หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 817-818

 บทที่ 817 การพบกันของสองจอมยุทธ์

ปกติจัตุรัสต้าหลัวจะถูกปิดไว้


จะเปิดในโอกาสสำคัญเท่านั้น พิธีมอบยศราชันนับเป็นงานยิ่งใหญ่ ดังนั้นในวันนี้สถานที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงคึกคัก


จัตุรัสแห่งนี้กว้างใหญ่จนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ยามนี้เต็มไปด้วยคนจำนวนมากและเสียงอื้ออึงของที่นี่ก็ดังทะลุถึงชั้นเมฆแลยทีเดียว ก่อนจะกระจายออกไปสามารถได้ยินในทุกที่ภายในเขตต้าหลัวเทียน


ไม่เพียงแต่ที่นี่จะเป็นสถานที่คึกคักที่สุดในเขตต้าหลัวเทียน แต่ยังเป็นพื้นที่ที่คึกคักที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์อีกด้วย


ที่ใจกลางจัตุรัสมีลานหินขนาดใหญ่ ซึ่งในอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีชื่อเรียกว่าลานพิธีมอบยศราชัน


เพราะทุกการอวยยศใหม่ของจอมยุทธ์ชั้นยอดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเกิดขึ้นที่นี่


เสียงอึกทึกครอบคลุมทั่วบริเวณ นอกจากนี้ก็ยังมีร่างแสงหลายร่างเหาะเหินมาจากสถานที่ไกลออกไป ริ้วแสงเคลื่อนผ่านก่อนจะพลิ้วลงท่ามกลางสายตาเหล่าผู้ชม


ที่ด้านหน้าของจัตุรัสมีบัลลังก์ตั้งตระหง่านหลายที่ถูกจัดลดหลั่นกันลงไป บัลลังก์ที่สูงสุดก็คือบัลลังก์สีทองมลังเมลืองรองภายใต้แสงตะวัน กำจายแรงกดดันบางจางออกมาจากบัลลังก์


เมื่อมู่เฉินกับจิ่วโยวปรากฏตัว ทั้งสองก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้หอวิหคโลกันตร์ไม่เหมือนเมื่อในอดีต ทุกคนรู้ว่าหอที่เคยอ่อนแอที่สุดในหมู่ผู้บัญชาการกำลังทะยานขึ้นมาด้านบน ดังนั้นเมื่อเหล่าจอมยุทธ์ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์เห็นการมาถึงของจิ่วโยวและมู่เฉิน สายตาของพวกเขาก็ดูเคร่งเครียดลงหลายส่วนเมื่อเทียบกับอดีต


ช่วงปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของหอวิหคโลกันตร์เติบโตขึ้นทุกวันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์


สายตาเหล่านั้นหยุดอยู่ที่จิ่วโยวครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนไปทางมู่เฉินที่อยู่ด้านข้างกาย สายตาเหล่านั้นจ้องตรงไปที่เขา เพราะช่วงนี้ชื่อเสียงของชายหนุ่มได้ดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือแล้ว


ความสำเร็จของเขาในศึกมังกรหงส์ ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ที่มีฝีมือบางคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังรู้สึกแอบตะลึงในใจ นอกจากนี้พวกเขายังรู้ชัดว่ามู่เฉินเพิ่งจะเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ไม่ถึงปีเท่านั้น


หากให้เวลาเขามากกว่านี้ เขาคงจะโดดเด่นในชื่อจอมยุท์ชั้นสูงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์แน่นอน


จิ่วโยวและมู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจสายตาเหล่านั้น ทั้งสองพลิ้วตัวลงตรงกลุ่มคนของหอวิหคโลกันตร์ รอคอยพิธีมอบยศราชันที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น


มู่เฉินยืนอยู่ด้านข้างจิ่วโยว สายตาของก็กวาดออกไปทั่วจัตุรัส ตอนนี้ผู้บัญชาการอีกแปดคนก็เดินทางมาถึงแล้ว จากภาพนี้บอกได้ว่าพิธีมอบยศราชันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


ขณะที่มู่เฉินกวาดสายตาไปรอบๆ สายตาของผู้บัญชาการทั้งแปดก็หยุดอยู่ที่เขาครู่หนึ่ง ซิวหลัวและเลี่ยซันมีริ้วความชื่นชมในดวงตา เห็นชัดว่าการแสดงฝีมือในศึกมังกรหงส์ ไม่เพียงแต่เอาชนะใจจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในภูมิภาคทางเหนือได้ แม้กระทั่งจอมยุทธ์รุ่นเก่าอย่างพวกเขายังต้องอุทานด้วยความชื่นชม


ส่วนเสี่ยยิงที่หมายหัวมู่เฉินกับจิ่วโยวมาตั้งแต่แรกก็ได้แต่ขบฟันกรอด ตอนนั้นที่มู่เฉินเพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเป็นแค่มดตัวหนึ่งที่สามารถบดบี้ได้อย่างง่ายดาย แต่มดตัวนี้กลับสร้างความอับอายขายหน้าให้กับหอเหยี่ยวโลหิตอย่างใหญ่หลวง


นับถึงตอนนี้ยังไม่ถึงปี มดในสายตาของเขาก็เติบใหญ่จนแม้แต่เขายังตกใจ แม้ว่าเสี่ยยิงจะยังสามารถสยบมู่เฉินได้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าตนเองต้องจ่ายราคาแพงลิ่วเพื่อที่จะทำให้สำเร็จ ชายหนุ่มตรงหน้าเขาไม่ใช่มดเหมือนในอดีตอีกแล้ว


การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนั้น ทำให้เสี่ยยิงไม่เป็นสุขในหัวใจเลย แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร เขาก็ไม่กล้าท้าทายอะไรกับมู่เฉินทั้งนั้น นั่นเพราะทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์บางอย่างกับประมุข การมีประมุขคอยดูแล ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย ต่อให้จอมพลหลิงถงที่หนุนเขาอยู่ก็ไม่กล้าทำอะไรกับมู่เฉิน


ดังนั้นเขาจึงได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ทั้งหมดไว้


“ฟิ้ว!”


ขณะที่เหล่าผู้บัญชาการลอบมองมู่เฉิน เสียงลมรุนแรงก็ดังขึ้นพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงอันทรงพลังซึ่งดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก


“ฉินจง…ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี่แล้ว!”


“ฮ่าๆ ข้าว่าแล้วเขาไม่ปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปอย่างแน่นอน!”


“ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะชิงตำแหน่งสำเร็จไหม?”


“…”


เมื่อเสียงแหวกอากาศนั้นดังขึ้น ก็สร้างความโกลาหลขึ้นในจัตุรัสต้าหลัว เห็นชัดว่าเขาเป็นที่รู้จักดี


“เจ้าเมืองเทียนหลัว—ฉินจง?” สายตาของมู่เฉินวูบไหวไปด้วยเช่นกัน


ภายใต้สายตาจำนวนมาก ร่างแสงนั่นก็มาปรากฏบนท้องฟ้าเหนือจัตุรัสในพริบตา ก่อนที่เขาจะยกมือคำนับทุกคน


มู่เฉินมองตรงไปก็เห็นชายวัยกลางคนรูปร่างแข็งแรงล่ำสันกำลังหัวเราะเสียงใส ภาพลักษณ์ที่เผยออกมานี้ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกดีด้วยได้ง่าย


ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังมองเห็นได้เลือนรางรอบกายเขา จากการประเมินของมู่เฉิน พลังของฉินจงไม่ได้ด้อยกว่าโยวหมิงเลย


“ผ่านมาหลายปี ไอ้นั่นก็ไม่ได้มีพัฒนาการอะไรมาก” จิ่วโยวปรายตามองฉินจงพลางจือปาก


มู่เฉินมองจิ่วโยวอย่างประหลาดใจ ฟังจากน้ำเสียงนั่น ดูเหมือนนางจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับฉินจง


ทว่าก่อนที่เขาจะทันถาม ฉินจงก็เดินตรงมายังฝั่งหอวิหคโลกันตร์ของพวกเขาพร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่น “ฮ่าๆ จิ่วโยวน้อย ไม่เจอกันตั้งนาน หายหน้าไปนานหลายปี ข้าคิดว่าเจ้าล้มเหลวในการวิวัฒนาร่างซะอีก”


“ผ่านมาหลายปี เจ้าก็ยังไม่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า ด้วยอัตราฝึกนี้…เจ้ายังมีหน้ามาเข้าร่วมพิธีมอบยศราชันอีกหรือ?” จิ่วโยวเอ่ยเสียงเนิบด้วยท่าทางไม่ไว้หน้าใดๆ


ฉินจงถึงกับกรามค้าง “ยังไงข้าก็เคยช่วยเจ้าอยู่ในอดีตนะ อย่าจี้จุดมากได้ไหม”


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาข้างๆ ฉินจงก็เป็นคนที่น่าสนใจแฮะ


พอได้ยินเสียงหัวเราะ สายตาของฉินจงก็เบนมาที่มู่เฉินพลางยิ้มหยีตา “เจ้าคงจะเป็นมู่เฉินที่ชื่อเสียงดังเป็นพลุแตกในภูมิภาคทางเหนือช่วงนี้ใช่ไหม? คลื่นลูกใหม่แซงหน้าคลื่นลูกเก่า ประสบความสำเร็จทั้งที่ยังอายุน้อยเท่านี้”


“เจ้าเมืองฉินจงชมข้าเกินไปแล้ว”


มู่เฉินประสานมือคำนับด้วยรอยยิ้ม จากปฏิสัมพันธ์ขั้นต้นกับฉินจง เขาก็รู้สึกชอบใจอีกฝ่าย นั่นเพราะเขารู้สึกว่าบุคลิกตรงไปตรงมาของฉินจงไม่ใช่การเสแสร้ง ยิ่งกว่านั้นเมื่อดูจากสายตารอบด้านที่พุ่งมายังฉินจง ท่าทางคงจะมีมุนษย์สัมพันธ์อันดีต่อกันกับคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์


“อย่ามาอ้างเรื่องอาวุโสเลย เจ้าอาจหมดสิทธ์ในพิธีมอบยศราชันนี้ก็ได้” จิ่วโยวเอ่ยเบาๆ


ฉินจงชะงักไปก่อนจะเหลือบมองมู่เฉินอย่างครุ่นคิดแล้วยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อข้าล้มเหลวมาหลายครั้ง อีกสักรอบจะเป็นไรไป แต่ถ้าเราต้องสู้กัน ข้าจะปล่อยพลังทั้งหมดที่มี ถึงตอนนั้นข้าขอดูว่าจอมยุทธ์หนุ่มอันดับสามของบันทึกมังกรหงส์น่าสะพรึงขนาดไหน”


พอได้ยิน ขณะที่มู่เฉินกำลังจะพูด ดวงตาก็หดเกร็ง ในเวลาเดียวกันฉินจงกับจิ่วโยวก็เงยหน้าขึ้น บนขอบฟ้าสีฟ้าคราม กลุ่มควันดำพวยพุ่งมาราวกับอุกกาบาตที่แฝงรังสีเย็นเยือกที่ต้องการแช่แข็งเลือดของคนอื่นๆ


จอมยุทธ์จำนวนมากเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มควันดำที่พุ่งผ่านขอบฟ้า เมื่อควันดำกวาดออก ก็เปลี่ยนเป็นพายุทอร์นาโดสีดำพลิ้วลงบนจัตุรัส ควันดำจางหายไป ร่างในชุดดำก็ปรากฏแก่สายตาทุกคน


คนผู้นั้นมีใบหน้าหล่อเหลา เว้นแต่สายตาที่ดูเย็นชาและริมฝีปากบางราวใบมีด ทำให้คนมองรู้สึกหนาวสะท้าน


ยามนี้เขาปั้นหน้ายิ้มมองทุกคนในจัตุรัสพลางยกมือคำนับ “ชิวไท่ยิงจากสำนักภูตจันทราทักทายทุกคน”


เสียงตอบรับดังจากจอมยุทธ์ในจัตุรัสบ้าง ชิวไท่ยิงเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในหมู่จอมยุทธ์มากประสบการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หลายปีที่ผ่านมานี้เขาเป็นที่รู้กันว่าเป็นจอมยุทธ์ที่จ่ออันดับผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในพิธีมอบยศราชันครั้งนี้ เขาเป็นคนเหมาะสมที่สุดที่จะได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการลำดับสิบ


ชิวไท่ยิงพลิ้วตัวลงด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็มีจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้าหาเขาไม่น้อย ทำให้ดูมีกำหลังหนุนมากนัก


ฉิงจงเหลือบมองชิวไท่ยิงอย่างเฉยเมย นิ้วทั้งสิบไขว้กันเบื้องหน้าลำตัว ทว่ามู่เฉินกลับสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงในร่างเขาเหมือนจะผันผวนขึ้นในเวลานี้


นี่คือการพบกันของจอมยุทธ์แก่กล้าสองคน


“เขาคือเจ้าสำนักภูตจันทรา—ชิวไท่ยิงรึ?” สายตาของมู่เฉินมองชิวไท่ยิงพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายเบาบางที่มาจากอีกฝ่าย


ชิวไท่ยิงสมกับมีชื่อเสียงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์นัก ดูเหมือนว่าพิธีมอบยศราชันครั้งนี้ การจะขัดขวางชายคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


ตึ้ง!


ขณะที่สายตาของมู่เฉินเปล่งประกาย เสียงกังวานของระฆังก็ดังทั่วบริเวณ อึดใจหัวใจของทุกคนก็กระตุกพลางเงยหน้าขึ้น บนบัลลังก์ทองเหนือจัตุรัสกว้างใหญ่ มิติบิดเบี้ยวปรากฏร่างเล็กร่างหนึ่งขึ้นช้าๆ


ใต้บัลลังก์ทอง สามจอมพลก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน สายตามองเหล่าจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ในจัตุรัสนิ่ง


“คารวะท่านประมุข!”


ทุกคนประสานมือคำนับ เอ่ยน้ำเสียงเคารพดังก้องไปทั่ว


มั่นถัวหลัวโบกมือเบาๆ ม่านตาสีทองคำกวาดมองผ่านๆ จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่ฉินจงกับชิวไท่ยิง ก่อนจะหยุดอยู่ที่มู่เฉินครู่หนึ่ง น้ำเสียงเยาว์วัยดังออกมาพร้อมรังสีมีอำนาจ


“พิธีมอบยศราชันครั้งนี้ มีสามคนที่มีสิทธิ์จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการ”


สรรพเสียงทั่วบริเวณหยุดนิ่ง โดยมีเพียงเสียงของมั่นถัวหลัวดังก้อง ทุกคนตัวแข็งเกร็ง เนื่องจากมีเพียงผู้ที่ได้รับอนุมัติจากมั่นถัวหลัวเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งผู้บัญชาการลำดับสิบ!


“เจ้าเมืองเทียนหลัว—ฉินจง”


“เจ้าสำนักภูตจันทรา—ชิวไท่ยิง”


เสียงเสียดายดังขึ้นในจัตุรัสต้าหลัว เนื่องจากนี่เป็นเรื่องที่คาดคิดไว้แล้ว ทั้งสองคนต่างเป็นจอมยุทธ์ที่มีคุณสมบัติและความสามารถมากที่สุดในการชิงตำแหน่งผู้บัญชาการ


ขณะที่พวกเขารู้สึกเสียดาย เสียงของมั่นถัวหลัวก็หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปล่งออกมา


“หอวิหคโลกันตร์—มู่เฉิน”




บทที่ 818 ฉินจงปะทะชิวไท่ยิง

“หอวิหคโลกันตร์—มู่เฉิน”


เมื่อประโยคสุดท้ายเปล่งออกมาจากปากของมั่นถัวหลัว เสียงในจัตุรัสก็เหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่ทุกสายตาตกตะลึงจะเบนมายังมู่เฉินพร้อมกับเสียงฮือฮา


“มู่เฉิน? แม่ทัพคนใหม่แห่งหอวิหคโลกันตร์น่ะเหรอ?”


“เขามีสิทธ์ชิงตำแหน่งผู้บัญชาการด้วย…นี่ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ? เขาเพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์เกือบปีเองนะ”


“ถึงศักยภาพของเขาในศึกมังกรหงส์จะโดดเด่น แต่พิธีมอบยศราชันยากยิ่งกว่าอีกนะ แม้ว่ามู่เฉินจะเอาชนะในศึกมาได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของธิดาเทพจักรพรรดิอัคคี”


“ได้ข่าวว่ามีเหตุผลนี้จริง..”


“…”


เสียงกระซิบด้วยความสงสัยปนอิจฉาอย่างไม่ปิดบังดังก้องฟ้า เนื่องจากเวลาที่มู่เฉินอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์นับว่าสั้นเกินไป แต่เขากลับเติบโตแบบก้าวกระโดด ความสำเร็จที่คนอื่นๆ ต้องใช้เวลาสั่งสมหลายปี มู่เฉินกลับทำสำเร็จในเวลาไม่ถึงปี


ความแตกต่างนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมอยู่ในใจ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ชิวไท่ยิงเหลือบมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มบาง แต่เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมามากนัก เพราะในสายตาเขา มีเพียงฉินจงที่เป็นภัยคุกคามต่อเขา สำหรับมู่เฉินต่อให้มีพรสวรรค์โดดเด่นปานใด ก็ยังอ่อนอาวุโสเกินไป ไม่อาจสร้างความระแวงในใจได้


เขาจะต้องเป็นผู้บัญชาการคนที่สิบให้ได้!


มู่เฉินไม่สนใจกับเสียงเซ็งแซ่ด้วยความกังขา เขาหลุบตาลงคงท่าทีสงบนิ่ง ถังปิง ถังโหยวและคนจากหอวิหคโลกันตร์ที่ยืนเบื้องหลังเขาต่างรู้สึกขุ่นเคือง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเนื่องจากจิ่วโยวห้ามปรามเอาไว้


ตอนนี้ข้อโต้แย้งไร้ประโยชน์ เนื่องจากพลังจะเป็นตัวตัดสินทุกอย่างเอง


บนบัลลังก์ทอง ไม่มีระลอกคลื่นใดบนใบหน้ามั่นถัวหลัว นางมองจัตุรัสที่เต็มไปด้วยความโกลาหลก็สะบัดมือ ทำให้ทุกเสียงเงียบลงทันใด


ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางเป็นผู้ปกครอง ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนคำพูดของนางได้


“ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว ก็เริ่มพิธีมอบยศราชันเถอะ” นางสะบัดมือเบาๆ น้ำเสียงทรงอำนาจก็ทำเอาฟ้าดินสั่นสะเทือน


ตึ้ง!


เสียงระฆังกังวานไปทั่วบริเวณ ขณะที่จอมยุทธ์จำนวนมากมีดวงตาร้อนผ่าว พวกเขารู้ว่าพิธีมอบยศราชันครั้งนี้จะต้องดุเดือดเลือดพล่านอย่างแน่นอน


วาบ!


ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ชิวไท่ยิงก็ยิ้มบางเคลื่อนกายไปปรากฏบนลานพิธีพลางเอามือไพล่หลัง สายตาของเขาละมู่เฉินไป จับจ้องที่ฉินจง “พี่ฉินจง ข้าขอรับคำชี้แนะหน่อย”


ฉินจงเหลือบมองมู่เฉิน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเผยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาก็แตะเท้าพลิ้วตัวลงบนลานพิธี ยืนตรงข้ามกับชิวไท่ยิง


ทั้งคู่ประจันหน้ากัน คลื่นหลิงมหาศาลกวาดออก แรงกดดันหนักหน่วงแผ่ขยายในลานพิธี ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากมีสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน


สายตาคมกริบของฉินจงจับจ้องที่ชิวไท่ยิงพลางกำหมัดช้าๆ ความนิยมที่อีกฝ่ายมีเริ่มมากขึ้นในหมู่จอมยุทธ์มากประสบการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นการได้รับขนานนามว่าจ่อตำแหน่งผู้บัญชาการจึงไม่ใช่เรื่องผิด


พิธีมอบยศราชันในวันนี้คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว


ตู้ม!


คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลกวาดออกราวกับพายุจากฉินจง จากนั้นสายตาเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือก กระทืบเท้าทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า ฝ่ามือทั้งสองเปล่งประกายสีเขียวหยก ดูราวกับสร้างมาจากหยกขาว เปี่ยมด้วยพลังยิ่งใหญ่อยู่รอบๆ


“ฝ่ามือหม้อกลั่นหยก!”


ฉินจงตะโกนออกมา อักขระหม้อกลั่นหยกปรากฏบนกลางฝ่ามือเลือนราง ก่อนที่ตราประทับฝ่ามือขนาดใหญ่จะพุ่งพรวดออกมา มิหนำซ้ำยังมีอักขระหม้อกลั่นบนฝ่ามือ ปลดปล่อยพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุดออกมาราวกับว่าสามารถบดขยี้ภูเขาได้


“ฮ่าๆ ข้าได้ยินทักษะวิชาหม้อกลั่นหยกของพี่ฉินจงมานานแล้ว วันนี้ขอลิ้มลองสักหน่อย” ชิวไท่ยิงยิ้มไม่แยแสเมื่อเผชิญกับพลังโจมตีของฉินจง จากนั้นฝ่ามือทั้งคู่ก็วาดเป็นวง ควันดำพวยพุ่ง ซึ่งเปี่ยมไปด้วยคลื่นหลิงเย็นเยือกที่สามารถแช่แข็งได้แม้กระทั่งอากาศ


ฟิ้ว!


ควันดำดูราวกับมีชีวิต สุดท้ายก็ก่อตัวเป็นอสรพิษยักษ์ก่อนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและปะทะกับฝ่ามือหม้อกลั่นหยกอย่างจัง


ตึง!


คลื่นหลิงรุนแรงกวาดออก ผลกระทบทำให้มิติถึงกับบิดเบี้ยว


สายตาของฉินจงวูบไหวขณะวาดตราประทับ แสงเจิดจ้าพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากร่างเขา ทั่วทั้งร่างกายเปลี่ยนเป็นหยกขาวก้อนหนึ่ง


“นั่นมัน…” มู่เฉินมองร่างกายฉินจงด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าร่างของฉินจงเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น


“นี่คือกายาหม้อกลั่นหยก วิทยายุทธชำระกายที่ฉินจงได้รับจากซากอารยธรรมโบราณ เป็นเพราะสิ่งนี้เขาถึงขึ้นเป็นเจ้าเมืองเทียนหลัวได้” จิ่วโยวอธิบาย


วาบ!


ขณะที่จิ่วโยวกับมู่เฉินสนทนากัน ร่างของฉินจงที่เปล่งประกายก็หายไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ด้านหลังของชิวไท่ยิงก่อนจะเหวี่ยงหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพลังบดขยี้ภูเขาซัดตรงไปแผ่นหลังของอีกฝ่ายราวกับสายฟ้าแลบ


เผชิญกับการโจมตีฉับพลัน แม้แต่ชิวไท่ยิงก็ดูจะไม่สามารถโต้กลับได้เมื่อหมัดของฉินจงพุ่งเข้ามา


ชี่


หมัดของฉินจงแทงทะลุหน้าอกของชิวไท่ยิงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อทะลุผ่านไป สีหน้าของฉินจงกลับเปลี่ยนไปฉับพลัน เพราะเขาเห็นจุดที่ฝ่ามือมือของเขาทะลวงผ่านร่างของชิวไท่ยิงเปลี่ยนเป็นกลุ่มควัน


ฉินจงรู้สึกอันตรายในใจทันที คิดจะถอนหมัดออกไปโดยไว


“ฮ่าๆ พี่ฉินจง เสียมารยาทไปนะหากไม่โต้กลับ ทำไมเจ้าไม่ลองรับกายาหมอกภูตของข้าดูมั่งล่ะ?” รอยยิ้มประหลาดกระตุกขึ้นที่มุมปากของชิวไท่ยิง ควันบนอกแข็งตัวขึ้น ความเย็นสุดขั้วแช่แข็งแขนของฉินจงและลามขึ้นมาตามท่อนแขนหวังจะแช่แข็งไปทั้งร่าง


ไอเย็นเยือกน่ากลัวรุกเข้าในร่างกายของฉินจง ราวกับต้องการแช่แข็งคลื่นหลิงในร่างเช่นกัน นี่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน สายตามืดครึ้มลงพร้อมกับคลื่นหลิงระเบิดออกจากร่างไม่ยั้ง


ตู้ม!


คลื่นหลิงมหาศาลกวาดออกกลายเป็นแรงกดดันหลิงทรงพลัง สร้างความปั่นป่วนในทันที เพราะทุกคนบอกได้ว่าความแข็งแกร่งของคลื่นหลิงฉินจงก้าวผ่านขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ไปแล้ว อีกก้าวเดียวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า


“ดูเหมือนฉินจงจะพัฒนาฝีมือบ้างแล้วในหลายปีมานี้ หากเขามีเวลาเพิ่มอีกหน่อย การบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็ใกล้เข้ามาแล้ว” มีบางคนถอนหายใจ ฉินจงอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่มาหลายปี ในที่สุดก็มีพัฒนาการบ้างแล้ว


แววประหลาดใจวาบในดวงตาของมู่เฉิน ฉินจงมีไพ่ตายอยู่บ้าง ด้วยพลังเช่นนี้เขาก็เทียบได้กับโยวหมิง ซึ่งฝ่ายนั้นก็อีกครึ่งก้าวจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเหมือนกัน


ปัง!


คลื่นหลิงกวาดออกบนลานพิธีขณะที่น้ำแข็งสีดำบนแขนของฉินจงก็แตกเป็นเสี่ยงพร้อมกับเขาเคลื่อนถอยหลัง เวลาเดียวกันแรงสั่นสะเทือนของคลื่นหลิงก็ทำให้ไอเย็นเยือกที่รุกเข้ามาในร่างเขาสลายตัว


“ที่แท้เจ้าเมืองฉินจงอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้ว ยินดีด้วย” ขณะที่ควันดำพวยพุ่ง ชิวไท่ยิงก็ค่อยๆ หันกลับมาพร้อมกับยกยิ้ม


ฉินจงยังคงท่าทีสงบนิ่งขณะคลื่นหลิงมหาศาลปกคลุมรอบเขาราวกับมหาสมุทร ทุกการเคลื่อนไหวปลดปล่อยพลังทรงประสิทธิภาพที่สามารถบดขยี้ภูเขาได้


สายตาของเขาจับจ้องที่ชิวไท่ยิง แม้อีกครึ่งก้าวเขาจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็จริง แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงรู้สึกถึงแรงกดดันเบาบางที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่าย


ดูเหมือนว่าเขาต้องเทหมดหน้าตักแล้ว


ฉินจงสูดหายใจลึก วาดตราประทับเร็วรี่ปานฟ้าแลบ ทันใดนั้นแสงหยกเรืองรองก็ระเบิดออก ก่อตัวเป็นร่างใหญ่โต


ร่างนั้นดูเหมือนทำมาจากหยกขาว มีลวดลายหม้อกลั่นโบราณปรากฏบนร่างสีขาวหยกขณะที่พลังงานแก่กล้ากระเพื่อมออกมาทั่วบริเวณนี้ ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกกดดัน


“นั่นคือ…ร่างหม้อกลั่นหยกศักดิ์สิทธิ์ของฉินจง!” เมื่อร่างหยกปรากฏตัว ก็เรียกเสียงฮือฮาขึ้นทั่วบริเวณ เนื่องจากพวกเขาคุ้นเคยดีกับร่างเทห์สวรรค์ของฉินจง


ฉินจงปรากฏบนศีรษะของร่างหยกขาวน้ำพลางมองมาที่ชิวไท่ยิง


“ในที่สุดเจ้าก็เรียกร่างหม้อกลั่นหยกศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้ว” ชิวไท่ยิงเงยหน้าขึ้นมองร่างสีขาวพร่างพราวด้วยรอยยิ้มไม่แยแสบนใบหน้า


“ดูเหมือนข้าจะออมมือไม่ได้แล้วหากต้องการเอาชนะเจ้านะ พี่ฉินจง” ชิวไท่ยิงยิ้มพลางสะบัดมือ ควันดำพวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้าก่อนจะก่อเป็นร่างสีดำขนาดใหญ่


ควันดำม้วนตัวรอบร่างใหญ่ราวกับมังกรดำ ไอเย็นเยือกทำให้อุณหภูมิในบริเวณนี้ลดฮวบลง


“นั่นคือร่างมหาจันทราของชิวไท่ยิง!” ใครบางคนอุทาน


มู่เฉินมองร่างใหญ่ทั้งสอง แม้ทั้งสองร่างจะมีอันดับท้ายตารางบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่ทั้งฉินจงและชิวไท่ยิงต่างมีความเข้าใจลึกซึ้งในร่างเทห์สวรรค์ของตนเอง


“ไม่ง่ายเลยที่จะตัดสินตัวผู้ชนะ”


ภายใต้สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วน ชิวไท่ยิงก็ปรากฏตัวบนศีรษะของร่างมหาจันทราขณะมองฉินจงด้วยรอยยิ้มผิดแผกบนมุมปาก


“ยากที่จะตัดสินตัวผู้ชนะรึ? ข้าไม่คิดเช่นนั้นนะ…”


ชิวไท่ยิงค่อยๆ แบมือออก แววเย็นเยือกและคมกริบในดวงตาแรงกล้าขึ้น คลื่นหลิงราวกับควันสีดำกวาดตัวออกไปรอบกาย ก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโด


ท้องฟ้าสว่างเปลี่ยนเป็นมืดมิดอย่างรวดเร็ว ควันดำปกคลุมดวงอาทิตย์ แรงกดดันคลื่นหลิงทรงประสิทธิภาพก็แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ


สัมผัสถึงแรงกดดันคลื่นหลิง ในที่สุดใบหน้าของฉินจงก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง


ม่านตาของมู่เฉินและจิ่วโยวหดเกร็ง อดสูดหายใจลึกไม่ได้ นั่นเพราะแรงกดดันคลื่นหลิงนี้อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นห้าแล้ว!


ชิวไท่ยิงบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเรียบร้อยแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)