมา การกระทำแบบนี้เหมือนนางต้องการเห็นพยัคฆ์สู้กัน
หญิงสาวคนนี้ดูบอบบาง แต่ท่าทางเขี้ยวน่าดูชม
“มู่เฉินอย่าทำเป็นเก่งต่อหน้าข้า ถ้าแกกล้าสู้กับหมู่ตึกเทวะที่นี่ มรดกซากอารยธรรมความตายของจั้นเจิ้นซือก็ไม่มีอะไรที่แกจะได้ไป” หลิ่วเหยียนเค้นเสียงเย็นชา
“แล้วแกต้องการอะไร?” มู่เฉินพูดพลางยิ้ม
หลิ่วเหยียนมองไปที่เซียวเทียน ฝ่ายหลังก็ยิ้มกริ่มขณะนี้เส้นเลือดปีนไต่ขึ้นมาบนดวงตา เขายิ้มอย่างบ้าคลั่งจ้องมองมู่เฉินด้วยดวงตาที่หรี่แคบ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ใช่ไหม?”
สายตามองที่มู่เฉิน “ถ้าพวกแกต้องการมีส่วนแบ่งในซากอารยธรรมความตายและไม่อยากสู้กับตำหนักสุดนภาตอนนี้ ง่ายมาก ก็แค่ให้ข้าดูว่าแกมีคุณสมบัติหรือไม่”
“ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอ ก็ก้าวออกมาลองสักตั้งได้เลย”
ม่านตาของมู่เฉินจ้องมองไปที่เซียวเทียนแบบไม่มีอารมณ์ใดๆ มุมโค้งเย็นผุดขึ้นที่มุมปาก เขาดูไม่ประหลาดใจ เพราะอีกฝ่ายคงตั้งเป้าหมายมาที่เขาแต่แรกแล้ว
ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายต้องการระบายความแค้นจากการเอาชนะเขา ทำไมเขาไม่ลองเชือดไก่ให้ลิงดูซะหน่อย? มู่เฉินสังเกตถึงสายตาอยากได้ใคร่ดีที่จ้องมองมา ถ้าเขาไม่เปิดเผยความแข็งแกร่งเสียบ้าง เขาคงจะข่มคนเหล่านี้ไม่ได้
ดังนั้นการกระทำของเซียวเทียนจึงไม่ต่างจากที่มู่เฉินคิดไว้ระดับหนึ่ง
“ฮ่าๆ ตอนที่ข้าเอาหัวแกออกจากคอ รอยยิ้มนั่นต้องอยู่บนใบหน้าเหมือนเดิมนะ” เซียวเทียนหัวเราะ แต่ทุกคนสามารถได้ยินไอสังหารและความโหดร้ายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง
มู่เฉินมองไปที่เซียวเทียนที่กำลังหัวเราะสาสมใจอย่างสงบนิ่ง อีกฝ่ายค่อยๆ ลดระดับเสียงลงภายใต้สายตาของเขา ดวงตาที่มีเส้นเลือดปีนไต่จ้องไปที่มู่เฉินราวกับงูพิษร้ายเลยทีเดียว
ทั้งสองประสานสายตาลั่นเปรียะกันกลางอากาศ จิตสังหารที่พลุ่งพล่านทำเอาพื้นที่แถบนี้อุณหภูมิลดต่ำลง
ยามนี้ทั่วบริเวณกองทัพอื่นๆ ก็ฉายแววตาสนใจ นั่นเพราะเมื่อมองรูปการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์และตำหนักสุดนภากำลังจะปะทะกันแล้ว
ความยิ่งใหญ่ในการเผชิญหน้าของจอมยุทธ์ศาสตร์นี้เหนือกว่าคนอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันแน่
“ข้าจะฆ่านักรบที่อยู่ใต้บัญชาของแกทั้งหมด!”
เซียวเทียนหัวเราะ จากนั้นแสงเยือกเย็นก็พล่านออกมาจากนัยน์ตา เขายกมือขึ้นก่อนที่จะสะบัดลงทันควัน น้ำเสียงที่น่าขนลุกดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
“หน่วยรบสุดนภาออกมา!”
ตู้ม!
พร้อมกับเสียงคำรามของเซียวเทียน ทั่วบริเวณก็สั่นไหว จากนั้นทุกคนก็ตกตะลึงไปเมื่อเห็นรัศมีจั้นยี่น่าขนพองสยองเกล้าพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากภูเขาเบื้องหลังเซียวเทียน
ทันใดนั้นทั่วบริเวณถึงกับเปลี่ยนสี!
บทที่ 865 หน่วยรบสุดนภา
ตู้ม!
มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่อันไร้ขอบเขตกวาดออกมาราวกับพายุ รัศมีจั้นยี่ทรงพลังมากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“ช่างเป็นรัศมีจั้นยี่ที่น่าทึ่งอะไรเช่นนี้!”
แม้แต่ผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทั้งสี่ก็ยังมีสายตาเคร่งขรึมลง แม้ว่าเซียวเทียนจะบ้ามาก แต่ก็ต้องยอมรับความแข็งแกร่งของชายคนนี้ ไม่แปลกใจเลยทำไมเขาถึงมั่นใจและไม่กลัวมู่เฉิน
ดวงตามู่เฉินก็หดลงจับจ้องฉากนี้ รัศมี่จั้นยี่ที่บัญชาโดยเซียวเทียนแข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเจอมาในภูมิภาคทางเหนือ คนที่เขาปะทะมาในอดีตไม่สามารถบัญชารัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังเพียงนี้
เซียวเทียนสมกับเป็นอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ของตำหนักสุดนภาจริงๆ!
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน เซียวเทียนก็เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะร่าพลางโบกมือ ภูเขาขนาดใหญ่ที่เบื้องหลังก็มีนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า ขณะที่รัศมีจั้นยี่ที่ทำให้จอมยุทธ์มากมายถึงกับตกตะลึงล้นหลามออกมาจากร่างของพวกเขา
นี่คือหน่วยรบสุดนภาที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเซียวเทียน
จำนวนนักรบมากมายยืนกระจายทั่วบริเวณ ในความเงียบสงบกลับมีรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวพลุ่งพล่าน นักรบทุกคนสวมใส่ชุดเกราะสีเงินสาดแสงระยิบระยับเมื่อสะท้อนกับดวงอาทิตย์
จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายพวกเขา ซึ่งบ่งบอกว่ากองทัพนี้ผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากที่สุดก็คือเมื่อกวาดมองคร่าวๆ หน่วยรบสุดนภามีกำลังพลถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคนเลยทีเดียว ซึ่งเป็นจำนวนที่แม้แต่หน่วยรบแยกคีรียังเทียบไม่ได้
“นั่นคือหน่วยรบสุดนภาที่ได้รับการดูแลจากตำหนักสุดนภามานานหลายปีและอยู่ภายใต้การบัญชาการของเซียวเทียนมาตลอดหลายปี!” เลี่ยซันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม สายตาที่มองไปทางมู่เฉินฉายแววกังวลเป็นครั้งแรก
เขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของมู่เฉินในศาสตร์รัศมจั้นยี่ แต่เซียวเทียนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นอัจฉริยะในศาสตร์นี้เช่นกัน มิหนำซ้ำยังกลั่นวิญญาณสงครามได้ด้วย บวกกับการได้เปรียบในด้านจำนวนของหน่วยรบ อีกฝ่ายถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของมู่เฉินแน่นอน
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาสะบัดแขนเสื้อ หน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่อยู่ข้างหลังก็ส่งเสียงดังลั่นฟ้า โดยไม่มีสัญญาณที่คิดจะถอยห่างเลย
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตกำจายออกไปราวกับมหาสมุทร พลังที่แสดงออกมาทำให้จอมยุทธ์หลายคนมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าเนื่องจากความแตกต่างเชิงปริมาณ รัศมีจั้นยี่วิหคหโลกันตร์จึงดูด้อยกว่าหน่วยรบสุดนภาหลายส่วน
“ฮ่าๆ แกคิดจะสู้กับหน่วยรบสุดนภาด้วยกำลังพลเพียงห้าพันคนเนี่ยนะ? ตลกจริงเว้ย!” เซียวเทียนส่งเสียงเย้ยหยันขณะมองไปที่หน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน การต่อสู้ส่วนใหญ่ระหว่างรัศมีจั้นยี่ขึ้นอยู่พลังของกองทัพ ซึ่งพลังของกองทัพก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพและจำนวนของนักรบ
หน่วยรบสุดนภาของเขาได้รับการดูแลจจากตำหนักสุดนภามาหลายปี ซึ่งใช้ทรัพยากรจำนวนมากมาย ในขณะที่หน่วยรบวิหคโลกันตร์มีรากฐานอ่อนด้อย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็ราวกับกลางวันและกลางคืน ดังนั้นหากพวกเขาปะทะกันจริงๆ ผลลัพธ์ต้องเอียงทางข้างเดียวแน่นอน
“ตู้ม!”
เซียวเทียนมีนิสัยโหดเหี้ยมและไร้ปรานี ดังนั้นขณะที่พูดเยาะเย้ยก็ไม่ได้ให้เวลามู่เฉิน เขาวาดตราประทับในฝ่ามือ รัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ที่เบื้องหลังพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อเป็นลำแสงนับหมื่นดูราวกับพายุหมุนโอบล้อมรอบมู่เฉิน
ในเส้นทางที่ลำแสงกวาดผ่าน มิติกระเพื่อมไหวด้วยความผันผวนของคลื่นพลังงานซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังมีท่าทางเคร่งเครียด แม้ว่าขุมพลังของเซียวเทียนจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น แต่ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังหวาดผวาเมื่อเขาเข้าบัญชาหน่วยรบสุดนภานี้
มู่เฉินมองไปที่การโจมตีที่โอบล้อมมาจากทุกทิศทางก็ขมวดคิ้ว ฝ่ามือของเขาวาดท่าตราประทับ มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตเบื้องหลังกระเพื่อมไหว ก่อร่างเป็นปราการยิ่งใหญ่
ปัง! ปัง! ปัง!
ลำแสงรัศมีจั้นยี่นับไม่ถ้วนพุ่งกระแทกใส่ ทำให้ปราการพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น
เมื่อปราการแตกออกลำแสงที่เหลือก็กวาดเข้าหามู่เฉินไม่มียั้ง
กีด!
แสงเย็นวาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉิน ทันใดนั้นเสียงแหลมคมก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน วิญญาณสงครามยิ่งใหญ่ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ปีกสองข้างที่ราวกับใบมีดคมกริบกวาดออกมา เปลี่ยนความผันผวนของคลื่นหลิงที่รุนแรงเหล่านั้นให้การเป็นประกายแสง
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน พร้อมกับแววตื่นตะลึงวาบผ่านนัยน์ตาไป
“นั่นเหรอวิญญาณสงคราม? ทรงพลังจริงๆ ทำให้รัศมีจั้นยี่หน่วยรบวิหคโลกันตร์เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนเลย!”
“มิน่าล่ะผู้คนถึงว่ากันว่ามีเพียงกองทัพที่สามารถสร้างวิญญาณสงครามได้เท่านั้นที่จะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นกองทัพที่แท้จริง ที่แท้วิญญาณสงครามก็ทรงพลังขนาดนี้นี่เอง!”
“…”
เสียงกระซิบกระซาบดังก้องไปทั่วบริเวณ เนื่องจากมีกองทัพน้อยนิดที่สามารถสร้างวิญญาณสงครามขึ้นมาได้ ดังนั้นการได้เห็นในการต่อสู้นี้ทำให้วิสัยทัศน์ของพวกเขากว้างขึ้น
“ฮ่าๆ นี่คือวิญญาณสงครามของแกเรอะ?” เซียวเทียนถากถาง ขณะที่จ้องมองวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ จากนั้นมุมปากก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นข้าจะถ่างตาแกให้เห็นเอง!”
เมื่อคำพูดจบลง รัศมีจั้นยี่ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็กวาดรวมตัวกันอย่างเมามัน ทำให้เกิดรอยแตกขนาดใหญ่บนยอดเขาแผ่ซ่านออกไปราวกับแผ่นดินพิโรธเลยทีเดียว
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ด้านหลังเซียวเทียน ทันใดนั้นเงาใหญ่ก็ปกคลุมเข้ามากะทันหัน ทำให้สีหน้าจอมยุทธ์ทุกคนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและตกตะลึง
รัศมีจั้นยี่อสรพิษที่มีขนาดหลายพันจั้งก่อตัวลอยอยู่เหนือขอบฟ้า เสียงขู่ฟ่อทำให้เกิดการลูกคลื่นในมิติ มีลวดลายโบราณพร่างพราวสลักบนร่างอสรพิษยักษ์ ทำให้เกิดคลื่นน่าอัศจรรย์ใจกระจายออกไป
วิญญาณสงครามอสรพิษนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่มู่เฉินสร้างขึ้นมาเสียอีก มิหนำซ้ำเมื่อเทียบระหว่างทั้งสองแล้วก็เห็นถึงความแตกต่างในคลื่นหลิงอีกด้วย
“มู่เฉินทะนงตนเกินไป หน่วยรบวิหคโลกันตร์มีนักรบห้าพันคนเท่านั้น ซึ่งหน่วยรบของเซียวเทียนมีมากกว่าถึงสามเท่า วิญญาณสงครามที่สร้างขึ้นระหว่างพวกเขาราวกับฟ้ากับเหวเลยทีเดียว” บนยอดเขาสูงที่ฝั่งหมู่ตึกเทวะ ฟังยี่เอ่ยเย้ยหยันเสียงเย็น ขณะที่มองรัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่สองกลุ่ม
ที่เบื้องหน้าเขา จินไถหลิวหลีมองภาพนี้แต่ดวงตากลับหดลงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมองเห็นริ้วความประหลาดใจปรากฏขึ้นในนัยน์ตา เมื่อนางมองไปที่วิญญาณสงครามของมู่เฉิน
“ลวดลายบนวิญญาณสงครามที่มู่เฉินสร้างมีสี่พันกว่าลาย ส่วนซียวเทียนมีหกพันกว่าลาย” จินไถหลิวหลีพึมพำกับตัวเอง
เมื่อได้ยิน พวกฟังยี่ก็อึ้งไปก่อนที่จะหัวเราะ “งั้นดูท่ามู่เฉินต้องแพ้แน่เลย”
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าลวดลายนี้หมายถึงอะไร แต่พวกเขาสามารถบอกได้จากการแสดงออกของจินไถหลิวหลีว่ายิ่งจำนวนลวดลายมากขึ้น ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จินไถหลิวหลีไม่ได้สนใจฟังยี่ กลับจ้องมองมู่เฉินด้วยความอัศจรรย์ใจ
คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับพลังรัศมีจั้นยี่ มากจนแม้แต่แม่ทัพส่วนใหญ่ที่อยู่ในขั้นเริ่มต้นของการบัญชายังไม่รู้อะไรมากนัก จากการคาดการณ์ของจินไถหลิวหลี บางทีเม้แต่มู่เฉินกับเซียวเทียนยังไม่ค่อยรู้ความหมายเบื้องหลังของลวดลายพวกนี้
แต่จินไถหลิวหลีเคยอ่านข้อมูลบางอย่างในตำราโบราณ ดังนั้นนางจึงรู้ว่ามีความแตกต่างของพลังระหว่างวิญญาณสงคราม ซึ่งถูกกำหนดด้วยลวดลายที่อยู่บนวิญญาณสงคราม โดยที่ลวดลายจะมีความสัมพันธ์กับรัศมีจั้นยี่ของกองทัพ ดังนั้นกองทัพที่มีรัศมีจั้นยี่ทรงพลังกว่าก็จะสามารถสร้างลวดลายบนวิญญาณสงครามได้มาก
ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันของลวดลายบนวิญญาณสงคราม ฝั่งมู่เฉินมีน้อยกว่าฝั่งเซียวเทียนก็จริง แต่กองทัพของเซียวเทียนมีนักรบมากกว่าถึงสามเท่า
นั่นหมายความว่าถ้าทั้งคู่มีกองทัพขนาดเดียวกันละก็ มู่เฉินปราบเซียวเทียนอยู่หมัดแน่นอน… ซึ่งบ่งบอกว่าความเข้าใจของมู่เฉินเกี่ยวกับรัศมีจั้นยี่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
เพราะด้วยจำนวนนักรบห้าพันคนของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ สามารถสร้างลวดลายสี่พันลายบนวิญญาณสงครามได้ นี่เป็นเรื่องยากกระทั่งกับจินไถหลิวหลีที่จะทำ
มู่เฉินมีความสามารถจริงๆ
“ฮ่าๆ มู่เฉิน แกมองเห็นความแตกต่างนี้ไหม? แม้จะเทียบด้านวิญญาณสงครามแกก็ยังด้อยกว่าข้า” ขณะที่อสรพิษใหญ่ขดตัวอยู่เบื้องหลังเซียวเทียน เขาก็หัวเราะสาสมใจพลางมองไปที่มู่เฉิน นั่นเพราะในความรู้สึกเขา วิญญาณสงครามที่มู่เฉินสร้างด้อยกว่าตัวเอง ดังนั้นผลลัพธ์ของการต่อสู้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว
มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่จ้องมองอสรพิษเบื้องหลังเซียวเทียน แต่ก็ยังไม่มีระลอกคลื่นใดในนัยน์ตา
“สายตานี้น่ารังเกียจจริงๆ ตายซะเถอะ!”
เมื่อเห็นสายตาสงบนิ่งของมู่เฉิน ดวงตาของเซียวเทียนก็ลุกโชนด้วยรังสีสังหาร นั่นเพราะเขาต้องการเห็นมู่เฉินหวาดกลัวและร้อนรน ไม่ใช่สงบนิ่งราวกับผิวน้ำ!
ดังนั้นเขาจึงแผดเสียงลั่น อสรพิษที่อยู่ข้างหลังก็ส่งเสียงขู่ฟ่อ ขณะที่ลวดลายระเบิดออกเป็นวงกว้าง รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกไป
ปัง!
อสรพิษอ้าปากกว้าง ลมหายใจรัศมีจั้นยี่พันจั้งกวาดออกมา อากาศถึงกับหลอมละลายทันที จากนั้นก็พุ่งเข้าห่อหุ้มร่างของมู่เฉิน
ตราประทับในฝ่ามือของมู่เฉินเปลี่ยนไป วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ก็คำรามลั่น ก่อนที่จะกวาดปีกออกราวกับโล่ ป้องกันลมหายใจที่น่าสะพรึง
ชี่! ชี่!
ทันทีที่คลื่นพลังสองสายปะทะกัน ก็เกิดเสียงอื้ออึงไปทั่ว ขณะที่รัศมีจั้นยี่กระแทกกันไม่ยั้ง ลวดลายบนปีกวิหคโลกันตร์ก็เหมือนจะค่อยๆ จางลง
นี่เป็นสัญญาณบอกว่ารัศมีจั้นยี่กำลังอ่อนล้า
แม้ว่าลวดลายอสรพิษจะลดลงเช่นกัน ทว่าอัตราการจางหายก็ยังช้ากว่าของวิหคโลกันตร์ ดูจากสภาะนี้แล้วคงอีกไม่นานที่รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์จะอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ
ผู้ชมก็สังเกตเห็นฉากนี้ ต่างก็ถอนหายใจ ดูท่าครั้งนี้มู่เฉินจะเตะกระดานโลหะเข้าให้แล้ว
ที่เบื้องหลังคิ้วของจิ่วโยวและผู้บัญชาการทั้งสี่ก็ถึงกับขมวดแน่น ความกังวลในดวงตาหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ฮา
แต่ภายใต้สายตากระวนกระวายของพรรคพวก มู่เฉินกลับพ่นลมหายใจสีขาวขุ่นออกมา ก่อนที่เขาจะหันมายิ้มให้กับเสี่ยยิง รอยยิ้มนี่ทำให้คนที่เหลือถึงกับใจกระตุกเลยทีเดียว
“ผู้บัญชาการเสี่ยยิง ขอข้ายืมหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตหน่อย!”
บทที่ 866 ยืมหน่วยรบ
“ผู้บัญชาการเสี่ยยิง ขอข้ายืมหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตหน่อย!
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หัวใจพวกเขาก็อดสั่นไหวไม่ได้ สายตาจับจ้องไปยังคนพูดด้วยความตะลึง มู่เฉินต้องการบัญชาวิญญาณสงครามเหยี่ยวโลหิตตอนนี้รึ?
แต่เขาจะสามารถสั่งการรัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิตขณะที่ควบคุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์ด้วยได้จริงหรือ? ทั้งสองมีรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเชียวนะ
แม้ว่าผู้บัญชาการคนอื่นๆ จะไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับรัศมีจั้นยี่ แต่พวกเขารู้ว่าหากพลังงานที่แตกต่างกันสองอย่างมารวมกัน แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างการควบคุม ก็จะส่งผลให้คลื่นพลังกัดกร่อนผู้ใช้อย่างสาหัสสากรรจ์
แม้ก่อนหน้ามู่เฉินจะช่วยพวกเขาสร้างวิญญาณสงครามแล้ว แต่นั่นก็ค่อยๆ ทำทีละขั้น ไม่ได้รวบยอดทั้งหมดไว้ในครั้งเดียว
“ได้เลย!”
ทว่าแม้พวกเขาจะงุนงงสับสนในหัวใจไปบ้าง แต่เสี่ยยิงก็ตัดสินใจตอบตกลงทันที เขาโบกมือ หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตก็เคลื่อนออกมาราวกับหมู่เมฆโลหิตไปที่ด้านหลังของมู่เฉิน
“ขอบใจ”
มู่เฉินแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ สายตาคมกริบจดจ้องไปที่หน่วยรบเหยี่ยวโลหิต ทันใดนั้นเสียงคำรณก็ดังกึกก้องจากหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต รัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่กวาดออกมา
มู่เฉินแยกส่วนหนึ่งของกระแสจิตออกมาพุ่งเข้าไปในรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ของหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต
“มู่เฉินคิดจะใช้รัศมีจั้นยี่หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตเรอะ?!”
การกระทำของมู่เฉินทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่ว สายตาสงสัยนับไม่ถ้วนมองไปที่มู่เฉิน ชัดว่าต่างรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“มู่เฉินนี่เป็นพวกป่วยหนักจึงหาหมอไปมั่ว” ฟังยี่ขมวดคิ้ว จากนั้นก็เค้นเสียงเย็น
“เขาไม่ได้ป่วยหนักจึงหาหมอไปมั่วหรอก” ที่เบื้องหน้า จินไถหลัวหลีส่ายหน้าเบาๆ ดวงตาของนางมองไปที่มู่เฉิน ริ้วความอัศจรรย์ใจก็ผุดขึ้น “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างกันในเวลาเดียวกัน แต่แค่ต้องใช้ระดับการควบคุมที่เข้มงวดมาก”
“หรือว่าเขาจะทำได้?” ใบหน้าฟังยี่เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดขณะที่พูด
จินไถหลิวหลีส่ายหน้าตอบ “ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นคนใจเย็นมาก ดังนั้นเขาคงไม่ทำสิ่งที่ไร้ความหมายแน่ ในเมื่อเขาเลือกทำแบบนี้ก็แสดงว่ามีความมั่นใจในระดับหนึ่ง”
แววตาของฟังยี่เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม แต่ก็ไม่อาจแย้งคำพูดของนางได้ เพราะเขาเคยสู้กับมู่เฉิน จึงเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายในระดับหนึ่ง สิ่งใดที่ไม่มั่นใจ น้อยมากที่มู่เฉินจะทำ
ทว่าการจะให้ฟังยี่ยอมรับก็เป็นไปไม่ได้ เขายอมที่จะเชื่อว่าตอนนี้มู่เฉินแค่พยายามดิ้นรน แม้เขาจะไม่ได้หวังว่าเซียวเทียนจะฆ่ามู่เฉินได้ แต่เขาก็ยินดีที่ชื่อเสียงของศัตรูตัวฉกาจจะย่นยับไม่เหลือชิ้นดี
“ควบคุมรัศมีจั้นยี่สองกลุ่มเรอะ? อวดอ้างซะจริง” สายตาของเซียวเทียนเย็นชาลงขณะที่จ้องมองภาพเบื้องหน้า ดวงตาเขาวูบไหว ในฐานะเป็นอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ เขารู้ดีว่าการกระทำของมู่เฉินเป็นโอ้อวดเพียงใด นั่นเพราะกระทั่งเขายังต้องใช้เวลานานในการควบรวมรัศมีจั้นยี่ที่แตกต่างกัน แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ชัดว่ามู่เฉินไม่มีความเข้ากันได้สูงกับหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตเลย
ทว่าถึงจะพูดเช่นนี้ แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็โหดเหี้ยมลงอีกหลายส่วน อสรพิษเริ่มปล่อยการโจมตีดุเดือด แม้ว่าวิญญาณวิหคโลกันตร์จะถอยร่นไป แต่ก็ยังไม่พ่ายแพ้
สายตานับไม่ถ้วนในบริเวณนี้จ้องมองการต่อสู้ของสองวิญญาณสงคราม แต่สายตาที่มากกว่านั้นกลับมองไปที่รัศมีจั้นยี่บนหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต จุดนั้นรัศมีจั้นยี่พลุ่งพล่านราวกับทะเลโลหิต พวกเขาต่างกำลังรอคอย เนื่องจากต้องการที่จะเห็นว่ามู่เฉินมีความสามารถในการควบคุมรัศมีจั้นยี่สองกลุ่มจริงหรือไม่
ครืน!
การเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือดระหว่างรัศมีจั้นยี่สร้างพายุกวาดล้างออกมา ทำให้ทั่วมิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
แต่ถึงแม้จะสั่นสะท้านร่างมู่เฉินก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน เขาหลับตาลงตัดความวุ่นวายของภายนอกออก กระแสจิตเข้าควบคุมความมุ่งมั่นของตนหล่อหลอมเข้าไปในรัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิตอย่างรวดเร็ว
เขาหลับตาอยู่กว่าสิบลมหายใจ ก่อนจะค่อยๆ เปิดดวงตาขึ้นอย่างช้าๆ แสงสีแดงวูบไหวอยู่ในดวงตาส่วนลึก
ตู้ม!
จังหวะที่มู่เฉินลืมตากว้าง รัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิตก็ระเบิดออกพร้อมกับลำแสงสีโลหิตพวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า เริ่มถักทอเข้าด้วยกัน
สายตาตะลึงงันนับไม่ถ้วนจ้องมองฉากนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนไปเป็นความตกตะลึง เพราะพวกเขาเห็นว่าเหยี่ยวโลหิตตัวมหึมากำลังสยายปีกออกจากจุดที่เสาแสงสีแดงประสานกัน บนร่างเหยี่ยวยักษ์มีลวดลายจั้นเหวินแผ่กระจายพร้อมกับเปล่งรัศมีจั้นยี่ที่น่าทึ่ง
กีด!!!
เสียงคมชัดสะท้อนออกไปทั่วบริเวณ ผู้คนจำนวนมากอดไม่ได้ที่จะอ้าปากตาค้างเมื่อเห็นภาพเหยี่ยวโลหิต ก่อนที่จะสูดลมหายใจเย็นสุดขั้วเข้าไปในปอด
ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะบัญชารัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิตได้ เขายังสามารถสร้างวิญญาณสงครามของหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตขึ้นมาได้อีกด้วย!
นี่ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินสามารถควบคุมวิญญาณสงครามสองกองทัพในเวลาเดียวกันรึ?!
“ไอ้เวรนั่น เป็นไปได้อย่างไร?!” ใบหน้าของฟังยี่เขียวคล้ำ ขณะที่สายตาเคร่งเครียดลงหลายส่วน มู่เฉินเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่พบกันจริงๆ
“สร้างได้กระทั่งวิญญาณสงครามเหยี่ยวโลหิตเหรอ” ริ้วความอัศจรรย์ใจวูบไหวในดวงตาของจินไถหลิวหลี นางมองไปที่รัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิตแล้วพูดเสียงแผ่วเบา “มีลวดลายสามพันลายบนวิญญาณสงครามเหยี่ยวโลหิต แม้เทียบหน่วยรบวิหคโลกันตร์ไม่ได้ ดูท่ามู่เฉินจะควบคุมรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตได้ไม่เท่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์”
“แต่ด้วยรัศมีจั้นยี่สองกองทัพก็เพียงพอที่เขาจะรับมือเซียวเทียนได้แล้ว”
ขณะที่วิญญาณสงครามเหยี่ยวโลหิตปรากฏขึ้น สีหน้าของเซียวเทียนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขามองมู่เฉินพลางเอ่ยอย่างมืดมน “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีกลยุทธ์ใช้ได้เลย!”
มู่เฉินมองอย่างไม่แยแส ไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเลย ตราประทับในมือเปลี่ยนไป วิญญาณสงครามเหยี่ยวโลหิตก็คำราม ก่อนจะกระพือปีกทั้งสองแล้วไปปรากฏเหนือร่างเซียวเทียนในพริบตา เมื่อปีกสะบัดขนโลหิตนับไม่ถ้วนก็พุ่งลงมา สร้างรอยยาวไว้บนมิติ
“บ้าเอ้ย!”
เผชิญหน้ากับการโจมตีของวิญญาณสงครามเหยี่ยวโลหิต สีหน้าของเซียวเทียนก็มืดครึ้ม เขาไม่กล้ารอช้า จิตใจเคลื่อนไหว อสรพิษก็หยุดปล่อยการโจมตีศัตรูแล้วกวาดหางทำลายขนโลหิตแตกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อวิญญาณสงครามอสรพิษหยุดโจมตี วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ก็พุ่งออกมาทันที โดยเล็งเป้าไปที่อสรพิษยักษ์ร่วมแรงประสานกับเหยี่ยวโลหิตจากบนและล่าง
ตู้ม!
วิญญาณสงครามทั้งสามโรมรันพันตูกัน ไม่นานทั้งมู่เฉินและเซียวเทียนก็สาดไอเย็นยะเยือกในดวงตา วินาทีต่อมาวิญญาณสงครามทั้งสามก็พุ่งตัวออกพร้อมรัศมีจั้นยี่รุนแรงปะทะกันเปรี้ยงปร้าง
ไม่มีกลยุทธ์อะไรในการปะทะนี้ ทั้งสองฟาดฟันด้วยพลังรัศมีจั้นยี่ล้วนๆ ในตอนแรกอสรพิษแข็งแกร่งกว่าวิหคโลกันตร์อย่างชัดเจน แต่เมื่อมีเหยี่ยวโลหิตเข้าร่วมสมรภูมิ อสรพิษก็เริ่มถูกยับยั้งเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ฝั่งตำหนักสุดนภา ใบหน้าของหลิ่วเหยียนน่าเกลียดอย่างยิ่ง เมื่อเห็นสถานการณ์กลับตาลปัตร เขาไม่คิดเลยว่าหลังจากเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายนี้ มู่เฉินยังมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้ออีก
“ไอ้บ้านั่น!”
หลิ่วเหยียนกัดฟันด้วยความโกรธแค้นพลุ่งพล่านเต็มหัวใจ แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้
ครืน!
บนท้องฟ้า วิญญาณสงครามทั้งสามห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน การปะทะกันแต่ละครั้งทำให้เกิดความผันผวนไปทั่วมิติโดยรอบ ครั้งสุดท้ายที่วิญญาณสงครามทั้งสามปะทะกันเต็มกำลัง ก็ต่างโดนซัดจากคลื่นกระแทกจนแตกสลายเป็นจุดแสงเต็มฟ้าภายใต้สายตาประหลาดใจนับไม่ถ้วน
ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างสูสีเลยทีเดียว!
“เป็นไปได้ยังไง?!”
ดวงตาของเซียวเทียนกลายเป็นสีแดงกับภาพนี้ แม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเสมอกัน แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ ตัวเขาควบคุมหน่วยรบชั้นยอดของตำหนักสุดนภา ขณะที่มู่เฉินมีเพียงหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่อ่อนแอ ถึงจะมีหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตเข้ามาร่วมประสาน แต่ก็มีจำนวนพลแค่หมื่นกว่าคนเท่านั้น ซึ่งยังด้อยกว่าหน่วยรบสุดนภาของเขา ดังนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดเอาไว้เลย
“กองทัพระดับนี้ตกอยู่ในมือแกเสียดายของชะมัด” มู่เฉินมองเซียวเทียนอย่างไม่แยแส น้ำเสียงราบเรียบของเขากลับทำให้อีกฝ่ายตาลุกเป็นไฟ
“รนหาที่ตาย!”
เซียวเทียนคำรามกำลังจะสั่งให้หน่วยรบสุดนภาเข้าโรมรันกับมู่เฉินอีกครั้ง ทว่าหลิ่วเหยียนกลับมาปรากฏตัวที่ด้านข้าง หยุดเขาไว้ด้วยสีหน้ามืดมน
ตำหนักสุดนภาได้รับคำสั่งจากบิดาเขาให้ตรวจสอบซากอารยธรรมความตาย ถ้าพวกเขาพ่ายแพ้ในการประลองระหว่างรอ พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายต่อไปได้
ในความคิดของหลิ่วเหยียน เขาแค่ต้องการใช้ความสามารถของเซียวเทียนในการทำลายความมั่นใจของมู่เฉินก่อนเข้าสู่ซากอารยธรรม เพื่อทำให้ชื่อเสียงอีกฝ่ายเสียหายย่อยยับ แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะเปิดศึกอย่างเต็มรูปแบบ
“ค่อยจัดการมันหลังจากเข้าไปในซากอารยธรรมความตาย” หลิ่วเหยียนหันมาพูดกับเซียวเทียน
เซียวเทียนฉายสีหน้าอำมหิตขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อถอยไป
มู่เฉินเฝ้ามองฉากนี้อย่างสงบ เมื่อเห็นเซียวเทียนถอยออกไป แววตาเย็นชาก็กวาดมองไปที่ฟังยี่ ก่อนที่น้ำเสียงเยือกเย็นจะเปล่งออกมา “มีใครยังสงสัยคุณสมบัติของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าอีกไหม?”
โดยรอบเงียบสงัดไม่มีใครกล้าเปิดปากทักท้วงมู่เฉินสักคน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังมีแววหวาดเกรงฉายในดวงตา
มู่เฉินได้แสดงพลังเป็นที่ประจักษ์ในครั้งนี้แล้ว!
สีหน้าของฟังยี่มืดครึ้ม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
เมื่อรับรู้ถึงความเงียบงัน มู่เฉินก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหันหลังเตรียมกลับไปรวมตัวกับพรรคพวก
ตึง!
ทว่าจังหวะที่มู่เฉินหันไปนั้น เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังขึ้น นี่เป็นเสียงโห่ร้องที่ฟังเหมือนกับเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดของเหล่านักรบ จิตสังหารที่อัดแน่นในเสียงคำรามคั่งแค้นทำให้ฟ้าดินถึงกับมืดลง
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ ทำเอาเหล่าจอมยุทธ์ถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้นแววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงขณะที่มองไปยังซากโบราณที่อยู่ในความมืดมิด
เสียงร้องผิดแผกนั้นเปล่งออกมาจากซากอารยธรรมความตาย!
บทที่ 867 เข้า
โฮก!!!
เสียงร้องแปลกประหลาดที่เต็มไปด้วยการทนทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุดดังขึ้นจากภายในซากโบราณ ความสิ้นหวังในน้ำเสียงทำเอาหนังหัวคนฟังถึงกับลุกซู่
นอกจากนี้เสียงร้องดังกล่าวยังมาพร้อมกับเสียงคำรามไม่รู้จบซึ่งเหมือนจะบรรจุด้วยพลังงานแปลกประหลาดที่ทำให้ท้องฟ้าบริเวณนี้มืดลง
ความกดดันครอบงำไปทั่ว
ด้านนอกซากอารยธรรมความตาย จอมยุทธ์จำนวนมากมีแววตาประหลาดใจขณะจ้องมองไปในความมืด แม้พวกเขาจะยังไม่ได้เข้าไปในซากโบราณแห่งนี้ แต่พวกเขาก็เริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวของมันแล้ว
“คลื่นนี้…”
สายตามู่เฉินหดลงเช่นกัน เขามองไปที่ซากอารยธรรมความตายด้วยความตกตะลึง พลังงานพิเศษที่บรรจุในเสียงคำราม เขาคุ้นเคยดี เพราะนั่นคือพลังของรัศมีจั้นยี่
ซากอารยธรรมความตายแห่งนี้เกี่ยวข้องกับจั้นเจิ้นซือจริงด้วย!
เปลวไฟลุกโชนขึ้นในดวงตามู่เฉิน สายตาเขายึดติดอยู่ที่ซากอารยธรรมความตาย ดูเหมือนความปั่นป่วนที่ส่งออกมา จะเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ดุเดือดเมื่อครู่ จนไปกระตุ้นบางสิ่งที่อยู่ในซากอารยธรรมโบราณ
สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่ถอยกลับไปที่ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ดูเหมือนซากอารยธรรมนี้จะเกี่ยวข้องกับจั้นเจิ้นซือจริงๆ ข้ารู้สึกได้ถึงความผันผวนของรัศมีจั้นยี่ที่กำจายออกมาจากมัน”
สีหน้าของจิ่วโยวและผู้บัญชาการคนอื่นๆ สั่นไหว ซากอารยธรรมความตายเบื้องหน้าประหลาดนัก แต่ก็ได้รับการยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับจั้นเจินซือ ดังนั้นจะต้องมีอันตรายมากมายอยู่ข้างในแน่นอน ดูท่าพวกเขาจะต้องระมัดระวังให้มากแล้ว
“เราจะเคลื่อนพลเมื่อไร?” จิ่วโยวถามเสียงต่ำ
“รอก่อนเถอะ” มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ แม้เขาจะยืนยันได้ว่าซากอารยธรรมความตายเกี่ยวข้องกับจั้นเจิ้นซือ แต่นี่ยิ่งทำให้เขาสงบลง เพราะการรีบเร่งหรือทำตัวเด่นไม่เป็นประโยชน์อะไรในดินแดนอันตรายเช่นนี้
เหล่าผู้บัญชาการก็เข้าใจเกี่ยวกับเหตุผลดังกล่าวชัดเจน แต่ละคนพยักหน้า จากนั้นทั้งกลุ่มก็ทะยานลงไปยังยอดเขาสูงที่อยู่หน้าสุด เริ่มจ้องมองไปยังซากอารยธรรมโบราณที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิดอย่างเข้มข้น
พร้อมกับที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ปักหลักรอ เสียงคำรามที่ผิดปกติในซากอารยธรรมความตายก็ค่อยๆ เงียบหายไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อกลับคืนสู่ความสงบ กองทัพที่อยู่ในบริเวณนี้ก็เริ่มปั่นป่วน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าพิสูจน์ว่าซากอารยธรรมความตายไม่ใช่ธรรมดา มีโอกาสสูงที่สถานที่แห่งนี้จะเป็นซากอารยธรรมระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ถ้าพวกเขาเข้าไปได้ก่อน ก็จะสามารถแย่งกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วได้ในปริมาณมหาศาลก่อน จำนวนเม็ดยาที่มาจากซากอารยธรรมระดับหนึ่ง ต้องทำให้พวกเขาอดเลียริมฝีปากไม่ได้แน่
นอกจากนี้ยังมีอาวุธพบสวรรค์ วิทยายุทธเทพและสมบัติอื่นๆ อีกมากมายที่ถูกทิ้งไว้โดยจอมยุทธ์โบราณ ซึ่งแค่นี้ก็พอที่จะทำให้ดวงตาของผู้คนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
ดังนั้นภายใต้การยั่วยุเช่นนี้ สถานการณ์ภายนอกซากอารยธรรมที่เงียบสงบก็เริ่มกวนตัวอย่างไม่หยุดหย่อน ความโลภในดวงตาของหลายกองทัพเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ชัดเจนว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถรักษาสติภายใต้สิ่งที่ล่อลวงใจ ทุกคนล้วนมีความคิดว่าตนจะโชคดี
ฟิ้ว!
ขณะที่บรรยากาศกระสับกระส่ายแผ่ขยายออกไป ซึ่งกินเวลาสิบกว่านาทีก่อนที่จะมีกองทัพบางส่วนไม่สามารถหยุดยั้งอารมณ์ได้ ร่างเงานับพันเคลื่อนตัวออกไป กลายเป็นกลุ่มแสงใหญ่พุ่งไปยังซากอารยธรรมความตายที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
เงาร่างเหล่านั้นมาจากกองทัพเดียวกันประกอบด้วยจอมยุทธ์ทรงพลังมากมาย แน่นอนว่าหากใครไม่มีความสามารถใด พวกเขาก็คงไม่กล้าเปิดเผยความโลภในหัวใจขึ้นมาได้หรอก
บรรยากาศบริเวณนี้ร้อนระอุแล้ว ยิ่งตอนนี้มีกองทัพหนึ่งเปิดทาง ก็ดันความร้อนรนไปถึงขีดสุด ทันใดนั้นกองทัพอื่นก็กัดฟันเคลื่อนไหว พาพรรคพวกของตนพุ่งเข้าไปในซากโบราณ เห็ดชัดว่าพวกเขาไม่อยากให้คนอื่นเก็บเกี่ยวเอาขุมทรัพย์ในซากอารยธรรมความตายไปหมดก่อน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เมื่อกองทัพจำนวนมากขึ้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั่วบริเวณก็คึกคักอย่างยิ่ง ร่างแสงพุ่งผ่านขอบฟ้ามาจากทุกทิศทาง ช่างเป็นฉากที่งดงามตระการตา
ทว่าหลายขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่บนยอดเขาใกล้ซากอารยธรรมความตายที่สุดกลับไม่เคลื่อนไหวเลย เพียงแต่มองกองทัพอื่นๆ พุ่งเข้าในซากโบราณ
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขา ขณะเฝ้ามองกองทัพเหล่านั้นที่เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟอย่างสงบนิ่ง ในดวงตาไม่รู้สึกสงสารอะไร ความโลภเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุด ในเมื่อพวกเขามีความโลภก็ต้องคิดถึงมูลค่ามหาศาลที่ต้องจ่ายออกไป
มู่เฉินกวาดสายตามองยอดเขาอื่นๆ บนยอดเขาเหล่านั้นหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีหลายกองทัพที่ทรงอำนาจต่างๆ ไม่ได้พุ่งบุ่มบ่ามเข้าไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังรอโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อจะเคลื่อนไหว
ในเมื่อกองทัพเหล่านั้นเป็นเสาหลักภูมิภาคทางเหนือมาเนิ่นนาน ก็ต้องมีจุดที่น่ายกย่องแน่นอน
ขณะที่ความคิดของมู่เฉินแล่นพล่าน เขาก็เบนสายตากลับไปจ้องที่ซากอารยธรรมความตาย เขาสัมผัสได้ว่าเมื่อจำนวนคนที่หลั่งไหลเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ ซากอารยธรรมก็เริ่มปลดปล่อยระลอกคลื่นหลิงป่าเถื่อนออกมา
เหมือนจะมีไอสังหารระเบิดออกมาอย่างเลือนราง
กองทัพเหล่านั้นน่าจะเจอสิ่งกีดขวางบางอย่าง แต่นี่ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของมู่เฉิน ถ้ากองทัพที่เข้าไปนั่นไม่เจออะไร มู่เฉินก็คงไม่กล้าที่จะเข้าไปแล้วจริงๆ
เพราะทุกเรื่องที่ผิดปกติจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ด้วยความระมัดระวังของมู่เฉิน เขาจะไม่เข้าสู่สิ่งที่ท้าทายตรรกะผิดธรรมชาติ นั่นเพราะมีโอกาสที่จะเอาชีวิตไปทิ้ง
ครืน!
การระเบิดของคลื่นหลิงที่รุนแรงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากซากอารยธรรมความตาย พวกมู่เฉินที่อยู่ภายนอกยังสามารถมองเห็นการต่อสู้วุ่นวายที่ระเบิดในความมืด
“ได้เวลาแล้ว!” ครู่หนึ่งมู่เฉินก็พูดออกมา เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาเขาเริ่มรู้สึกว่าระลอกคลื่นรัศมีจั้นยี่ที่พุ่งออกมาจากซากอารยธรรมโบราณเริ่มอ่อนลง
“ไป!”
ทันทีที่สิ้นเสียงมู่เฉิน บนยอดเขาที่กองทัพหมู่ตึกเทวะตั้งอยู่ จินไถหลิวหลีก็พูดออกมาเบาๆ เช่นกัน
ตู้ม!
เมื่อสิ้นเสียงของนาง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่กองทัพทรงพลังเริ่มเคลื่อนตัวออกมา ราวกับก้อนเมฆพลุ่งพล่านเข้าไปในซากอารยธรรมความตาย
หมู่ตึกเทวะเคลื่อนไหวแล้ว
หลังจากการเคลื่อนไหวของหมู่ตึกเทวะ ตำหนักสุดนภาก็เคลื่อนกำลังพลเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งจินไถหลิวหลีและเซียวเทียนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นเช่นกัน
“เร็วนะเนี่ย” จ้องมองคนเหล่านั้น มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนจะหันมาพูดกับพรรคพวก “เมื่อเข้าไปในซากอารยธรรมความตาย พวกเราพยายามเกาะกลุ่มกันไว้ให้ดี”
“ตกลง!” เหล่าผู้บัญชาการไม่ได้ปฏิเสธคำพูดนี่ ต่างพากันพยักหน้ารับ พวกเขาเข้าใจกันดีว่าการเข้าไปในดินแดนอันตราย ทางที่ดีที่สุดก็คือรวมกันอยู่ เพื่อจะสามารถประกันความปลอดภัยของกันและกันได้
“ลุย!”
เมื่อเห็นการตอบรับของพรรคพวก มู่เฉินก็ยิ้ม จากนั้นไม่ลังเลอีก เขาโบกมือส่งสัญญาณ ร่างทะยานออกไปเป็นคนแรก ตามด้วยเหล่าผู้บัญชาการและกองทัพที่เบื้องหลัง
พวกเขาราวกับเมฆดำที่พัดข้ามขอบฟ้า ในเวลาสิบกว่าลมหายใจก็มาปรากฏที่รอบนอกซากอารยธรรมความตาย ความดำมืดที่ไหลเอื่อยภายในปล่อยความเย็นยะเยือกไม่รู้จบ ส่งไอเย็นสุดขั้วไปยังหัวใจของผู้คน
ทว่าความมืดมิดไม่สามารถขัดขวางการเคลื่อนทัพได้ ตรงกันข้ามรัศมีน่าทึ่งของกระบวนทัพยิ่งใหญ่กลับกำจายออกไปปัดเป่าความมืดมิด เผยให้เห็นดินแดนสีดำเลือนรางที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกมากมายบนพื้นดิน
มู่เฉินจ้องมองโครงกระดูกเหล่านั้น สายตาก็หดเกร็ง เพราะเขาสังเกตเห็นว่าโครงกระดูกเหล่านั้นตั้งท่าเหมือนกัน แม้จะตายไป แต่ก็ราวกับก้อนหิน ไม่ขยับเขยื้อนเลย
นี่คือกองทัพ
นอกจากนี้ยังเป็นกองทัพที่ไม่เกรงกลัวต่อให้เผชิญกับความตาย
จั้นเจิ้นซือที่สามารถบัญชากองทัพเช่นนี้ได้ต้องเป็นจอมยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
สายตาของมู่เฉินลุกโชนขณะจ้องมองเข้าไปในจุดลึกของความมืด ในซากอารยธรรมความตายจะต้องมีจั้นเจิ้นซือสิ้นชีพอยู่ที่นั่นแน่ ถ้าเข้าได้รับโชคชะตานั่น เขาอาจจะก้าวขึ้นเป็นจั้นเจิ้นซือที่แท้จริงก็เป็นได้!
เมื่อไรที่เขากลายเป็นจั้นเจิ้นซือ สถานะของเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คงจะอยู่เหนือกว่าเหล่าผู้บัญชาการทั้งหมด!
ความคิดร้อนแรงวูบวาบขึ้นในหัวใจของมู่เฉิน จากนั้นโดยไม่ลังเลร่างของเขาก็กลายเป็นลำแสงทะยานเข้าไปในความมืดมิดอย่างรวดเร็ว ตามติดด้วยกองทัพขนาดมหึมาที่ราวกับสายธารเชี่ยวกราก ทุกคนถูกกลืนกินเข้าไปในความมืดมิดอย่างสมบูรณ์
เมื่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภา เคลื่อนทัพเข้าสู่ซากอารยธรรมความตาย ความมืดก็พุ่งขึ้นในจุดที่ลึกที่สุด ในความเลือนรางเหมือนจะมีเสียงคำรามที่ฟังไม่ใช่เสียงมนุษย์ดังขึ้น ซึ่งเต็มไปด้วยการทำลายล้าง
ระลอกความมืดกระเพื่อม ในส่วนลึกเหมือนจะมองเห็นบัลลังก์ศิลาปรากฏขึ้น ซึ่งมีร่างหุ้มด้วยชุดเกราะสีดำนั่งนิ่งอยู่บนนั้น ผมสีขาวโพลนปล่อยสยาย ไอสีดำไหลเวียนรอบตัว คลื่นแห่งการทำลายล้างแผ่ไปทั่วร่างของเขา
ในความมืดมิด เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสีแดงก่ำอัดแน่นด้วยความวิปโยค
“สมรภูมิของข้า… ใครที่บุกรุกเข้ามาต้องตาย!”
ในความมืดมิดเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยจิตสังหารกำจายออกมาอย่างน่าขนลุก
บทที่ 868 กองทัพเสื่อมทราม
ในซากอารยธรรมความตาย
รัศมีแห่งความตายหนาแน่นกวาดไปทั่วบริเวณ ดูราวกับดินแดนความตาย ทำเอาขนลุกชันไปหมด
วาบ!
แต่วันนี้ความสงบในซากอารยธรรมกลับแตกสลาย จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนแห่กันเข้ามา เสียงโวกเวกต่อสู้ทำให้ดินแดนแห่งนี้คึกคักขึ้นมาก
มู่เฉินนำหน่วยรบอาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้ามา หลังจากเข้ามาก็เร้าความเร็วทัพจนถึงขีดสุด ราวกับหอกที่พุ่งออกไปจนไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ ทะยานตัวเข้าไปในจุดลึกอย่างรวดเร็ว
ทว่าภายใต้การเดินทางที่รวดเร็ว ไม่นานพวกเขาก็เห็นสิ่งกีดขวางที่อยู่ในดินแดนโบราณ นี่คือกองทัพผีดิบนับพัน นักรบเหล่านี้สวมชุดเกราะผุพัง ร่างกายแห้งกรังดูราวกับโครงกระดูก มีเพียงแสงสีแดงที่ยังริบหรี่อยู่ในเบ้าตากลวงโบ๋ กำจายรัศมีลางร้ายราวกับต้องการทำลายทุกสรรพสิ่งที่เข้ามาขวาง
นักรบผีดิบเหล่านี้เข้าขัดขวางผู้บุกรุก คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ทั้งสองฝั่งพุ่งเข้าโรมรันกันอย่างดุเดือด
นักรบเหล่านี้กำจายรัศมีเสื่อมทรามไปทั่วร่าง พวกมันสูญเสียสติสัมปชัญญะราวกับซากศพที่เดินได้ ไม่เจ็บไม่ปวดและไม่เกรงกลัวใดๆ นอกจากนี้การโจมตีของพวกมันยังสอดประสานกันเป็นกระบวนทัพที่น่าสะพรึง การเคลื่อนไหวเป็นหนึ่งเดียว โดยที่คลื่นหลิงผสมผสานกับรัศมีเสื่อมทรามหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วระเบิดด้วยพลังทำลายล้างอันยิ่งใหญ่ มีกองทัพทรงพลังมากมายพลาดในมือพวกมันเพราะไม่ทันตั้งตัว
“นักรบผีดิบเหล่านี้…”
มู่เฉินจ้องมองนักรบผีดิบที่ประสานงานกันในระดับสูง ดวงตาก็หดลง จากนั้นเขาแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว สีหน้าก็เคร่งเครียดมากขึ้น นั่นเพราะทั้งสองตระหนักได้ว่ารัศมีของนักรบผีดิบเหล่านี้เหมือนกับศิษย์เอกแห่งวังสวรรค์บรรพกาลที่พวกเขาพบในซากอารยธรรมแห่งแรก
“นักรบเหล่านี้น่าจะเคยสู้กับพวกปีศาจต่างมิติมาก่อน ทำให้โดนรัศมีปีศาจเข้ารุกราน จนร่างผุผังไป ดังนั้นจึงกลายมาเป็นแบบนี้” จิ่วโยวกล่าวเสียงครึ้ม
“ปีศาจต่างมิติรึ?” เมื่อได้ยิน สายตาของผู้บัญชาการคนอื่นก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แม้ว่ามหาสงครามโบราณเกิดขึ้นมานานมากแล้ว แต่พวกเขาก็ยังตระหนักดีถึงความน่าสะพรึงกลัวของเผ่าพันธุ์นี้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานขนาดไหน ผู้รุกรานจากต่างมิติเหล่านี้ก็เป็นศัตรูร่วมกันของสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ในมหาพันภพ
“ระวังกันด้วย”
มู่เฉินเอ่ยเตือนก่อนจะทะยานต่อไป กองทัพที่อยู่เบื้องหลังก็ตอบรับคำสั่งเริ่มตื่นตัวทันที รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดเป็นวงออกไป สายตาระแวดระวังกวาดมองไปทั่ว
กองทัพขนาดใหญ่นี้ราวกับพายุพัดเข้ามา บางทีอาจเป็นเพราะการรวมตัวของพวกเขาทรงพลังมากเกินไป ทำให้แม้แต่กองทัพนักรบผีดิบขนาดเล็กยังไม่เข้ามาขัดขวาง ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปได้
แต่ว่ามู่เฉินไม่ได้รู้สึกโล่งใจกับการถูกปล่อยผ่านไป นี่ยิ่งทำให้หัวใจของเขาตึงเครียด สายตาของเขายิ่งตื่นระวังภัยมากขึ้นขณะกวาดมองสภาพแววดล้อมโดยรอบ
แล้วความระวังภัยของเขาพิสูจน์ได้อย่างรวดเร็วว่าเขาคิดถูก ขณะที่พวกเขาเดินทัพผ่านแผ่นดินแห่งความมืด จู่ๆ รัศมีจั้นยี่ก็ระเบิดออกจากร่องน้ำมืดมิดในภูเขาเบื้องหน้า อึดใจกระแสคลื่นเชี่ยวกรากสีดำก็กวาดออกมาเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเหม็น
กระแสคลื่นนี้ก็คือรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลัง
มู่เฉินหดดวงตามองไปที่ร่องน้ำภูเขา เขาเห็นนักรบผีดิบหลายพันร่างลอยอยู่บนท้องฟ้า รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านไปหมด แต่รัศมีจั้นยี่นี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ร้อนแรง กลับเต็มไปด้วยความผันผวนของความตายที่น่าขนลุกแทน
“ผู้บัญชาการมู่ไม่ต้องลงมือหรอก ปล่อยนี่ให้เป็นหน้าที่หน่วยรบกระบี่เทพของข้าเถอะ” หลิงเจี้ยนมองไปที่กองทัพนักรบผีดิบที่เข้ามาขวาง ก็พูดพลางหัวเราะให้มู่เฉิน เขาโบกมือส่งสัญญาณผู้ใต้บังคับบัญชาก็เปล่งเสียงคำรามลึกพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตแผ่ออกมา ก่อตัวเป็นร่างแสงที่ถือกระบี่ยักษ์เหนือกองทัพ
ร่างแสงนี้สร้างขึ้นจากรัศมีจั้นยี่ ซึ่งก็คือวิญญาณสงครามกระบี่เทพที่ได้รับการกลั่นโดยมู่เฉิน
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เสียงกระแสคลื่นเชี่ยวกรากของกระบี่ดังขึ้น ขณะที่ร่างใหญ่ฟันกระบี่ในมือลงมาอย่างเกรี้ยวกราด ทันใดนั้นลำแสงกระบี่หลายร้อยจั้งก็กวาดออก ซึ่งอัดแน่นไปด้วยรัศมีจั้นยี่ทรงพลังในลำแสงนั้น
วาบ!
แสงกระบี่ราวกับเกลียวแสงพุ่งผ่านขอบฟ้า ฉีกรัศมีจั้นยี่สีดำที่ส่งเสียงอื้ออึงออกจากกันทันที จากนั้นร่างคลื่นพลังงานก็เร้ารัศมีจั้นยี่ถึงขีดสุด แสงกระบี่พุ่งออกไปทุกทิศทาง ครอบงำกองทัพนักรบผีดิบที่มีหลายพันคนเอาไว้
ปัง! ปัง!
การประจันหน้าของสองกองทัพทำให้รัศมีจั้นยี่กวาดออกทันที ฉีกฟ้าดินเป็นหลุมลึก แต่ภายใต้การเผชิญหน้าที่ดุร้ายนี้ วิญญาณสงครามนักรบกระบี่ดุร้ายยิ่งกว่า ขณะที่ระลอกรัศมีจั้นยี่กวาดอาละวาด กองทัพนักรบผีดิบก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
เมื่อนักรบผีดิบในกองทัพนั้นถูกฟันฆ่า รัศมีเสื่อมทรามบนร่างพวกเขาก็เริ่มหายไป ร่างที่เหี่ยวแห้งอยู่แล้วก็สลายเป็นเถ้าถ่าน
ก่อนที่พวกเขาจะสลายไป รอยยิ้มแห่งอิสรภาพก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแห้งกรัง นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขายังมีสติ แต่เป็นสัญชาตญาณจากการได้รับอิสระ
เมื่อเหล่านักรบกลายเป็นเถ้าถ่านทีละคน พลังงานน่าอัศจรรย์ก็กระเพื่อมออกมา นี่ทำให้ดวงตาของมู่เฉินและคนอื่นถึงกับสว่างวาบ นั่นเพราะกลุ่มพลังงานเหล่านี้ก็คือไอหยุ่นลั้วที่พวกเขาต้องการนั่นเอง
หลิงเจี้ยนหัวเราะร่าพลางสะบัดแขนเสื้อ เขาดูดไอหยุ่นลั้วทั้งหมดนั้นเข้ามา จากนั้นไม่นานก็กลั่นเป็นเม็ดยาได้หลายร้อนเม็ดเลยทีเดียว
จำนวนดังกล่าวใกล้เคียงกับการเก็บเกี่ยวในซากอายรธรรมระดับสามแห่งหนึ่งเลยทีเดียว!
“ซากอารยธรรมความตายอยู่ในระดับหนึ่งแน่นอน!” ดวงตาของเหล่าผู้บัญชาการเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขณะที่สบถบ่นหลิงเจี้ยนที่เจ้าเล่ห์ในใจ เขาแย่งลงมือได้เร็วจริงๆ
“ขอบคุณผู้บัญชาการมู่สำหรับวิญญาณสงครามนี้ มิเช่นนั้นหน่วยรบกระบี่เทพคงต้องจ่ายราคาไม่น้อยกับศึกนี้แน่นอน” หลิงเจี้ยนประสานมือคารวะมู่เฉินพลางส่งยิ้มสุภาพให้
หากหน่วยรบกระบี่เทพยังไม่ได้กลั่นวิญญาณสงคราม เมื่อพวกเขาเข้าปะทะกับกองทัพนักรบผีดิบคงต้องจ่ายราคามหาศาลแน่ แม้ว่าจะได้รับชัยชนะก็ตาม แต่ด้วยการสนับสนุนของวิญญาณสงคราม พวกเขาไม่ได้รับความเสียหายใดๆ พลังที่เพิ่มขึ้นในการต่อสู้ไม่ใช่มีน้อยเลยจริงๆ
มู่เฉินยิ้มให้กับเหล่าผู้บัญชาการพลางเอ่ยว่า “นี่แค่เริ่มต้น พอถึงเวลาต่อให้พวกเจ้าไม่อยากจะสู้ก็ต้องสู้แล้ว”
เหล่าผู้บัญชาการถึงกับเลียริมฝีปากเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน แต่ละคนดูคึกคักขึ้นไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย ชัดว่าผลเก็บเกี่ยวที่ได้จากจุดเริ่มต้นเร้าใจปลุกสัญชาตญาณนักล่าออกมาแล้ว
“ไปกันเถอะ เร่งความเร็วขึ้นอีก”
มู่เฉินมองไกลออกไปก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงที่ระเบิดขึ้นทุกหย่อมในซากอารยธรรมความตายนี้ ชัดว่ากองทัพอื่นๆ ต่างตระหนักถึงไอหยุ่นลั้วที่อยู่ในร่างกองทัพนักรบผีดิบเหล่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับซากอารยธรรมระดับสามธรรมดา ความเข้มข้นของไอหยุ่นลั้วที่นี่มีมากกว่าไม่รู้กี่เท่า ดังนั้นตอนนี้พวกเขาต่างกำลังล่าให้เร็วขึ้นไปอีก
มู่เฉินมองตรงไปยังส่วนลึกที่สุดของซากอารยธรรมความตาย ประกายแสงเคร่งเครียดวูบไหวในดวงตา เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน นักรบทั้งหมดที่นี่ล้วนถูกรัศมีปีศาจรุนราน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าของจั้นเจิ้นซือที่พวกเขากำลังค้นหาอยู่ในสภาพเช่นนี้ด้วยหรือไม่ หากเป็นแบบนั้น สุดท้ายพวกเขาอาจต้องปะทะกับจั้นเจิ้นซือที่ถูกรัศมีปีศาจครอบงำ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจั้นเจิ้นซือในสภาพนั้นจะมีพลังเท่าไร แต่ไม่ว่าอย่างไรต่อให้เป็นของจั้นเจิ้นซือที่อ่อนแอที่สุดก็ยังน่าสะพรึงอยู่ดี
ทว่าถ้าพวกเขาเลือกถอยกลับในตอนนี้ก็เท่ากับคว้าได้เพียงอากาศธาตุ ดังนั้นไม่ว่าที่นี่จะเป็นบ่อมังกรหรือถ้ำพยัคฆ์ เขาก็ต้องตะลุยไปอย่างไม่กลัวเกรง
เส้นทางของยอดยุทธ์ต้องไร้ความกลัว
เมื่อคิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อพุ่งตัวนำ ที่ด้านหลังกองทัพขนาดใหญ่กวาดไปด้วยแรงสั่นสะเทือน ทำให้กองทัพที่อยู่โดยรอบถึงกับประหลาดใจ
ขณะพวกเขาเดินทางเข้าไปลึก ก็พบเจอกับกองทัพนักรบผีดิบเพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำยังแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ดังนั้นความเร็วของพวกเขาจึงลดลงหลายระดับ ทว่าโชคดีที่พวกเขารวมตัวยิ่งใหญ่ ดังนั้นแม้ความเร็วจะถูกกระทบบ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว
เมื่อพวกเขาเคลื่อนทัพลึกเข้าไป จำนวนกองทัพที่พบก็เริ่มลดลง แต่ที่คงอยู่ล้วนเป็นกองทัพทรงพลัง
สถานการณ์แบบนี้หากไม่มีพลังมากพอ ก็คงถูกทำลายล้างลงไปนานแล้ว แต่กระนั้นจำนวนกองทัพที่เข้ามาในส่วนลึกก็ยังมีอยู่บ้าง
เมื่อหน่วยรบอาณาเขตกงเวทสวรรค์เคลื่อนเข้ามาในจุดลึกของซากอารยธรรมความตาย ร่างกายของมู่เฉินก็ตึงเครียดมากขึ้น นี่เป็นสัญชาตญาณต่ออันตรายของเขา
บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยความมืดมิด มู่เฉินที่กำลังมุ่งหน้าก็หยุดลงพลางขมวดคิ้วมองไปยังเบื้องหน้า บริเวณนั้นมีร่างนับพันที่กระเด็นออกมาด้วยอย่างน่าสมเพช บนร่างอาบไปด้วยเลือด คลื่นหลิงที่กระเพื่อมอยู่รอบตัวเหี่ยวเฉาอย่างยิ่ง
มู่เฉินโบกมือให้ทุกคนหยุดลง ขณะที่มองไปอย่างระมัดระวัง
“พวกเขามาจากสำนักหลักสงคราม” เลี่ยซันมองไปที่กองทัพแตกฉานซ่านเซ็น ขณะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ม่านตาของมู่เฉินและจิ่วโยวหดเกร็ง สำนักหลักสงครามเป็นขั้วอำนาจลำดับต้นๆ ของภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาไม่ใช่อ่อนแอเลย มีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกคนหนึ่งอยู่ในนั้นด้วย แต่ในบรรดาคนที่หนีไปไม่มีเงาของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเลย…
“จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกของพวกเขาถูกสังหารแล้ว” มู่เฉินกล่าวชัดถ้อยชัดคำขณะจับจ้องไปในระยะไกล
“เจ้ารู้ได้ยังไง?” หัวใจของเหล่าผู้บัญชาการเต้นสะเทือนพลางถามออกไป
มู่เฉินชี้ไปข้างหน้า มองเห็นหมอกสีดำเชี่ยวกรากกวาดเข้ามา ภายในกลุ่มหมอกเสียงฝีเท้าสั่นสะเทือนดังก้อง
ทั้งพื้นที่สั่นไหวจากเสียงฝีเท้าประสานกัน
เมื่อหมอกสลายหายไป ร่างเงาสวมชุดเกราะสีดำนับไม่ถ้วนที่กำจายรัศมีเสื่อมทรามก็ปรากฏจนสิ้นสุดขอบเขตการมองเห็น รัศมีจั้นยี่น่าอัศจรรย์เหนือกองทัพกวนตัวราวกับมหาสมุทร
รัศมีจั้นยี่สีดำป่าเถื่อนรวมกันอย่างรุนแรงก่อร่างเป็นหมาป่าปีศาจสีดำขนาดมหึมาที่เบื้องบนกองทัพ หมาป่าปีศาจเงยหน้าหอนโหยหวนสั่นเทือนฟ้าดิน
กองทัพนักรบผีดิบนี้มีวิญญาณสงคราม!
“วิญญาณสงคราม?!”
สีหน้าของเหล่าผู้บัญชาการเปลี่ยนไป แต่ละคนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอุทานลั่น ใบหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน ดูท่าว่ากองทัพหลักสงครามจะถูกทำลายโดยกองทัพน่าสะพรึงนี้
ม่านตาของมู่เฉินหดลงเช่นกัน จากนั้นสายตาก็มองขึ้นไปฉับพลัน เห็นร่างสีดำยืนตระหง่านอยู่ในรัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่านเหนือกองทัพอย่างเลือนราง
“เฮือก!”
มู่เฉินสูดอากาศเย็นเข้าไปลึกสุดปอดขณะเปล่งเสียงตกตะลึง “กองทัพนี้มีคนสั่งการอยู่?!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น