หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 831-832
บทที่ 831 เริ่มสงครามล่า
เมื่อสงครามล่ามาถึง
แม้แต่ท้องฟ้าในภูมิภาคทางเหนือก็หนักหน่วง เมฆดำปกคลุมไปทั่ว จอมยุทธ์ทุกคนในภูมิภาคทางเหนือรู้สึกถึงรังสีสังหารแรงกล้าบนท้องฟ้า
ทุกขั้วอำนาจสั่นสะท้านภายใต้รังสีสังหารนี้ แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นสูงที่มีพื้นฐานอ่อนแอก็รู้สึกกระวนกระวานไปด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเพราะในอดีตมีขั้วอำนาจสูงสุดถูกกลืนหายไปในสงครามล่า มากจนกระทั่งผู้ประมุขเหล่านั้นยังไม่สามารถรอดออกมาจากสมรภูมิหยุ่นลั้วได้
ความโหดร้ายนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่ถูกละเว้น
ทุกดินแดนมีกฎระเบียบของตัวเอง ซึ่งกฎของภูมิภาคทางเหนือก็คือแบบนี้ แม้พวกเขาจะรู้ว่าสงครามล่าอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ไม่มีขั้วอำนาจสูงสุดแห่งไหนเลือกที่จะถอยหนีหรือปฏิเสธ
เนื่องจากสมรภูมิหยุ่นลั้วเต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจ แม้แต่จอมยุทธ์ชั้นสูงในขั้วอำนาจสูงสุดเหล่านั้นยังไม่สามารถต้านทานได้ ซึ่งนั่นก็คือของเหลวหลิงเสิน
แม้จอมยุทธ์ยิ่งใหญ่เหล่านั้นจะเป็นเหมือนเทพเซียนในสายตาของคนอื่น แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ถึงสถานการณ์นอกเหนือไป ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่ามีความแตกต่างกว้างใหญ่ระหว่างระดับตี้จื้อจุนแต่ละขั้น ซึ่งพลังนั้นยิ่งใหญ่กว่าและน่าดึงดูดมากกว่า
แต่เนื่องจากขุมพลังตี้จื้อจุนเป็นระดับยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากในการเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของพวกเขา เหมือนกับการทะยานขึ้นฟ้า แต่ของเหลวหลิงเสินในสมรภูมิหยุ่นลั้วจะทำให้ทางที่ทะยานขึ้นไปของพวกเขาสะดวกมากขึ้น
นี่เป็นสิ่งล่อลวงที่ร้ายแรงสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคน
ในอดีตแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตื้จื้อจุนในภูมิภาคอื่นก็ยังถูกล่อหลอกพยายามจะแย่งชิง แต่สุดท้ายพวกเขาก็โดนไล่ตะเพิดจากฝีมือขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือที่ร่วมมือกัน สามารถขับไล่ขั้วอำนาจจากดินแดนอื่นออกไปได้
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำไมจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเหล่านั้นจะสร้างกำลังของพวกเขาในภูมิภาคทางเหนืออย่างขมขื่น ก็น่าจะเป็นเพราะของเหลวหลิงเสินในสมรภูมิหยุ่นลั้ว
ดังนั้นเมื่อสงครามล่าวนมาถึงอีกครั้ง ทั้งภูมิภาคทางเหนือก็แช่อยู่ในรังสีสังหารกดดัน ทุกคนจินตนาการได้ว่าการแข่งขันในสมรภูมิหยุ่นลั้วจะดุเดือดขนาดไหน
นี่เป็นสงครามที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็สิ้นชีพได้…
แค่คิดถึงสงครามทำลายล้างแบบนั้น ก็กระตุ้นความกลัวในใจของคนอื่นๆ ได้แล้ว
ดินแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ภูมิภาคทางเหนือ เขตต้าหลัวเทียน
หอวิหคโลกันตร์
มู่เฉินกับจิ่วโยวยืนตรงหน้าหอสูงพร้อมหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในชุดเกราะสีดำที่ยืนเรียงแถวทั่วลานตรงหน้า
ทุกคนกำจายรัศมีต่อสู้ออกมาเบาบาง แม้แต่คลื่นหลิงรอบตัวก็ดูเหมือนจะหลอมรวมกัน ช่างทรงพลังอย่างยิ่ง
ทั่วทั้งลานตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงใด สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ผู้นำทั้งสองคนที่เบื้องหน้า
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็หลุบตาลงขณะยืนเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร เสื้อผ้าสีดำมองเห็นโครงร่างตั้งตรงที่ดูสงบและสุขุม การฝึกฝนในปีที่ผ่านมาละทิ้งความอ่อนโยนบนใบหน้า แทนที่ด้วยท่าทางสุขุมและสงบนิ่ง
จิ่วโยวยืนอยู่ด้านข้าง เกราะดำรัดเรือนร่างเย้ายวน ทำให้ส่วนโค้งเว้าดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง สั่นไหวกระทั่งหัวใจคนมอง เรียวขายาวเกือบจะทำเอาเลือดกำเดาพุ่งกระฉูด ความสวยปราดเปรียวบวกกับท่าทางเย็นชา ชวนให้ผู้อื่นอยากจะครอบครองนางขึ้นไม่ได้
ที่เบื้องหลังทั้งคู่ก็คือเหล่าสมาชิกที่ไม่ได้ออกศึก โดยมีถังปิงกับถังโหยวยืนนำ
ตึง!
ความเงียบงันคงอยู่ไม่นานเมื่อเสียงระฆังที่อัดแน่นด้วยพลังการต่อสู้ดังขึ้นในเขตต้าหลัวเทียน
รังสีสังหารพวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้าจากส่วนต่างๆ ของเขตต้าหลัวเทียน ครู่ต่อมาเสียงแหวกอากาศหนาแน่นก็ดังขึ้น ขณะที่กลุ่มเมฆดำทะมึนทะยานขึ้นไปเบื้องบน ปกคลุมทั้งผืนฟ้าจนมิดเม้น
เมฆเหล่านี้ก็คือกองทัพติดอาวุธครบมือ เหล่านักรบล่าสังหารที่มีรังสีในการต่อสู้ทรงประสิทธิภาพ
“กองทัพอาณาเขตสวรรค์ จงฟังคำสั่ง…เคลื่อนพล!”
เมื่อรังสีการต่อสู้ไร้ขอบเขตปกคลุมทั่วชั้นฟ้า เสียงของมั่นถัวหลัวก็ดังก้อง ช่างเปี่ยมด้วยพลังอำนาจน่าเกรงขาม
“ตู้ม!”
ท้องฟ้าเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ในตอนนี้ นักรบไร้ที่สิ้นสุดเปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งผ่านเส้นขอบฟ้าราวกับฝูงตั๊กแตน เคลื่อนพลออกจากเขตต้าหลัวเทียน
จิ่วโยวหันไปมองถังปิง “ฝากหอวิหคโลกันตร์ด้วยนะ”
“พี่ใหญ่จิ่วโยววางใจเถอะเจ้าค่ะ พวกเราจะรอคอยพวกท่านนำชัยชนะกลับมา” ถังปิงกับถังโหยวพยักหน้า พวกนางรู้ว่าสงครามล่าน่ากลัวเพียงใด แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังเสี่ยงที่จะถูกทำลาย ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อจบสงครามคนที่กลับมาจะเป็นเหล่ากองทัพอาณาเขตสวรรค์หรือการบุกรุกแย่งชิงของขั้วอำนาจอื่นๆ
มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็พยักหน้า มู่เฉินยกมือขึ้นวาดลงพร้อมกับแววตาเฉียบคมมากขึ้น
“หน่วยรบวิหคโลกันตร์ เคลื่อนพล!”
ร่างมู่เฉินกับจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นร่างแสงทะยานนำออกไปพร้อมกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ยาตราไปบนท้องฟ้าเบื้องล่างพวกเขา ดูราวกับกลุ่มเมฆดทะมึนติดตามคนทั้งสองไม่ห่าง
เมื่อกองทัพใหญ่ยาตราออกจากเขตต้าหลัวเทียน เคลื่อนผ่านพื้นที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็ดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมากให้แหงนเงยขึ้นมอง ทุกคนต่างมีสายตาซับซ้อน แต่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยคำอวยพร ด้วยหวังว่าอาณาเขตสวรรค์จะรอดปลอดภัย หากต้นไม้ใหญ่หักโค่นก็จะไม่เป็นผลดีต่อหมู่นกกา
ขณะที่กองทัพใหญ่เคลื่อนผ่านเขตแดนไป ระหว่างทางก็มีกองทัพทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอยู่เรื่อยๆ จอมยุทธ์เหล่านั้นก็คือกองทัพน้อยใหญ่ภายใต้บังคับบัญชาของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมื่อพวกเขาเข้าร่วมกระบวนทัพ ขบวนแถวก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากขึ้น เมื่อเดินทางก็ดูราวกับกลุ่มเมฆดำทะมึนพลุ่งพล่านไปด้วยรัศมีการต่อสู้ ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากมองด้วยความตกตะลึงท่วมท้น ภายใต้รัศมีการต่อสู้น่าสะพรึงกลัว พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหมุนวนคลื่นหลิงในร่างกาย เพราะกลัวว่ารัศมีของตนเองจะไปดึงดูดการโจมตีจากกองทัพที่น่ากลัวนี้
เผชิญกับกองทัพน่าสะพรึง ย่อมไม่มีใครในขุมพลังต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนกล้าหยุดพวกเขา
เวลาเดียวกับที่กองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์เคลื่อนพล กองทัพจากส่วนอื่นๆ ของภูมิภาคทางเหนือก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเช่นกัน พร้อมกับรัศมีการต่อสู้เชี่ยวกรากกวาดผ่านขอบฟ้าราวกับพายุบ้าคลั่ง
ทั้งภูมิภาคทางเหนือสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นในตอนนี้ ภาพลำแสงพุ่งผ่านขอบฟ้าเหมือนสัญญาณการพิพากษาโลกใกล้เข้ามา
ขั้วอำนาจบางส่วนโชคดีไม่สามารถเข้าร่วมสงครามล่าครั้งนี้ได้เนื่องจากอ่อนแกเกินไป ก็ต่างมองภาพนี้ด้วยความดีใจปนอิจฉา พวกเขาดีใจที่สามารถหลีกเลี่ยงสงครามน่ากลัวได้และอิจฉาเรื่องที่พวกเขาอ่อนแอเกินไปไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะถูกทำลาย
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะดีใจหรืออิจฉา ม่านสงครามล่าน่ากลัวที่สุดแห่งภูมิภาคทางเหนือก็เปิดขึ้นแล้ว
สงครามนี้จะต้องย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีเลือดแน่นอน
สุดทิศตะวันตกของภูมิภาคทางเหนือ
เทียบกับบริเวณเฟื่องฟูอื่นๆ ในภูมิภาคทางเหนือ ดินแดนตะวันตกห่างไกลกลับดูร้างผู้คน เสียงสัตว์อสูรคำรามเป็นระยะ ทำให้ดินแดนผืนนี้ดูเงียบเหงายิ่งกว่าเดิม
ดินแดนนี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกขมุกขมัว รัศมีเยือกเย็นกัดกระดูกจนแม้แต่คลื่นหลิงยังดูน่าขนลุก
ในดินแดนห่างไกล ดูเหมือนจะมีแว่วเสียงเข่นฆ่านับไม่ถ้วน แต่เมื่อมองเข้าไปกลับร้างราวกับเมืองผี…
เมื่อสายตามองไปตรงจุดลึก พื้นดินก็ดูน่ากลัวขึ้นฉับพลัน หุบเหวขนาดหลายแสนแห่งเปิดพื้นดินออกจากกัน
ความกว้างของหุบเหวเหล่านี้อยู่ราวหมื่นจั้ง ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ ในเหวลึกนั้นเป็นอุโมงค์ดำมืดมิด ราวกับทางสู่ปรโลก สายลมกรูขึ้นมาอย่างน่าขนลุก ซึ่งดูเหมือนม่านปราการแยกพื้นที่นี้เอาไว้
ตรงสุดรอยแตก หุบเหวเหล่านั้นปกคลุมไปด้วยรัศมีมืดทึบมีเสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนแว่วมาประหนึ่งกองทัพกำลังพุ่งเข้าโรมรันกันในนั้น
ที่นี่ก็คือขอบสมรภูมิหยุ่นลั้ว ดินแดนต้องห้ามของภูมิภาคทางเหนือ มีเพียงหนึ่งในสิบของจอมยุทธ์จำนวนมากที่เข้าไปหาสมบัติแล้วกลับออกมาได้เท่านั้น
แต่วันนี้ดินแดนทางตะวันตกไกลโพ้นกลับกลายเป็นสถานที่ที่พลุกพล่านมากที่สุดของภูมิภาคทางเหนือ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ภายในพื้นที่รกร้างว่างเปล่า จู่ๆ เสียงลมพัดอู้ก็ดังกึกก้อง ท้องฟ้ามืดมนกระจายออก ร่างคนนับไม่ถ้วนราวกับฝูงตั๊กแตนตั้งแถวหนาแน่นในบริเวณนี้
ในตอนนี้จอมยุทธ์ชั้นสูงแห่งภูมิภาคทางเหนือต่างมาถึงสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้ว!
คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ครางกระหึ่มกวาดผ่านพายุน่ากลัวที่พัดในสมรภูมิหยุ่นลั้ว
ในดินแดนสมรภูมิหยุ่นลั้ว กองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาถึงก็เข้าครอบครองพื้นที่ในรัศมีพันจั้ง ขณะที่ขั้วอำนาจอื่นเมื่อมองเห็นพวกเขาก็ทะยานหนี ไม่กล้าท้าทายอาณาเขตกงเวทสวรรค์อันยิ่งใหญ่
บนยอดเขาโดดเดี่ยว มู่เฉินยืนเงียบๆ ที่เบื้องหน้าก็คือมั่นถัวหลัว สามจอมพลกับเหล่าผู้บัญชาการอื่นๆ ตอนนี้สายตาทุกคนพุ่งตรงไปข้างหน้า
พายุดำมืดที่กวาดตัวออกจากรอยแตกอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นว่าปราการป้องกันของสมรภูมิหยุ่นลั้วอ่อนลงแล้ว
เหล่าจอมยุทธ์มองภาพกว้างใหญ่ไพศาลนี้เงียบๆ เมื่อไรที่พายุสีดำจางหายไป นั่นก็หมายความถึงเวลาที่สงครามล่าเริ่มต้นขึ้น!
ช่วงเวลาดังกล่าวมาถึงอย่างรวดเร็ว
เวลาเพียงสิบกว่านาที พายุสีดำก็จางหายไปจนหมด
ทันทีที่พายุหายไป มู่เฉินก็ได้ยินเสียงโห่ร้องที่เต็มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ดังสะท้อนทั่วดินแดน
มั่นถัวหลัวที่อยู่หน้าสุด ก็ยกมือขึ้นวาดลงอย่างนุ่มนวล
“เริ่มสงครามกันเถอะ!”
** หน่วยรบทั้ง 10 รวมเป็นกองทัพ = กองทัพอาณาเขตสวรรค์ ส่วนกองทัพที่รวมพวกใต้บัญชาการสำนักอื่นเข้าร่วม = กองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์
บทที่ 832 เปิดศึก
ทันทีที่พายุเฮอริเคนสีดำสงบลง
สวรรค์และโลกก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กลุ่มคนเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งไปยังสมรภูมิหยุ่นลั้วทันที ภาพนั้นดูน่าตระการตาอย่างยิ่ง
กองทัพยิ่งใหญ่ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เคลื่อนออกไปภายใต้การนำของมั่นถัวหลัว ดูราวกับมังกรเหินทะยานไปยังรอยแตกลึกพุ่งเข้าสู่สมรภูมิ
เมื่อกองทัพใหญ่เข้ามาในสมรภูมิหยุ่นลั้ว ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาวเสียดกระดูกแผ่ออกมาจนกระทั่งคลื่นหลิงยังไม่อาจต้านทานได้ ความเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนเล็กน้อยในกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ไม่นานก็สงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมของเหล่าผู้บัญชาการ
มู่เฉินยืนตรงหน้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ เขามองบริเวณนี้ด้วยสีหน้าตึงเครียด คลื่นหลิงของเขาถูกขัดขวางไปมาก มิหนำซ้ำยังมีไอหนาวเหน็บเสียดกระดูกปกคลุมรอบตัว แม้จะไม่เป็นอันตรายแต่ก็ทำให้ไม่สบายใจ
“ระวังตัวด้วย มีจอมยุทธ์ไม่รู้เท่าไรล้มตายที่นี่ ดังนั้นจิตสังหารของพวกเขาทำให้คลื่นหลิงในสถานที่แห่งนี้แปดเปื้อน สิ่งพวกนี้เป็นปัญหาใหญ่มากเนื่องจากพวกมันไร้รูปร่าง แต่หากความหนาแน่นมากเกินก็จะกร่อนคลื่นหลิงในร่างและทำให้พลังการต่อสู้ลดลงอย่างมาก” จิ่วโยวเอ่ยเตือน
“ถ้าต้องการจัดการกับสิ่งนี้ เราก็ต้องพึ่งพาพลังงานที่แข็งแกร่งแบบคลื่นหยาง”
“คลื่นหยาง?” มู่เฉินหัวใจสั่น คลื่นหลิงในร่างกายเขาเคยรวมเข้ากับเพลิงอมตะและสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ ซึ่งจากมุมมองหนี่งเปลวเพลิงกับสายฟ้าก็เป็นตัวจัดการพลังงานชั่วร้ายทั้งหลาย
พอคิดได้ดังนี้ เพลิงสีม่วงก็ลุกโชนบนร่างของเขา ทำให้อุณหภูมิสูงแผ่กระจาย ทันใดนั้นความเย็นเยือกเสียดกระดูกก็หายไป แทนที่ด้วยความอุ่นสบายทำให้ใบหน้าตึงเกร็งของมู่เฉินคลายลง
“สมกับเป็นดินแดนต้องห้ามจริงๆ”
มู่เฉินถอนหายใจ สมรภูมิหยุ่นลั้วเป็นดินแดนต้องห้ามสมชื่อ พวกเขาพบกับสิ่งที่ยุ่งยากตั้งแต่เริ่มเข้ามา จนไม่สามารถใช้คลื่นหลิงต่อต้านได้ ต้องใช้พลังงานพิเศษเท่านั้น
หลังจากจัดการกับความหนาวเหน็บเจาะกระดูกแล้ว มู่เฉินก็มองไปรอบๆ สมรภูมิหยุ่นลั้ว บริเวณที่มาถึงเป็นที่ราบสีแดงเข้มปกคลุมด้วยรอยเลือดและรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้นดิน ดูราวกับบาดแผลที่กรีดไขว้พันกันไปมา ทำให้คนมองตกใจได้
ยากที่จะจินตนาการจริงๆ ว่าสงครามในยุคโบราณโหดร้ายเพียงใด
“จริงสิ ทำไมไม่เห็น…ซากศพเผ่าปีศาจเลยล่ะ?” มู่เฉินมองกองกระดูกที่เกลื่อนพื้นก็ขมวดคิ้ว เหมือนรู้สึกมีอะไรบางอย่างขาดหายไป ซึ่งเขาก็คิดได้หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีโครงกระดูกของพวกปีศาจต่างมิติเลย
เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะนี่เป็นสงครามที่โหดร้ายในอดีต ไม่ควรมีแต่โครงกระดูกของจอมยุทธ์ในมหาพันภพเท่านั้น
“พวกปีศาจต่างมิติผิดประหลาด เมื่อตายไปร่างกายของพวกมันก็จะหลอมละลาย เปลี่ยนเป็นรังสีศพ ซึ่งรังสีเหล่านี้ร้ายกาจนัก เมื่อมันแผ่ออกไป แม้แต่คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินก็จะแปดเปื้อน ทำให้ไม่สามารถชำระได้
จิ่วโยวชี้ไปที่ฟ้าดินแห่งนี้แล้วพูดต่อ “สมรภูมิหยุ่นลั้วก็เคยแปดเปื้อนด้วยเช่นกัน แต่หลังจากจบสงครามจอมยุทธ์จำนวนมากได้ใช้ทักษะเทพทำการชำระสถานที่แห่งนี้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ใช้เวลาหลายพันปีกว่าคลื่นหลิงจะกลับคืนสภาพ”
คลื่นหลิงแปดเปื้อน?
สีหน้าของมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป ในดวงตาฉายแววหวาดเกรงและเคร่งขรึม สาเหตุหนึ่งที่มหาพันภพเป็นจุดรวมของพิภพเขตล่างนับไม่ถ้วน ก็เพราะในมหาพันภพมีคลื่นหลิงที่เป็นพลังเหนือชั้น แต่พวกปีศาจต่างมิติร้ายกาจมาก ทักษะเช่นนี้เป็นการฆ่าจอมยุทธ์ทุกคนในมหาพันภพจากต้นตอเลยทีเดียว
เป็นเรื่องยากจะจินตนาการเลยว่าถ้าพื้นที่ส่วนใหญ่ของมหาพันภพสูญเสียคลื่นหลิงไป จะเป็นผลกระทบใหญ่หลวงเพียงใดต่อมหาพันภพ
หากไร้คลื่นหลิง มหาพันภพก็ไม่สามารถสู้กับปีศาจต่างมิติได้แน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นทั้งมหาพันภพก็จะล่มสลายภายใต้การควบคุมของปีศาจต่างมิติ จอมยุทธ์ที่สูญเสียคลื่นหลิงไปก็เท่ากับสูญเสียพลัง ตกอยู่ในการควบคุมของผู้อื่น
“ปีศาจต่างมิติโหดร้ายจริงๆ” มู่เฉินเอ่ยเสียงขรึม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจอมยุทธ์ทุกคนในมหาพันภพถึงถือว่าปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูคู่อาฆาต ในยุคโบราณพวกเขาถึงกับปล่อยวางความแค้นต่อกัน จับมือร่วมกันเพื่อต่อต้านการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
“แม้ในสมัยโบราณสุดท้ายมหาพันภพจะชนะสงคราม แต่จากบันทึกของเผ่าข้า ก็ยังไม่ถือว่าชนะ” จิ่วโยวถอนหายใจเบาๆ
“ไม่ถือว่าชนะ?” สายตาของมู่เฉินหดเกร็ง
“ขนาดของมหาพันภพในปัจจุบันเป็นเพียงครึ่งหนึ่งที่เคยมีในอดีต” จิ่วโยวตอบ
ม่านตามู่เฉินหดเกร็ง ความหวาดผวาในตีขึ้นบนใบหน้า เขามองจิ่วโยวอย่างไม่อยากเชื่อขณะเอ่ยอย่างอึกอัก “งั้นอีกครึ่งที่เหลือ…”
“ถูกพวกเผ่าปีศาจต่างมิติยึดครองไว้ แม้เราจะขับไล่พวกจักรวรรดิปีศาจต่างมิติออกไปได้ แต่มหาพันภพก็สูญเสียอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน เราไม่มีกำลังพอที่จะชิงดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ทำได้เพียงรักษาดินแดนที่ยังเหลือไว้อยู่” จิ่วโยวตอบ
ใบหน้าของมู่เฉินดิ่งลงด้วยความตกใจที่ไม่อาจปิดบังในหัวใจ แม้ตอนนี้เขายังไม่เคยพบปะกับพวกปีศาจต่างมิติ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็เป็นจุดเน่าในหัวใจของทุกคนในมหาพันภพ
“แต่ก็ไม่ต้องกังวลนัก แม้จอมยุทธ์จำนวนมากจะสิ้นชีพในครั้งนั้น แต่ตอนนี้มหาพันภพของเราก็ยังทรงพลังอยู่และไม่ขาดแคลนยอดฝีมือ อย่างเทพจักรพรรดิสงคราม-บิดาของหลินจิ้งที่เราเจอในทวีปซัง และหญิงสาวที่เป็นสหายกับเจ้าในเขตหลงเฟิ่ง บิดานางก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว นอกจากนี้ยังมีเจ้าสุสานอมตา เทพกระบี่ชุดเขียวแคว้นเจี้ยนและจอมยุทธ์อื่นๆ ในตำนาน…”
จิ่วโยวยิ้ม “พวกเขานับเป็นยอดยุทธ์ชั้นสูงแม้แต่ในยุคโบราณ ไม่อาจมองข้ามไปได้ หากพวกปีศาจต่างมิติต้องการจะรุกราน จอมยุทธ์เหล่านี้จะต้องเคลื่อนไหวแน่”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้ยินชื่อยิ่งใหญ่เหล่านั้นจากปากของจิ่วโยว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในใจ นี่แหละเส้นทางแห่งการเป็นยอดยุทธ์
เขาโหยหาวันที่ตนเองสามารถยืนหยัดเคียงข้างยอดยุทธ์ในมหาพันภพ ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่กลัวอุปสรรคใดๆ ที่ขวางทาง
ซู้ด
มู่เฉินสูดหายใจลึกข่มความตื่นเต้นในใจไว้ ภูเขาสูงชันเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องไล่ตามและเขาก็มั่นใจในการก้าวขึ้นไปในระดับความสูงนั้นด้วย เขาเชื่อว่าตนเองสามารถเติบโตไปถึงระดับนั้นได้ เขาต้องการเพียงเวลาที่จะเติบโต
ดังนั้นเขาต้องหาโอกาสทุกอย่างที่จะยกศักยภาพให้ตัวเอง!
บนเนินเขาที่ราบสีแดง ทุกคนจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์มารวมตัวกัน มั่นถัวหลัวยืนเอามือไพล่หลัง แม้ว่าร่างนั้นจะเป็นเด็กสาวตัวน้อย แต่แรงกดดันที่แผ่มาจากนางก็ทำให้แม้แต่สามจอมพลยังต้องโค้งศีรษะลงด้วยความเคารพ
“เราอยู่ในสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้ว ข้าสัมผัสได้ว่าคนอื่นๆ ก็เข้ามาแล้วเช่นกัน ตอนนี้สมรภูมิหยุ่นลั้วคือสมรภูมิรบที่แท้จริง” เสียงของมั่นถัวหลัวดังก้องในโสตประสาทของทุกคน
“ตอนนี้เราเริ่มทำตามแผน ข้าจะค้นหาขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนพร้อมกับสามจอมพล ดังนั้นขอฝากหน้าที่ในการค้นหายาหยุ่นลั้วไว้ที่พวกเจ้า”
มั่นถัวหลัวมองทุกคนเอ่ยต่อ “หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
“เราจะพยายามเต็มที่ขอรับ!” เหล่าผู้บัญชากการเอ่ยตอบพร้อมเพรียง
มั่นถัวหลัวพยักหน้า จากนั้นก็สะบัดมือ ริ้วแสงหลายสายบินไปหาเหล่าผู้บัญชาการ
เมื่อแต่ละคนจับเอาไว้ แสงก็เปลี่ยนเป็นแผ่นหยกที่ดูเหมือนเป็นแผนที่เรียบง่าย ซึ่งแต่ละคนได้รับไม่เหมือนกัน
“บนแผนที่ของพวกเจ้าต่างมีซากอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่ง นี่คือข้อมูลส่วนน้อยที่ได้มา ถ้าต้องการข้อมูลมากกว่านี้ พวกเจ้าก็ต้องพึ่งพาความสามารถตนเองในการค้นหา”
“รับทราบ!” ผู้บัญชาการพยักหน้ารับ
เมื่อเห็นดังนี้ มั่นถัวหลัวก็ไม่พูดให้มากความอีกต่อไป สายตากวาดมองไปหยุดที่มู่เฉินครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้เบาๆ เป็นเชิงบอกให้เขาระวังตัว
ผู้บัญชาการคนอื่นไม่ทันสังเกตท่าทางของมั่นถัวหลัว เพราะตอนนี้นางไม่อาจแสดงความชอบใจใครเป็นพิเศษ
“ในเมื่อเข้าใจกันแล้วก็นำหน่วยรบของพวกเจ้าไปลุยกันได้เลย” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงขรึมหลังจากสูดหายใจ
ทุกคนพยักหน้ากลับไปที่หน่วยรบ แต่ละคนเปล่งเสียงคำราม พื้นดินสั่นสะเทือน หน่วยรบต่างๆ แยกตัวออกจากกองทัพใหญ่เหาะไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
มู่เฉินกับจิ่วโยวไม่ได้แยกกัน เนื่องจากหากแยกกันก็หมายถึงแยกหน่วยรบวิหคโลกันตร์ออก ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีสำหรับทั้งสอง เพราะการบุกเดี่ยวถือว่าเป็นเรื่องอันตรายและไม่ฉลาดในสมรภูมิหยุ่นลั้ว
ดังนั้นทั้งสองคนจึงร่วมมือกันพลางโบกมือนำหน่วยรบวิหคโลกันตร์ออกไป
เมื่อกองทัพแยกออกไปคนละทิศทาง ความยิ่งใหญ่ของกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว มั่นถัวหลัวยืนอยู่บนเนินเขามองผู้คนแยกออกไปก็ค่อยๆ กำหมัดแน่น
ในที่สุดสงครามล่าครั้งนี้ก็เปิดฉากแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น