หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 861-862

 บทที่ 861 วิญญาณสงครามจำลอง

กีด!!!


เหยี่ยวโลหิตตัวมหึมาบินอยู่เหนือหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต รัศมีจั้นยี่พวยพุ่งแล้วกวาดออกขณะที่มันกระพือปีก ทำให้บริเวณนี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทุกคนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังรัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิตเพิ่มขึ้นทวีคูณกว่าแต่ก่อน!


นี่คือพลังของวิญญาณสงคราม!


เสี่ยยิงเงยหน้าขึ้นมองเหยี่ยวโลหิตตัวใหญ่อย่างอึ้งทึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านบนใบหน้า ทำให้เขาดูน่าขนลุกหลายส่วนเลยทีเดียว


หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตที่เขาฟูมฟักมานานในที่สุดก็สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้!


ผู้บัญชาการอีกสามคนยืนอยู่ข้างๆ ก็มองด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เพราะพวกเขารู้ดีถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นเมื่อกองทัพสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้


แม้ว่าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตจะสูญเสียนักรบไปถึงกึ่งหนึ่งตอนที่ปะทะกับกองทัพจระเข้สวรรค์ แต่เมื่อกลั่นวิญญาณสงครามได้ พลังการต่อสู้ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าจุดสูงสุดในอดีตเสียอีก


การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หัวใจของสามผู้บัญชาการเดือดพล่าน ในแง่มุมพลังกองทัพของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตหลายส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยรบแยกคีรีซึ่งอยู่หนึ่งในสามของหน่วยรบยอดเยี่ยม ยิ่งกว่านั้นจำนวนนักรบก็มีมากกว่าหนึ่งหมื่นคน หากพวกเขาสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ พลังการต่อสู้ของพวกเขาต้องเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์แน่นอน


เมื่อคิดถึงจุดนี้ สายตาร้อนแรงสามคู่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ยอดเขาซึ่งมีชายหนุ่มนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ร่างนั้นดูโปร่งบางภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี แต่ตอนนี้ไม่มีใครกระทั่งเหล่าผู้บัญชาการที่จะกล้าสบประมาทเขา


เหล่าผู้บัญชาการรู้ถึงศักยภาพน่ากลัวของคนที่สามารถช่วยเหลือกองทัพอื่นสร้างวิญญาณสงคราม เรียกได้ว่ามู่เฉินเป็นอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่แท้จริง


ภายใต้สายตาที่ร้อนแรง มู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนบนยอดเขาพลางจ้องมองเหยี่ยวโลหิตขนาดยักษ์ที่บินเหนือหน่วยรบ เขารู้สึกได้ว่ารัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิตอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว


ถ้าเขาตั้งใจก็สามารถสร้างรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ได้ทันที ด้วยวิธีนี้รัศมีจั้นยี่ของทั้งสองหน่วยรบก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา พลังที่เขาปลอดปล่อยออกมาจะแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่นอน


ทว่าจากการทดลองครั้งนี้ อย่างน้อยก็ทำให้มู่เฉินเข้าใจได้ว่าเขามีความสามารถในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพอื่น


มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อเบาๆ วิญญาณสงครามที่อยู่เหนือหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตก็แตกกระจายเป็นประกายไฟโลหิต จากนั้นก็กลับมาสู่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต


เขาขยับไปปรากฏที่เบื้องหน้าผู้บัญชาการทั้งสี่ เมื่อทั้งกลุ่มเห็นเขามาถึงก็ประสานมือขอบคุณ ท่าทางดูเป็นมิตรมากกว่าเมื่อก่อนอีกหลายส่วน


ทว่าก่อนที่พวกเขาจะพูดอะไร มู่เฉินก็มองไปทางเสี่ยยิง “ผู้บัญชาการเสี่ยยิงอย่างเพิ่งรีบขอบคุณข้า ขอพูดตรงๆ นะ หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตยังไม่ได้กลั่นวิญญาณสงครามที่แท้จริงได้”


ผู้บัญชาการทั้งสี่มองมู่เฉินอย่างงงงวย


มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ภายใต้การรวบรวมกับข้า หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตได้สร้างวิญญาณสงครามแท้จริงขึ้นมาได้ แต่มีข้อแม้ก็คือจะต้องอยู่ภายใต้การบัญชาของข้าด้วย ถ้าข้าถอนกระแสจิตของออกก็ไม่มีทางที่หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตจะสามารถพึ่งพาตนเองเพื่อคงสภาพวิญญาณสงครามเอาไว้ได้”


รอยยิ้มบนใบหน้าเสี่ยยิงแข็งค้างก่อนจะยิ้มขมขื่น มู่เฉินไม่ใช่แม่ทัพของหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต ดังนั้นเขาไม่สามารถไปได้ด้วยในทุกที่ แล้วถ้าเรื่องนี้เป็นจริง คงจะสับสนที่จะรู้ว่าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตเป็นของใคร


และสำหรับเสี่ยยิง เป็นไปไม่ได้ที่จะไปหาคนที่มีความสามารถเหมือนมู่เฉินมาได้ คนที่มีความสามารถนี้ไม่มีทางเข้าร่วมหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตแน่นอน


แต่ขณะที่เหล่าผู้บัญชาการฉายสีหน้าผิดหวัง มู่เฉินก็ยิ้มอีกครั้ง “แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่สามารถคงสภาพวิญญาณสงครามแท้จริงได้ด้วยตนเอง แต่สามารถปรับแต่งวิญญาณสงครามจำลองได้ด้วยตัวเอง”


“วิญญาณสงครามจำลอง?” ผู้บัญชาการทั้งสี่แลกเปลี่ยนสายตากัน นั่นคืออะไร? หรือว่าวิญญาณสงครามมีของจริงกับของปลอมด้วยเหรอ?


มู่เฉินระบายยิ้ม “สิ่งที่ข้าทำก่อนหน้าไม่ถือว่าไร้ประโยชน์ ข้าได้ผนึกรอยประทับวิญญาณสงครามไว้ในจิตใจของนักรบทุกคน ดังนั้นในอนาคตพวกเขาจะสามารถพึ่งพารอยประทับนี้เพื่อสร้างวิญญาณสงครามได้ แต่…นี่ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นโดยหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตเอง ดังนั้นในแง่มุมของพลังก็จะอ่อนด้อยกว่าของจริงอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจึงเรียกว่าวิญญาณสงครามจำลอง”


ใบหน้าของเหล่าผู้บัญชาการอัดแน่นไปด้วยความตะลึงงัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินว่าวิญญาณสงครามสามารถสร้างโดยแรงจากภายนอก แต่คำพูดของมู่เฉินก็ทำให้พวกเขาโล่งใจอยู่บ้าง ไม่ว่าวิญญาณสงครามจะเป็นของแท้หรือของปลอม แค่ใช้งานได้ก็พอ พวกเขาไม่ได้หวังว่าจะสามารถขึ้นไปบนฟ้าได้ในก้าวเดียวหรอก


“ยิ่งกว่านั้นรอยประทับก็ไม่ใช่ใช้อย่างไม่รู้จบ เมื่อไรที่คลื่งหลิงที่ผนึกไว้หมดพลังก็จะสลายไป ถึงตอนนั้นก็ต้องเติมพลังเข้าไป” มู่เฉินยักไหล่


เหล่าผู้บัญชาการถึงกับมีเหงื่อเย็นท่วมใบหน้า รอยประทับนี้ยังต้องมีการเติมพลังด้วย… ดูเหมือนถ้าพวกเขาต้องการให้รอยประทับนี้คงอยู่ก็ห้ามมีปัญหากับมู่เฉินอีกเลย


เมื่อเห็นสีหน้าแต่ละคนมู่เฉินก็เกาหัว “วิธีนี้มีปัญหาหลายอย่างน่ะ ถ้าพวกเจ้าไม่พอใจกับสิ่งนี้ก็ถือว่าจบพอแค่นี้ละกัน…”


“ไม่ได้!!!”


เลี่ยซัน หลิงเจี้ยนและหงหยาตะโกนออกมาพร้อมกัน พวกเขามองหน้ากันและกัน ก่อนที่เลี่ยซันจะเป็นคนพูดว่า “ผู้บัญชาการมู่ถ่อมตัวเกินไป แม้ว่าวิญญาณสงครามจำลองจะไม่ทรงพลังเท่ากับของแท้ แต่ก็ไม่มีกองทัพใดที่ไม่ต้องการหรอก ดังนั้นพวกข้าต้องรบกวนผู้บัญชาการมู่ด้วย”


“ข้าจะจดจำบุญคุณนี้เอาไว้ ในอนาคตหากผู้บัญชาการมู่ต้องการความช่วยเหลือโปรดบอกมาทันที” หงหยาที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมพร้อมกับประสานมือคารวะ


มู่เฉินโบกมือไปมาเมื่อได้ยิน “พวกเราทั้งหมดมาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องช่วยเหลือกัน ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสามคนเต็มใจ ข้าก็จะพยายามสุดความสามารถเพื่อกลั่นวิญญาณสงครามให้เช่นกัน แต่ข้ามีคำขอที่ต้องการการอนุญาตจากพวกเจ้า”


“ผู้บัญชาการมู่ว่ามาได้เลย!”


มู่เฉินยิ้มบางพูดว่า “ข้าขอแค่ยืมพลังกองทัพของพวกเจ้าในเวลาวิกฤตเท่านั้น”


มู่เฉินรู้แล้วว่าตนเองสามารถสั่นพ้องกองทัพอื่นๆ ได้ นั่นหมายความว่าในช่วงเวลาวิกฤตเขาสามารถบัญชารัศมีจั้นยี่ของกองทัพอื่นได้ ทว่าเรื่องนี้เขาต้องขอความเห็นชอบจากผู้บัญชาการทัพทั้งสี่ก่อน เพื่อให้เหล่านักรบยอมรับเขาและยินยอมให้เขาบัญชารัศมีจั้นยี่ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรหน่วยรบเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยรบวิหคโลกันตร์และไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา


เมื่อได้ยินประโยคดังกว่าทั้งสี่ก็อึ้งไป ก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตาและยิ้ม “ไม่มีปัญหา นอกจากนี้หากเป็นจริง พวกเราก็คงเผชิญสถานการณ์อันตรายด้วยกัน เวลานั้นตราบใดที่ผู้บัญชาการมู่ยังไหว หน่วยรบของเราก็จะอยู่ใต้บัญชาการรบของเจ้า”


พวกเขาตอบอย่างไม่ลังเล เนื่องจากพวกเขาตระหนักได้ว่า อย่างมากมู่เฉินทำได้แค่ยืมกำลังพลของพวกเขา ไม่มีทางฉกฉวยไปได้ เพราะถึงยังไงหน่วยรบเหล่านี้ก็ได้รับการดูแลมาอย่างยากเข็ญจากพวกเขาและปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขาเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขาไม่เห็นด้วย ต่อให้มู่เฉินจะมีความสามารถศาสตร์รัศมีจั้นยี่มากแค่ไหนก็ไม่สามารถครอบงำและออกคำสั่งได้


ดังนั้นการส่งหน่วยรบของพวกเขาไปยังมือมู่เฉินในช่วงเวลาวิกฤตหนักแบบนี้ จึงอยู่ในจุดที่พวกเขายอมรับได้ กรณีนี้ถือเป็นการตอบแทนที่มู่เฉินช่วยกลั่นวิญญาณสงครามจำลองให้ละกัน


เมื่อเห็นการอนุญาตของพวกเขา มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้มีความคิดเรื่องอื่น เพียงต้องการบัญชาหน่วยรบเหล่านี้ในช่วงวิกฤตเท่านั้น นั่นก็เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขา


หลังจากรู้ข่าวว่าในกองทัพอื่นๆ ก็มีจอมยุทธ์ที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ มู่เฉินก็ต้องเตรียมการป้องกันเอาไว้ก่อน หน่วยรบวิหคโลกันตร์เพิ่งมีการขยายพลังในช่วงปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงยังไม่เพียงพอในแง่ของจำนวน พูดโดยทั่วไปพลังของวิญญาณสงครามเกี่ยวข้องกับจำนวนกำลังพลในกองทัพนั้นๆ


แต่เป็นไปไม่ได้ที่หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะขยายตัวในตอนนี้ ยิ่งกว่านั้นกองทัพแบบนี้ก็ไม่สามารถขยายพลังได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีทางเลือกนอกจากวางความคิดไว้กับหน่วยรบของผู้บัญชาการคนอื่นๆ


แม้จะยากลำบากสำหรับเขาในการบัญชากองทัพอื่น แต่ในตอนนี้มู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าแล้ว สมรภูมิหยุ่นลั้วเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นตนจะต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน


“เราจะชะลอการค้นหาซากอารยธรรมลงสักเล็กน้อย รอให้ข้ากลั่นวิญญาณสงครามของทั้งสามหน่วยรบให้สำเร็จก่อน จากนั้นเราค่อยตะลุยกันต่อ” มู่เฉินมองหน้าทุกคน


เลี่ยซันพยักหน้าจากนั้นก็หยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้าได้รับข่าวช่วงสองสามวันมานี้เกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือของตำหนักสุดนภา”


เมื่อได้ยิน สายตามู่เฉินก็หดเกร็งทันที


“ไอ้ตัวสารเลวนั่นมีชื่อเสียงโหดร้ายในสมรภูมิหยุ่นลั้ว เนื่องจากทุกกองทัพที่เผชิญกับเขา สุดท้ายก็กลายเป็นแอ่งเลือด คนที่หนีออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งส่วนของทั้งหมด…”


เลี่ยซันมองมู่เฉินแล้วพูดต่อ “นอกจากนี้จากข่าวสารของพวกข้า ดูเหมือนมันกำลังค้นหาร่องรอยของเจ้าอยู่ด้วย”


“ตำหนักสุดนภารึ…”


แววตาของมู่เฉินสงบนิ่งขณะที่ผงกหัว เขาเป็นศัตรูสุดหยั่งกับตำหนักสุดนภา ในเมื่อมันคนนั้นมาจากที่นั่น ก็ไม่แปลกใจที่มันจะไล่ล่าเขา


“นอกจากนี้ยังมีข่าวจั้นเจิ้นซือจากหมู่ตึกเทวะด้วย กองทัพทรงพลังหลายกองทัพพ่ายแพ้ให้กับนางในไม่กี่วันที่ผ่านมา สัญชาตญาณของข้าบอกว่านางน่าจะไล่ตามเจ้าอยู่เช่นกัน”


“มู่เฉินขมวดคิ้ว การถูกเล็งโดยจั้นเจิ้นซือพร้อมกันถึงสองคนยุ่งยากจริง แต่…


ฮา


มู่เฉินอ้าปากพรูอากาศออก เสียงหัวเราะเรียบเฉยกระจายออกมาด้วยความมั่นใจ ทำเอาคนอื่นถึงกับเลิกคิ้ว


“ถ้าพวกมันจะมาก็ปล่อยให้มา ในเวลานั้นข้าจะทำให้พวกมันซึ้งว่าเตะแผ่นเหล็กน่ะเป็นยังไง”


ในช่วงหลายปีที่ออกท่องยุทธภพ เขาได้เห็นอัจฉริยะมากมาย แต่เขาก็ไม่ได้กลัวเลย อดีตเป็นเช่นนี้ ในอนาคตก็จะเป็นเช่นนี้ด้วยเช่นกัน



บทที่ 862 ซากอารยธรรมความตาย

มู่เฉินใช้เวลาสองวัน


ในการช่วยเหลือทั้งสามหน่วยรบสร้างวิญญาณสงครามจำลอง ราคาที่เขาต้องจ่ายออกไปคือตกอยู่ในสภาวะอ่อนเพลียตลอดหนึ่งวันเต็ม


การกลั่นวิญญาณสงครามไม่ได้สูญเสียคลื่นหลิง แต่เป็นความเหนื่อยล้าในจิตใจ การควบคุมกระแสจิตของนักรบหลายหมื่นคนมีเงื่อนไขสูงมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจอมยุทธ์ทรงพลังมากมายไม่ใช่ทุกคนที่สามารถสั่งการรัศมีจั้นยี่ได้


การเชื่อมโยงรัศมีจั้นยี่ของสี่หน่วยรบและทิ้งรอยประทับไว้ในใจนักรบทุกคนเป็นอะไรที่ยากเย็น ดังนั้นเมื่อมู่เฉินทำภารกิจนี้เสร็จสิ้น เขาก็หมดแรงไปทั้งวัน ก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นฟูพลังกลับมา


วันถัดมา


หลังจากมู่เฉินฟื้นตัว ผู้บัญชาการทั้งสี่ก็เข้ามากล่าวขอบคุณเป็นเวลาแรก ท่าทางเกรงใจนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นเป็นเพราะตอนที่มู่เฉินพักเอาแรง พวกเขาได้ทำการทดสอบวิญญาณสงครามจำลอง แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบกับของจริงได้ แต่ก็ทำให้พลังของหน่วยรบเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน


ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาได้ลิ้มรสความหอมหวานนี้ พวกเขาก็ตระหนักถึงความสำคัญของมู่เฉิน นี่จึงเป็นเหตุที่ต้องมาตีสนิท มิฉะนั้นหลังจากที่รอยประทับหายไป หน่วยรบของพวกเขาก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม


เมื่อจิ่วโยวเห็นท่าทางของพวกที่มีต่อมู่เฉิน นางก็อดหัวเราะและตัดพ้อไม่ได้ เมื่อก่อนตอนที่นางขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้ผู้บัญชาการเหล่านี้จะไม่ได้เล็งหาเรื่องนางเหมือนเสี่ยยิง แต่พวกเขาก็รู้สึกดูถูกในใจ เพราะไม่ว่าจะในเรื่องอายุ ความแข็งแกร่งหรือประสบการณ์ นางก็ยังยากที่จะมีคุณสมบัติขึ้นเป็นผู้บัญชาการ


ตอนนี้จิ่วโยวเทียบไม่ได้กับอดีต ความแข็งแกร่งของนางเทียบเท่ากับผู้บัญชาการคนอื่นแล้ว แต่นางก็ยังรู้ชัดว่านี่ทำให้เหล่าผู้บัญชาการไม่ดูถูกนางอีกเท่านั้น ซึ่งยังยากที่จะทำให้พวกเขามีมารยาทกับนาง


แต่ตอนนี้แม้แต่จอมยุทธ์ที่เย่อหยิ่งแบบเลี่ยซันยังมีมารยาทกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์และไม่มีท่าทางกระด้างกระเดื่องอีกแล้ว การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้มาจากมู่เฉิน


บางทีเขาไม่ได้มีพลังที่น่าอัศจรรย์ แต่เขาพึ่งพาวิธีการของตัวเอง ทำให้จอมยุทธ์เก่งกล้าอย่างเลี่ยซันเป็นฝ่ายเริ่มที่อยากจะผูกมิตรก่อน


“พวกเจ้าไม่ต้องมากมารยาทหรอก เราเป็นสมาชิกของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เหมือนกัน ดังนั้นก็ต้องช่วยเหลือกันในสงครามล่าเช่นนี้อยู่แล้ว” เหล่าผู้บัญชาการทั้งสี่มีมารยาทมา มู่เฉินก็ตอบกลับด้วยความสุภาพไป


เมื่อทั้งสี่เห็นมู่เฉินมีความสุภาพให้และไม่แสดงอาการเย่อหยิ่งเพราะเขาเข้าใจว่ารอยประทับเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขาจึงรู้สึกสบายในใจมาก การแสดงออกก็ยิ่งเป็นมิตรมากขึ้น


“ฮ่าๆ ผู้บัญชาการมู่ เราหยุดค้นหามาหลายวันแล้ว ต่อไปก็ลุยเต็มที่เลยหรือไม่?” เลี่ยซันหัวเราะร่า ขณะที่คำพูดของเขาบ่งบอกชัดว่ารับฟังการตัดสินใจของมู่เฉิน


เมื่อได้ยินมู่เฉินก็คิดครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ตอนนี้สถานการณ์ในสมรภูมิหยุ่นลั้วเป็นยังไงบ้าง?”


เนื่องจากเขามุ่งเน้นไปในการกลั่นวิญญาณสงครามในช่วงหลายวันนี้ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับสถานการณ์รอบตัวนัก


“เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ” สีหน้าของเลี่ยซันเคร่งขรึมขณะพูดต่อว่า “พวกเรากำลังมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของสมรภูมิหยุ่นลั้ว โดยทั่วไปกองทัพที่สามารถไปต่อได้ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นหากเกิดการต่อสู้ระเบิดขึ้นจะต้องเป็นสงครามใหญ่แน่นอน จากข่าวที่ทราบมามีกองทัพกว่าร้อยกองทัพถูกทำลายจนสิ้นซากในช่วงนี้… ไม่เว้นแต่ขั้วอำนาจชั้นนำด้วย”


สายตามู่เฉินหดเกร็ง ขั้วอำนาจชั้นนำถือได้ว่ามีรากฐานที่ไม่อ่อนแอเลยในภูมิภาคทางเหนือ แต่ก็ยังถูกทำลาย ดังนั้นยากที่จะจินตนาการว่าการต่อสู้ตอนนี้โหดร้ายไปถึงขั้นไหนแล้ว


“มีข่าวเกี่ยวกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไหม?” มู่เฉินถาม


“สมรภูมิหยุ่นลั้วกว้างใหญ่ไพศาล ดังนั้นการรับข้อมูลจึงมีอย่างจำกัด เราไม่ค่อยจะแน่ใจสถานการณ์ของคนอื่นๆ” หลิงเจี้ยนตอบกลับพลางส่ายหัว


มู่เฉินพยักหน้า “ข้าว่ายาหยุ่นลั้วคงยังไม่น่าจะพอ”


แม้ว่าพวกเขาจะใช้พลังของเข็มทิศค้นวิญญาณจนได้รับเม็ดยามามากกว่าหมื่นเม็ด แต่ว่ากันว่าขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแห่งเดียวก็ต้องใช้ยาหยุ่นลั้วถึงหลายหมื่นเม็ดหรือมากกว่านั้นในการเปิดผนึกชั้นหนึ่ง ดังนั้นปริมาณยาที่มีในมือจึงยังไม่พออย่างมาก


“ตอนนี้เม็ดยาหยุ่นลั้วที่กลั่นจากซากอารยธรรมระดับสามมีน้อยเกินไป ดังนั้นเราจะต้องหาซากอารยธรรมระดับที่สูงกว่านี้” จิ่วโยวพูดพร้อมกับมุ่นคิ้วจนเป็นร่อง โดยทั่วไปซากอารยธรรมระดับสามสามารถกลั่นเม็ดยาได้หลายร้อยเม็ดซึ่งเป็นจำนวนมากในตอนเริ่มต้นของสงครามล่า ทว่าตอนนี้จำนวนเท่านี้ไม่พอแล้ว นอกจากนี้พวกเขายังรวมหลายหน่วยรบเข้าด้วยกัน ถ้าแยกเม็ดยาออกก็ถือว่ามีปริมาณกระจ้อยร่อยนัก


แม้ว่ามีเข็มทิศจะช่วยเพิ่มจำนวนซากอารยธรรมระดับสามที่พวกเขาค้นพบได้ แต่มูลค่าก็ยังน้อยเกินไป สมบัติที่ถูกทิ้งไว้ในนั้นไม่เพียงพอต่อความพอใจของพวกเขาอีกแล้ว


“ซากอารยธรรมระดับสูงขึ้นรึ…”


มู่เฉินตกอยู่ในภวังค์ เหนือขึ้นไปจากซากอารยธรรมระดับสามก็คือระดับสอง ซึ่งซากอารยธรรมเหล่านั้นเป็นอะไรที่พิเศษอย่างแท้จริง ครั้งก่อนพวกเขาโชคดีพบแห่งหนึ่ง แม้พวกเขาจะร่วมมือกันก็ยังต้องจ่ายอะไรไปบ้าง แต่การเก็บเกี่ยวก็เป็นเรื่องน่ายินดี เพียงแห่งเดียวก็เทียบเท่ากับระดับสามถึงสิบแห่ง ไม่ต้องพูดถึงสมบัติอื่นๆ อีก แค่ยาหยุ่นลั้วอย่างเดียวก็กลั่นออกมาได้หลายพันเม็ดเลยทีเดียว


แต่ถึงแม้จะมีการเก็บเกี่ยวเหลือเฟือในซากอารยธรรมระดับสอง แต่สถานที่แบบนั้นหายากเหลือเกิน แม้จะมีความช่วยเหลือของเข็มทิศค้นวิญญาณก็หาเจอเพียงแห่งหนึ่งเท่านั้น


ในสมรภูมิหยุ่นลั้วตอนนี้ ถ้ามีข่าวเกี่ยวกับซากอารยธรรมระดับสองใดๆ กองทัพอื่นๆ คงแห่กันเข้ามาแน่


“ถ้าเป็นข่าวซากอารยธรรมระดับสูงกว่านั้น… ไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้ข่าวที่ลือในช่วงสองสามวันนี้มาบ้างไหม?” หงหยาที่เงียบขรึมพูดออกมา


“หืม?” คนที่เหลืออึ้งไปก่อนจะขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงซากอารยธรรมความตายที่เป็นข่าวดังในช่วงนี้ใช่ไหม?”


“ซากอารยธรรมความตาย?” มู่เฉินถามด้วยความสงสัย เนื่องจากเขาไม่ได้ข่าวเรื่องนี้เลย


“ช่วงนี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสมรภูมิหยุ่นลั้วมีการค้นพบซากอารยธรรมแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าจนถึงตอนนี้คนที่เข้าไปยังไม่มีใครสามารถออกมาได้ ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าซากอารยธรรมความตาย” จิ่วโยวอธิบาย


“พอข่าวนี้กระจายออกไปก็กระตุนความสนใจของกองทัพทรงพลังมากมาย นั่นเพราะตามการคาดเดาของพวกเขาแล้ว ซากอารยธรรมแห่งนี้อาจจะอยู่ในระดับหนึ่งก็เป็นได้”


“ซากอารยธรรมระดับหนึ่ง?!” ม่านตาของมู่เฉินอดหดลงไม่ได้ ซากอารยธรรมแบบนี้อยู่ระดับต่ำกว่าขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนก้าวเดียว แม้แต่จะยืมเข็มทิศค้นวิญญาณค้นหา ก็ไม่เคยพบซากอารยธรรมระดับหนึ่งเลย ดังนั้นจึงบอกได้เลยว่าสถานที่เหล่านั้นถูกซ่อนเอาไว้ลึกเพียงใด


“ก็แค่ข่าว แต่เราไม่แน่ใจว่าใช่ซากอารยธรรมระดับหนึ่งหรือไม่? ในสมรภูมิหยุ่นลั้วที่น่าสะพรึงทุกสิ่งก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครรู้ว่าเข้าไปแล้วจะได้อะไร แต่…”


เลี่ยซันหยุดพูดก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน “ว่ากันว่าซากอารยธรรมความตายเหมือนจะมีร่องรอยของจั้นเจิ้นซือหลงเหลืออยู่…”


จั้นเจินซือ?!


สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างมาก ไฟค่อยๆ ลุกโชนในดวงตา จั้นเจิ้นซือ? นั่นคือตำนานยืนหนึ่งที่หาได้ยากในมหาพันภพ ดังนั้นเขายังไม่รู้ว่าจะทำให้ตนเองเป็นจั้นเจิ้นซือแท้จริงได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะสามารถบัญชารัศมีจั้นยี่ได้ แต่เขาก็อยู่ในระดับผิวเผินเท่านั้นและยังต้องคลำหาทางไปด้วยตัวเอง


จิ่วโยวคาดไว้แล้วว่ามู่เฉินต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้จึงพูดว่า “มีคนบอกว่ามีการค้นพบโครงกระดูกของกองทัพขนาดใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงเดาว่าซากอารยธรรมความตายนี้มีโอกาสสูงที่ถูกทิ้งไว้โดยจั้นเจิ้นซือ”


มู่เฉินสงบจิตใจลงก่อนที่จะผงกหัว แม้ซากอารยธรรมความตายล่อลวงใจนัก แต่อันตรายที่อยู่ภายในก็ยากที่จะจินตนาการ ดังนั้นแม้กระทั่งคนที่เด็ดขาดอย่างเขาก็ยังอดลังเลไม่ได้


ถ้านี่มีเพียงหน่วยรบวิหคโลกันตร์ มู่เฉินก็คิดจะลองสักตั้ง การล่อลวงคำว่าจั้นเจิ้นซือค่อนข้างมีน้ำหนักสำหรับเขาตอนนี้มาก ทว่าเวลานี้มีสี่ผู้บัญชาการร่วมเดินทางด้วย ดังนั้นมู่เฉินไม่แน่ใจว่าพวกเขายินดีที่จะเสี่ยงสำหรับข่าวลือรึเปล่า


แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นซากอารยธรรมความตายกับตาตัวเอง แต่ก็ต้องไม่ใช่สถานที่ที่ดีแน่ แค่ชื่อก็ถือเป็นลางร้ายแล้ว


“ถ้าเจ้าสนใจก็ตัดสินใจให้เร็วหน่อย มีข่าวลือว่าจอมยุทธ์ศาสตร์รัศมีจั้นยี่จากตำหนักสุดนภาและหมู่ตึกเทวะกำลังพุ่งไปที่ซากอารยธรรมความตายนี้ หากข้าเดาไม่ผิดพวกเขาไปที่นั่นเพราะข่าวเกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือเหมือนกัน” จิ่วโยวยิ้มบาง น้ำเสียงของนางกระตุ้นใจของมู่เฉินนัก


“ฮ่าๆ ถ้าผู้บัญชาการมู่สนใจ เราก็จะไปด้วย ด้วยวิญญาณสงครามที่มี เราแข็งแกร่งพอในการปกป้องกันและกัน ไม่ว่าซากอารยธรรมความตายจะอันตรายสักแค่ไหน” ดูเหมือนทุกคนจะรับรู้ถึงความลังเลในใจของมู่เฉิน ทั้งสี่คนก็แลกสายตากันพลางยิ้ม


“นอกจากนี้เรายังไม่เคยเห็นว่าซากอารยธรรมระดับหนึ่งน่ากลัวขนาดไหน ดังนั้นขอไปดูด้วยตาตัวเองสักหน่อยเถอะ”


พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เฉินก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ถ้ามีเพียงหน่วยรบวิหคโลกันตร์บุกตะลุยไปตามลำพังก็จะเป็นอันตรายมาก แต่ด้วยการสนับสนุนของสี่หน่วยรบ ความปลอดภัยก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน นี่คงเป็นเพราะเขาช่วยกลั่นวิญญาณสงครามไปก่อนหน้า มิฉะนั้นทั้งสี่อาจไม่ยอมที่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องประเภทนี้ก็เป็นได้


แต่ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อผู้บัญชาการทั้งสี่เห็นพ้องต้องกันแล้ว งั้นพวกเขาก็เล็งเป้าหมายไปที่ซากอารยธรรมแห่งนี้กันเลย


มู่เฉินค่อยๆ กำมือแน่นขณะที่เปลวไฟลุกโชนในจุดที่ลึกที่สุดของนัยน์ตาสีดำ


จั้นเจิ้นซือ เขาชักจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยแล้ว หวังว่าซากอารยธรรมความตายจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)