หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 859-860
บทที่ 859 ฝึกฝนรัศมีจั้นยี่
ที่เบื้องล่างของยอดเขา
ทั้งห้าหน่วยรบที่มีรัศมีจั้นยี่ทรงพลังไร้ขอบเขตกระเพื่อมไหวอยู่เบื้องบน ยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ ดังนั้นลักษณะของคลื่นรัศมีที่แข็งกร้าวก็ดูนุ่มนวลลงหลายส่วน
แต่มู่เฉินที่มีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับรัศมีจั้นยี่ รู้ดีว่ารูปลักษณะที่นุ่มนวลเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น ต้นกำเนิดของรัศมีจั้นยี่คือคลื่นหลิงผสานเข้ากับกระแสจิตความมุ่งมั่นของนักรบทุกคน ดังนั้นเมื่อนักรบเหล่านี้อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ รัศมีจั้นยี่ก็จะพลุ่งพล่านจนเต็มเป็นด้วยพลังการโจมตี
ม่านตาสีดำของมู่เฉินมองไปที่รัศมีทั้งห้ากลุ่มพลางครุ่นคิด ตอนนี้การบัญชารัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ของเขามาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่ด้วยจำนวนนักรบที่มีขีดจำกัด ดังนั้นด้วยขุมพลังที่เพิ่มขึ้นของมู่เฉิน เขาจึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ไม่เพียงพอสำหรับเขาอีกต่อไป…
แต่หน่วยรบที่ได้รับการฝึกฝนแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถขัดเกลาได้ในระยะเวลาอันสั้น นักรบทุกคนจะต้องใช้เวลานานในการเจียระไนและประสานคลื่นหลิงกัน ไม่งั้นพวกเขาก็จะเป็นเพยีงเม็ดทรายที่กระจายและรัศมีจั้นยี่ก็จะไม่มีพลังอำนาจใดๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับนักรบหนึ่งพันคนที่ยุ่งเหยิงกับที่หลอมรวมกัน ฝ่ายที่หลอมรวมสามารถเอาชนะได้อย่างสบาย
ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกว่ารัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์จะไม่เพียงพอสำหรับเขาอีกต่อไป แต่เขาก็ไม่มีวิธีอะไรมาช่วยได้ สำหรับการเป็นจั้นเจิ้นซือหากไม่มีการสนับสนุนจากกองทัพชั้นยอด ก็คล้ายกับแม่ครัวชั้นยอด แต่ไม่มีวัตถุดิบในมือให้ทำ
พลังของจั้นเจิ้นซือเกิดจากกองทัพ
แต่ตอนนี้มู่เฉินกำลังพบโอกาสทองตรงหน้าจากหน่วยรบทั้งสี่ ซึ่งก็คือหน่วยรบแยกคีรี หน่วยรบเหยี่ยวโลหิต หน่วยรบกระบี่เทพและหน่วยรบเทพผาถ้ำ…
ถ้าเขาสามารถทำให้เกิดการสั่นพ้องระหว่างทั้งสี่หน่วยรบด้วยพลังของเขา นั่นก็จะแสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะบัญชาหน่วยรบทั้งสี่ได้
หากไปถึงจุดนั้น พลังของมู่เฉินก็จะพุ่งทะยานในระดับที่น่าอัศจรรย์ใจแน่นอน เพียงแค่รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์เพียงอย่างเดียว เขาก็สามารถปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอย่างสูป้าได้ ถ้าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากรัศมีจั้นยี่ของอีกสี่หน่วยรบได้ด้วยละก็ ต่อไปแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อขั้นเจ็ดเขาก็ไม่ต้องกลัว
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนโง่และรู้ว่ายังเป็นไปไม่ได้สำหรับตนเองที่จะควบคุมรัศมีจั้นยี่ห้าหน่วยรบด้วยขุมพลังที่มีในตอนนี้ เว้นแต่เขาจะเข้าสู่การเป็นจั้นเจิ้นซือตัวจริง มิฉะนั้นรัศมีจั้นยี่ที่กว้างใหญ่ไพศาลเพียงอย่างเดียว ก็ทำให้จิตใจเขาถึงกับแหลกสลายลงได้
ผู้ฝึกไม่สามารถแข็งแกร่งได้ในวันเดียว ต้องใช้เวลาเพื่อบรรลุผล
แต่…แม้ว่าเขาจะไม่สามารถบัญชาได้ แต่ถ้าเขาทำให้เกิดการสั่นพ้องระหว่างหน่วยรบได้ก็จะเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของตนเอง บางทีเขาอาจจะเข้าใกล้จั้นเจิ้นซือลึกลับได้อีกก้าว
แต่ว่าการเข้าไปแทรกแซงกองทัพของคนอื่นดูจะเกินเลยไปหน่อย แต่มู่เฉินก็มีวิธีที่จะจัดการกับปัญหาที่ตามมา
เมื่อคิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็อดสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอดไม่ได้ จากนั้นโดยไม่มีความลังเล เขาก็หลับตาลง หัวใจกระเพื่อมไหวภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
ความมืดปกคลุมสายตาเขา แต่ประสาทสัมผัสในใจกลับกว้างขวางยิ่งขึ้น ภายใต้ประสาทสัมผัสของมู่เฉิน รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตทั้งห้ากลุ่มที่ลอยฟุ้งอยู่รอบภูเขาก็เกิดลอนคลื่นอย่างเงียบๆ เสียงคำรามกระหายเลือดดังสะท้อนเป็นระยะ ทำให้มิติถึงกับผันผวน
ในบรรดามหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ทั้งห้า มีกลุ่มหนึ่งที่มู่เฉินรู้สึกเป็นมิตรมาก นั่นก็คือของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ส่วนอีกสี่หน่วยรบต่างครอบครองพื้นที่ของตนราวกับพยัคฆ์เฝ้าถ้ำ
มู่เฉินหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่คลื่นจิตจะกระจายออกไปมาอยู่ตรงหน้ารัศมีจั้นยี่ทั้งสี่ เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะลองเชื่อมโยงเข้าไป
ปัง!
แต่ทันทีที่คลื่นจิตของมู่เฉินสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่ทั้งสี่กลุ่ม เขาก็ถูกดีดออกมาและยังดึงดูดการปฏิเสธรวมทั้งการโจมตีของจิตใต้สำนึก นี่ทำให้จิตใจของมู่เฉินสั่นไหวเล็กน้อย
การเชื่อมโยงครั้งแรกล้มเหลว
มู่เฉินขมวดคิ้วแน่น รัศมีจั้นยี่เหล่านี้ปฏิเสธการเข้าใกล้ที่ไม่คุ้นเคย ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีความมุ่งร้ายในคลื่นจิตเมื่อสักครู่ละก็ เขาคงถูกรัศมีจั้นยี่ทั้งสี่กลุ่มโจมตีแน่แท้
รัศมีจั้นยี่เหล่านี้อ่อนไหวเกินไป
มู่เฉินอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน ก่อนที่จะคลายหัวคิ้วออก เนื่องจากตัวเขามีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับวิถีรัศมีจั้นยี่ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าการตะลุยเข้าไปแบบนี้จะไม่มีประโยชน์เลย
หัวใจของมู่เฉินค่อยๆ สงบลงจนกระทั่งนิ่งเหมือนน้ำในบ่อ ก่อนที่เขาจะกระจายคลื่นจิตอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้เข้าไปเชื่อมโยงกับรัศมีจั้นยี่ทั้งสี่ แต่กลับปล่อยให้คลื่นจิตล่องลอยไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน จากนั้นก็ราวกับเกิดคลื่นริ้วเล็กๆ บนผิวน้ำ ค่อยๆ เข้าไปสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตทั้งสี่อีกครั้ง
ฮึ่ม!
ทันทีที่มีการเชื่อมโยงร่างของมู่เฉินก็กระตุกอย่างรุนแรง ราวกับมีเสียงคำรามกระหายเลือดไม่มีที่สิ้นสุดดังก้องในหัวใจ รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนราวกับต้องการจะเข้ามาครอบงำจิตใจเขาแทน
ทว่าเสียงเหล่านั้นก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับมู่เฉินมากนัก เขาไม่ใช่พวกไก่อ่อนเกี่ยวกับศาสตร์รัศมีจั้นยี่ ดังนั้นเขาจึงป้องกันจิตใจอย่างมั่นคง ปล่อยให้รัศมีจั้นยี่ทำตามที่ต้องการ หลังจากนั้นเสียงคำรามก็ค่อยๆ อ่อนลงจนหายไปในที่สุด
ขณะเดียวกันกับที่เสียงคำรามหายไป คลื่นจิตของมู่เฉินที่แผ่ซ่านออกมาก็ราวกับปลาได้กลับคืนสู่มหาสมุทร
ในที่สุดคลื่นจิตก็ว่ายวนเข้าไปในมหาสมุทรจั้นยี่ทั้งสี่อันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว
เขารู้สึกเหมือนกับเข้าไปในภูเขาไฟ รัศมีจั้นยี่ทั้งสี่มีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน ซึ่งคุณสมบัติที่อยู่ภายในก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน
เช่นหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตที่มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น หน่วยรบแยกคีรีมีกลิ่นอายสังหารหนาแน่น หน่วยรบกระบี่เทพก็มีกลิ่นอายคมกริบ และสุดท้ายหน่วยรบเทพผาถ้ำมีกลิ่นอายหนักแน่น…
คุณลักษณะทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับลักษณะที่หน่วยรบแสดงออกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หรือกล่าวได้ว่านี่เป็นลักษณะของพวกเขานั่นเอง
คลื่นจิตของมู่เฉินค่อยๆ ผสานเข้ากับมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนไม่มีที่สิ้นสุดดังก้องในหัวใจ ถ้านี่เป็นจอมยุทธ์ธรรมดาคงจะสติหลุดไปจากผลกระทบของรัศมีจั้นยี่ ไม่สามารถคงสถานะที่ชัดเจนเอาไว้ได้
แต่โชคดีที่มู่เฉินไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
นอกจากนี้มู่เฉินก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะพยายามสร้างการสั่นพ้องระหว่างหน่วยรบหลังจากผสานเข้ากับรัศมีจั้นยี่ ตรงข้ามเขากลับปล่อยให้คลื่นจิตตระเวนไปรอบๆ มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่นี้
เหมือนปลาในแม่น้ำที่เข้าไปอยู่ในฝูงปลาทะเล พยายามทำทุกอย่างให้คล้ายคลึงกับสิ่งรอบตัว
แน่นอนว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือมู่เฉินไม่ได้ปกปิดการมีอยู่ของคลื่นจิต ดังนั้นเมื่อคลื่นจิตของเขาว่ายวนไปรอบๆ มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่เหล่านี้ ความคิดของรัศมีดังกล่าวก็สัมผัสเขาได้
ความคิดเหล่านี้มาจากนักรบทั้งสี่หน่วยรบนั่นเอง
ดังนั้นเมื่อพวกเขารับรู้ถึงคลื่นจิตของมู่เฉิน ก็มีจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนของทั้งสี่หน่วยรบเบิกตาโพลงด้วยความตะลึงงัน
โดยทั่วไปเมื่อพวกเขาพบคลื่นจิตที่ไม่ใช่ของหน่วยรบตนเองในรัศมีจั้นยี่ พวกเขาก็จะพยายามโจมตีเพื่อทำลาย แต่ครั้งนี้ผู้บุกรุกคือมู่เฉิน…
หลายวันที่ผ่านมามู่เฉินได้นำหน่วยรบวิหคโลกันตร์ตะลุยไปทั่วสมรภูมิพร้อมพวกเขา นั่นทำให้พวกเขารู้สึกอิจฉาในความอัศจรรย์ของรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ที่สามารถก่อตัวได้ภายใต้การบัญชาของมู่เฉิน ดังนั้นเมื่อพวกเขารับรู้ถึงคลื่นจิตของอีกฝ่ายที่ว่ายวน พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ แค่ลังเลไปชั่วอึดใจ และเมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ได้ทำอะไรมากนัก พวกเขาก็ยอมรับคลื่นจิตนั้น เพราะยังไงมู่เฉินก็ถือเป็นสมาชิกคนหนึ่งของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นับว่าเป็นสหายกัน
ทว่าถึงเหล่านักรบจะยอมรับ ก็ยังมีแม่ทัพจำนวนหนึ่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาตรงจากผู้บัญชาการ ในฐานะแม่ทัพนายกอง พวกเขาไม่สามารถมองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นหลังจากลังเลครู่หนึ่งพวกเขาก็รายงานเรื่องนี้ให้ผู้บัญชาการทราบ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เมื่อทราบข้อมูลผู้บัญชาการทั้งสี่ก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน สายตามองไปที่ยอดเขาด้วยความตื่นตะลึง
จิ่วโยวปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน เมื่อนางมาถึงผู้บัญชาการทั้งสี่ก็หันมามอง “ผู้บัญชาการจิ่วโยว ผู้บัญชาการมู่นี่ทำอะไรอยู่เหรอ?”
แม้ว่าทั้งสี่จะถามด้วยความเกรงใจ แต่จิ่วโยวก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยความสงสัย มู่เฉินเข้ามาแทรกแซงในหน่วยของพวกเขาโดยไม่ได้แจ้งก่อน ซึ่งดูเหมือนจะไร้มารยาทไปหน่อย
จิ่วโยวยิ้มขมขื่น ขณะกำลังจะเปิดปากพูด ความคิดหนี่งก็กระจายไปทั่วท้องฟ้ามืดมิดตามด้วยเสียงสะท้อนของมู่เฉิน
“ขอยืมพลังของหน่วยรบทั้งสี่เพื่อฝึกฝน ถ้าประสบความสำเร็จอาจช่วยให้หน่วยรบทั้งสี่เข้าใจเกี่ยวกับวิญญาณสงครามได้”
เสียงนุ่มนวลของมู่เฉิน ทำให้ดวงตาของผู้บัญชาการทั้งสี่เปล่งประกาย รอยยิ้มสดใสกระจายบนใบหน้าทันที
“ฮ่าๆ ถ้าผู้บัญชาการมู่ต้องการ ก็ทำตามใจได้เลย” แม้แต่หงหยาที่ไม่ค่อยพูดค่อยจายังไม่สามารถควบคุมเสียงหัวเราะของตนเองได้ ในช่วงนี้เขาได้เห็นถึงพลังอำนาจของวิญญาณสงครามที่มีผลต่อกองทัพ ดังนั้นดวงตาของเขาจึงได้แต่แดงก่ำด้วยความอิจฉาในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากไม่มีอัจฉริยะศาสตร์นี้แบบมู่เฉินในหน่วยรบของเขา ดังนั้นจึงได้แต่กังวลไปเท่านั้น ตอนนี้เมื่อได้ยินประโยคที่มู่เฉินบอกกล่าว แม้แต่ผู้บัญชาการทั้งสี่ที่มีความแน่วแน่ยังอดปลายหางตากระตุกไม่ได้
ถ้าไม่ใช่ความจริงเรื่องนี้อาจสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อื่น พวกเขาคงบอกให้มู่เฉินบัญชาหน่วยรบของพวกเขาไปเลย ตราบใดที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ อยากทำอะไรก็ทำ…
เมื่อจิ่วโยวได้ยินว่าผู้บัญชาการทั้งสี่มอบหน่วยรบไว้ในมือมู่เฉิน ริมฝีปากบางของนางก็เบ้ขึ้น จากนั้นนางก็มุ่นคิ้วจ้องมองไปที่ร่างเงาบนภูเขา
แต่ว่า… นี่ไม่โม้เกินไปหน่อยเหรอ วิญญาณสงครามกลั่นได้ง่ายขนาดนี้ซะที่ไหน…
บทที่ 860 วิญญาณสงครามเหยี่ยวโลหิต
แจ้งสิ่งที่ต้องการกับผู้บัญชาการทั้งสี่เรียบร้อย
มู่เฉินก็เข้าไปเชื่อมโยงกับมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่อีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะได้รับอนุญาตแล้ว นักรบแต่ละหน่วยก็ปลดการป้องกันทั้งหมดให้มู่เฉินเข้ามา กระแสจิตอันมุ่งมั่นภายในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่จึงเริ่มก่อสัมพันธ์กับคลื่นแปลกหน้าอย่างมู่เฉิน
มู่เฉินเริ่มหลอมรวมอย่างเงียบๆ แต่ไม่ได้ขัดขวางการไหลเวียนรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบทั้งสี่ ราวกับว่าเขาเป็นผู้ชมที่เฝ้ามองตามไปเรื่อยๆ
หากเขาต้องการทำให้เกิดการสั่นพ้องในรัศมีจั้นยี่ เขาจะต้องกลมกลืนเป็นส่วนเดียวกันให้ได้เสียก่อน
ขณะที่มู่เฉินว่ายวนไปเรื่อยๆ หัวใจก็เริ่มสงบลง เสียงตะเบ็งแห่งการต่อสู้ไม่รู้จบที่ก้องอยู่ในใจก่อนหน้าก็เริ่มเบาลงทีละน้อย…ละน้อย จนกระทั่งจางหายไปในที่สุด
ณ ที่แห่งนี้ทุกสรรพสิ่งเงียบสงบ
ในสายตาของคนนอก มองเห็นรัศมีรอบตัวของมู่เฉินถอนออกอย่างสมบูรณ์ เมื่อผู้บัญชาการทั้งสี่มองไปที่หน่วยรบของตนเอง พวกเขาก็พบว่ารัศมีจั้นยี่ที่เคยพลุ่งพล่านก่อนหน้า บัดนี้สงบลงมาก…
พวกเขาไม่ทราบสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาของพวกเขากลับเปล่งประกายแสงมากขึ้น นั่นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาของมู่เฉินในศาสตร์รัศมีจั้นยี่
บางทีมู่เฉินอาจสามารถช่วยกลั่นวิญญาณสงครามของหน่วยรบพวกเขาได้จริงๆ
พวกเขาไม่กังวลว่ามู่เฉินจะทำตุกติกอะไรกับหน่วยรบพวกเขา เนื่องจากทุกคนเป็นสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ถ้ามู่เฉินคิดไม่ซื่อ ในอาณากงเวทสวรรค์ก็คงไม่มีที่ยืนสำหรับเขาอีก นอกจากนี้พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับนิสัยมู่เฉินมากขึ้น หลังจากได้พูดคุยกันมากในช่วงนี้ ด้วยนิสัยของชายหนุ่มเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านั้น
เวลาเคลื่อนผ่านไปช้าๆ ในยามค่ำคืน
หกชั่วโมงต่อจากนั้น กระแสจิตของมู่เฉินก็ราวกับกลายเป็นสายธารจิตอันมุ่งมั่นของนักรบคนหนึ่งแล้วหลอมรวมเข้ากับหน่วยรบทั้งสี่อย่างสมบูรณ์แบบ
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบทั้งสี่ไม่ได้ปฏิเสธเขาอีกแม้แต่น้อย ทว่านี่ก็ยังไม่เพียงพอ
“พวกเจ้า…ต้องการที่จะกลั่นวิญญาณสงครามเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นไหม?” จิตอันมั่งมั่นของมู่เฉินกำจายออกไปท่ามกลางมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่อันยิ่งใหญ่ทั้งสี่และถูกถ่ายทอดไปยังนักรบทุกคน
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่กระเพื่อมขึ้นฉับพลัน นี่เป็นการตอบสนองรุนแรงที่สุดที่ทั้งสี่หน่วยรบตอบรับ ช่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่แทบบ้าคลั่ง
ความฝันของทุกกองทัพคือการสร้างวิญญาณสงคราม เพราะวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้กองทัพเหมือนมีจิตวิญญาณ
ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะเป็นนักรบที่กระจัดกระจาย ไม่สามารถประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้
เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงตอบรับรุนแรง เขาก็ยิ้มบางในใจ ด้วยการตอบสนองเข้มข้นแบบนี้ ต่อไปก็จะทำให้เกิดการสั่นพ้องที่ง่ายกว่ามาก
ผู้บัญชาการทั้งสี่ก็สัมผัสได้ถึงรัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่านในหน่วยรบของตน แต่ละคนถูมือเข้าด้วยกันด้วยความตื่นเต้น
“จอมยุทธ์ทั้งหลาย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าลองใช้วิธีนี้ จึงไม่สามารถช่วยทั้งสี่หน่วยรบกลั่นวิญญาณสงครามในครั้งเดียว เนื่องจากหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตมีจำนวนคนน้อยที่สุด ข้าก็ขอเริ่มจากพวกเขาก่อน”
แต่เมื่อคำพูดของมู่เฉินส่งผ่านโสตประสาท ผู้บัญชาการอีกสามคนก็มีใบหน้าแข็งทื่อ ส่วนเสี่ยยิงถึงกับยิ้มกริ่ม สิ่งนี้ทำให้ผู้บัญชาการทั้งสามจ้องเขาเขม็ง เนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตจะเป็นกองทัพแรกที่ได้ทดลอง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้คาดหวังเต็มร้อยว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้จริง เพราะการกลั่นวิญญาณสงครามไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเกิดสำเร็จขึ้นมาล่ะ?
แค่คิดว่าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตจะสร้างวิญญาณสงครามขึ้นมาได้ ผู้บัญชาการอีกสามคนก็เบะปากอย่างไม่พอใจ
ณ จุดนี้มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับความคิดของเหล่าผู้บัญชาการ เพราะเขารู้ชัดว่าด้วยขุมพลังที่มีในปัจจุบัน ถ้าเขาคิดจะช่วยหน่วยรบทั้งสี่ในการกลั่นวิญญาณสงครามพร้อมกันละก็ คลื่นจิตของเขาคงถูกทำลายด้วยรัศมีจั้นยี่อันป่าเถื่อน
ดังนั้นเขาจึงต้องลองทีละหน่วยรบ ในเมื่อหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตมีจำนวนคนเหลือน้อยที่สุด จึงเป็นเป้าหมายที่ดีที่เขาจะทดลอง
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ถอนคลื่นจิตมั่นคงออกจากอีกสามหน่วยรบอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมุ่งเน้นไปที่รัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิต เหล่านักรบเหยี่ยวโลหิตระเบิดความยินดีปรีดาต้อนรับกระแสจิตของมู่เฉินและปล่อยให้จิตหลอมรวมกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่ทั้งหมดของพวกเจ้าออกมา” ความคิดของมู่เฉินถ่ายทอดไปยังนักรบทุกคน
ตู้ม!
เมื่อสิ้นเสียงของมู่เฉิน หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตก็เปล่งเสียงคำรามด้วยรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่พุ่งออกมา นี่ดูราวกับทะเลโลหิตครางกระหึ่มไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวเลือดอัดแน่น
มู่เฉินรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตที่เต็มไปด้วยซากศพ ทั่วบริเวณถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน
รัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตถือว่าประณีตและทรงพลังมาก แต่เมื่อเทียบกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็ยังขาดไปหลายส่วน ดังนั้นจึงไม่มีความผันผวนจากคลื่นจิตอันมุ่งมั่นของมู่เฉินเลย เขาค่อยๆ ดำดิ่งลงเข้าไปในส่วนลึกของมหาสมุทรโลหิตรัศมีจันยี่
ขณะที่มหาสมุทรโลหิตรัศมีจั้นยี่พวยพุ่ง ความกระหายเลือดไม่รู้จบก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองของมู่เฉิน บังเกิดฉากสังหารวิ่งวนอยู่ในหัวใจ นี่คือศึกที่ผ่านมาของหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต
แต่ในสายตาของมู่เฉินตอนนี้ รัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิตยังไม่ได้รับการขัดเกลาที่ดีพอ
พูดให้ถูกก็เป็นเพราะหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตไม่มีแม่ทัพที่สามารถควบคุมทั้งกองทัพได้ เนื่องจากหน่วยรบได้รับการควบคุมจากแม่ทัพหลายคนเกินไป แม้จะเพิ่มจำนวนนักรบที่พวกเขาสามารถสั่งการได้ แต่ก็มีความแตกต่างเล็กน้อย จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้รัศมีจั้นยี่กลั่นรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ถ้าต้องการกลั่นรัศมีจั้นยี่ก็จะต้องมีผู้สั่งการเพียงคนเดียว เหมือนกับที่มู่เฉินเป็นคนบัญชาหน่วยรบวิหคโลกันตร์
แต่ถ้าเขาต้องการสั่งการหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต เขาก็ต้องได้รับการยอมรับจากเหล่านักรบทั้งหมด
“มอบรัศมีจั้นยี่ของพวกเจ้าให้ข้า” มู่เฉินกระจายคลื่นจิตออกไปอย่างรวดเร็วภายในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่แห่งนี้
คำพูดของเขาทำให้เกิดระลอกคลื่นใหญ่ในหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต ไม่ว่าอย่างไรเหล่านักรบก็เป็นคนของหอเหยี่ยวโลหิต ส่วนรัศมีจั้นยี่ก็เป็นที่พึ่งพาที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา การให้คนแปลกหน้าเข้าควบคุมรัศมีจั้นยี่เป็นข้อห้ามอย่างยิ่ง
ความปั่นป่วนของหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตถูกเสี่ยยิงสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็กลอกตาพลางส่งเสียงเหี้ยมเกรียม “ผู้บัญชาการมู่สั่งว่าอย่างไรก็ทำตามให้หมด!”
ด้วยคำสั่งเด็ดขาดของผู้นำสูงสุด เหล่านักรบเหยี่ยวโลหิตก็ไม่กล้าลังเลอีกต่อไป รัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่พวยพุ่ง จิตอันมุ่งมั่นของมู่เฉินกระจายออกไปหลอมรวมกับรัศมีจั้นยี่อันทรงพลังนั่น
กลิ่นคาวเลือดรุนแรงพลุ่งพล่านเข้าในหัวสมองของมู่เฉินอย่างบ้าคลั่ง ถ้านี่เป็นจอมยุทธ์ธรรมดารับไปคงจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารทันที
แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อมู่เฉิน เขาเมินเฉยต่อกลิ่นเลือดน่าสะเอียดสะเอียน ด้วยความตั้งมั่นที่มีในหัวใจ พายุลูกหนึ่งก็ดันตัวในมหาสมุทรโลหิตรัศมีจั้นยี่
เสาแสงจั้นยี่สีแดงเข้มจำนวนมากถูกยิงออกมาจากภายในมหาสมุทรโลหิต กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
หัวใจของมู่เฉินสงบ ขณะเดียวกันก็ได้หลอมรวมเข้ากับมหาสมุทรโลหิตรัศมีจั้นยี่แห่งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ รับรู้ถึงกลิ่นอายการต่อสู้ของหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตในอดีตที่ผ่านมา…
ท่าทางของนักรบทุกคนกลายเป็นเคร่งเครียด ขณะที่ดวงตาวูบไหว ยามนี้พวกเขาสามารถรับรู้ว่ามีมือล่องหนกำลังพยายามปั้นรวมรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาเข้าด้วยกัน มือนี้ยิ่งใหญ่และทรงพลัง สามารถเร้าพลังของพวกเขาได้ถึงขีดสุด
นี่คือคลื่นจิตอันมุ่งมั่นที่มาจากมู่เฉิน
พวกเขาไม่เคยสัมผัสถึงคลื่นจิตยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ไม่มีแม่ทัพคนใดของหอเหยี่ยวโลหิตประสบผลในการบรรจุรัศมีที่ทรงพลังแบบนี้ได้
นักรบเหยี่ยวโลหิตปิดกั้นการรบกวนจากโลกภายนอกทั้งหมดในเวลานี้ พวกเขารู้สึกถึงความสบายใจที่ต้องการเพียงแค่ให้ตนเองปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง มือใหญ่นั้นก็จะรวบรวมรัศมีเข้าด้วยกันแล้วระเบิดพลังที่ยิ่งใหญ่ออกมา
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
มหาสมุทรโลหิตรัศมีจั้นยี่พลิกคว่ำพลิกหงายอย่างรุนแรง สีหน้าของเสี่ยยิงก็เปลี่ยนไปเมื่อสังเกตเห็นภาพนี้ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ชัดเจนว่ารัศมีจั้นยี่เหยี่ยวโลหิตกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีแม่ทัพที่สามารถกลั่นรัศมีจั้นยี้หยี่ยวโลหิตได้ในระดับสูงเช่นนี้!
นี่คืออัจฉริยะจั้นเจิ้นซือที่แท้จริง!
มีเพียงการอยู่ในมือจั้นเจิ้นซือ รัศมีจั้นยี่ของกองทัพถึงจะทรงพลังและไม่อาจถูกทำลายได้
เสี่ยยิงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ขณะที่มองไปที่จิ่วโยวอย่างอิจฉาพลางยิ้มขมขื่น “เจ้าพาสหายชั้นยอดกลับมาจริงๆ”
จิ่วโยวยิ้มบางขณะที่ความภาคภูมิใจกระจายบนใบหน้าเย็นชาของนาง ย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินเพิ่งเข้ามาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่มีใครมองเขาในแง่ดีเลย ทว่าสุดท้ายความจริงก็เป็นตัวบอกว่าทุกคนมองเขาผิดไป
ผู้บัญชาการที่เหลือยังคงจ้องมองมหาสมุทรโลหิตรัศมีจั้นยี่ไม่วางตา ลำแสงจั้นยี่นับไม่ถ้วนกำลังปะทะกันเปรียะๆ ขณะที่รัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตกระเพื่อมไหวไปทั่วมิติ
ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลม พวกเขารู้สึกได้ว่าในจุดลึกของวงคลื่น เหมือนจะมีบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น
แสงสีโลหิตอัดแน่นไปทั่วบริเวณ
กีด!
ทันใดนั้นเสียงร้องของเหยี่ยวก็ดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า
ร่างของเสี่ยยิงสั่นเทิ้ม ขณะที่กำหมัดแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ส่วนผู้บัญชาการอีกสามคนก็เปล่งประกายแสงแวววาวในดวงตาเช่นกัน
นักรบหน่วยรบอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นจับจ้องมองไปที่ลอนแสงสีโลหิต
ณ จุดนั้นมีแสงสีโลหิตแผ่ออกไปกว้าง เหยี่ยวโลหิตตัวมหึมากางปีกออกไปถึงพันจั้ง ก่อนที่จะกระพือปีก รัศมีจั้นยี่น่าอัศจรรย์กวาดไป
เหยี่ยวโลหิตตัวนี้ก็คือวิญญาณสงครามที่กลั่นมาจากหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตนั่นเอง!
เหล่าผู้บัญชาการต่างสูดอากาศเย็นเข้าไปสุดปอด จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ความตื่นตะลึงและตื่นเต้นปรากฏในแววตา
มู่เฉินสามารถช่วยหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตกลั่นวิญญาณสงครามได้จริงๆ!!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น