หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 835-842
บทที่ 835 กองทัพพาฬ
ด้านนอกบึงน้ำสีดำมืด
กองทัพทั้งสองยืนประจันหน้ากัน รังสีสังหารพวยพุ่งในดวงตาของทั้งสองฝ่าย รัศมีจั้นยี่ที่แผ่ออกมาเลือนราง ทำให้คลื่นหลิงบริเวณนี้ถึงกับกระเพื่อมไหว
บนยอดเขารายล้อม จอมยุทธ์จากกองทัพอื่นๆ ก็เฝ้ามองการปะทะกัน ชัดว่าพวกเขาค่อนข้างให้ความสนใจการต่อสู้ครั้งนี้ ช่วงนี้ชื่อของมู่เฉินสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นขั้วอำนาจทั้งหลายจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่น้อย
ในเขตหลงเฟิ่ง ความสำเร็จอันน่าทึ่งของมู่เฉินวางตำแหน่งของเขาในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เผชิญกับจอมยุทธ์รุ่นใหม่เหล่านั้น แม้เจ้าสำนักทั้งสามของสำนักพาฬมังกร ลู่ขุยจะอยู่อันดับสาม แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียง หลายปีที่ผ่านมานี่เขานำกองทัพพาฬทำลายล้างกองทัพศัตรูจำนวนมาก แม้แต่นิ้วบนมือทั้งสองก็ยังไม่เพียงพอที่จะนับจำนวนอัจฉริยะที่ตายด้วยฝีมือเขา
ดังนั้นทุกคนจึงอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้แข็งแกร่งกว่ากันระหว่างม้ามืดอย่างมู่เฉินที่เพิ่งผงาดขึ้นมาในภูมิภาคทางเหนือกับลู่ขุยนักฆ่ามากประสบการณ์
บนท้องฟ้า จิ่วโยวกับลู่หวูเผชิญหน้ากันในที่ไกลออกไป จิ่วโยวยังมีท่าทีนิ่งสงบ ขณะที่ลู่หวูยิ้มตาหยีมองสถานการณ์เบื้องล่าง ก่อนจะยิ้มให้จิ่วโยว “นายหญิงจิ่วโยวตั้งใจจะให้เขานำหน่วยรบโลกันตร์มาสู้กับกองทัพพาฬของลู่ขุยจริงๆ หรือ? ฮ่าๆ ทำไมเราไม่ถอยกันคนละก้าวแบ่งซากอารยธรรมโบราณระดับสามนี้กันล่ะ? วิธีนี้เราก็สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ทำลายมิตรภาพได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
จิ่วโยวตอบเสียงเรียบ “เจ้าสำนักลู่กังวลมากไปแล้ว ในพจนานุกรมของหอวิหคโลกันตร์ข้าไม่มีคำว่าถอยหนี มีเพียงสู้สุดชีวิต”
จิ่วโยวมองลู่หวูพร้อมกับริ้วดูถูกผุดขึ้นในส่วนลึกของดวงตา นางไม่ใช่พวกไร้ความรู้ เจ้าสำนักพาฬมังกรทั้งสามละโมบและเจ้าเล่ห์ ดังนั้นนางไม่มีทางเชื่อคำพูดไร้สาระของเขาที่คิดจะแบ่งปันซากอารยธรรมโบราณ เห็นได้ชัดว่าเจ้านี่กำลังลองแหย่ว่าพวกเขามีความกล้ามากขนาดไหน
จิ่วโยวแน่ใจว่าหากนางถอยไปสักก้าว ลู่หวูก็จะสำแดงด้านดุร้ายออกมาทันที
แต่จิ่วโยวก็ไม่ได้พูดให้ปรุโปร่ง นางแค่มองลู่หวูด้วยท่าทีเย็นชา เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นหน่วยรบวิหคโลกันตร์และมู่เฉินอยู่ในสายตา เขามีความมั่นใจมากในตัวลู่ขุยกับกองทัพพาฬ แต่ว่า…สุดท้ายความมั่นใจของเขาก็ต้องพังทลายลง
ทุกคนที่ดูถูกเจ้านั่น ไม่มีใครที่ไม่ต้องจ่ายราคามหาศาล
เมื่อคิดถึงจุดนี้ แววเยาะเย้ยในส่วนลึกของดวงตาจิ่วโยวก็แรงกล้าขึ้นขณะมองลู่หวู
สายตาของจิ่วโยวทำให้ใบหน้าของลู่หวูเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อเอ่ยอย่างไม่แยแส “ลู่ขุย ในเมื่อหอวิหคโลกันตร์ดื้อด้านนัก ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ…”
“ฮี่ๆ ข้าก็ไม่คิดแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ลู่ขุยยิ้มเหี้ยม จากนั้นก็กระทืบเท้า ทำเอาพื้นดินสั่นสะเทือน เขาตะโกนเสียงต่ำออกมา “นักรบพาฬ!”
“โฮก!”
ที่ด้านหลังนักรบหลายพันของกองทัพพาฬก็ส่งเสียงคำรามต่ำลึกพร้อมกับเสียงขู่ฟ่อคลุมเครือในเนื้อเสียงขณะรัศมีจั้นยี่สีเทาอมดำพวยพุ่งออกมาจากร่างของพวกเขา
รัศมีจั้นยี่ลอยอยู่เหนือกองทัพพาฬ คลื่นหลิงพวยพุ่งกระเพื่อมออกมา ทำให้พายุกวาดไปทั่วบริเวณนี้ ขณะเดียวกันก็ทำให้สีหน้าของผู้คนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าสำนักพาฬมังกรเตรียมตัวมาอย่างดี ในเมื่อพวกเขากล้าที่จะขโมยเนื้อจากปากเสือ ด้วยพลังของลู่ขุยในระดับจื้อจุนขั้นห้า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังไม่อาจเอาชนะเขาได้ง่ายๆ เมื่อใช้พลังของกองทัพพาฬ
“ฮ่าๆ!”
ร่างของลู่ขุยเคลื่อนไปปรากฏภายในรัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่านเหนือกองทัพพาฬ จากนั้นเขาก็สะบัดมือทำให้รัศมีจั้นยี่ม้วนตัวราวกับชั้นเมฆสีเทาดำ พวกมันแผ่กระจายออก ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตายิ่ง
“ไอ้หนู ข้าจะสอนแกว่าควรเล่นกับรัศมีจั้นยี่ยังไง!”
ลู่ขุยหัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง จากนั้นก็กระทืบเท้า ทำเอารัศมีจั้นยี่สีเทาดำกวาดออกราวกับคลื่นยักษ์ เกลียวรัศมีจั้นยี่นับร้อยหมุนวนออกมา
เกลียวรัศมีจั้นยี่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ระเบิดพลังทำลายล้างน่าอัศจรรย์ใจออกมา ขณะที่เกิดการหมุนคว้าง แม้แต่มิติยังถูกผ่าออกแล้วบิดเบี้ยว เสียงลมบาดแก้วหูดังออกมา
ผู้คนมองการต่อสู้ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด แค่การสะบัดมือจากลู่ขุยก็เผยการควบคุมรัศมีจั้นยี่อันน่าตกใจออกมา ไม่แปลกเลยว่าทำไมเขาถึงสามารถนำกองทัพพาฬไปสู้รบได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เสียงแหลมเสียดแทงกวาดออก เกลียวหมุนรัศมีจั้นยี่สีเทาดำนับร้อยก็พุ่งเข้ามาราวกับอสรพิษยักษ์ แววประหลาดใจวาบผ่านดวงตาของมู่เฉิน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระบวนท่าโจมตีเหล่านั้น การควบคุมรัศมีจั้นยี่ของลู่ขุยอยู่เหนือความคาดหมายของเขาหลายส่วนเลยทีเดียว
แต่…ก็เท่านั้น
ก่อนหน้าที่เขาควบคุมนักรบวิหคโลกันตร์พันคน เขาก็สามารถเอาชนะหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตที่มีมากกว่าห้าเท่าได้ แม้ว่าแม่ทัพหวูเทียนในตอนนั้นจะด้อยกว่าลู่ขุย แต่ก็เช่นเดียวกัน…ตอนนี้มู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าตอนนั้นแล้ว!
บางทีลู่ขุยอาจควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้เก่งกาจ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีความเข้าใจและการควบคุมรัศมีจั้นยี่ที่แข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมามากมาย มู่เฉินก็ยกมือด้วยท่าทางสงบนิ่งก่อนจะปัดลงมา ที่เบื้องหลังหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่ข่มความเกรี้ยวกราดอยู่ ก็เกิดแสงเหี้ยมเกรียมวาบออกมาจากดวงตา พวกเขากระแทกหอกลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง ปล่อยเสียงคำรามออกมา ราวกับเสียงฟ้าผ่าดังก้องไปทั่วบริเวณ
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ดำมืดกวาดออกมาจากร่างพวกเขาราวกับพายุ ก่อนจะรวมตัวกันบนฟ้า ทำให้สีของก้อนเมฆเปลี่ยนไปฉับพลัน ช่างเป็นรัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่นัก
ร่างของมู่เฉินปรากฏขึ้นเหนือหน่วยรบวิหคโลกันตร์พลางสะบัดนิ้วเบาๆ ควบคุมรัศมีจั้นยี่สีดำมืดให้กวาดตัวออกไปราวกับคลื่น ถักทอเป็นม่านขนาดใหญ่ที่ตรงหน้า
ตึง!
เมื่อเกลียวรัศมีจั้นยี่สีเทาดำหมุนควงนับร้อยพุ่งตรงมาปะทะเข้ากับม่านพลังจังใหญ่ ม่านพลังสีดำก็เพียงแค่กระเพื่อมจากการกระแทกที่รุนแรง แต่ไม่ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนอย่างที่ทุกคนคิดไว้ มันดูทนทายาดอย่างยิ่ง
สายตาของมู่เฉินมองม่านสีดำที่กระเพื่อมอย่างสงบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองลู่ขุยที่อยู่ไกลออกไป “แกควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้แค่นี้รึ?”
“รนหาที่ตาย”
ลู่ขุยเผยรอยยิ้มเหี้ยมขณะกางนิ้วทั้งห้าออกก่อนจะกำลงทันที!
ตู้ม!
เกลียวรัศมีจั้นยี่สีเทาดำปะทะกัน สร้างพายุทอร์นาโดที่มีขนาดพันกว่าจั้ง จากนั้นก็ฉีกผ่านมิติราวกับมังกรพุ่งตรงเข้าใส่ม่านพลัง
ครืน!
ตรงจุดปะทะรัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนกวาดออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยแยกในบึงน้ำแห่งนี้
แคร็ก!
ในที่สุดม่านพลังที่เกิดจากรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็เกิดรอยร้าว ราวกับกระจกที่จะแตกในไม่ช้า
“ไอ้หนูปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดันรนหาที่ตายท้าทายข้าเรื่องรัศมีจั้นยี่!” พอเห็นปราการป้องกันของมู่เฉินกำลังจะแตกสลาย ลู่ขุยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะสาแก่ใจ
ทว่ามู่เฉินกลับยิ้มเมื่อเห็นลู่ขุยหัวเราะ ไอเย็นเยือกรวมตัวกันในม่านตาสีดำ เขาไม่ได้ตื่นตระหนก กลับปล่อยให้รอยร้าวเพิ่มจำนวนบนม่านพลัง
ปัง!
ในที่สุดม่านป้องกันก็มาถึงขีดสุดก่อนจะแตกสลายภายใต้สายตานับไม่ถ้วน แต่ทันทีที่สลายลง มู่เฉินก็กำมือเข้าด้วยกันเบาๆ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เมื่อนิ้วกำเป็นหมัด เศษเสี้ยวที่แตกหักก็รวมตัวกันด้วยความเร็วน่าทึ่ง ก่อร่างเป็นขนนกสีดำนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปจากทุกทิศทาง
ขนนกสีดำทั้งหมดเกิดจากรัศมีจั้นยี่ ทุกชิ้นต่างมีพลังทำลายล้างน่าตกใจ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีกระบวนท่านี้ ทว่าการโจมตีที่ดุดันกลับสร้างขึ้นในมือของมู่เฉินแบบง่ายดาย
ปุ! ปุ!
ขณะที่ขนนกสีดำกวาดตัวออก ก็ทะลวงผ่านพายุทอร์นาโดสีเทาดำทำให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
มู่เฉินทำลายรัศมีจั้นยี่ของกองทัพพาฬได้ก็สะบัดมือเบาๆ ขนนกสีดำนับไม่ถ้วนจางหายกลายเป็นจุดแสงฝังเข้าไปในมหาสมุทรพลุ่งพล่านของรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์
การควบคุมของมู่เฉินราบรื่นราวกับเมฆเคลื่อนน้ำไหล ไม่มีข้อบกพร่องแม้เต่น้อย จอมยุทธ์ทุกคนที่นี่ล้วนมีประสบการณ์สามารถบอกได้ว่าระดับการควบคุมรัศมีจั้นยี่กองทัพของมู่เฉินอยู่ในระดับสูงเพียงใด
หากการควบคุมรัศมีจั้นยี่ของลู่ขุยเปี่ยมไปด้วยความป่าเถื่อน การสั่งการของมู่เฉินก็เหมือนกับศิลปะที่ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกตื่นตา
ดังนั้นแต่ละคนจึงมองหน้ากันพลางพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับแววตกตะลึวูบไหวในดวงตา ไม่มีใครคิดเลยว่าชายหนุ่มที่เพิ่งสร้างชื่อในภูมิภาคทางเหนือ ไม่เพียงแต่จะมีพลังในการต่อสู้น่าตกใจ เขายังมีพรสวรรค์น่าทึ่งในเรื่องการควบคุมรัศมีจั้นยี่ด้วย
สีหน้าของลู่ขุยมืดครึ้มเมื่อมองไปที่มู่เฉิน แววดูถูกที่อยู่ในดวงตาจางหายไปหมดสิ้น การควบคุมที่มู่เฉินเผยออกมาเมื่อครู่นี้ ทำให้เขารู้ชัดเจนว่าการควบคุมรัศมีจั้นยี่ของอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยกว่าเขาเลย
แม้เขาจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเชื่อยาก เนื่องจากเขาผ่านประสบการณ์ในการต่อสู้มาหลากหลายกว่าจะควบคุมรัศมีจั้นยี่พาฬได้ถึงระดับนี้ แล้วมู่เฉินมาเทียบกับเขาได้อย่างไรด้วยวัยเพียงเท่านี้?
สายตาของลู่ขุยดูน่าขนลุกพร้อมกับรังสีสังหารพวยพุ่งในส่วนลึกของดวงตา ชายหนุ่มชื่อมู่เฉินอันตรายจริงๆ หากเป็นศัตรู เขาก็ควรกำจัดอีกฝ่ายตอนนี้ ไม่อย่างนั้นอนาคตภัยไม่สิ้นแน่
“ท่าทางแกอยากจะฆ่าข้ามากเลยนะ”
มู่เฉินสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารของลู่ขุยก็เผยรอยยิ้มออกมา ทว่ารอยยิ้มนั้นเย็นเยือกเหมือนน้ำแข็งหมื่นปี ไม่มีเศษเสี้ยวความอบอุ่นอยู่ในนั้นเลย เขายกมือขึ้นช้าๆ รัศมีจั้นยี่สีดำไหลตรงปลายนิ้วราวกับน้ำไหล
“แต่ว่า…ต่อไปเป็นตาข้าที่จะสอนแกว่ารัศมีจั้นยี่ใช้ยังไง!”
บทที่ 836 ความแตกต่างเรื่องรัศมีจั้นยี่
“ต่อไปเป็นตาข้าที่จะสอนแกว่ารัศมีจั้นยี่ใช้ยังไง!”
เมื่อลู่ขุยได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าก็อดกระตุกไม่ได้ เขาแสยะยิ้มด้วยความโกรธ รังสีสังหารในดวงตาพรั่งพรูออกมา แม้พลังของเขาจะอยู่อันดับสามของเจ้าสำนักพาฬมังกร แต่ตัวเขาก็มีจุดแข็งซึ่งก็คือความสามารถในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ แม้จะไม่เพียงพอที่จะเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่การควบคุมรัศมีจั้นยี่นักรบหลายพันคนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขา
จากแง่มุมนี้อย่างเดียว เขาจึงแข็งแกร่งกว่าเจ้าสำนักอันดับสองลู่หวู ดังนั้นกองทัพพาฬจึงอยู่ในการควบคุมของเขาในที่สุด
นอกจากนี้ใครก็ตามที่สู้กับสำนักพาฬมังกรจะรู้ว่าแม้ขุมพลังของลู่ขุยจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นห้า แต่พลังต่อสู้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่อาจต้านได้เมื่อเขาเข้าควบคุมกองทัพพาฬ
นั่นเป็นเพราะว่าในสถานการณ์นั้น ลู่ขุยสามารถรวมพลังของทั้งกองทัพไว้ได้ บวกกับความแข็งแกร่งที่มี เขาก็สามารถต่อสู้ได้แม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก!
นี่คือประโยชน์ของการควบคุมรัศมีจั้นยี่ ศาสตร์นี้สามารถทำให้คนคนหนึ่งสู้กับอีกคนหนึ่งที่มีขุมพลังสูงกว่าตนเองได้
ดังนั้นเมื่อลู่ขุยที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์ด้านรัศมีจั้นยี่ได้ยินคำพูดของมู่เฉิน โทสะในใจก็ปะทุราวกับภูเขาไฟระเบิด รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบนใบหน้าเหมือนจะแล่เนื้อเถือหนังมู่เฉินเลยทีเดียว
ผู้คนที่อยู่รอบด้านแลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างพากันตกตะลึงไปกับคำพูดโอหังจากมู่เฉิน เพราะตัวมู่เฉินมักจะกำจายความรู้สึกอ่อนโยนและเงียบสงบอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจไม่น้อย
แต่ขณะที่รู้สึกตกใจ แต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกับคำพูดของมู่เฉิน ยังไงลู่ขุยไม่ใช่คนโง่ กองทัพพาฬที่เขาควบคุมประสบความสำเร็จยอดเยี่ยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่นี่คงไม่มีใครกล้าพูดแบบมู่เฉิน
ดังนั้นมู่เฉินในตอนนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกว่าเขาดูเย่อหยิ่งจากวัยหนุ่มที่พลุ่งพล่าน…
แต่มู่เฉินไม่ได้สนใจความคิดของคนอื่น รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์พวยพุ่งราวกับมหาสมุทรรอบตัว เขาฉายสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีระลอกคลื่นใดในดวงตา
ลู่ขุยมีพรสวรรค์ศาสตร์รัศมีจั้นยี่อยู่ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาก้าวเป็นจั้นเจิ้นซือได้ นั่นเพราะความรู้ความเข้าใจในศาสตร์แขนงนี้ของเขายังอยู่ในระดับเริ่มต้นเท่านั้น
ศาสตร์ค่ายกลใช้พลังควบคุมเป็นวิถีขั้นต่ำ
ใช้หัวใจในการควบคุมเป็นวิถีขั้นสูง
ตอนนี้ลู่ขุยใช้พลังควบคุมซึ่งเป็นวิถีขั้นต่ำ ซึ่งด้อยกว่าหัวใจแห่งจั้นเจิ้นที่มู่เฉินได้เรียนรู้วิถีขั้นสูงไว้
ในขณะที่มีปริมาณและคุณภาพของกองทัพใกล้เคียงกัน การอยู่ภายใต้การควบคุมของสองวิถี ความแตกต่างสามารถทำให้เกิดพลังงานที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
มู่เฉินค่อยๆ กางมือออกแผ่คลื่นจิตออกไปสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ที่พวยพุ่ง ไม่มีปฏิริยาต่อต้านใดๆ ทั้งสองผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เสียงคำรามเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจในการต่อสู้กวาดออก แต่นั่นก็ไม่ได้รบกวนสภาพจิตใจของมู่เฉิน เนื่องจากสมาธิของเขาเติบโตขึ้นพร้อมกับรัศมีจั้นยี่
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
รัศมีจั้นยี่สีดำเมื่อมพวยพุ่งโดยไม่มีแรงลมรวมตัวกันรอบกายมู่เฉิน ทุกคนสัมผัสได้ว่ารัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ดูจะทบกันหลายชั้นในตอนนี้
แรงกดดันแผ่กระจายออกไปเงียบๆ
ทันใดนั้นม่านตาสีดำของมู่เฉินก็เปล่งประกายคมกล้าขณะที่รัศมีจั้นยี่พวยพุ่งออกมาพร้อมกับมือเขาที่กำเป็นหมัดทันที
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า ก่อนจะรวมตัวกันบนท้องฟ้า ขณะเกิดการรวมตัวก็ก่อร่างเป็นขนนกสีดำขนาดร้อยจั้งโดยมีสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ พลังทำลายล้างอัดแน่น
เมื่อจอมยุทธ์รอบด้านเห็นขนนกสีดำ ดวงตาก็สั่นไหว กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังมีสีหน้าเปลี่ยนไป ชัดว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มาจากขนนกดำนั่น
“ไป”
มู่เฉินหลุบตาลงพลางสะบัดนิ้ว ขนนกสีดำทะลวงผ่านมิติ ราวกับกระบี่ขนนกฟาดฟันใส่กองทัพพาฬ ความคมกริบไม่มีใครเทียบเทียมได้
แคว๊ก!
กระบี่ขนนกยังไม่ทันกระทบเป้าหมาย แต่รอยแตกลึกก็ปรากฏบนพื้นดินเบื้องล่างแล้ว
“ข้าจะดูสิว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกจะสอนข้าใช้รัศมีจั้นยี่ได้ยังไง!”
ดวงตาลู่ขุยหดลงขณะรู้สึกถึงรังสีต่อสู้คมกริบที่มาจากกระบี่ขนนก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอะไร เขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนจะตะโกนออกมา “กองทัพพาฬ!”
“ฆ่า!”
เบื้องล่างกองทัพพาฬระเบิดเสียงคำราม รัศมีจั้นยี่สีเทาดำก็กระจายออกมาพร้อมกับฝ่ามือของลู่ขุยกำแน่น รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนรวมกันก่อเป็นง้าวอสรพิษสีเทาดำแผ่ซ่านไอเย็นเยือก ทั่วบริเวณอุณหภูมิลดฮวบลง
“ง้าวพาฬปีศาจ!”
ลู่ขุยกระทืบเท้าขณะที่ง้าวสีเทาดำบิดตัวราวกับงู เมื่อพุ่งออกไปมิติก็ถูกผ่าออก อึดใจก็ปะทะกับกระบี่ขนนกดำจังใหญ่
ปัง!
คลื่นพลังรุนแรงกระเพื่อมบนท้องฟ้า ทำให้มิติบิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่อง พลังสองสายพยายามกลืนกินซึ่งกันและกัน
ทุกคนจ้องมองท้องฟ้าเขม็ง
เมื่อพลังรุนแรงสองสายปะทะกัน สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงก็คือความจริงที่รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า ราวกับว่ามีเสียงสายฟ้าคำรามดังกึกก้องออกมาจากรัศมีจั้นยี่ ซึ่งป้องกันไอหนาวเย็นจากการรุกรัศมีจั้นยี่พาฬไม่ให้ล้ำเข้ามาได้
ตึง!
การยันกันคงอยู่ไม่นาน ง้าวปีศาจก็แตกออก แต่จังหวะนั้นกระบี่ขนนกก็หม่นแสงลงมาก เห็นชัดว่ามันสูญเสียพลังงานไปอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นเมื่อกระบี่ขนนกดำฟาดลงมาด้วยพลังงานที่เหลืออยู่ ก็ถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดายด้วยการสะบัดมือของลู่ขุย
ทว่าลู่ขุยกลับเผยสีหน้าน่าเกลียด เพราะทุกคนบอกได้ว่าการปะทะกันของรัศมีจั้นยี่เมื่อครู่ รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์เป็นฝ่ายเหนือกว่า
“นี่เหรอรัศมีจั้นยี่ที่แกต้องการจะสอนข้า? ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นนี่!” ลู่ขุยเอ่ยพร้อมกับสีหน้าเขียวคล้ำ
ทว่าคำพูดดังกล่าว ทำให้หลายคนต้องลอบเบ้ปาก พวกเขาไม่ได้ตาบอด การโจมตีกระบวนท่านี้ของมู่เฉินเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อลู่ขุย เพียงแค่ว่าลู่ขุยปากแข็งไม่ยอมรับเอง
แต่ฉากนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตัวมากขึ้นในใจ นั่นเพราะพวกเขาที่เคยคิดว่ามู่เฉินแค่พูดโอ้อวดไปอย่างนั้น แต่ตอนนี้พรสวรรค์น่าทึ่งของเขาในศาสตร์รัศมีจั้นยี่ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามไปเพียงเพราะเขาอายุยังน้อย
พอได้ยินคำพูดของลู่ขุย มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนจะหลับตาลงกางแขนออกช้าๆ
ครืน! ครืน!
รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์เดือดพล่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สั่นสะเทือนฉับพลัน ก่อนที่ลำแสงขนาดใหญ่มากมายของรัศมีจั้นยี่จะพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมื่อลำแสงเหล่านั้นบรรจบกัน กระบี่ขนนกสีดำเป็นดงก็ก่อตัวขึ้น!
กระบี่เหล่านั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อครู่ที่มู่เฉินเรียกมาเลย ตอนนี้พอมารวมกันเป็นจำนวนมากกว่าสิบก็ทำให้จอมยุทธ์รอบด้านถึงกับสูดหายใจลึกสุดปอด
แค่กระบี่ขนนกเล่มเดียวก็สร้างปัญหาให้กับลู่ขุยแล้ว ตอนนีมีเป็นสิบ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังตกอยู่ในสภาพน่าอนาถได้!
“เขาควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ถึงระดับนี้ได้อย่างไรกัน?!” เสียงอุทานไม่อยากเชื่อของบางคนดังขึ้น การรวมรัศมีจั้นยี่ได้ถึงระดับนี้ในครั้งเดียว ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ควบคุมกองทัพทั่วไปจะทำได้
บนท้องฟ้า จิ่วโยวกับลู่หวูก็เฝ้ามองภาพนี้ จิ่วโยวยิ้มบางขณะที่ลู่หวูเผยสีหน้าน่าเกลียดไปพลางเอ่ยเสียงขรึม “พวกข้าประมาทแล้ว มิน่าล่ะนายหญิงจิ่วโยวถึงไม่เป็นกังวลอะไรเลย เจ้าเด็กนั่นปกปิดความสามารถเอาไว้จนมิดเลยนะ!”
“ฟิ้ว!”
ขณะที่ทั่วบริเวณตกอยู่ในความโกลาหล มู่เฉินก็ไม่ได้ลังเลขณะที่สะบัดมือ ควบคุมกระบี่สิบกว่าเล่มให้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วตรงไปยังลู่ขุยราวกับสายฟ้า
ใบหน้าของลู่ขุยเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างมาก แม้เขาจะรู้สึกว่าการควบคุมรัศมีจั้นยี่ของมู่เฉินน่าเหลือเชื่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาต้องรับมือกับการโจมตีนี้ก่อน
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกนนอกจากต้องยอมรับว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าเขาในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถสร้างง้าวปีศาจในปริมาณมากได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกับมู่เฉิน…
“โล่พาฬปีศาจ!”
ตราประทับของลู่ขุยเปลี่ยนแปลงวูบไหว จากนั้นก็คำรามลั่น รัศมีจั้นยี่พาฬอันยิ่งใหญ่พวยพุ่ง เปลี่ยนเป็นม่านสีเทาดำ โดยมีภาพอสรพิษสีเทาดำเลื้อยอยู่บนม่านอย่างเห็นได้ชัด กำจายคลื่นหลิงน่ากลัวออกมา
เมื่อโล่ปีศาจปรากฏขึ้น กระบี่ขนนกก็ฉีกผ่านมิติซัดลงมาอย่างไร้ปรานี
ปัง!
เสียงโปร่งดังขึ้นในตอนนี้ ทุกครั้งที่กระบี่ขนนกกระแทกลงบนโล่ปีศาจ ก็จะส่งผลให้เกิดริ้วกระเพื่อมระเบิดอยู่บนพื้นผิว แต่พร้อมกับการสลายของกระบี่ทุกเล่ม โล่ปีศาจก็จะส่งเสียงร้องแหลมออกมา คลื่นกระเพื่อมแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว
ปัง! ปัง! ปัง!
กระบี่ขนนกแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่เมื่อแตกจนเหลือกระบี่เล่มสุดท้าย โล่ปีศาจก็สลายตัวลงเช่นกัน เผยให้เห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของลู่ขุย
ตึง!
เผชิญกับกระบี่เล่มสุดท้าย ลู่ขุยก็ไม่ได้ถอยหนี แต่กลับพุ่งเข้าแทน เขาเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระจาย เขารวมพลังทุกอณูบนหมัดชกไปที่กระบี่ขนนกเล่มสุดท้าย
บึ้ม!
หมัดทรงพลังไม่เพียงแต่จะทำให้มิติแตกกระจาย กระบี่ขนนกที่สามารถทำให้จอมยุทธขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าได้รับบาดเจ็บหนักได้ก็แตกสลายออกภายใต้หมัดของเขา!
เหล่าจอมยุทธ์ในบริเวณนี้ร้องลั่น ลู่ขุยไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เอาชนะได้ง่ายจริงๆ
เมื่อกระบี่ขนนกแตกสลาย รัศมีของลู่ขุยก็มาถึงขีดสุด เขายิงสายตามาที่มู่เฉินก่อนจะยิ้มเหี้ยม “ไอ้เหลือขอ แกคิดว่าจะสามารถเอาชนะข้าได้เพราะวิธีนี้เรอะ?!”
มู่เฉินมองลู่ขุยที่กำจายรัศมีชวนตะลึงออกมา ไม่เพียงแต่เขาจะไม่หวาดกลัว แต่ยังยิ้มด้วยความสนใจ จากนั้นก็พยักหน้าพรูลมหายใจขาวขุ่นออกมาพร้อมกับพึมพำ “ออกมาเถอะ…”
เมื่อเสียงของเขาจบ รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตที่ด้านหลังก็เดือดพล่าน เหมือนจะมีบางสิ่งกำลังปรากฏตัวออกมา
ความผันผวนแปลกประหลาดกระจายออก
คนที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเป็นคนแรกก็คือลู่ขุย ดังนั้นรัศมีของเขาจึงสลายไปในทันที สีหน้าเหี้ยมเกรียมเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขามองส่วนลึกของรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ที่พลุ่งพล่านด้วยความหวาดกลัวจนขนหัวลุกชัน ราวกับว่าเห็นผี
“เป็นไปได้ยังไง?!”
บทที่ 837 วิญญาณสงคราม
ครืน!
รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตเดือดพล่าน กวาดตัวออกมารุนแรงราวกับพายุ ตรงด้านหลังของมู่เฉิน รัศมีจั้นยี่พวยพุ่งขึ้นราวกับคลื่นสูงขึ้น…สูงขึ้นจนสุดท้ายกลายเป็นคลื่นขนาดหมื่นจั้งแขวนบนขอบฟ้าในแนวนอน
ขณะที่รัศมีจั้นยี่พวยพุ่ง ทุกคนก็สัมผัสได้ว่ามีคลื่นความผันผวนแปลกประหลาดแผ่ออกมา
ความผันผวนนี้เลือนรางมากแต่ก็ไม่มีใครสามารถมองข้ามไปได้ ความผันผวนนี้แค่สัมผัสเล็กน้อยก็ทำให้เลือดในกายเดือดพล่านพร้อมกับเสียงต่อสู้ก้องดังอยู่ในหัวสมองของพวกเขา
หลายคนถึงกับมีสีหน้างันงงพร้อมกับสายตาเปลี่ยนไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งเหล่าจอมยุทธ์ที่มีความรู้เกี่ยวกับรัศมีจั้นยี่อยู่บ้างก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปรุนแรง ขณะที่จ้องมองรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ที่พลุ่งพล่านด้วยความหวาดผวา
“ความผันผวนแบบนี้…หรือว่าจะเป็น?”
ใบหน้าของลู่ขุยซีดเผือดขณะมองคลื่นสีดำเมื่อมอย่างไม่อยากเชื่อ ในส่วนลึกของคลื่น ความผันผวนผิดปกติทำให้เสียงของเขาแห้งผากไปหมด
“วิญญาณสงคราม?!”
เมื่อมีบางคนอุทานคำนั้นออกมา ทุกคนในบริเวณนี้ก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นลึกสุดปอดด้วยแววตกตะลึงในดวงตา เพราะคำเหล่านี้นำความตกใจรุนแรงมาสู่พวกเขา
วิญญาณสงคราม?
เล่าลือกันว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดได้เฉพาะเมื่อเข้าใจศาสตร์รัศมีจั้นยี่ในระดับสูง นอกจากนี้เมื่อชำระวิญญาณสงครามได้ก็จะทำให้พลังของรัศมีจั้นยี่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์
ทว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเข้าใจรัศมีจั้นยี่ถึงขั้นนี้ ว่ากันว่านี่เป็นพื้นฐานเริ่มต้นที่จำเป็นของจั้นเจิ้นซือ จากมุมหนึ่งมีเพียงผู้ฝึกที่สามารถชำระวิญญาณสงครามได้จึงจะมีคุณสมบัติการเป็นจั้นเจิ้นซือ
ทว่าผู้ฝึกที่มีความเข้าใจถึงระดับนี้มีจำนวนน้อยนิด แม้ลู่ขุยจะมีพรสวรรค์ในด้านรัศมีจั้นยี่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะชำระวิญญาณสงครามได้
ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินว่ามู่เฉินชำระวิญญาณสงครามได้ ความตกตะลึงที่ได้รับจึงรุนแรงนัก
“เป็นไปไม่ได้! ไม่ง่ายที่จะชำระวิญญาณสงคราม! หยุดโอ้อวดได้แล้ว!” ลู่ขุยคำรามโกรธคลั่ง แม้ว่าความผันผวนนั่นจะเหมือนกับวิญญาณสงครามอย่างยิ่ง แต่เขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าไอ้หนูคนนี้จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาทำไม่ได้!
ทุกคนพยักหน้าในใจกับเสียงคำรามของลู่ขุย แววกังขาวูบไหวในดวงตาแต่ละคู่ การชำระวิญญาณสงครามไม่ใช่สิ่งที่ใครก็จะสามารถทำสำเร็จได้
แม่ทัพที่สามารถควบคุมนักรบหลายพันไม่ใช่คนหายากสำหรับขั้วอำนาจใหญ่น้อย เพราะแค่ผู้ที่มีพรสวรรค์ในศาสตร์รัศมีจั้นยี่เพียงเล็กน้อยก็สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยการฝึกฝน แต่หากเป็นแม่ทัพที่ชำระวิญญาณสงครามได้ ก็จะทำให้ขั้วอำนาจต่างๆ ใจสั่นแน่นอน
เพราะแม่ทัพทั่วไปสามารถปล่อยพลังกองทัพได้ไม่ถึงครึ่งเท่านั้น มีเพียงแม่ทัพที่ชำระวิญญาณสงครามได้จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังกองทัพออกมาได้อย่างแท้จริง แม้กระทั่งสำแดงพลังเหนือกว่านั้นก็ได้!
ยิ่งกว่านั้นการชำระวิญญาณสงครามได้ก็หมายความว่าเขามีคุณสมบัติในการเป็นจั้นเจิ้นซือ ทันทีที่เป็นจั้นเจิ้นซือ แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือก็ยังอยากได้ตัว นั่นเพราะทุกคนรู้ดีว่ากองทัพทรงพลังภายใต้การควบคุมของจั้นเจิ้นซือนั้นมีพลังน่ากลัวเพียงใด
ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้าพวกเขาได้แสดงคุณสมบัติเหล่านั้นออกมา แล้วพวกเขาจะข่มใจให้สงบได้อย่างไร?
ทว่ามู่เฉินยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งต่อหน้าสายตาตกตะลึง เขามองลู่ขุยที่ภายนอกกล้าแต่ข้างในกลัวรอยยิ้มสมใจก็ผุดที่มุมปาก
เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร แค่สูดหายใจวาดตราประทับเร็วรี่
ครืน! ครืน!
รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ที่พล่านเบื้องหลังเดือดขึ้นมากกว่าเดิมขณะเสาแสงขนาดใหญ่ระเบิดออกมา ท่ามกลางเสาแสงทุกคนมองเห็นปีกสีดำคู่หนึ่งที่มีขนาดราวร้อยจั้งแผ่สยายเบื้องหน้าครรลองสายตา
ปีกคู่ใหญ่กระพือขึ้นลง ทำให้เสาแสงแหลกสลาย วิหคโลกันตร์สีดำก็ปรากฏอยู่เหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่
วิหคโลกันตร์มีสีควันดำไม่ใช่ของจริง เพราะควันนี้ก่อร่างจากรัศมีจั้นยี่ที่เดือดพล่าน มิหนำซ้ำยังสามารถมองเห็นลวดลายบนร่างขนาดใหญ่ได้เลือนราง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อรัศมีจั้นยี่ถูกกลั่นจนถึงจุดหนึ่ง
ทุกคนตะลึงไปเมื่อมองวิหคโลกันตร์สีดำ ก่อนที่สีหน้าของพวกเขาจะพังทลายลงพร้อมกับแววตกตะลึงปีนไต่ขึ้นมาแทนที่ ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถหลอกตัวเองอีกแล้ว เนื่องจากวิหคโลกันตร์ที่ปกคลุมด้วยลวดลายมากมายคือวิญญาณสงครามที่แท้จริง!
นี่คือวิญญาณสงครามของหน่วยรบวิหคโลกันตร์!
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะสามารถกลั่นวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ออกมาได้จริงๆ!
ที่เบื้องล่างดวงตาของนักรบวิหคโลกันตร์ร้อนแรงเมื่อมองไปที่ร่างบนท้องฟ้าอย่างเทิดทูน วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ก่อตัวจากคลื่นพลังความมุ่งมั่นของพวกเขา มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่มีความสามารถทำให้ความมุ่งมั่นของพวกเขาก่อตัวขึ้น สิ่งนี้ทำให้พวกเขาที่เป็นนักรบธรรมดาสามารถเชิดหน้ามองทุกคนที่นี่ด้วยความภาคภูมิใจ
“ชัยชนะเพื่อหน่วยรบวิหคโลกันตร์!”
เสียงคำรามดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วทำให้แม้แต่พื้นดินยังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
“นี่คือวิญญาณสงครามจริงๆ…”
บนท้องฟ้า แม้แต่จิ่วโยวกับลู่หวูยังตกตะลึงกับฉากนี้ จิ่วโยวรู้ว่ามู่เฉินมีพรสวรรค์ด้านจั้นเจิ้นซืออยู่แล้ว แต่นางไม่คิดเลยว่าเขาจะชำระและกลั่นวิญญาณสงครามได้ในเวลานี้!
เทียบกับความตกตะลึงของจิ่วโยว หัวใจของลู่หวูกลับพลิกคว่ำพลิกหงายขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยความรู้สึกตกใจในดวงตา ในฐานะเจ้าสำนักพาฬมังกร เขารู้ว่าแม่ทัพที่สามารถชำระจนกลั่นวิญญาณสงครามได้มีพลังอำนาจมากขนาดไหน
“เป็นไปได้ยังไง?!”
สีหน้าของลู่ขุยซีดเผือดลงขณะมองภาพนี้ด้วยความตะลึงลาน ทันทีที่วิญญาณสงครามถูกกลั่นออกมา เขาก็รู้ว่าตนเองพ่ายแพ้หมดท่าในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว
กองทัพที่มีวิญญาณสงครามและภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต้านทานได้!
วิญญาณสงครามจะช่วยให้พลังของหน่วยรบวิหคโลกันตร์มาถึงจุดสูงสุดที่น่าตกใจ!
มู่เฉินมองลู่ขุยที่อยู่ในอาการว่างเปล่าด้วยสายตาไม่แยแส จากนั้นเขาก็เคลื่อนไปปรากฏบนศีรษะของวิญญาณสงคราม ก่อนจะชี้นิ้วเรียวมาที่ลู่ขุยแต่ไกล
รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ส่งเสียงร้องดังก้อง รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า สามารถสัมผัสได้กระทั่งอยู่ไกลพันลี้
ปีกวิหคโลกันตร์ที่ลุกโชนด้วยรัศมีจั้นยี่กวาดออกมาราวกับลำแสงฉีกผ่านขอบฟ้าเมื่อร่อนลง ทะลวงผ่านมิติและปรากฏตัวด้านบนกองทัพพาฬก่อนจะฟันลงมาประหนึ่งกระบี่สวรรค์
แม้แต่พื้นดินยังถูกฉีกออกจากกัน
ใบหน้าลู่ขุยเปลี่ยนไปรุนแรงขณะที่ขนทุกเส้นลุกชูชัน นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายถึงชีวิต ทันใดนั้นเขาก็เปล่งเสียงคำราม รัศมีจั้นยี่พาฬโถมไปข้างหน้า ก่อตัวเป็นเสาแสงรัศมีจั้นยี่จำนวนมากพุ่งตรงไปยังแสงสีดำหมายจะต้านทานไว้
ปัง! ปัง! ปัง!
แต่การต้านทานก็ไร้ผล เมื่อลำแสงพุ่งผ่านก็ทำลายรัศมีจั้นยี่เหล่านั้นทันที ก่อนจะกระแทกร่างลู่ขุยภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
พรูด! พรูด!
ลู่ขุยกระอักเลือดออกมาขณะที่แผ่นอกยุบลง ร่างร่วงลงมาในบึงน้ำทิ้งร่องลึกราวร้อยจั้งไว้ แม้แต่บึงน้ำที่ไหลเข้ามายังไม่สามารถปกคลุมหลุมได้ภายในเวลาอันสั้น
พรูดๆๆๆ!
กองทัพพาฬได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน นักรบจำนวนมากกระอักเลือดออกจากปากก่อนจะหมดสติ รัศมีจั้นยี่เหนือร่างก็หายไปอย่างหมดสิ้นในตอนนี้
จากภาพที่เห็น แม้ว่าพวกเขาสามารถรักษาตัวได้ พลังกองทัพพาฬก็ได้รับความเสียหายใหญ่หลวง!
ทุกคนในบริเวณนี้ต่างมองกองทัพพาฬที่พ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวด้วยอาการตกตะลึง กว่าจะหลุดจากอาการตกใจได้ก็หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ขณะแลกเปลี่ยนสายตากันก็เห็นแววตกตะลึงเข้มข้นและความหวาดกลัวฉายในดวงตาของกันและกัน
ตอนแรกรัศมีจั้นยี่พาฬไม่ได้ด้อยกว่าวิหคโลกันตร์เลย แต่เมื่อวิญญาณสงครามปรากฏก็สยบอีกฝ่ายจนได้รับชัยชนะไป
ดังนั้นนี่บอกได้ถึงความแตกต่างระหว่างสองกองทัพ
ลู่หวูมองกองทัพพาฬและลู่ขุยที่พ่ายแพ้ ร่างกายก็อดสั่นเทิ้มไม่ได้ จากนั้นก็จ้องมองมู่เฉินด้วยรังสีสังหารเชี่ยวกรากในดวงตา
มู่เฉินน่าสะพรึงนัก เขาสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ถึงระดับนี้ด้วยอายุเท่านี้ หากรอให้เขากลายเป็นจั้นเจิ้นซือจริงๆ เขาจะเป็นภัยคุกคามน่ากลัวขนาดไหนกัน?!
ณ จุดนั้นแม้แต่สำนักพาฬมังกรก็คงจะถูกล้างบางหมดสิ้น!
อันตรายใหญ่หลวงในอนาคตแบบนี้จะปล่อยไปไม่ได้
ไอ้เด็กนี่ต้องตาย
รังสีสังหารพวยพุ่ง ลู่หวูก็ไม่ลังเลพุ่งไปหามู่เฉินปานสายฟ้าแลบ
“แกช่างกล้า!” ทันใดนั้นจิ่วโยวก็ตะเบ็งเสียงเย็น ก่อนจะกำหมัด กระบี่ขนนกสีดำปรากฏขึ้นในมือนาง เปลี่ยนเป็นแสงสีดำพุ่งตรงไปที่จุดตายบนแผ่นหลังของลู่ขุย
ทว่าลู่หวูกลับขบฟันเผชิญกับรังสีสังหารของจิ่วโยวและปรากฏตัวเหนือมู่เฉิน ซัดฝ่ามือลงไปพร้อมกับคลื่นหลิงน่ากลัวครางหวีดหวิวพุ่งใส่มู่เฉิน
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากกวาดลงมาหามู่เฉิน
จิ่วโยวอดมีสีหน้าเปลี่ยนไปไม่ได้ นางไม่คิดว่าลู่หวูจะยอมรับอาการบาดเจ็บหนักจากกระบวนท่าของนางเพื่อจะฆ่ามู่เฉิน!
ชัดว่าเขาสังเกตได้ถึงอันตรายที่มู่เฉินมีหากเติบโตขึ้น!
“มู่เฉินระวัง!”
เมื่อเสียงตะโกนของจิ่วโยวดังเข้าหูของมู่เฉิน เขาก็เงยหน้าขึ้นเห็นพลังฝ่ามือเต็มกำลังอันน่ากลัวจากลู่หวู ดังนั้นเขาจึงเกร็งกล้ามเนื้อขึ้นในเวลานี้
ตอนนี้เขาดูราวกับผู้ล่าที่กำลังจะกระโจนตะครุบเหยื่อ
แสงเหี้ยมวาบวับในนัยน์ตาเขา ในเมื่ออยากฆ่าข้า เจ้าก็ต้องจ่ายเลือดหนักเหมือนกัน!
บทที่ 838 เดิมพันชีวิตด้วยชีวิต
ตู้ม!
พายุไร้ขอบเขตกวาดออกพร้อมกับฝ่ามือคลื่นหลิง ราวกับภูเขามหึมาพุ่งลงมาจากท้องฟ้าโอบล้อมมู่เฉินไว้ การโจมตีดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าหวาดกลัวจนขวัญกระเจิง
รังสีสังหารของลู่หวูที่มีต่อมู่เฉินเห็นชัดว่าอยู่ในระดับเข้มข้นอย่างยิ่ง
ฝ่ามือคลื่นหลิงสะท้อนในดวงตาของมู่เฉิน กระนั้นดวงตาของเขากลับพลุ่งพล่านด้วยแสงดุร้ายข้นคลั่ก แม้มู่เฉินจะตกใจกับการลงมือของลู่หวู แต่เขาก็ไม่หวาดกลัว นั่นเพราะตอนนี้พลังของเขาถึงจุดสูงที่น่ากลัวจากรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์
การยืมพลังมา ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่เขาไม่สามารถต่อกรด้วยในยามปกติก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ในสายตาของเขาตอนนี้
“กีด!”
มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ก็ส่งเสียงร้องดังขณะที่ลวดลายซับซ้อนที่ปกคลุมร่างมันเริ่มสั่นระริก ก่อนที่จะแผ่ปกคลุมทั่วร่างของมู่เฉินอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่อึดใจ ผิวของมู่เฉินก็ปกคลุมไปด้วยลวดลายเหล่านี้
ตู้ม!
แสงพราวพุ่งออกมาจากนัยน์ตามู่เฉินขณะที่เขาส่งเสียงคำรามก้องฟ้า เสียงคำรามเต็มไปด้วยพลังการต่อสู้ไร้ขอบเขต เมื่อรัศมีจั้นยี่พวยพุ่ง ก็ก่อตัวเป็นลูกคลื่นกวาดออกทั่วบริเวณ
สายตาของมู่เฉินเดือดพล่าน ตอนนี้เหมือนมีสัตว์อสูรดุร้ายนับไม่ถ้วนคำรามอยู่ในร่างกายนำมาซึ่งพลังทำลายล้าง พลังงานนั้นเหนือกว่าตัวเขาไปไกล ซึ่งก็คือรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์
แม่ทัพทั่วไปสามารถควบคุมการใช้รัศมีจั้นยี่ได้เหมือนอาวุธพบสวรรค์เท่านั้น ไม่กล้าปล่อยให้เคลื่อนเข้าไปในร่างกายเลย นั่นเป็นเพราะรัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนโดยกำเนิดและก็เป็นการรวมคลื่นความมุ่งมั่นของนักรบนับไม่ถ้วน หากถูกซึมซับเข้าไปในร่างกายโดยไม่ระวัง เมื่อสูญเสียการควบคุม ก็จะทำให้ร่างกายระเบิดเป็นจุณในทันที
มีเพียงหลังจากชำระวิญญาณสงครามได้เท่านั้นถึงจะควบคุมได้ลึกซึ้ง และสามารถส่งรัศมีจั้นยี่เข้าสู่ร่างกายเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับพวกเขาได้
แน่นอนว่าตอนนี้มู่เฉินยังไปไม่สามารถถึงระดับนั้น ดังนั้นเมื่อเขาส่งรัศมีจั้นยี่เข้าไปในร่างกาย อวัยวะภายในก็สั่นกระเพื่อม หากไม่ใช่เพราะกายามังกรหงส์ที่ทำให้เขามีพลังกายทรงประสิทธิภาพแล้ว แค่รัศมีจั้นยี่เพียงอย่างเดียวก็คงทำให้เขามีช่วงเวลาที่น่าอนาถแล้ว
“ไม่ง่ายนักหรอกที่แกจะฆ่าข้า!”
มู่เฉินคำรามลึกซัดฝ่ามือออกไป ในฝ่ามือไม่มีทักษะลับใดๆ แต่เขากลับใช้พลังของตัวเองบวกกับรัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่าน พลังฝ่ามือถึงกับทำลายมิติโดยตรง
เมื่อลู่หวูเห็นท่าทางของมู่เฉิน สีหน้าก็เปลี่ยนไป จากนั้นใบหน้าแข็งค้าง เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่ามู่เฉินไม่คิดจะป้องกันการโจมตีของเขาเลย แต่เลือกซัดที่อกของเขาโดยตรง
สถานการณ์ฉับพลันทำให้หนังตาของลู่หวูกระตุกรุนแรง เขาไม่คิดเลยว่าเมื่อเผชิญกับการโจมตีของเขา มู่เฉินยังไม่คิดปกป้องตัวเองแต่กลับโหดกว่านั้น เลือกเดิมพันด้วยชีวิต!
“แกรนหาที่ตาย!”
ทว่าลู่หวูก็เป็นคนโหดไม่แพ้กัน เผชิญกับการโจมตีของมู่เฉินและจิ่วโยว เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถหลีกหนีเต็มกำลังได้ ดังนั้นแสงเหี้ยมจึงวาววับในดวงตา เขาไม่ลังเล ฝ่ามือฉีกผ่านท้องฟ้า ซัดลงที่หน้าอกของมู่เฉินอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
เมื่อฝ่ามือซัดลงบนร่างของมู่เฉิน ร่างอีกฝ่ายก็เปล่งแสงสีทองขึ้น เกราะมังกรหงส์ที่ราวกับทำมาจากทองคำก็ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันวิญญาณมังกรแท้จริงก็เคลื่อนตัวรอบอก เปล่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกับชั้นเกล็ดสีทองปกคลุมร่างมู่เฉินไว้
มาตรการป้องกันทั้งหมดนี้เปิดใช้ขึ้นฉับพลัน ในเวลาเดียวกันฝ่ามือของมู่เฉินที่บรรจุด้วยรัศมีจั้นยี่รุนแรงก็ซัดบนหน้าอกของลู่หวู
ปัง!
คลื่นหลิงรุนแรงกวาดออกไปราวกับลอนคลื่น ทำให้มิติแตกร้าวรอบฝ่ามือ ร่างของมู่เฉินสะท้านก่อนจะกระเด็นแล้วดิ่งพสุธาลงมา ทำให้พื้นดินในรัศมีพันจั้งยุบลง รอยแตกขนาดใหญ่วิ่งพล่านไปในระยะไกลอย่างรวดเร็ว
เมื่อมู่เฉินถูกดันลงไปบนพื้นด้วยฝ่ามือ หน้าอกของลู่หวูก็ยุบลงทั้งแถบพร้อมกับกระอักเลือดที่ปะปนกับอวัยวะภายในที่แหลกเหลวออกมา ร่างกระเด็นราวกับลูกปืนใหญ่
ชี่!
ทันทีที่ร่างของลู่หวูพุ่งหลาวออกไป กระบี่ขนนกสีดำก็แทงทะลุอกออกมาจากด้านหลัง เพลิงสีม่วงลุกโชนอยู่บนใบกระบี่
อ้ากๆๆๆ!
ลู่หวูส่งเสียงร้องโหยหวนขณะค่อยๆ หันหน้าไปมองด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว เขาเห็นจิ่วโยวยืนอยู่เบื้องหลังสาดสีหน้าเย็นเยือกขณะควบคุมเพลิงอมตะกัดกร่อนร่างของเขาทีละน้อย
“ในเมื่อแกต้องการแลกชีวิตเพื่ออีกคน ก็ฝังชีวิตตัวเองไว้ที่นี่เลย!” จิ่วโยวเอ่ยเสียงเย็นเยือก เพลิงโทสะกวาดออกมาจากนัยน์ตา
ร่างของลู่หวูสั่นเทิ้มพร้อมกับความหวาดกลัวหนาแน่นไต่ขึ้นมาในดวงตา นั่นเพราะเขารู้ว่าหากปล่อยให้เพลิงอมตะของจิ่วโยวแผดเผา เขาคงจะตายที่นี่วันนี้แน่
“ข้าจะลากพวกแกไปด้วย!”
ลู่หวูคำรามประสานมือเข้ากัน ก่อร่างตราประทับ จากนั้นร่างกายเขาก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว ระลอกคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมา
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าจิ่วโยวก็เปลี่ยนไป นางกระชากกระบี่ออกพลางถอยกลับทันที
ตู้ม!
ร่างของลู่หวูระเบิดทันใด คลื่นหลิงสีเทาดำก่อตัวเป็นกลุ่มควันมหึมาบนท้องฟ้า แม้จะดูงดงาม แต่กลับแฝงไปด้วยพลังทำลายล้างเยือกเย็นในหัวใจของผู้คน
แม้จิ่วโยวจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังได้รับผลกระทบหลายส่วน เลือดหยดลงจากมุมปาก
ทุกคนที่นี่หน้าซีดเผือดด้วยอาการตกตะลึง ไม่มีใครคิดเลยว่าลู่หวูจะถูกบีบให้ทำลายร่าง… เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกตัวจริงนะ!
ไม่กี่นาทีก่อนหน้าเขายังคงท่าทีสงบนิ่งท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดได้ แต่ในไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้ทำลายตัวเอง ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำเอาทุกคนตะลึงลานไปหมดแล้ว
จิ่วโยวหยุดอยู่บนท้องฟ้าไกลออกไป สายตามองพายุคลื่นหลิงรุนแรง จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งเมื่อเห็นริ้วแสงสีเทาพาดผ่านพุ่งไปยังร่องที่ลู่ขุยนอนพังพาบอยู่ ก่อนจะหายลับตาไปพร้อมกับร่างสะบักสะบอม
ริ้วแสงสีเทานั้นก็คือดวงจิตของลู่หวู การใช้พลังที่เหลืออยู่จากการระเบิดทำให้เขาสามารถช่วยเหลือลู่ขุยได้ แต่สำหรับกองทัพพาฬที่เหลือ เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย จำใจต้องหนีไปกับลู่ขุยเท่านั้น
เมื่อกองทัพพาฬเบื้องล่างเห็นลู่หวูทอดทิ้งพวกตน ขวัญกำลังใจก็ลดลง เหล่านักรบหนีไปคนละทิศคนละทาง ไม่มีความกล้าเหมือนตอนที่สร้างรัศมีจั้นยี่อีกแล้ว
หากนักรบเหล่านั้นรวมตัวกันอยู่ ก็สามารถปลดปล่อยพลังแข็งแกร่งออกมาโดยไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้พวกเขาสูญเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้ไปแล้ว พวกเขาก็พ่ายแพ้กลับสู่สภาพแท้จริงทันที ในสมรภูมิหยุ่นลั้วที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบตัว ชะตากรรมถูกกำหนดแล้ว ดังนั้นจิ่วโยวจึงทำเพียงเหลือบมองร่างที่หนีไปแต่ไม่ได้ขัดขวางอะไรพวกเขา
นางเคลื่อนไหวพลิ้วตัวลงตรงจุดที่มู่เฉินร่วงลงมา แววเป็นห่วงวูบไหวในดวงตา เพราะพลังแฝงในการโจมตีของลู่หวูก่อนหน้าเพียงพอที่จะสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าได้เลยทีเดียว
ฟิ้ว!
แต่ขณะที่จิ่วโยวกำลังจะพุ่งลงไปดูอาการของมู่เฉิน ลำแสงสายหนึ่งก็ระเบิดออกจากร่องลึกก่อนจะสะดุดเมื่อหยุดอยู่บนท้องฟ้า
เมื่อร่างนั้นปรากฏ ทุกสายตาก็พุ่งตรงไปมองเห็นมู่เฉินอยู่ตระหง่านบนท้องฟ้า เสื้อผ้าของเขาถูกทำลายจนป่นปี้ มีรอยเลือดหยดตรงมุมปาก ทั้งร่างโชกไปด้วยเลือดและบาดแผลฉกรรจ์พาดผ่านหน้าอกดูน่าสยดสยองนัก
ซื้ด!
เมื่อทุกคนเห็นบาดแผลน่ากลัวของมู่เฉิน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก ทว่าที่ทำให้ตะลึงกว่าก็คือมู่เฉินไม่ได้สนใจกับอาการบาดเจ็บบนร่างกายตัวเองเลย
“เจ้าเป็นอะไรไหม?” จิ่วโยวพุ่งไปที่ด้านข้างมู่เฉินอย่างรวดเร็ว สายตากวาดมองร่างเขาที่มีแต่บาดแผล คิ้วของนางก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
“มันยังอ่อนหัดที่จะพนันกับข้า”
มู่เฉินเช็ดคราบเลือดที่มุมปากพลางยิ้ม เขาฉีกเสื้อผ้าที่เหลืออยู่ที่ท่อนบน แสงสีทองฉายเบาบางอยู่ในบาดแผล เมื่อแสงส่องประกายระยิบระยับ บาดแผลก็สมานตัวด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อเห็นภาพนี้ จิ่วโยวก็ถอนหายใจโล่งออก นางลืมไปเลยว่าการฟื้นตัวของมู่เฉินน่าสะพรึงเพียงใด มิน่าเขาถึงกล้าเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ที่แท้ก็เพราะมีพลังฟื้นตัวน่าทึ่งแบบนี้นี่เอง
ลู่หวูคงไม่คิดว่าบาดแผลที่ฝากมู่เฉินไว้ ซึ่งอาจทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาคิดเลย
มู่เฉินก้มมองก็เห็นวิญญาณมังกรแท้จริงบนหน้าอกหม่นแสงลง ชัดว่าหมัดของลู่หวูไม่ธรรมดา หากไม่ใช่เพราะเกราะมังกรหงส์ วิญญาณมังกรแท้จริงและรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ที่ปกป้องไว้ กระบวนท่านี้จากลู่หวูคงฆ่าเขาไปแล้ว
จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือง่ายๆ เลย หากเขาไม่ใช้รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ต่อสู้ เขาก็ทำได้เพียงหนีเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนั้น
บาดแผลบนร่างของมู่เฉินสมานตัวอย่างรวดเร็ว เขาสบตากับจิ่วโยว ก่อนที่ทั้งคู่จะกวาดสายตาไปยังผู้คนที่ยังอยู่ในบริเวณนี้
เมื่อคนเหล่านั้นเห็นสายตาของทั้งสอง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ตอนแรกพวกเขายังอยากเฝ้ามองเสือสู้กันขณะที่วางแผนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายหมดแรง แต่ตอนนี้มู่เฉินกับจิ่วโยวเหมือนจะยังสามารถต่อสู้ได้ไหวอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยรบวิหคโลกันตร์เบื้องล่างที่ยังมีขวัญกำลังใจท่วมท้นจนน่าตกใจ
สถานการณ์ตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของหอวิหคโลกันตร์อย่างสมบูรณ์แล้ว
ทุกคนมองหน้ากันก็ลอบถอนใจ พวกเขาไม่ลังเลจากไปทันที
เมื่อมู่เฉินกับจิ่วโยวเห็นคนอื่นไปแล้ว ก็หายใจโล่งคอ แม้คนเหล่านี้จะด้อยกว่าสำนักพาฬมังกร ก็ยังเป็นปัญหาเล็กน้อยหากต้องสู้กัน การที่พวกเขาไปจากสถานที่แห่งนี้จึงเป็นเรื่องดีที่สุด
หลังจากผู้คนทยอยออกไปหมด ทั้งสองก็เบนสายตาร้อนแรงไปยังซากปรักหักพังที่อยู่ในจุดลึกของบึงน้ำ ตอนนี้ซากอารยธรรมโบราณนี้ก็เป็นของพวกเขาแล้ว
บทที่ 839 กลั่นยาหยุ่นลั้ว
ด้านนอกบึงน้ำสีดำ
เมื่อคนกลุ่มสุดท้ายออกไป มู่เฉินกับจิ่วโยวก็พลิ้วตัวลงมาจากฟ้าลอยตัวเหนือบึง
หมอกสีดำในบึงน้ำมีกลิ่นคาวจางๆ ชัดเจนว่าเป็นพิษ นอกจากนี้ยังมีร่างสีดำวูบไหวอยู่ในส่วนลึกพร้อมกับไออันตรายเปล่งออกมา
มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็สะบัดมือสั่งการหน่วยรบวิหคโลกันตร์ นักรบแต่ละคนร่อนลงอย่างเป็นระเบียบรอบพื้นที่บึงน้ำ
“พวกเจ้าเฝ้าด้านนอกไว้ อย่าปล่อยให้ใครเข้ามารบกวน” มู่เฉินสั่งการ สถานที่แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะดีถ้ามีจำนวนคนมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมควรกว่าที่จะสั่งให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกบึงน้ำ
“รับทราบ!”
เหล่านักรบวิหคโลกันตร์ตะโกนรับพร้อมเพรียงฟังราวกับเสียงฟ้าผ่า ทำเอาพื้นดินโยกคลอนไปเลยทีเดียว
“ไปกันเถอะ!”
มู่เฉินกับจิ่วโยวมองหน้ากันพลางพยักหน้า ร่างพวกเขาเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งออกไป ฉีกผ่าหมอกพิษสีดำพลิ้วตัวลงบนซากอารยธรรมโบราณที่อยู่ในจุดลึกของบึงน้ำ
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตผันผวนรอบทั้งสอง ซ้ำยังมีเพลิงสีม่วงลุกโชนกัดกร่อนหมอกพิษที่ใกล้ตัว หมอกพิษในบึงน้ำร้ายกาจนัก แต่สำหรับทั้งคู่ที่ได้รับการปกป้องจากเพลิงอมตะ ชัดว่าไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา
ฟิ้ว!
ทั้งคู่เร่งความเร็วจนถึงขีดสุด แม้พวกเขาจะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่จากไปก่อนหน้า แต่นั่นก็ไม่ได้รับรองว่ากองทัพอื่นจะไม่ค้นพบซากอารยธรรมโบราณแห่งนี้ ดังนั้นเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น จึงเป็นเรื่องดีที่พวกเขาจะรีบกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วจากซากอารยธรรมโบราณระดับสามนี้
ปัง!
ขณะที่ทั้งสองเข้าไปในส่วนลึกของบึงน้ำ แสงสีดำก็ระเบิดออกมาจากพื้นที่ชื้นแฉะ ส่งกลิ่นคาวกวาดมายังพวกเขา
จิ่วโยวมีสีหน้าสงบนิ่งพลางพลิกนิ้ว ขนนกคลื่นหลิงสีดำที่แผดเผาด้วยเพลิงสีม่วงพุ่งออกไปทะลวงเข้าไปในกลุ่มแสงสีดำและระเหยในทันที
ขณะที่แสงสีดำเหือดหาย มู่เฉินก็มองเห็นจระเข้พิษสีดำรูปร่างน่าเกลียดกำลังน้ำลายไหลย้อย ดูจากคลื่นหลิงรุนแรงรอบตัวแล้ว นี่คงเป็นสัตว์อสูรชั่วร้ายชนิดหนึ่ง
จิ่วโยวฆ่าจระเข้พิษสีดำเพียงพลิกฝ่ามืออย่างสบายๆ ทว่าสีหน้าไม่เพียงแต่จะไม่ฉายความดีใจ แต่กลับขมวดคิ้ว มู่เฉินที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
นั่นเพราะในตอนนี้บริเวณบึงน้ำเริ่มสั่นสะเทือน แสงสีดำกะพริบนับไม่ถ้วยพวยพุ่งขึ้น เมื่อมองไปก็มีจระเข้พิษสีดำรวมตัวอยู่หนาแน่น ดวงตาแดงฉานของพวกมันจับจ้องมู่เฉินกับจิ่วโยว
จำนวนจระเข้พิษมีมากมาย แม้ว่าทั้งสองจะไม่กลัวจระเข้พวกนี้ แต่ความเร็วในการกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วของพวกเขาก็จะล่าช้าลงจากการขัดขวาง
“ทำยังไงดี?” มู่เฉินมองจิ่วโยว ดูจากสถานการณ์นี้ พวกเขาคงต้องสังหารพวกมันให้หมดเท่านั้น
จิ่วโยวครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกระทืบเท้าเบาๆ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ก่อตัวเป็นวิหคอนธโลกันตร์เบื้องหลัง รัศมีเทพอสูรแผ่ออกไป
ฟ่อๆ!
เมื่อสัมผัสถึงแรงกดดันเทพอสูรของวิหคอนธโลกันตร์ ความโกลาหลก็เกิดในฝูงจระเข้พิษ พวกมันถอยร่นด้วยความหวาดกลัว แม้พวกมันจะไม่มีสติปัญญาสูง แต่ก็รับรู้จางๆ ว่าแรงกดดันนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกมันจะต้านทานได้
เห็นภาพนี้ ดวงตาของมู่เฉินก็สว่างวาบพลางก้าวไปข้างหน้า วิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเริ่มเปล่งประกายด้วย แรงกดดันที่ทรงพลังแผ่ออกมา
เมื่อแรงกดดันแผ่กระจายออกไป ฝูงจระเข้พิษที่หวาดกลัวอยู่แล้วก็ถอยหนีกันจ้าละหวั่น ในแง่มุมหนึ่งแรงกดดันจากวิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงแข็งแกร่งกว่าวิหคอนธโลกันตร์ เพราะในบันทึกหมื่นอสูร อันดับของวิหคอนธโลกันตร์อยู่ต่ำกว่ามังกรและหงส์ฟ้า วิหคอนธโลกันตร์จะต้องวิวัฒนาการเป็นวิหคอมตะในตำนาน มีเพียงขั้นตอนนี้เท่านั้นถึงจะสยบมังกรและหงส์ฟ้าได้
เพียงสิบอึดใจ จระเข้พิษจำนวนมากก็หนีหายไปหมดภายใต้แรงกดดันของทั้งสอง
มู่เฉินยิ้มตาหยีขณะหันมามองจิ่วโยว “เป็นไง?”
จิ่วโยวฉายสีหน้าเหม็นเบื่อขณะมองค้อนมู่เฉินที่โอ้อวดตัวเอง แต่นางก็ต้องยอมรับว่าวิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในร่างเขาเริ่มเหนือกว่านางในด้านแรงกดดันเทพอสูรแล้ว
จิ่วโยวมีความรู้สึกซับซ้อนต่อเรื่องนี้ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เด็กน้อยอ่อนแอในสายตานางก็เริ่มตามทันและค่อยๆ เปล่งประกายออกมา
เวลาเดียวกับที่จิ่วโยวรู้สึกอิ่มเอมใจ นางก็รู้สึกหดหู่ด้วย บางทีไม่นานจากนี้นางคงไม่สามารถสั่งสอนเขาได้เหมือนกับอดีตอีกแล้ว
ดูเหมือนนางจะต้องเร่งความเร็วในการฝึกยุทธ์ด้วยเช่นกัน
“รอให้ข้าปลุกสายเลือดวิหคอมตะให้ได้ก่อนเถอะ วิญญาณของมังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงของเจ้าก็จะไม่มีค่าอะไรเลย” ความคิดแล่นในใจของจิ่วโยว แต่นางกลับเบ้ปากแล้วเอ่ยอย่างไม่แยแส
มู่เฉินยิ้ม เขารู้ว่าจิ่วโยวภาคภูมิใจในตัวเองขนาดไหน นางไม่พูดยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงไม่แกล้งอะไรนางมากเกินไป ทำเพียงโบกมือแล้วเหาะออกไป
เมื่อพวกเขามุ่งหน้าลึกเข้าไปในบึงน้ำ มู่เฉินกับจิ่วโยวก็ตระหนักได้มีสัตว์อสูรน่ากลัวซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้มากเพียงใด แต่โชคดีที่ทั้งสองมีแรงกดดันเทพอสูร ทำให้สามารถรักษาเวลาไว้ได้มาก โดยผ่านอุปสรรคด้วยการจ่ายราคาน้อยนิดเท่านั้น
ประมาณสิบนาทีต่อมา พวกเขาก็เริ่มชะลอความเร็วลงเนื่องจากเห็นตำหนักโบราณเลือนภายในหมอกพิษ
ฟิ้ว!
ร่างแสงสองร่างพุ่งผ่าน หมอกพิษที่ปกคลุมไปทั่วก็หายไปหมดทันทีราวกับว่าถูกสกัดไว้ วิสัยทัศน์ของมู่เฉินกับจิ่วโยวกระจ่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองอึ้งไปเมื่อมองไปข้างหน้า ที่นี่เป็นซากปรักหักพังขนาดใหญ่ที่มีซากตำหนักเสียหายให้เห็น ความรู้สึกทิ้งร้างเก่าแก่เหมือนจะทะลวงผ่านมิติราวกับว่าหลุดมาจากยุคโบราณ ทำให้การหายใจของทั้งสองหยุดลงชั่วขณะ
“เตรียมลงมือเถอะ”
จิ่วโยวคืนสติจากเรื่องนี้อย่างรวดเร็วและมองไปที่มู่เฉิน “เราจะแยกตัวกันทำงานให้ไวที่สุด ตกลงไหม?”
มู่เฉินยิ้มแสดงสัญญาณมือ ไม่ได้มีวิธีการอะไรซับซ้อนนักในการกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้ว ตราบใดที่จอมยุทธ์คนนั้นมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามขึ้นไป ก็สามารถทำได้ ต่างกันแค่ประสิทธิภาพเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินเห็นด้วย จิ่วโยวก็ไม่รอช้าพุ่งตรงไปที่ซากตำหนัก
มู่เฉินก็ไม่ได้ชักช้า เขาหันไปหาซากอีกแห่งหนึ่ง จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าไป ภายในมีกระดูกถูกทิ้งเกลื่อนบนพื้น กระดูกเหล่านี้เผยท่าทางหลากหลาย แต่ชัดว่าก่อนตายต่างกำลังสู้รบกันอยู่
แม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี แต่ทั่วทั้งตำหนักแห่งนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยความวิปโยค
สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดเมื่อเห็นภาพเหล่านี้ จากนั้นเขาก็โค้งคำนับกองกระดูก ไม่ว่าจะอย่างไร นี่คือจอมยุทธ์ที่สละชีพเพื่อมหาพันภพในสงครามอดีต
“ข้าขออภัยนะขอรับ!”
มู่เฉินพูดเสียงเบา ก่อนที่ร่างจะวาบไปปรากฏบนเสาหิน มือทั้งคู่วาดตราประทับ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นวังวนในฝ่ามือพร้อมกับแรงดูดที่แผ่ออกมา
เศษหินน้อยใหญ่กลิ้งไปมา ขณะที่รัศมีสีดำไหลออกจากกระดูกเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำดูดเข้าไปในวังวนตรงฝ่ามือของมู่เฉิน
ไอสีดำเหล่านี้ก็คือไอหยุ่นลั้ว พลังงานประหลาดที่เกิดจากการหล่อหลอมจุดจื้อจุนไห่ของจอมยุทธ์ที่ล้มตายกับพลังงานพิเศษในสมรภูมิหยุ่นลั้ว
ไอสีดำรวมตัวกันอย่างรวดเร็วในวังวน เมื่อชำระจนถึงขีดสุด แสงสีดำสายหนึ่งก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากวังวนคลื่นหลิง
ฝ่ามือมู่เฉินดูดผ่านอากาศ แสงดำมืดก็พุ่งลงมาลอยอยู่ตรงหน้าเขา เมื่อมองไปก็เห็นวัตถุทรงกลมขนาดเท่าเม็ดลำไยมีสีดำและส่งความผันผวนเหมือนกับไอหยุ่นลั้วออกมา
ชัดว่านี่ก็คือยาหยุ่นลั้วซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดในสมรภูมิหยุ่นลั้ว
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อเก็บยาหยุ่นลั้วก่อนจะหมุนเวียนคลื่นหลิงดูดกลืนไอหยุ่นลั้วในสถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยไอหยุ่นลั้วที่เหลืออยู่ทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้ มู่เฉินก็กลั่นเม็ดยาได้ห้าเม็ด เมื่อยาเม็ดที่ห้าสร้างขึ้น กระดูกสีขาวในตำหนักก็สลายเป็นเถ้าถ่าน นั่นเพราะคลื่นหลิงที่มีอยู่ภายในถูกระบายออกไปจนหมด
เมื่อมองภาพนี้ มู่เฉินก็ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ กองขี้เถ้าส่งเสียงหวีดหวิวก่อนก่อตัวเป็นป้ายจำนวนมาก ตั้งเรียงบนพื้นอย่างเรียบร้อย
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว มู่เฉินก็โค้งคำนับอีกครั้งก่อนจะออกจากตำหนักแห่งนี้มุ่งหน้าไปยังอีกที่หนึ่ง
ในเวลาหนึ่งชั่วโมงต่อมา มู่เฉินก็เข้าออกตำหนักถึงสิบแปดตำหนัก ผลก็คือเขาได้ยาหยุ่นลั้วทั้งหมดห้าสิบสามเม็ด นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดีเลยทีเดียว
ลึกลงไปในซากอารยธรรมโบราณ มู่เฉินเข้าไปในซากปรักกหักพังแห่งสุดท้ายและโค้งคำนับตามปกติ แต่ขณะที่เขากำลังจะเริ่มกลั่นยาหยุ่นลั้ว สีหน้าเขาก็ต้องเปลี่ยนไปทันที คลื่นหลิงเร้าออกมาอย่างรุนแรงรอบกาย
สายตาของเขาจับจ้องไปยังส่วนลึก ที่นี่มีกระดูกอยู่ไม่มากนัก มีเพียงเบาะวางอยู่สุดทางเดินห้องโถงพร้อมกับร่างชุดเทานั่งอยู่ ร่างนั้นนั่งอยู่ที่นั่นเงียบๆ เพียงลำพังชั่วกัปชั่วกัลป์
มู่เฉินมองร่างชุดเทา ม่านตาก็หดเกร็ง ยังมีคนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่อีกหรือ?
บทที่ 840 ร่างชุดเทา
ภายในส่วนลึกซากปรักหักพัง
มีร่างชุดเทานั่งอยู่นิ่งไม่ไหวติง เมื่อมู่เฉินเห็นร่างดังกล่าว ม่านตาเขาก็หดเกร็ง
นั่นเพราะเขาพบว่าชายชุดเทาไม่เหมือนกับกองกระดูกที่เขาเห็นเมื่อก่อนหน้า ภายใต้ชุดสีเทายังคงเห็นใบหน้าราวกับผีดิบตายซาก เว้นแต่ว่ามู่เฉินไม่เห็นสัญญาณชีพใดๆ แผ่ออกมาเลย
มู่เฉินจับจ้องที่ร่างชุดเทา แม้เขาจะสัมผัสได้ถึงไอหยุ่นลั้วมหาศาลจากร่างชุดเทา แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ด้วย
การที่คนเราจะรักษาสภาพร่างกายไว้ได้ต่อให้ตายไปหลายหมื่นปี ถือเป็นเรื่องพิลึกมาก
สายตาของมู่เฉินวูบไหว จากนั้นเขาก็ไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกแต่เลือกที่จะถอยอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง สมรภูมิหยุ่นลั้วเต็มไปด้วยภัยอันตราย หากเขาไม่ระวังก็คงได้กลายเป็นกระดูกที่นี่แน่ เขาไม่ต้องการทิ้งชีวิตน้อยๆ ไว้ที่นี่เพื่อยาหยุ่นลั้วไม่กี่เม็ดหรอก
วับ! วับ!
ฝ่าเท้าของมู่เฉินก้าวผ่านพื้นเงียบๆ ทว่าขณะที่เขากำลังจะออกไปจากตำหนัก ร่างชุดเทาก็ตัวสั่นเทิ้มเงยหน้าแห้งกรังขึ้น ดวงตาของเขากะพริบด้วยแสงสีแดงดำประหลาด
ปัง!
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปพร้อมกับดีดตัวพุ่งหนีออกไปโดยไม่ลังเล
ร่างชุดเทากางกรงเล็บที่เหมือนกระดูกออกมา แสงสีดำเมื่อมรวมตัวอยู่ในฝ่ามือเขา ดูราวกับหลุมดำ กำจายแรงดูดน่ากลัวออกมา
มู่เฉินที่กำลังถอยหนีหยุดชะงัก แรงดูดน่ากลัวทำให้เขาไม่สามารถต่อต้านได้ พริบตาเดียวร่างก็ลอยไปหาอีกฝ่าย
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรง เขาไม่คิดเลยว่าร่างนี้จะทรงพลังขนาดนี้ เพียงแค่เคลื่อนไหวสั้นๆ ครั้งเดียวก็ทรงพลังกว่าลู่หวูไปมากแล้ว
มู่เฉินถูกดึงกลับเข้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็ว เมื่อถูกดึงเข้าไปใกล้มากขึ้น…มากขึ้น เขาก็เห็นแสงสีแดงดำในดวงตาของร่างชุดเทา ซึ่งกะพริบด้วยการทำลายล้างรุนแรงที่ไม่ใช่ของมนุษย์
“ไม่ใช่มนุษย์?” ในใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน หรือว่าร่างชุดเทานี่จะเป็นไอ้ตัวที่ถูกเรียกว่าปีศาจต่างมิติ?
แสงวาบในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็ขบฟันแน่น แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นที่เบื้องหลัง วิญญาณของหงส์ฟ้าแท้จริงถูกกระตุ้น ปีกคู่ใหญ่กางสยาย
ปีกหงส์ฟ้ากระพือไหวพร้อมกับลมป่าเถื่อน ทรงตัวมู่เฉินที่ถูกดูดเข้าไปไว้ เมื่อปีกกระพืออีกครั้งก็พามู่เฉินทะยานขึ้นไปบนเสาหิน เขากำหมัดเรียกเสาปีศาจขึ้นในมืออย่างรวดเร็ว เงาขนาดใหญ่และรังสีร้ายกาจแผ่ออกมาเมื่อฟาดลงไปที่ร่างชุดเทา
ทว่าร่างชุดเทาทำเพียงเหยียดมือออกเป็นการตอบสนองต่อการโจมตีที่ดุดันจากมู่เฉิน เขาตบเบาๆ เสียงโลหะก็ดังกังวาน ทำให้ตำหนักถล่มลงมาทั้งแถบ
ร่างของมู่เฉินกระเด็นกลับไป สีหน้าเขาเคร่งขรึมลงขณะมองตำหนักที่ถล่มลงมา ร่างชุดเทายังคงนั่งสงบอยู่ที่จุดเดิม การโจมตีของมู่เฉินไม่ทำให้เขาเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ดวงตาสีแดงดำประหลาดมองมู่เฉินอีกครั้งด้วยแสงทำลายล้างรุนแรง
เส้นขนมู่เฉินลุกชัน ปีกหงส์ฟ้ากระพือก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปทันที
ชี่!
ทันทีที่มู่เฉินหายไป มือเหี่ยวแห้งก็มาพร้อมกับแสงสีดำเมื่อมทะลวงผ่านจุดเดิมของมู่เฉิน ส่วนร่างชุดเทาก็ไปปรากฏบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ไกลออกไปร้อยจั้ง สีหน้าของมู่เฉินน่าเกลียดอย่างยิ่ง ร่างชุดเทารวดเร็วมากเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะเขาใช้วิญญาณของหงส์ฟ้าแท้จริงที่ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้น เขาคงถูกฆ่าไปแล้ว
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าการโจมตีของร่างชุดเทารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หากเขาถูกจับได้ ก็คงไม่สามารถต้านทานไหว เนื่องจากหน่วยรบวิหคโลกันตร์ไม่ได้อยู่กับเขาที่นี่ตอนนี้ เขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้โดยไร้การสนันสนุนจากรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ได้
วาบ!
ขณะที่หัวใจของมู่เฉินเกิดความคิดหลายหลาก มิติก็กระเพื่อมตรงหน้าเขา ร่างชุดเทาพุ่งออกมาอีกครั้ง การโจมตีน่ากลัวปกคลุมลงมา ทำให้เขาต้องถอยร่นออกไปอย่างน่าอนาถ
ปัง!
ร่างของมู่เฉินปะทะกับเสาหิน ทำเอาเสาแข็งแรงสลายกลายเป็นผุยผง เมื่อฝุ่นฟุ้งกระจายออก ร่างชุดเทาก็ปรากฏตัวอย่างลึกลับที่เบื้องหน้า มือสีแดงดำตบลงบนหัวของมู่เฉินอย่างไร้ปรานี
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรง เขาเตรียมเรียกร่างเทพสุริยะออกมาป้องกันร่างกาย
บึ้ม!
ทว่าทันทีที่เขาวาดตราประทับเสร็จ กระบี่ขนนกสีดำลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วงก็พุ่งเข้ามา
ร่างชุดเทาพลิกมือตบกลับ เมื่อแสงสีแดงดำพวยพุ่ง กระบี่ขนนกก็สลายเป็นเถ้าถ่าน แต่แม้ว่ากระบี่ขนนกจะถูกทำลาย เพลิงสีม่วงก็ได้ม้วนอยู่บนมือแห้งกรังขณะอุณหภูมิสูงน่ากลัวแผ่ออกมา เผามือของร่างชุดเทาไหม้เกรียมอย่างรวดเร็ว
ร่างชุดเทาผละถอยพร้อมกับแสงสีแดงดำประหลาดวาบบนผิวร่าง ภายใต้การกัดกร่อนของแสง เพลิงสีม่วงก็ค่อยๆ มอดดับลง
มู่เฉินเช็ดคราบเลือดออกจากมุมปากขณะที่จิ่วโยวมาปรากฏตัวที่ด้านข้าง นางมีสีหน้าเคร่งเครียดลงขณะมองร่างชุดเทา “นั่นตัวอะไรน่ะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ ก็เจอมันเข้า” มู่เฉินส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น
โฮก!
หลังจากร่างชุดเทาดับไฟบนแขนได้แล้ว เขาก็มองมู่เฉินกับจิ่วโยวพร้อมกับคำรามต่ำสะท้อนจากลำคอ ดวงตาเปลี่ยนเป็นดุร้ายมากขึ้นและผันผวนด้วยระลอกคลื่นที่ต้องการทำลายล้างทุกสิ่ง
เขาจ้องมองไปที่ทั้งสอง ขณะที่กำลังจะพุ่งใส่ฉีกทึ้งทุกอย่างให้เฮี้ยน ฉับพลันร่างเขาก็ชะงัก แสงสีแดงดำในดวงตาอ่อนกำลังลง เผยให้เห็นสีหน้าดิ้นรนบนใบหน้าแห้งกรังของเขา
ทว่าการดิ้นรนก็คงอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย ลูกตาเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทรงสามเหลี่ยมราวกับอสรพิษไร้อารมณ์
เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตานั่น สีหน้าของจิ่วโยวก็เปลี่ยนไปรุนแรง “รัศมีปีศาจต่างมิติบุกรุก?”
“รัศมีปีศาจต่างมิติบุกรุก?”
“เขาน่าจะถูกพลังจากปีศาจต่างมิติเข้าครอบงำในร่าง ดังนั้นจึงรักษาสภาพร่างกายอยู่ได้โดยไม่ถูกทำลาย แต่สติก็ถูกกัดกร่อนจากรัศมีเช่นกัน เปี่ยมไปด้วยความคิดทำลายล้าง”
สีหน้าของจิ่วโยวขรึมลง “รีบไปกัน ก่อนตายเจ้านี่น่าจะอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว ต่อให้พลังถูกทำลายไปมาก ก็ยังอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะรับมือได้!”
มู่เฉินพยักหน้าเห็นด้วย หากเขาสามารถเก็บเกี่ยวไอหยุ่นลั้วในร่างมันได้ เขาคงกลั่นเม็ดยาได้ไม่น้อย แต่ตอนนี้ชัดว่าพวกเขาไม่มีโอกาสแล้ว
ทั้งคู่ถอยอย่างรวดเร็วแทบจะในเวลาเดียว แต่ร่างก็ยังคงเกร็งเครียด คลื่นหลิงรอบตัวพวยพุ่งขณะที่สายตาจ้องมองร่างชุดเทาด้วยความระวัง
โฮก!
ร่างชุดเทาจ้องมองทั้งสอง ทันใดนั้นก็ส่งเสียงคำราม เขาเหยียดฝ่ามือออกมาพร้อมกับแสงสีแดงดำม้วนตัว ก่อร่างเป็นมือสีแดงดำขนาดใหญ่สองมือทะลวงผ่านมิติพุ่งตรงไปยังทั้งสอง
เผชิญหน้ากับพลังงานปนเปื้อนรัศมีปีศาจต่างมิติแล้ว มู่เฉินกับจิ่วโยวก็ไม่กล้าสัมผัส ทำได้เพียงรีบถอยให้เร็วที่สุด
ตู้ม! ตู้ม!
ซากตำหนักถูกร่างชุดเทาทำลายทีละแถบ…ละแถบ ฝุ่นผงฟุ้งตลบ ร่างของมู่เฉินกับจิ่วโยวก็ถอยออกมาจากส่วนที่กำลังจะถล่มอย่างรวดเร็ว ทว่าขณะที่ถอยหนีพวกเขาก็เริ่มร้อนรน เนื่องจากสัมผัสได้ถึงการโจมตีจากร่างชุดเทาที่ดุดันมากขึ้น
พลังของเขาเหมือนจะฟื้นคืนทีละน้อย…ละน้อย
การค้นพบนี้ทำให้มู่เฉินกับจิ่วโยวใจหล่นวูบ หากร่างชุดเทาสามารถฟื้นคืนพลังจนถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้าละก็ งานนี้พวกเขาหนีไม่รอดแน่
“เจ้าหนีไปก่อน!” จิ่วโยวกัดฟันแน่นพลางกดเสียงต่ำบอกมู่เฉิน
มู่เฉินขมวดคิ้วผลักฝ่ามือไปที่จิ่วโยว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ออกมาทำให้นางถอยออกไปข้างหลัง “เจ้าหนีไปก่อน ข้ามีปีกหงส์ฟ้าอยู่”
จิ่วโยวไม่สนมู่เฉินเลย นางกลับพุ่งตัวเข้ามา นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่าหากตนเองถอย ด้วยพลังที่มู่เฉินมี เขาจะต้านร่างชุดเทาได้อย่างไร
มู่เฉินยิ้มช่วยไม่ได้ เขาทำได้เพียงช่วยจิ่วโยวอย่างเต็มกำลัง เนื่องจากเขาไม่มีทางทิ้งจิ่วโยวให้อยู่คนเดียว
แต่ถึงทั้งสองร่วมมือกัน ก็ยังยากที่จะปะทะกับร่างชุดเทา พวกเขาถูกบีบจนต้องถอยอย่างต่อเนื่อง หากไม่ใช่เพราะพวกเขามีกลยุทธ์ คงตายตกอยู่ที่นี่ไปนานแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ของพวกเขาก็ไม่เอื้ออำนวยอย่างยิ่ง
“เดี๋ยวข้าจะผลักเขากลับไป แล้วเจ้าก็ลากข้าหนี” จิ่วโยวขบฟันขณะเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ท่าทางของมู่เฉินเปลี่ยนไป ดูเหมือนวิธีที่จิ่วโยวใช้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อตัวนาง แต่ถึงจุดนี้ก็ไม่มีทางอื่น เขาทำได้เพียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
จิ่วโยวสูดหายใจลึก เพลิงสีม่วงกลุ่มหนึ่งลุกโชนในดวงตา
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
แต่ขณะที่จิ่วโยวกำลังจะใช้ท่าไม้ตาย เสียงครางกระหึ่มเก่าแก่ก็ดังขึ้นในซากอารยธรรมโบราณแห่งนี้ สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็เห็นแสงสีขาวนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อมองชัดๆ แสงสีขาวเหล่านี้ก็คือป้ายวิญญาณไร้ชื่อนั่นเอง!
ป้ายวิญญาณที่มู่เฉินทำให้กับเหล่าจอมยุทธ์ผู้ล่วงลับที่นี่
“นี่มัน?”
จิ่วโยวก็ตกใจไปกับภาพนี้ด้วยเช่นกัน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ป้ายวิญญาณไร้ชื่อนับไม่ถ้วนกวาดออกมา หมุนรอบร่างชุดเทาราวกับพายุทอร์นาโดพร้อมกับปล่อยแสงสีขาวฉายบนร่างเขา
ชี่! ชี่!
แสงสีขาวเหล่านั้นดูเหมือนจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับร่างชุดเทา ภายใต้แสงสีขาว รังสีสีแดงดำก็เริ่มถูกชำระ ร่างชุดเทาส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา
มู่เฉินกับจิ่วโยวอึ้งไปเมื่อเห็นภาพนี้ ไม่มีใครคิดว่าการกระทำเรียบง่ายของมู่เฉินจะส่งผลขนาดนี้
รังสีสีแดงดำรอบร่างชุดเท่าเริ่มจางลง หลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็สลายหายไปหมด สีหน้าดุร้ายของเขาก็ไม่มีเหลือแทนที่ด้วยสีหน้าปลดเปลื้องจากภาระ
เมื่อใบหน้าของร่างชุดเทากลับสู่ปกติก็เหมือนมีอักขระโบราณปรากฏบนศีรษะเขาจางๆ
เมื่อเห็นอักขระโบราณนั่น ร่างจิ่วโยวก็สั่นเทิ้ม อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “วังสวรรค์บรรพกาล?!”
บทที่ 841 เซียวชิงหยุน
“วังสวรรค์บรรพกาล?!”
เมื่อคำนี้หลุดออกจากปากของจิ่วโยว ร่างของมู่เฉินก็สั่นสะท้านด้วยความตกตะลึงในดวงตาขณะที่มองร่างชุดเทา เขาไม่คิดเลยว่าบุคคลลึกลับตรงหน้าจะเป็นจอมยุทธ์จากวังสวรรค์บรรพกาลในตำนานลึกลับ!
หลังจากมาที่ทวีปเทียนหลัวเป็นปี นี่คือครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับบางคนจากวังลึกลับ มิหนำซ้ำยังแบบใกล้ชิดอีกด้วย!
“เขาเป็นคนจากวังสวรรค์บรรพกาลเหรอ? เจ้าดูผิดรึเปล่า?” ลูกกระเดือกมู่เฉินยกขึ้นลงขณะสายตาจ้องมองร่างชุดเทาพูดด้วยความไม่เชื่อ เห็นชัดว่าเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าตนเองจะได้รับข้อมูลที่เขาเฝ้าฝันถึง หลังจากเข้ามาในสมรภูมิหยุ่นลั้วในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
“ข้าดูไม่ผิดหรอก อักขระระหว่างคิ้วของเขาเป็นรูปแบบเฉพาะของวังสวรรค์บรรพกาล ซึ่งเกิดจากการฝีกทักษะเทพของวัง ไม่ใช่อักขระที่เกิดขึ้นจากภายนอกแน่นอน” จิ่วโยวเอ่ยเสียงหนักแน่นด้วยความมั่นใจ นางเป็นคนจากเผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นจึงรู้ความลับมากมายและมีความรู้บางอย่างเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาล
มู่เฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก สายตาเขาจับจ้องร่างชุดเทา ตอนนี้แสงสีแดงดำกับแววตาดุร้ายหายไปหมดแล้ว ใบหน้าแห้งกรังก็ฉายสีหน้าอ่อนโยนออกมา
ปัง! ปัง!
เมื่อแสงสีแดงดำในดวงตาร่างชุดเทาหายจนหมด ป้ายวิญญาณรอบกายก็ระเบิดกลายเป็นประกายแสงก่อนจะอันตรธานหายไป
ขณะที่ประกายแสงเหล่านั้นหายไป ก็เหมือนจะเห็นร่างคนจำนวนมากเลือนราง ภาพลักษณ์ที่ปรากฏไม่ค่อยชัดเจน แต่ทุกคนหันมาโค้งคำนับให้มู่เฉิน ราวกับกำลังขอบคุณที่อีกฝ่ายฝังกระดูกให้พวกเขาได้นอนตายตาหลับ
เมื่อโค้งคำนับเรียบร้อย แต่ละร่างก็กลายเป็นประกายแสงลาลับจากโลกนี้ไปตลอดกาล
มู่เฉินถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อนพลางโค้งคำนับไปทางเหล่าร่างแสงที่หายไปเป็นการขอบคุณที่พวกเขาออกมาช่วยในตอนสุดท้าย แม้การจัดวางกระดูกให้ก่อนหน้าจะเป็นเพราะความสงสารและความเคารพเท่านั้น
“ดูเหมือนเจ้าจะช่วยเราไว้โดยบังเอิญล่ะ”
หลังจากรู้สิ่งที่มู่เฉินทำ จิ่วโยวก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและเอ่ยอย่างดีใจ “ต้องขอบคุณเจ้าที่รวบรวมกระดูกแตกหักของพวกเขา ทำให้ความปรารถนาสุดท้ายสัมฤทธิ์ผล ก่อนหน้านี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีปีศาจ ซึ่งไปปลุกปณิธานสุดท้าย พวกเขาจึงรวมตัวกันขับไล่รัศมีปีศาจออกไป”
มู่เฉินยิ้มขื่น เขาไม่คิดเหมือนกันว่าจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น การกระทำธรรมดาของเขากลับสร้างผลไว้เบื้องหลัง หากไม่ใช่เพราะปณิธานของจอมยุทธ์ผู้ล่วงลับเหล่านี้ เขากับจิ่วโยวก็คงจะต้องหนีไปด้วยอาการบาดเจ็บหนัก
“ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง? ยังนับว่าเป็นคนมีชีวิตอยู่ไหม?” มู่เฉินมองร่างชุดเทาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น หากชายคนนี้เป็นสมาชิกวังสวรรค์บรรพกาลจริงๆ เขาก็ต้องรู้ข้อมูลที่แน่ชัดของวัง
“ฮ่าๆ ข้าตายเป็นหมื่นปีแล้ว รัศมีปีศาจส่งผลกระทบกับข้าและผนึกจิตใต้สำนึกเอาไว้ แม้จะคงสภาพร่างกายได้แต่ก็เป็นแค่เปลือก ตอนนี้รัศมีปีศาจถูกกำจัดแล้ว ร่างของข้าก็คงจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านในเร็วๆนี้” จู่ๆ เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้น ฟังราวกับภาระใหญ่หลวงได้ถูกปลดเปลื้องลงแล้ว
มู่เฉินกับจิ่วโยวผงะไปจากนั้นก็พบว่าดวงตาของร่างชุดเทาวูบไหวด้วยประกายมีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่ใครๆ ก็บอกได้ว่านี่เป็นแสงสุดท้ายก่อนจะลาลับไป
ร่างชุดเทาคืนสติในตอนนี้พลางมองทั้งสองจากนั้นก็โค้งคำนับต่ำ “ต้องขอบคุณพวกเจ้ามากที่ปลดปล่อยข้าจากความเจ็บปวดของรัศมีปีศาจ”
มู่เฉินกับจิ่วโยวรีบคำนับตอบ “ผู้อาวุโสใจเกรงใจไปแล้ว ท่านสสละชีพเพื่อมหาพันภพ ในฐานะคนรุ่นหลัง เราเป็นหนี้บุญคุณพวกท่าน เป็นธรรมดาที่เราจะทำเช่นนี้”
ร่างชุดเทายิ้มอ่อนโยนขณะมองทั้งสอง “ร่างกายของข้าอยู่ได้อีกไม่นาน คงไม่สามารถตอบแทนบุญคุณได้ ถ้าพวกเจ้ามีคำถามอะไรก็ถามมาเถิด ข้าจะตอบอย่างสุดความสามารถ”
เขามองออกว่ามู่เฉินกับจิ่วโยวเหมือนจะสนใจในตัวตนของเขาจากการเป็นสมาชิกวังสวรรค์บรรพกาลมากเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดเปิดทาง มู่เฉินก็ยินดีพลางประสานมือคำนับ “ผู้อาวุโส ท่านเป็นคนจากวังสวรรค์บรรพกาลใช่ไหมขอรับ?”
“ข้าเป็นศิษย์เอกของจอมพลหอสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาล—เซียวชิงหยุน” ร่างชุดเทายิ้มบาง เมื่อเขาพูดถึงวังสวรรค์บรรพกาล ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความทระนงและภาคภูมิอย่างยิ่งกับตัวตนที่เป็นอยู่
“จอมพลหอสี่?” มู่เฉินกับจิ่วโยวมองหน้ากัน ชัดว่าไม่คุ้นกับเรื่องเหล่านี้นัก
“ในอดีตนั้นวังสวรรค์บรรพกาลมีหอฟ้าเจ็ดแห่งและมีจอมพลในแต่ละหอโดยมีเจ้าวังอยู่เหนือพวกเขาเท่านั้น”
พอเห็นความสงสัยบนใบหน้าของทั้งคู่ เซียวชิงหยุนก็ขมวดคิ้วพร้อมกับความร้อนใจวาบในดวงตาจากนั้นก็เอ่ยภามเสียงเบาอย่างลังเล “ไม่รู้ว่ามหาพันภพในปัจจุบันวังสวรรค์บรรพกาลของข้า…”
มู่เฉินยิ้มขมขื่น “ผู้อาวุโสปัจจุบันไม่มีวังสวรรค์บรรพกาลในมหาพันภพแล้วขอรับ”
เซียวชิงหยุนมีสีหน้าชะงักไปแล้วเงียบไปครู่ใหญ่ ดูราวกับว่าพลังชีพหายไปอีกส่วนพร้อมกับเอ่ยรำพึง “แม้แต่วังสวรรค์บรรพกาลของข้าก็ไม่รอดพ้นจากหายนะครั้งนั้นสินะ…”
“ผู้อาวุโสว่ากันว่าวังสวรรค์บรรพกาลซ่อนตัวอยู่ในมิติของทวีปเทียนหลัว จอมยุทธ์ทั่วไปไม่สามารถหาพบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการในวังสวรรค์บรรพกาล ข้าอยากเข้าไปในนั้น ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะพอช่วยเหลือข้าในเรื่องนี้ได้หรือไม่?” มู่เฉินเอ่ยถามอย่างระมัดระวังขณะมองเซียวชิงหยุนด้วยดวงตาฉายแววคาดหวัง
เซียวชิงหยุนชะงักไปก่อนจะเผยรอยยิ้มขื่น “ข้าขอโทษด้วย คนที่สามารถซ่อนวังสวรรค์บรรพกาลเอาไว้มีเพียงเจ้าวังเท่านั้น ความสามารถของเขาอยู่เหนือฟ้า ถ้าเขาต้องการจะซ่อน แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหาวังสวรรค์บรรพกาลได้ที่ไหน”
ครั้นได้ยินคำพูดนี่ หัวใจของมู่เฉินก็เย็นวาบ ตอนแรกเขาคิดว่าเซียวชิงหยุนจะสามารถให้ข้อมูลบางอย่างกับเขาได้ แต่ใครจะคิดว่าเซียวชิงหยุนจะมีความรู้เรื่องนี้น้อยกว่าเขาเสียอีก
พอเห็นสีหน้าของมู่เฉิน เซียวชิงหยุนก็กระอักกระอ่วนใจพลางกระแอมไอ “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไป แม้ข้าจะไม่รู้ว่าวังสวรรค์บรรพกาลอยู่ที่ไหน แต่ข้าเชื่อว่าอาจารย์ของข้า ท่านจอมพลสี่จะต้องรู้แน่”
“จอมพลสี่?” มู่เฉินรู้สึกปวดหัวจี้ด คนโบราณรุ่นนั้นตายไปนานแล้ว แทนที่จะไปค้นหาเขา ไปตามหาวังสวรรค์บรรพกาลซะเลยยังดีกว่า
“อาจารย์ข้าสิ้นชีพในสมรภูมิหยุ่นลั้วเช่นกัน ด้วยความสามารถของเขาก็น่าจะคงปณิธานสุดท้ายไว้ได้แม้จะตายแล้ว หากพวกเจ้าหาเขาพบ ก็น่าจะได้รับข่าวเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาล”เซียวชิงหยุนเอ่ยพลางถอนหายใจเบา
มู่เฉินอึ้งไปขณะแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว จอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลคงจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน นั่นหมายความว่าปณิธานของเขาต้องอยู่ที่หนึ่งในขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแน่นอน แต่กระทั่งมั่นถัวหลัวยังไม่มั่นใจว่าจะหาขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนที่ถูกผนึกไว้ในค่ายกลของสถานที่แห่งนี้เจอ แล้วพวกเขาจะทำสำเร็จด้วยพลังที่มีได้อย่างไร
เซียวชิงหยุนยิ้มให้ทั้งสองขณะล้วงหน้าอกหยิบเข็มทิศดำที่มีอักขระแสงลึกลับออกมา
“แม้ว่าข้าจะเป็นผีดิบมาเนิ่นนาน แต่ข้าก็ยังรับรู้ความเปลี่ยนแปลงในสมรภูมิแห่งนี้ได้ เข็มทิศค้นวิญญาณนี้เป็นวัตถุของวังสวรรค์บรรพกาล มันสามารถค้นหาพลังงานลึกลับในสมรภูมินี้ได้ เพราะเดิมทีวัตถุนี้เป็นของจอมพล มิหนำซ้ำยังมีผนึกที่เขาทิ้งไว้ ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าเข้าใกล้สุสานของจอมพล เข็มทิศนี้ก็จะนำทางให้พวกเจ้าเอง”
ดวงตาของมู่เฉินพราวระยับขณะที่รับเข็มทิศสีดำด้วยหัวใจที่เต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ นั่นเพราะเขารู้ว่าพลังงานลึกลับที่เซียวชิงหยุนบอกคืออะไร นั่นก็คือไอหยุ่นลั้วที่พวกเขาต้องการมากที่สุดนั่นเอง!
นั่นหมายความว่าด้วยเข็มทิศนี้ พวกเขาก็จะระบุที่ตั้งของซากอารยธรรมโบราณได้ สำหรับพวกเขาที่ต้องเก็บรวบรวมไอหยุ่นลั้วมากลั่นเม็ดยา สิ่งนี้จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างมาก
ยิ่งกว่านั้นเข็มทิศนี้ยังช่วยให้พวกเขาระบุพื้นที่สิ้นชีพของจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลได้ ที่นั่นจะต้องเป็นขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแท้จริง หากพวกเขาหาเจอ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาก็จะเจอเป็นกลุ่มแรก!
มู่เฉินกับจิ่วโยวมองหน้ากันด้วยริ้วความปีติยินดีในดวงตา เซียวชิงหยุนให้ของขวัญล้ำค่ากับพวกเขาชัดๆ!
“นี่คือความช่วยเหลือสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้พวกเจ้าได้” เซียวชิงหยุนยิ้มให้ทั้งสองขณะที่ร่างเขาค่อยๆ กำจายแสงออกมาและเริ่มสลายลง เห็นชัดว่าเขามาถึงเวลาจากลาแล้ว
มู่เฉินกับจิ่วโยวมีสีหน้าเคร่งขรึมลงพร้อมกับโค้งคำนับเซียวชิงหยุน ต่อหน้าจอมยุทธ์ที่สละชีวิตเพื่อปกป้องมหาพันภพแล้ว พวกเขารู้สึกเคารพอีกฝ่ายจากส่วนลึกของหัวใจ
“ก่อนที่จิตสำนึกของข้าจะสลายหายไป ให้ร่างข้าได้ใช้พลังสุดท้ายด้วยเถอะ”
เซียวชิงหยุนยิ้มบางขณะไอหยุ่นลั้วไร้ขอบเขตไหลบ่าออกจากร่างเขาทุกทิศทาง ก่อนจะรวมตัวกลั่นเป็นยาหยุ่นลั้วแล้วร่วงลง ช่างดูราวกับสายธารไหลเวียนรอบตัวมู่เฉินกับจิ่วโยว
มู่เฉินกับจิ่วโยวตะลึงไปเมื่อมองสายธารนี้ มองผ่านๆ ยาหยุนลั้วในนี้มีมากกว่าสองร้อยเม็ดเลยทีเดียว มากกว่าเม็ดยาที่ได้จากซากอารยธรรมโบราณระดับสามที่นี่ทั้งหมดเสียอีก
เมื่อไอหยุ่นลั้วสายสุดท้ายเปลี่ยนเป็นยาหยุ่นลั้ว ร่างเซียวชิงหยุนก็กลายเป็นแสงจางหายไป มีเพียงเสียงเบาใจดังก้องโสตประสาทของมู่เฉินกับจิ่วโยวเป็นเวลานาน
“ขอบใจพวกเจ้ามากที่ทำให้ข้าได้จิตสำนึกกลับคืนมาในช่วงสุดท้าย แต่สวรรค์และโลกยังเปลี่ยนแปร หายนะครั้งใหญ่ยังไม่สิ้นสุด ในอนาคตคงถึงคราวของพวกเจ้าที่จะปกป้องโลกนี้”
“หวังว่าโลกเราจะอยู่ไปจนชั่วกัปชั่วกัลป์”
บทที่ 842 ขอความช่วยเหลือ
ในซากอารยธรรมโบราณเงียบสงบ
ขณะที่เสียงของเซียวชิงหยุนสะท้อนก้องอยู่เป็นเวลานาน ร่างกายก็สลายหายไปจนหมดสิ้น มีเพียงยาหยุ่นลั้วที่วนเวียนอยู่รอบร่างมู่เฉินและจิ่วโยว แสดงให้เห็นว่าเขาเคยอยู่ที่นี่มาก่อน
ศิษย์เอกของจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลได้จากโลกนี้ไปตลอดกาล
มู่เฉินมองไปตรงจุดที่เซียวชิงหยุนหายไปก็รู้สึกสงสารเล็กน้อย จากข้อมูลที่ได้จากอีกฝ่าย เขาบอกได้เลยว่าวังสวรรค์บรรพกาลยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดไหน จอมพลทั้งเจ็ดจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ส่วนเจ้าวังก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างแน่นอน
ทว่าแม้แต่พลังอันน่าสะพรึงดังกล่าวก็สูญสลายลง ดังนั้นจึงสามารถบอกได้ว่าการบุกรุกของปีศาจต่างมิติน่ากลัวเพียงใด
สงครามที่ส่งผลกระทบต่อทุกระนาบมิติ เป็นสิ่งที่มู่เฉินในตอนนี้ยังไม่สามารถจินตนาการได้
จิ่วโยวยืนอยู่ด้านข้างก็คลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นบรรยากาศอึมครึม “อย่าเพิ่งคิดมากไป แม้พวกปีศาจต่างมิติจะแข็งแกร่ง แต่มหาพันภพของเราก็ไม่ได้อ่อนแอ ยอดจอมยุทธ์ต่างตื่นระวังอย่างมากต่อพวกมัน”
มู่เฉินพยักหน้าเห็นด้วย นี่เป็นความกลัวที่ไร้เหตุผลสำหรับเขาที่จะคิดไกลเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยขุมพลังที่มีในปัจจุบัน
“ไปกันเถอะ ไม่มีไอหยุ่นลั้วในซากอารยธรรมระดับสามแห่งนี้แล้ว”
จิ่วโยวสะบัดมือเก็บยาหยุ่นลั้วทั้งหมดไป รอยยิ้มหวานกระจายเต็มใบหน้า “คิดรวมทั้งหมดตอนนี้เรามีเม็ดยาสามร้อยกว่าเม็ด ซึ่งเป็นการเก็บเกี่ยวไกลกว่าซากอารยธรรมระดับสามทั่วไป”
มู่เฉินพยักหน้า โดยทั่วไปยาหยุ่นลั้วที่กลั่นได้จากซากอารยธรรมระดับสามจะมีประมาณร้อยเม็ด แต่พวกเขาโชคที่ได้พบกับเซียวชิงหยุนที่มีร่างกายได้รับเชื้อปีศาจต่างมิติ เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าตอนที่มีชีวิตอยู่ แม้พลังจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ไอหยุ่นลั้วในร่างกายก็ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับจอมยุทธ์คนอื่นที่สิ้นชีพในซากอารยธรรมแห่งนี้
แน่นอนว่ายาหยุ่นลั้วปริมาณเท่านี้ไม่ได้น่าตื่นเต้นดีใจเมื่อเทียบเข็มทิศค้นวิญญาณ
มู่เฉินยิ้ม ดวงตาหรี่แคบลง ขณะโยนเข็มทิศสีดำขึ้นลง ตราบใดที่พวกเขามีเข็มทิศนี้ พวกเขาก็จะได้เปรียบในการค้นหาซากอารยธรรม ในการแย่งชิงเม็ดยาหยุ่นลั้ว นี่เปรียบได้กับวัตถุเทพเลยทีเดียว
“ไปเถอะ”
ทั้งสองกวาดมองไปรอบซากอารยธรรมที่ยับเยินไม่มีชิ้นดี จากนั้นก็ไม่ลังเลที่จะอยู่ต่อ พวกเขาทะยานเปลี่ยนเป็นลำแสงออกจากบึงน้ำนี้ไป
ที่ด้านนอกหน่วยรบวิหคโลกันตร์ราวกับคลื่นยักษ์กระจายตัวออกไป พวกเขาเฝ้ามองสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยความระมัดระวัง ในมือกำอาวุธเอาไว้แน่น ร่างกายเหยียดเกร็งราวกับเสือชีตาร์
แม้แต่บนภูเขาที่ไกลออกไปก็ยังมีนักรบวิหคโลกันตร์อยู่ ชัดเจนว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่แห่งนี้ เพื่อป้องกันสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจไปรบกวนมู่เฉินและจิ่วโยวได้
ฟิ้ว!
ลำแสงสองสายทะยานออกมาจากบึงน้ำ จากนั้นก็ปรากฏตัวบนอากาศ แววปีติยินดีฉายบนใบหน้าเหล่านักรบพวกเขารีบโค้งคำนับ
“มีใครเข้ามาใกล้ไหม?” มู่เฉินมองไปที่ชิวซัน ชายผู้นี้เป็นนักรบชั้นยอด ในหนึ่งปีนี้ด้วยความช่วยเหลือของทรัพยากรมหาศาลของหอวิหคโลกันตร์ พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยามนี้เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์พร้อมกับจอมยุทธ์ชั้นสูงอีกสามคนเพื่อฝึกฝนหน่วยรบให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ร่างหอคอยเหล็กของชิวซันประสานกำปั้นทันที “รายงานท่านแม่ทัพ ก่อนหน้านี้มีกองทัพอื่นๆ ที่พยายามจะเข้าใกล้ แต่ถูกไล่ไปโดยพวกเราแล้วขอรับ”
มู่เฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แม้ว่าเขากับจิ่วโยวจะไม่ได้อยู่ด้วย แต่หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็แข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาเพิ่งเข้าร่วมมาก ดังนั้นพวกกองทัพทั่วไปจึงไม่กล้าท้าทายอะไรพวกเขา
“ท่านผู้บัญชาการ ท่านแม่ทัพ เราจะไปไหนกันต่อหรือ?” ชิวซันมองมู่เฉินและจิ่วโยวด้วยไฟแห่งการต่อสู้พล่านในดวงตา ในช่วงปีที่ผ่านมาพวกเขาได้รับทรัพยากรมากมายจากหอวิหคโลกันตร์ ซึ่งช่วยเพิ่มพูนพลังขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เขาก็ทราบถึงสำนวนที่ว่าเลี้ยงดูทหารพันวันเพื่อใช้งานวันเดียว ยิ่งตอนนี้ในสงครามล่าก็เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์
พวกเขาอยากบอกให้มู่เฉินและจิ่วโยวรู้ว่าทรัพยากรที่มอบให้ ไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน
มู่เฉินยิ้ม แผนที่ที่มั่นถัวหลัวมอบให้พวกเขาคงใช้ได้ถึงแค่สถานที่แห่งนี้ หากตามแผนเดิมพวกเขาก็จะคล้ายแมลงวันไร้หัวที่บินไปรอบๆ แล้วดูว่าจะมีดวงพอหาซากอารยธรรมโบราณแห่งอื่นพบหรือไม่ แต่โชคดีที่ตอนนี้พวกเขาสามารถเปลี่ยนทุกอย่างแล้ว
“ถึงเวลาทดสอบประสิทธิภาพวัตถุนี้แล้ว” มู่เฉินยิ้มตาหยีขณะหยิบเข็มทิศค้นวิญญาณสีดำออกมา ก่อนที่จะส่งคลื่นหลิงของตนลงไป ทันใดนั้นอักขระโบราณซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นที่ด้านบนพื้นผิวของเข็มทิศ จากนั้นแสงก็กำจายออก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหน้าจอแสงพร้อมด้วยเส้นที่แสดงถึงภูมิประเทศกระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง
มู่เฉินและจิ่วโยวจ้องมองเข็มทิศอย่างกังวล วัตถุนี้อยู่กับเซียวชิงหยุนตั้งแต่หมื่นปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่ายังใช้ได้หรือไม่ หากมันได้รับความเสียหาย ความยินดีของพวกเขาสลายเป็นอากาศธาตุแน่
เมื่อพวกชิวซันเห็นท่าทางของเจ้านายก็งงงันไป ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทว่าวงแสงของเข็มทิศก็ยังกระจายออกไปไม่หยุด ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ ซึ่งนี่ทำให้มู่เฉินและจิ่วโยวมีสีหน้าดิ่งลง
ทว่าขณะที่พวกเขากำลังเริ่มผิดหวัง เข็มทิศสีดำก็สั่นสะเทือน จุดสีแดงปรากฏขึ้นบนหน้าจอแล้วกะพริบวิบวับไม่หยุด
“มีอะไรบางอย่าง!” ทันใดนั้นดวงตามู่เฉินก็เป็นประกาย
ทันทีที่เสียงของมู่เฉินดังขึ้น จุดอีกจุดก็ปรากฏห่างออกไปจากจุดสีแดงก่อนหน้า ยิ่งกว่านั้นความหนาแน่นของแสงก็เข้มข้นกว่าอีกด้วย
เวลาเพียงไม่กี่วินาที เข็มทิศนี้ก็ค้นพบซากอารยธรรมสองแห่งที่เปี่ยมไปด้วยไอหยุ่นลั้ว
ถ้ากองทัพอื่นรู้ถึงความรวดเร็วในการสำรวจเช่นนี้ละก็ ดวงตาของพวกเขาคงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำไปเลยก็ได้ เมื่อมีวัตถุเทพนี้ช่วยในการค้นหา งานกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วก็ง่ายลงทันตาราวกับเอื้อมมือคว้าเลยทีเดียว
“ไป!”
มู่เฉินและจิ่วโยวเผยสีหน้าอัดแน่นด้วยความประหลาดใจแฝงความยินดี พวกเขาไม่มีความลังเล เคลื่อนหน่วยรบวิหคโลกันตร์ออกจากบึงน้ำไปยังตำแหน่งที่เข็มทิศปักเครื่องหมายเอาไว้
ระหว่างทางกองทัพอื่นๆ ก็หลบหลีกอย่างระวังเมื่อเห็นขบวนของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกขู่ขวัญจากไฟต่อสู้เชี่ยวกรากที่ปลดปล่อยออกมาจากหน่วยรบวิหคโลกันตร์
ส่วนกองทัพที่แข็งแกร่งพอตัวก็ยังไม่อยากปะทะกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในเวลานี้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะล่าถอย เพราะแม้ว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์จะไม่น่าเกรงกลัวอะไรมาก แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่หนุนหลังอยู่ก็เป็นสำนักที่ทรงพลังอย่างแท้จริง ทำให้ขั้วอำนาจต่างๆ ต้องหวาดเกรงในใจ
ด้วยเหตุผลหลายประการ ทำให้การเดินทางของพวกมู่เฉินราบรื่นนัก แม้ว่าจะถูกขัดขาบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนพลของพวกเขามากนัก
ดังนั้นพวกเขาจึงมาถึงจุดแรกที่ปักไว้บนเข็มทิศในสี่ชั่วโมงต่อมา
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก็คือซากอารยธรรมแห่งนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับก่อนหน้า ไม่ได้จัดอยู่ในซากอารยธรรมระดับสามด้วยซ้ำ
ทว่าแม้จะผิดหวัง แต่เนื้อยุงก็ยังเรียกว่าเนื้อ นี่ก็ดีกว่าการค้นหาแบบมั่วซั่วและคว้าอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นด้วยความคิดนี้กลุ่มของมู่เฉินก็กวาดซากอารยธรรมเสียเหี้ยนเต้แล้วกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วออกมาได้ห้าสิบกว่าเม็ด
หลังจากค้นทุกซอกทุกมุม พวกเขาก็ไม่ได้หยุดเดินทางตรงไปยังจุดสีแดงที่สองทันที แล้วซากอารยธรรมแห่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้มู่เฉินผิดหวังเนื่องจากไอหยุ่นลั้วอยู่ในระดับสาม
แต่ขณะที่ยึดซากอารยธรรมระดับสามนี้ ในที่สุดมู่เฉินก็ได้เจอพวกขวางทางที่ชื่อว่าสำนักสงครามสำริดโลหิต พวกเขาถือได้ว่าเป็นกองทัพที่มีคุณภาพค่อนข้างสูง มิหนำซ้ำยังคลั่งการต่อสู้มาก ดังนั้นพวกเขาจึงชื่นชอบการสู้รบมาก ถือเป็นสำนักที่ทำให้หลายขั้วอำนาจในภูมิภาคทางเหนือขยาดกลัว
ดังนั้นเมื่อกลุ่มของมู่เฉินประจันหน้ากับกองทัพสำริดโลหิต พวกเขาก็รู้ทันทีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังจะเร้าวิญญาณสงครามออกมาเตรียมพร้อมสู้ แม่ทัพกองทัพสำริดโลหิตก็ออกคำสั่งให้ถอยทัพทันที ขณะที่ล่าถอยยังได้ยินเสียงสบถด่าเป็นระยะ
“บ้าเอ๊ย มันเป็นสัตว์ประหลาดที่ชำระวิญญาณสงครามได้…”
เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงสบถจากระยะไกล แล้วมองกองทัพสำริดโลหิตที่ถอยออกไปก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทว่าก็ดีที่ได้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าตรงๆ กับศัตรู แต่จากการแสดงออกของกองทัพสำริดโลหิต พวกเขาไม่ได้คลั่งไคล้การรบตามข่าวลือเลย ดังนั้นพวกเขาจึงยังถอยกลับอย่างมีเหตุผล หลังจากรู้ว่าต้องจ่ายราคามหาศาลเพียงใดถ้าคิดจะสู้
ด้วยการล่าถอยของกองทัพสำริดโลหิต ซากอารยธรรมแห่งนี้ก็ตกอยู่ในมือพวกเขา
ซากอารยธรรมระดับสามแห่งนี้สามารถกลั่นเม็ดยาได้สองร้อยเม็ด เมื่อมารวมกันพวกเขาก็รวบรวมเม็ดยาได้ถึงหกร้อยเม็ดแล้ว
ความสำเร็จดังกล่าวถือว่าโดดเด่นมากตามที่จิ่วโยวพูด เพราะเป็นเรื่องยากที่จะสามารถพบซากอารยธรรมระดับสามในเวลาติดๆ กันเช่นนี้ เว้นแต่ว่ากองทัพอื่นๆ ก็มีวิธีที่จะค้นหาไอหยุ่นลั้วเช่นกัน
ฟิ้ว!
หลังจากกวาดซากอารยธรรมแห่งนี้จนหมด มู่เฉินและจิ่วโยวก็ให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์หยุดพักชั่วครู่ ขณะที่ทั้งสองหยิบเข็มทิศออกมาเพื่อค้นหาสถานที่ต่อไป
แต่ขณะที่ทั้งสองตั้งใจจะค้นหาที่ตั้งซากอารยธรรมอื่นๆ ปฏิกิริยาของจิ่วโยวกับมู่เฉินก็เปลี่ยนไปทันที กระจกหัวใจเชื่อมโยงก็ปรากฏขึ้นในมือ นี่เป็นวัตถุที่มั่นถัวหลัวให้ผู้บัญชาการทั้งสิบก่อนที่สงครามล่าจะเริ่มขึ้น
ยามนี้มีแสงสีแดงกะพริบวูบวาบบนกระจก ซึ่งเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ!
เมื่อเห็นแสงนี้ ใบหน้าของมู่เฉินกับจิ่วโยวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง
ผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถึงกับตกอยู่ในอันตรายจนต้องส่งสัญญาณช่วยเหลือออกมา
สงครามล่าอันตรายอย่างแท้จริง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น