หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 843-846
บทที่ 843 ความช่วยเหลือจากพันลี้
“ทำยังไงดี?”
สีหน้าของจิ่วโยวเคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะมองไปที่มู่เฉินที่มีสีหน้าไม่ได้ดีไปกว่ากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสูญเสียความสงบสติอารมณ์จากสัญญาณที่เกิดขึ้นกะทันหัน
มีเก้าหน่วยรบในหมู่ผู้บัญชาการ ซึ่งแต่ละหน่วยรบถือเป็นคานอำนาจของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากหน่วยใดหน่วยหนึ่งถูกทำลายล้าง ก็จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อพลังสำนัก ยิ่งในสงครามล่าที่โหดร้ายนี้ หากพวกเขาต้องการจะอยู่รอด พวกเขาก็ต้องพยายามรักษาพลังของทุกหน่วยรบให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นมู่เฉินและจิ่วโยวถึงได้ตกตะลึงจากความจริงที่มีผู้บัญชาการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ทั้งที่สงครามล่าเพิ่งจะเริ่มไปไม่ถึงวันเท่านั้น
มู่เฉินรู้ชัดถึงความภาคภูมิใจของผู้บัญชาการคนอื่น พวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้แต่ในภูมิภาคทางเหนือก็ยังมีชื่อเสียงขจรขจายบวกกับการมีหน่วยรบทรงพลัง ดังนั้นถ้าต้องการบีบให้ผู้บัญชาการใช้สัญญาณขอความช่วยเหลือนี้ ก็แปลว่ามันเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วจริงๆ
“ไม่รู้ว่าใครกันที่ต้องการความช่วยเหลือ… นอกจากนี้พวกเขาปะทะกับใคร? ถึงถูกบีบจนต้องใช้วิธีสุดท้ายนี้” จิ่วโยวกำมือเบาๆ ขณะที่พูดช้าๆ
มู่เฉินส่ายหน้า กระจกบอกได้เพียงสัญญาณขอความช่วยเหลือและทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น ส่วนข้อมูลอื่นๆ ไม่มีทางที่จะส่งผ่านมาได้
“ตอนนี้เหล่าจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ของขั้วอำนาจสูงสุดต่างกำลังค้นหาขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน ดังนั้นข้าเชื่อว่าจะต้องเป็นขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ที่สามารถบังคับให้ตกอยู่ในสภาพนั้นได้” มู่เฉินกล่าวอย่างใจเย็น
“ยิ่งกว่านั้น…มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะตกหลุมพราง”
ดวงตาจิ่วโยวหดลงเล็กน้อยมองไปที่มู่เฉิน “เจ้าคิดว่าเราควรทำยังไง? ถ้าเป็นอย่างนี้เราอาจตกไปในปัญหาเหมือนกันนะหากเข้าไปช่วย”
มู่เฉินเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหายใจเข้าลึก “ไม่ว่าจะอันตรายขนาดไหน เราก็ต้องไป เราไม่สามารถยืนมองหน่วยรบอื่นของเราถูกทำลายได้ มั่นถัวหลัวบอกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะมุ่งหน้าลึกเข้าไปในสมรภูมิหยุ่นลั้วนี้ตามลำพัง”
จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วยและชื่นชมกับความคิดมู่เฉินในใจ แม้ว่าผู้บัญชาการทุกคนจะอยู่ภายใต้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ก็มีการแข่งขันสูงระหว่างพวกเขา ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งต่างๆ นานา เช่นหน่วยรบวิหคโลกันตร์และหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต พวกเขาต่างไม่มีความสัมพันธ์กลมกลืนกัน ดังนั้นจิ่วโยวจึงรู้สึกประทับใจเมื่อเห็นมู่เฉินตัดสินใจจะช่วยเหลือทันทีที่ได้รับสัญญาณ
“อย่าชักช้า ไปกันเถอะ!” มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยว จากนั้นก็มองนักรบวิหคโลกันตร์ที่ติดอาวุธครบมือ เขาไม่พูดมาก เพียงแค่โบกมือส่งสัญญาณ ทะยานตัวนำขึ้นไปบนท้องฟ้า
ที่ด้านหลัง จิ่วโยวและหน่วยรบก็กลายเป็นลำแสงนับไม่ถ้วนติดตามมา
ฟิ้ว!
เวลากระชั้นชิด ดังนั้นมู่เฉินจึงเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด ขณะที่เขาพุ่งนำพรรคพวกไปยังทิศทางที่กระจกชี้บอก
ระหว่างทางพวกเขาปะหน้ากับกองทัพมากมาย แต่เมื่ออีกฝ่ายเห็นหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่กำจายจิตสังหารน่าตกใจ ก็ไม่มีใครกล้าแหย่เท้าเข้ามา
ภายใต้ความเร็วสูงสุดพวกเขาก็เข้าใกล้พื้นที่ที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือในสองชั่วโมงต่อมา หลังจากเข้ามาในบริเวณนี้ได้ไม่นาน พวกเขาก็เริ่มได้ข้อมูลข่าวสารบางอย่าง ซึ่งทำให้สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างมาก
เช่นเดียวกับที่พวกเขาคาดไว้ กองทัพที่เข้ามารุกรานอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่เพียงแต่ทรงพลัง แต่ยังเป็นขั้วอำนาจที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออีกด้วย
หมู่ตึกเทวะ!
ว่ากันว่านี่เป็นยักษ์ใหญ่ที่มีประสบการณ์เข้าร่วมสงครามล่าถึงห้าครั้งติดต่อกัน ในแง่ของรากฐานถือเป็นขั้วอำนาจที่เก่าแก่ที่สุดของภูมิภาคทางเหนือ แม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่สามารถมองข้ามได้
“ตามข่าวกรองที่เรารวบรวมมา น่าจะเป็นหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตที่ตกลงไปในหลุมพรางนี้” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินขณะที่ทำปากยื่นด้วยความรู้สึกช่วยไม่ได้ ชัดว่านางไม่คิดว่าคนที่เปิดใช้สัญญาณขอความช่วยเหลือจะเป็นหอเหยี่ยวโลหิตที่มีความขัดแย้งกับพวกเขา ตอนที่อยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทั้งสองหอก็ฮึ่มฮั่มใส่กันตลอดเวลา ฉายความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอีกด้วย
“พวกที่บีบให้พวกเขาตกอยู่ในที่นั่งยากลำบากก็คือกองทัพจระเข้สวรรค์ที่นำโดยเจ้าภูเขาเอ่อแห่งหมู่ตึกเทวะ”
“เจ้าภูเขาเอ่อเรอะ…” มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่ใช่คนใหม่ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรอีกต่อไป ข้อมูลเกี่ยวกับขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ เขาก็รู้มาพอสมควร ในหมู่ตึกเทวะมีประมุขในตำแหน่งสูงสุด โดยมีหัตถ์เหนือ-ใต้-ตะวันออก-ตะวันตกรองลงมา ซึ่งเปรียบได้สามจอมพลอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ลำดับถัดจากหัตถ์ทั้งสี่ก็คือเจ้าภูเขาทั้งสิบที่ได้รับการตั้งชื่อเหมือนอสูรจอมโหด เช่น เจ้าภูเขาเอ่อในครั้งนี้…
“ยังมีศัตรูเก่าอีกคน คู่แค้นก็ชอบมารวมกันอยู่ในที่แคบซะจริง” มู่เฉินมองไปไกลพลางยิ้มจนใจ นั่นเพราะไม่ใช่แค่เจ้าภูเขาเอ่อแห่งหมู่ตึกเทวะที่กำลังห้ำหั่นกับหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต ยังมีคนหน้าคุ้นอีกคน ซึ่งก็คือฟังยี่แห่งหมู่ตึกเทวะ ชายที่พ่ายแพ้ยับเยินให้กับไฉ่เซียวจนต้องหนีหางจุกตูด แต่ก็ยังสามารถรักษาแท่นอันดับหนึ่งบนบันทึกมังกรหงส์ได้อย่างเหนียวแน่น
มู่เฉินกับไฉ่เซียวมีความสัมพันธ์ฉันมิตรต่อกัน ตอนนี้นางกลับไปพร้อมกับฐานะธิดาเทพจักรพรรดิอัคคีเปิดเผย ต่อให้ฟังยี่จะกล้าหาญกว่านี้อีกสักสิบเท่า เขาก็ไม่กล้าไปที่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วเพื่อล่านางหรอก ดังนั้นเขาจะต้องใส่ความโกรธทั้งหมดมาที่มู่เฉิน ดังนั้นมู่เฉินนึกภาพออกเลยว่าฟังยี่จะคลั่งขนาดไหนเมื่อพวกเขาพบหน้ากัน
เมื่อเวลานั้นมาถึงการต่อสู้ครั้งใหญ่คงยากจะหลีกเลี่ยง
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์รุ่นใหม่อันดับหนึ่งของบันทึกมังกรหงส์แห่งภูมิภาคทางเหนือตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่มู่เฉินก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะฟังยี่ ถึงจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่แล้วก็ตาม
นั่นเพราะเขารู้ว่าฟังยี่ก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ต่อกรได้ง่าย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะหยุดนิ่งขณะที่เขาพัฒนา ด้วยทรัพยากรของหมู่ตึกเทวะ ความเร็วในการเพาะบ่มพลังและไพ่ตายที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของฟังยี่จะต้องน่าทึ่งแน่นอนเช่นกัน
เพราะมู่เฉินไม่ใช่ตัวประหลาดแบบไฉ่เซียวที่เชี่ยวชาญในการทรมานพวกอัจฉริยะ
“ตอนนี้หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตถูกบีบให้ถอยร่นเข้าไปในหุบเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้และถูกล้อมอย่างสมบูรณ์ เหตุการณ์นี้ดึงดูดกองทัพมากมาย เนื่องจากการต่อสู้ของกองทัพชั้นสูงเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าสนใจ” จิ่วโยวยักไหล่เบาๆ ในสงครามล่า การต่อสู้ระหว่างกองทัพชั้นสูงเป็นเรื่องบันเทิงผสมกับความโหดร้าย และยิ่งตอนนี้ยังเป็นอาณาเขตกงเวทสวรรค์และหมู่ตึกเทวะ ไม่รู้ว่าจะดึงดูดคนมากมายขนาดไหน ดังนั้นถ้ามีข่าวหลุดออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะดึงดูดความสนใจมหาศาลแน่นอน
“แต่ดันเป็นไอ้บ้าเสี่ยยิงซะนี่ เรายังจะไปอยู่ไหม?” จิ่วโยวคิดหนักขณะมองไปที่มู่เฉินที่อยู่ข้างๆ พวกชิวซันก็มองมาที่มู่เฉิน รอให้เขาตัดสินใจ
“บ้าเอ๊ย”
มู่เฉินถูหน้าผาก อดสบถคำด่าออกมาไม่ได้ เห็นชัดว่าเขาก็ปวดหัวกับเรื่องนี้ หอวิหคโลกันตร์ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหอเหยี่ยวโลหิตเลย
ถ้าเป็นผู้บัญชาการคนอื่น มู่เฉินไม่ลังเลแน่นอน แต่นี่เป็นเสี่ยยิง เขาจึงปวดกบาลมากในตอนนี้
“ถึงข้าจะไม่ชอบเขา แต่เราก็เป็นสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์เหมือนกัน ไม่มีประโยชน์ถ้าเรายืนมองพวกเขาถูกทำลายโดยหมู่ตึกเทวะ” สุดท้ายมู่เฉินก็สูดลมหายใจลึกสุดปอด ระงับอคติที่มีต่อเสี่ยยิง
“เรื่องบาดหมางของเราจะได้รับการแก้ไขด้วยตัวเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้อื่นที่จะจัดการพวกเขา ถ้าพวกเราช่วยพวกเขาแล้ว ยังกล้ามาผยองใส่อีก ข้าจะจัดการขั้นเด็ดขาดแน่”
พวกชิวซันมองมู่เฉินที่ฉายท่าทางเผด็จการ ก็อดไม่ได้ที่ไฟการต่อสู้ในดวงตาจะลุกโชน พวกเขารู้ว่าภายใต้ฝีมือของมู่เฉินพลังหน่วยรบวิหคโลกันตร์ไปไกลเกินกว่าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตหลายขุมแล้ว ดังนั้นมู่เฉินจึงมีสิทธิ์ที่จะพูดคำเหล่านี้ออกมา
“ไป!”
มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยว เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ลุกขึ้นยืน พุ่งตัวเป็นลำแสงออกไป
ที่นี่เป็นหุบเขาสีแดงเข้ม
ราวกับว่าถูกปกคลุมไปด้วยเลือดมอบความกดดันให้ผู้คน
ตอนนี้มีคนกลุ่มใหญ่อยู่ในหุบเขา แต่ละคนสวมชุดเกราะสีแดงเลือด สายตาค่อนข้างคมกริบ ทว่ารัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่รวบรวมอยู่ด้วยกันกำลังปั่นป่วน ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บหนัก
ที่ตรงกลางของกองทัพ เสี่ยยิงสวมชุดเกราะสีแดงเลือดมองออกไปนอกหุบเขาด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เขาสามารถมองเห็นร่างมากมายลอยตัวอยู่ภายนอกพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ทรงพลังปิดทางเข้าออกหุบเขา ไม่ให้พวกเขาหนีไปได้
“ท่านผู้บัญชาการ เราเสียกำลังพลไปเกือบพันนาย…” ที่ด้านข้างเสี่ยยิง หวูเทียนที่ร่างปกคลุมไปด้วยเลือดก็พูดขึ้นเสียงต่ำ ใบหน้าที่แต่เดิมเย็นชาและเฉียบคม บัดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บใจ
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เสี่ยยิงก็ตัวสั่นเทิ้ม นักรบหนึ่งพันนายเท่ากับหนึ่งในห้าของหน่วยรบ กว่าจะฝึกมาได้ไม่รู้ต้องใช้ทรัพยากรและพลังงานไปมากเท่าไร แต่ตอนนี้พวกเขากลับสิ้นชีพลงในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
“กองทัพจระเข้สวรรค์ปิดล้อมที่แห่งนี้แล้ว ท่านเสี่ยยิง ข้าจะนำทัพออกไปสู้ตายเพื่อเปิดทางให้ ถึงตอนนั้นท่านรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!” หวูเทียนเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าขณะที่พูดขึ้น
ดวงตาของเสี่ยยิงเปล่งประกายคมกล้าขณะที่แผดเสียง “จะให้ข้าคนนี้หนีอย่างหมาจรจัดเหรอ? แล้วอนาคตข้าจะมีหน้าอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ยังไง? ถ้าพวกมันโจมตีเข้ามาอีกครั้ง ทุกคนก็ออกไปพร้อมกับข้า ในเมื่อพวกมันคิดว่าทัพของข้าเคี้ยวง่ายนัก ข้าก็จะให้พวกมันรู้ว่าต้องเตรียมรับการโต้กลับด้วยเช่นกัน!”
ใบหน้าของเสี่ยยิงเต็มไปด้วยความดุร้าย ความดุร้ายในแกนกระดูกก็ถูกกระตุ้นในตอนนี้อย่างสมบูรณ์
“ท่านผู้บัญชาการไม่ต้องกังวล เราได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้ว ตราบใดที่สามารถซื้อเวลาไว้ได้ กำลังเสริมต้องมาแน่นอน!” หวูเทียนเอ่ยเตือนอย่างเร่งรีบ เมื่อเขาเห็นเสี่ยยิงตั้งใจจะสู้ตายและเอาชีวิตไปทิ้ง
“ไม่ทันแล้ว” เสี่ยยิงส่ายหน้าสายตาคมกริบจ้องมองไปที่ท้องฟ้าเหนือหุบเขา รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกำลังบีบกระชับพื้นที่เข้ามาในหุบเขา ชัดว่ากองทัพจระเข้สวรรค์เลือกที่จะโจมตีแล้ว
หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตก็สัมผัสถึงรัศมีจั้นยี่ที่แผ่ซ่านเข้ามา พวกเขากำง้าวในมือแน่นขณะที่เตรียมพร้อมสู้ตาย
เสี่ยยิงสูดหายใจเข้าลึกพลางกำหมัดแน่น ง้าวโลหิตปรากฏขึ้นในพริบตา ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังแผ่ออกมาจากร่างเขา
แต่ขณะที่เสี่ยยิงตัดสินใจจะสู้ตาย จู่ๆ ดวงตาเขาก็หดเกร็ง นั่นเพราะเขาเห็นรัศมีจั้นยี่ของกองทัพจระเข้สวรรค์เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาในตอนนี้
“ท่านผู้บัญชาการกำลังเสริมของเรามาแล้ว!” หวูเทียนดีใจสุดขีดเมื่อเห็นภาพดังกล่าว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นไม่ได้ด้อยกว่ากองทัพจระเข้สวรรค์เลย
“ไม่รู้ว่าเป็นผู้บัญชาการคนใดที่มา”
สายตาเฉียบคมของเสี่ยยิงจ้องมองไปในระยะไกล จากนั้นสีหน้าก็ซับซ้อนขึ้น เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำเสียงเบา “นั่นผู้บัญชาการจิ่วโยวและผู้บัญชาการมู่”
บทที่ 844 สูป้า
บนยอดเขาโดดเดี่ยวนอกหุบเขา
มีคนกลุ่มหนึ่งยืนมือไพล่หลัง รอบยอดเขานี้มีคนนับไม่ถ้วนยืนอยู่บนอากาศ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดออกราวกับมหาสมุทรแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ
เมื่อมองจำนวนคนคร่าวๆ ร่างเงาเหล่านั้นมีจำนวนเกือบหมื่นเลยทีเดียว กระทั่งในบรรดาผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นี่ถือว่าเป็นกองทัพที่มีขนาดใหญ่อยู่ในลำดับต้นเลยทีเดียว
ด้วยขนาดดังกล่าว รัศมีจั้นยี่ที่ปลดปล่อยออกมาอยู่ในระดับที่น่าทึ่ง เมื่อรัศมีจั้นยี่กระจายออกไปก็โอบล้อมหุบเขาทั้งหมดดูราวกับกรงนกดักจับสิ่งที่อยู่ภายใน แม้แต่แมลงวันสักตัวก็เล็ดลอดออกไปไม่ได้
“นายท่าน พวกหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตติดอยู่ในกับดักเรียบร้อย รอเพียงคำสั่งโจมตีก็จะกำจัดพวกมันได้สิ้นซาก” ร่างร่างหนึ่งทะยานขึ้นมาบนยอดเขา จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เขาประสานมือรายงานสถานการณ์ด้วยความเคารพ
บนยอดเขามีคนสองคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับมู่เฉิน เขาก็คือคนที่ถูกบีบให้หนีไปอย่างน่าสมเพชจากฝีมือของไฉ่เซียว แต่ก็ยังคงรั้งตำแหน่งที่หนึ่งบนบันทึกมังกรหงส์ได้—ฟังยี่
ยามนี้ฟังยี่สวมชุดสีขาวและยังมีความสงบนิ่งเช่นเดิม ไม่มีร่องรอยความเศร้าใจจากการพ่ายแพ้หมดท่าในวันนั้น สายตาของเขากลับกระจ่างใสมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งขึ้นมากจากความพ่ายแพ้ครั้งนั้น เพราะจอมยุทธ์ที่ได้รับความคาดหวังยิ่งใหญ่จากหมู่ตึกเทวะจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจตั้งมั่น ไม่มีทางท้อแท้จากการพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียว มิฉะนั้นเขาคงจะถูกหมู่ตึกเทวะทิ้งไปในไม่นาน
ฟังยี่ยืนมือไพล่หลังข้างเดียวท่าทางราวกับบัณฑิตทรงภูมิ ภาพลักษณ์เช่นนี้คงไม่มีใครมองออกว่าเขาเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่จอมโหดที่ครอบครองที่หนึ่งบนบันทึกมังกรหงส์
ที่ข้างๆ ฟังยี่เป็นจอมยุทธ์วัยฉกรรจ์ที่ฉายรัศมีน่าทึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับลักษณะสง่างามของฟังยี่ เขาเปล่งความดุร้ายเย็นชา ขณะที่กวาดสายตามองก็ประหนึ่งสัตว์อสูรร้ายที่ปลดปล่อยความโหดร้ายเต็มที่ ซึ่งสร้างความกลัวให้กับผู้ที่พบเห็นนัก
เขาสวมชุดเกราะสีดำที่สลักภาพจระเข้โบราณเอาไว้ จระเข้ยืนอยู่บนภูเขาพร้อมกับแผ่รังสีที่น่ากลัว
ชายคนนี้ก็คือหนึ่งในสิบเจ้าภูเขา…เจ้าภูเขาเอ่อ—สูป้า
เมื่อได้ยินรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา สูป้าก็พยักหน้าจ้องมองเข้าไปในหุบเขาพร้อมกับแววดุร้ายวูบไหวในดวงตา รอยยิ้มที่น่าสะพรึงแขวนอยู่ที่มุมปาก “หอเหยี่ยวโลหิตกล้าชิงซากอารยธรรมโบราณกับกองทัพจระเข้สวรรค์ของข้าเรอะ ความคิดนี้ช่างเพ้อฝันจริงๆ แค่หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตยังคิดมาท้าทายกองทัพข้า ยโสโอหังแท้จริง”
ฟังยี่ยิ้มพลางมองไปรอบๆ ขณะนี้มีจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนกำลังเหาะเหินมาจากที่ไกล ทั้งหมดต่างถูกดึงดูดจากข่าวการปะทะกันระหว่าหมู่ตึกเทวะและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เพราะนี่คือสงครามระหว่างสองสุดยอดขั้วอำนาจ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็จะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่แน่นอน
“ถ้าท่านสูสามารถล้างบางหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตได้ ข้าเชื่อว่านี่ถือเป็นความสำเร็จที่ดีเลยทีเดียว นอกจากนี้ชื่อของท่านจะขจรขจายไปทั่วสงครามล่าครั้งนี้ด้วย” ฟังยี่ยิ้มบาง
พอได้ยินคำพูดของฟังยี่ สูป้าก็แสยะยิ้ม ในรอยยิ้มอัดแน่นไปด้วยความดุร้ายขณะที่พูดต่อ “ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากในครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเราก็คงหาหนูที่แอบมาขโมยไม่พบหรอก”
“แต่แม้ว่าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตจะเป็นนกในกรงแล้ว ท่านสูก็ยังคงต้องระวัง ผู้บัญชาการเสี่ยยิงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าระยะปลายสุด ถ้าเขาคิดสู้ตายก็น่าจะลำบากเอาการ” ฟังยี่เตือน
“ระดับจื้อจุนขั้นห้าระยะปลายสุดรึ?” ริ้วรอยเหยียดหยามโค้งขึ้นที่มุมปากสูป้าขณะที่พูดต่อว่า “ในกลุ่มเจ้าภูเขาทั้งสิบ ขุมพลังนี้ได้แค่รั้งท้ายเท่านั้น เสี่ยยิงยังไม่สามารถหนีไปจากเงื้อมมือข้าได้หรอก”
แม้จะพูดด้วยคำโอ้อวด แต่สูป้าก็ไม่คิดจะปล่อยให้การต่อสู้นี้ยืดเยื้อออกไป เขาสะบัดมือเตรียมพร้อมออกคำสั่งโจมตีเพื่อทำลายล้างหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต
ฮึ่ม!
แต่จังหวะที่มือกำลังจะกดลง สีหน้าของเขาและฟังยี่ก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขารีบหันไปมองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ขณะนี้ท้องฟ้าทิศนั้นเคลื่อนไหวบ้าคลั่ง รัศมีจั้นยี่ที่น่าทึ่งกวาดพัดออกมาราวกับพายุ
พวกกองทัพต่างๆ ที่แอบมองอยู่ที่นี่ก็รู้สึกได้เช่นกัน พวกเขามองตรงไปอย่างตกใจ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดอย่างชัดเจน เพราะทุกคนรู้ว่าตอนนี้เป็นศึกระหว่างหมู่ตึกเทวะกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกกองทัพธรรมดาไม่กล้าเข้ามาแทรกแซงหรอก เนื่องจากกลัวไฟจะลามมาถึงตัว
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ขณะที่ทุกคนให้ความสนใจ ม่านสีดำมืดก็ปรากฏบนขอบฟ้าไกลโพ้น ร่างเงาดำนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานจนสามารถมองเห็นรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกมาจากร่างพวกเขา ราวกับว่าพวกเขานำพาพายุสายฟ้าที่น่าสะพรึงมา ขู่ขวัญทุกคนเมื่อมาถึงที่นี่
“ใครกล้ามาแส่เรื่องของหมู่ตึกเทวะกัน!” สูป้าจ้องมองกองทัพสีดำที่ใกล้เข้ามาด้วยดวงตาที่หดลง เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ จึงแผดเสียงดังสะท้อนไปทั่วบริเวณราวกับฟ้าคำรนเลยทีเดียว
“ใครกัน?!”
บนท้องฟ้านอกหุบเขา กองทัพจระเข้สวรรค์ที่มีนักรบนับหมื่นก็คำรามอย่างพร้อมเพรียง ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งขึ้นเบื้องบน ทำให้ฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือนเลยทีเดียว
ภายใต้รัศมีจั้นยี่นี้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังต้องเลี่ยงไปก่อน!
ทว่ากองทัพที่เข้ามาใหม่กลับไม่ได้แตกขบวนแถวแต่อย่างใด ร่างสูงโปร่งปรากฏตัวด้านหน้าสุดของกองทัพในพริบตา เสียงหัวเราะคมชัดของชายวัยหนุ่มดังขึ้น “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ หอวิหคโลกันตร์!”
“หอวิหคโลกันตร์!”
นักรบวิหคโลกันตร์สาดประกายแสงจ้าออกมาจากดวงตา รัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ดันตัวขึ้นราวกับคลื่น เสียงคำรามก็ราวกับฟ้าคำรามที่สะท้อนไปมาไม่หยุดยั้ง ทำลายรัศมีจั้นยี่ที่กดดันของกองทัพจระเข้สวรรค์ทั้งหมด
พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยรัศมีจั้นยี่น่ากลัวสองสาย ซึ่งครอบครองท้องฟ้าคนละครึ่ง บริเวณที่รัศมีประจันหน้ากัน กระทั่งท้องฟ้ายังเกิดรอยแตกกระจายออกไป
“หอวิหคโลกันตร์?” พอได้ยินคำประกาศ ดวงตาของสูป้าก็วูบไหวด้วยความประหลาดใจ จากที่เขารู้มาหอวิหคโลกันตร์อยู่อันดับท้ายสุดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่เมื่อตัดสินจากหน่วยก้านตอนนี้ ทำไมถึงดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตอีก?
ที่ด้านข้างสูป้า ฟังยี่ที่สงบและเยือกเย็นก็เริ่มขมวดคิ้ว เขาจ้องเขม็งที่ร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าของกองทัพก็พูดเบาๆ ว่า “ท่านสู ข้อมูลล้าสมัยไปแล้ว ชายคนนี้คือผู้บัญชาการลำดับสิบของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ชื่อว่ามู่เฉิน ตอนนี้หอวิหคโลกันตร์มีผู้บัญชาการสองคน ถือเป็นเอกลักษณ์ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์”
“มู่เฉิน?”
สูป้าอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะออกมา “จอมยุทธ์หนุ่มที่ดังไปทั่วภูมิภาคทางเหนือในช่วงนี้น่ะรึ…”
ทันทีที่พูดจบดวงตาของเขาก็สาดแววเหี้ยมเกรียมขณะจ้องมองมู่เฉินอย่างน่ากลัวพลางแสยะยิ้มชั่วร้าย “ไอ้เด็กเวรที่ยังไม่หย่านมกล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่นรึ? ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ!”
เสียงของสูป้าดังกึกก้องขึ้น ดึงดูดสายตาของกองทัพอื่นๆ พุ่งไปมองมู่เฉิน มีความอยากรู้อยากเห็นพล่านในดวงตา ชัดว่าช่วงนี้พวกเขาได้ยินกิตติศัพท์ของชื่อนี้มาบ่อยครั้ง
มู่เฉินและจิ่วโยวยืนผ่าเผยบนท้องฟ้า เมื่อหญิงสาวได้ยินคำพูดของสูป้า สายตาก็เย็นชาลงหลายส่วน ขณะที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งในฝ่ามือ
“เจ้าคงเป็นเจ้าภูเขาเอ่อสินะ?” มู่เฉินยิ้มอ่อนขณะมองสูป้าที่เหี้ยมหาญ ก่อนจะมองไปที่ฟังยี่ ยิ้มเอ่ยพลางประสานมือให้
“ไอ้หนูอย่ามาทำตีเนียนนับเพื่อนกับข้า รีบไสหัวไปซะ ไม่งั้นข้าจะจัดการแกด้วยเลย” ทว่าสูป้าไม่มีความเกรงใจเลย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและดุร้าย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นมู่เฉินและหอวิหคโลกันตร์อยู่ในสายตา
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็ได้แต่ลูบจมูกพลางยิ้ม “ดูท่าจะคุยอะไรกันไม่ได้แล้วสินะ”
“รนหาที่ตาย!” สูป้าตะเบ็งเสียงน่าขนลุก จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นนักรบจระเข้สวรรค์ห้าพันคนก็แยกออกมาจากกองทัพ รัศมีจั้นยี่ดุร้ายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในมุมมองของสูป้า การใช้นักรบห้าพันคนก็เพียงพอที่จะจัดการกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่มีจำนวนไม่ถึงห้าพันแล้ว เพราะก่อนหน้าหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปก็พ่ายแพ้หมดท่าแล้ว
ตอนนี้เขาต้องจัดการกับหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตที่แอบอยู่ในหุบเขาก่อน จากนั้นค่อยหันกลับมาจัดการหน่วยรบวิหคโลกันตร์ตามไป
ตู้ม! ตู้ม!
กองทัพจระเข้สวรรค์พุ่งผ่านขอบฟ้าขณะที่รัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มกวาดออกไปโดยรอบราวกับทะเลโลหิต เมื่อรัศมีพวยพุ่งก็ก่อร่างเป็นเงาหอกนับสิบล้านเล่ม ซัดไปยังทิศทางของหน่วยรบวิหคโลกันตร์
การโจมตีดังกล่าวสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าคาที่เลยทีเดียว
มู่เฉินเงยหน้ามองดงหอกครางกระหึ่มที่พุ่งเข้ามาด้วยอาการสงบ จากนั้นก็ยิ้มบางพูดว่า “รู้สึกจะดูถูกหน่วยรบข้าอยู่นะเนี่ย…”
เขายกมือขึ้น แล้วโบกลงเบาๆ
ตู้ม!
กระแสสีดำพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิดจากหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ขณะที่รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ก่อตัวก็ถักทอเป็นปีกมหึมาสีดำคู่หนึ่ง ปลายขอบปีกแหลมคนจนสามารถฉีกมิติออกจากกันได้…
วาบ!
มู่เฉินดีดนิ้ว ปีกสีดำก็หายวับไป ไม่มีใครเห็นได้ชัดเจน พวกเขาเห็นได้แต่แสงพุ่งทะลุผ่านขอบฟ้าทำลายดงหอกที่พุ่งตามเส้นทางจนแตกออกเป็นจุดแสงกระจายทั่วฟ้า…
ช่างเป็นการทำลายล้างที่ทรงพลังจริงๆ
ฟิ้ว!
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน แสงก็บินข้ามขอบฟ้าพุ่งเข้าปะทะกับม่านรัศมีจั้นยี่ที่ล้อมรอบหุบเขาเอาไว้
แคร็ก!
จังหวะที่ปะทะกัน ม่านแสงที่สร้างจากรัศมีจั้นยี่ของกองทัพจระเข้สวรรค์ก็แตกสลายราวกับแก้ว
ด้วยการทำลายล้างนี้ หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตที่อยู่ในหุบเขาก็เผยตัวให้เห็น แต่ขณะนี้พวกเขาต่างมองภาพนี้อย่างตกตะลึง ชัดว่าคงเห็นการโจมตีที่น่าทึ่งของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ด้วยเช่นกัน
สีหน้าของสูป้าเปลี่ยนไปรุนแรง แม้แต่ม่านตาของฟังยี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างยังต้องหดลง ทั้งสองตื่นตะลึงกับการโจมตีด้วยรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์
ใครจะคิดว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่มีนักรบเพียงห้าพันคนจะมีรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงขนาดนี้?!
ภายใต้สายตาตกตะลึงทั่วฟ้าดิน มู่เฉินก็ยิ้มบางมองไปที่สูป้าที่สีหน้าเขียวคล้ำ เสียงหัวเราะของเขาสะท้อนไปทั่วบริเวณ แต่ไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกอีกแล้ว
“ไม่รู้ว่าตอนนี้คุยกันดีๆ ได้หรือยัง?”
บทที่ 845 กองทัพจระเข้สวรรค์
“ไม่รู้ว่าตอนนี้คุยกันดีๆ ได้หรือยัง?”
เสียงของมู่เฉินสะท้อนไปทั่วบริเวณ แม้ว่าน้ำเสียงจะราบเรียบ แต่ด้วยรัศมีจั้นยี่ที่กำจายอยู่รอบตัวก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาอีกแล้ว
กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังอย่างสูป้าม่านตาก็ยังหดลง เขาจ้องมองมู่เฉินด้วยความดุร้ายพลางพูดขึ้นช้าๆ “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ระดับนี้ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำไปหน่อย”
มู่เฉินยิ้มผ่านๆ เขาเหลือบตามองหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตที่ติดอยู่ในหุบเขา “เจ้าภูเขาเอ่อ ถ้าเราสู้กันตอนนี้ ข้าเกรงว่าจะไม่ดีต่อทั้งสองฝ่ายนะ หากเจ้าต้องการกินหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต พวกเจ้าก็คงต้องจ่ายด้วยราคามหาศาลไม่ต่างกัน”
“ดังนั้นข้าอยากแนะนำให้พวกเจ้าถอยซะดีกว่า ไม่ว่าผลสุดท้ายในวันนี้จะเป็นอย่างไร อาณาเขตกงเวทสวรรค์ค่อยมาจัดการทั้งต้นทั้งดอกในอนาคตกับพวกเจ้า ดีไหม?”
ชายหนุ่มยืนอยู่บนท้องฟ้ายิ้มใจเย็น แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับสายตาของนักรบจระเข้สวรรค์ แต่ก็ไม่มีร่องรอยความหวาดกลัวบนใบหน้า ความสงบนิ่งของเขาทำให้กองทัพจำนวนมากที่อยู่บริเวณนี้ต้องชื่นชม
สูป้ารู้สึกประหลาดใจที่มู่เฉินสงบปานนี้ แต่เขากลับกระตุกยิ้มตอบด้วยความโกรธขึงในใจ นิ้วชี้ไปที่จำนวนนักรบจระเข้สวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ใจ พูดด้วยสีหน้าชวนขนลุก “ไอ้หนู แกแน่ใจหรือว่าจะทำให้ข้าต้องจ่ายราคามหาศาลด้วยพลังที่พวกแกมี?”
แม้เขาจะประหลาดใจกับรัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ที่กำจายออกมาจากหน่วยรบวิหคโลกันตร์เมื่อครู่ แต่นั่นก็หมายความว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์มีคุณสมบัติที่จะสู้รบกับกองทัพจระเข้สวรรค์ในจำนวนคนเท่ากันเท่านั้น แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ฝ่ายเขามีนักรบหมื่นคน ขณะที่หน่วยรบวิหคโลกันตร์มีเพียงห้าพันคนเท่านั้น เมื่อใดที่การต่อสู้ปะทุขึ้น หน่วยรบวิหคโลกันตร์ต้องรับเคราะห์หนักแน่นอน
ดังนั้นสูป้าจึงคิดว่านี่เป็นมุกตลก เมื่อมู่เฉินพูดถึงสิ่งที่ต้องจ่าย
ในหุบเขาเสี่ยยิงและพรรคพวกจ้องมองท้องฟ้าที่ไกลออกไป หน่วยรบวิหคโลกันตร์กำลังประจันหน้ากับกองทัพจระเข้สวรรค์ สายตาพวกเขาฉายแววซับซ้อน นั่นเพราะพวกเขาเห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว
“ท่านผู้บัญชาการ ข้าเกรงว่ายังเป็นไปไม่ได้ที่หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะสู้กับกองทัพจระเข้สวรรค์ได้…” หวูเทียนเกิดอาการลังเลวูบหนึ่งก่อนจะพูดออกมา แม้เขาจะรู้สึกซับซ้อนในใจจากการช่วยเหลือของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ แต่เขาก็พูดความจริง เนื่องจากก่อนหน้าพวกเขาได้ประลองกับกองทัพจระเข้สวรรค์มาแล้ว จึงตระหนักดีว่าอีกฝ่ายทรงพลังอำนาจมากแค่ไหน
แม้ว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์จะเหนือชั้นกว่าในอดีต แต่รากฐานก็ยังอ่อนแอกว่าศัตรู
ตามความคิดของหวูเทียน อาจมีเพียงหน่วยรบอสุราของผู้บัญชาการซิวหลัวหรือหน่วยรบแยกคีรีของผู้บัญชาการเลี่ยซันเท่านั้นที่จะสามารถจัดการกับกองทัพจระเข้สวรรค์ได้
ตอนนี้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ยังขาดไปอีกเล็กน้อย
เสี่ยยิงพยักหน้าเมื่อฟังความคิดของหวูเทียน เขามองการเผชิญหน้ากันบนท้องฟ้าก็เอ่ยว่า “หวูเทียน ถ้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์เริ่มเคลื่อนไหว เจ้าก็นำทัพเข้าร่วมตีประสานกับพวกเขา พยายามช่วยลดทอนแรงกดดัน”
“สำหรับสูป้า ข้าจะประกบมันไว้ไม่ให้เข้ามาแทรกแซงในสมรภูมิได้”
หวูเทียนพยักหน้า ภายใต้สถานการณ์วิกฤตนี้มีแต่การร่วมมือกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ถึงจะทำลายการปิดกั้นของกองทัพจระเข้สวรรค์ได้
ขณะที่ทั้งสองสนทนากัน ทางมู่เฉินก็หรี่ตาลงกับการเยาะเย้ยของสูป้า ดูเหมือนว่าสูป้าคิดเพิกเฉยต่อหน่วยรบวิหคโลกันตร์ เนื่องจากเขามีข้อได้เปรียบเรื่องกำลังพล…
ในเมื่อเป็นแบบนี้…
มือของมู่เฉินสร้างตราประทับทันที ความคมกริบพวยพุ่งในดวงตาสงบนิ่ง รัศมีแหลมคมกำจายออกจากร่างราวกับกระบี่ชักออกจากฝัก
“หน่วยรบวิหคโลกันตร์!” มู่เฉินตะเบ็งเสียงเหี้ยม
“ลุย!”
นักรบวิหคโลกันตร์กระแทกหอกลงกับพื้นดินพลางส่งเสียงโห่ร้องสะท้อนไปยังขอบฟ้า รัศมีจั้นยี่ราวกับคลื่นสีดำหมื่นจั้งกวาดออกมาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อมองจากที่ไกลเหมือนกับมหาสมุทรสีดำที่กวนตัวในบริเวณนี้เลยทีเดียว
กีด!!!
มู่เฉินกระแทกเท้าลงไป ทำให้รัศมีจั้นยี่ที่พวยพุ่งกลิ้งตัวไปมาที่ด้านหลังพร้อมกับเสียงร้องที่อัดแน่นไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้เกรี้ยวกราดดังขึ้น จากนั้นผู้คนก็เห็นวิหคโลกันตร์ที่สลักด้วยลวดลายจั้นเหวินก่อร่างขึ้นในรัศมีจั้นยี่ ปีกกว้างใหญ่กางออกปกคลุมมืดฟ้ามัวดิน…
หน่วยรบวิหคโลกันตร์กู่ร้องก้องฟ้า ทุกคนตกตะลึงและหวาดผวาเมื่อเห็นรัศมีจั้นยี่สีดำพวยพุ่งขึ้นสู่ข้ามขอบฟ้า แผ่กระจายไปทั่วบริเวณภายในเวลาไม่กี่อึดใจ
“วิญญาณสงคราม?!”
เสียงอุทานตกตะลึงดังก้องไปทั่ว ใบหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนแปลงรุนแรง ขณะที่ดวงตาทุกคู่เบิกกว้างกับฉากเหลือเชื่อเบื้องหน้า
“มู่เฉินสามารถกลั่นวิญญาณสงครามหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้รึ…” ในหุบเขาเสี่ยยิงและหวูเทียนก็มีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อเห็นภาพดังกล่าว จากนั้นพวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากันและอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นจนสุดปอด
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินและจิ่วโยวถึงกล้าบุกเดี่ยวทั้งที่รู้ว่ากองทัพจระเข้สวรรค์อยู่ที่นี่ ที่แท้พวกเขาก็มีความมั่นใจเต็มร้อยนี่เอง
เพราะทุกคนเข้าใจชัดเจนว่าวิญญาณสงครามหมายถึงอะไรสำหรับกองทัพในการเพิ่มประสิทธิภาพของพลัง
“เจ้านี่…” หวูเทียนแววตาซับซ้อนขณะที่ถอนหายใจด้วยความยากลำบาก ปีที่แล้วตอนที่มู่เฉินเพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ที่หวูเทียนไม่ได้ให้ความสนใจ แต่หลังจากผ่านไปปีเดียว ไม่ว่าจะเป็นที่สามในบันทึกมังกรหงส์หรือทักษะการบังคับบัญชากองทหารก็ไปถึงจุดสูงที่หวูเทียนไม่สามารถเข้าถึงได้แล้ว
ในเวลานี้แม้แต่หวูเทียนก็ต้องยอมรับว่ามีช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างตนเองกับมู่เฉิน แม้บางคนอาจไร้ชื่อเมื่อในอดีต แต่สุดท้ายเขาก็ต้องสร้างชื่อจนทำให้ทั้งโลกตกตะลึงแน่นอน
“วิญญาณสงคราม?”
ดวงตาของสูป้าจับจ้องวิหคโลกันตร์ในรัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ ใบหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เนื่องจากไพ่เด็ดที่มู่เฉินซ่อนไว้เกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก
และตอนนี้เขาก็รู้ว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้าพูดเรื่องที่เขาต้องจ่ายราคามหาศาล ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มคนนี้อายุน้อยและหยิ่งยโส แต่เพราะเขามีความสามารถอย่างแท้จริง
แม้ว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่มีวิญญาณสงครามจะด้อยกว่ากองทัพจระเข้สวรรค์ในแง่ของกำลังพลมาก แต่กระทั่งสูป้าก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้ นั่นเพราะเขารู้ซึ้งเกี่ยวกับความสำคัญของวิญญาณสงครามที่มีต่อกองทัพ
ฟังยี่ที่อยู่ด้านข้างสูป้าก็ขมวดคิ้วแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองมู่เฉินอย่างจริงจัง เมื่อก่อนเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับมู่เฉินมากนัก ถึงอีกฝ่ายจะสร้างผลงานน่าทึ่งในศึกมังกรหงส์เอาไว้ แต่ฟังยี่รู้ว่าหากเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดอย่างไฉ่เซียว ความเจิดจรัสของมู่เฉินก็จะถูกเขากดเอาไว้จนไร้สีสัน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะประมาทคู่ต่อสู้ที่เคยมองข้ามไป
นั่นเพราะเขารู้ดีถึงศักยภาพและการข่มขวัญของจอมยุทธ์ที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามของกองทัพได้
แววตาของสูป้าเย็นเยือกลงหลายส่วนขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินพูดอย่างน่าขนลุกว่า “แกคิดว่าจะประจัญบานกับกองทัพจระเข้สวรรค์ได้ด้วยวิญญาณสงครามเรอะ? งั้นข้าจะลองหน่อยว่าวิญญาณสงครามทรงพลังอย่างที่เจ้าคิดจริงหรือไม่!”
แม้สูป้าจะรู้ว่าวิญญาณสงครามแข็งแกร่งปานใด แต่ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้สำหรับเขาที่จะเลือกถอย แม้เขารู้ว่าตนเองจะต้องจ่ายราคาแพงระยับหากการต่อสู้เกิดขึ้น
ฟังยี่ยื่นมือออกหยุดสูป้าที่จะแสดงความเกรี้ยวกราด เขามองไปที่มู่เฉินพลางแสยะยิ้ม “มู่เฉิน เจ้าทำให้พวกข้าประหลาดใจจริงๆ…”
“ชมเกินไป…” มู่เฉินยิ้มเรียบนิ่งขณะตอกกลับ “ถ้าทั้งสองคนไม่คิดจะสู้ศึกมรณะนี้ แล้วปล่อยให้คนอื่นได้รับผลประโยชน์ ข้าคิดว่าจะดีกว่าถ้าพวกเราต่างถอยคนละก้าว”
ฟังยี่เผยรอยยิ้มพูดช้าๆ ว่า “นั่นหมายความว่าเจ้าก็ไม่กล้าสู้ศึกมรณะกับกองทัพจระเข้สวรรค์สินะ เพราะเจ้าก็รู้ว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ต้องจ่ายราคาด้วยเช่นกัน ในเมื่อเจ้าก็กลัวเหมือนกัน ไม่ไร้เดียงสาไปหน่อยเหรอที่คิดจะช่วยคนอื่นโดยไม่สูญเสียอะไร?”
มู่เฉินหรี่ตา “เจ้าอยากรู้ว่าใครโหดกว่ากันเรอะ?”
ฟังยี่โบกมือ “ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสู้กันแบบโหดหินขนาดนั้น แต่เจ้าน่าจะรู้ว่าถ้าเจ้าช่วยคนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปได้อย่างง่ายดาย นั่นจะไม่ค่อยดีสำหรับหมู่ตึกเทวะเท่าไรนะ”
“แล้วเจ้าต้องการอะไร?” มู่เฉินยกคิ้วพลางยิ้มขณะมองไปที่ฟังยี่ผู้เป็นเจ้าบันทึกมังกรหงส์
ฟังยี่ยิ้มเอี้ยวหน้าไปมองสูป้า “ท่านสู เรื่องต่อไปปล่อยให้ข้าตัดสินใจได้ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ สูป้าก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ฟังยี่มีตำแหน่งพิเศษในหมู่ตึกเทวะ แม้เขาจะยังอายุน้อย แต่ความสำเร็จในอนาคตต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธคำขอของอีกฝ่าย
นอกจากนี้สถานการณ์ตอนนี้ชักอิรุงตุงนัง เนื่องจากการปรากฏตัวของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ในเมื่อฟังยี่ต้องการที่จะจัดการเรื่องนี้ เขาก็ยินดีที่จะส่งต่อ
เมื่อเห็นสูป้าพยักหน้าเห็นด้วย ฟังยี่ก็หันมาหามู่เฉินและยิ้มบาง “เจ้าน่าจะรู้หากการต่อสู้ระหว่างทัพเกิดขึ้น เราต้องสูญเสียอะไรมากมาย แต่ในเมื่อพวกเจ้าต้องการช่วยเหลือคนของตัวเอง การใช้ลมปากก็ไร้ประโยชน์”
“แล้วไง?” มู่เฉินเอียงหัวยิ้มมองฟังยี่
“ในศึกมังกรหงส์ ข้าได้เห็นศักยภาพของเจ้าที่ค่อนข้างดี แต่ข้าคิดว่าความสำเร็จของเจ้าเกี่ยวกับสหายของเจ้าอยู่หลายส่วน” ฟังยี่กางมือออกช้าๆ ขณะที่คลื่นหลิงวูบไหวที่ปลายนิ้ว ริ้วพลังดูคล้ายกับสายฟ้า ขณะที่ความผันผวนอันตรายแผ่กระจายออกไป
“ข้ามีข้อเสนอในการจัดการปัญหานี้โดยไม่ต้องสูญเสียมาก แต่นั่นขึ้นอยู่ว่าเจ้าจะกล้าพอรึเปล่า”
สายตามู่เฉินหดเกร็งเล็กน้อย
ฟังยี่ยิ้มอ่อนโยน ทว่าในส่วนลึกของดวงตากลับมีแสงกินลึกไม่อาจหยั่งรู้พล่านอยู่
“นั่นก็คือดวลกับข้า”
บทที่ 846 ค่าสู้ห้าร้อย
“…ดวลกับข้า”
ฟังยี่ยืนอยู่บนยอดเขา หนึ่งมือไพล่ไว้ข้างหลัง สายลมยกชายเสื้อสีขาวพลิ้วไสว ซึ่งทำให้เขาดูมาดมั่นจนจอมยุทธ์จากกองทัพอื่นๆ แอบชื่นชม ฟังยี่ช่างน่าทึ่งสมกับที่เป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ
ต่อให้ในศึกมังกรกงส์ เขาต้องประสบกับความพ่ายแพ้จากฝีมือของไฉ่เซียว แต่เขาก็ไม่ได้หมดสิ้นกำลังใจ ตรงกันข้ามเขากลับใช้ประสบการณ์นี้เพื่อสำรวจตัวเอง ซึ่งทำให้เขาเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง ความยึดมั่นในการแสวงหาความก้าวหน้าจากสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ ทุกคนคงได้แต่ชื่นชม
นี่คือคุณสมบัติสำคัญของจอมยุทธ์แท้จริง
ภายใต้สายตาจ้องมองมานับไม่ถ้วน ฟังยี่ก็ยิ้มบางขณะมองไปที่มู่เฉิน “ตราบใดที่เจ้าเอาชนะข้าได้ หมู่ตึกเทวะจะถอยแบบไม่มีบิดพลิ้วจากเรื่องในวันนี้”
โห่!!!
เสียงโห่ร้องดังขึ้นเนื่องจากคำพูดดังกล่าวที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องการประลองกับมู่เฉิน การกระทำนี้ทำเอาดวงตาเหล่าคนมุงสว่างวาบเลยทีเดียว
นั่นเพราะชายหนุ่มทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงดังที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ คนหนึ่งคือเจ้าบันทึกมังกรหงส์ ขณะที่อีกคนเป็นม้ามืดพุ่งแรงราวกับดาวหาง
ทั้งสองมีชื่อเสียงเลื่องลือ ดังนั้นการเผชิญหน้าของพวกเขาจึงดึงดูดความสนใจไม่ใช่เล่น นั่นเพราะทุกคนอยากรู้ว่าเมื่อม้ามืดอย่างมู่เฉินปะทะเจ้าบันทึกมังกรหงส์ เขาจะไปได้ไกลอีกหรือจะล้มเหลวไปเลย?
ทว่าเมื่อเทียบระหว่างทั้งสองคน ฟังยี่มีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นจึงมีคนรู้สึกว่าข้อเสนอฟังยี่ไม่ยุติธรรมนัก เพราะตอนที่ชื่อเสียงของเขาดังก้องในภูมิภาคทางเหนือ มู่เฉินยังเป็นจอมยุทธ์ไร้ชื่ออยู่เลย…
“เจ้าคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ เจ้าสามารถเลือกต่อสู้ได้ตามต้องการจริงเรอะ?” สายตาของจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่เค้นเสียงเย็น ด้วยพลังที่มีนางบอกได้ว่าฟังยี่ก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นห้ามานานแล้ว ถ้าพวกเขาต่อสู้กัน กระทั่งนางก็มีปัญหา แต่ตอนนี้มู่เฉินอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น ดังนั้นการต่อสู้ตัวต่อตัวมีแต่ข้อเสียเปรียบทั้งนั้น
“ฮ่าๆ ถ้าเจ้าต้องการสู้ กองทัพจระเข้สวรรค์ของข้าพร้อมเสมอ แต่แค่กลัวว่าจะมีนักรบวิหคโลกันตร์ไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่รอดชีวิตไปได้นะสิ” สูป้าหัวเราะเสียงน่าขนลุกแฝงไว้ด้วยจิตสังหารเข้มข้นในน้ำเสียง
“งั้นกองทัพจระเข้สวรรค์ก็ต้องตายไปด้วยกันทั้งหมด” จิ่วโยวตอบโต้อย่างเย็นชา
ฟังยี่ยิ้มพลางห้ามปรามสูป้าที่ต้องการจะตอกกลับและมองไปที่มู่เฉิน “เจ้าเป็นคนฉลาด คงรู้สถานการณ์ได้ดี น่าชื่นชมที่เจ้าทำให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์สามารถชำระวิญญาณสงครามได้ แต่พวกเจ้าก็มีข้อเสียด้านจำนวน ดังนั้นผลลัพธ์จะต้องหนักหน่วงสำหรับทั้งสองฝ่ายหากเราเปิดศึกกัน”
พูดถึงจุดนี้ ฟังยี่ก็ชี้ไปยังเหล่ากองทัพที่รวมตัวอยู่รอบๆ ยิ้มเอ่ย “ในกลุ่มคนพวกนี้ เจ้าก็รู้ว่ามีคนที่เห็นโอกาสแล้วจะแย่งทรัพย์ซ่อนอยู่เท่าไร ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ มันไม่ดีต่อเราทั้งสองฝ่ายหรอก”
“ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือเปลี่ยนจากทัพปะทะกัน เป็นจอมยุทธ์ประลองกัน…”
มู่เฉินยิ้มมองไปที่ฟังยี่ “คำพูดของเจ้าดูหรูหราจริงๆ แต่ข้าเห็นไอสังหารในนัยน์ตาเจ้า… ข้าคิดว่าเจ้าคงเกิดเจตนาจะฆ่าข้าใช่ไหมล่ะ?”
ฟังยี่หรี่ตาแคบลง คำพูดของมู่เฉินแทงใจดำมาก ตอนแรกเขาไม่ได้วางมู่เฉินอยู่ในระดับเดียวกัน แต่หลังจากที่เห็นมู่เฉินสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิด นั่นเพราะเขาเริ่มรู้สึกถึงภัยคุกคามที่เกิดจากศักยภาพของมู่เฉิน
ถ้าปล่อยให้มู่เฉินเติบโตไปอีก เขาจะต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของหมู่ตึกเทวะในอนาคตแน่นอน
ดังนั้นศัตรูแบบนี้ต้องถูกกำจัดก่อนที่จะเติบใหญ่
“ถ้าเจ้าไม่กล้ารับคำท้า ข้าก็เข้าใจ” ฟังยี่พูดเบาๆ “เพราะเจ้าเป็นพวกมือใหม่ แค่มาไกลถึงจุดนี้ก็ยากมากแล้ว ต้องบอกเลยว่าแม้แต่ข้ายังชื่นชมมากๆ”
“จิตวิทยาโจมตีของเจ้าอ่อนเกินไป” มู่เฉินยิ้ม
ฟังยี่ขมวดคิ้ว ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่ามู่เฉินรับมือยากขนาดไหน แม้ชายหนุ่มคนนี้จะอายุน้อย แต่สติปัญญากลับเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ ไม่มีความจองหองในวัยที่ควรมี การที่มู่เฉินไม่ตะครุบเหยื่อแบบนี้ทำให้ฟังยี่รู้สึกหงุดหงิดไปเล็กน้อย
“แต่…” ขณะที่ฟังยี่กำลังขมวดคิ้วคิดหนัก มู่เฉินก็ยิ้มตาหยี “ถ้าเจ้าประลองกับข้าจริงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ มิหนำซ้ำยังง่ายนิดเดียว…”
“ยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ด” มู่เฉินกางนิ้วมือทั้งห้าออกด้วยดวงตายิ้มหยี
บรรยากาศที่ตึงเครียดแข็งค้างไปในทันที แม้กระทั่งคนอย่างฟังยี่ยังอึ้งไปเลย…
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะใช้น้ำเสียงรีดไถ นอกจากนี้สาเหตุของเขาก็ทำให้ผู้อื่นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ด?” เมื่อได้ยินคำพูดมู่เฉิน สูป้าก็กระตุกยิ้มด้วยความโกรธ สายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขม่นมองพลางเยาะเย้า “ไอ้เด็กเวร แกคิดว่าชีวิตของตัวเองมีค่าถึงยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ดเรอะ?”
นี่มุกตลกบ้าอะไร ยาหลุ่นยั้วห้าร้อยเม็ดเท่ากับผลเก็บเกี่ยวในมือพวกเขาทั้งหมดเลยนะ ยิ่งกว่านั้นนี่ยังได้มาเพราะพวกเขาค่อนข้างโชคดี ด้วยพบซากอารยธรรมหลายแห่ง สามารถกลั่นยามาได้อย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้มู่เฉินจะตบทรัพย์เป็นยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ด มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร?!
“เจ้าไม่ได้เป็นคนตัดสินว่าคุ้มค่าหรือไม่”
มู่เฉินยังคงยืนยันด้วยดวงตายิ้มหยี ขณะที่มองไปยังฟังยี่ที่มีใบหน้าเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เขายื่นมือออกไป “พี่ฟังยี่ ถ้าเจ้าต้องการฆ่าข้า ข้าคิดว่าคงต้องยอมจ่ายแพงเพื่อให้สมหวัง แน่นอน… ถ้าเจ้ารู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ดี…”
พูดถึงจุดนี้รอยยิ้มบนใบหน้ามู่เฉินก็หุบลง ไอหนาวเหน็บและจิตสังหารพวยพุ่งในม่านตาสีดำ “งั้นเราก็เปิดศึกกันเลย ข้าก็อยากเห็นว่ากองทัพจระเข้สวรรค์จะทำให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ของข้าต้องจ่ายมหาศาลได้ไหม!”
ทันใดนั้นจิตสังหารก็อัดแน่นในน้ำเสียงของมู่เฉิน ทำเอาอุณหภูมิบริเวณนี้ลดฮวบลง สีหน้าที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเขาทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนตกใจ เพราะพวกเราเริ่มตระหนักว่าชายหนุ่มที่อบอุ่นอ่อนโยนคนนี้มีพยัคฆ์ร้ายซ่อนเร้นอยู่ในแก่นกระดูก
เมื่อเส้นบางอย่างถูกแตะต้อง ความอบอุ่นที่มีก็จะถูกแทนที่ด้วยความเฉียบคม
ใบหน้าของสูป้าเปลี่ยนไปขณะที่กำลังจะระเบิดความโกรธออก ก็ถูกฟังยี่ที่อยู่ด้านข้างหยุดไว้อีกครั้ง ฟังยี่มองมู่เฉินอย่างเยือกเย็นพูดย้ำช้าๆ ว่า “มู่เฉิน ทำเรื่องแบบนี้มีความหมายอะไร? ของบางอย่างต่อให้อยู่บนตัวเจ้า เจ้าก็เอาไปไม่ได้หรอก”
“ห้าร้อยเม็ด ขาดเม็ดเดียวก็ไม่ได้ ถ้าเจ้ายินดีจ่ายเราก็สู้กัน ไม่งั้นก็สั่งเคลื่อนทัพเลย” มู่เฉินโบกมือพร้อมกับยิ้มบาง ท่าทางของเขาทำเอาใบหน้าของสูป้ากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับต้องการแล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายเลยทีเดียว
จิ่วโยวที่ยืนอยู่ข้างมู่เฉินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นนางก็กลอกตาใส่มู่เฉิน เห็นชัดนางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีจากท่าทางของมู่เฉินที่เรียกเงินในการต่อสู้
ฟังยี่จ้องมองมู่เฉินขณะที่ไอเย็นเยือกพวยพุ่งในดวงตา แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้วู่วามกลับยิ้มอย่างใจเย็นออกมา “ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ พวกข้าก็จะจัดให้”
“เจ้าภูเขาเอ่อ รบกวนด้วย” ฟังยี่หันไปมองที่สูป้า
ใบหน้าของสูป้ากระตุกและรู้สึกเจ็บปวดหัวใจนักที่ต้องหยิบเม็ดยาออกมา เพราะยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ดแทบจะเท่ากับผลเก็บเกี่ยวทั้งหมดของพวกเขาเลยทีเดียว หากต้องจ่ายออกไป ความพยายามของพวกเขาไม่เท่ากับไร้ค่าเรอะ
“พวกมันจะไม่ได้ออกจากที่นี่” ฟังยี่พูดช้าๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของฟังยี่ สูป้าก็ทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วสะบัดมือออกไป ยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ดบินไปหามู่เฉิน ภายใต้สายตาโลภมากนับไม่ถ้วน
เพราะช่วงเวลานี้เม็ดยาห้าร้อยเม็ดหอมหวนสำหรับกองทัพมากมายในสมรภูมิหยุ่นลั้วนัก
มู่เฉินกำมือเม็ดยาก็ลอยอยู่รอบตัว เขาปรายตามองแวบหนึ่งก่อนจะเก็บไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาหรี่แคบลง “พี่ฟังใจกว้างจริงๆ”
ฟังยี่ยิ้มอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นไร ข้าแค่ฝากไว้ที่เจ้าชั่วคราว เดี๋ยวข้าจะเอาคืนทั้งทุนและดอก”
มู่เฉินพยักหน้า “หวังว่านะ”
“นี่ไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ?” จิ่วโยวพูดเสียงต่ำ การที่ฟังยี่กล้าให้เม็ดยาแบบนี้ ชัดว่าเขามีความมั่นใจในการสังหารมู่เฉิน มาสู้กันในเวลานี้รู้สึกจะไม่ค่อยดีเท่าไร
“ถ้าสองทัพปะทะกัน เราต้องจ่ายราคาพอสมควร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่ต้องการจ่าย” มู่เฉินพูดเสียงเบา เหมือนที่ฟังยี่พูดไว้ ถ้าเปิดศึกกันจริงๆ ถึงแม้หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะได้รับชัยชนะ พวกเขาก็ต้องจ่าย ต่อให้มู่เฉินรู้ว่าราคานั้นจะน้อยกว่าที่ฟังยี่พูด แต่เขาก็ไม่เต็มใจ
ดังนั้นถ้าสามารถต่อสู้แบบตัวต่อตัวเพื่อตัดสินก็เป็นตามที่มู่เฉินหวัง แต่ก่อนหน้านี้ เขาต้องให้พวกฟังยี่จ่ายมาบางส่วนก่อน และทำให้พวกเขาไม่สบอารมณ์สักหน่อย
จิ่วโยวพยักหน้าเงียบๆ นางรู้ว่าการข่มขู่อย่างเดียว ไม่มีประโยชน์ในการช่วยหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตจากหมู่ตึกเทวะ มีเพียงการสู้กันจริงๆ ถึงจะสามารถหยุดสถานการณ์นี้ลงได้
แต่ฟังยี่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่าย เขาเป็นเจ้าบันทึกมังกรหงส์ที่รักษาบัลลังก์ไว้ได้หลายปี แม้ว่าพลังของมู่เฉินจะแข็งแกร่งขึ้น แต่กระนั้นจิ่วโยวก็ยังไม่มั่นใจว่าเขาจะเผชิญหน้ากับฟังยี่ได้หรือไม่
หลังจากเก็บกวาดยาเรียบร้อย มู่เฉินก็ย่างเท้าออกไป ม่านตาของเขาค่อยๆ คมกล้าขึ้น รัศมีที่กำจายออกจากร่างเริ่มแหลมคมราวกับหอกศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกขัดเกลา
เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีของมู่เฉิน เปลือกตาของฟังยี่ก็ยกขึ้นเบาๆ
“ข้าต้องการหัวไอ้นั่น” สูป้าพูดพร้อมกับขบฟันแน่น เห็นได้ชัดว่าเขาคั่งแค้นมู่เฉินจนเข้ากระดูก จากการต้องเสียยาหยุ่นลั้วถึงห้าร้อยเม็ด
“ตามที่ต้องการ วันนี้มันตายแน่”
ฟังยี่ยิ้มจากนั้นก็ก้าวออกไป พริบตาก็ไปปรากฏตัวที่หน้ามู่เฉิน
ทุกสายตาจ้องเขม็งมายังบริเวณนี้
เจ้าบันทึกมังกรหงส์กับม้ามืดตัวฉกาจ ในที่สุดก็ระเบิดศึกกันแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น