หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 825-828

 บทที่ 825 มอบตำแหน่งผู้บัญชาการ

มิติเบื้องหน้ามู่เฉินแปรปรวนราวกับระลอกคลื่นน้ำ


ร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นร่างนี้หัวใจตึงเครียดของมู่เฉินก็ผ่อนคลายลงเต็มที่


มั่นถัวหลัวเผยตัวหน้ามู่เฉิน ขณะใบหน้าเย็นชาของนางมองสิงโตคลื่นหลิงอย่างเฉยเมย จากนั้นนางก็กางมือออกตบสิงโตเบาๆ


ปัง!


เพียงแค่การตบเบาๆ กลับทำให้สิงโตคลื่นหลิงที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังยากจัดการแตกสลายราวกับแก้วบาง


ใบหน้าของมั่นถัวหลัวไม่มีอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น นางเอื้อมมือออกไป แสงก็รวมตัวกันบนฝ่ามือก่อร่างเป็นลูกกลมแสง คลื่นหลิงรุนแรงสงบลงราวกับลูกไก่ในกำมือนาง


นางมองลูกกลมแสงก่อนจะยกสายตาจ้องมองอย่างเย็นชาไปยังชิวไท่ยิงที่มีใบหน้าเปลี่ยนเป็นไม่มีสีพลางเอ่ยเสียงไม่แยแส “ตราประทับราชสีห์สุดนภา? ทำไมของที่เป็นเอกลักษณ์ของตำหนักสุดนภาถึงมาอยู่ในมือเจ้าได้?”


ความโกลาหลโดยรอบหายวับไปในตอนนี้ สายตาตะลึงงันนับไม่ถ้วนจับอยู่ที่ร่างชิวไท่ยิง ใครก็รู้ว่าตำหนักสุดนภากับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นศัตรูกัน แต่ชิวไท่ยิงกลับมีวิชาเอกลักษณ์ของตำหนักสุดนภาอยู่กับตัวแล้วจะไม่เป็นที่สงสัยได้อย่างไร?


ชิวไท่ยิงมองใบหน้าไร้อารมณ์ของมั่นถัวหลัวก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าไม่มีสีเลือดอยู่เลย เขารู้สึกเสียใจทันทีที่ใช้ตราประทับราชสีห์สุดนภาออกไป เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสูญเสียสติหลังจากตกอยู่ในความโกรธขึ้งเพราะมู่เฉิน


“ท่าน…ท่านประมุข ตราประทับสุดนภานี้เป็นสิ่งที่ข้าได้มาจากการสังหารผู้อาวุโสคนหนึ่งของตำหนักสุดนภาขอรับ” ชิวไท่ยิงฝืนตัวพูดออกมา


“งั้นหรือ?” ดวงตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวมองชิวไท่ยิง สัมผัสได้ถึงแววตานั่น ชิวไท่ยิงก็รู้สึกว่าทั่วสรรพางค์กายเย็นเยือกไปหมดแล้ว


“วิชานี้ต้องใช้ทักษะเฉพาะถึงจะใช้งานตราประทับราชสีห์สุดนภาได้ ซึ่งมีเพียงผู้อาวุโสบางคนเท่านั้นที่ทำได้ จากคำพูดเจ้าบอกว่าฆ่าผู้อาวุโสของตำหนักสุดนภาไปคนหนึ่งงั้นหรือ?”


รังสีสังหารเย็นเยือกแผ่ออกจากน้ำเสียงเนิบนาบของมั่นถัวหลัว “ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสที่เจ้าฆ่าคือใคร? นอกจากนี้ทำไมถึงไม่รายงานเรื่องใหญ่แบบนี้? ถ้าเจ้าฆ่าผู้อาวุโสของตำหนักสุดนภาได้ ต่อให้เจ้าแพ้ในวันนี้ ข้าก็จะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการให้ทันที”


ทั้งร่างของชิวไท่ยิงสั่นเทิ้มขณะเหงื่อเย็นไหลจนเปียกชุ่มเสื้อผ้า เขารู้สึกหวาดกลัวจับใจเมื่อถูกม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวจ้องมองมา


ทั้งจัตุรัสเงียบกริบ ผู้คนต่างมองไปที่ชิวไท่ยิง แรงกดดันมหาศาลทำให้สติของชิวไท่ยิงพังทลายลงอย่างรวดเร็ว


“ตู้ม!”


เมื่อชิวไท่ยิงทนต่อแรงกดดันไม่ได้อีกต่อไป เขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้แผดคำราม ก่อนที่คลื่นหลิงจะระเบิดออกจากร่างเปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งออกไปที่นอกเขตต้าหลัวเทียนอย่างรวดเร็ว


มั่นถัวหลัวมองชิวไท่ยิงที่หนีอย่างสูญเสียการควบคุมด้วยสายตาเย็นชาก็สะบัดมือเบาๆ ทำให้มิติบริเวณนั้นหยุดนิ่ง ส่วนร่างของชิวไท่ยิงก็ราวกับแมลงวันติดบนกระดาษเหนียวไม่อาจขยับเขยื้อนได้…


มั่นถัวหลัวพลิกนิ้ว ชิวไท่ยิงก็ถูกดึงเข้ามาในลานพิธีอย่างรุนแรงก่อนจะกระแทกพื้น คลื่นหลิงในร่างสลายหายไปจนหมดจากฝีมือของมั่นถัวหลัว ตรึงร่างไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวได้


“พาตัวเขาไป ดูเหมือนตำหนักสุดนภาจะส่งไส้ศึกเข้ามาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยู่ไม่น้อย ข้าคิดว่ามันน่าจะรู้ตัวคนเหล่านั้น”


มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเรียบขณะหน่วยผู้คุมกฎมาถึงคุมตัวชิวไท่ยิงที่คลื่นหลิงในร่างแตกสลายออกไปอย่างรวดเร็ว


ผู้คนมองชิวไท่ยิงที่ถูกพาตัวไป ก่อนจะเบนสายตามาทางมั่นถัวหลัวที่ใบหน้าเย็นชาลงหลายส่วน ยามนี้ไม่มีใครกล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงเพลิงโทสะในใจของมั่นถัวหลัว


มั่นถัวหลัวมองลงมาที่เหล่าจอมยุทธ์ ก่อนเสียงนุ่มนวลจะดังขึ้นข้างหูทุกคน “สงครามล่ากำลังจะมาถึงในไม่ช้า พวกเจ้าควรรู้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร แม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะถูกกลืนกินระหว่างสงครามล่า ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่คงอยู่อีกต่อไป พวกเจ้าก็จะสูญเสียสถานะและที่พึ่งพิงไปด้วย”


หัวใจของเหล่าจอมยุทธ์สั่นสะท้าน ในภูมิภาคทางเหนือที่มีการแข่งขันโหดร้าย หากไม่มีการปกป้องจากขั้วอำนาจใหญ่เช่นนี้ ก็เป็นเรื่องอันตรายหลายเท่า หากคิดจะฝึกฝนด้วยตัวเอง


“ดังนั้นถ้าพวกเจ้าไม่ต้องการสูญเสียที่พึ่งพิงนี้และกลายเป็นเหยื่อของคนอื่น ก็จงแสดงความภักดีออกมา ข้าไม่เคยละเลยกับผู้ที่ภักดีต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์”


“พวกเราจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านประมุขด้วยความจริงใจ” เหล่าจอมยุทธ์ส่งเสียงพร้อมเพรียงด้วยความเคารพนับถือ เหตุผลที่พวกเขาสามารถยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคทางเหนือและเพลิดเพลินกับทรัพยากรทั้งหลายก็เป็นเพราะมั่นถัวหลัว จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่เป็นเกราะกำบังภัยอย่างแท้จริง


มู่เฉินเฝ้ามองภาพนี้เงียบๆ รู้สึกใจสั่นไหวเล็กน้อยกับพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน มีเพียงจอมยุทธ์ดังกล่าวที่สามารถยืนหยัดคุ้มครองคนอื่นได้


ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวเบนไปทางมู่เฉิน “ในเมื่อผลลัพธ์พิธีมอบยศราชันเผยแล้ว ข้าขอประกาศอย่างเป็นทางการว่านับจากนี้ มู่เฉินคือผู้บัญชาการลำดับสิบแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเรา”


สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาที่มู่เฉิน เส้นทางนี้ช่างน่าเหลือเชื่อกับการได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทั้งที่อายุน้อยเท่านี้


เหล่าผู้บัญชาการต่างถอนหายใจพลางพยักหน้า เสี่ยยิงมองไปที่มู่เฉินด้วยความผวาและแววเสียใจฉายในดวงตา เขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะเติบโตรวดเร็วเพียงนี้ หากเขารู้ก็คงไม่ก่อปัญหาให้มู่เฉินตอนนั้นหรอก


การท้าทายคู่ต่อสู้ผู้มีศักยภาพสูงเช่นนี้ ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่โง่เง่านัก


“ในฐานะผู้บัญชาการลำดับสิบ เจ้ามีคุณสมบัติที่จะสร้างกองกำลังของตัวเอง” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉิน พูดโดยทั่วไปก็คือการเป็นผู้บัญชาการจะได้รับทรัพยากรมากมายจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ซึ่งเพียงพอที่จะสนับสนุนในการสร้างหน่วยรบเหมือนกับผู้บัญชาการคนอื่นๆ แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการพัฒนา


ผู้คนจ้องมองไปที่มู่เฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกหอวิหคโลกันตร์ ดวงตาพวกเขาเปี่ยมด้วยความอึกอักและไม่อยากให้ไป


เพราะทันทีที่มู่เฉินสร้างหน่วยรบของตัวเอง เขาก็จะพ้นจากสภาพสมาชิกหอวิหคโลกันตร์ ไม่ได้เป็นแม่ทัพวิหคโลกันตร์อีกต่อไป ถึงตอนนั้นไม่ว่ากองกำลังของเขาจะเข้ากับหอวิหคโลกันตร์ขนาดไหน ก็ต้องแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในตอนนี้แน่นอน


แม้มู่เฉินจะอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้เพียงปีเดียว แต่ทุกคนในหอวิหคโลกันตร์รู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินต่อสู้เป็นตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า หอวิหคโลกันตร์ก็ไม่พัฒนาได้เร็วเช่นนี้หรอก


“คิกๆ มู่เฉินน่าสะพรึงจริงๆ เขาสามารถรับตำแหน่งผู้บัญชาการได้รวดเร็วเหลือเกิน” ในใจของถังโหยวไร้เดียงสานัก นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักรู้สึกเป็นสุขไปกับมู่เฉินด้วย


พอได้ยินประโยคดังกล่าว ถังปิงก็ส่งสายตาถมึงทึงให้น้องสาวหัวทึบพลางกอดอก เพลิงโทสะคุกรุ่น นางไม่มองมู่เฉินที่โดดเด่นในตอนนี้เลย เพราะนางทราบดีว่าการสูญเสียมู่เฉินจะเป็นการทุ่มระเบิดลูกใหญ่ใส่หอวิหคโลกันตร์ แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้โทษมู่เฉินไม่ได้ เพราะตำแหน่งระหว่างผู้บัญชาการและแม่ทัพแตกต่างกันมากจริงๆ


จิ่วโยวดูเฉยเมยกับเรื่องนี้มากที่สุด ไม่เพียงแต่ไม่กังวล นางยังมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้ม ความสัมพันธ์ของนางกับมู่เฉินลึกล้ำมาก พันธะโลหิตผูกเราพี่น้องเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นนางจึงไม่กังวลเกี่ยวกับการที่มู่เฉินจะสร้างกองกำลังของตัวเอง


บนท้องฟ้า มู่เฉินก็อึ้งไปวูบหนึ่งกับคำพูดของมั่นถัวหลัว ก่อนจะเหลือบมองไปทางหอวิหคโลกันตร์ จ้องมองสายตาร้อนรนเหล่านั้นก็เผยยิ้มออกมา “ข้าไม่ต้องการสร้างกองกำลังของตัวเองหรอก ข้าจะอยู่กับหอวิหคโลกันตร์ นั่นคงไม่กระทบกับการที่ข้าได้ทรัพยากรใช่ไหม?”


เขารู้ว่าการสร้างกองกำลังขึ้นมาเองซับซ้อนเพียงใดจากหนึ่งปีที่เขาอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ หากเขาทุ่มเทไปกับสิ่งนี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อการฝึกฝน ดังนั้นเขาไม่อยากขี่ช้างจับตั๊กแตน ทำลายตัวเองเพียงเพราะสิ่งที่เรียกว่ากองกำลังของตัวเองได้


ยิ่งกว่านั้นเขายังใช้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้เต็มที่ ไม่ว่าเขาต้องการจะทำอะไร จิ่วโยวก็ไม่เคยขัดขวาง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องแยกตัวออกมา


มู่เฉินรู้สึกว่าไม่มีอะไรเสียหายกับการตัดสินใจเช่นนี้ แต่เมื่อเขาพูดออกมา ก็ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากถึงกับอึ้งไป เห็นชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนละทิ้งโอกาสที่จะสร้างกองกำลังของตนเอง เพราะถ้าสร้างกองกำลังก็หมายความว่าจะมีหน่วยรบของตน ซึ่งหน่วยรบนั้นจะเป็นของเขาคนเดียวเลย


สมาชิกหอวิหคโลกันตร์อ้าปากตาค้าง แต่เพียงครู่เดียว เสียงโห่ร้องก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่น ทุกคนมองมู่เฉินด้วยสายตาตื่นเต้นระยิบระยับ พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะละทิ้งโอกาสในการสร้างกองกำลังและเลือกอยู่กับหอวิหคโลกันตร์เหมือนเดิม


ถังปิงก็อึ้งไปอดไม่ได้ที่จะมองมู่เฉินก่อนจะจือปาก “เจ้าโง่”


แม้จะเอ่ยประโยคเช่นนั้น แต่ในดวงตากลับฉายแววปีติจนไม่อาจปิดบัง ชายคนนี้มีความสำนึกอยู่บ้าง ความพยายามของนางในการรวบรวมของเหลวจื้อจุนเพื่อการฝึกยุทธ์ของเขาไม่ได้สูญเปล่าแล้ว


จิ่วโยวยิ้ม แม้คำตอบนี้จะไม่ได้เหนือความคาดหมายสำหรับนางนัก แต่สายตานางที่มองมู่เฉินก็อ่อนโยนลงหลายส่วน


บนท้องฟ้า มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินด้วยสายตาประหลาดใจเช่นกัน ก่อนจะยิ้มเอ่ย “ตามสบายเลย ในเมื่อเจ้าละทิ้งโอกาสสร้างกองกำลังของตัวเอง ทรัพยากรทั้งหมดก็จะถูกเติมให้กับหอวิหคโลกันตร์ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าก็สามารถใช้ได้เท่าที่ต้องการเลย”


มู่เฉินพยักหน้าเขยิบเข้าไปใกล้มั่นถัวหลัวพลางกระซิบ “เทียบกับทรัพยากรเหล่านั้น ข้าอยากได้รางวัลที่ตกลงมากกว่า…ฮี่ๆ”


ลงตอนท้ายประโยค มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะสมใจพลางถูนิ้วด้วยกัน ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดก็คือเลือดของเทพอสูรทั้งสิบในการฝึกคัมภีร์หลงเฟิ่ง


มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินที่ตาลุกวาวก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทำได้แค่ก็กลอกตาใส่


“ไม่ต้องห่วง เจ้าได้รับแน่”



บทที่ 826 เตรียมทำศึก

ความปั่นป่วนลดลงจากเสียงอื้ออึงมากมาย


จอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ต่างถอนหายใจ เนื่องจากไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามจะเป็นผู้ชนะในพิธีมอบยศราชัน


สายตาแต่ละคู่เปี่ยมไปด้วยความอิจฉาผสมตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เพราะพลังที่มู่เฉินแสดงในพิธีมอบยศราชันทำให้ทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตกตะลึงกันถ้วนหน้า


ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่บวกกับหลิงเจิ้นต้าซือขั้นตี้ นี่เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้ว แม้แต่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่เต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมาย เขาก็นับได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่โดดเด่นคนหนึ่ง


ดังนั้นไม่ว่าผู้คนจะรู้สึกอิจฉากับความจริงที่มู่เฉินขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการลำดับสิบเพียงใด ก็ไม่มีใครรู้สึกไม่พอใจเลย เพราะในโลกนี้พลังคือหัวใจสำคัญ ซึ่งพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาก็สมควรได้รับการยอมรับและเคารพจากจอมยุทธ์คนอื่นๆ ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้ว


เขาไม่ใช่จอมยุทธ์หน้าใหม่เหมือนหนึ่งปีที่แล้วที่เพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์


ยิ่งกว่านั้นหอวิหคโลกันตร์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินก็ไม่สามารถมองเหมือนในอดีตได้ เมื่อก่อนหอวิหคโลกันตร์เป็นหน่วยรบที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาหน่วยรบทั้งเก้า ได้รับคำติฉินนินทามากมาย แต่หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ หอวิหคโลกันตร์พุ่งทะยานพร้อมกับชื่อเสียงขจรขจายมากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตอนนี้หอวิหคโลกันตร์เป็นหน่วยรบเดียวในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่มีผู้บัญชาการสองคน!


นั่นหมายความว่าทรัพยากรที่หอวิหคโลกันตร์ได้รับจะเป็นสองเท่าของผู้บัญชาการคนอื่นๆ ภายใต้การสนับสนุนทรัพยากรมหาศาลนี้ ไม่ต้องบอกเลยว่าหอวิหคโลกันตร์จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเพียงใด


บางทีในอนาคตสถานะของหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะเปลี่ยนไป… ดังนั้นจึงเป็นเรื่องโง่เง่ามากที่จะท้าทายมู่เฉินกับจิ่วโยวในตอนนี้


ในพิธีมอบยศราชันนี้ นอกจากมู่เฉินจะเป็นผู้ชนะ เจ้าเมืองเทียนหลัว—ฉินจงก็ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยด้วยเช่นกัน แม้เขาจะไม่ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ แต่ผลงานที่เขาสร้างคุณูปการต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์มาหลายครั้ง มั่นถัวหลัวก็ให้คำมั่นว่าจะช่วยเขาให้บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าให้จงได้ เมื่อใดที่เขาสามารถบรรลุขุมพลังดังกล่าว เขาก็จะได้รับการอวยยศเป็นผู้บัญชาการลำดับที่สิบเอ็ดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หลังจากสงครามล่าจบ


เกียรติยศนี้ทำให้ฉินจงรู้สึกตื่นเต้นยินดีนัก จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็เกิดความอิจฉา มั่นถัวหลัวใช้โอกาสนี้ยืนกรานว่าในสงครามล่านี้จะมีรางวัลให้ผู้ที่มีผลงานทุกคน นอกจากนี้รางวัลก็ยังเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้บัญชาการทุกคนยังตาลุกวาว ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์คนอื่นๆ เลย ดังนั้นบรรยากาศทั่วอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงคุโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้


เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ มู่เฉินก็อดเบ้ปากไม่ได้ มั่นถัวหลัวมีทักษะในการควบคุมคนนัก นางสมกับเป็นประมุขหนึ่งเดียวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


หลังพิธีมอบยศราชันปิดฉากลง มู่เฉินก็อยู่ในหอวิหคโลกันตร์เพื่อฝึกยุทธ์เงียบๆ และรักษาเสถียรภาพคลื่นหลิงที่วุ่นวายจากการบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ นอกจากนี้เวลาที่เหลือก็นำไปใช้ในการฝึกหน่วยรบวิหคโลกันตร์ สงครามล่ากำลังมาถึง มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ค่อยๆ ตึงเครียดลงหลายส่วน


แม้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาจะเป็นขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ แต่ในสงครามล่าทุกครั้ง ก็ยังมีขั้วอำนาจสูงสุดถูกทำลายและกลืนกินด้วยขั้วอำนาจสูงสุดอื่น จอมยุทธ์ในขั้วอำนาจเหล่านั้นทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอดหรือยอมสวามิภักดิ์สำนักอื่น แต่ความพ่ายแพ้ที่เกิดก็ทำให้พวกเขาเป็นที่เย้ยหยันไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม


ดังนั้นสงครามล่าจึงเกี่ยวข้องกับตนเองโดยตรง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ตนเองกลายเป็นสุนัขจรจัด พวกเขาจึงต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์สามารถอยู่รอดในสงครามล่าได้


ดังนั้นทั่วทั้งสำนักจึงอยู่ในสภาวะเตรียมทำศึกในช่วงนี้ บรรยากาศคุกรุ่นและตึงเครียดปกคลุมไปทั้งดินแดน


หอวิหคโลกันตร์ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากบรรยากาศนั้น แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับตำแหน่งแล้ว แต่หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็ยังอยู่ใต้การควบคุมของเขา ด้วยการขยายขนาดของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในปีที่ผ่านมา ขนาดก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว บวกกับทรัพยากรในการฝึกที่อุดมสมบูรณ์ของหอวิหคโลกันตร์ ตอนนี้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็ถือได้ว่าเป็นกองกำลังทรงพลังที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าปีที่แล้วหลายเท่า


จากการคาดคะเนของมู่เฉิน เขาอาจจะต้องยืมพลังของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในสงครามล่า ดังนั้นเขาจะทำตัวตามสบายไม่ได้ เขาต้องรีบสร้างความสัมพันธ์กับนักรบเหล่านี้


หอวิหคโลกันตร์ ภายในลานฝึกกว้างใหญ่


นักรบวิหคโลกันตร์อยู่ในชุดเกราะดำกำลังฝึกฝนอยู่ในลาน ทุกคนนั่งเงียบๆ ขณะรัศมีจั้นยี่สีดำเมื่อมพวยพุ่งออกจากร่างกายรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือพวกเขา


รัศมีจั้นยี่นี้เหมือนมหาสมุทรสีดำถั่งโถมที่เต็มไปด้วยเสียงคำรามทำให้ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเบาๆ


ที่เบื้องหน้า มู่เฉินนั่งอยู่บนรูปปั้นสิงห์ สองมือวาดตราประทับ ดวงตาหลับลงเล็กน้อย คลื่นหลิงสายหนี่งยิงออกจากร่างกายเขา พุ่งเข้าไปในรัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทรเหนือหน่วยรบวิหคโลกันตร์


คลื่นหลิงของเขาว่ายวนอยู่ในรัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ไพศาล หากมู่เฉินต้องการควบคุมรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ เขาก็ต้องให้รัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบยอมรับเขา


ในอดีตความเข้ากันได้ของมู่เฉินกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์นับว่าดีไม่น้อย แต่เนื่องจากช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับศึกมังกรหงส์และพิธีมอบยศราชัน บวกกับการขยายของหน่วยรบวิหคโกลันตร์ ความเข้ากันได้จึงด้อยลงหลายส่วน ตอนนี้ในเมื่อมีเวลาแล้ว เขาก็ต้องรีบใช้เวลาทำความคุ้นชินกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์


มู่เฉินใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการทำความคุ้นเคยระหว่างพวกเขาก่อนที่จะลืมตามองหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่ดูราวมหาสมุทรสีดำ ในม่านเมฆสีดำหนาทึบของรัศมีจั้นยี่เหนือร่างนักรบ เสียงดังกระหึ่มออกมา ฟังคล้ายกับสายฟ้าฟาดจนทำให้เกิดความหวาดกลัวในจิตใจของคนฟัง


บางทีพลังของนักรบวิหคโลกันตร์คนเดียวอาจไม่ใช่สิ่งน่ากลัวในสายตาของมู่เฉิน แต่หากรัศมีจั้นยี่มารวมตัวกัน แม้แต่เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย


จากการคาดเดาของเขา หากสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ที่มี แม้แต่จอมยุทธ์ที่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ามาหลายปีเขาก็สามารถสยบได้อย่างง่ายดาย


“แม้หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะทรงพลัง แต่ก็ยังด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ” มู่เฉินถอนหายใจขณะมองหน่วยรบวิหคโลกันตร์ แม้ว่าพลังของหน่วยรบวิหคโลกันตร์จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย แต่ก็มีช่องว่างพลังขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขากับกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ อย่างหน่วยรบกงเวทสวรรค์


แต่เนื่องจากความจริงที่หน่วยรบกงเวทสวรรค์ทรงพลังเกินไป มู่เฉินจึงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุมรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ถึงขนาดที่มู่เฉินเดาว่าแม้แต่แม่ทัพใหญ่อย่างฮั่วเม่ยเอ๋อก็ไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่กงเวทสวรรค์ได้อย่างเต็มกำลังนัก


มีนักรบพันคนในหน่วยรบกงเวทสวรรค์และทุกคนล้วนมีขุมพลังจื้อจุน หากรัศมีจั้นยี่น่ากลัวถูกควบคุมได้ละก็ บางทีอาจมีแค่มั่นถัวหลัวกับสามจอมพลที่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้


“สงครามล่าคงเป็นสถานที่ที่จะใช้ประโยชน์จากกองทัพ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ในสงครามล่าพลังของตัวคนเดียวจะเหลือน้อยนิด เว้นแต่จะแข็งแกร่งเท่ากับสามจอมพล มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพึ่งพาพลังของกองทัพ


“ดูเหมือนสงครามล่าจะไม่ง่ายซะแล้ว”


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจขณะเงยหน้ามองออกไปนอกหอวิหคโลกันตร์ เมื่อสงครามล่ากำลังจะมาถึง เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศทั่วอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หน่วยรบของผู้บัญชาการทั้งหลายขัดเกลาตนเองทุกวัน สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่แผ่ออกมาจากที่ไกล มากจนแม้แต่จิ่วโยวก็เริ่มเก็บตัวฝึกยุทธ์ ทิ้งภาระหน้าที่หอวิหคโลกันตร์ไว้ให้เขา แต่โชคดีที่มีผู้ดูแลอย่างถังปิงอยู่ ไม่งั้นเขาคงมีความคิดที่จะหนีเลย


แต่จากเรื่องนี้ก็เห็นได้ว่าสงครามล่าโหดร้ายเพียงใด แม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะยังคงอยู่ในภูมิภาคทางเหนือหลังจากสงครามล่าครั้งนี้หรือไม่


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หัวใจของมู่เฉินก็หนักอึ้งกว่าเดิม แม้จะมีคนที่เขาไม่ชอบ แต่สำนักก็ได้คุ้มครองเขา ทำให้พลังเขาพุ่งทะยานทะลุเพดานในปีที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงสำนึกบุญคุณของอาณาเขตกงเวทสวรรค์นัก


ไม่ต้องพูดถึงมั่นถัวหลัวยังเป็นประมุขปกครองอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินรู้สึกดีกับราชินีน้อยสองหน้าที่ดูน่ารัก แต่มีพลังล้ำลึกอย่างแท้จริง เนื่องจากมั่นถัวหลัวให้ความช่วยเหลือเขาค่อนข้างมากตลอดปีที่ผ่านมา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขารู้สึกได้ว่ามั่นถัวหลัวไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่อยู่เหนือสถานะที่เป็นอยู่แล้ว


ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับมู่เฉินที่จะยอมรับหากอาณาเขตกงเวทสวรรค์พ่ายแพ้และถูกกลืนกินด้วยสำนักอื่นในสงครามล่า


“ดูเหมือนข้าต้องพยายามทำในส่วนของตนให้เต็มที่แล้ว” มู่เฉินยิ้มขมขื่น ด้วยความสัมพันธ์แทบจะขบหัวกันกับตำหนักสุดนภา หลิ่วเทียนเต้าไม่ปล่อยเขาไปแน่หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ล่มสลาย


มู่เฉินส่ายหน้าสะบัดมือ จากนั้นก็โบกมือสั่งให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ฝึกฝนต่อไป


ฮึ่ม!


แต่ทันทีที่มู่เฉินลดมือลง เขาก็เห็นมิติกระเพื่อมตรงหน้า ร่างน้อยเดินหมดแรงออกมาจากมิติบิดเบี้ยว นางสะบัดมือ ขวดหยกสิบขวดลอยมาหามู่เฉิน


เมื่อขวดหยกพุ่งเข้ามาหามู่เฉิน เสียงนุ่มนวลแฝงความหมั่นไส้ก็ดังขึ้น


“เอาไป เลือดเทพอสูรทั้งสิบของเจ้า”


“เจ้าบ้า ข้าต้องตระเวนโรงประมูลใหญ่ทั่วภูมิภาคทางเหนือเชียวนะ เพื่อจะรวบรวมเลือดเทพอสูรทั้งสิบนี่!”



บทที่ 827 ของเหลวหลิงเสิน

มู่เฉินยื่นมือออกรับขวดหยกอย่างรวดเร็ว


สายตามองเลือดกลั่นสีต่างๆ ที่บรรจุคลื่นหลิงบริสุทธิ์และทรงพลังอย่างยิ่ง เขาอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้น


ด้านหน้าตรงมิติบิดเบี้ยวก็คือมั่นถัวหลัวที่ยืนอยู่ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเผยออกมา เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน นางก็จือปากอย่างไม่พอใจ


“นี่คือเลือดเทพอสูรเหรอ? เจ้าไปซื้อมาจากโรงประมูลหรือ?” มู่เฉินถือขวดหยกทั้งสิบพร้อมกับข่มความลิงโลดในใจขณะเอ่ยถาม


“ก็ใช่น่ะสิ หรือเจ้าอยากให้ข้าตามล่าพวกเทพอสูรแล้วสังหารคั้นเลือดออกมาล่ะ? เจ้าคิดหรือว่าเทพอสูรพวกนั้นเป็นสัตว์อ่อนแอที่สังหารได้ง่ายๆ รึไง?”


มั่นถัวหลัวกลอกตาใส่มู่เฉินเอ่ยต่อ “เพื่อเลือดกลั่นเทพอสูรพวกนี้ ข้าต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนปริมาณมหาศาล โชคดีที่โรงประมูลพวกนั้นยังเห็นว่าข้าเป็นผู้ปกครองอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็เลยขายพวกมันให้ข้าในราคาที่ถูกหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นคนอื่นต่อให้มีของเหลวจื้อจุนอยู่มากแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อพวกมันได้หรอก”


เมื่อได้ยินมู่เฉินก็พยักหน้าเขารู้ว่าเลือดเทพอสูรที่เขาต้องการไม่ใช่ของธรรมดา โดยมีหนึ่งหรือสองตัวจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของบันทึกหมื่นอสูร โดยทั่วไปแล้วแก่นเลือดเทพอสูรพวกนี้หายากและมีราคาสูง จึงเป็นเรื่องยากที่จะรวบรวมในคราเดียวได้


เหตุผลที่โรงประมูลยอมขายเลือดเทพอสูรให้กับมั่นถัวหลัว ก็เพราะพวกเขาเห็นนางเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ไม่เช่นนั้นหากมู่เฉินไปด้วยตัวเอง ก็คงจะกลับมามือเปล่า


“ขอบใจนะ”


มู่เฉินถือขวดหยกเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ เขารู้ว่าการให้มั่นถัวหลัวไปรวบรวมเลือดเทพอสูรที่เขาต้องการแทนรางวัลมีการโกงนางอยู่บ้าง เพราะจากมุมมองหนึ่งเขาก็มีความรับผิดชอบในการแก้ต่างเรื่องของมั่นถัวหลัวในฐานะสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์และไม่มีคุณสมบัติที่จะเสนอเงื่อนไข


ไม่เพียงแต่มั่นถัวหลัวจะไม่ถือเรื่องนี้ นางยังใช้ความพยายามและเงินทองมหาศาลในการรวบรวมแก่นเลือดเทพอสูรมาให้เขา หลายวันที่ผ่านมานางไม่ได้ปรากฎตัวเลย ดูจากท่าทางเหนื่อยล้าของนาง เขาก็เดาได้ว่าช่วงนี้นางคงตระเวนไปทั่วในภูมิภาคทางเหนือเพื่อรวบรวมแก่นเลือดเทพอสูรเหล่านี้มา


การกระทำของนางทำให้มู่เฉินรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา


ใบหน้ามั่นถัวหลัวที่รู้สึกไม่ค่อยพอใจหลังเดินทางไปทั่วในตอนแรก ก็ฉายแววไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอบคุณอย่างจริงใจจากมู่เฉิน ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทุกคนต่างเคารพเทิดทูนนาง เป็นไปไม่ได้เลยที่คนอื่นจะปฏิบัติกับนางเหมือนที่มู่เฉินทำ เพราะนางรู้สึกได้ว่าเมื่อมู่เฉินพูดคุยกับนาง เขาไม่ได้ปฏิบัติกับนางในฐานะประมุขแต่เป็นสหายคนหนึ่ง


นี่เป็นความรู้สึกที่ทำให้นางสบายใจ บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกนี้ทำให้นางปิดหูปิดตากับการกระทำท้าทายในบางครั้งของมู่เฉิน


แต่ด้วยความภาคภูมิใจที่ฝังลึกในกระดูก นางก็ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็น ดังนั้นใบหน้าของนางจึงตึงขึ้นพร้อมกับเอ่ยท่าทีเป็นการเป็นงาน “ในฐานะประมุข ข้าต้องทำตามวาจาตนเอง เจ้าช่วยข้าจัดการชิวไท่ยิง ดังนั้นแก่นเลือดเหล่านี้เป็นรางวัลสำหรับเจ้า”


มู่เฉินยิ้ม ไม่หยอกล้อกับเจ้าดินแดนหยิ่งทระนงตัวน้อยอีก “แล้วตอนนี้เรื่องของชิวไท่ยิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”


พอพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของมั่นถัวหลัวก็ค่อยๆ ขรึมลง “เป็นอย่างที่ข้าคิด ตำหนักสุดนภาส่งสายลับแฝงเข้ามาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์หลายคนและชิวไท่ยิงก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ข้าจัดการง้างปากเอารายชื่อมาแล้ว ต่อไปก็แค่ตามน้ำไปลากพวกคนต้องสงสัยมาจัดการให้เร็วที่สุด”


มู่เฉินพยักหน้า เรื่องนี้เขาช่วยอะไรไม่ได้ แต่ด้วยความสามารถของมั่นถัวหลัวก็คงจัดการได้อย่างละเอียด


“ยังมีเวลาอีกสองเดือนก่อนจะถึงสงครามล่า… เจ้าบอกข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสงครามมั่งได้ไหม? ตอนนี้ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตกงเวทสวรรค์… ดังนั้นหากเป็นไปได้ข้าก็อยากจะมีส่วนร่วมเช่นกัน” มู่เฉินถามขณะมองมั่นถัวหลัวหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง


แม้เขาจะได้ยินมามากเกี่ยวกับสงครามล่า แต่ก็ยังไม่รู้รายละเอียดมากนัก


มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินก่อนจะยืดเอวนั่งลงข้างเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือย “จริงๆ แล้วไม่มีอะไรพูดมากนักหรอก สงครามล่าเป็นสงครามโหดร้ายที่กฎการอยู่รอดนิยามได้ตรงที่สุด แม้ว่าจะมีขั้วอำนาจชั้นยอดมากมายในภูมิภาคทางเหนือ แต่ก็เหมือนกับสถานที่หนึ่งที่หมาป่ามารวมตัวกัน ไม่ใช่สถานที่ที่เสือเป็นเจ้าป่าหรอกนะ”


“งั้นสงครามล่าก็คือมีหมาป่าอยากจะเป็นเสือใช่ไหม?” มู่เฉินถามขณะที่ดวงตาวูบไหว


“ในโลกนี้ไม่ขาดคนทะเยอทะยานหรอก” มั่นถัวหลัวพูดต่อ “มีเพียงการรวมภูมิภาคทางเหนือเป็นหนึ่งถึงจะโดดเด่นขึ้นในทวีปเทียนหลัว จนกลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจยอดเยี่ยมของมหาพันภพได้”


“นี่เป็นกฎที่ไม่ได้พูดในภูมิภาคทางเหนือ ไม่มีใครรู้ว่าสืบทอดมาตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อใดที่กฎตายตัวก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ เพราะถ้าเปลี่ยนแปลงก็หมายความว่าต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับขั้วอำนาจทุกแห่ง”


“ดังนั้นสงครามล่าจึงสืบทอดกันจนถึงทุกวันนี้ แต่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีเสือปรากฏตัว… แต่ข้าคิดว่าอาจจะปรากฏตัวในครั้งนี้ก็ได้” เมื่อพูดถึงจุดนี้ แสงสายหนึ่งก็วาบผ่านม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัว


มู่เฉินตกใจเล็กน้อยมองไปที่มั่นถัวหลัว “ทำไมเหรอ?”


“เจ้ารู้ตำแหน่งของสงครามล่าหรือไม่?” มั่นถัวหลัวหันหน้ามาและเอ่ยถาม


มู่เฉินอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “สมรภูมิหยุ่นลั้ว?”


สมรภูมิหยุ่นลั้วคือดินแดนต้องห้ามในภูมิภาคทางเหนือ ว่ากันว่าในยุคโบราณเมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาในมหาพันภพ สงครามก็กระจายเข้ามาในภูมิภาคทางเหนือ เกิดเป็นสงครามทำลายล้างมหาทวีปแห่งนี้


และสมรภูมิหยุ่นลั้วก็เป็นหนึ่งในสมรภูมิของเหตุการณ์ครั้งนั้น จอมยุทธ์จำนวนมากล้มหายตายจากในสงคราม ดังนั้นคนรุ่นหลังจึงเรียกสถานที่แห่งนั้นว่าสมรภูมิหยุ่นลั้ว ความโหดร้ายก็เห็นได้จากชื่อที่บ่งบอกถึงการตายตกตามกันไป


สมรภูมิหยุ่นลั้วมีชื่อเสียงมากในภูมิภาคทางเหนือ เนื่องจากมีมรดกจำนวนมากอยู่ในนั้น มีกระทั่งมรดกของจอมยุทธ์ตี้จื้อจุน ดังนั้นจึงดึงดูดคนจำนวนมากให้เข้าไป


แต่มีน้อยคนที่เข้าไปค้นหาสมบัติในสมรภูมิหยุ่นลั้วจะกลับออกมาได้ นั่นเพราะมีจอมยุทธ์จำนวนมากล้มตายอยู่ในสมรภูมิหยุ่นลั้ว ทำให้คลื่นหลิงภายในรุนแรงราวกับภูเขาไฟ เกิดพายุผลึกวิญญาณก่อตัวขึ้นเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังหวาดกลัว


ดังนั้นเมื่อจำนวนคนที่ตายตกอยู่ในสมรภูมิหยุ่นลั้วมีมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นั่นจึงกลายเป็นดินแดนชั่วร้ายต้องห้ามของภูมิภาคทางเหนือ


“ถูกต้อง สมรภูมิหยุ่นลั้ว” มั่นถัวหลัวพยักหน้าเอ่ยต่อ “ในยุคโบราณมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนบางคนสิ้นชีพในนั้น ซึ่งจุดประสงค์ของสงครามล่าครั้งนี้ก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเหล่านั้น”


สายตามู่เฉินหดลง


“รู้จักของเหลวหลิงเสินไหม?” มั่นถัวหลัวถามขึ้นอีกครั้ง


มู่เฉินส่ายหน้างงๆ


“เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนดับสูญ จุดจื้อจุนไห่จะสลายลงเมื่อเวลาผ่านไปและเมื่อจุดจื้อจุนไห่สลายจนถึงขีดสุด ก็จะก่อตัวเป็นของเหลวหลิงเสิน สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน” มั่นถัวหลัวเลียริมฝีปากเบาๆ พูดถึงของเหลวหลิงเสินแม้แต่ดวงตาของนางก็ยังฉายแววละโมบ


“ของเหลวหลิงเสินเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอย่างพวกเรา… แต่พายุผลึกวิญญาณในสมรภูมิหยุ่นลั้วน่ากลัวมาก มีเพียงช่วงเวลาพิเศษที่พายุจะอ่อนกำลังลง ถึงตอนนั้นสงครามล่าก็จะเริ่มขึ้น”


“หมู่ตึกเทวะเข้าสู่สงครามล่ามาทั้งหมดห้าครั้งและเป็นสำนักที่ได้รับของเหลวหลิงเสินมากที่สุดในบรรดาขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือ… จากที่ข้ารู้มา ประมุขหมู่ตึกเทวะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นระยะปลายสุดและสัมผัสขั้นปลายแล้ว หากเขาได้รับของเหลวหลิงเสินในครั้งนี้อีก เขาก็อาจบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้สำเร็จ”


“นอกจากเขาก็ยังมีจวนยมโลกกับประมุขขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ที่มีความเป็นไปได้เช่นกัน…”


สีหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งขรึมลง “และเมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายปรากฏตัว ก็จะไม่มีใครในภูมิภาคทางเหนือหยุดยั้งเขาได้ ถึงตอนนั้นเขาก็จะกลายเป็นพยัคฆ์ รวบรวมภูมิภาคทางเหนือให้เป็นปึกแผ่น”


“ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย?” มู่เฉินขมวดคิ้ว ระดับนั้นช่างห่างไกลและไม่คุ้นเคยกับเขา


มั่นถัวหลัวเหลือบตามองมู่เฉินและอธิบาย “มีการแบ่งขั้นในระดับตี้จื้อจุนเหมือนกัน ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามขั้นได้แก่ต้น-ปลาย-เต็ม”


“ทุกขั้นมาพร้อมกับช่องว่างพลังขนาดใหญ่ ตอนนี้ในภูมิภาคทางเหนือประมุขทั้งหลายมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น ทันทีที่ประมุขหมู่ตึกเทวะบรรลุขุมพลังในสงครามล่าครั้งนี้ สถานการณ์ก็จะลำบากอย่างมาก”


สายตาของมู่เฉินเคร่งขรึมลงเช่นกัน นี่คือโลกของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสินะ แต่ไม่คิดเลยว่าความแตกต่างระหว่างแต่ละขั้นในระดับตี้จื้อจุนจะมากขนาดนี้


ฟังจากคำพูดของมั่นถัวหลัว เขาก็บอกได้ว่าของเหลวหลิงเสินมีแรงดึงดูดบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมากเพียงใด


และที่มาของสงครามล่าอันโหดร้ายนี้ก็คงเป็นของเหลวหลิงเสิน


“ไม่รู้ว่าท่านปู่ของลั่วหลีอยู่ในขั้นไหนแล้ว?” ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของมู่เฉินขณะที่นึกถึงตอนที่พบกับลั่วเทียนเสิ่นในสำนักศึกษาเป่ยชาง แต่จากการคาดเดาของเขา ลั่วเทียนเสิ่นน่าจะแข็งแกร่งกว่ามั่นถัวหลัว


“สงครามล่านี้คงจะเป็นสงครามสั่นสะเทือนที่สุดในประวัติศาสตร์..” มั่นถัวหลัวยิ้มบางขณะเงยหน้าขึ้น ในดวงตาไม่ปรากฏแววหวาดกลัว กลับเต็มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชน


นางมองขอบฟ้าไกลโพ้นรอยยิ้มสายหนึ่งผุดบนมุมปาก


“มาดูกันว่าครั้งนี้ใครจะบรรลุก่อนกัน!”



บทที่ 828 เลือดเทพอสูรชำระกายา

บนรูปปั้นสิงห์ในลานฝึก


มู่เฉินมองม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวที่เปี่ยมด้วยไฟการต่อสู้ภายใต้แสงตะวันที่ส่องลงมาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น


ไม่คิดว่าประมุขร่างน้อยจะบ้าบิ่นได้ลึกถึงกระดูกแบบนี้ สำนักอื่นๆ อาจหวาดกลัวสงครามล่า แต่สำหรับนางกลับตั้งตารอ


ทว่าขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ไม่ใช่ลูกแกะที่สามารถฆ่าได้ง่ายๆ พวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่สามารถสั่นสะเทือนภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดได้ด้วยการกระทืบเท้าครั้งเดียว


มู่เฉินเม้มปาก แม้สงครามล่าจะยังไม่มาถึง แต่เขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ แล้ว ไม่รู้ว่าขั้วอำนาจสูงสุดใดจะถูกกลืนกินในสงครามครั้งนี้…


แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ผลลัพธ์ก็ย่อมสั่นสะเทือนภูมิภาคทางเหนืออย่างแน่นอน ทรัพยากรและดินแดนของหนึ่งขั้วอำนาจสูงสุดเพียงพอที่จะทำให้คนอื่นตาลุกวาว


ไฟในดวงตามั่นถัวหลัวค่อยๆ ถอยกลับไป นางมองมู่เฉินด้วยม่านตาสีทองคำก็ยิ้มหวานออกมาโดยไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า “เจ้ารู้เกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลหรือไม่?”


พอได้ยินชื่อคุ้นเคย ร่างกายของมู่เฉินก็สะดุ้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมั่นถัวหลัวด้วยความดีใจ แม้แต่หัวใจของเขาก็เต้นรัวแรง


เป้าหมายในตอนแรกที่เขามายังทวีปเทียนหลัวพร้อมกับจิ่วโยวก็เพราะวังสวรรค์บรรพกาลไม่ใช่หรือ?!


นั่นเป็นเพราะมีหน้ารายการนิรันดร์อีกหน้าในวังสวรรค์บรรพกาลที่จะสามารถวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะของเขาได้อีกขั้นหนึ่ง!


“ดูเหมือนวังสวรรค์บรรพกาลจะเป็นเหตุผลที่เจ้ามายังทวีปเทียนหลัวสินะ” มั่นถัวหลัวยิ้มบางพลางเหลือบมองมู่เฉิน “อย่าเพิ่งเอะอะไป ในเมื่อเจ้ามีร่างเทพสุริยะ เจ้าก็ต้องรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับมันอยู่แล้ว ในวังสวรรค์บรรพกาลมีบางสิ่งที่เจ้าต้องการจริงๆ”


ทันใดนั้นสายตาของมู่เฉินก็ร้อนแรง แม้แต่ลมหายใจก็ยังหอบถี่ ในปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับข้อมูลยืนยัน แม้เขาจะไม่รู้ว่าวังสวรรค์บรรพกาลคืออะไร แต่อย่างน้อยก็หมายความว่ามีสิ่งที่เขาต้องการอยู่ในทวีปเทียนหลัวแน่นอน


“เจ้ารู้ไหมวังสวรรค์บรรพกาลตั้งอยู่ที่ไหน?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถามเมื่อมองมั่นถัวหลัว


มั่นถัวหลัวจือริมฝีปากสีแดงชาดเอ่ยตอบ “วังสวรรค์บรรพกาลซ่อนอยู่ในทวีปเทียนหลัวก็จริง แต่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน ข้าเดาว่ามันน่าจะเป็นมิติแยก เพียงแต่ถูกใครบางคนผนึกไว้”


“แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอย่างเจ้ายังหาตำแหน่งไม่ได้เลยหรือ?” มู่เฉินถามพร้อมขมวดคิ้ว


มั่นถัวหลัวกลอกตาใส่มู่เฉิน “แม้กระทั่งอยู่ในยุคโบราณ วังสวรรค์บรรพกาลก็เป็นขั้วอำนาจที่มีชื่อเสียง ประมุขวังก็เป็นจอมยุทธ์สุดยอด ผนึกที่จอมยุทธ์ระดับนั้นสร้างขึ้นก่อนตายจะเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสามารถเจาะเข้าไปได้ยังไง?”


มู่เฉินยิ้มเจื่อนพลางถอนหายใจ เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ


“แต่แม้ว่าจะไม่สามารถตรวจสอบตำแหน่งของวังสวรรค์บรรพกาลได้ แต่ในสมรภูมิหยุ่นลั้วเคยมีจอมยุทธ์จากวังสวรรค์บรรพกาลสิ้นชีพ ข้าว่าเราน่าจะสามารถสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลได้ที่นั่น”


มู่เฉินพยักหน้าแม้ว่าข้อมูลจะคลุมเครือเกินไป แต่ก็ถือว่าเป็นข้อมูลบ้าง อย่างน้อยก็ดีกว่าเดินเงอะงะไปรอบๆ แบบตาบอด เนื่องจากจุดประสงค์หลักที่เขามาทวีปเทียนหลัวก็คือหน้ารายการนิรันดร์


เพราะมู่เฉินรู้ชัดว่าหากต้องการมุ่งสู่เส้นทางการเป็นยอดยุทธ์ รายการนิรันดร์จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยเขาได้มหาศาล


วันที่เขาสามารถพัฒนาร่างเทพสุริยะเข้าสู่ร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ ก็จะเป็นวันที่เขามีคุณสมบัติสั่นสะเทือนมหาพันภพด้วยชื่อเสียงแห่งตน


ในเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นตระกูลลั่วเสินหรือพวกลึกลับที่ขังมารดาเขาไว้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรแล้ว!


“ดูเหมือนข้าจะต้องไปยังสมรภูมิหยุ่นลั้วซะแล้ว”


มู่เฉินพึมพำ ไม่ว่าสุดท้ายเขาจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลหรือไม่ เขาก็ต้องไปลองสักหน่อย เพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนาน


ในเวลาอีกสองเดือนที่เหลือ ขณะที่มู่เฉินฝึกหน่วยรบวิหคโลกันตร์ เขาก็เร่งฝึกฝนวรยุทธด้วย ขนาดของสงครามล่ามีผลต่อขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในภูมิภาคทางเหนือ จินตนาการได้ว่าน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน


แม้เขาจะมีสถานะสูงขึ้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตอนนี้ แต่เขาก็รู้ว่าพลังของตนเองยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอในสงครามล่า


เมื่อสงครามเริ่มขึ้น แม้แต่มั่นถัวหลัวก็อาจไม่สามารถดูแลทุกคนได้ทั่วถึง ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามเพิ่มพลังให้ตัวเองก่อนสงครามล่าให้ได้มากที่สุด


แต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่และควบคุมสมดุลคลื่นหลิงในร่างได้ จึงไม่เหมาะที่เขาจะเริ่มโจมตีขุมพลังอีกครั้ง ดังนั้นหากเขาต้องการจะเพิ่มระดับความแข็งแกร่งก็ต้องใช้วิธีอื่นแทน


อย่างการฝึกคัมภีร์หลงเฟิ่ง


ลึกลงไปในหอวิหคโลกันตร์


บนบ่อหินว่างเปล่า มู่เฉินนั่งอยู่เงียบๆ พร้อมกับพลิกนิ้วขวดหยกทั้งสิบก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ขวดหยกเหล่านั้นวูบไหวด้วยอักขระแสงบนพื้นผิว นี่เป็นตราประทับแบบง่ายที่ผนึกแก่นเลือดเทพอสูรเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นหลิงรุนแรงเล็ดลอดออกมา


มู่เฉินจ้องมองขวดหยกทั้งสิบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลงหลายส่วน แม้เขาจะได้รับกายามังกรหงส์ในตำนานมาจากเขตหลงเฟิ่ง แต่เขารู้ชัดว่านี่เป็นแค่ระดับพื้นฐาน ซึ่งทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น หากเขาต้องการไปถึงจุดที่สามารถครอบครองพลังแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้า เขาก็ต้องผ่านการฝึกฝนที่ยากลำบาก


และตอนนี้ก็ถึงเวลาก้าวแรก


มู่เฉินถอดเสื้อผ้าออกเผยร่างกายไม่กำยำนัก แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่อยู่ภายใต้ร่างของเขา บนหน้าอกและแผ่นหลังมีลายสักของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าอยู่


มู่เฉินก้มหน้ามองลายสักเทพอสูรทั้งสองก่อนจะแตะเบาๆ พวกมันไม่ใช่ลายสักธรรมดา แต่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่ามีชีวิต


ตามที่คัมภีร์หลงเฟิ่งบันทึกไว้ การฝึกกายามังกรหงส์มีสามขั้น ขั้นแรกปลุกวิญญาณ ขั้นสองสร้างกายาและขั้นสามมังกรหงส์ปรากฏ


ลวดลายทั้งสองของมู่เฉินควรเรียกว่าวิญญาณมังกรและหงส์ฟ้ามากกว่า เนื่องจากลวดลายเหล่านี้มีเศษเสี้ยววิญญาณที่มังกรและหงส์ฟ้าฝังเอาไว้


กระบวนการนี้จะต้องใช้แก่นเลือดเทพอสูรจำนวนมากในการกระตุ้นเพื่อปลุกวิญญาณ ทำให้พวกมันสามารถมอบพลังที่แข็งแกร่งกว่าให้กับมู่เฉินได้


เมื่อวิญญาณแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้าถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์ ก็จะเข้าสู่ขั้น ‘สร้างกายา’ มาถึงขั้นนี้ ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าก็จะสามารถหลุดพ้นจากขอบเขตร่างกายเขาได้ ปลุกพลังแท้จริงที่เป็นของมังกรและหงส์ฟ้าออกมาได้


ส่วนขั้นสามที่บอกว่า ‘มังกรหงส์ปรากฏ’… แค่ชื่อก็บอกชัดเจนแล้วว่าหมายถึงอะไร


สิ่งที่มู่เฉินต้องทำในตอนนี้ก็คือขั้นแรก-ปลุกวิญญาณ


ฟู่


มู่เฉินพ่นลมหายใจออกเบาๆ ขณะละสายตาที่จ้องมองลวดลาย เขาไม่ลังเลพลิกนิ้วดีดลำแสงออกไปทำลายขวดหยกขวดหนึ่ง


ชี่! ชี่!


เลือดสีแดงเข้มหลายหยดร่วงหล่นลงมา เมื่อความเร็วที่ตกลงมาเร็วขึ้นก็มีเสียงคลื่นซัดสาด


เลือดหยดลงสู่บ่อหินแผ่กระจายออกไปเร็วรี่ด้วยความเร็วน่าทึ่ง ทว่าไม่กี่อึดใจหยดเลือดไม่กี่หยดก็กลายเป็นบ่อเลือดเดือดพล่าน


คลื่นหลิงรุนแรงและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งออกจากบ่อเลือดขณะที่พวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า แก่นเลือดเหล่านั้นมีพลังรุนแรงอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำยังพยายามกัดกร่อนบ่อหินด้วย แต่โชคดีที่มู่เฉินเตรียมการไว้แล้ว บ่อหินถูกสร้างมาจากวัสดุพิเศษที่สามารถป้องกันการกัดกร่อนได้


“สมแล้วที่เป็นเลือดอสรพิษเก้าหัวโบราณ…”


มู่เฉินมองบ่อเลือดเดือดก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นี่เป็นเพียงหยดเลือดไม่กี่หยดแต่กลับสร้างบ่อเลือดบ่อหนึ่งได้ อสรพิษเก้าหัวโบราณสมกับอยู่ลำดับต้นบนบันทึกหมื่นอสูรจริงๆ


เนื่องจากแก่นเลือดเทพอสูรเหล่านี้ยังไม่ได้ชำระมาก่อน จึงเต็มไปด้วยความก้าวร้าว แต่นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินต้องการ มีเพียงเลือดเทพอสูรดั้งเดิมที่สุดจึงจะสามารถปลุกวิญญาณของมังกรและหงส์ฟ้าได้


เว้นแต่ว่ากระบวนการนี้จะเจ็บปวดมาก


มู่เฉินมองบ่อเลือดเดือดพล่านก็ค่อยๆ กำหมัด จากนั้นเขาก็ทิ้งความลังเล ถอดเสื้อผ้าก้าวลงไปในบ่อ


ซ่า


เลือดสดกระเซ็น มู่เฉินนั่งในบ่อเลือดพลางสร้างตราประทับด้วยสองมือ ทั้งบ่อเริ่มเดือดปุด ก่อตัวเป็นหลุมน้ำวนสีแดงเลือดที่มีมู่เฉินอยู่ใจกลาง


ชี่! ชี่!


เสียงขู่ฟ่อนับไม่ถ้วนดังจากในบ่อ เมื่อเลือดโถมตัวขึ้น ก็ก่อตัวเป็นอสรพิษเลือดขนาดเล็กกัดฉกบนร่างของมู่เฉินอย่างบ้าคลั่ง


ร่างของมู่เฉินสั่นเทิ้มรุนแรง ความเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้ามาทำให้ใบหน้าของเขาซีดลง


ทว่าความเจ็บปวดก็ไม่สามารถกลืนกินสติของมู่เฉิน เขากลับสูดหายใจลึกก่อนจะเปลี่ยนตราประทับวูบไหว เริ่มท่องบทสวดคัมภีร์หลงเฟิ่ง


เมื่อเปิดใช้งานคัมภีร์หลงเฟิ่ง ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนแผ่นอกและแผ่นหลังของมู่เฉินก็เริ่มเปล่งแสงหลิงออกมา พร้อมกับเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้า จากนั้นอสรพิษเลือดเหล่านั้นก็แตกออกจากกัน เส้นใยเลือดเลื้อยไปบนผิวของมู่เฉินไม่รู้จบ สุดท้ายถูกลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าเขมือบเข้าไป


แม้แก่นเลือดของอสรพิษเก้าหัวโบราณจะมีความครอบงำ แต่ก็ยังด้อยกว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง


ทว่ามู่เฉินรู้ว่ากระบวนการใช้แก่นเลือดเทพอสูรชำระกายาเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)