หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 855-858

 บทที่ 855 ตีหมาที่ตกน้ำ

ขณะที่มู่เฉินเข้าควบคุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์อีกครั้ง


รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกมา รัศมีนี้ที่ได้รับการชำระจนกลั่นตัวจะแข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเลี่ยซันที่อยู่ไกลออกไปก็ยังต้องเหลือบตามองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ


แต่มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจ เขายืนอยู่บนท้องฟ้า รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์กวาดเข้ามาที่ใต้ฝ่าเท้าเขาราวกับมหาสมุทรน้ำหมึก จากนั้นดวงตาเขาก็ปิดลง จิตใต้สำนึกหลอมรวมเข้ากับรัศมีจั้นยี่ ราวกับมีเสียงคำรามไม่มีที่สิ้นสุดดังสะท้อนก้องอยู่ในใจ เสียงนี้ทำให้กระทั่งเลือดในกายของเขายังเริ่มเดือดพล่าน


การให้มู่เฉินเข้าบัญชารัศมีจั้นยี่อีกครั้งก็เท่ากับปล่อยพยัคฆ์เข้าป่า เขาสามารถสัมผัสได้อย่างง่ายดายถึงพลังทำลายล้างที่น่ากลัวที่เขาสามารถบัญชาในมหาสุมทรรัศมีจั้นยี่เพียงแค่สะบัดมือ


ถ้ามู่เฉินใช้พลังนี้ต่อสู้กับฟังยี่ก่อนหน้า กระทั่งร่างแสงดาวปฐมกาลของฟังยี่ก็คงจะถูกเขาทำลายโดยสิ้นเชิง


เพราะนี่ก็คือพลังของรัศมีจั้นยี่


แม้ว่าพลังนี้จะไม่ใช่ของตนเองและมีข้อจำกัดในการใช้มากมาย แต่บางครั้งทุกคนก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นพลังคุกคามที่น่ากลัวมากเช่นกัน


ในอดีตจั้นเจิ้นซือชั้นสุดยอดสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ชั้นนำของโลกได้เลยทีเดียว ทว่าเมื่อแยกออกจากกองทัพแล้วพลังของพวกเขาจะลดลงมาก แต่ถ้าจั้นเจิ้นซือทรงพลังมีกองทัพชั้นยอดในมือ พวกเขาก็จะมีพลังที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่อาจดูถูกได้


“ก่อนหน้าเราสู้กันบาดเจ็บทั้งคู่…งั้นตอนนี้มาลองอีกสักตั้งไหม?” ม่านตาสีดำของมู่เฉินจ้องไปยังที่ไกล ตรงนั้นกองทัพจระเข้สวรรค์จัดกระบวนทัพป้องกันกำลังถอยหนีอย่างรวดเร็วโดยมีฟังยี่อยู่ด้วย แต่ถึงจะมีจอมยุทธ์มากมายปกป้องเขา มู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงสายตาเย็นเยือกของอีกฝ่ายที่กินลึกถึงกระดูก


“กีด!”


มือของมู่เฉินกดลงโดยไม่ลังเลพร้อมกับสั่งการในหัวใจ มหาสมุทรสีดำรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์กวาดออกพร้อมกับเปล่งเสียงร้องไปทั่วพื้นที่ ขณะที่รัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่พวยพุ่งก่อร่างเป็นวิหคโลกันตร์ขนาดใหญ่ ร่างสัตว์อสูรใหญ่นี้ประทับลวดลายสลับซับซ้อนที่เห็นได้อย่างชัดเจน มิหนำซ้ำระลอกรัศมีทรงพลังยังสร้างลอนคลื่นไปทั่วมิติ


“วิญญาณสงคราม?!”


เมื่อวิญญาณสงครามปรากฏขึ้น ผู้บัญชาการทั้งสามจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ตรวจพบได้ทันที ม่านตาของพวกเขาหดลงด้วยความตื่นตะลึง ขณะที่จ้องมองไปยังทิศที่มู่เฉินยืนอยู่


“อัจฉริยะแท้จริง ผู้บัญชาการมู่มีความสามารถบัญชารัศมีจั้นยี่ได้ถึงระดับนี้ทั้งที่อายุน้อยขนาดนี้” เลี่ยซันกล่าวอย่างเคร่งขรึม ในหน่วยรบเขาก็มีผู้ใต้บัญชาการหลายคนที่เชี่ยวชาญและโดดเด่น แต่ก็ไม่มีสักคนเดียวที่สามารถสร้างวิญญาณสงครามได้เหมือนกับมู่เฉิน


ไม่ไกลจากเลี่ยซัน โจวเยี่ยหนึ่งในสี่ยอดแม่ทัพของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เผยสีหน้าซับซ้อน เขามองวิญญาณสงครามที่กวนตัวอยู่เหนือหน่วยรบวิหคโลกันตร์ สุดท้ายก็ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจด้วยความชื่นชม การขับเคลื่อนครั้งนี้ของมู่เฉินทำให้เขาไม่มีแม้กระทั่งความกล้าที่จะท้าทาย…


“วาบ!”


เมื่อวิญญาณสงครามปรากฏขึ้น ปีกก็สับลงมาพร้อมกับเสียงดังสนั่นภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ลำแสงที่ราวกับใบมีดแหลมคมฟันลงมา ฉีกขาดท้องฟ้าเป็นริ้วปรากฏเหนือกองทัพจระเข้สวรรค์ ก่อนที่จะซัดลงมาโดยไม่ลังเล


ในเส้นทางของลำแสง มิติราวกับถูกฉีกออกเป็นสองส่วน


สูป้าที่ยืนอยู่ในกองทัพก็รู้สึกเย็นยะเยือกบนชั้นผิว เมื่อเห็นลำแสงส่องลงมา ทันใดนั้นเขาก็แผดเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด


“รัศมีจระเข้สวรรค์!”


ตู้ม!


รัศมีจั้นยี่สีแดงสดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากกองทัพจระเข้สวรรค์ จากนั้นก็ทะยานไปที่เส้นขอบฟ้าพุ่งเข้าหาลำแสงหมายจะขัดขวาง


ปุ! ปุ!


ทว่าการกีดขวางช่างไร้ความหมาย รัศมีจั้นยี่ถูกฉีกออกโดยลำแสง การทำลายล้างที่พุ่งเข้ามาทำให้หัวใจของสูป้าหนาวสะท้าน


ลำแสงที่มีความคมเพียงพอจะฉีกมิติออกจากกันในที่สุดก็พุ่งลงมา ทำให้เกิดเสียงแหลมบาดแก้วหูราวกับใบมีดกรีดเฉือนร่าง ในกองทัพจระเข้สวรรค์ ร่างหลายร่างถึงกับกระอักเลือดออกจากปากขณะที่ร่วงลงจากบนฟ้า เห็นได้ชัดว่าถูกปะทะจากการโจมตีเข้าอย่างจัง


นี่เป็นเพียงการแลกกกระบวนท่าสั้นๆ กองทัพจระเข้สวรรค์ก็สูญเสียนักรบชั้นยอดไปหลายร้อยคน


ใบหน้าของสูป้ากระตุกดูเหี้ยมเกรียมอย่างยิ่ง ที่ด้านข้างใบหน้าของฟังยี่ก็เขียวคล้ำ เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะน่าเกรงขามขนาดนี้ หลังจากบัญชาหน่วยรบวิหคโลกันตร์


“ถอยเร็ว!”


สูป้าคำราม เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตซึ่งถูกล้อมไว้ในหุบเขาก็เตรียมที่จะพุ่งเข้าโจมตีกองทัพจระเข้สวรรค์ เป็นการตีขนาบทั้งหน้าหลัง ถ้าแผนนี้สำเร็จพวกเขาต้องสูญเสียมหาศาลแน่


มิหนำซ้ำตอนนี้เจ้าภูเขาเหยียนหลังและเจ้าภูเขาเทียนสงก็กำลังถูกหน่วยรบทั้งสามของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไล่ล่าอยู่ ดังนั้นจึงไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ ได้ พวกเขาต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้นในการถอยร่น


มู่เฉินมองไปที่กองทัพจระเข้สวรรค์ที่ถอยร่นอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการเสียโอกาสในการตีหมาที่ตกน้ำ เขาโบกมือ หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็เคลื่อนทัพราวกับเมฆดำขนาดใหญ่ บนท้องฟ้าวิญญาณสงครามกระพือปีกวูบไหว ทำให้รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพลุ่งพล่าน ก่อตัวเป็นขนนกรัศมีจั้นยี่สีดำนับไม่ถ้วน พุ่งออกราวกับห่าลูกธนูจากทุกทิศทาง


บนท้องฟ้า กองทัพขนาดใหญ่กำลังถอยอย่างรวดเร็ว โดยมีอีกกองทัพไล่ล่ามาจากด้านหลัง ทุกการปะทะระหว่างพวกเขา ทำให้มิติถึงกับกระเพื่อมไหว พื้นดินเบื้องล่างฉีกขาดออกจากกัน…


ภายใต้การปะทะกันของรัศมีจั้นยี่ มีคนบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย แต่ชัดว่ากองทัพจระเข้สวรรค์นั้นสูญเสียสมาธิในการต่อสู้ทำให้เกิดการสูญเสียมากกว่า แม้จะมีข้อได้เปรียบในด้านจำนวน แต่หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็ใช้วิญญาณสงครามในการถมช่องว่างนี้


มู่เฉินปรากฏตัวบนหัวของวิญญาณสงครามพลางหรี่ตามองไปที่กองทัพจระเข้สวรรค์ที่กำลังถอยออกไปอย่างรวดเร็ว หรือพูดให้ชัดก็คือฟังยี่ที่แทรกตัวอยู่ในกลุ่มนักรบ จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วออกกดลงเบาๆ


ฮึ่ม!


ขนนกรัศมีจั้นยี่สีดำยิงออกมาจากทุกทิศทาง ส่วนขนนกสิบกว่าสายก็แหวกผ่านรัศมีจั้นยี่ที่ปกป้องจากกองทัพจระเข้สวรรค์เข้าไป ค้นหาร่างฟังยี่แล้วยิงเข้าใส่ไม่ยั้ง


ชัดว่ามู่เฉินตั้งใจจะสังหารฟังยี่ให้สิ้นซาก


เมื่อฟังยี่เห็นขนนกสีดำที่พุ่งมายังทิศของตนเอง ใบหน้าก็แปรเปลี่ยน เขาสัมผัสได้ถึงพลังยิ่งใหญ่ที่บรรจุอยู่ในขนนกสีดำเหล่านี้


นั่นคือสิ่งที่รวมพลังรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ทั้งหมดไว้


ยามนี้มู่เฉินไม่ใช่คนก่อนหน้าแล้ว


ตู้ม!


แต่ถึงจะรู้คนอย่างฟังยี่ก็ไม่นอนรอความตาย เขาแผดเสียงคำรามต่ำ คลื่นหลิงที่ฟื้นคืนพวยพุ่งออกมาไม่หยุดยั้ง ร่างมหึมาก่อตัวรอบร่างเขาอีกครั้ง ซึ่งก็คือร่างแสงดาวปฐมกาลนั่นเอง


มู่เฉินมองร่างแสงดาวปฐมกาล มุมปากก็ยกเป็นมุมโค้งเย็นเยือก เขาตวัดนิ้วลงเบาๆ ขนนกสีดำสิบกว่าสายก็พุ่งทะลุมิติกระแทกลงบนร่างแสงดาวปฐมกาลจังใหญ่


ปัง!


คลื่นหลิงรุนแรงแผ่ขยายออกไป มู่เฉินก็ทำลายร่างแสงดาวปฐมกาลที่เคยทำให้เขาบาดเจ็บ ร่างฟังยี่กระเด็นออกไปอย่างน่าสมเพช เลือดกระอักออกมากบปาก ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษเลยทีเดียว


เพียงแค่สัมผัส ฟังยี่ก็พ่ายแพ้แล้ว!


โห้


ที่ห่างออกไป กองทัพอื่นๆ ที่กำลังจดจ่ออยู่กับสมรภูมิแห่งนี้ก็อดอ้าปากตาค้างไม่ได้ ใครจะคิดว่ามู่เฉินที่เคยได้รับอาการบาดเจ็บสาหัสทั้งสองฝ่ายจากการต่อสู้ระหว่างเขากับฟังยี่หลังจากงัดกลยุทธ์ออกมาหลากหลายจะน่าสะพรึงกลัวมากในตอนนี้ เพียงกระบวนท่าเดียวก็เอาชนะฟังยี่ได้แล้ว


แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้ทำคนเดียว แต่เป็นการรวบรวมพลังกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ แต่ก็ไม่มีใครคิดเยาะเย้ยว่านี่เป็นพลังภายนอก เพราะนี่คือสมรภูมิรบ ทุกอย่างดูที่ผลลัพธ์ ไม่มีใครสนใจวิธีการหรอก…


มีแต่คนโง่ที่เชื่อเรื่องความยุติธรรม


มู่เฉินมองไปที่ฟังยี่ที่หมดท่าอย่างไม่แยแส ตอนนี้ฟังยี่ไม่มีความเก่งกาจที่มีระหว่างการเผชิญหน้าก่อนหน้า เพราะตอนนี้จอมยุทธ์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอีกต่อไป


ฟิ้ว!


มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อขนนกสีดำที่โอบล้อมกองทัพจระเข้สวรรค์ก็ยิงออกมาอีกสิบกว่าสาย ซัดไปทางฟังยี่ เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะตีสุนัขที่ตกน้ำให้ตายเลยทีเดียว


ฟังยี่ก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวของมู่เฉิน ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำลงขณะที่เร่งถอยไปอย่างรวดเร็ว เขารู้แล้วว่ามู่เฉินที่บัญชารัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไม่ใช่คนที่เขาสามารถเผชิญหน้าได้ด้วยคนเดียว


แต่ตอนนี้ชัดว่ามู่เฉินไม่ให้โอกาสเขาแล้วแน่นอน ขนนกสีดำคมกริบมาพร้อมกับรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตเจาะทะลุมิติราวกับสายฟ้าฟาด ปรากฏขึ้นเหนือร่างฟังยี่ในไม่กี่อึดใจก่อนที่จะพุ่งลงมา


เส้นทางการหลบหนีของฟังยี่ถูกปิดตาย


ตู้ม!


แต่ขณะที่ขนนกกำลังจะปะทะร่างฟังยี่ สูป้าก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เขาตะเบ็งเสียงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมา


ปัง!


จังหวะที่ขนนกสีดำสัมผัสกับคลื่นหลิงดุดัน พลังงานทั้งสองสายก็แตกสลาย


“ไอ้เหลือขอปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม โอหังขนาดจะฆ่าคนตรงหน้าข้าเชียวเรอะ!”


สูป้าจ้องมองมู่เฉินอย่างดุร้าย ก่อนจะคำรามออกคำสั่งกับกองทัพจระเข้สวรรค์ “ทุกคนรีบถอย ข้าจะจัดการไอ้จอมหยิ่งนี่เอง!”


“จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเก่งมากเรอะ? ในเมื่ออยากลองดีก็ใช้เจ้ามาสังเวยชีวิตให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ซะ”


ทว่ามู่เฉินกลับสาดยิ้มไม่แสแยเมื่อเผชิญกับสูป้าที่กำลังคำรามลั่น เขาวาดตราประทับด้วยฝ่ามือเดียว ทันใดนั้นวิญญาณสงครามก็ปลดปล่อยเสียงร้องยาวพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกวาดไปทั่วบริเวณ


ขนนกสีดำเปลี่ยนเป้าหมาย เล็งเป้าไปที่สูป้า จากนั้นก็ยิงใส่ทุกทิศทาง จิตสังหารอัดแน่นอยู่ภายใน


ผู้คนที่เฝ้าดูถึงกับสูดอากาศเย็นสุดปอด มู่เฉินโอหังจริงที่คิดจะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกด้วยพลังกองทัพ!


**สุภาษิต ตีหมาที่ตกน้ำแปลว่าจัดการคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก



บทที่ 856 ไล่ล่าพันลี้

ฮึ่ม! ฮึ่ม!


ชั้นบรรยากาศกระเพื่อมไหว ขณะที่ขนนกสีดำนับไม่ถ้วนฉีกผ่านมิติจากทุกทิศทาง โดยที่อีกด้านหนึ่งมีร่างร่างหนึ่งยืนอยู่บนท้องฟ้าราวกับจระเข้ดุร้ายกำจายรัศมีเชี่ยวกรากรุนแรงออกมา


ร่างนี้ก็คือเจ้าภูเขาเอ่อ…สูป้า เขามองไปที่การโจมตีที่โหมกระหน่ำเข้ามาด้วยสายตาน่ากลัว ไม่มีอาการหวาดกลัวใดบนใบหน้า แม้ว่ามู่เฉินจะสามารถกลั่นวิญญาณสงครามของรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ออกมาได้ แต่พลังนั่นก็มีจำกัด ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ของมู่เฉิน แม้จะมีแรงสนับสนุนของรัศมีจั้นยี่ แต่ก็คงเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น พลังระดับนี้ ยังไม่ง่ายที่จะเอาชนะเขาได้หรอก


“คัมภีร์เทียนเอ่อ ปากกลืนฟ้า!”


สายตาสูป้าไร้ความปรานีขณะกระทืบเท้าลงบนพื้น ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดออก ก่อรูปเป็นปากจระเข้ขนาดใหญ่ ปากนี้มีสีดำสนิทมองดูราวกับสามารถเขมือบทุกสรรพสิ่งได้ เมื่อมันเปิดออกแรงดูดทรงพลังก็พวยพุ่งออกมา จากนั้นก็สูบขนนกสีดำเข้าไปทั้งหมด


ปัง! ปัง!


เกิดชุดระเบิดดังออกมาจากปากจระเข้ คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงและรุนแรงส่งผลกระทบให้ปากใหญ่บิดเบี้ยวจนระเบิดในท้ายที่สุด


คลื่นหลิงป่าเถื่อนแผ่ออก ร่างของสูป้าก็กระตุก ก่อนที่จะสลายพลังกระแทกนั้น สายตาจ้องไปที่มู่เฉินอย่างมืดครึ้มพลางเค้นเสียงเย็น “ไอ้หนู อย่าทำเก่งเพราะแค่เจ้ามีวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ ยังไงรัศมีจั้นยี่ก็เป็นพลังงานภายนอก มันไม่สามารถช่วยให้เจ้าเหนือกว่าทุกคนในใต้หล้านี้หรอก”


“เป็นไปไม่ได้ที่จะเหนือกว่าทุกคนในใต้หล้านี้ แต่นี่ก็มากพอที่จะจัดการเจ้าแล้ว” มู่เฉินเค้นเสียงเย็น หากอยู่ในการต่อสู้ปกติ เขาแทบไม่มีโอกาสที่จะชนะถ้าปะทะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอย่างสูป้า แต่ด้วยแรงสนับสนุนของรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ เขาก็ไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายในตอนนี้


“ไอ้ยโส!”


สูป้าหัวเราะเสียงหลอนด้วยความโกรธสุดขีด ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นลำแสงทะยานออกไป เขากำมือแน่น ในเวลาเดียวกันดาบสีแดงก็ปรากฏในมือ มีอักขระสีแดงเถือกอยู่บนใบมีดพร้อมกับรัศมีลางร้ายเชี่ยวกรากกวาดออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาวุธร้ายที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง


วาบ!


สูป้าทำท่าเฉือนลงมาจากด้านบน มิติเบื้องหน้าแตกออก ดาบแสงสีแดงสดที่ยาวหลายร้อยฉื่อกวาดออกพุ่งฟันใส่หน่วยรบวิหคโลกันตร์


กระบวนท่านี้ของสูป้าเผยพลังของจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกให้เป็นที่ประจักษ์ พลังการโจมตีเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าระยะปลายสุดอย่างฟังยี่ก็ไม่สามารถเผชิญหน้าได้


สายตาของมู่เฉินเย็นเยือกลงขณะมองไปที่การโจมตีจากสูป้า เขาไม่มีอาการตื่นตระหนก ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ บัญชารัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตให้กวาดออกมา ก่อตัวเป็นคลื่นพลังปะทะกับดาบแสงจังใหญ่


ปัง!


คลื่นกระแทกที่น่าตกใจพัดออกมา ขณะที่รัศมีจั้นยี่และดาบแสงพังทลายลงอย่างรวดเร็ว


การปะทะกันระหว่างทั้งสองถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน


ใบหน้าของสูป้ามืดครึ้มแต่ก็ไม่ได้หยุดโจมตี ร่างของเขาทะยานออกพร้อมกับดาบแสงนับไม่ถ้วนอัดแน่นเต็มท้องฟ้า ก่อนที่จะล้อมกรอบมู่เฉินและหน่วยรบวิหคโลกันตร์ราวกับห่าฝน


แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของสูป้า มู่เฉินก็ไม่กลัว เขาควบคุมรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตเข้าห้ำหั่น การปะทะที่น่าสะพรึงระเบิดระหว่างสองจอมยุทธ์พร้อมกับลอนคลื่นมิติไร้ที่สิ้นสุดกั้นกลาง ช่างเป็นฉากที่ตระการตานัก


ทว่าก็ไม่มีใครได้เปรียบระหว่างการปะทะกันและไม่มีใครสามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เช่นกัน ทำให้การแลกกระบวนท่านี้เกิดสถานการณ์ตึงเกร็ง


แต่การตึงเกร็งนี้ทำให้ผู้ชมต่างพากันแอบเดาะลิ้น มู่เฉินสมควรกับคำว่าม้ามืด ด้วยขุมพลังที่มีก่อนหน้าเขาก็บีบฟังยี่จนบาดเจ็บไปด้วยกัน และตอนนี้ก็ยืมพลังหน่วยรบวิหคโลกันตร์เผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญศึกอย่างสูป้า ความสำเร็จดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนอึ้งทึ่งเลยทีเดียว


หลังจากสงครามล่าครั้งนี้ หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังยืนหยัดอยู่ได้ มู่เฉินก็จะก้าวข้ามฟังยี่ขึ้นบัลลังก์จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ


ขณะที่มู่เฉินนำหน่วยรบวิหคโลกันตร์เข้าห้ำหั่นกับสูป้าแบบไม่มีใครยอมใคร จิ่วโยวก็ไล่ล่ากองทัพจระเข้สวรรค์ ส่วนเสี่ยยิงก็นำกำลังพุ่งเข้าโจมตีอย่างกระชั้นชิด


ในกองทัพจระเข้สวรรค์ถึงจะมีแนวป้องกันจากแม่ทัพนายกองต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถต้านการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสองคนและหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีใครที่มีความสามารถเหมือนมู่เฉินที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดการปะทะกันของคลื่นหลิง ก็จะมีร่างนักรบจากกองทัพจระเข้สวรรค์ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนสิ้นชีพจากผลกระทบของคลื่นหลิง


ในช่วงเวลาไม่กี่นาทีก็มีนักรบจระเข้สวรรค์จำนวนมากบาดเจ็บล้มตาย กระบวนทัพเรรวนในการถอยหนีอย่างเร่งรีบ ไม่เหลือเค้าความยิ่งใหญ่อีกต่อไป


อีกด้านหนึ่งสองกองทัพจากหมู่ตึกเทวะก็โดนสามหน่วยรบจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไล่ล่าไม่หยุดเช่นกัน ทว่าเนื่องจากมีเจ้าภูเขาเหยียนหลังและเจ้าภูเขาเทียนสงควบคุมกระบวนทัพอยู่ ดังนั้นจึงสามารถต้านไปถอยไปได้…


เมื่อคนมุงจากกองทัพอื่นๆ เห็นฉากจลาจลและกองทัพจากหมู่ตึกเทวะล่าถอย พวกเขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ วันนี้หมู่ตึกเทวะเป็นฝ่ายปราชัยแล้ว


สุดท้ายสูป้าที่แลกกระบวนท่ากับมู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากถอยหนี เนื่องจากเขาพบว่ามู่เฉินไม่ได้ต้องการเปิดศึกมรณะ อีกฝ่ายเพียงต้องการรั้งเขาไว้เพื่อซื้อเวลาให้จิ่วโยวและหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตเข้าจัดการกับกองทัพจระเข้สวรรค์


เมื่อปราศจากผู้นำกองทัพจระเข้สวรรค์ก็ไม่สามารถต่อกรกับศัตรูเช่นนี้ได้


“ไอ้หนู เจ้าจำเอาไว้เลย ในอนาคตข้ามาจัดการกับแกแน่!” สูป้าคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็ถอยออกจากสมรภูมิต่อสู้กับมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับไปที่กองทัพจระเข้สวรรค์และไม่รอช้าอีกต่อไปนำกำลังพลที่เหลือหนีตายด้วยความเร็วเต็มพิกัด


ขณะที่ศัตรูถอยทัพ จิ่วโยวและเสี่ยยิงก็ใช้โอกาสนี้ไล่ตีกองหลัง ทำให้นักรบจระเข้สวรรค์บาดเจ็บกันอีกระนาว


“ไม่คิดว่าเจ้าภูเขาเอ่อจะขี้ขลาดขนาดนี้” มู่เฉินส่งเสียงเยาะในลำคอ น้ำเสียงสะท้อนไปทั่วบริเวณ แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ช้าลง เขาไล่ล่าศัตรูไปด้วยความเร็วเต็มพิกัดพร้อมกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์


ขณะที่เสียงของมู่เฉินสะท้อนก้องไปทั่ว สูป้าก็กระอักเลือดออกจากปากด้วยความคั่งแค้น ดวงตาแดงฉานจ้องมองมู่เฉินราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เขาไม่ใช่คนโง่และรู้ว่ามู่เฉินกำลังยั่วยุอารมณ์อยู่ ดังนั้นเขาจึงกดความโกรธแค้นและความอัปยศในหัวใจ หลบหนีเต็มกำลังไปกับกองทัพจระเข้สวรรค์


การไล่ล่ากินเวลาไปหนึ่งชั่วโมง ก้าวข้ามเขตแดนไปพันลี้ ระหว่างการหนีตายนักรบจระเข้สวรรค์ก็ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เรื่องนี้ทำเอาสูป้าเกือบจะเป็นบ้า


ความปั่นป่วนจากการไล่ล่านี้กระตุ้นความสนใจของกองทัพแข่งรวมสงครามมากมาย โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้ที่ถูกไล่ล่าก็คือกองทัพหมู่ตึกเทวะ ทุกคนอ้าปากตาค้างเลยทีเดียว


ในภูมิภาคทางเหนือหมู่ตึกเทวะเป็นสำนักที่รากฐานหยั่งลึก จำนวนจอมยุทธ์ก็มากมายราวกับเมฆบนท้องฟ้า แต่ใครจะคิดพยัคฆ์ร้ายในสายตาพวกเขาจะตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้


ดังนั้นหลังจากความตกตะลึงผ่านไป ความปั่นป่วนขยายวงราวกับภูเขาไฟระเบิด


“สวรรค์ นั่นเจ้าภูเขาเอ่อจากหมู่ตึกเทวะนี่! ทำไมถึงอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้?!”


“คนที่ไล่ล่าเขา…ดูเหมือนจะเป็นมู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์?! ข้าเคยเห็นเขาในศึกมังกรหงส์!”


“ม้ามืดมู่เฉินน่ะเหรอ? เป็นไปได้ไง…ตอนประลองศึกมังกรหงส์มู่เฉินยังเอาชนะโยวหมิงไม่ได้เลย…”


“ข้าจำไม่ผิดแน่ ข้างๆ เจ้าภูเขาเอ่อดูเหมือนจะเป็นฟังยี่นะ… จุ๊ๆ กระบวนทัพเช่นนี้ยังแพ้อย่างน่าอนาถ ดูเหมือนจะมีการต่อสู่ที่น่าตื่นใจมาก่อนแน่ ยิ่งกว่านั้นดูจากผลลัพธ์ตอนนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นผู้ชนะอีกด้วย!”


“น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เกาะขอบชม…”


“…”


ความสับสนอลหม่านทุกรูปแบบกวนตัว ทำเอาใบหน้าของสูป้าและฟังยี่ถึงกับเขียวคล้ำ ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าหยุดโต้ตอบ แต่ละคนทำได้เพียงแผดเสียงคำรามคั่งแค้นในหัวใจ


การไล่ล่ากินระยะทางพันลี้


ในที่สุดมู่เฉินก็ตัดสินใจถอยทัพไป นั่นเพราะเขารู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไล่ล่าต่อไป พวกเขาไม่มีทางทำลายกองทัพจระเข้สวรรค์ทั้งหมดได้ ยิ่งกว่านั้นหากสูป้าถูกบีบจนตรอกและควบคุมกองทัพเข้าสู้กันตายไปข้าง หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็ต้องจ่ายราคามหาศาล


ยิ่งกว่านั้นหากไปดึงดูดกองทัพอื่นๆ ของหมู่ตึกเทวะให้เข้ามาละก็ จะสร้างปัญหาให้พวกเขาแน่ ดังนั้นเป็นการดีที่สุดที่จะยุติก่อน


ดังนั้นหลังจากไล่ล่ามาพันลี้ มู่เฉินก็ส่งสัญญาณถอย แม้ว่าเสี่ยยิงยังคันไม้คันมืออยากจะสังหารศัตรูต่อ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกับมู่เฉินเหมือนที่แล้วมา บวกกับสาเหตุที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะหักหน้าการตัดสินใจของอีกฝ่าย


ทั้งสองหน่วยรบรวมตัวกันก่อนจะเคลื่อนพลกลับ แต่ละคนเปลี่ยนเป็นร่างแสงหายไปที่เส้นขอบฟ้า


สูป้าและฟังยี่ที่หลบหนีไปยังเส้นทางอื่นก็รับรู้ถึงการเคลื่อนพลกลับของพวกมู่เฉิน พวกเขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ก่อนที่จะนำกองทัพจระเข้สวรรค์ทะยานลงบนภูเขาหนึ่งอย่างระมัดระวัง


ยามนี้นักรบจระเข้สวรรค์หมดทั้งแรงกายแรงใจ กระทั่งแม่ทัพทั้งหลายก็มีใบหน้าคลุกฝุ่น ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ใบหน้าแต่ละคนซีดเซียวเลยทีเดียว


ระหว่างการไล่ล่าพวกเขาสูญเสียนักรบชั้นยอดไปถึงหนึ่งในสาม


เมื่อได้ยินรายงานสถานการณ์ใบหน้าของสูป้าก็บิดเบี้ยว สองตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขณะจ้องมองไปยังทิศที่มู่เฉินจากไป เขาแผดเสียงคำรามลั่น “มู่เฉิน ล้างคอรอไว้ได้เลย!”


กองทัพจระเข้สวรรค์เป็นสิ่งที่เขาทุ่นเทดูแลมานาน ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาและทรัพยากรไปเท่าใดสำหรับกำลังพลหนึ่งในสามที่สูญเสีย ทว่านักรบเหล่านี้กลับตายด้วยน้ำมือของมู่เฉินในครั้งเดียว


ฟังยี่พูดด้วยเสียงพร่าต่ำ “ท่านสู ไม่ยากสำหรับพวกเราที่จะสังหารมู่เฉิน หลังจากไปรวมตัวกับกองทัพอื่นๆ ของหมู่ตึกเทวะ”


สูป้าตวัดสายตามองฟังยี่อย่างโกรธแค้น ความโกรธอัดแน่นในท้องเตรียมจะระเบิด ทว่าสุดท้ายเขาก็ระงับความโกรธพูดด้วยเสียงเย็นเยือก “ไอ้หนูนั่นมีความสามารถจริงๆ มันสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ด้วยวัยแค่นี้…”


ขณะที่พูดสูป้าก็หรี่ตาลง ท่าทางเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนที่มุมโค้งเย็นชาจะผุดที่ริมฝีปาก


“วิญญาณสงครามรึ?”


“น่าจะบอกแม่นางคนนั้นสักหน่อย… นางให้ความสนใจกับคนที่กลั่นรัศมีจั้นยี่ได้มากเลยทีเดียว…”


สูป้าหัวเราะเสียงเย็น


“มู่เฉินอย่าคิดว่าในหมู่ตึกเทวะไม่มีจั้นเจิ้นซือ วิญญาณสงครามไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่ทำได้!”


หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 857 เรียกหาผู้ช่วยเหลือ

บนยอดเขาโดดเดี่ยว


เมื่อมู่เฉิน จิ่วโยวและเสี่ยยิงนำกำลังพลพลิ้วตัวลงมาก็เห็นเลี่ยซัน หงหยา หลิงเจี้ยนและหน่วยรบมารออยู่แล้ว


“ครั้งนี้เดือดร้อนพวกเจ้าสามคนจริงๆ”


ทั้งสามประสานมือขอบคุณสามผู้บัญชาการที่นำกำลังมาช่วยเหลืออย่างซาบซึ้งใจ ถ้าไม่ใช่เพราะสามผู้บัญชาการมาถึงทันเวลาละก็ คงเป็นพวกเขาเองที่โดนไล่ล่า


เลี่ยซันเปิดปากหัวเราะ “ในฐานะสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเรามีหน้าที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องเป็นผู้บัญชาการมู่และผู้บัญชาการจิ่วโยวสิที่ใจกว้างมาก พวกเจ้าสามารถปล่อยวางเรื่องบาดหมางในอดีตเข้าช่วยเหลือหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตในครั้งนี้”


ขณะที่พูดเลี่ยซันก็มองไปยังเสี่ยยิงที่มีท่าทางอึดอัด อีกฝ่ายมีท่าทียโสมากในสำนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความชื่นชอบเกี่ยวกับเสี่ยยิงเหมือนกัน ดังนั้นคำพูดที่ซัดออกไปก็ราวกับหนามแหลมคมเลยทีเดียว


แต่เสี่ยยิงก็รู้สึกขอบคุณในใจที่ได้รับการช่วยเหลือจากมู่เฉินและจิ่วโยว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปกับคำพูดของเลี่ยซันมากนัก เพียงแค่มองไปทางมู่เฉินและจิ่วโยวพลางประสานมือคำนับ “ข้าจะตอบแทนบุญคุณนี้แน่นอน”


บางทีนี่อาจเกิดจากความรู้สึก ดังนั้นจึงสัมผัสได้ถึงความจริงใจบนใบหน้าของเสี่ยยิงที่ดูเย็นชามาตลอดในอดีต เมื่อเห็นการแสดงออกแบบนี้ แม้แต่เลี่ยซันยังรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย


มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันและยิ้ม แม้ว่าพวกเขาจะเคืองกับแผนของเสี่ยยิงที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็สามารถชั่งน้ำหนักในสถานการณ์ได้ดี นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เร่งรุดมาทันทีหลังจากได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ


และดูเหมือนการช่วยเหลือครั้งนี้ทำให้เสี่ยยิงยอมอ่อนลงหลายส่วน ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด แม้ว่ามู่เฉินกับจิ่วโยวจะไม่กลัวเสี่ยยิง แต่ถ้าไม่มีคนมาขัดแข้งขัดขาอีก ก็ขจัดปัญหาที่ไม่จำเป็นหลายอย่างเลยทีเดียว


“หลังจากเหตุการณ์วันนี้ชื่อเสียงของผู้บัญชาการมู่คงจะล่ำลือไปทั่วสงครามล่า วิญญาณสงครามไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ธรรมดาจะสามารถกลั่นได้” หลิงเจี้ยนยิ้มให้มู่เฉิน ในสายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้


เลี่ยซันก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ในบรรดาขั้วอำนาจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือ มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้”


“มีจอมยุทธ์กองทัพอื่นที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ด้วยรึ?” สายตามู่เฉินขยับ จากคำพูดของเลี่ยซันหมายความว่ามีจอมยุทธ์ขั้วอำนาจอื่นอีกที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน


“ที่นี่ไม่ได้ขาดแคลนอัจฉริยะ ดังนั้นจึงมีคนที่มีความสามารถศาสตร์นี้อยู่ คนเหล่านี้เป็นเป้าหมายในการรวบรวมของขั้วอำนาจชั้นสูงด้วยน่ะ”


เลี่ยซันพยักหน้า “จากข้อมูลบางส่วนที่ข้าได้รับมา มีจอมยุทธ์ประมาณห้าคนที่ประสบความสำเร็จในการกลั่นวิญญาณสงคราม แต่อัจฉริยะศาสตร์นี้ไม่เหมือนกับฟังยี่ เนื่องจากความสำคัญของพวกเขา หลายขั้วอำนาจจึงปกปิดข้อมูลแบบลับสุดยอด ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนอื่นจะรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของพวกเขา ขั้วอำนาจต่างๆ ก็จะไม่เปิดเผยด้วยเช่นกัน นั่นเพราะอาจจะถูกลอบสังหารได้…”


มู่เฉินพยักหน้า ตอนที่ฟังยี่รู้ว่าเขาสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ ฟังยี่ก็ใช้กลยุทธ์ทั้งหมดเพื่อที่จะฆ่าเขา เป็นเพราะฟังยี่รู้ว่าจั้นเจิ้นซืออันตรายเช่นใด


แน่นอนว่าจากทฤษฎีแล้วจอมยุทธ์ที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้จะมีคุณสมบัติในการเป็นจั้นเจิ้นซือ… แม้ว่าโอกาสจะมีแค่หนึ่งในหมื่น แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากประสบความสำเร็จ? นั่นจะต้องเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ต่อกองทัพที่มีจอมยุทธ์ชั้นยอดมากมายแน่นอน


ดังนั้นมู่เฉินจึงเข้าใจตระหนักได้ถึงเหตุผลของขั้วอำนาจต่างๆ ที่ปกปิดอัจฉริยะศาสตร์นี้


“จอมยุทธ์ทั้งห้ามาจากขั้วอำนาจใดบ้าง?” มู่เฉินถามหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาต้องเข้าใจข้อมูลของคู่แข่งให้มาก นั่นเพราะในอนาคตเขาอาจจะต้องปะทะกับจอมยุทธ์ศาสตร์นี้


“หมู่ตึกเทวะ จวนยมโลก ตำหนักสุดนภา แดนปีศาจและยอดเขาหมื่นเทพ…” เลี่ยซันยักไหล่ขณะที่พูดอย่างช่วยไม่ได้ “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เคยพยายามสรรหาอัจฉริยะศาสตร์นี้ แต่เนื่องจากความจริงที่ประมุขอยู่ในห้วงนิทรามาตลอด จึงไม่ได้คืบหน้ามากนัก… ดังนั้นจึงไม่มีอัจฉริยะศาสตร์นี้สักคนเดียวในอาณาเขตกงเวทสวรรค์”


ขณะที่พูดเลี่ยซันก็จ้องมองมู่เฉินด้วยความชื่นชม “แต่ดีที่ตอนนี้มีเจ้าเข้ามา ทำให้อาณาเขตของเรามีอัจฉริยะศาสตร์นี้ซะที”


มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากเขารู้ว่าไม่ใช่มั่นถัวหลัวไม่ต้องการที่จะใส่ใจ แต่การที่นางอยู่ในห้วงนิทราก็เพื่อระงับคำสาปที่มีในร่างกาย จึงไม่มีเวลาเหลือพอที่จะจัดการเรื่องราวในอาณาเขตกงเวทสวรรค์


“มีข่าวเกี่ยวกับอัฉริยะรัศมีจั้นยี่ของหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาไหม?” มู่เฉินคิดก่อนที่จะถาม เขามีหนี้แค้นกับสองขั้วอำนาจนี้ ดังนั้นเขาต้องให้ความสนใจกับคนพวกนี้เป็นพิเศษ


เลี่ยซันลูบคางพลางตอบคำถาม “สำหรับหมู่ตึกเทวะดูเหมือนจะเป็นหญิงสาว ส่วนตำหนักสุดนภาเหมือนจะเป็นพวกบ้าน่ะ…”


มู่เฉินอึ้งไปขณะมองไปที่เลี่ยซัน “ไม่มีอะไรอีกแล้วเหรอ?”


เลี่ยซันแบมือทั้งสองข้างพูดว่า “ไม่มีแล้ว ข้อมูลเหล่านี้ถูกซ่อนไว้มิดชิด ดังนั้นแต่ละคนจะไม่เป็นที่รู้จักจนกว่าจะแสดงตัว”


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะกลอกตา ข้อมูลมีก็เหมือนไม่มี แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้มู่เฉินก็ทิ้งข้อสงสัยเอาไว้ในใจไปก่อน รู้เพียงว่าพวกเขามีจริงก็พอ


“ในเมื่อปัญหาแก้ไขเรียบร้อย พวกเราก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจต่อเถอะ เวลาทุกวินาทีมีค่าเราต้องค้นหาซากอารยธรรมโบราณเพื่อกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วต่อ” เลี่ยซันปรบมือให้สัญญาณ จากนั้นก็เตรียมนำหน่วยรบออกไปเป็นคนแรก


เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว มู่เฉินก็เงียบไปก่อนที่จะมองผู้บัญชาการทั้งสี่ตรงหน้าพร้อมกับยิ้ม “ข้ามีข้อเสนอ เราสามารถช่วยกันค้นหาซากอารยธรรมโบราณ ด้วยวิธีนี้เราจะป้องกันซึ่งกันและกัน เพื่อไม่ให้ปัญหาอย่างวันนี้เกิดขึ้นอีก”


ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีผู้บัญชาการสี่คนมารวมตัวกัน นี่เป็นผู้ช่วยเหลือที่ได้มาเปล่าๆ หากเขาสามารถรวบรวมหน่วยรบทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อีกหลายส่วนแน่นอน


เมื่อได้ยินประโยคของมู่เฉิน ผู้บัญชาการทั้งสี่ก็อึ้งไปก่อนจะขมวดคิ้ว “แม้ว่าเราจะมีพลังเพิ่มขึ้นถ้ารวมตัวกัน แต่ก็ทำให้ความเร็วลดลง ผลกำไรไม่ได้ชดเชยกับสิ่งสูญเสีย”


พวกเขาก็เคยรวมตัวกัน แต่ซากอารยธรรมช่างหายากหายเย็นในสมรภูมิหยุ่นลั้ว ที่ต้องแยกกันก็เพื่อประสิทธิภาพในการค้นหาที่ดี หากรวมกันอาจจะล้มเหลวหมู่ก็เป็นได้


มู่เฉินยิ้มพลางถามตรงๆ “ตอนนี้พวกเจ้ารวบรวมเม็ดยาหยุ่นลั้วได้เท่าไรแล้ว?”


“พวกข้าพบซากอารยธรรมโบราณระดับสามสองแห่ง กลั่นเม็ดยาออกมาได้สามร้อยเม็ด” เสี่ยยิงไม่รู้ว่ามู่เฉินต้องการสื่อถึงอะไร แต่ก็บอกรายละเอียดออกมาก่อน


“พวกข้ามีสองร้อยกว่าเม็ดเท่านั้น” หลิงเจี้ยนเอ่ยเป็นคนต่อมาอย่างช่วยไม่ได้


“สองร้อยกว่าเม็ดเช่นกัน” หงหยายิ้มบาง


เลี่ยซันจับตามองทั้งสาม ก่อนที่จะยิ้มและพูดด้วยเสียงภาคภูมิใจ “ดูเหมือนพวกข้าจะโชคดีกว่านะ มีห้าร้อยเม็ดในมือ”


เมื่อทั้งสามได้ยินก็อดอุทานไม่ได้ ขณะที่มองเลี่ยซันด้วยความอิจฉา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นหาซากอารยธรรมโบราณในสมรภูมิหยุ่นลั้ว มิหนำซ้ำยังต้องระวังพวกกองทัพอื่นๆ มาตลบหลังอีก


มู่เฉินมองเลี่ยซันที่ยืดอกอย่างภาคภูมิก็อดยิ้มไม่ได้ “พวกข้ากลั่นเม็ดยาได้พันสองร้อยเม็ด”


เสียงหัวเราะของเลี่ยซันถึงกับชะงักทันที คนอื่นก็จ้องมู่เฉินแบบงงเป็นไก่ตาแตก เม็ดยาหยุ่นลั้วพันสองร้อยเม็ดเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับพวกเขาในตอนนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องค้นซากอารยธรรมระดับสามเจ็ดถึงแปดแห่งเชียวนะ ก่อนจะกลั่นเม็ดยาจำนวนเท่านี้ออกมาได้ หรือว่าพวกมู่เฉินแค่เดินๆ ไปก็เจอในซากอารยธรรมเลย?


มู่เฉินโบกมือ เม็ดยาหยุ่นลั้วก็กวาดออกมาราวกับสายธารหมุนไปมารอบตัว เขามองผู้บัญชาการทั้งสี่ที่ตาโตเท่าไข่ห่านพูดต่อว่า “ส่วนหนึ่งมาจากสูป้าและที่เหลือพวกข้ากลั่นมาได้เองทั้งหมด”


“พวกเจ้าเจอซากอารยธรรมกี่แห่ง?!” เลี่ยซันพูดด้วยเสียงไม่อยากจะเชื่อ เหตุผลที่เขามีเม็ดยาถึงห้าร้อยเม็ดเพราะมีพวกงี่เง่าสองกลุ่มคิดจะปล้นเขา ก็เลยถูกปล้นเสียเอง มิฉะนั้นก็คงรวบรวมได้สามร้อยเม็ดเท่านั้น


“รวมถึงพวกที่ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นซากอารยธรรมระดับสาม ก็ประมาณหกเจ็ดแห่ง” มู่เฉินคำนวนจำนวนออกมาอย่างคร่าวๆ


ผู้บัญชาการที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตากันขณะที่จ้องมองมู่เฉินอย่างแปลกพิลึก หากไม่ใช่เพราะพวกเขารู้ถึงนิสัยของมู่เฉิน พวกเขาคงคิดว่าอีกฝ่ายโม้แล้ว


เมื่อเห็นสายตาดังกล่าว มู่เฉินก็ไม่ได้แปลกใจ เขายักไหล่พลางพูดอย่างแผ่วเบา “พวกข้าได้วัตถุล้ำค่ามาชิ้นหนึ่งในสมรภูมิหยุ่นลั้ว มันสามารถค้นหาตำแหน่งซากอารยธรรมได้ ดังนั้น…”


“บ้าเอ้ย”


สิ้นเสียงพูดมู่เฉิน ดวงตาของผู้บัญชาการทั้งสี่ก็แดงก่ำ กระทั่งเลี่ยซันยังอดสบถขึ้นมาไม่ได้ ทั้งสี่ต่างจ้องมู่เฉินด้วยสายตาร้อนระอุ เพราะพวกเขารู้ว่าคำพูดของมู่เฉินหมายถึงอะไร วัตถุที่สามารถค้นหาที่ตั้งของซากอารยธรรมโบราณในสมรภูมินี้ได้ นับเป็นอาวุธเทพสำหรับขั้วอำนาจอื่นๆ เลย!


ด้วยวัตถุชิ้นนี้ การรวบรวมยาหยุ่นลั้วก็ถือเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว!


แววตาแดงก่ำทั้งสี่จ้องมองมู่เฉินเขม็ง นี่ถ้าชายหนุ่มไม่ได้เป็นสมาชิกสำนักเดียวกันละก็ งานนี้พวกเขาปล้นอีกฝ่ายไปแล้ว


เมื่อเห็นสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็ยิ้มพร้อมกับหรี่ตาแคบลง “ตอนนี้ข้าอยากชวนพวกเจ้าร่วมเดินทางไปด้วยกัน ถ้าโชคดีพวกเราอาจจะพบซากอารยธรรมระดับหนึ่งก็ได้”


ผู้บัญชาการทั้งสี่เลียริมฝีปากที่แห้งผาก จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักโดยไม่ลังเล


“จัดไป!”


เมื่อเทียบกับการเป็นคนตาบอดต้องคลำทางไปทั่ว จะดีกว่าถ้าติดตามมู่เฉินที่มีวัตถุค้นหาตำแหน่ง ประสิทธิภาพระหว่างสองตัวเลือกนี้ แม้แต่คนโง่ก็คำนวณได้ง่ายๆ


เมื่อมู่เฉินเห็นผู้บัญชาการทั้งสี่ตกลงโดยไม่คิดมาก เขาก็เอียงศีรษะมองจิ่วโยวและยิ้ม


ผู้ช่วยที่ทรงศักยภาพสี่คนที่มีหน่วยรบเป็นของตนเองร่วมทางด้วยกัน ต่อไปถึงเวลาที่พวกเขาจะกวาดล้างบ้างแล้ว


บทที่ 858 การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจต่างๆ

สมรภูมิหยุ่นลั้ว


ในสนามรบโบราณแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยอันตรายทุกรูปแบบ เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้ามาก เนื่องจากท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นหลิงรุนแรงมาตลอดหลายปี ดังนั้นจึงยากที่จะบอกว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ณ ที่แห่งนี้ แต่ไม่ว่าสภาพแวดล้อมนี้จะเป็นอย่างไร ความโหดเหี้ยมของสงครามล่าก็ยังแผ่ออกมาเงียบๆ


ในเวลาไม่กี่วันมีกองทัพมากมายมุ่งหน้าเข้าสู่สมรภูมินี้เพื่อค้นหาซากอารยธรรมโบราณราวกับฝูงหนู การค้นพบทุกครั้งจะมาพร้อมกับกองทัพอื่นๆ ที่เหมือนกับฉลามตามกลิ่นเลือดกันมาเลยทีเดียว ดังนั้นทุกที่จึงไม่ต่างอะไรกับเครื่องบดเนื้อ…


การต่อสู้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าต้องการครอบครองซากอารยธรรมโบราณเหล่านี้ ในการต่อสู้ที่นองเลือดและโหดร้ายก็ทำให้จอมยุทธ์มากมายต้องพลีร่างลงบนพื้นดิน ทุกซอกมุมเต็มไปด้วยการสังหารที่โหดเหี้ยม


ทว่าในเมื่อกระดานหมากเปิด จอมยุทธ์ที่เข้ามาที่นี่ทุกคนก็คือหมากตัวหนึ่ง คนที่สามารถรอดชีวิตออกมาได้ ต้องเป็นพวกจอมยุทธ์ที่ผ่านประสบการณ์ต่อสู้เป็นตายหลายครั้งแน่นอน


ข่าวการต่อสู้ของหมู่ตึกเทวะและอาณาเขตกงเวทสวรรค์กระจายไปรวดเร็ว


เพราะตอนนั้นมู่เฉินไล่ตามกองทัพจระเข้สวรรค์ไปไกลถึงพันลี้ ความปั่นป่วนที่เกิดจึงไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป


อาณาเขตกงเวทสวรรค์และหมู่ตึกเทวะเป็นขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมาก ดังนั้นเมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไปก็สร้างความปั่นป่วนขึ้นมาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมู่เฉินใช้ขุมพลังที่มีสู้กับฟังยี่ได้ในระเดียวกันและจบลงแบบเจ็บตัวทั้งคู่ จากนั้นก็บัญชารัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์เพื่อยับยั้งฟังยี่และปะทะกับเจ้าภูเขาเอ่อกระจายออกไป ความปั่นป่วนก็กลายเป็นความตกใจและยากจะเชื่อ


หลังจากศึกมังกรหงส์ชื่อของมู่เฉินก็ขจรขจายไปทั่วภูมิภาคทางเหนือ แต่หลายคนก็ยังอดสงสัยไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งที่สามในบันทึกมังกรหงส์ของเขา นั่นเพราะในสายตาของหลายๆคน มู่เฉินได้ตำแหน่งสูงขนาดนี้ เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากธิดาเทพจักรพรรดิอัคคี ดังนั้นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงทำให้เกิดข้อกังขามากมาย


แต่ข้อกังขาเหล่านี้ก็ถูกลบล้างจนหมดสิ้น ณ เวลานี้


ไม่กี่เดือนก่อนในศึกมังกรหงส์แม้มู่เฉินจะทุ่มสุดแรง แต่ก็ทำได้เพียงขัดขวางโยวหมิง ซ้ำยังอยู่ในจุดที่เสียเปรียบ ทว่าเพียงแค่สามเดือนต่อมา เขาก็สามารถใช้พลังของตนเองต่อสู่กับเจ้าบันทึกมังกรหงส์…ฟังยี่ จนได้รับบาดเจ็บหนักตามกัน ผลที่ได้ก็คือเสมอ!


ความรวดเร็วพัฒนาการความแข็งแกร่งของเขาทำเอาผู้อื่นถึงกับตะลึงงัน


นอกจากนี้ในข่าวที่ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ตกตะลึงมากที่สุด ก็คือความจริงที่มู่เฉินสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ หากเขานำพลังนี้มารวมที่ตัวเอง แม้แต่ฟังยี่ก็ยังต้องถูกเขาปราบปราม…กระทั่งสูป้าที่มากประสบการณ์เขาก็เผชิญหน้าได้!


พลังดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้กองทัพอื่นๆ มองอย่างระมัดระวังและไม่กล้าปฏิบัติกับมู่เฉินเหมือนไก่อ่อนอีกต่อไป


ขณะที่การดวลเดือดแผ่ออกไปในสงครามล่า ชื่อของมู่เฉินก็ค่อยๆ ดังไปทั่ว…


ทว่าเวลานี้ไม่มีใครกล้าสงสัยเขาอีกต่อไป


ตู้ม!


คลื่นหลิงรุนแรงระเบิดขึ้นในพื้นที่ ก่อตัวเป็นมวลพลังทะลุผ่านมิติ ซัดร่างจอมยุทธ์โชกเลือดที่กระเด็นออกไปจนระเบิดกลายเป็นละอองเลือด


โยวหมิงถอนกำปั้นออกอย่างไร้อารมณ์ ก่อนจะพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า ร่างแสงหนึ่งวาบมาหยุดอยู่ข้างเขาพลางลดศีรษะลงต่ำพูดอะไรบางอย่าง


“มู่เฉินรึ…” ดวงตาของโยวหมิงหรี่แคบลงด้วยริ้วความประหลาดใจวูบไหวไปทั่ว เขาไม่คิดเลยว่าคนที่เขาเคยบีบให้อยู่ในสภาพที่น่าสังเวชจะมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นภายในไม่กี่เดือน ซึ่งสามารถสู้กับฟังยี่แบบเสมอตัวได้เลย


โยวหมิงหดมือเข้าไป จากนั้นก็หันกลับพร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกกระจายในอากาศ


“ตอนแรกข้ากะจะเอาชนะฟังยี่ก่อน แต่ในเมื่อแกสามารถสู้กับเขาได้ในระดับนี้ ข้าก็จะจัดการแกก่อนถ้าเราเจอกัน…แต่คราวนี้ไม่มีใครช่วยแกได้แล้ว”


ในซากอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่ง


รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตแผ่ซ่านออกไปพร้อมกับกองทัพขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ยืนอยู่เหนือกองทัพ ร่างร่างหนึ่งไพล่มือไว้ด้านหลัง รัศมีจั้นยี่ราวกับมหาสมุทรกำจายอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา


จอมยุทธ์ผู้นี้แสยะยิ้มขณะที่จ้องมองไปที่เบื้องหน้า มีกองทัพอีกกองทัพหนึ่งกำลังยืนคุมเชิงอยู่ แต่รัศมีจั้นยี่ของกองทัพนั้นกลับถูกเขากดไว้


“ตายให้หมด”


เสียงหัวเราะของเขาน่าขนพองสยองเกล้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระหายเลือด จากนั้นเขาก็กำกำปั้น มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ส่งเสียงฮึมฮัม ก่อร่างเป็นอสรพิษสีแดงโลหิตขนาดใหญ่


นี่คือวิญญาณสงครามเช่นกัน!


ปัง!


หางอสรพิษยักษ์ที่สร้างขึ้นจากรัศมีจั้นยี่อันไร้ขอบเขตทะลุผ่านมิติ ดูราวกับขวานใหญ่ผ่าลงไปที่กองทัพเบื้องหน้า ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนนับไม่ถ้วนก็ดังสะท้อนก้อง ร่างเงาเลือดมากมายตกลงมาจากท้องฟ้า


ร่างนั้นยิ้มบางก่อนจะหันหน้ามาจ้องมองร่างเงาที่อยู่เบื้องหลัง “ประมุขน้อย คนที่ท่านพูดถึงคือมู่เฉินใช่ไหม? ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาดังไปไกลมากเลยนะ”


ที่เบื้องหลังร่างนั่น ใบหน้ามืดครึ้มของหลิ่วเหยียนแห่งตำหนักสุดนภาก็ฉายออกมา ตอนนี้สีหน้าเขาอัดแน่นไปด้วยความเกลียดชัง


หลังจากที่ร่างเนื้อเขาถูกทำลายในเขตหลงเฟิ่ง บิดาของเขาใช้ทุกวิถีทางในการกอบร่างขึ้นมาใหม่ มิฉะนั้นตอนนี้เขาคงล่องลอยอยู่ในปรโลกแล้ว


“ไม่คิดว่าไอ้บ้านั่นจะสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ มิหนำซ้ำยังกลั่นวิญญาณสงครามออกมาได้อีกด้วย” หลิ่วเหยียนกล่าวอย่างน่าขนลุก


ร่างนั้นแสยะยิ้มพลางเลียริมฝีปากสีแดงสด เส้นเลือดในดวงตาเผยขึ้นมาอย่างชัดเจนพลางเอ่ยเสียงเบา “ประมุขน้อย เรามาทำข้อตกลงกันเถอะ ข้าจะทำให้มู่เฉินมาคลานเหมือนหมาที่หน้าท่าน เพียงแค่ท่านช่วยให้ข้าขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของตำหนักสุดนภา…”


หลิ่วเหยียนหรี่ตาลง แสงน่าสะพรึงวูบไหวในดวงตา เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง


“ได้!”


ที่นี่เป็นที่ราบ


ซึ่งเต็มไปด้วยซากศพมากมาย เลือดแห้งกรังเปรอะเปื้อนผืนดิน


บนเนินเล็กหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น เส้นผมสีดำสนิททิ้งตัวลงมา ดวงตาที่เรียบเฉยกำลังเฝ้ามองความโกลาหล โดยมีนักรบดำทะมึนกระจายตัวอยู่ที่ด้านหลัง กระทั่งการหายใจก็เป็นหนึ่งเดียว รัศมีจั้นยี่กระจายออกไปทั่วบริเวณ


สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือเลื่อมใส เมื่อมองไปที่ภาพเงาที่อ่อนแอของหญิงสาว


ทันใดนั้นร่างร่างหนึ่งก็ทะยานมาถึงที่เบื้องหลัง หญิงสาวก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น


“ท่านแม่ทัพจินไถ มีข่าวส่งมาจากเสี่ยวฟัง” ร่างที่เบื้องหลังมองนางขณะที่พูดต่อ “เขาอยากเชิญแม่ทัพไปจัดการกับมู่เฉินแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มีข่าวว่ามู่เฉินสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ ท่านฟังยังบอกว่าถ้าท่านสามารถจัดการมู่เฉินให้ เขาจะจัดหา ‘ต้นเก้าวิญญาณเต็มสวรรค์’ ให้กับน้องสาวท่าน”


พอได้ยินชื่อสมุนไพรล้ำค่า ดวงตาของหญิงสาวที่ราวกับเหวไร้ก้นก็กระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย นางกระตุกแก้มแล้วพยักหน้า


“ข้าเข้าใจล่ะ”


ความโหดเหี้ยมครอบงำสนามรบโบราณกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตตลอดเวลา


ยิ่งเวลาเคลื่อนผ่านไปการต่อสู้ที่โหดร้ายก็ทวีคูณ คนอ่อนแอจะกลายเป็นเหยื่อและล้มลง คนที่แข็งแกร่งจะยืนหยัดอยู่ในสถานที่แห่งนี้


หลังจากสร้างคลื่นสั่นสะเทือนขนาดมหึมาในการเอาชนะกองทัพของหมู่ตึกเทวะได้ มู่เฉินในฐานะตัวเอกของเรื่องร้อนแรงที่สุดในเวลานี้กลับไม่ได้สนใจ เขากำลังใช้เข็มทิศค้นวิญญาณอย่างเต็มประสิทธิภาพ เมื่อชักชวนผู้บัญชาการทั้งสี่และหน่วยรบของพวกเขาให้ร่วมทางค้นหาด้วยกัน


ตอนนี้เขามีแต่ความมุ่งมั่นในการค้นหาเม็ดยาหยุ่นลั้วทุกลมหายใจเข้าออก ด้วยวิธีนี้เขาอาจจะสามารถนำพาประมุขสู่ดินแดนขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเป็นคนแรก ดังนั้นในเมื่อในมือมีเข็มทิศค้นวิญญาณ มู่เฉินก็ไม่คิดปล่อยให้สูญเสียมูลค่าแน่นอน


ภายใต้การค้นหาอย่างเต็มกำลังของกองทัพขนาดใหญ่บวกกับความช่วยเหลือของเข็มทิศค้นวิญญาณ พวกเขาก็มีผลเก็บเกี่ยวที่น่าตกใจในเวลาเพียงแค่สี่วัน


ในสี่วันพวกเขาพบซากอารยธรรมกว่าสามสิบแห่ง ในจำนวนนี้มีประมาณสิบกว่าแห่งที่ไม่ใช่ซากอารยธรรมระดับสาม อีกสิบกว่าแห่งอยู่ในระดับสาม มิหนำซ้ำพวกเขายังพบซากอารยธรรมระดับสองมาหนึ่งแห่งด้วย…


ในบรรดาซากอารยธรรมสามสิบกว่าแห่งนี้ พวกเขาได้รับเม็ดยาหยุ่นลั้วเกือบหมื่นเม็ด เมื่อแบ่งให้แต่ละหน่วยรบก็ได้เกือบหน่วยละสองพันเม็ดเลยทีเดียว การเก็บเกี่ยวเช่นนี้ทำให้แม้แต่เลี่ยซันยังดีใจจนเนื้อเต้น ถ้าพวกเขาค้นแบบมั่วซั่วในสี่วันที่ผ่านมาแบบเดิม เม็ดยาสองพันเม็ดก็คงเป็นแค่ฝันกลางวัน


ส่วนมู่เฉินก็พอใจเรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาพบซากอารยธรรมโบราณบางแห่งก็ดึงดูดความสนใจพวกกองทัพอื่นๆ แต่เมื่อกองทัพเหล่านั้นเห็นการรวมพลังที่น่ากลัวก็ได้แต่ถอยทัพกลับไป ตลกละ มีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกถึงห้าคนมารวมตัวกันพร้อมกับหน่วยรบถึงห้าหน่วยรบ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดยังต้องหลบหลีก


นอกจากนี้ซากอารยธรรมโบราณบางแห่งก็เต็มไปด้วยอันตราย เช่นซากอารยธรรมระดับสองที่พวกเขาค้นพบ มีซากร่างจอมยุทธ์ไม่ต่ำกว่าสิบร่างที่ไม่ได้ผุกร่อนอย่างสมบูรณ์ด้วยเหตุผลพิเศษบางประการ และในบรรดาซากร่างเหล่านี้มีสี่ร่างที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอีกด้วย


ซากอารยธรรมระดับสองสร้างความยุ่งยากให้พวกเขาไม่น้อย ซึ่งทำให้มีจอมยุทธ์บาดเจ็บและล้มตาย เป็นการตอกย้ำความจริงที่ว่ามู่เฉินคิดถูกแล้วที่ชักชวนผู้บัญชาการทั้งสี่มาด้วย ถ้ามีเพียงหน่วยรบวิหคโลกันตร์เข้ามา คงต้องมีคนล้มตายมากมายแน่


ดังนั้นเขาจึงรู้สึกดีมากที่ชักชวนทั้งสี่คนมาเป็นผู้ช่วย…


ที่ด้านนอกซากอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่ง นักรบหลายหน่วยยืนประจำการตามคำสั่ง ซึ่งเป็นร่างนักรบดำทะมึนจำนวนมาก ผู้คนเหล่านี้ก็คือมู่เฉินและพรรคพวกที่เสร็จสิ้นการสำรวจและกำลังพักผ่อนกันอยู่


มู่เฉินนั่งอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยวพลางหลับตาลงเพื่อฝึกฝน เมื่อเขาเปิดตาขึ้นและมองลงมา ก็เห็นหน่วยรบวิหคโลกันตร์และหน่วยรบอื่นนั่งกันอยู่เงียบๆ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพวยพุ่งเหนือร่างพวกเขา


รัศมีจั้นยี่ทั้งห้ากลุ่มครอบครองครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าเลยทีเดียว


มู่เฉินจับจ้องไปที่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต ม่านตาสีดำก็เกิดระลอกคลื่นบางจาง ความคิดแปลกประหลาดวูบไหวในส่วนลึกของหัวใจ


ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพอื่นและหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในเวลาเดียวกันได้ไหม?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)