หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 813-816

 บทที่ 813 เกียรติศักดิ์ของเทพจักรพรรดิอัคคี

เมื่อเสียงเยาะหยันเยือกเย็นของไฉ่เซียวดังขึ้น


ทั่วบริเวณก็เงียบกริบลง จอมยุทธ์แต่ละคนถึงกับตะลึงลานไป…


ไฉ่เซียวที่ตรงหน้าพวกเขาเป็นบุตรสาวของเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว?!


อึก


ผู้คนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตกใจในดวงตา แคว้นหวู่จิ้งฮั่วว่าเป็นโคตรยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงในมหาพันภพ ไม่ต้องพูดถึงภูมิภาคทางเหนือเลย ต่อให้ทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว ก็ไม่มีหน้าไหนกล้าไปท้าทาย


ยิ่งกว่านั้นผู้ก่อตั้งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเทพจักรพรรดิอัคคียังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ แม้ว่าประวัติของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วจะเพิ่งเริ่มเมื่อเทียบกับขั้วอำนาจทรงพลังอื่นๆ แต่ทุกคนรู้ว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วคือหนึ่งในขั้วอำนาจในระดับสูงสุดของรายชื่อตัวเลือกที่เลวร้ายที่สุดในการรุกราน


สาเหตุหลักก็เพราะชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคี แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ เขาคนนี้ก็ยืนหนึ่ง


ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ยินว่าบิดาของไฉ่เซียวคือเทพจักรพรรดิอัคคีที่เลื่องลือ พวกเขาจะไม่ตะลึงในใจได้อย่างไร? จากนั้นแต่ละคนก็หันหน้าไปทางวั้นตู๋เสอที่มีสีหน้าน่าเกลียดเกินบรรยาย


แม้วั้นตู๋เสอจะเป็นหนึ่งเจ้าดินแดนของภูมิภาคทางเหนือ คนจำนวนมากต้องชะเง้อมองพลังของเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน แต่เขาก็ราวกับหิ่งห้อยเมื่อเทียบกับเทพจักรพรรดิอัคคีผู้เป็นจันทรา


ดังนั้นสายตามากมายจึงแสดงความเห็นอกเห็นใจ เนื่องจากวั้นตู๋เสอโชคร้ายจริงๆ ที่ดันไปมีเรื่องกับบุตรสาวของเทพจักรพรรดิอัคคี…


ถ้านี่ทำให้แคว้นหวู่จิ้งฮั่วโมโหขึ้น ตำหนักเจ้าอสรพิษคงกลายเป็นเถ้าถ่านแน่นอน


ภายใต้สายตาเห็นใจ วั้นตู๋เสอที่มีหน้าซีดเผือดแต่เดิมก็ยิ่งขาวซีดหนัก ท่าทางของเขาแข็งค้างเมื่อมองอักขระไฟเหนือไฉ่เซียว หนังหัวถึงกับชาหนึบ นั่นเพราะจอมอยุทธ์ในระดับเขาเท่านั้นจึงจะเข้าใจว่าระดับเทียนจื้อจุนเป็นตัวแทนของอะไร


สิ่งนั้นแสดงถึงความเหนือกว่าของแท้


ไฉ่เซียวมองวั้นตู๋เสอด้วยสายตาเย็นชาพลางยิ้มอ่อน “เมื่อกี้เจ้าเหมือนจะสนใจข้ามากนี่? ถ้าคิดว่าจำเป็น ข้าสามารถเชิญท่านพ่อมาคุยกับเจ้าได้นะ”


หัวใจของวั้นตู๋เสอสั่นสะท้านขณะที่เขายิ้มแหยบนใบหน้าแข็งค้าง “ก่อนหน้าข้าแค่หุนหันพลันแล่นไปหน่อย ข้าไม่มีเจตนาจะล่วงเกินคุณหนูเลย”


ไม่มีรังสีสังหารอยู่ในคำพูดของวั้นตู๋เสออีกแล้ว ท่าทางก็หงอลงชัดเจน ชัดว่าเขาตกตะลึงกับภูมิหลังของไฉ่เซียว เพราะแม้แต่ในภูมิภาคทางเหนือ ขุมพลังของเขายังไม่ถือว่าสุดยอดเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแคว้นหวู่จิ้งฮั่วที่อุดมไปด้วยจอมยุทธ์เลย


“งั้นเจ้าไม่คิดล้างแค้นหางที่ขาดไปแล้วงั้นหรือ?” ไฉ่เซียวเอ่ยเสียงเรียบ


วั้นตู๋เสอยิ้มแห้ง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่โกรธแค้นขึ้นในใจ แต่แล้วยังไงล่ะ? เขาจะกล้าฆ่าไฉ่เซียวจริงๆ หรือ? ต่อหน้าคนจำนวนมากหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปละก็ เขาคงจะถูกไล่ล่าจนถึงประตูนรกจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วแน่


“เป็นความผิดข้าที่ทำตัวกักขฬะ ข้าขอตัวลาก่อน”


วั้นตู๋เสอในวันนี้ขายหน้าอย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดจะอยู่ที่นี่ต่อไป นอกจากนี้เขายังกลัวว่าจะทำให้ไฉ่เซียวโกรธ หากนางเรียกเทพจักรพรรดิอัคคีมาที่นี่จริงๆ ต่อให้แคว้นหวู่จิ้งฮั่วจะอยู่ห่างไกลจากภูมิภาคทางเหนือเป็นปีแสง แต่ตราบใดที่เทพจักรพรรดิอัคคีสัมผัสได้ เขาก็เคลื่อนผ่านมิติมาได้


วั้นตู๋เสอขบฟันหันหลังกลับ ลากร่างครึ่งเดียวหายวับไป เงาร่างที่จากไปดูน่าอนาถนัก


เวลานี้การแก้แค้นให้ชื่อเสี่ยไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ยิ่งกว่านั้นต่อให้เขาจะยังไม่ตาย วั้นตู๋เสอก็อยากฟาดให้ตายในทีเดียว การนำปัญหายิ่งใหญ่ขนาดนั้นมาให้นับว่าเขาเป็นตัวหายนะหากปล่อยให้มีชีวิตต่อ


จอมยุทธ์จำนวนมากอ้าปากค้างขณะมองวั้นตู๋เสอจากไปด้วยสภาพน่าอนาถ ช่างเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะยอมรับว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะมีสภาพน่าสังเวชเช่นนั้นได้เหมือนกัน


“แคว้นหวู่จิ้งฮั่วช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้… เทพจักรพรรดิอัคคีน่ากลัวจริงๆ”


มู่เฉินรู้สึกใจสะท้านกับภาพนี้เช่นกัน จากนั้นความรู้สึกเกรงขามก็ปรากฏบนใบหน้า จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนในสายตาของเขาก็นับว่าสูงแล้ว แต่ต่อหน้าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วจอมยุทธ์ระดับนี้ก็เป็นเพียงลูกหนูที่วิ่งเข้าหาแมว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าขั้วอำนาจใหญ่อย่างแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและสุดยอดจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีน่ากลัวเพียงใด


“เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นจอยุทธ์ไม่ธรรมดาจริงๆ” แม้แต่มั่นถัวหลัวยังพยักหน้าหงึกหงัก ต่อให้คนที่ทระนงตนอย่างนางก็ต้องยอมรับว่าเทพจักรพรรดิอัคคีโดดเด่นเพียงใด กระทั่งในมหาพันภพที่มีจอมยุทธ์นับไม่ถ้วน ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีก็ยังกังวานออกไปไกล


บนท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าดูน่าเกลียดไปกับภาพนี้ ความตั้งใจในตอนแรกของเขาคือรวมพลังกับวั้นตู๋เสอเพื่อบีบมั่นถัวหลัวให้ส่งคนมา แต่ใครจะไปคิดถึงการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของบุตรสาวเทพจักรพรรดิอัคคีจะบีบวั้นตู๋เสอหนีไปด้วยสภาพไร้หาง ทีนี้กลับทำให้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทนเสียแล้ว


“หลิ่วเทียนเต้า ดูเหมือนผู้ช่วยของเจ้าจะไร้ประโยชน์นะ” มั่นถัวหลัวมองหลิ่วเทียนเต้าด้วยแววเย้ยหยันเข้มข้นในน้ำเสียงเยาว์วัย


หลิ่วเทียนเต้าใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ยิ่งเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของไฉ่เซียวที่พุ่งตรงมา มุมปากของเขาก็อดกระตุกไม่ได้


ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ บุตรสาวของเทพจักรพรรดิอัคคีเหมือนจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมู่เฉิน ถ้าเขายังคิดลงมือที่นี่ ก็คงมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นแน่


แม้พลังของตำหนักสุดนภาจะแข็งแกร่งกว่าตำหนักเจ้าอสรพิษ มิหนำซ้ำขุมพลังของเขาก็เหนือกว่าวั้นตู๋เสอเช่นกัน แต่เขาก็ยังเทียบไม่ได้กับยักษ์ใหญ่อย่างแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว


ดังนั้นสถานการณ์ตอนนี้ จึงทำให้หลิ่วเทียนเต้าตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่าดีใจไป ข้าได้ยินมาว่าในเขตหลงเฟิ่งคนของเจ้าท้าทายทุกคนทั่วถึง ข้าคิดว่าจวนยมโลกกับหมู่ตึกเทวะคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบแน่นอน ถึงตอนที่สงครามล่าเริ่มต้น บางทีอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเจ้าจะเป็นเป้าของทุกคน” หลิ่วเทียนเต้ามองมั่นถัวหลัวด้วยสายตาน่าขนลุกขณะแค่นเสียง


“ถ้าพวกเขาคิดว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าโค่นได้ง่ายๆ ก็มาลองท้าเลย” ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเย็นชาขณะเอ่ยต่อ “แต่ถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าจะถูกทำลายย่อยยับ ข้าก็จะลากตำหนักสุดนภาไปพร้อมกันด้วย”


“งั้นหรือ?”


หลิ่วเทียนเต้าตอบกลับแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน จากนั้นก็โบกมือ “ถ้างั้นข้าจะคอยดูว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะอยู่รอดในสงครามล่าครั้งนี้ได้ยังไง!”


หลิ่วเทียนเต้าทิ้งคำพูดไว้ เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงถลึงตามองมู่เฉิน ไอเย็นเยือกในดวงตาทำให้อีกฝ่ายเจ็บชาขึ้นบนผิวหนังเลยทีเดียว


แต่เมื่อเผชิญกับสายตาของหลิ่วเทียนเต้าที่เต็มไปด้วยไอสังหาร มู่เฉินกลับทำสีหน้าสงบนิ่ง ส่วนหลิ่วเทียนเต้าทำได้เพียงแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะหายไปภายในมิติบิดเบี้ยว


พร้อมกับการจากไปของหลิ่วเทียนเต้า แรงกดดันคลื่นหลิงชวนอึดอัดในบริเวณนี้ก็หายไป จอมยุทธ์จำนวนมากหายใจโล่งคอกันขึ้นมาเลยทีเดียว


มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปยังทางที่หลิ่วเทียนเต้าจากไป คิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย


“จะเป็นปัญหาไหม?” มู่เฉินเคลื่อนเข้าใกล้มั่นถัวหลัวกระซิบเสียงเบา แม้คำพูดของหลิ่วเทียนเต้าจะเชื่อไม่ได้ แต่เขาก็สัมผัสได้เลือนรางว่าสงครามล่าโหดร้ายเพียงใด ภายใต้การแข่งขันนั้น กระทั่งขั้วอำนาจชั้นยอดอย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็อาจถูกทำลายล้างได้


“การแข่งขันระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเรื่องในเขตหลงเฟิ่ง” มั่นถัวหลัวส่ายหน้า คำพูดของเธอหมายความตามธรรมชาติว่าไม่ว่าการต่อสู้ในเขตหลงเฟิ่งจะเป็นอย่างไร ก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสงครามล่ามากนัก


“แต่ก็มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นแน่… เพราะในสงครามล่าทุกครั้งจะมีขั้วอำนาจสูงสุดถูกทำลายล้างและกลืนกิน” มั่นถัวหลัวยิ้มบางขณะไอเย็นเยือกหมุนคว้างในดวงตา “แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าไม่ใช่แกะรอวันเชือด ถ้าใครหวังจะมาตอด พวกมันก็จะถูกกัดแทนแน่”


มู่เฉินทำได้เพียงพยักหน้า ตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามหาพันภพโหดร้ายเพียงใด แม้แต่ขั้วอำนาจแข็งแกร่งอย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็กลายเป็นเหยื่อให้ถูกล่าได้


อีกส่วนหนึ่งของท้องฟ้า ไฉ่เซียวก็มาปรากฏตัวพลางส่งยิ้มบางให้มั่นถัวหลัวแล้วแสดงความเคารพ ส่วนฝ่ายหลังก็พยักหน้าให้ เมื่อพบปะกับธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคี แม้แต่คนเฉยชาอย่างมั่นถัวหลัวก็แสดงท่าทีเกรงใจขึ้นมาเล็กน้อย


“ข้าจะไปแล้วนะ” ไฉ่เซียวมองมู่เฉินพลางกลั้วหัวเราะแล้วยื่นมือออกมา “นี่เป็นความร่วมมือที่น่ายินดี”


ไฉ่เซียวไม่ใช่คนภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นางจะต้องไป แต่หลังจากการตะลุยด้วยกันมาหลายวัน เขาก็มีความรู้สึกประทับใจในตัวนางไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงยินดีที่จะมีสหายอย่างนาง


“นี่เป็นความร่วมมือที่น่ายินดี ขอบใจสำหรับครั้งนี้นะ” มู่เฉินเอ่ย ไม่เพียงแต่ไฉ่เซียวให้ความช่วยเหลือเขามากมายในศึกมังกรหงส์ นางยังช่วยรับมือกับสถานการณ์เมื่อครู่ ทำให้มู่เฉินรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา


ไฉ่เซียวโบกมือพลางยิ้ม “ในเมื่อตอนนี้เจ้ารู้ตัวตนของข้าแล้ว เจ้าจะว่าอย่างไรหากข้าจะชวนเจ้าไปแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว?”


คิ้วของมั่นถัวหลัวเลิกขึ้นพลางเหลือบมองมู่เฉิน แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


มู่เฉินอึ้งไปเช่นกัน จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขาระลึกถึงตอนพบกับหลินจิ้งในทวีปซัง นางก็เป็นองค์หญิงแคว้นหวูที่มีสถานะไม่ด้อยกว่าไฉ่เซียว มิหนำซ้ำนางก็เอ่ยปากเชิญเขาแต่สุดท้ายถูกเขาปฏิเสธไป ดังนั้นเหตุผลที่ปฏิเสธก็ยังไม่แปรเปลี่ยน


สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การปกป้อง


ไม่เพียงแต่ไฉ่เซียวจะไม่ประหลาดใจกับการปฏิเสธของมู่เฉิน แววชื่นชมในดวงตายังดูลึกซึ้งมากขึ้นขณะมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะคอยเวลาที่เราได้เจอกันอีก ถึงตอนนั้นข้าก็อยากรู้ว่าเจ้าจะมีพลังขนาดไหน”


เมื่อพูดจบนางก็ไม่คิดอยู่ต่อไป นางโบกมือจากไป ร่างงดงามเปลี่ยนเป็นลำแสงหายไปยังขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว


มองเห็นไฉ่เซียวไปแล้ว มู่เฉินก็อดกำมือไม่ได้ หากพวกเขาเจอกันครั้งหน้า เขาก็จะไม่พึ่งพาความช่วยเหลือของนางอีกแล้ว เพราะเส้นทางการฝึกของเขาเพิ่งจะเริ่มขึ้น



บทที่ 814 พิธีมอบยศราชัน

เทือกเขาหลงเฟิ่ง


พร้อมกับการจากไปของไฉ่เซียว สายตานับไม่ถ้วนก็ละจากสถานที่แห่งนี้ เมื่อเห็นว่าเรื่องวันนี้สิ้นสุดลง พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องอยู่ต่อ แต่ละคนพกความตกตะลึงสุดขีดไปด้วย คิดว่าอีกไม่กี่วันเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่และภายในเขตหลงเฟิ่งคงจะกระจายไปทั่วภูมิภาคทางเหนือราวกับพายุ


มู่เฉินที่เคยเป็นจอมยุทธ์ไร้ชื่อในอดีต บัดนี้คือม้ามืดที่เจิดจรัสที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือ


มู่เฉินมองฝูงชนที่จากไปก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ในที่สุดศึกมังกรหงส์ก็ถึงเวลาปิดฉากแล้ว


“เจ้าปฏิเสธคำเชิญของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วงั้นหรือ?” เวลาเดียวกัน เสียงประหลาดใจของมั่นถัวหลัวก็ดังขึ้น นางรู้สึกแปลกใจที่มู่เฉินปฏิเสธคำเชิญของไฉ่เซียว เพราะไม่ว่าจะเป็นอย่างไรแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็คือยักษ์ใหญ่ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เทียบไม่ติดฝุ่นเลย


“ถ้าจะบอกเจ้าว่าก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ข้าเคยปฏิเสธคำเชิญแคว้นหวูมาแล้วด้วย เจ้าจะตกใจมากกว่าไหม?” มู่เฉินยิ้มตาหยี


ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวขยายกว้างขึ้น หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามทั่วไปเอ่ยเช่นนี้นางคงหัวเราะท้องแข็ง แต่เมื่อหลุดจากปากของมู่เฉิน นางกลับไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อ นี่ยิ่งทำให้นางประหลาดใจ เนื่องจากนางรู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นแคว้นหวู่จิ้งฮั่วหรือแคว้นหวูก็ไม่ใช่แค่ใครก็ตามที่สามารถรับคำเชิญจากพวกเขาได้ แต่มู่เฉินได้รับคำเชิญทั้งที่ยังมีพลังยุทธ์ตื้นเขิน ดังนั้นแม้แต่นางเองก็ยังรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ


“แคว้นหวู่จิ้งฮั่วกับแคว้นหวูยิ่งใหญ่ การอยู่ใต้ชื่อของพวกเขาจะทำให้เส้นทางการฝึกฝนของข้าง่ายดายขึ้น แต่ว่า…นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” มู่เฉินยิ้มบางให้มั่นถัวหลัวที่กำลังอึ้งไป


ได้ยินคำพูดของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะมองเขาด้วยแววชื่นชมที่หาดูได้ยาก บางคนมีความสุขอยู่ในความสงบสุข ต่อให้เขามีพรสวรรค์โดดเด่น แต่โอกาสของเขาก็จะถูกจำกัด ในขณะที่ความกล้าหาญของมู่เฉินในการเดินบนเส้นทางยุทธ์ที่อันตรายกลับทำให้มั่นถัวหลัวรู้สึกชื่นชมขึ้นมา


“ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าเจ้าครอบครองร่างเทพสุริยะได้ยังไง” มั่นถัวหลัวพยักหน้า


มู่เฉินยิ้มกริ่มรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวจากมั่นถัวหลัว


“กลับอาณาเขตกงเวทสวรรค์กันเถอะ ครั้งนี้เจ้าทำดีมากและช่วยอาณาเขตกงเวทสวรรค์ให้ได้หน้ากลับคืนมาไม่น้อย จิ่วโยวกำลังรอฉลองไปกับเจ้าอยู่”


มั่นถัวหลัวยิ้มก่อนจะหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ “กลับไปครั้งนี้ พิธีมอบยศราชันจะเริ่มต้นขึ้น… ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้บัญชาการคนที่สิบแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในพิธีมอบยศครั้งนี้”


มู่เฉินอึ้งไปขณะมองมั่นถัวหลัวด้วยความรู้สึกตกใจและซับซ้อน ตอนที่เขามาถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์ผู้บัญชาการทั้งหลายในอาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นหอคอยสูงตะหง่านสำหรับเขา แต่ตอนนี้เขากลับสามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาแล้ว แม้ว่ามู่เฉินจะไม่สนใจกับตำแหน่งผู้บัญชาการขนาดนั้น แต่ก็แสดงถึงผลของการทำงานหนักในปีที่ผ่านมา


“แต่ว่าข้ามีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น… นี่จะไม่เป็นปัญหาถ้าเข้ารับตำแหน่งหรือ?” มู่เฉินไม่รู้สึกตื่นเต้นกับคำสัญญาของมั่นถัวหลัว เขากลับขมวดตอบแทน


คิ้วของมั่นถัวหลัวเลิกขึ้น เนื่องจากนางเข้าใจถึงอารมณ์สงบของมู่เฉิน ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกประหลาดใจกับประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมของเขาพลางพยักหน้า “พิธีมอบยศราชันเป็นงานสำคัญในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ อาณาเขตกงเวทสวรรค์กว้างใหญ่ไพศาลและมีกองกำลังมากมาย แค่จำนวนเจ้าเมืองก็เกือบพันแล้ว โดยที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เคยสร้างผลงานให้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ โดยทั่วไปผู้บัญชาการคนใหม่จะเลือกขึ้นมาจากพวกเขา ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากจับตามองตำแหน่งผู้บัญชาการคนที่สิบอยู่”


มู่เฉินเอ่ยเสียงเรียบ “งั้นแบบนี้ข้าถอยดีกว่า”


เขาไม่เห็นว่าผู้บัญชาการคนที่สิบจะมีความสำคัญอะไรหนักหนา บางทีในมุมมองของเขา ผลประโยชน์ที่เขาจะได้จากการเป็นผู้บัญชาการก็คงแค่เพิ่มชื่อเสียงให้กับหอวิหคโลกันตร์เล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก


“ไม่ได้” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเบา


มู่เฉินถูจมูกแก้เก้อ เขาคิดว่าตัวเองท้าทายอำนาจของมั่นถัวหลัวเข้าแล้ว ไม่ว่ายังไงนางก็คือประมุขหนึ่งเดียวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


“ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากไม่นับเจ้าก็มีจอมยุทธ์สองคนที่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง” มั่นถัวหลัวพูดเสียงเรียบเอ่ยต่อ “คนหนึ่งคือเจ้าเมืองเทียนหลัว เมืองใหญ่ที่สุดใต้การปกครองของอาณาเขตกงเวทสวรรค์—ฉินจง”


“เมืองเทียนหลัว ฉินจง?” มู่เฉินพึมพำ เขาไม่ถึงกับรู้สึกว่าชื่อนี้แปลกหู เนื่องจากเคยได้ยินจากปากของจิ่วโยวมาบ้าง ฉินจงถือว่าอาวุโสในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แรงสนับสนุนแทบจะเท่าผู้บัญชาการทั้งเก้า ทว่าพลังของเขาไม่สามารถบรรลุระดับจื้อจุนขั้นห้าได้สักที ดังนั้นจึงไม่สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ


“ส่วนอีกคนคือเจ้าสำนักภูตจันทรา ชิวไท่ยิง…”


“ชิวไท่ยิง” มู่เฉินขมวดคิ้ว นี่เป็นยอดฝีมืออีกคนที่มีชื่อเสียงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ครั้งหนึ่งเป็นทัพหน้าเปิดเขตแดนขนาดใหญ่ให้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์


“ถ้าเป็นพวกเขาทั้งคู่ก็มีคุณสมบัติเหนือกว่าข้านะ” มู่เฉินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา แม้หนึ่งปีที่เขาเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีชื่อเสียงดังเป็นพลุแตก แต่เทียบกับทั้งสองคนนี้ เขายังนับว่าเตาะแตะเหลือเกิน หากเขารับตำแหน่งผู้บัญชาการ ก็คงจะเรียกปัญหามาไม่น้อย


“ฉินจงภักดีต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้า ดังนั้นหากเขาได้รับตำแหน่งข้าก็เห็นด้วย” ดวงตาของมั่นถัวหลัวเปล่งประกายริ้วเย็นชาสายหนึ่งขณะเอ่ยต่อ “แต่แม้ว่าชิวไท่ยิงจะมีความสามารถ ความทะเยอทะยานกลับล้ำฟ้า จากข้อมูลที่ข้าได้รับมา เขาเหมือนจะมีความสัมพันธ์ลับๆ บางอย่างกับตำหนักสุดนภา”


มู่เฉินตกใจไปเมื่อได้ยิน ด้วยสถานะที่ผ่านมาชัดว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลส่วนนั้น


“แต่ข้อมูลพวกนั้นมักถูกเสมอ บวกกับความจริงที่ชิวไท่ยิงทำคุณูปการให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์มามาก คนอื่นๆ คงรู้สึกว่าข้าใจร้ายหากจัดการเขาโดยไร้การไต่สวนน่ะ” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเรียบ


“ถ้าเป็นเวลาอื่น ข้าจะค่อยๆ ตรวจสอบอย่างแนบเนียน แต่ตอนนี้เราไม่มีเวลาเหลือมากนัก”


มู่เฉินขมวดคิ้ว “เป็นเพราะ…สงครามล่างั้นหรือ?”


มั่นถัวหลัวพยักหน้า “ก่อนสงครามล่าจะเริ่มขึ้น จะต้องมีผู้บัญชาการให้ครบสิบ แต่ข้าจะยอมให้คนที่อาจมีความคิดเป็นอื่นมารับตำแหน่งผู้บัญชาการคนที่สิบของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้ อันตรายที่ซ่อนอยู่นี่คงเอาไว้ไม่ได้”


“เจ้าหมายถึง?” มู่เฉินพึมพำ


“ในระหว่างพิธีมอบยศราชัน ชิวไท่ยิงจะต้องยื่นคำขอรับตำแหน่งผู้บัญชาการตามธรรมเนียม ถึงตอนนั้นข้าจะให้ฉินจงขัดขวาง หากฉินจงขัดขวางสำเร็จทุกอย่างก็ราบรื่น แต่ถ้าพลาด…” ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวจ้องมองมู่เฉิน “เจ้าจะต้องลงมือและคว้าตำแหน่งผู้บัญชาการลำดับสิบมาให้ได้!”


มู่เฉินยิ้มขมขื่น “ข้าว่าแล้วไม่ใช่เรื่องดี นี่ไม่ใช่งานง่ายเลยนะ”


แม้มู่เฉินจะยังไม่เคยพบกับชิวไท่ยิง แต่เขาก็รู้ว่าจอมยุทธ์ที่สร้างชื่อเสียงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ขนาดนี้ย่อมไม่ใช่ธรรมดา จากการคาดเดาของมู่เฉิน พลังของชายคนนั้นคงไม่ด้อยกว่าโยวหมิง


ทันทีที่สู้กัน แม้แต่มู่เฉินยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ไหม


“วางใจเถอะ ถ้าเจ้าทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าจะเติมเต็มคำขอทุกอย่างของเจ้าเลย” มั่นถัวหลัวเอ่ยพลางหรี่ตายิ้ม


“จริงหรือ?” พอได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็อดถามยืนยันอีกครั้งไม่ได้


มั่นถัวหลัวพยักหน้า ทว่าเมื่อเห็นมุมปากของมู่เฉินที่โค้งขึ้น นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล


เมื่อเห็นนางยืนยัน มู่เฉินก็ไม่คิดเกรงใจรีบกำมือ ไผ่หยกชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นก่อนที่เขาจะส่งให้กับมั่นถัวหลัว “ถ้าข้าจัดการงานสำเร็จ ก็ช่วยรวบรวมสิ่งเหล่านี้ให้ข้าละกัน”


มั่นถัวหลัวรับไผ่หยกมาด้วยความสงสัยจากนั้นก็เหลือบมองแวบหนึ่ง สีหน้าของนางแข็งค้างไปเมื่อเห็นตัวอักษรจางๆ บนไผ่หยก


เลือดอสรพิษเก้าหัวโบราณ-สิบหยด


เลือดนกกระจอกกลืนฟ้า-สิบหยด


เลือดอสูรไร้ตน-สิบหยด



บนชิ้นไผ่หยกมีชื่อเลือดเทพอสูรแตกต่างกันสิบชนิด ทั้งหมดเป็นเทพอสูรที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาพันภพ ดังนั้นเลือดของพวกมันจึงหายากและมีราคาสูงยิ่ง


“เจ้าต้องการเลือดเทพอสูรมากมายขนาดนี้มาทำอะไร?!” มั่นถัวหลัวกัดฟัน แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังไม่สามารถรวบรวมเลือดเทพอสูรพวกนี้ได้ครบในระยะเวลาสั้นๆ เลย


“มีประโยชน์อยู่แล้ว” มู่เฉินยักไหล่ เลือดเทพอสูรทั้งสิบชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขาในการฝึกคัมภีร์หลงเฟิ่ง ตอนแรกที่รู้ว่าต้องใช้วัตถุดิบเหล่านี้เขาก็เกือบลมจับ เพราะเขารู้ว่าเป็นงานยากมากสำหรับตัวเองในการรวบรวมเลือดเทพอสูรเหล่านี้ แต่โชคดีที่มั่นถัวหลัวเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา นี่ช่วยบรรเทาปัญหาของเขาได้อย่างใหญ่หลวง


“ว่ายังไง? รวบรวมไหวเปล่า?” มู่เฉินยิ้มตาหยีขณะมองใบหน้าแข็งค้างของมั่นถัวหลัว


มั่นถัวหลัวถลึงมองมู่เฉินอย่างหมั่นไส้ “เจ้าวางแผนเรื่องนี้มานานแล้วใช่ไหม?”


ด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์ของมู่เฉิน เขาคงคิดไว้แล้วว่าจะรีดไถนางอย่างไรทันทีที่นางเอ่ยถึงพิธีมอบยศราชัน สีหน้ายุ่งยากของเขาตอนแรกดูเสแสร้งนัก


พอได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็หัวเราะอย่างซุกซน


“ตราบใดที่เจ้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการคนที่สิบได้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าตักตวงผลประโยชน์ในครั้งนี้ แม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าจะไม่สามารถรวบรวมของพวกนี้มาได้ทั้งหมด แต่ข้าจะตระเวนไปตามโรงประมูลทั่วทั้งภูมิภาคทางเหนือเพื่อรวบรวมพวกมันมาให้เจ้า” มั่นถัวหลัวแค่นเสียงเย็นชาก่อนมองมู่เฉินด้วยแววตาอันตราย “แต่ถ้าเจ้าพลาด ก็อย่ามาโทษข้าล่ะ”


เมื่อพูดจบนางก็หันหลังกลับพุ่งตัวเป็นลำแสงออกไป


สายตาแวบสุดท้ายจากมั่นถัวหลัว ทำให้มู่เฉินรู้สึกหนาวเยือกหัวใจก่อนจะส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เขาเพิ่งเสร็จศึกมังกรหงส์ก็มีพิธีมอบยศราชันมาจ่อรอแล้ว…


“หวังว่าเจ้าเมืองฉินจงจะจัดการชิวไท่ยิงได้นะ”


มู่เฉินเบ้ปากจากนั้นก็เหาะตามหลังไปอย่างรวดเร็ว



บทที่ 815 ข่าวคราวของลั่วหลี

เมื่อมู่เฉินกลับมาถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์


สิ่งที่รอคอยก็คือพิธีเฉลิมฉลองใหญ่โตตามที่เขาคิดไว้ ชัดว่าทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์รู้ข่าวคราวของเขาในศึกมังกรหงส์ผ่านช่องทางรับชมพิเศษ


ความสำเร็จของเขาให้หน้ากับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ใหญ่หลวง


ตลอดหลายปีผ่านมานี้ แม้จะเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุด แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังมีตำแหน่งรั้งท้ายในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ท่ามกลางขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในภูมิภาคทางเหนือ โดยเฉพาะเรื่องที่หัวกะทิของสำนักถูกสังหารด้วยฝีมือจอมยุทธ์จากจวนยมโลกตั้งแต่เริ่มศึก ยิ่งสร้างความอับอายให้กับทางสำนักจนเหลือประมาณ ดังนั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงไม่ส่งจอมยุทธ์เข้าร่วมศึกมังกรหงส์นานหลายปี จนกระทั่งครั้งนี้…


ตอนแรกที่มั่นถัวหลัวประกาศการเข้าร่วมศึกของมู่เฉินและการเป็นตัวแทนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้จอมยุทธ์ชั้นสูงในสำนักจะไม่พูดอะไร แต่ในใจพวกเขากลับไม่ยอมรับ


แม้ว่าพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาจะทำให้พวกเขารู้ถึงศักยภาพที่เขามี แต่เขาก็ยังห่างไกลจากจอมยุทธ์อัจฉริยะในบันทึกมังกรหงส์


ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครมองโลกในแง่ดีที่มู่เฉินเข้าร่วมศึก บางทีอาจมีบางคนคิดว่าเขาจะสร้างความอับอายขายหน้าในศึกมังกรหงส์เสียด้วย


แต่ไม่ว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไร มู่เฉินก็เข้าร่วมศึกเพียงลำพัง


จนสุดท้ายอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ได้รับข่าวที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงพรึงเพริด


มู่เฉินเอาชนะหลิ่วเหยียน เผชิญหน้าโยวหมิงไม่เกรงกลัว สุดท้ายก็ก้าวขึ้นบันไดมังกรหงส์ขั้นสิบสำเร็จ คว้ามรดกมีค่าสูงสุดในเขตหลงเฟิ่งมาครอบครอง ชื่อของมู่เฉินแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์เบียดชื่อจอมยุทธ์อัจฉริยะมีชื่อทั้งหลายจนหมด


เรื่องนี้ทำให้ทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ปั่นป่วน


พวกจอมยุทธ์ชั้นสูงที่เคยเกิดความสงสัยในใจก็ทำเอาพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว แม้พวกเขาจะพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่าชายหนุ่มตรงหน้าที่พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญใดๆ กลับปรากฏขึ้นในภูมิภาคทางเหนือราวกับดาวหาง


บางทีอีกไม่นานหลังจากนี้เขาก็จะกลายเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงดังเป็นพลุแตกในภูมิภาคทางเหนือ


ระหว่างการเฉลิมฉลอง ผู้คนในหอวิหคโลกันตร์ต่างรู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจอย่างที่สุด มู่เฉินมาที่หอวิหคโลกันตร์พร้อมกับจิ่วโยว ขณะเดียวกันก็ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพวิหคโลกันตร์ ความสามารถอันโดดเด่นของเขาทำให้หอวิหคโลกันตร์ที่ซบเซามานานรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง


ในอนาคตจะไม่มีใครในอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้าดูถูกหอวิหคโลกันตร์ของพวกเขาอีกแล้ว


งานเฉลิมฉลองกินเวลาสองวันเต็ม ก่อนที่ความตื่นเต้นจะค่อยๆ ซาลง ในที่สุดมู่เฉินก็หลุดพ้นจากการพัวพันของทุกคนกลับคืนหอวิหคโลกันตร์เพื่อพักผ่อน สำหรับเขางานฉลองแบบนี้ทำให้รู้สึกอ่อนกำลังและลำบากมากกว่าการต่อสู้ในศึกมังกรหงส์เสียอีก


ในหอวิหคโลกันตร์ ดวงจันทร์กระจ่างใสแขวนบนท้องฟ้ากำจายแสงจันทร์เย็นฉ่ำลงมา


มู่เฉินนอนลงบนหลังคาหอวิหคโลกันตร์เอามือรองท้ายทอย เขามองดวงจันทร์สุกสว่างด้วยสายตาเกียจคร้านขณะที่สายลมเย็นพัดเอื่อย ร่างกายที่เกร็งเครียดมานานก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงในตอนนี้


กลิ่นคาวเลือดที่ติดตัวมาจากศึกมังกรหงส์ราวกับค่อยๆ จางหายไปในตอนนี้


มู่เฉินมองดวงจันทร์ร่างงดงามที่มีเรือนผมสีเงินยวงก็ปรากฏในหัวสมอง ใบหน้าเย็นใสของนางราวกับใบมีดสลักลงในส่วนลึกของหัวใจมู่เฉิน


นั่นคือลั่วหลี


“ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างในตระกูลลั่วเสิน…?” มู่เฉินพึมพำ หลังจากที่เราสองคนต้องแยกกัน เขาก็มุ่งหน้าเข้าสู่มหาพันภพที่อันตราย ผ่านประสบการณ์การต่อสู้นองเลือดและแขวนชีวิตไว้ระหว่างความเป็นความตาย เขาทำทุกอย่างเพื่อทำตามสัญญาที่ครั้งหนึ่งเคยให้ไว้กับหญิงสาวคนรัก เขาจะต้องเป็นยอดยุทธ์ให้ได้ เช่นเดียวกับตอนที่อยู่ในสงครามเทพยุทธ์ที่เขาจะยืนตรงหน้าเป็นอัศวินปกป้องเจ้าหญิงของเขา ตะลุยผ่านไม่ว่าอุปสรรคใดก็ตาม


นอกจากนี้ยังมีมารดาของเขาอีกด้วย สตรีสองนางที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิต เขาจะต้องเดินหน้าต่อไปไม่ว่าเส้นทางในการเป็นยอดยุทธ์จะยากเย็นเพียงใด คนอย่างเขาก็ต้องไม่ท้อถอย


นั่นเป็นเพราะเขาต้องการพลังในการปกป้อง


มู่เฉินหรี่ตาลงค่อยๆ กำหมัด


“เจ้าดูสบายเนอะ” เสียงหัวเราะพลิ้วไหว มู่เฉินลืมตาก็เห็นจิ่วโยวยืนอยู่ใกล้ๆ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แสงจันทร์กระทบผิวกายนาง ขับเน้นส่วนโค้งเว้าน่ามองให้เด่นชัด


มู่เฉินยกยิ้มเนือยๆ ตอบรับ


“มีข่าวอยู่สองข่าว ข้าคิดว่าเจ้าคงจะสนใจนะ” จิ่วโยวนั่งลงข้างกายมู่เฉินอย่างอ่อนช้อย รูปร่างโค้งเว้าเต็มไปด้วยความเย้ายวน กลิ่นหอมระรวยทำให้หัวใจของผู้คนหวั่นไหว


“ข่าวแรกข้าได้ข้อมูลเกี่ยวกับฉินจงกับชิวไท่ยิงมาแล้ว” จิ่วโยวยิ้ม นางและมู่เฉินมีความสัมพันธ์เหนียวแน่น ดังนั้นเป็นธรรมดาที่รู้ว่ามั่นถัวหลัวต้องการให้มู่เฉินลงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการคนที่สิบ


พอได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็ทำเพียงปรือตาขึ้น เห็นชัดว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสนใจอะไร


เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองนั่น จิ่วโยวก็ไม่ได้วอแวอะไร นางยิ้มตาหยีพูดต่อ “ส่วนอีกข่าว…รู้สึกจะมาจากดินแดนซีเทียน”


“ดินแดนซีเทียน?!” มู่เฉินผงะไปก่อนที่จะผุดลุกนั่งจ้องมองจิ่วโยวด้วยความดีใจ เขารู้อยู่แล้วว่าตระกูลลั่วเสินอยู่ในดินแดนซีเทียน!


และเหตุผลที่จิ่วโยวบอกเขาในเรื่องนี้ก็ต้องเกี่ยวข้องกับลั่วหลีแน่นอน


“ดินแดนซีเทียนอยู่ห่างจากทวีปเทียวหลัวมาก หากไม่ใช้ช่องทางพิเศษ ก็เป็นเรื่องยากที่ข้อมูลจะถูกส่งมาถึง ข้าจ่ายไปเยอะอยู่กว่าจะได้ข่าวมา” จิ่วโยวมองมู่เฉินพลางยิ้มตาหยีเอ่ยเย้า “เป็นยังไง? สนใจไหม?”


มู่เฉินถูจมูกพลางหัวเราะแห้งๆ


จิ่วโยวไม่หยอกล้ออะไรมู่เฉินอีก นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมา “จากข้อมูลที่ได้มา หลังจากที่ลั่วหลีกลับไปตระกูลลั่วเสิน ตระกูลเสี่ยเสินก็โจมตีหนักข้อมากขึ้น ทั้งสองตระกูลเปิดศึกกันนับครั้งไม่ถ้วน ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเลือดไหลชโลมราวกับสายน้ำ”


“คนรักตัวน้อยของเจ้าฝีมือดีทีเดียว ว่ากันว่าหลังจากที่นางกลับตระกูล นางก็ไม่ได้นั่งกำกับอยู่ในตระกูลใหญ่แต่กลับนำกองทัพใหญ่ออกมาปกป้องดินแดน กวาดล้างทัพตระกูลเสี่ยเสินหลายต่อหลายครั้ง” ในน้ำเสียงของจิ่วโยวเจือแววชื่นชม


แต่ได้ยินคำพูดของนางแล้ว มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป พลังของตระกูลลั่วเสินกับตระกูลเสี่ยเสินแข็งแกร่งกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ระดับการต่อสู้นั้นก็ต้องมีจอมยุทธ์จำนวนมากเข้าร่วมกระทั่งขุมพลังจื้อจุนก็ไม่นับว่าเป็นชั้นยอด การที่ลั่วหลีนำทัพด้วยตัวเองย่อมเป็นเรื่องอันตรายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


“นางคิดถูกแล้วที่ทำเช่นนั้น”


จิ่วโยวเหลือบมองมู่เฉินและเอ่ยเบา ๆ “ว่ากันว่าราชวงศ์ลั่วเสินวุ่นวายมาก เป็นเพราะลั่วเทียนเสิ่นจึงไม่ได้แตกเป็นเม็ดทราย แม้ว่าลั่วหลีจะมีสถานะสูงส่ง แต่ก็ยังเยาว์วัยนัก การที่นางนำทัพด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่จะฝึกฝนตัวเองและเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับตระกูลลั่วเสิน ยังเพิ่มจุดยืนให้นางในตระกูลลั่วเสิน เอาชนะใจของคนในตระกูลและผู้อาวุโสได้มากขึ้น”


“และความเป็นจริงก็พิสูจน์ว่าการกระทำของนางถูกต้อง ปีที่ผ่านมานางนำกองทัพชั้นยอดของตระกูลลั่วเสินเข้าต่อสู้กับตระกูลเสี่ยเสินนับครั้งไม่ถ้วน ชื่อเสียงของนางในตระกูลลั่วเสินก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของตระกูลลั่วเสิน พวกเขาเหล่านั้นเข้าข้างนางอย่างต่อเนื่อง บวกกับการสนับสนุนของลั่วเทียนเสิ่น บางทีอีกไม่นานนางก็จะดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสินแท้จริงแล้ว”


“ถึงตอนนั้นตระกูลลั่วเสินอาจจะผงาดขึ้นอีกครั้งในมือของนาง”


จิ่วโยวถอนหายใจเบาๆ “นางไม่ได้มีชีวิตสุขสบาย แต่ก็ทำได้ดีมาก”


ครั้นได้ยินคำพูดของจิ่วโยว แววตาปีติของมู่เฉินก็ถอยกลับ เขามองดวงจันทร์กระจ่างใส จากนั้นก็สูดหายใจลึกและหลับตาลงช้าๆ


เขาเหมือนจะได้ยินเสียงโห่ร้องของสงครามดังมาจากทั่วชั้นฟ้า ริ้วแสงพุ่งไปมาจากทุกทิศทางก่อนปะทะกันพร้อมกับเลือดและคลื่นหลิงระเบิดออกมาในขณะเดียวกัน


ทั่วทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือน


บนเนินเขาในสนามรบหญิงสาวถือกระบี่ยาว ผมยาวสีเงินยวงปลิวสยายไปในสายลม ม่านตาใสราวกับแก้วมองภูเขาซากศพและทะเลโลหิต ภายใต้ทั่วบริเวณที่ถูกย้อมด้วยสีแดงและเต็มไปด้วยการฆ่าฟัน ร่างของนางดูเล็กลงอย่างถนัดตา


ดวงตามู่เฉินเบิกโพลง ภาพนั้นทำให้เขารู้สึกปวดใจ ที่แท้ขณะที่เขาเข้าสู่มหาพันภพ ลั่วหลีที่กลับตระกูลลั่วเสินก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีเช่นกัน อันตรายและแรงกดดันที่นางต้องแบกรับเกินกว่าเขามากนัก


ขณะที่เขาก้าวบนเส้นทางความเป็นตาย ลั่วหลีก็นำทัพใหญ่เปิดฉากโรมรันกับตระกูลเสี่ยเสิน


บางทีนางอาจเข้าใจมู่เฉินและรู้ว่าเพราะคำสัญญาที่เขาให้ไว้ เขาจะไม่ย่นย่อไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายใดก็ตาม ดังนั้นนางจึงทำงานหนักในแบบของตนด้วยหวังว่าวิธีนี้นางจะสามารถแบ่งรับแรงกดดันให้เขาได้


นางไม่ใช่สตรีที่ชอบมานั่งคอยเงียบๆ มองดูมู่เฉินโชกเลือดไปด้วยบาดแผลบนเส้นทางแห่งการเป็นหนึ่ง ส่วนนางทำได้เพียงยืนไกลๆ และรู้สึกเจ็บปวดใจเพื่อเขา


เว้นแต่ว่าการทำเช่นนั้น มู่เฉินก็รู้สึกเจ็บปวดใจเช่นกัน


“ข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ…”


มู่เฉินพึมพำ ขณะที่เขาคิดว่าตนเองทำงานหนักมาพอแล้ว เขากลับลืมไปว่าในสถานที่ที่ไกลออกไป ยังมีสตรีนางหนึ่งที่ทำงานหนักเพื่อที่เขาจะไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้


“วางใจเถอะลั่วหลี ข้าจะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน”


มู่เฉินกำหมัดพร้อมกับแววคมกล้าพวยพุ่งในม่านตาสีดำ ท่าทางเกียจคร้านก่อนหน้าหายไปจนหมดสิ้น เขาต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้


พอมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของมู่เฉินแล้ว จิ่วโยวก็ยิ้มออกมาพึมพำในใจ ‘มู่เฉินจะต้องมีสักวันที่เจ้าจะกลายเป็นยอดยุทธ์ ข้าเชื่อมั่นมาตลอดตั้งแต่แรกเจ้าน้องชาย’


“บอกข้อมูลเกี่ยวกับสองคนนั้นให้ข้าเถอะ ตอนนี้ข้าชักสนใจแล้ว”


มู่เฉินยิ้มให้จิ่วโยวก่อนจะยื่นมือออกมา ดูเหมือนเพื่อให้มั่นถัวหลัวรวบรวมเลือดเทพอสูรสิบชนิดมาได้ เขาไม่สามารถยอมแพ้ต่อตำแหน่งผู้บัญชาการคนที่สิบแล้ว


เพื่อหญิงอันเป็นที่รักที่กำลังทำงานหนักในตอนนี้



บทที่ 816 ชิงตำแหน่งผู้บัญชาการ

ในเวลาสิบวันต่อมา


มู่เฉินก็ไม่ได้ย่างเท้าออกจากหอวิหคโลกันตร์เลย เขาปิดกั้นสิ่งรบกวนจากโลกภายนอกและเข้าสู่การเก็บตัวห้องฝึกยุทธ์


หลังจากทราบข่าวคราวของลั่วหลี เขาก็รู้ว่าการทำงานหนักและพัฒนาการที่เขาทำมาทั้งหมดนั้นยังห่างจากคำว่าพอ เมื่อเทียบกับหญิงสาวคนรักที่ทำงานหนักอยู่เช่นกัน


ยังมีหนทางอีกยาวไกลสำหรับคำสัญญาที่เขาได้ให้กับนาง ดังนั้นตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะพอใจและผ่อนคลาย


เขาต้องแข็งแกร่งกว่านี้!


ขณะที่มู่เฉินปิดกั้นสิ่งรบกวนเข้าสู่สภาวะฝึกยุทธ์ ภูมิภาคทางเหนือกลับเต็มไปด้วยข่าวของเขา ก่อให้เกิดความโกลาหลไม่น้อย เนื่องจากเขาเป็นคนแรกที่ก้าวขึ้นบันไดขั้นสิบของเขตหลงเฟิ่งได้หลังจากเปิดมาหลายปี แล้วพวกจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือจะไม่รู้สึกตกใจไปกับความสำเร็จของเขาได้อย่างไร?


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรู้ว่ามู่เฉินอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเอาชนะหลิ่วเหยียนและขัดขวางโยวหมิงได้ เมื่อได้รับรู้ความสำเร็จเหล่านั้น แววประหลาดใจก็แรงกล้ามากขึ้น


ทุกครั้งที่เปิดศึกมังกรหงส์ก็จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่ในบันทึกมังกรหงส์ ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ซึ่งคนที่เจิดจรัสที่สุดก็คือมู่เฉินที่เป็นม้ามืด


ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในการเอาชนะหลิ่วเหยียน ขัดขวางโยวหมิงหรือก้าวขึ้นสู่บันไดมังกรหงส์ขั้นสิบได้ นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชื่อของเขาขจรขจายในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ


ดังนั้นหลังจากการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วน บันทึกมังกรหงส์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ชื่อของมู่เฉินขึ้นมาแทนที่หลิ่วเหยียนในอันดับสาม แซงหน้าจอมยุทธ์อย่างซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นๆ


อันดับสูงขึ้นไปก็คือโยวหมิงและฟังยี่ที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง พลังที่สองคนนั้นแสดงออกมาอยู่เหนือกว่าทุกคน แม้กระทั่งมู่เฉินที่แสดงความสามารถออกมาอย่างเยี่ยมยอดในครั้งนี้ก็ทำได้เพียงขัดขวางโยวหมิงเท่านั้น


สำหรับไฉ่เซียวที่จรัสแสงที่สุดในศึกมังกรหงส์ นางก็ราวกับตำนาน หลังจากเขตหลงเฟิ่งปิดลง ไฉ่เซียวก็ออกจากภูมิภาคทางเหนือ ทิ้งเงาร่างสะคราญโฉมติดตรึงใจไว้ เพราะความจริงนางไม่ใช่คนในภูมิภาคทางเหนือ ชื่อของนางจึงไม่ปรากฏอยู่บนบันทึกมังกรหงส์ แต่คนที่เข้าร่วมศึกครั้งนี้ไม่อาจลืมนางได้เลย นางมีความงดงามน่าทึ่งประหนึ่งราชินี แม้แต่อัจฉริยะอย่างฟังยี่กับโยวหมิงก็ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับนาง


ที่เทือกเขาหลงเฟิ่ง ตัวตนของไฉ่เซียวที่เผยออกมาสร้างความตกตะลึงให้กับขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในภูมิภาคทางเหนือ นางเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคี แม้แต่หมู่ตึกเทวะก็ไม่กล้ามองข้ามเรื่องนี้ เพราะมีเพียงยักษ์ในระดับพวกเขาเท่านั้นที่จะเข้าใจได้ดีว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วกับเทพจักรพรรดิอัคคีมีพลังอำนาจเพียงใดในมหาพันภพ


แค่คิดถึงเรื่องนี้แม้แต่หมู่ตึกเทวะกับจวนยมโลกยังรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา โชคดีที่ไฉ่เซียวเอาชนะฟังยี่กับโยวหมิงได้ ไม่อย่างนั้นหากนางพ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บหนัก ก็จะจุดเพลิงโทสะให้แคว้นหวู่จิ้งฮั่วซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน


และความคิดเช่นนี้ทำให้ขั้วอำนาจชั้นยอดรู้สึกสลดลง เพราะพวกเขายืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือ แต่กลับหวาดกลัวที่จะทำอันตรายใครบางคนและความวอดวายมาให้ตนเอง…


แต่เรื่องนี้ก็โทษพวกเขาไม่ได้ เนื่องจากยักษ์ใหญ่อย่างแคว้นหวู่จิ้งฮั่วน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน


หลังจากชื่อของมู่เฉินขึ้นสู่อันดับสามบนบันทึกมังกรหงส์ ความวุ่นวายในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ค่อยๆ สงบลง แทนที่ด้วยเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากกว่านั้น


พิธีมอบยศราชัน


ในสายตาของจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ นี่เป็นเรื่องที่ดึงดูดความสนใจยิ่งกว่าศึกมังกรหงส์ เนื่องจากพิธีมอบยศราชันเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา


อาณาเขตกงเวทสวรรค์มีเขตแดนกว้างใหญ่ไพศาล มีจอมยุทธ์มากมายราวกับหมู่เมฆภายใต้นั้น ทว่าลำดับชั้นภายในเข้มงวดอย่างยิ่ง ผู้ปกครองมีประมุขเพียงหนึ่งเดียว ไล่ลำดับลงมาก็คือสามจอมพล เก้าผู้บัญชาการ แม่ทัพน้อยใหญ่ เจ้าเมืองและกองกำลังย่อย การเพิ่มขึ้นในลำดับชั้นจะแสดงถึงการเพิ่มขึ้นของทรัพยากรและสถานะ


สามจอมพลมีพลังแข็งแกร่ง มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้นที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นจอมพล ดังนั้นจึงมีน้อยคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่มีคุณสมบัตินี้


ส่วนตำแหน่งผู้บัญชาการน่าดึงดูดใจอย่างยิ่งในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นั่นเพราะการเป็นผู้บัญชาการทำให้พวกเขาสามารถสร้างขุมกำลังของตัวเอง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับของเหลวจื้อจุนปริมาณมหาศาลจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขายังได้ปกครองเมืองต่างๆ หลังโจมตีขั้วอำนาจอื่นสัดส่วนรางวัลที่ต้องส่งบรรณาการให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเมืองและกองกำลังย่อย ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากใฝ่ฝันถึงตำแหน่งผู้บัญชาการ


ทว่าโดยธรรมเนียมตำแหน่งผู้บัญชาการเป็นของจอมพลังยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แน่นอนว่าจิ่วโยวได้รับข้อยกเว้น เนื่องจากนางมีกองหนุนใหญ่อย่างเผ่าวิหคโลกันตร์ พูดให้ตรงประเด็นเผ่าเทพอสูรนี้ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานเป็นสิ่งที่แม้แต่มั่นถัวหลัวยังหวาดหวั่น ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อยกเว้นสำหรับจิ่วโยว


ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จอมยุทธ์คนอื่นจะมีโอกาสเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงต่อสู้ชิงมาด้วยพลังของตัวเอง


ส่วนพิธีมอบยศราชันก็คือโอกาสรับตำแหน่ง ดังนั้นกล่าวได้ว่างานนี้สำคัญขนาดไหน


ด้วยเหตุนี้ขณะที่ภูมิภาคทางเหนือยังคงอยู่ในความโกลาหลจากการที่มู่เฉินคว้าอันดับสามในบันทึกมังกรหงส์ จอมยุทธ์ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์กลับเริ่มพุ่งความสนใจมายังพิธีมอบยศราชันที่จะมีขึ้น


ตราบใดที่ได้รับตำแหน่ง สถานะของพวกเขาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์


ดังนั้นภายใต้การรอคอยอย่างใจจดจ่อของจอมยุทธ์จำนวนมาก พิธีมอบยศราชันก็มาถึงตามกำหนดการ


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


วันนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ดูคึกคักมากที่สุดในรอบปี ลำแสงพุ่งผ่านเขตต้าหลัวเทียนราวกับฝูงตั๊กแตนจากทุกทิศทาง


การรักษาความปลอดภัยในเขตต้าหลัวเทียนหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม หน่วยใต้บัญชาของผู้บัญชาการทั้งหลายร่วมกันรักษาความสงบเรียบร้อยป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายในงานยิ่งใหญ่จนอาจทำให้ตัวเองต้องอับอาย


ทว่าพิจารณาจากภาพตระการตานี้ พิธีมอบยศราชันก็สมกับการเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ คนจำนวนมากตื่นเต้นไปกับเรื่องนี้ ใครๆ ก็อยากรู้ว่าผู้ใดที่จะมาเป็นผู้บัญชาการลำดับสิบ


หอวิหคโลกันตร์


ด้านนอกห้องฝึกยุทธ์คนสองคนยืนนิ่ง คนด้านหน้าก็คือจิ่วโยว โดยมีถังปิงสวมชุดดำยืนอยู่ด้านหลัง


ตอนนี้ถังปิงกำลังขมวดคิ้วมองห้องฝึกที่ปิดตาย “พิธีมอบยศราชันจะเริ่มอีกไม่ช้าแล้ว เจ้านั่นยังไม่ออกมาอีก”


จิ่วโยวยิ้มดูไม่รีบร้อน “ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมน่ะ การชิงตำแหน่งผู้บัญชาการลำดับสิบไม่ใช่เรื่องง่าย”


“หึ เพื่อการเก็บตัวฝึกของเจ้านี่ ข้าต้องควักของเหลวจื้อจุนถึงสองแสนหยดด้วยความลำบากใจ ถ้าเขาล้มเหลวละก็ข้าจะเค้นคอให้เขาคายออกมาให้หมด” ถังปิงเอ่ยอย่างปวดใจ นางเป็นผู้ดูแลหอวิหคโลกันตร์โดยที่ของเหลวจื้อจุนทั้งหมดอยู่ใต้การควบคุมดูแลของนาง จิ่วโยวให้ของเหลวจื้อจุนกับมู่เฉินสองแสนหยดสำหรับการเก็บตัวครั้งนี้ ซึ่งต้องผ่านมือถังปิงเพื่อทำการถอน


“ขี้เหนียวจริง วางใจเถอะ เขาคุ้มค่ากับการลงทุนนะ” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะยิ้ม จากนั้นก็ลูบใบหน้าของถังปิงเอ่ยเย้า “เจ้าเอาตัวเองไปลงทุนก็ได้นะ ข้าว่าผลกำไรน่าจะใช้ได้เลยนะ”


“พี่ใหญ่!”


ถังปิงหน้าเห่อแดง นางรักษาท่าทางเย็นชาเกือบตลอดเวลา ทำให้ดูเข้มงวดไม่น้อย ดังนั้นการกระทำแบบสาวน้อยเขินอายเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องหาดูได้ยาก


“ใครอยากจะลงทุนกับข้าเหรอ?” เวลานี้ห้องฝึกยุทธ์ก็เปิดออกพร้อมกับเสียงหัวเราะร่วนดังมาจากข้างใน มู่เฉินเดินออกมาพลางมองหญิงสาวทั้งสองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


พอเห็นมู่เฉินแสดงตัว ใบหน้าของถังปิงก็แดงซ่านขึ้นไปอีก จากนั้นก็กวาดมองมู่เฉินก่อนที่จะขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้บรรลุขุมพลังเรอะ?”


แม้คลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินจะหนาแน่นมากขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ไม่ได้บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่อย่างที่ถังปิงคาดไว้


พอได้ยินคำพูดนาง ใบหน้าของมู่เฉินก็ดูขมขื่นพร้อมกระตุกยิ้ม “เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไร? ทุกครั้งที่เก็บตัวจะต้องบรรลุขุมพลังเหรอ?”


ใบหน้าของถังปิงแดงก่ำ จากนั้นก็บ่มพึมพำ “ถ้างั้นก็ไม่เท่ากับว่าของเหลวจื้อจุนสูญเปล่าเหรอ?”


มู่เฉินอดกลอกตาไม่ได้


จิ่วโยวเดินวนเวียนรอบตัวมู่เฉิน ดวงตาเปล่งประกาย สายตาของนางเฉียบแหลมมากกว่าถังปิง นางจึงสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินตอนนี้เต็มเปี่ยม ยิ่งกว่านั้นเขาเหมือนจะจงใจกดอะไรบางอย่างไว้


“ดูเหมือนประโยชน์ที่เจ้าได้รับจากการเก็บตัวครั้งนี้จะดีไม่น้อย” จิ่วโยวยิ้ม


มู่เฉินยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขาเหยียดเอวมองท้องฟ้าด้านนอกหอวิหคโลกันตร์ สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังจำนวนมากพุ่งมาจากทุกทิศทาง


“ช่างสมกับเป็นงานพิธีสำคัญที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์” มู่เฉินตกใจเล็กน้อย หลังจากอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์มานาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนจำนวนมากมายมารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้


“เจ้าเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?” จิ่วโยวยิ้มมองมู่เฉิน


มู่เฉินสูดหายใจลึกขณะสายตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดพลางพยักหน้าเบาๆ ครั้งนี้พิธีมอบยศราชัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองเทียนหลัว—ฉินจง หรือเจ้าสำนักภูตจันทรา—ชิวไท่ยิง พลังของพวกเขาก็ไม่ด้อยกว่าโยวหมิงเลย


ถ้าเขาต้องการตำแหน่งผู้บัญชาการ ก็จะต้องเกิดการต่อสู้ดุเดือดแน่นอน


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะขี้ขลาด


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับใบหน้าของหญิงสาวคนรักวาบผ่านในหัวสมอง จากนั้นเขาก็กำหมัดเดินออกไป


“ไปกันเถอะ”


ตำแหน่งผู้บัญชาการลำดับสิบ เขาต้องชิงมาให้ได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)