หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 803-812
บทที่ 803 สองสมรภูมิ
ตู้ม!
เสาปีศาจราชันพระสุเมรุเปล่งแสงสีทองพร่างพราว ประหนึ่งหลอมมาจากทองคำทำให้ท้องฟ้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่ก่อร่างเงาขนาดใหญ่ซึ่งมาพร้อมกับพลังน่าตกใจ ภายใต้ความอุทานตกใจนับไม่ถ้วนก็ฟาดใส่โยวหมิงราวกับสายฟ้าฟาดไม่ยั้ง
กระทั่งมิติยังบิดเบี้ยวใต้เสาปีศาจ ดังนั้นจึงบอกได้ว่าคลื่นสองตะวันของร่างเทพสุริยะยิ่งใหญ่เพียงใด
ทว่าเผชิญหน้ากับการโจมตีเต็มกำลังของมู่เฉิน กลับไม่ปรากฏริ้วใดๆ บนใบสีหน้าขาวโพลนของโยวหมิง ง้าวเทพใต้พิภพในมือยกขึ้นช้าๆ อึดใจต่อมาไอโหดเหี้ยมก็วาบไหวในดวงตา
ในที่สุดเขาก็ลงมือแล้ว
วาบ!
ทุกคนมองเห็นแสงสีดำสลัวลางฉีกผ่านขอบฟ้าก่อนเสียงโลหะกระทบกันจะดังก้อง เสาปีศาจที่ฟาดลงมาอย่างแรงก็หยุดชะงักราวกับพลังยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังหายไปจนหมดสิ้น
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งไปที่ด้านหน้าเสาปีศาจก็เห็นง้าวสีดำหยุดเสาเอาไว้ แม้เทียบกันแล้ว ง้าวสีดำจะดูเล็กมากจนเหมือนสามารถถูกเสาปีศาจหักลงได้อย่างง่ายดาย แต่ง้าวที่บอบบางนี้กลับหยุดเสายักษ์ได้ ไม่ให้เคลื่อนเข้าอีกแม้แต่นิดเดียว
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนที่อยู่บริเวณนี้ก็แอบเดาะลิ้นเมื่อเห็น นี่เหรอพลังของอันดับสองบนบันทึกมังกรหงส์? น่าสะพรึงเหลือเกิน เพียงแค่พลังที่แสดงออกภายนอกก็เหนือกว่าหลิ่วเหยียนไปไม่รู้เท่าไรแล้ว
มู่เฉินที่เป็นม้ามืดพุ่งแรงในศึกมังกรหงส์ครั้งนี้ราวกับขุมพลังที่ไม่สามารถต้านทานได้ ในที่สุดก็ได้พบกับคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อ เว้นแต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะยังผ่านไปได้หรือไม่
มู่เฉินยืนอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะขณะมองโยวหมิงที่ถือง้าวด้วยมือข้างเดียวสกัดเสาปีศาจเอาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสูดหายใจลึกพร้อมกับแววตาเปลี่ยนเป็นคมกล้า
เขารู้ว่าศึกครั้งนี้ไม่ใช่ง่ายเลย
ขณะที่มู่เฉินกับโยวหมิงพุ่งเข้าโรมรันกัน อากาศอีกส่วนก็ถูกแช่แข็ง แม้จะไม่มีคลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดอาละวาด แต่ก็ยังดึงดูดสายตาของคนนับไม่ถ้วน
นั่นเพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่ว่าการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับโยวหมิงจะดุเดือดเพียงใด แต่ที่นั่นคือจุดสำคัญที่สุด เนื่องจากทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของศึกมังกรหงส์ครั้งนี้
ฟังยี่อันดับหนึ่งของบันทึกมังกรหงส์ ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของเขา เมื่อเทียบกับชื่อเขาแล้ว ความเจิดจรัสของอัจฉริยชนคนอื่นๆ ก็ดูด้อยลงไปทันที ทุกคนรู้ว่าบางทีในอนาคตเขาอาจเป็นประมุขหมู่ตึกเทวะคนต่อไป จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในภูมิภาคทางเหนือนี้
ส่วนไฉ่เซียวก็ลึกลับจนน่ากลัว ตลอดทางนี้นับได้ว่ากวาดล้างไปหมด แม้แต่อัจฉริยะอย่างโยวหมิงกับฟังยี่ยังไม่ได้เปรียบในมือนาง
ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างทั้งสองจึงมีความสำคัญมากที่สุดสำหรับการสืบทอดมรดกมังกรหงส์นี้
ฝ่าเท้าของไฉ่เซียวก้าวเดินบนอากาศอย่างนุ่มนวล ดวงตายั่วยุของนางจับจ้องฟังยี่ด้วยความเย็นชา มีแสงหลิงสีรุ้งแล่นแปลบปลาบในมือของนาง
แม้ว่าสีหน้าของฟังยี่จะดูไม่แยแส แต่ลึกลงไปในดวงตากลับปรากฏแววเคร่งขรึม เผชิญกับไฉ่เซียวผู้ลึกลับ แม้แต่คนที่มีความมั่นใจอย่างเขายังไม่รู้สึกว่าจะคว้าชัยชนะได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่เขาจะถอยในตอนนี้แล้ว
ฟังยี่กำมือเบาๆ ขณะคลื่นหลิงม้วนตัวแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ มิติกระเพื่อมไหวที่เบื้องหลัง คลื่นหลิงมหาศาลกวาดออกมาราวกับคลื่นยักษ์
“งั้นขอข้าแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับแม่นางหน่อยแล้วกัน” ฟังยี่ยิ้มบาง อึดใจก็ชี้นิ้วลง ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ครางกระหึ่มที่เบื้องหลัง เมื่อแสงหลิงสว่างวาบ กระบี่สีม่วงใหญ่โตจำนวนมากที่มีขนาดราวร้อยจั้งก็ปรากฏขึ้น รัศมีกระบี่เชี่ยวกรากกระจายออกมาจากใบมีดยักษ์มากมายดูราวกับว่าสามารถผ่าฟ้าดินได้
จอมยุทธ์จำนวนมากรู้สึกหนังหัวขนลุกชันจากความคมของรัศมีกระบี่ เพียงแค่เล่มเดียวก็เพียงพอจะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ตกอยู่ในสถานการณ์น่าสมเพชแล้ว การมีพวกมันมารวมกันเป็นห่าฝนเช่นนี้ พลังอำนาจก็ยิ่งน่าตกใจมากขึ้น
เห็นได้ว่าฟังยี่รู้ว่าหากออมมือเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างไฉ่เซียว ก็รังแต่จะสร้างความอับอายขายหน้าให้ตัวเอง
“ฮึ่ม!”
ฟังยี่ดีดนิ้วเบาๆ ทำให้เกิดเสียงครางกระหึ่มของกระบี่ดังไปทั่วสารทิศ ความผันผวนที่แผ่ออกมากินวงกว้างพันลี้ ทุกคนมองเห็นกระแสกระบี่เชี่ยวกรากบินฉวัดเฉวียน ราวกับพายุปกคลุมไฉ่เซียวทุกทิศทาง
ช่างเป็นภาพน่าตกใจอย่างยิ่ง
แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ ไฉ่เซียวทำเพียงชี้นิ้ววาดไปบนอากาศ พริบตารอยแยกมิติสีดำก็ปรากฏที่เบื้องหน้านาง
ชี่! ชี่!
แสงกระบี่สีม่วงทะยานเข้ามากลับถูกดูดกลืนลงไปในรอยแยกมิติ ไฉ่เซียวที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย
เมื่อผู้คนเห็นว่าไฉ่เซียวรับมือกับการโจมตีของฟังยี่ได้อย่างง่ายดาย สายตาพวกเขาก็อดหดลงไม่ได้ ไฉ่เซียวน่าสะพรึงแท้จริง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฟังยี่ถึงหวาดผวานางนัก
“ทำไมต้องทำให้ตัวเองอับอายด้วยลูกไม้อ่อนๆ แบบนี้ด้วยล่ะ?” ไฉ่เซียวแค่นเสียง จากนั้นนางก็แตะฝ่าเท้า เมื่อเกิดระลอกคลื่นในมิตินางก็หายตัวไป
นางกำลังจะปล่อยกระบวนท่าจู่โจมแล้ว
ขณะที่ไฉ่เซียวหายตัวไป ม่านตาฟังยี่ก็หดเกร็ง มิติรอบตัวผันผวน ตัวเขาก็หายไปเช่นกัน
เมื่อทุกคนเห็นทั้งคู่หายตัวไป พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง เรื่องนี้สายตาไปไม่ได้จริงๆ เทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่แล้ว จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าทรงพลังมากกว่าจริงๆ
บึ้ม!
ในพื้นที่ห่างออกไปพันจั้ง คลื่นหลิงรุนแรงกวาดอาละวาดฉับพลัน มิติบิดเบี้ยวขณะที่ร่างคนสองคนปรากฏขึ้น ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันสนั่นหวั่นไหว
คลื่นกระแทกกวาดออก ร่างทั้งสองก็กระตุกถูกผลักกลับไป ทว่าฟังยี่กระเด็นกลับไปไกลกว่าอย่างเห็นชัด…
ฟังยี่ทรงตัวได้ก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็กำมือกระบี่ยาวสีม่วงปรากฏขึ้น รัศมีแผ่ออกมาจากใบมีดซึ่งคมกริบอย่างยิ่งสามารถผ่ามิติจากกันได้ เห็นชัดว่านี่เป็นอาวุธพบสวรรค์ขั้นสูง
วาบ!
โดยไม่ลังเลฟังยี่ระเบิดคลื่นหลิงออกจากร่าง มิติบิดเบือนร่างเขาก็หายไป มีเพียงรัศมีกระบี่คมกริบที่ยังทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า
ไม่มีความปั่นปวนน่าตกใจเกิดขึ้นจากการปะทะกัน กลับมีแต่ความเงียบงันผิดปกติ จอมยุทธ์ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ววูบไหวไปทั่วท้องฟ้า แม้แต่เหล่าผู้ชมยังไม่สามารถมองตามความเร็วของพวกเขาได้ทัน ทำได้เพียงอุทานด้วยความตกใจ
บนท้องฟ้า ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนมองการต่อสู้สองสมรภูมิก็ส่ายหน้าอย่างขมขื่น ศึกมังกรหงส์ครั้งนี้คือเวทีให้คนเหล่านั้นได้แสดงฝีมือ ขณะที่พวกเขาเป็นแค่คนดูเท่านั้น
“ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ” ติงเฉวียนเอ่ยเสียงเบา เขาหลงใหลการต่อสู้ แต่ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะอับโชคโดนหางเลขจากการโจมตีของทั้งสองสมรภูมิเข้า
“เรายังตัดสินคู่ระหว่างไฉ่เซียวกับฟังยี่ตอนนี้ไม่ได้หรอก แต่สำหรับคู่มู่เฉินกับโยวหมิงแล้ว โยวหมิงถือว่าได้เปรียบอย่างขาดลอย แต่เจตนาของมู่เฉินก็คือขัดขวางโยวหมิง ดังนั้นหากพูดเจาะจงลงไปเขาทำงานสำเร็จแล้ว เว้นแต่ว่าโยวหมิงอาจไม่ปล่อยให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ” ซูปี้เยี่ยเอ่ยเบาๆ นางเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงคนหนึ่งในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ นางจึงมองเห็นการต่อสู้ของทั้งสองสมรภูมิได้อย่างชัดเจน
“ทันทีที่โยวหมิงเอาชนะมู่เฉินได้ก็จะร่วมมือกับฟังยี่ ไฉ่เซียวจะไร้หนทางเผชิญหน้ากับวิกฤตนี้”
ได้ยินคำพูดนั่น หงหยูก็หัวเราะ “ดูเหมือนพี่สาวจะเข้าข้างว่าโยวหมิงจะชนะนะ? แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ง่ายหรอกที่โยวหมิงจะเอาชนะมู่เฉินได้”
“มู่เฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่โค่นได้ง่ายๆ แต่โยวหมิงก็เช่นกัน” ซูปี้เยี่ยยิ้มบาง นางไม่ได้เข้าข้างใครเพียงเอ่ยสิ่งที่รู้เห็นเท่านั้น
“งั้นหรือ? ถ้างั้นก็ดูต่อไปเถอะ” หงหยูยิ้ม จริงๆ แล้วนางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซูปี้เยี่ยกำลังพูดข้อเท็จจริง แต่ด้วยนิสัยที่ชอบขัดกับซูปี้เยี่ยเสมอ นางจึงไม่เต็มใจที่จะเห็นด้วยในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน สองสมรภูมิก็ทวีความดุเดือดมากขึ้นขณะที่คลื่นหลิงน่าตกใจฉีกผ่านชั้นเมฆภายในรัศมีหมื่นจั้ง ลมพัดกระจัดกระจายบนท้องฟ้า
ตู้ม!
เสาปีศาจมาพร้อมกับพลังน่ากลัวฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าเสาปีศาจจะดุดันเพียงใด ก็ไม่สามารถเขย่าง้าวในมือของโยวหมิงได้
แม้มู่เฉินจะปล่อยการโจมตีดุเดอืดในครั้งนี้ แต่ใครๆ ก็บอกได้ว่าเขาเสียเปรียบ ทว่ามู่เฉินไม่อนาทรร้อนใจกับเรื่องนี้ เนื่องจากเขารู้ดีถึงช่องว่างพลังระหว่างตนเองกับโยวหมิง หากไม่ใช่ร่างเทพสุริยะและกายามังกรหงส์แล้วละก็ เขาคงไม่สามารถปะทะกับโยวหมิงแบบตัวต่อตัวได้เลยหรอก
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเห็นสถานการณ์เป็นไปอย่างที่ควร เพราะจุดเริ่มต้นของความตั้งใจไม่ใช่การเอาชนะโยวหมิง แต่เป็นการซื้อเวลาให้ไฉ่เซียว
ก็เหมือนกันกับความคิดของฟังยี่กับโยวหมิง ฟังยี่หวังว่าโยวหมิงจะเอาชนะมู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่พวกเขาทั้งสองจะรวมพลังจัดการไฉ่เซียว แต่ว่ามู่เฉินเองก็กำลังรอคอยให้ไฉ่เซียวเอาชนะฟังยี่ให้ได้เช่นกัน…
ตราบใดที่ผลลัพธ์สมรภูมิใดสมรภุมิหนึ่งถูกกำหนด ผลของการต่อสู้ก็จะถูกตัดสิน
เมื่อเวลาผ่านไป สายตาสี่คู่ก็กะพริบเบาๆ เพราะพวกเขารู้สึกว่าถึงเวลาที่จะแสดงผลลัพธ์แล้ว
ดวงตาของไฉ่เซียวกับโยวหมิงเปลี่ยนเป็นคมกริบ เวลาเดียวกันบรรยากาศรอบตัวทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบรรยากาศรอบตัวพวกเขา ม่านตามู่เฉินกับฟังยี่ก็หดลงขณะที่พวกเขาเกร็งร่าง
“พวกเขาจะจบศึกแล้ว!” สีหน้าของซูปี้เยี่ยกับหงหยูเปลี่ยนไปพร้อมกับท่าทางตึงเครียด
สองสมรภูมิกำลังจะจบลงในเวลาเดียวกัน!
บทที่ 804 ต่างคนต่างเผยทักษะเทพ
ขณะที่ดวงตาของไฉ่เซียวกับโยวหมิงเปลี่ยนเป็นคมกริบ
บรรยากาศทั่วบริเวณก็หยุดชะงักขณะที่รังสีสังหารชวนใจสั่นแผ่ซ่านขึ้น
ม่านตาทุกคนหดเกร็งลง แม้แต่ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับคลื่นพลังแก่กล้ากระเพื่อมบนพื้นผิวร่างกายปกป้องพวกเขาจากคลื่นกระแทกที่มาจากการต่อสู้
ไฉ่เซียวยืนกลางอากาศ เรือนผมยาวสยายไปตามสายลม แววตานางเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกราวกับสามารถแช่แข็งฟ้าดินได้
รัศมีอันตรายที่ไม่อาจอธิบายได้แผ่ออกมาจากร่างกายนาง
ในทำนองเดียวกันนางก็สัมผัสได้ว่ารัศมีของโยวหมิงเปลี่ยนไปในการต่อสู้กับมู่เฉิน เขาตั้งใจจะปล่อยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาเพื่อสังหารมู่เฉิน
ทว่านางไม่ได้เสียสมาธิกับเรื่องนี้ เนื่องจากนางรู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างพนันกันอยู่ ฟังยี่กำลังพนันว่าโยวหมิงจะสังหารมู่เฉินได้อย่างรวดเร็วก่อนที่ทั้งคู่จะร่วมมือ ฝ่ายนางก็พนันว่ามู่เฉินจะสามารถขัดขวางโยวหมิงได้และทำให้นางมีเวลาเพียงพอในการสังหารฟังยี่
ตอนนี้หน้าที่ของนางไม่ใช่กังวลเกี่ยวกับมู่เฉิน แต่ต้องจัดการฟังยี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งนี่จะเป็นความช่วยเหลือใหญ่ที่สุดที่นางสามารถให้มู่เฉินได้
“ดูเหมือนเราจะใจตรงกันเลยเนอะ” ฟังยี่มองไฉ่เซียวที่เรือนผมยาวปลิวสยายในสายลมขณะที่เขาเกร็งร่างอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกอันตรายที่แผ่มาจากไฉ่เซียวทำให้เขารู้สึกเจ็บแสบไปทั่วร่าง ดังนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน
“แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดไว้หรอก” ไฉ่เซียวกล่าวอย่างไม่แยแส แต่ไอเย็นเยือกในคำพูดทำให้บรรยากาศลดฮวบลง
“จริงเรอะ?” ฟังยี่ยิ้ม ต้องบอกว่าเขาเก่งกล้าไม่น้อย ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับไฉ่เซียวในสภาวะอันตรายเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ตื่นตกใจมีและสงบนิ่ง เขาไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของการเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งบนบันทึกมังกรหงส์เลย จากจุดนี้เพียงอย่างเดียวชื่อเสียงของเขาในฐานะจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือก็ไม่ใช่ไม่สมชื่อ
“แต่กลัวว่าคนที่ทนไม่ไหวก่อนจะเป็นคนอื่นน่ะสิ”
“จริงเรอะ?” ไฉ่เซียวแค่นเสียง จากนั้นนางก็ไม่ลังเลวาดตราประทับ ทันใดนั้นตราประทับก็เปลี่ยนแปลงทำให้เกิดเป็นภาพเงาเลือนราง
มิติรอบตัวนางกระเพื่อมไหวรุนแรง ราวกับคลื่นยักษ์ที่มาพร้อมกับเสียงซัดสาดดังอย่างต่อเนื่อง คลื่นหลิงสีรุ้งปะทุออกจากร่างไฉ่เซียว ไม่กี่อึดใจก็ย้อมไปทั่วบริเวณ ทว่าภายใต้ภาพงดงามนี้กลับมีอันตรายถึงชีวิตแฝงอยู่
สีทั้งเจ็ดรวมตัวกันอย่างรวดเร็วด้วยอัตราชวนตะลึง คลื่นหลิงในฟ้าดินรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นทุกคนก็มองเห็นหลุมวนสายรุ้งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วในฝ่ามือของไฉ่เซียว
หลุมวนเจ็ดสีขยายขนาดเร็วรี่จนมีขนาดร้อยจั้งในไม่กี่อึดใจ ดูราวกับหลุมดำ เว้นแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นสีดำ แต่เป็นสายรุ้งเจ็ดสี แต่นี่ก็ทำให้ดูแปลกประหลาดยิ่งขึ้น
กระแสน้ำวนเจ็ดสีก่อตัวตรงหน้าไฉ่เซียว ทำให้มิติรอบตัวแตกสลาย เกิดรอยร้าวสีดำแผ่ขยายจนมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว
ทุกคนตะลึงกับพลังทำลายล้างของกระแสน้ำวนเจ็ดสี จอมยุทธ์บางคนไม่สามารถปกปิดความหวาดกลัวในใจได้ รีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว
ทุกคนสัมผัสได้ว่าการโจมตีของไฉ่เซียวน่ากลัวเพียงใด
สีทั้งเจ็ดพร่างพราวในดวงตาของไฉ่เซียว ทำให้นางดูงดงามน่าหลงใหลยิ่งขึ้น ทว่าสายตาเย็นชาของนางพุ่งตรงไปที่ฟังยี่อย่างเดียว อึดใจเรียวนิ้วก็ชี้ไปพร้อมกับเสียงโปร่งใสดังขึ้นบนท้องฟ้า
“วิทยายุทธรุ้งกลืนฟ้า กลืนกินทำลายล้างสวรรค์!”
เมื่อเสียงเย็นเยือกดังออกจากปากของไฉ่เซียว ฟังยี่ก็เกร็งตัว ก่อนที่มิติรอบตัวเขาจะบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็วพร้อมกับเขาหายตัวไป แม้แต่รัศมีและความผันผวนคลื่นหลิงยังสลายหายไปราวกับอากาศธาตุ
“ฮึ่ม!”
ทว่าท่าทางของไฉ่เซียวไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่อเห็นฟังยี่หายตัวไป กระแสน้ำวนสายรุ้งสั่นคลอนก่อนจะหายไปด้วยเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นเมื่อกระแสน้ำวนสายรุ้งหายไป ท้องฟ้าไกลออกไปพันจั้งก็แตกสลาย มิติบิดเบี้ยวขณะที่ร่างเลือนรางหนึ่งพุ่งผ่าน
ทว่าทันทีที่ร่างแสงปรากฏ มิติเบื้องบนก็แตกออกพร้อมกับกระแสน้ำวนสายรุ้งเผยออกมา เสาแสงสีรุ้งส่องลงมาปกคลุมร่างของฟังยี่
เมื่อถูกเสาแสงล้อมไว้ ร่างฟังยี่ก็ชะงัก เขาตระหนักได้ว่ามิติรอบตัวถูกแช่แข็งจนไม่สามารถผ่ามิติหลบหนีไปได้
นอกจากนี้กระแสน้ำวนสายรุ้งที่ด้านบนยังปล่อยแรงดึงดูดน่ากลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้พลังนั้น ไม่เพียงแต่ร่างของเขาจะเคลื่อนเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คลื่นหลิงในร่างก็ยังแสดงสัญญาณว่าจะถูกสูบออกไปด้วย!
“พลังดูดกลืนน่ากลัวอะไรอย่างนี้!”
ในที่สุดสีหน้าของฟังยี่ก็เปลี่ยนไป กระแสน้ำวนสายรุ้งนี้ราวกับหนอนเจาะกระดูกที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนี้เมื่อถูกปกคลุมก็ราวกับจะไม่หยุดจนกว่าจะได้ดูดกลืนคนที่เป็นเป้าหมายเข้าไป
ฟังยี่เงยหน้าขึ้นมองกระแสน้ำวนสายรุ้งที่หมุนคว้าง เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายถึงชีวิตที่แผ่มาจากมัน หากเขาถูกดูดเข้าไปละก็ แม้แต่ตัวเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถหลุดหนีออกมาได้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
เขาไม่เคยประมาทไฉ่เซียว แต่กระบวนท่าที่อีกฝ่ายแสดงออกมาตอนนี้ทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำหมดแล้ว หญิงสาวลึกลับคนนี้มาจากไหนกันแน่?
ทว่าความคิดก็แวบเข้ามาในใจเพียงชั่วครู่ ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาคิดเรื่องพรรค์นั้นแล้ว เขาต้องต้านการโจมตีของไฉ่เซียวให้ได้ อย่างน้อยเขาก็ต้องประวิงเวลาไว้!
จนกว่าโยวหมิงจะฆ่ามู่เฉิน!
ตู้ม!
แววเร่งรีบวาบขึ้นในดวงตาของฟังยี่ อึดใจเขาก็วาดตราประทับเร็วรี่ขณะที่แสงเจิดจ้ากำจายออกมารอบตัว ระลอกพลังล้ำลึกแผ่ออกมาจากร่างของเขาบางจาง
“กระบวนท่าเสินทง บัวเทพเจาะสวรรค์!”
พร้อมกับเสียงคำรามของฟังยี่ที่ดังทั่วขอบฟ้า แสงหลิงก็มารวมตัวใต้ร่างเขา ก่อร่างเป็นดอกบัวขนาดหลายสิบจั้ง ดอกบัวมีสีฟ้าอมเขียวเข้มที่เต็มไปด้วยลวดลายโบราณบนกลีบดอกกระเพื่อมระลอกคลื่นล้ำลึกออกมา ทำให้เกิดความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังมาก
ชัดว่าฟังยี่ก็ใช้กระบวนท่าปกป้องตัวที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาแล้ว
ดอกบัวที่ปรากฏใต้ฝ่าเท้าของฟังยี่ค่อยๆ ลอยขึ้น เปลี่ยนเป็นม่านแสงปกคลุมร่างเขาอาไว้ ดูราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ดอกบัวก็ไม่สลายตัวลง
การปรากฏขึ้นของดอกบัว ทำให้ความเร็วที่ฟังยี่ถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวนสายรุ้งชะลอลง ดอกบัวปลดปล่อยพลังงานประหลาดต้านทานพลังดูดกลืนจากกระแสน้ำวนสายรุ้งเอาไว้
พลังงานทั้งสองปะทะกัน กระทั่งมิติยังบิดเบี้ยวเป็นระยะ…ระยะ
ไฉ่เซียวมุ่นคิ้วเมื่อเห็นภาพนี้ ทักษะหลากหลายของฟังยี่ช่างเหนือความคาดหมายของนางนัก อันดับหนึ่งของจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือไม่ใช่ธรรมดาเลยจริงๆ
แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดนางเพียงแค่นี้
ไฉ่เซียวโบกมือขึ้น ความเร็วของกระแสน้ำวนสายรุ้งก็เพิ่มขึ้น แรงดูดก็กำจายออกมาน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ภายใต้พลังดูดกลืน แม้จะมีดอกบัวปกป้องอยู่ ร่างฟังยี่ก็ยังเคลื่อนเข้าหากระแสน้ำวนสายรุ้งอย่างช้าๆ …
แม้อัตราจะช้า แต่ก็เป็นสิ่งที่ฟังยี่ไม่สามารถต้านทานได้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็รอเพียงเวลาที่เขาจะถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวนสายรุ้งนั่น ทันทีที่หลุดเข้าไป ไม่ว่าจะมีกลยุทธ์ใด เขาก็คงไม่อาจหลุดหนีออกมาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่แล้ว
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ สีหน้าก็เต็มเปี่ยมด้วยความหวาดผวา แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังอย่างฟังยี่ยังไม่สามารถต้านทานหญิงสาวลึกลับคนนี้ได้
“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฟังยี่แพ้แน่” ติงเฉวียนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นขณะสีหน้าฉายแววตกตะลึงขณะจ้องมองการต่อสู้
ซูปี้เยี่ยกับหงหยูพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าสายตาของพวกนางก็เบนไปยังสมรภูมิอีกแห่งหนึ่ง ในทำนองเดียวกันที่นั่นก็เริ่มกำจายความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวอออกมา
“แต่ว่าฟังยี่อาจซื้อเวลาไหวอยู่นะ ถ้าโยวหมิงสามารถกำจัดมู่เฉินได้ก่อน เขาก็ร่วมมือกับฟังยี่และพลิกสถานการณ์ได้”
ความคิดเช่นนั้นเป็นเรื่องตรรกะธรรมดาของทุกคน ดังนั้นสายตานับไม่ถ้วนจึงเบนไปทางต้นตอของคลื่นหลิงที่โหมกระหน่ำ จอมยุทธ์สองคนหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายอย่างรุนแรงอยู่
ขณะที่ไฉ่เซียวกับฟังยี่ตึงกันอยู่ ใครๆ ก็รู้ว่าอีกสมรภูมิจะเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินกับโยวหมิงเผชิญหน้ากันอยู่ห่างๆ ภายในพายุคลื่นหลิงที่ถั่งโถม โยวหมิงมีสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกระเพื่อมรอบร่าง เขามองมู่เฉินที่ยืนอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะก็พึมพำออกมา “ถึงเวลาที่จะจบศึกนี้แล้ว”
เขารู้สึกได้ว่าฟังยี่อยู่ในสถานการณ์ไม่ดีนัก ดังนั้นเขาเข้าใจว่าถึงเวลาที่จะกำจัดมู่เฉินแล้ว
มือทั้งคู่ของโยวหมิงประสานกันพลางหลับตาลงช้าๆ ริมฝีปากสั่นระริก ราวกับมีเสียงโบราณดังออกมา
นั่นเป็นเหมือนเสียงที่มาจากโลกใต้พิภพที่เต็มไปด้วยความน่าขนลุกที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้อุณหภูมิบริเวณนี้ลดต่ำลง มากถึงขนาดเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา ทว่าเกล็ดหิมะเหล่านั้นกลับมีสีดำ นอกจากนี้ยังเย็นจัดราวกับว่าสามารถแช่แข็งอากาศได้
เกล็ดหิมะสีดำร่วงหล่นไม่หยุดแล้วรวมตัวกันเบื้องหลังโยวหมิง จากนั้นก็ปะทุกลายเป็นเกลียวเพลิงสีดำที่ดูราวกับของเหลวไหลอยู่รอบตัวโยวหมิง
ฉากที่แปลกประหลาดนี้ ทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนดูดอากาศเย็นเข้าไปในปาก นั่นเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าแม้แต่คลื่นหลิงยังถูกแช่แข็งในสถานที่ที่เพลิงสีดำไหลผ่าน
โยวหมิงเงยหน้าขึ้น ม่านตาสีดำเมื่อมจับจ้องมู่เฉิน จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วลงพร้อมกับเพลิงสีดำที่เบื้องหลังกวาดตัวออกมาราวกับมังกรไฟจากโลกใต้พิภพ ตามด้วยเสียงหวีดหวิว บินฉวัดเฉวียนออกไปทุกทิศทาง
ในเวลาเดียวกันเสียงไม่แยแสของโยวหมิงก็ดังสะท้อนทั่วบริเวณ พร้อมกับความเย็นเยือกไม่มีที่สิ้นสุด
“คัมภีร์เทพยมโลก เพลิงเทพใต้พิภพล้างผลาญ!”
บทที่ 805 กระบวนท่าสุดท้าย
“เพลิงเทพใต้พิภพล้างผลาญ!”
เมื่อเสียงเย็นเยือกไร้ที่สิ้นสุดดังจากปากของโยวหมิง เพลิงสีดำก็กวาดตัวออกมา ในเส้นทางของเพลิงเหล่านั้น แม้แต่คลื่นหลิงยังหยุดนิ่ง กลายเป็นเศษผลึกสีดำรวมเข้ากับเปลวเพลิงสีดำ ทำให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
ทุกคนหนังหัวชาหนึบเมื่อเห็นเพลิงสีดำพาดผ่านขอบฟ้า เมื่อเพลิงสีดำกวาดผ่านก็ดูราวกับว่าสิ่งกีดขวางที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดล้วนหลอมละลายรวมเข้ากับมัน
“นี่คือสุดยอดคัมภีร์เทพของจวนยมโลก ซึ่งเป็นกระบวนท่าเสินซู่ขั้นเกือบเต็ม… ว่ากันว่าเมื่อฝึกฝนวิชานี้ไปจนถึงขีดสุด ทุกสรรพสิ่งในรัศมีหมื่นลี้จะถูกหลอมกลายเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นหลิงและเป็นพลังให้กับเพลิงสีดำ”
“ลือกันว่าตอนที่ประมุขจวนยมโลกใช้วิชานี้เมื่อในอดีต เพลิงสีดำก็หลอมละลายหนึ่งสำนักจนสูญสิ้น…”
“แม้โยวหมิงยังมีฝีมือด้อยกว่าเมื่อใช้วิชานี้ แต่พลังนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ระดับนี้จะสามารถต้านทานได้”
“…”
คนที่มีสายตาเฉียบแหลมก็กระซิบกระซาบด้วยความตกตะลึง เห็นชัดว่าพวกเขาตกใจกับท่าไม้ตายที่โยวหมิงแสดงออกมา
หลังจากที่ตกใจก็อดรู้สึกเห็นใจมู่เฉินไม่ได้ แม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วเหยียน ซูปี้เยี่ยและหงหยูก็อาจต้องตายภายใต้การโจมตีกระบวนท่านี้จากโยวหมิง
“พวกมู่เฉินคงแพ้ยับเยินแล้ว” มีบางคนเอ่ยด้วยความเสียดาย เพราะจากสถานการณ์ตอนนี้ทันทีที่เพลิงสีดำกวาดผ่าน มู่เฉินก็คงถูกหลอมเข้ากับเปลวเพลิงในพริบตา ขณะที่ฟังยี่ยังทนอยู่ได้นานมากกว่า แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับสถานการณ์ตอนนี้
เมื่อโยวหมิงจัดการมู่เฉินได้แล้วร่วมมือกับฟังยี่ ผลลัพธ์การต่อสู้นี้ก็ตัดสินได้แล้ว
ในสมรภูมิหนึ่งที่การต่อสู้ยันกันอยู่ หางตาของไฉ่เซียวกับฟังยี่ก็ถูกอีกสมรภูมิดึงดูด เมื่อเหลือบมองไปสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทั้งคู่
ทว่าฟังยี่มีสีหน้าดีใจ ส่วนไฉ่เซียวมีสีหน้ามืดครึ้ม เพราะพวกเขารู้สึกได้ว่าเพลิงสีดำที่โยวหมิงปลดปล่อยออกมาครอบงำมากเพียงใด
แม้แต่พวกเขายังมีปัญหาในการรับมือเช่นนี้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม… แม้เขาจะเอาชนะหลิ่วเหยียนได้เมื่อครู่และไม่มีใครกล้าดูถูกเขาอีก แต่เทียบกันแล้วโยวหมิงแข็งแกร่งกว่ามาก…
ฟังยี่ยืนบนดอกบัวสีฟ้าอมเขียวมองไปทางไฉ่เซียวพลางเอ่ยเบาๆ “ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจกับเจ้าแล้วสินะ”
ขณะที่พูดเขาก็หมุนดอกบัวอย่างเงียบๆ เพื่อต้านแรงดูดที่น่ากลัวที่มาจากกระแสน้ำวนสายรุ้ง เห็นชัดว่าเขาพยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจของไฉ่เซียวเพื่อประวิงเวลาให้ตัวเองมากขึ้น
ทว่าแผนการของเขาไม่ได้ผล ไฉ่เซียวทำเพียงเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่แรงดูดที่มาจากกระแสน้ำวนสายรุ้งจะเพิ่มขึ้นแทนที่จะแผ่วลง สิ่งนี้ทำให้ฟังยี่ถึงกับขมวดคิ้ว เขาได้แต่เร้าคลื่นหลิงอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้าน
จัดการหุบปากฟังยี่ได้แล้ว ไฉ่เซียวก็เบนสายตาไปทางมู่เฉินอีกครั้งพลางกัดริมฝีปาก ตอนนี้แม้แต่นางก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ กับมู่เฉินได้
ผลลัพธ์ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวมู่เฉินเองแล้ว
“มู่เฉิน… เจ้าต้องทนได้นะ…” ไฉ่เซียวกำหมัดเบาๆ ขณะเอ่ยพึมพำ ทันทีที่มู่เฉินแพ้ การเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้นี้ของนางก็จะสลายหายไปหมด ดังนั้นสิ่งเดียวที่นางทำได้ตอนนี้ก็คือเชื่อมั่นในตัวมู่เฉิน
แม้นางจะรู้ว่าการเผชิญคู่ต่อสู้ทรงพลังอย่างโยวหมิงตอนนี้จะเป็นเรื่องยากสำหรับมู่เฉิน แต่บางทีเขาอาจสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาก็ได้
ขณะที่ทุกสายตาพุ่งตรงมาจากท้องฟ้าและเสียงถอนหายใจหลายเสียงดังขึ้น มู่เฉินที่ยืนอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะกลับไม่ได้ดูสิ้นหวังอย่างที่พวกเขาคิด ม่านตาสีดำของเขาใสกระจ่างและคมกริบมากขึ้นด้วย
เพลิงสีดำพวยพุ่งราวกับกระแสธารสีดำ ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางเส้นทางของเปลงเพลิงได้
มู่เฉินก็รู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวในเพลิงสีดำ โยวหมิงรับมือยากเย็นจริงๆ พลังของเขาเหนือกว่าหลิ่วเหยียนหลายขุม
ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกที่จะสยบคนอย่างมู่เฉินได้!
มู่เฉินเม้มปากขณะที่สาดสีหน้าเคร่งขรึม อึดใจมือทั้งคู่ก็ประสานกันเริ่มวาดตราประทับโบราณแปลกประหลาดขึ้นมา เมื่อตราประทับเปลี่ยนไปก็มีเสียงบทสวดแผ่ออกมาในพื้นที่นี้
สายตาประหลาดใจนับไม่ถ้วนพุ่งตรงมา พวกเขามองว่ากระบวนท่านี้ของมู่เฉินเป็นการโจมตีกลับอย่างสิ้นหวัง ความกล้าหาญของเขาควรค่าแก่การยกย่อง แต่ผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยความกล้าหาญ
ถ้ามู่เฉินยังไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ที่น่าตกใจได้ ผลลัพธ์น่าสิ้นหวังก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
เสียงบทสวดดังก้องทั่วบริเวณนี้ ขณะที่มู่เฉินหลับตาลง แสงหลิงสีม่วงเข้มเบ่งบานออกมาบนผิวกายก่อนจะรวมตัวกัน ก่อร่างเป็นกลีบดอกไม้สีม่วงลึกลับและงดงามชวนสะกดใจเลือนราง
ขณะที่กลีบดอกไม้เหล่านั้นค่อยๆ มารวมตัวกัน พวกมันก็ก่อตัวเป็นดอกไม้ลึกลับใต้ร่างมู่เฉิน
ดอกไม้นั้นมีสีม่วงเข้มขนาดร้อยจั้ง กลีบดอกลึกลับและงดงามนัก มีลวดลายโบราณนับไม่ถ้วนบนกลีบดอก เสียงบทสวดที่ดังอย่างต่อเนื่องทำให้คนฟังรู้สึกสงบสุข
มู่เฉินมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่สูญเสียอย่างรวดเร็วในจุดจื้อจุนไห่ กระทั่งเลือดในร่างยังสะเทือนเบาๆ คลื่นหลิงในร่างเขาเทใส่ดอกไม้ลึกลับนั้นทั้งหมดในเวลานี้
ฝ่ามือมู่เฉินยื่นออกมาช้าๆ จากนั้นสร้างตราประทับสองนิ้ว ดอกไม้ลึกลับนั้นก็เบ่งบาน เกสรดอกเล็งไปที่เปลวเพลิงสีดำที่กวาดเข้ามา
ใบหน้าของมู่เฉินซีดลงจากคลื่นหลิงที่สูญเสียอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะล้มเลิก ดวงตาสีดำกลับฉายประกายเจิดจ้ามากขึ้น
“แกคิดจะสยบข้าเรอะ… ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
กระบวนท่านี้คือทักษะเทพโบราณที่มู่เฉินได้มาจากมั่นถัวหลัว ตลอดช่วงเวลานี้มู่เฉินก็ไม่เคยหยุดฝึกเลยแม้แต่น้อย ถึงเขาจะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายเขาก็เริ่มเข้าใจจากการล้มเหลว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ขณะที่เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้องขึ้นในใจ ลวดลายโบราณบนกลีบดอกไม้ก็เปล่งแสงสว่างมากขึ้น จนสุดท้ายลวดลายเหล่านั้นดูราวกับว่ามีชีวิตรวมตัวกันที่ใจกลางดอก
ดังนั้นที่เกสรดอกจึงมีแสงสีม่วงเข้มเริ่มมารวมตัวกัน
ในบริเวณนี้ไม่มีใครรู้ว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มตั้งแต่เมื่อใด มีเพียงเกสรดอกไม้เท่านั้นที่ปล่อยแสงสว่างจ้าออกมา ช่างเป็นภาพที่คล้ายกับแหล่งกำเนิดแสงทั้งหมดถูกดูดเข้าไปในเกสรดอกไม้
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนสั่นสะท้านกับภาพนี้และรู้สึกได้เลือนรางถึงระลอกคลื่นผิดปกติ กระบวนท่าที่มู่เฉินงัดออกมาใช้ ทำให้พวกเขารู้สึกหัวใจโยกคลอนโดยไม่รู้สาเหตุ
พื้นที่มืดลง แม้แต่มิติก็ยังสั่นไหวในตอนนี้ ใบหน้าของมู่เฉินซีดเผือดยิ่งขึ้น แต่ดวงตากลับฉายประกายคมกล้ามากขึ้น อึดใจต่อมานิ้วเรียวก็ชี้ไปที่ท้องฟ้าเบาๆ
“ไป แสงบุปผาทำลายฟ้า!”
เมื่อมู่เฉินพึมพำในใจ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิท มีเพียงดอกไม้โบราณงดงามที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงเหลืออยู่หนึ่งเดียว จากนั้นทุกคนก็เห็นดอกไม้โบราณสั่นไหวพร้อมกับแสงสีม่วงเข้มพวยพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด
ลำแสงสีม่วงไม่ได้นำพามากับการเคลื่อนไหวที่ทำลายล้างใดๆ แต่เมื่อมันพาดผ่านขอบฟ้าไป ทุกคนก็ราวกับได้ยินเสียงมิติแตกออก
ทุกสรรพชีวิตถูกดับลงในเส้นทางของลำแสง การครอบงำนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวเยือกลึกลงในหัวใจ
แววประหลาดใจฉายบนใบหน้าเรียบเฉยของโยวหมิง แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม เขาไม่อนุญาตให้เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ในขณะนี้
เขาต้องกำจัดมู่เฉินซะ!
มือของโยวหมิงประสานกัน ความเร็วที่พุ่งออกมาของเพลิงสีดำก็ดุร้ายยิ่งขึ้น มันทำลายมิติจนแตกร้าว ราวกับมังกรดำจากใต้พิภพนำพาความหนาวเย็นไม่มีที่สิ้นสุด ปะทะเข้ากับแสงสีม่วงภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
ตู้ม!
จังหวะที่พุ่งชนกันนั้น แสงพร่างพรายก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ท้องฟ้าที่มืดครึ้มตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นจ้าตา ทำให้หลายคนหรี่ตาลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้
จากนั้นคลื่นกระแทกคล้ายกับภูเขาไฟระเบิดก็ปะทุขึ้น ทำให้เกิดระลอกคลื่นในมิติรัศมีหมื่นจั้งเห็นจะได้
ลานประลองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเกือบจะสลายลงอย่างสมบูรณ์
ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนกระเด็นออกมาอย่างทุลักทุเลพร้อมกับเร้าคลื่นหลิงทรงพลังก่อร่างเป็นม่านพลังป้องกันตรงหน้า ต้านทานคลื่นกระแทกเอาไว้
คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัวสร้างหายนะไปทั่ว แต่แสงจ้าก็ค่อยๆ อ่อนลง ดังนั้นทุกสายตาจึงพุ่งตรงไปที่ท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน
พวกเขาอยากรู้ว่าใครจะยังยืนหยัดอยู่ได้จากแรงปะทะน่ากลัวนั่น
โยวหมิงผู้เหี้ยมโหดจะสามารถสยบทุกสิ่งได้ไหม หรือมู่เฉินจะจัดการพร้อมกับการตอบโต้ของเขา?
เมื่อแสงจางหายภาพบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ กระจ่างขึ้น แต่เมื่อภาพปรากฏ เสียงสูดหายใจนับไม่ถ้วนก็ดังไปทั่วบริเวณ
บนท้องฟ้าดอกไม้งดงามหุบกลีบดอกลงและค่อยๆ สลายตัว เมื่อแสงกระจายออกไป ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งก็เผยขึ้นต่อหน้าสายตาของทุกคน
แม้ใบหน้าเขาจะซีดลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะล้มลง!
นั่นคือมู่เฉิน!
โห่!
เสียงโห่ร้องไม่อยากเชื่อดังราวกับภูเขาไฟระเบิด ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนถึงกับตกตะลึง
มู่เฉินสามารถต้านท่าไม้ตายของโยวหมิงได้!
ชายคนนี้ทำสำเร็จจริงๆ!
บทที่ 806 ชัยชนะ!
ประกายแสงโปรยปรายจากขอบฟ้า
ทั่วทั้งบริเวณกลับตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนสาดสายตาตกตะลึงเมื่อมองไปที่ขอบฟ้า
สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อและตกตะลึง เห็นชัดว่าไม่มีใครคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้
นั่นคือโยวหมิงนะ!
จอมยุทธ์เหี้ยมโหดอันดับสองของบันทึกมังกรหงส์ นอกเหนือจากฟังยี่เขาก็เป็นคนที่อัจฉริยะหลายคนยกย่อง แม้แต่จอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างหลิ่วเหยียนและคนที่อยู่ระดับเดียวกันอย่างซูปี้เยี่ยและคนอื่นๆ ยังต้องหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับโยวหมิง
การปะทะก่อนหน้าอย่าว่าแต่มู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเลย ต่อให้เป็นหลิ่วเหยียน ซูปี้เยี่ยหรือคนอื่นก็ไม่สามารถรับการโจมตีเช่นนั้นได้!
ทว่าความจริงช่างเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์…
ทุกสายตาจ้องมองร่างสูงโปร่งอ่อนเยาว์ด้วยแววตกตะลึง ความเงียบงันกินเวลาอยู่นานก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยเสียงฮือฮา
บนท้องฟ้า ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนมองหน้ากัน จากนั้นแววสั่นไหวและรอยยิ้มขื่นก็ปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา
“มู่เฉิน…ทรงพลังจริงๆ” ติงเฉวียนเอ่ย แม้แต่คนที่ชอบการต่อสู้อย่างเขายังต้องยอมรับว่าการแสดงศักยภาพของมู่เฉินตื่นตาจนลืมหายใจไปเลยทีเดียว เพราะเขารู้ว่าหากตนเองอยู่ในตำแหน่งของมู่เฉิน ต่อให้จะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็ต้องชดเชยด้วยราคาแพงลิ่ว
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หลิ่วเหยียนแพ้เขา” ซูปี้เยี่ยกับหงหยูพยักหน้า ถ้าก่อนหน้าพวกนางคิดว่าหลิ่วเหยียนประมาทต่อมู่เฉินจนพ่ายแพ้ละก็ ตอนนี้พวกนางก็เข้าใจแล้วว่ามู่เฉินครอบครองพลังที่น่ากลัวจริงที่สามารถเอาชนะหลิ่วเหยียนได้
“ดูท่าหลังจากจบศึกมังกรหงส์ครั้งนี้ ชื่อเสียงของมู่เฉินจะขจรขจายไปทั่วภูมิภาคทางเหนือแน่นอน…”
ขณะที่ทั่วบริเวณตกอยู่ในความโกลาหล มู่เฉินที่อยู่บนท้องฟ้าก็ไม่ได้สนใจเลย สีหน้าของเขาซีดเซียวอย่างที่สุด การใช้วิชาแสงบุปผาทำลายลายเมื่อครู่กินพลังของเขาอย่างใหญ่หลวง
แต่แม้ว่าแสงบุปผาทำลายฟ้าของดอกแมนดาลาจะสามารถต้านกระบวนท่าสังหารของโยวหมิงได้ แต่ร่างกายของมู่เฉินก็ไม่ได้ผ่อนคลายลง สายตาแหลมคมพุ่งตรงไปที่โยวหมิงที่อยู่ห่างออกไป ทว่าตอนนี้ใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายกลับเขียวคล้ำ แม้แต่สายตาก็เย็นเยือกลงกว่าเดิม
เห็นชัดว่าความล้มเหลวนี้จุดเพลิงโทสะให้กับคนเจ้าเล่ห์และเหี้ยมโหดเข้าให้แล้ว
เขาไม่อยากเชื่อภาพตรงหน้า ท่าไม้ตายที่เขามั่นใจหนักหนากลับถูกจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามต้านทานไว้ได้!
นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่หลิ่วเหยียน ซูปี้เยี่ยและคนอื่นยังต้านทานไม่ได้!
“ฮ่าๆ ครั้งนี้ข้าประมาทแกไปแล้วจริงๆ…” สายตาของโยวหมิงบาดลึกราวกับจะเจาะทะลวงร่างมู่เฉิน เสียงลึกต่ำที่อัดแน่นด้วยเพลิงโทสะดังก้อง
“แต่ว่าการต้านรับเมื่อครู่คงทำให้แกใช้คลื่นหลิงในตัวหมดแล้วสินะ? แกจะทำอะไรต่อไปได้อีกเหรอ?!” น้ำเสียงของโยวหมิงฟังดูน่าขนลุกขณะที่รังสีสังหารพวยพุ่งออกจากร่างทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง
“โยวหมิง!”
ขณะที่โยวหมิงเพลิงโทสะสุมเต็มอก เสียงตะโกนกร้าวก็ดังขึ้นจากอีกฝั่ง เสียงนั้นทำให้โยวหมิงถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขารีบหันหน้าไปมองยังทิศทางนั้น ในสมรภูมิของไฉ่เซียวกับฟังยี่ แรงดึงดูดที่แผ่ออกมาจากกระแสน้ำวนสายรุ้งเพิ่มขึ้น รอยร้าวละเอียดปรากฏบนดอกบัวใต้ร่างของฟังยี่
บนดอกบัวใบหน้าของฟังยี่เคร่งขรึมผิดปกติ คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขาอย่างไม่สิ้นสุดเทลงไปในดอกบัวเพื่อเสริมพลังต้านทาน
ยามนี้เขาได้แต่ขมขื่นในใจ ก่อนหน้านี้ความตั้งใจของเขาพุ่งไปที่สมรภูมิของโยวหมิงกับมู่เฉิน แต่ใครจะคิดว่าท่าไม้ตายของโยวหมิงจะถูกมู่เฉินต้านไว้ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ทำให้เขาหัวใจสั่นสะท้านแค่ไหน ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ในการควบคุมคลื่นหลิงของเขา
ด้วยสายตาเฉียบแหลมของไฉ่เซียว ต่อให้ฟังยี่มีรูโหว่เล็กจิ๋วนางก็ยังจับจุดได้ ดังนั้นเมื่อแรงดึงดูดกวาดออกไปก็ทำให้เกิดรอยร้าวบนดอกบัว ส่งผลให้มันสูญเสียพลัง แม้ฟังยี่จะรีบแก้ไขสถานการณ์ทันท่วงที แต่เขาก็สูญเสียโอกาสสำคัญไปแล้ว…
ในการเผชิญหน้าเช่นนี้ หากเขาสูญเสียโอกาสชี้ขาด ก็เพียงพอที่จะทำให้แพ้
ดังนั้นภายใต้กระแสน้ำวนสายรุ้งที่หมุนคว้างอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงปริมาณมหาศาลรอบร่างฟังยี่ก็ถูกดูดกลืนเข้าไปอย่างไม่สิ้นสุด รอยร้าวบนตัวดอกบัวยังพล่านออกไปเรื่อยๆ เห็นชัดว่าเขาทนได้ไม่นานแล้ว
ในช่วงเวลาดังกล่าวแม้แต่คนที่สงบนิ่งอย่างฟังยี่ยังอดตะโกนเรียกโยวหมิงไม่ได้ เพราะว่าถ้าโยวหมิงยังกำจัดมู่เฉินไม่ได้อีก เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของฟังยี่ สายตาของโยวหมิงก็เปลี่ยนไป สุดท้ายเขาก็กัดฟันแน่นกระทืบเท้าทำให้มิติบิดเบี้ยวพร้อมกับร่างเขาหายไป
แต่เมื่อโยวหมิงหายไป ปีกหงส์ฟ้าขนาดใหญ่ก็สยายที่แผ่นหลังมู่เฉิน เพียงกระพือครั้งเดียว ร่างเขาก็ไปปรากฏตัวในอีกหลายพันจั้ง
ในจังหวะนั้น โยวหมิงก็มาปรากฏตรงจุดที่มู่เฉินเคยอยู่ เขามองมู่เฉินที่ตั้งรับได้และหนีไปไกลด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
เห็นชัดว่าอีกฝ่ายจับการกระทำของเขาได้
“ดูเหมือนพวกแกจะเป็นฝ่ายแพ้แล้วนะ” มู่เฉินมองโยวหมิงจากระยะไกลพร้อมกับรอยยิ้มผุดบนใบหน้าซีดเซียว
“ทำไม? ตอนนี้แกทำได้แค่หนีไปแบบลูกหนูงั้นเรอะ?” โยวหมิงแค่นเสียง เมื่อพูดจบร่างก็วาบหายไปอีกครั้ง
วาบ!
มู่เฉินทะยานตัวออกไปไกลอีกครั้งหนึ่งพลางเอ่ยเสียงเบา “ทำไมต้องมาใช้วิธียั่วให้เข้าสู้ด้วยล่ะ?”
มู่เฉินรู้ชัดว่าโยวหมิงต้องการบีบให้เขาสู้กัน แต่ทำไมเขาต้องโง่ทำตามด้วยล่ะ? นอกจากนี้หลังจากการต่อสู้ขมขื่นก่อนหน้า คลื่นหลิงในร่างเขาก็ไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม หากต้องสู้กันซึ่งหน้ากับโยวหมิงตอนนี้ละก็ นับเป็นการกระทำที่โง่เง่าแบบสุดๆ
ตอนนี้เขาต้องทำเพียงลากเวลาออกไปจนกระทั่งพวกเขาได้รับชัยชนะ นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าฟังยี่กับโยวหมิงที่เคยสงบนิ่งเริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว
เนื่องจากการที่โยวหมิงสูญเสียความสงบนิ่งไปนี่เอง มู่เฉินถึงได้หลบหนีการไล่ตามของเขาได้
บนท้องฟ้า ร่างสองร่างวูบไหวไปมา ฝ่ายหนึ่งไล่ตามฝ่ายหนึ่งเหาะหนี แม้ทุกชั่วเวลาจะอันตราย แต่มู่เฉินก็ไม่เปิดโอกาสให้โยวหมิงโจมตีอะไรได้
การไล่ล่าและหลบหนีทำอยู่หลายรอบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารแรงกล้ารอบตัวโยวหมิง สายตามืดครึ้มราวกับอยากจะฉีกทึ้งมู่เฉินเป็นชิ้นๆ
แสงวูบไหวอีกครั้งหนึ่งขณะร่างของโยวหมิงหยุดนิ่ง เขามองมู่เฉินด้วยสายตามืดมน ทำให้ร่างกายของฝ่ายหลังเกร็งขึ้นพร้อมตั้งรับอยู่ในใจ
โยวหมิงไม่ได้โจมตีออกไปด้วยแรงโทสะอีก แต่สูดหายใจลึกก่อนที่ความโกรธในดวงตาจะค่อยๆ จางหายไป เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นจึงรู้ว่าถ้าเขายังอยู่ในสภาพแบบนี้ ก็ไม่มีทางจะจับมู่เฉินได้
เมื่อสายตาของโยวหมิงค่อยๆ เปลี่ยนกลับเป็นเฉยเมย หัวใจของมู่เฉินก็กระตุก ชายคนนี้รับมือยากยิ่งนัก เขาสามารถระงับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว โยวหมิงที่อยู่ในอาการสงบนับว่าอันตรายที่สุด
โยวหมิงส่งสายตาเย็นชาให้มู่เฉิน ก่อนจะวาดตราประทับอย่างรวดเร็วด้วยสองมือ แสงดำมืดพุ่งออกจากร่างเปลี่ยนเป็นเงาร่างเลือนรางสีดำสองร่าง
ร่างของโยวหมิงค่อยๆ ดูพร่าเลือนกลายเป็นแบบเดียวกับร่างสองร่างที่เขาเรียกออกมา
วาบ!
ร่างดำมืดทั้งสามหายไปอย่างผิดปกติ
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปพร้อมกับปีกหงส์ฟ้าเบื้องหลังขยับกระพือ เขาถอยไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงที่กวาดมาหา
ฮึ่ม!
ทันทีที่มู่เฉินพุ่งหลบออกไป มิติรอบด้านก็บิดเบี้ยว ระลอกมิติกระเพื่อมในสามทิศทางก่อนที่ร่างสามร่างจะปรากฏตัว ปิดกั้นทางหนีทีไล่ของมู่เฉินไว้
“ข้าจะดูว่าแกจะหนีไปยังไง!”
ร่างทั้งสามเอ่ยน่าขนลุกขณะตราประทับฝ่ามือพร้อมกับรังสีสังหารแรงกล้าปิดล้อมร่างของมู่เฉินไว้ ตัดสินจากภาพนี้ หากเขาถูกโจมตีเข้าก็คงได้รับบาดเจ็บหนักต่อให้มีกายามังกรหงส์ก็ตาม
เผชิญหน้ากับการโจมตีฉับพลันของโยวหมิง มู่เฉินก็ไม่สามารถถอยได้อีกแล้ว ดวงตาจึงกะพริบอย่างบ้าคลั่ง
ตู้ม!
ทว่าเวลาเดียวกันกับที่โยวหมิงลงมือ ก็เกิดความวุ่นวายน่าตกใจขึ้น นั่นเป็นเพราะสมรภูมิอีกด้านหนึ่ง ดอกบัวใต้ร่างของฟังยี่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงดูดทรงพลังได้อีกต่อไป แตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เมื่อดอกบัวแตกสลาย ร่างของฟังยี่ก็เผยให้เห็นภายใต้แรงดูด ร่างเขาถูกลากเข้าไปอย่างรุนแรง ขยับเข้าไปใกล้กระแสน้ำวนสายรุ้ง
ไฉ่เซียวมองฟังยี่ที่ถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวนอย่างเย็นชา ทันทีที่เขาถูกดูดเข้าไปในนั้นก็ต้องตายแน่ แม้กระทั่งวิญญาณก็ไม่อาจเล็ดลอดออกมาได้!
ฟังยี่ดิ้นรนสุดพลังแต่ก็ไร้ประโยชน์ ในเวลานี้แม้เขาจะเรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมาก็ไม่มีประโยชน์แล้ว กระแสน้ำวนสายรุ้งครอบงำเกินไปจริงๆ
ใบหน้าของฟังยี่เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มไม่สงบนิ่งอีกต่อไป เขามองไปกระแสน้ำวนสายรุ้งที่ดึงตัวเขาเคลื่อนเข้าไปใกล้ ความผันผวนอันตรายที่แผ่ออกมาจากมันทำให้แม้แต่เขายังขนลุกชัน
“บ้าเอ๊ย!”
ฟังยี่ตะโกนออกอย่างอดไม่ได้พลางกัดฟันกรอด ก่อนชิ้นหยกโบราณสีแดงจะปรากฏในมือที่กำไว้ จากนั้นเขาก็ขยี้สุดแรงโดยไม่ลังเล
ปัง!
ชิ้นหยกโบราณแตกออก มิติรอบตัวเขาก็บิดเบี้ยวรุนแรงเกิดเป็นหลุมมิติดูดเขาเข้าไปข้างในแล้วหายตัวไป
“ข้าฟังยี่จะจดจำความอับอายวันนี้ไว้แล้วจะมาคิดบัญชีภายหลังแน่นอน!” ขณะที่ร่างของฟังยี่หายไป ประโยคกราดเกรี้ยวของเขาก็ดังสะท้อนไปทั่วสวรรค์และโลก
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนตกตะลึงกับภาพนี้ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก…
ฟังยี่หนีไปแล้ว!
ชิ้นหยกโบราณที่เขาบดไปก่อนหน้าชัดว่าคือสมบัติปกป้องที่ทางหมู่ตึกเทวะให้ไว้ เมื่อบดขยี้ทิ้งก็จะสามารถหลบหนีผ่านมิติได้ ดังนั้นตอนนี้ฟังยี่น่าจะหนีออกจากเขตหลงเฟิ่งแล้ว ซี่งก็หมายความว่าเขาสละสิทธิ์การแข่งขันชิงมรดกมังกรหงส์ด้วยเช่นกัน…
ไฉ่เซียวมองฟังยี่ที่เลือกจะหนีในท้ายที่สุดด้วยสายตาเย็นชา อึดใจร่างนางก็วาบหายไป
อีกสมรภูมิฝ่ามือยักษ์ของเงาทั้งสามกำลังจะตบลงบนร่างมู่เฉินเพื่อสังหาร ทว่าดวงตาของเขาที่กะพริบอย่างบ้าคลั่งกลับสงบลง จากนั้นรอยยิ้มเยาะสายหนึ่งก็กระตุกบนริมฝีปากส่งไปให้โยวหมิง
“ขอโทษนะ พวกข้าชนะแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน โยวหมิงก็สะดุ้งในหัวใจ แสงรุนแรงวูบไหวในม่านตา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ปล่อยไอ้เวรนี่ไปไม่ได้!
ตู้ม!
รังสีสังหารพลุ่งพล่านรอบตัวโยวหมิง ฝ่ามือใหญ่ทั้งสามก็พุ่งไปที่ศีรษะของมู่เฉินอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
ทว่าจังหวะนั้น ขณะที่ฝ่ามือกำลังจะซัดลงมา มือเย็นหนี่งก็ตบที่แผ่นหลังเขา เสียงเย็นเยือกเสียดกระดูกดังในโสตประสาท ทำเอาเขาชะงักค้างทันที
“ขยับอีกหน่อยเจ้าตายแน่”
บทที่ 807 ผู้สืบทอดมรดก
บนท้องฟ้า
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่กวาดออกมาราวกับพายุหยุดนิ่งจากเสียงเย็นเยือกของหญิงสาว…
ม่านตาทุกคนหดเกร็งยามมองท้องฟ้า พวกเขาเห็นมู่เฉินยืนอยู่บนอากาศพร้อมกับเงาร่างเลือนรางสีดำสามร่างที่อยู่รอบตัวที่กำจายรังสีสังหาร ฝ่ามือเหล่านั้นกำลังจะสัมผัสเขา ซึ่งเป็นพลังที่สามารถทำร้ายมู่เฉินจนได้รับบาดเจ็บร้ายแรงได้
ทว่าถัดจากเงาร่างสีดำสามร่างหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอย่างน่าประหลาด นางวางมือข้างหนึ่งแตะบนหลังของเงาร่างสีดำร่างหนึ่ง
คลื่นหลิงน่ากลัวที่อยู่ในฝ่ามือของนางทำให้เงาดำหยุดชะงักทันที ฝ่ามือที่กำลังจะซัดใส่มู่เฉินค้างนิ่งไปเช่นกัน เนื่องจากเขารู้ว่าหากคิดจะโจมตีใส่ ฝ่ามือที่ด้านหลังจะทำให้เขาต้องจ่ายราคาใหญ่หลวงแน่
บรรยากาศบนท้องฟ้าหยุดนิ่งไปในขณะนี้ ไม่มีใครกล้าทำลายความเงียบนี้ลงเลย
ดวงตาของโยวหมิงกะพริบรุนแรง แววเหี้ยมเกรียมและหวาดกลัววูบไหวออกมา ทำให้สีหน้าเรียบเฉยแต่เดิมดูบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
สายตาโยวหมิงเต็มไปด้วยความไม่พอใจแรงกล้าเมื่อมองมู่เฉิน ถ้าเขามีเวลาสักชั่วอึดใจก็จะกำจัดมู่เฉินได้แล้ว แต่เขาไม่คิดว่า…ไฉ่เซียวจะรวดเร็วปานนี้
ในเมื่อนางสามารถปรากฏที่เบื้องหลังเขา ก็หมายความว่าฟังยี่ล้มเหลวและแผนการกำจัดมู่เฉินของเขาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเช่นกัน
มู่เฉินมองโยวหมิงที่แววตาวูบไหวรุนแรงก็ยิ้มบางออกมา แม้ว่าพลังฝ่ามือแหลมคมจะอยู่ตรงหน้า ดวงตาเขาก็ไม่ฉายแววหวาดกลัวใดๆ กลับกันปีกหงส์ฟ้าที่แผ่นหลังห่อตัวเข้ามาช้าๆ ก่อนที่จางหายไป
“พวกแกแพ้แล้ว” มู่เฉินทวนคำพูดอีกครั้งขณะมองโยวหมิง
“แกรนหาที่ตายใช่ไหม?” โยวหมิงเอ่ยเสียงเข้ม ตอนนี้ชีวิตของมู่เฉินอยู่ในกำมือเขาแล้ว แต่มันกลับไม่แสดงท่าทางหวาดกลัวอะไรเลย
“แกไม่กล้าพอที่จะเอาชีวิตเข้าแลกหรอก” ม่านตาสีดำของมู่เฉินจ้องเขม็งไปที่โยวหมิงขณะที่รอยยิ้มเยาะโค้งขึ้นที่มุมปาก
ม่านตาของโยวหมิงหดลงเล็กน้อย แม้ว่าตอนนี้มู่เฉินจะอยู่ในกำมือเขา แต่เมื่อทั้งคู่เผชิญหน้ากันรัศมีของฝ่ายหลังกลับมีมากกว่า ภายใต้แววตาไร้ความหวาดกลัวของมู่เฉิน ก็ทำให้เกิดเศษเสี้ยวความหวาดกลัวเบาบางเผยในส่วนลึกในใจของโยวหมิง
แม้เขาปฏิเสธที่จะยอมรับ แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่มู่เฉินพูดมาเป็นความจริง เขาไม่กล้าพอที่จะเอาชีวิตตัวเองไปแลกหรอก
สายตาของโยวหมิงกะพริบ จากนั้นเขาก็หายใจลึก หันมาทางไฉ่เซียวที่อยู่เบื้องหลัง “เราวางมือพร้อมกัน ข้าว่าอย่ามีเรื่องกันเลย เพราะไม่มีประโยชน์อะไรต่อทั้งสองฝ่าย”
ไฉ่เซียวเหลือบมองมู่เฉินก็เห็นเขาพยักหน้าเบาๆ ให้ เป้าหมายของพวกนางคือมรดกมังกรหงส์ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องบีบโยวหมิงให้จนตรอก เพราะแม้แต่กระต่ายยังกัดได้หากร้อนใจ ไม่ต้องพูดถึงโยวหมิงที่ไม่ใช่กระต่ายแต่เป็นหมาป่าดุร้ายเลย
โยวหมิงและไฉ่เซียวไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่ได้กลับคำและวางมือลงในเวลาเดียวกัน พลางสลายคลื่นหลิงรุนแรงลงด้วย
วาบ!
ร่างโยวหมิงวูบไหว พริบตาก็ไปปรากฏตัวในระยะไกลออกไปหลายพันจั้ง เขามองไฉ่เซียวกับมู่เฉินด้วยความระแวดระวัง
มู่เฉินระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ร่างกายเขาสูญเสียคลื่นหลิงปริมาณมหาศาล หากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป เขาอาจจะเพลี่ยงพล้ำในสถานการณ์อันตราย แต่โชคดีที่ไฉ่เซียวเอาชนะฟังยี่ได้ก่อน
“สุดยอด” มู่เฉินยกนิ้วหัวแม่มือให้ไฉ่เซียว แม้เขาจะไม่ได้สู้กับฟังยี่ แต่นั่นก็คืออันดับหนึ่งของบันทึกมังกรหงส์ที่มีชื่อเสียงเหนือโยวหมิง ก่อนหน้านี้เขาได้รับประสบการณ์ทักษะของโยวหมิงแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตกใจและชื่นชมกับความจริงที่ไฉ่เซียวสามารถเอาชนะฟังยี่ที่ทรงพลังมากกว่าได้
ท่าทางเย็นชาของไฉ่เซียวถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ดึงดูดใจคน ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากหันมามองโดยไม่รู้ตัว แต่ในสายตาเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยความเคารพ เนื่องจากพลังที่ไฉ่เซียวแสดงออกมาทำให้พวกเขากลัวจนตัวสั่นเทิ้ม
“ฝีมือเจ้าเองก็ดีเหมือนกัน ข้าตัดสินใจไม่พลาดจริงๆ” ไฉ่เซียวยิ้มบาง แววชื่นชมเผยในดวงตาขณะที่นางมองมู่เฉิน การประจัญบานกันครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินงัดทักษะทั้งหมดที่มีเข้าขัดขวางโยวหมิงไว้ละก็ คงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเอาชนะฟังยี่
“เกือบไม่ไหวแล้ว” มู่เฉินเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้
มู่เฉินเห็นชัดว่าด้วยพลังในปัจจุบัน เขาทำได้เพียงขัดขวางโยวหมิงเท่านั้น แต่ถ้าเกิดการสู้เต็มรูปแบบจริงๆ โอกาสที่เขาจะชนะริบหรี่เหลือเกิน
แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น ขณะที่โยวหมิงเหลืออีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แม้แต่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ คนที่อยู่ในระดับนี้ก็นับว่าได้อยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการเลยทีเดียว
แม้ว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายมากมายซ่อนในแขนเสื้อ แต่เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะโยวหมิงได้ง่ายดายเหมือนกับเอาชนะหลิ่วเหยียน
“เจ้าทำให้ข้าตกใจมากที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ทั้งที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ถ้าพวกเจ้ามีพลังยุทธ์ในระดับเดียวกัน เขาอยู่ไกลจากเจ้าหลายโยชน์แน่นอน” ไฉ่เซียวยิ้มบาง
มู่เฉินต้องยอมรับว่าคำชมหวานหูจากสตรีน่าหลงใหลเช่นนี้ ยกความทระนงที่มีเพิ่มขึ้นหลายส่วน ทำให้ร่างกายเขาเหมือนกับจะลอยได้
ชมมู่เฉินแล้ว ไฉ่เซียวก็เบนสายตาไปทางโยวหมิงเอ่ยด้วยเสียงเฉยเมย “เจ้ายังไม่ไปอีกเหรอ?”
สีหน้าของโยวหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะมองไฉ่เซียวกับมู่เฉินด้วยสายตามืดครึ้ม ก่อนจะพุ่งไปที่มู่เฉินเอ่ยเสียงเย็นเยือก “จวนยมโลกจะจำเรื่องราววันนี้ไว้ แต่ข้าหวังว่าถ้าพบกันครั้งหน้า แกจะไม่ต้องพึ่งพาสตรีมาช่วยอีกนะ”
ได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็ยิ้มบาง “บางทีแกอาจเป็นคนที่ต้องระวังตัวหากเราเจอกันในอนาคต”
แม้จะเป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับเขาในการเอาชนะโยวหมิงในตอนนี้ แต่เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถไล่ตามทัน ดังนั้นหากพวกเขาพบกันอีกในอนาคต หากโยวหมิงยังมีความคิดบีบให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบเช่นนี้ มู่เฉินจะทำให้อีกฝ่ายซึ่งถึงความหมายของเจอนักรบใหม่ในอีกสามวันก็ต้องเปลี่ยนมุมมอง
“ไอ้ปากดี”
โยวหมิงแค่นเสียงเย็นชา ในฐานะเสาหลักของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือ ทำให้ความภาคภูมิใจของเขาไม่ด้อยไปกว่าใครอื่น การที่มู่เฉินอวดเบ่งว่าสามารถแซงหน้าเขาไปได้จึงเป็นมุกตลกในสายตาของเขา เพราะถ้าไม่ใช่ไฉ่เซียวอยู่ที่นี่วันนี้ มู่เฉินคงตายคาที่แล้ว
พูดจบแล้วโยวหมิงก็ไม่คิดอยู่ในสถานที่ที่ทำให้รู้สึกขุ่นเคืองต่อไป เขากวาดสายตามืดครึ้มมองมู่เฉินกับไฉ่เซียว จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงเหาะผ่านขอบฟ้าไป
เขารู้ว่าไฉ่เซียวไม่มีทางให้เขาอยู่ใกล้ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับมรดกมังกรหงส์อย่างสบายใจ ในเมื่อไม่สามารถได้มรดกแล้ว ก็ไม่มีความหมายอะไรที่จะอยู่ต่อไป
เรื่องในวันนี้ต้องรอแก้แค้นในอนาคตแล้ว
“เจ้ามีปัญหาในอนาคตซะแล้ว” ไฉ่เซียวมองโยวหมิงที่จากไปก็ส่งยิ้มไม่เชิงยิ้มให้มู่เฉิน
มู่เฉินอึ้งไป
“ข้าไม่ใช่คนภูมิภาคทางเหนือ หลังจากรับมรดกมังกรหงส์แล้วข้าก็ไป แต่เจ้าเป็นสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นก็ต้องปะหน้ากับฟังยี่และโยวหมิงอีกแน่ ถึงตอนนั้น…” ไฉ่เซียวเอ่ยเย้า
มู่เฉินพยักหน้า ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาที่มีเรื่องกับอันดับหนึ่งและอันดับสองในบันทึกมังกรหงส์ แต่ปีที่ผ่านๆ มา มู่เฉินก็มีศัตรูมากมายจนขี้เกียจนับแล้ว เพราะสุดท้ายคนที่เขาเรียกว่าศัตรูก็กลายเป็นบันไดให้เขาเหยียบขึ้นสูงต่อไป
ดังนั้นไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัวภัยคุกคามแฝงเร้นเหล่านั้น เขากลับรอคอย เพราะการมีแรงกดดันแบบนี้จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!
“ถ้าเจ้ากังวล หลังออกจากเขตหลงเฟิ่งก็ไปกับข้าได้ ที่ที่ข้าจะพาเจ้าไปเหมาะสมกับเจ้ามากกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมื่อถึงที่นั่น บางทีเจ้าอาจจะมีโอกาสฝึกยุทธ์ดีกว่าก็ได้” ไฉ่เซียวหัวเราะในลำคอ
ความแข็งแกร่งของไฉ่เซียวพิสูจน์แล้วว่าขั้วอำนาจเบื้องหลังนางไม่ใช่ธรรมดาเลย จากการคาดเดาของมู่เฉิน ภูมิหลังของนางจะต้องเป็นกลุ่มที่ไม่มีใครในภูมิภาคทางเหนือเทียบชั้นได้ บางทีอาจเป็นอย่างที่นางพูด เขาจะมีโอกาสได้รับการฝึกยุทธ์ที่ดีกว่าเมื่ออยู่ที่นั่นและนี่อาจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน
ทว่ามู่เฉินกลับส่ายหน้าตอบ เขาไม่คุ้นเคยกับการถูกปกป้อง ตัวเขาต้องการพุ่งไปข้างหน้าด้วยพลังของตัวเองเพื่อกลายเป็นยอดยุทธ์ เป็นจอมยุทธ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาการปกป้องและทรัพยากรจากขั้วอำนาจอื่นใด
“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้าหรอก ถ้าครั้งหน้าพบกัน ข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับพวกมันเอง” มู่เฉินยิ้มบาง
คิ้วของไฉ่เซียวเลิกขึ้นเมื่อได้ยินมู่เฉินปฏิเสธนาง ทว่าจากนั้นนางก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับความมั่นใจที่มู่เฉินมีในคำพูด นั่นเพราะนางรู้ว่าฟังยี่น่าสะพรึงเพียงใด กระทั่งตัวนางลงมือเองในครั้งนี้ นางยังต้องใช้ความพยายามใหญ่หลวง นี่เป็นเรื่องเพ้อฝันชัดๆ ในสายตาคนอื่นเรื่องที่มู่เฉินคิดจะกำจัดสองคนนั้นได้
ทว่าไฉ่เซียวก็ไม่ได้หัวเราะเยาะคำพูดของมู่เฉิน นางมองมู่เฉินด้วยสายตามีเสน่ห์และยิ้มอ่อนโยน “ตกลง งั้นข้าก็หวังว่าครั้งหน้าที่เราเจอกัน เจ้าจะนำข่าวดีมาให้ข้านะ”
มู่เฉินยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
ไฉ่เซียวเห็นการตอบสนองของเขาก็เบนไปมองสายตานบน้อมนับไม่ถ้วน จากนั้นนางก็มองไปทางซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “พวกเจ้ามีอะไรขัดข้องเรื่องที่พวกข้าจะรับมรดกมังกรหงส์หรือไม่?”
พอได้ยินคำพูดของไฉ่เซียว ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนก็มองหน้ากันก่อนที่จะถอนหายใจ แม้แต่ฟังยี่กับโยวหมิงยังพ่ายแพ้ให้กับสองคนนี่ แล้วพวกเขาจะมีอะไรไปคัดค้านได้กัน? ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้าอย่างรู้งาน
“งั้นก็ขอบใจ” ไฉ่เซียวเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์บนใบหน้า เสน่ห์ในรอยยิ้มทำให้แม้แต่โฉมงามอย่างซูปี้เยี่ยกับหงหยูยังดับไปวูบหนึ่งเมื่อเทียบกัน
มู่เฉินเงยหน้ามองจุดสูงสุดของจัตุรัสมังกรหงส์ ที่ตรงนั้นมีแสงสีทองเจิดจ้ากำจายออกมา ราวกับว่ามีความล้ำลึกไม่มีที่สิ้นสุดอยู่
มีความรู้สึกตื่นเต้นเกิดขึ้นในใจเขา
ในที่สุดมรดกมังกรหงส์ก็เป็นของพวกเขาแล้ว!
บทที่ 808 บันไดมังกรหงส์
คลื่นหลิงรุนแรงสลายจากท้องฟ้า
การต่อสู้ที่ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนจบลงแล้ว จอมยุทธ์สองคนที่ยืนอยู่บนฟ้ากลายเป็นเป้าสายตาที่โดดเด่นที่สุดในบริเวณนี้
สายตาของมู่เฉินจับจ้องที่จุดสูงสุดของจัตุรัสมังกรหงส์ ภายใต้สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วน แสงสีทองเจิดจ้ากำจายออกมาจากทิศทางนั้น พร้อมเปล่งเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าในยุคโบราณแว่วมา
มรดกมังกรหงส์อยู่ตรงนั้น
ฮึ่ม!
จัตุรัสมังกรหงส์เหมือนจะสัมผัสได้ถึงจำนวนคนที่น้อยลง ทำให้กระแสธารสีทองพวยพุ่งออกจากยอดสูงสุด ก่อตัวเป็นบันไดสีทอง
มรดกมังกรหงส์อยู่ที่ปลายบันไดนั่น
“ไปรับมรดกของเรากันเถอะ” ไฉ่เซียวมองบันไดสีทองมลังเมลืองด้วยรอยยิ้มบาง ในที่สุดพวกนางก็มาถึงที่นี่หลังผ่านการต่อสู้ยากลำบากมาหลายด่าน ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกนางจะเก็บเกี่ยวผประโยชน์แล้ว
มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวตรงบันไดสีทองขั้นล่างสุด จากนั้นฝ่าเท้าก็ก้าวขึ้นไปท่ามกลางสายตาอิจฉานับไม่ถ้วน
ที่ด้านหลัง ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนต่างเดินตามไปอยู่ห่างๆ แม้พวกเขาจะไม่สามารถแตะต้องยอดมรดกได้ แต่พวกเขาก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อยที่ลดหลั่นลงมา
กลุ่มคนเดินไปที่บันไดสีทอง จากนั้นก็หยุดอยู่ที่ขั้นของตน มู่เฉินเงยหน้าขึ้นเห็นแท่นบูชาสีทองอยู่ตรงปลายสุดของบันได
แท่นมีร่างของมังกรและหงส์ฟ้าเกาะเกี่ยวกันพร้อมกับเปล่งรัศมีโบราณออกมา ทำให้ทั่วบริเวณรู้สึกได้ถึงความเวิ้งว้าง เมื่อมาถึงที่นี่ แม้แต่สีหน้าของไฉ่เซียวก็ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากแรงกดดันน่ากลัวที่แผ่ออกมา
แรงกดดันราวกับต้องการแช่แข็งมิติไว้
ที่จุดสูงสุดของแท่นบูชามีบันไดเพียงสิบขั้น ทว่าบันไดทั้งสิบขั้นยากที่จะก้าวขึ้นไปตามธรรมชาติเนื่องจากแรงกดดันของมังกรหงส์ที่น่ากลัวแผ่ออกมา ราวกับต้องการบดขยี้คนที่ขึ้นบนบันไดให้กลายเป็นเนื้อบด
“แรงกดดันตรงนี้…” สีหน้าของไฉ่เซียวขรึมลงอดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้ว นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่าแรงกดดันมังกรและหงส์ฟ้าในสถานที่แห่งนี้ว่าน่ากลัวเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบันไดทองคำทั้งสิบขั้นตรงหน้า นางรู้สึกว่าถ้าก้าวขึ้นไป แรงกดดันมังกรและหงส์ฟ้าน่ากลัวก็จะกดทับบนร่างนางแน่นอน
แรงกดดันนี้ทรงพลังยิ่งกว่าในสระมังกรหงส์ชั้นยอดนั่นเสียอีก
“ว่ากันว่าหัวใจของมังกรและหงส์ฟ้าตกอยู่ในบริเวณนี้ แล้วก่อร่างเป็นจัตุรัสมังกรหงส์ขึ้นมาและผนึกมรดกเอาไว้… ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีแรงกดดันมังกรและหงส์ฟ้าน่ากลัวที่สุด”
“ส่วนบันไดสิบขั้นเป็นการทดสอบสุดท้ายสำหรับมรดกมังกรหงส์ ที่เรียกว่าบันไดมังกรหงส์ ตราบใดที่สามารถขึ้นไปได้ ก็จะได้รับมรดกสุดท้าย” มู่เฉินขบฟันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมังกรและหงส์ฟ้าอันน่ากลัว หากไม่ใช่เพราะกายามังกรหงส์ละก็ เขาคงล้มทรุดไปนานแล้ว
“หลายปีที่ผ่านมาในศึกมังกรหงส์ มีจอมยุทธ์มากมายที่มาถึงที่นี่ แต่แม้กระทั่งพวกขั้นเทพของเทพยังก้าวขึ้นไปได้แค่ขั้นเก้าเลย…”
“โอ้?” ดวงตาไฉ่เซียวหดลงขณะที่แววตาเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขตหลงเฟิ่งน่าสะพรึงจนถึงจุดที่ไม่มีใครสามารถก้าวขึ้นไปถึงบันไดขั้นสิบได้ หลังจากเปิดตัวมาหลายปีงั้นหรือ?
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” ไฉ่เซียวถามขณะมองมู่เฉิน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองปลายบันได แสงสีทองกำจายออกมาจากทิศที่มองไป พร้อมกับแรงกดดันทรงพลัง มรดกมังกรหงส์โบราณจะต้องถูกซ่อนอยู่ที่นั่น
“ไม่ง่ายที่จะให้ข้ายอมแพ้หรอก!” ม่านตาสีดำของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นคมกริบขณะที่ส่งเสียงขึ้นจมูก ไม่มีความลังเลใดๆ ขณะที่เขาย่างเท้าขึ้นไปบนบันไดมังกรหงส์ขั้นแรก
ตู้ม!
ทันทีที่มู่เฉินก้าวขึ้นไปบนบันได เสียงมังกรคำรามกึกก้องก็ดังขึ้นพร้อมกับแรงกดดันน่ากลัวกดทับลงมา
มู่เฉินรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งราวกับภูเขา
แต่เขาก็กัดฟันก้าวขึ้นไปอีกขั้นด้วยฝ่าเท้าสั่นระริก
ร่างของมู่เฉินโงนเงนอยู่บนบันได เห็นชัดว่ากำลังแบกรับแรงกดดันมหาศาลไว้ ทุกฝีก้าวทำให้เขาต้องเหงื่อแตกพลั่ก ความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสขณะที่กล้ามเนื้อปริแยกจากกัน
ที่ด้านหลัง ไฉ่เซียวตามมาติดๆ แม้นางจะไม่ได้ยากลำบากเหมือนมู่เฉิน แต่ฝีเท้าก็หนักอึ้งไปเช่นกัน เห็นชัดว่านางก็แบกแรงกดดันน่ากลัวไว้
เยื้องไปที่ด้านหลัง ก็เป็นเรื่องยากสำหรับซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนในการก้าวเดินขึ้นไปเช่นกัน
ทุกสายตาในบริเวณนี้พุ่งตรงไปที่บันไดมังกรหงส์ ตรงจุดที่จอมยุทธ์ทั้งห้าคนก้าวเดินช้าๆ พวกเขาอยากรู้ว่าทั้งห้าคนจะสามารถก้าวเดินขึ้นบันไดมังกรหงส์ไปได้ไกลแค่ไหน!
ภายใต้การจ้องมองเหล่านั้น ฝีเท้าของมู่เฉินก็สั่นระริกขณะหยุดอยู่ที่บันไดขั้นหก เมื่อเขาก้าวมาถึงที่นี่ เขาก็รู้สึกว่าผิวหนังเริ่มฉีกขาดเลือดไหลซึมออกมา
แม้ว่าจะมีกายามังกรหงส์ แรงกดดันที่นี่ก็ถือว่าเหลือกำลังนัก
ไฉ่เซียวเดินตามหลังมู่เฉินพร้อมกับเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดบนใบหน้าขาวนวล กระทั่งนางที่มีพลังแก่กล้า ก็ยังไม่รอดพ้นจากแรงกดดันน่ากลัวของที่นี่
“เจ้าจะไปต่อรึ?” ไฉ่เซียวขบฟันเอ่ยออกมาเมื่อมองเห็นเลือดที่ไหลซึมออกจากแผ่นหลังของมู่เฉิน
มู่เฉินไม่พูดอะไรแต่พยักหน้าหนักแน่น ในม่านตาสีดำไม่มีแววท้อถอยขณะที่ก้าวเท้าขึ้นไปอีกขั้น
เปรียะ!
บาดแผลฉกรรจ์ปรากฏบนหัวไหล่เขาพร้อมกับเลือดไหลออกมาหยดลงไปที่ฝ่าเท้าของมู่เฉิน ทิ้งรอยเท้าสีแดงบาดตาไว้เบื้องหลัง
เลือดบนร่างกายมู่เฉินเพิ่มขึ้น มีกระทั่งบาดแผลปรากฏบนใบหน้าจนเลือดสดไหลบดบังสายตา ทว่าเขาก็ยังก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยฝีเท้าหนักแน่น
สุดท้ายเขาก็หยุดอยู่ที่บันไดขั้นแปด
ยามนี้ร่างกายของมู่เฉินโชกเลือดไปหมด แรงกดดันน่ากลัวจากรอบด้านราวกับจะบดขยี้เขา แสงสีทองเข้มกำจายออกมาจากเลือดและกล้ามเนื้อ นี่คือแก่นเลือดมังกรหงส์ที่กำลังซ่อมแซมร่างกายที่เสียหายของเขา
ถ้าไม่ได้รับการปกป้องจากแก่นเลือดมังกรหงส์ ร่างเขาคงระเบิดไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็รู้สึกว่าตนเองสูญเสียการมองเห็นและการได้ยินไปในตอนนี้ ทุกสรรพเสียงล้วนหายไป มีเพียงแรงกดดันหนักหน่วงปกคลุมตัวเขาอย่างต่อเนื่อง
ร่างของมู่เฉินโงนเงนขณะยืนอยู่บนบันไดขั้นแปด ไฉ่เซียวก็ก้าวมาถึงระดับเดียวกับเขาเช่นกัน เหงื่อกลิ่นอ่อนไหลลงไปตามลำคอเพรียวระหง ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มเน้นทรวดทรงงดงามของนางขึ้นมา
ใบหน้าของนางซีดลงหลายส่วน ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงหนักแน่น ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่เมื่อมองมู่เฉินแล้ว กลับมีริ้วเป็นห่วงกังวลฉายในนัยน์ตานาง
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครสามารถขึ้นไปถึงบันไดขั้นสิบได้ เพราะจากการประเมินของนาง ตัวนางคงขึ้นไปได้ถึงแค่ขั้นเก้า นั่นน่าจะเป็นเรื่องสุดความสามารถของนางแล้ว หากยังฝืนต่อไป ร่างกายของนางแตกสลายจากแรงกดดันนั้นเลย
ที่เบื้องหลังทั้งสอง ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนหยุดยืนอยู่บนบันไดขั้นหกไม่ก้าวขึ้นมา นั่นเพราะพวกเขารู้ว่านี่เป็นระดับสุดความสามารถแล้ว ร่างกายของพวกเขาไม่สามรถรับไหวหากยังฝืนไปต่อ
คนทั้งสามนั่งลงบนขั้นบันไดกว้าง มองสองคนที่อยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นร่างมู่เฉินที่ปกคลุมไปด้วยชั้นเลือด แววประทับใจก็ฉายในดวงตาของพวกเขา
มู่เฉินมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น แต่เขากลับสามารถขึ้นไปถึงบันไดขั้นแปดได้ แรงกดดันที่เขาต้องทนรับหนักหนาขนาดไหน หากเป็นคนที่อ่อนแอกว่าคงล้มฟุบไปในทันทีแล้ว
ก่อนหน้าพวกเขายังคงสงสัยเล็กน้อยจากความจริงที่มู่เฉินเอาชนะหลิ่วเหยียนและต่อกรกับโยวหมิงได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม แต่ในตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมจึงมีปาฏิหาริย์มากมายเกิดขึ้นรอบตัวชายหนุ่ม
ปาฏิหาริย์ไม่ได้มาจากสวรรค์ประทาน แต่ถูกสร้างขึ้นจากความมุมานะของเขา
ซูปี้เยี่ยกับหงหยูมองหน้ากัน สายตาของพวกนางค่อนข้างซับซ้อน
ไฉ่เซียวปาดเหงื่อออกจากคางมองมู่เฉินที่ทั้งตัวโชกเลือด ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงชาดจะขยับขึ้นลง “อย่าไปต่ออีกเลย”
“เจ้าขึ้นไปเถอะ” เลือดสดแข็งตัวจนพอกใบหน้ามู่เฉิน เสียงสั่นพร่าอย่างยิ่ง ราวกับว่าแม้แต่ลำคอของเขายังได้รับความเสียหายจากแรงกดดันนั้น
ไฉ่เซียวพยักหน้าจากนั้นก็ขบฟันพร้อมกับลงฝีเท้าอย่างนุ่มนวล คลื่นหลิงมหาศาลปกคลุมรอบกายนางต้านพลังกดดันน่ากลัวไว้ ฝ่าเท้าเล็กบางสั่นเทาเหยียบลงบนบันไดขั้นเก้า
บันไดขั้นเก้า!
เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วบริเวณ หลังจากผ่านมาหลายปีตั้งแต่เขตหลงเฟิ่งเปิดตัว ก็มีอัจฉริยชนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปยังบันไดขั้นเก้าได้ ไม่คิดว่าครั้งนี้จะมีคนทำสำเร็จอีกแล้ว
ท่ามกลางความโกลาหล มู่เฉินที่ร่างกายมีแต่เลือดก็เงยหน้าขึ้นด้วยความยากเย็นขณะที่สายตาพร่าเลือนมองไปยังยอดจัตุรัสมังกรหงส์ตรงที่แสงสีทองกำจายออกมา ราวกับว่ามีมังกรและหงฟ้าส์กำลังมองลงมาจากเบื้องบน แผ่แรงกดดันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
แรงกดดันนั้นสามารถทำให้ผู้คนแดดิ้นลงได้เลย
ทว่ามู่เฉินในตอนนี้กลับกำหมัดแน่น เบื้องหน้าคือภูเขายากเอาชนะที่ขวางเส้นทางเขาไว้ แม้จะมีพลังกายทรงประสิทธิภาพ แต่แรงกดดันที่น่ากลัวก็ไม่อาจต้านทานได้
มู่เฉินรู้สึกเลือนรางว่าร่างกายจะเริ่มแตกสลายเมื่อก้าวเท้าขึ้นไปสู่บันไดขั้นเก้า และบนขั้นสิบนั้นก็มีโอกาสถึงแปดส่วนที่ร่างกายของเขาจะระเบิด
ตอนนี้…จะยอมแพ้เหรอ?’
สายตาของมู่เฉินค่อยๆ พร่ามัวขณะร่างงดงามปรากฏในความมืด นางสวมชุดดำมีเรือนผมสีเงินยวงยาวสยาย ดวงตาแก้วใสกำลังมองมาที่เขาด้วยความอ่อนโยนไร้ที่สิ้นสุด
ลั่วหลี
หญิงสาวที่ทำให้เขามีแรงผลักดัน…ในตอนนี้น่าจะกลับไปยังตระกูลลั่วเสิน แบกรับภาระเพื่อกอบกู้ตระกูลของนางอยู่สินะ? แรงกดดันที่นางต้องแบกรับไว้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
และเขาเคยให้คำมั่นกับนางว่า…จะเป็นยอดยุทธ์ของโลก…
ดวงตาที่พร่ามัวจากเลือดเบิกโพลง ไม่มีความลังเลอยู่ในแววตามู่เฉินแม้แต่น้อย เส้นทางการแห่งการเป็นหนึ่งเต็มไปด้วยขวากหนามเสมอ หากเขายอมแพ้เรื่องง่ายๆ เขาจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคนรักได้อย่างไร?
“อ้ะ?!”
ทันใดนั้นเสียงตกตะตึงก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ ซูปี้เยี่ยกับหงหยูพากันปิดปากพร้อมกับดวงตาฉายแววตกตะลึงเมื่อมองขึ้นไป ร่างโงนเงนที่ดูเหมือนจะล้มลงทุกเมื่อก็ปล่อยรัศมีทรงพลังออกมา เขาเงยหน้าขึ้นฟ้าร้องคำรามก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างดุดัน!
ก้าวเดียวเขาก็ขึ้นไปบนบันไดขั้นเก้าแล้ว!
ดวงตาของไฉ่เซียวเบิกกว้างพร้อมกับแววตะลึงใจฉายบนใบหน้า นั่นเพราะนางตระหนักได้ว่าตอนนี้มีบาดแผลฉกรรจ์ปริแตกบนร่างของมู่เฉินขณะที่เลือดสดหลั่งไหลออกมา
ความเจ็บปวดรุนแรงกระโจนออกมา เกือบจะทำให้มู่เฉินหมดสติ แต่เขากลับก้าวไปอีกก้าวท่ามกลางเสียงร้องคำราม!
ดวงตาของไฉ่เซียวเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เสียงสูดหายใจรับอากาศเย็นเยือกนับไม่ถ้วนดังขึ้น ตอนนี้พวกเขารู้ดีว่ามู่เฉินกำลังพยายามจะทำอะไร
บันไดขั้นสิบ!
มู่เฉินยืนอยู่บนสุดของบันไดมังกรหงส์ ทว่าจากนั้นใบหน้าของไฉ่เซียวก็เริ่มเปลี่ยนแปลงรุนแรง เพราะนางเห็นว่าร่างของมู่เฉินกำลังจะระเบิดออกในเวลานี้!
เลือดสดกระเซ็นไปทุกทิศทาง!
เนื้อของเขาแตกออกไปหมดแล้ว!
บทที่ 809 ชำระเลือดมังกรหงส์
ตู้ม!
เมื่อเลือดกระเซ็นไปที่บันไดมังกรหงส์ขั้นสูงสุด ทุกสายตาก็หยุดชะงัก ในส่วนลึกของดวงตาพล่านด้วยแววตกตะลึงสุดขีด
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้น ไม่เพียงแต่เขาก้าวขึ้นบันไดขั้นเก้ามาได้ เขายังก้าวต่อไปข้างหน้าจนเหยียบลงบนบันไดขั้นสิบอีกด้วย!
ทว่าเมื่อเขาไปถึงบันไดขั้นสิบ ก็ดูราวกับเขาไม่อาจทนรับแรงกดดันน่าสะพรึงกลัวได้ไหวจนเนื้อตัวแตกระเบิด…
ทุกคนกลืนน้ำลาย จากนั้นก็คิดในใจ บันไดขั้นสิบคือหุบผาชันที่ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้จริงๆ ไม่มีใครสามารถขึ้นไปได้เลย
ขณะที่ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงร้องตกใจ ใบหน้าของไฉ่เซียวก็ซีดเซียวลงเมื่อมองภาพนี้ เลือดสดสาดกระจายตรงหน้านาง นางมองร่างที่ถูกทำลายตรงหน้าด้วยความว่างเปล่า หัวใจนางดิ่งลงทันที นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะเสี่ยงชีวิตถึงขนาดนี้!
เขาไม่รู้หรือว่าบันไดขั้นสิบคือประตูนรก? นี่ไม่ใช่เรื่องของความแข็งแกร่งเลย แต่นี่คือขั้นบันไดต้องห้ามไม่ให้ทุกคนขึ้นไป
ดังนั้นในอดีตไม่ว่าจะมีอัจฉริยโดดเด่นมากมายเพียงใด ทุกคนก็ได้แต่หยุดอยู่ที่ขั้นเก้าเท่านั้น!
เพราะบันไดขั้นสิบอาจเป็นความภาคภูมิใจที่หลงเหลืออยู่ของเทพอสูรทั้งสอง เป็นดินแดนต้องห้ามไม่ให้ผู้คนขึ้นไป
สีหน้าของไฉ่เซียวเปลี่ยนไป จากนั้นนางก็กัดฟันแน่น กำลังจะก้าวขึ้นไปช่วยมู่เฉิน แต่ทันทีที่จะเคลื่อนตัว ร่างที่ทรุดลงช้าๆ ก็หยุดนิ่ง เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกู่เสียงคำรามก้องฟ้า
อ้ากๆๆๆ!
เสียงคำรามของเขาอัดแน่นด้วยความเจ็บปวด แต่ก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่และดื้อรั้นไม่หวั่นไหว ตอนนี้กระดูกสีขาวโพลนโผล่ออกมา ครึ่งหนึ่งของร่างกายได้ระเบิดออก หากไม่ใช่เพราะพลังชีวิตทรงประสิทธิภาพที่มาจากแก่นเลือดแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้า ร่างกายของเขาคงกลายเป็นอากาศธาตุไปนานแล้ว
แต่กระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ไม่มีความสิ้นหวังใดๆ ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้!
เสียงคำรามราวกับราชสีห์ดังก้องในโสตประสาททุกคน ผู้คนนับไม่ถ้วนฉายแววตาตื่นตกใจขณะมองไปที่จุดสูงสุดของบันไดมังกรหงส์ ที่ตรงนั้นร่างกายที่เลือดเนื้อส่วนใหญ่ถูกทำลาย แม้เขาจะอาบไปด้วยเลือดก็ยังส่งเสียงคำราม ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ทั่วไป แม้กระทั่งไฉ่เซียว ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนยังมีสีหน้าตกตะลึง
พลังใจทรงอานุภาพที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นไหว
“ช่างเหี้ยมหาญอะไรเช่นนี้!” ติงเฉวียนอึ้งไปอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งให้ เทียบกับการต่อสู้ของมู่เฉินกับโยวหมิงแล้ว ตอนนี้เขาดูน่าชื่นชมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
เสียงคำรามดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วน และในตอนนี้เองก็มีเสียงมังกรและหงส์ฟ้าร้องดังมาจากยอดจัตุรัสมังกรหงส์
ทุกคนตกใจจากนั้นก็มองเห็นเสาแสงมหึมาสีทองพวยพุ่งไปที่ขอบฟ้าตรงจุดสูงสุดของบันไดมังกรหงส์ ภายในเสาแสงสีทองก็คือมู่เฉินที่นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้น
เสาแสงสีทองเหมือนเต็มไปด้วยของเหลว แต่เมื่อมองใกล้เข้าไปก็จะตระหนักได้ว่านี่คือแก่นเลือดมังกรหงส์ฟ้าสีทองเข้ม ความบริสุทธิ์นั้นทำให้คนจำนวนมากตกตะลึงในใจ
ภายใต้เสียงครางกระหึ่มของแก่นเลือด ก็ดูราวกับพายุฝนพัดชำระร่างกายที่พังยับเยินของมู่เฉิน ชั้นสีทองเข้มปกคลุมร่างของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง
เวลานี้บาดแผลสามารถมองเห็นชั้นเนื้อเยื่อผุดขึ้นมาด้วยความเร็วที่มองเห็นได้
ดูจากที่ไกลแล้วมู่เฉินก็ราวกับพระพุทธรูปทองคำที่แผ่แรงกดดันบางจางออกมาอย่างคลุมเครือ ซึ่งเป็นแรงกดดันที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง พลังอำนาจนี้มีต้นกำเนิดมาจากมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง!
“นั่นคือ…การชำระเลือดมังกรหงส์!”
ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้างจากเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเสียงร้องก็ดังขึ้นพร้อมกับความอิจฉาแรงกล้า นั่นเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าแก่นเลือดเทพอสูรที่อยู่ในลำแสงสีทองบริสุทธิ์เพียงใด
แม้แต่สระมังกรกงส์เป็นร้อยยังเทียบไม่ติดเลย!
“ชีวิตไอ้บ้านั่นดวงดีเกินไปแล้ว!” บางคนพูดออกมาพร้อมกับดวงตากลายเป็นสีแดงฉาน นี่คือการชำระเลือดมังกรหงส์ แม้แต่คนที่มีร่างกายอ่อนแอก็สามารถเกิดใหม่หลังจากถูกชำระ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินที่มีร่างกายทรงพลังอยู่แล้วเลย หลังการชำระครั้งนี้พลังกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็คงสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังยุทธ์ในระดับเดียวกันได้แล้ว
ทว่าแม้พวกเขาจะอิจฉา แต่ทุกคนก็รู้ว่ามู่เฉินสู้ด้วยความกล้าหาญและพลังใจที่มี เพราะถ้าเป็นพวกเขา ก็คงไม่มีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความตาย บังคับตัวเองเดินขึ้นไปตามบันไดนรกแน่
“ที่แท้บันไดขั้นสิบก็คือบททดสอบ” ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนเฝ้ามองภาพนี้ด้วยสายตาซับซ้อน พวกเขาเห็นได้ชัดเจนมากกว่า จากความรู้สึกบันไดขั้นสิบเป็นดินแดนแห่งความตายแท้จริง ใครที่ก้าวขึ้นต้องตาย ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าขึ้นไปเลยในหลายปีผ่านมานี้ เนื่องจากไม่มีใครกล้าที่จะเสี่ยง แต่ครั้งนี้กลับถูกตีแตกโดยมู่เฉิน
บันไดขั้นสิบไม่ใช่บททดสอบพลังกาย แต่เป็นความกล้าหาญและพลังใจต่างหาก!
ไฉ่เซียวโล่งใจไปในตอนนี้ จากนั้นก็จ้องมองร่างซึ่งปกคลุมด้วยเสาแสงสีทองด้วยความสนใจ ชายคนนี้ยังเยาว์วัย แต่ความดื้อดึงและความแน่วแน่ที่ซึมลึกถึงกระดูกยังทำให้แม้แต่นางยังรู้สึกประทับใจ
นางเหลือบมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้ด้วยเหตุใด นางรู้สึกว่าในอนาคตชื่อเสียงของชายหนุ่มตรงหน้านางจะก้องกังวานไปทั่วมหาพันภพ
ฮึ่ม!
เสาแสงสีทองเข้มปกคลุมร่างมู่เฉิน แก่นเลือดบริสุทธิ์ของมังกรและหงส์ฟ้าบางส่วนก็แผ่ออกมาฉายไปที่ไฉ่เซียว ซูปี้เยี่ยและคนอื่นๆ ที่เหลือ แม้จะเทียบไม่ได้กับโอกาสที่มู่เฉินได้รับ แต่ก็เป็นโอกาสเยี่ยมยอดสำหรับพวกเขาหากสามารถชำระได้ ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งลงตั้งสมาธิพยายามดูดซับแก่นเลือดแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้าเหล่านั้น
จากเสาแสงสีทองเข้ม เสียงมังกรและหงส์ฟ้าคำรามก้องฟ้า เสาแสงคงอยู่ราวสิบนาทีก่อนที่จะค่อยๆจางหายไป
ทุกสายตาพุ่งตรงไปที่ยอดจัตุรัสมังกรหงส์ทันที
ในจุดนั้นแสงสีทองหดกลับเข้าไปในร่างที่กำลังคุกเข่าบนพื้นดิน ร่างกายท่อนบนของเขาไม่มีเสื้อผ้าเหลืออยู่ แสงสีทองไหลพล่านอยู่ใต้ผิว ร่างกายส่วนที่ได้รับความเสียหายถูกฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ขณะที่แสงสีทองไหลวนก็มีแรงกดดันแผ่ออกมาอย่างคลุมเครือ
บนแผ่นหลังของเขามีลวดลายหงส์ฟ้าทองคำกำลังสยายปีก ดูราวกับมีชีวิต ปีกที่กางออกเหมือนจะผละจากร่างมู่เฉินทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
บนแผ่นอกมีลวดลายมังกรทองมองลงมาอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งราวกับว่าสามารถมองดินแดนนี้ให้ต่ำ ความศักดิ์สิทธิ์ที่มีไม่อาจถูกทำลายได้
มู่เฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยเป็นสีดำกลายเป็นสีทองเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก
แสงสีทองคงอยู่ในม่านตาชั่วครู่ ก่อนที่จะหายไป มู่เฉินก้มหน้ามองร่างกายสมบูรณ์ไร้ความเสียหายของตนเองด้วยสายตาว่างเปล่า เขาค่อยๆ กำมือแน่นก็สัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่พวยพุ่งภายในร่าง
ราวกับว่ามีมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงซ่อนตัวอยู่ภายในร่างของเขา
เขาแตะลวดลายมังกรบนอกก็ต้องหนังตากระตุก นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าลวดลายมังกรบนอกและลวดลายหงส์ฟ้าบนหลังเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา
พวกมันเหมือนไม่ใช่แค่ลายสลักธรรมดาแต่เป็นสิ่งมีชีวิต
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ผ่านหายนะนี้ได้สำเร็จ เขาสามารถสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตที่อยู่ในร่างกายของตนเองมีมากกว่าแต่ก่อนถึงสิบเท่า
บาดแผลที่เขาได้รับจากการต่อสู้กับหลิ่วเหยียนและโยวหมิงฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์ ช่างเป็นอัตราการฟื้นตัวที่แม้แต่เขายังไร้คำพูด
ดูเหมือนครั้งนี้เขาชนะพนันแล้ว
เมื่อแสงสีทองสลายไปในบริเวณนี้ แสงสีทองจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมาจากแท่นบูชา แสงสีทองเหล่านั้นดูเหมือนเป็นเกล็ดมังกรและขนหงส์ฟ้า ตำราโบราณที่เห็นได้คลุมเครือมองเห็นบนเกล็ดและขนนกเหล่านั้น
“นั่นคือมรดกมังกรหงส์ที่ถูกทิ้งไว้นี่!”
เมื่อเกล็ดมังกรและขนหงส์ฟ้าปรากฏขึ้น ความโกลาหบก็ระเบิดขึ้นในบริเวณนี้ ทุกคนมีดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ถ้าได้สิ่งที่รวบรวมโดยมังกรและหงส์ฟ้า เพียงแค่สิ่งเดียวก็มีประโยชน์ใหญ่หลวงต่อการฝึกวรยุทธของพวกเขาแล้ว
เกล็ดมังกรและขนหงส์ฟ้าโคจรอยู่เหนือจัตุรัสมังกรหงส์ ปกคลุมทั่วบันได ดังนั้นชัดว่าไฉ่เซียว ซูปี้เยี่ยและคนอื่นก็ได้รับเหมือนกัน แต่แค่ยิ่งพวกเขาขึ้นไปอยู่บนบันไดขั้นสูง มรดกที่ได้รับก็จะมีค่ามากขึ้นด้วยเท่านั้น
เราสามารถตัดสินจากแสงสีทองที่เปล่งออกจากเกล็ดมังกรและขนหงส์ฟ้าเหล่านั้นว่าพวกมันทรงพลังเพียงใด ยิ่งบนบันไดขั้นสูงจำนวนเกล็ดมังกรและขนหงส์ฟ้าก็จะลดจำนวนลง ทว่าแสงที่กำจายออกกลับทรงพลังยิ่งขึ้นไป
ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนตื่นเต้นดีใจเมื่อมองเกล็ดมังกรและขนหงส์ฟ้าที่วนเวียน แต่ละคนอดรนทนไม่ไหวอยากจะลองหยิบดู
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น บนยอดจัตุรัสมังกรหงส์มีเกล็ดมังกรและขนฟ้าหงส์จำนวนน้อยมาก มีกลุ่มแสงเพียงสิบกลุ่มเท่านั้นที่ลอยอยู่บนอากาศ
ภายในกลุ่มแสงเหล่านั้นประกอบด้วยเกล็ดมังกร กระดูกมังกร ขนหงส์ฟ้าและวัตถุอื่นๆ หลากหลายที่สามารถมองเห็นได้ คลื่นโบราณที่แผ่ออกมา ไม่มีสิ่งใดที่เทียบได้ง่ายๆ
มู่เฉินจ้องมองกลุ่มแสงทั้งสิบก็สัมผัสได้เลือนรางว่าตนเองสามารถเลือกมรดกได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
คิ้วของมู่เฉินขมวดขณะครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง ในเมื่อเป็นเรื่องยากที่จะเลือก เขาก็ปล่อยให้โชคชะตาได้ทำหน้าที่แล้วกัน
มู่เฉินอ้าแขนออกช้าๆ ทำใจให้สงบลงขณะแสงสีทองบางจางแผ่ออกมาจากผิวกาย เขาเรียกกายามังกรหงส์ออกมา
บนแผ่นอกและแผ่นหลังของเขา ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบิดตัวไปมาเบาๆ ขณะลำแสงสีทองพุ่งออกไปยังกลุ่มแสงหนึ่งในสิบทางด้านขวาสุด
ชี่! ชี่!
แสงสีทองปกคลุมกลุ่มแสงและหดกลับอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินลืมตาขึ้นมองกลุ่มแสงที่ลอยอยู่ตรงหน้า เขายื่นมือออกไปกลุ่มแสงก็พลิ้วลงบนมือ เมื่อแสงจางหายก็เผยให้เห็นวัตถุข้างใน
นี่เหมือนจะเป็นกระดูกโบราณสีทองเข้ม ซึ่งเต็มไปด้วยอักขระโบราณราวกับเป็นบันทึกเก่าแก่ที่สุดในโลก แผ่ความผันผวนลึกล้ำออกมา
มู่เฉินคว้ากระดูกสีทองเข้มลึกลับ กลับรู้สึกว่าเลือดเนื้อในร่างถูกกระตุ้น นี่ทำให้สายตาเขาสั่นไหวพลางมองกระดูกสีทองเข้มที่เหมือนจะมีความสัมพันธ์ไม่น้อยกับกายามังกรหงส์
บทที่ 810 คัมภีร์หลงเฟิ่ง
กระดูกสีทองลึกลับโบราณวางอยู่บนมือมู่เฉิน
ล้อมรอบด้วยอักขระที่ลึกซึ้งและคลุมเครือซึ่งแสดงให้เห็นว่าวัตถุนี้พิเศษเพียงใด
มู่เฉินตรวจสอบกระดูกสีทองอย่างละเอียด เผยแววตาครุ่นคิดออกมา กระดูกสีทองนี้ต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับกายามังกรหงส์แน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่กายามังกรหงส์จะมีปฏิกิริยากับมัน
มู่เฉินแตะกระดูกสีทองลองใส่คลื่นหลิงลงไปแต่ก็จบลงที่ล้มเหลว ดูเหมือนจะมีพลังงานอยู่ในกระดูกสีทองต้านพลังทุกรูปแบบที่มันไม่ยอมรับให้เข้าไปในนั้น
สายตาของมู่เฉินกะพริบเบาๆ ถ้าเขาต้องการรู้ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในกระดูกท่อนนี้ ดูท่าเขาจะต้องใช้พลังงานที่มันยอมรับ…
พลังงานที่มันยอมรับงั้นหรือ?
ดวงตาของมู่เฉินหดลง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มบางออกมา เขากำหมัดเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ ปล่อยให้เลือดสีแดงสดไหลออกมา หยดไปตามนิ้วลงบนกระดูกสีทอง
ขณะที่เลือดปกคลุมบนกระดูกสีทอง อักขระโบราณลึกซึ้งก็เหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ด้วยเสียงสั่นไหวก็เปลี่ยนเป็นแสงสีทองพุ่งตรงไปที่หว่างคิ้วของมู่เฉิน
ตู้ม!
ร่างของมู่เฉินกระตุกรุนแรงขณะที่ราวกับมีภูเขาไฟปะทุขึ้นในห้วงแห่งจิต เสียงระเบิดทำให้แม้แต่ลมปราณและกระแสเลือดยังพลิกผันเดือดพล่านไปหมด
มู่เฉินรู้สึกหัวหมุนสายตามืดดับฉับพลัน ทว่าความมืดมิดคงอยู่เพียงชั่วขณะก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยแสงสีทอง เมื่อมองไปรอบๆ ก็เหมือนอยู่บนมหาสมุทรสีทอง
เวลานี้มหาสมุทรสีทองสั่นไหว คลื่นโถมซัดขึ้น ก่อนจะรวมตัวกันเป็นคลื่นสูงหมื่นจั้งปกคลุมทั้งสวรรค์และโลก
มู่เฉินมองคลื่น ดวงตาก็หดลง เขาเห็นร่างร่างหนึ่งเปล่งแสงสีทองนั่งอยู่บนยอดคลื่นลูกใหญ่ รูปลักษณ์ไม่อาจมองเห็นได้ชัด แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างนั่นทำให้มู่เฉินรู้สึกถึงแรงกดดันใหญ่หลวง
ร่างลึกลับนั่งบนคลื่นใหญ่เงียบๆ ก่อนที่จะเปล่งเสียงคำรามก้องฟ้า เสียงนั่นผิดปกติอย่างยิ่ง ฟังคล้ายเสียงมังกรคำรามแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนจะมีเสียงหงส์ฟ้าร้องประสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ เสียงโบราณเต็มไปด้วยพลังอำนาจแท้จริง
ฟิ้ว!
แสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากร่างลึกลับ จากนั้นภายใต้สายตาตกตะลึงของมู่เฉิน ก็เปลี่ยนเป็นร่างแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้า
ซื้ด!
มู่เฉินสูดอากาศเย็นสุดปอดขณะมองมังกรและหงส์ฟ้าที่คุ้มกันคนลึกลับอยู่ ทันใดนั้นหัวใจเขาก็กระตุก เหมือนจะตระหนักได้ว่าคนตรงหน้าเขาก็สามารถชำระกายามังกรหงส์ได้!
นอกจากนี้กายามังกรหงส์ยังแข็งแกร่งถึงระดับเปลี่ยนภาพลวงตาของลวดลายให้กลายเป็นของจริงได้อีกด้วย!
แม้ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจะไม่มีพลังต่อสู้เหมือนตัวจริงได้ แต่ก็ยังมีพลังทำลายล้างสูง หากพวกมันรวมพลังกับเจ้าของ แม้แต่เทพอสูรชั้นสูงแท้จริงอย่างมังกรกับหงส์ฟ้าก็ต้องหนีไปให้ไกล
“กายามังกรหงส์นี้ทรงพลังเหลือเกิน!”
เลือดมู่เฉินเดือดพล่านเมื่อเห็นภาพนี้ แม้ตอนนี้เขาจะสร้างกายามังกรหงส์พื้นฐานขึ้นมาได้เท่านั้น แต่เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถไปถึงระดับเดียวกับจอมยุทธ์ลึกลับในสักวันหนึ่ง
ขณะที่มู่เฉินกำลังมองด้วยความอิจฉา จอมยุทธ์ผู้นั้นก็ยืนขึ้นบนคลื่นยักษ์ อึดใจเขาก็สะบัดแขนเสื้อ มังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงคำรามพุ่งเข้าปะทะซึ่งกันและกัน
แสงสีทองพร่างพราวออกขณะที่ใบหน้าของมู่เฉินแข็งค้างลงทีละน้อย…ละน้อยในตอนนี้ จากนั้นก็แทนที่ด้วยความตกตะลึงสุดขีด เนื่องจากเขาเห็นว่าเมื่อแสงสีทองระเบิดออกมา มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็หายไป แทนที่ด้วยสิ่งมีชีวิตใหญ่โตลึกลับร่างหนึ่ง
มันมีร่างของมังกรที่ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรสีทองเข้มเปล่งประกายแวววาว บนตัวมังกรมีปีกหงส์ฟ้าคู่หนึ่งกางออก ขนาดของปีกมีความยาวหมื่นจั้งสามารถบดบังดวงอาทิตย์เมื่อสยายออก
สิ่งมีชีวิตที่ราวกับมังกรและหงส์ฟ้าสถิตบนชั้นฟ้า พลังอำนาจและความลึกลับที่ส่งออกมาดูเหมือนจะเป็นการดำรงอยู่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกเคารพนับถือ
“นี่มัน…”
ใบหน้าของมู่เฉินสั่นไหวขณะที่พึมพำ “มังกรหงส์ในตำนาน?”
ตำนานเล่าว่าในสมัยโบราณเผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นยอดที่สุดที่ปฏิเสธในการยอมรับซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงเกิดสงครามมากมายระหว่างสองเผ่าพันธุ์ แต่ในช่วงหนึ่งมีบันทึกไว้ว่าเผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้าเคยเป็นพันธมิตรกันและผู้ที่ควบคุมเผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าก็คือมังกรหงส์ในตำนาน
มีเพียงสิ่งมีชีวิตลึกลับเช่นนี้ที่มีองค์ประกอบจากสองเผ่าพันธุ์จึงจะได้รับการยอมรับจากเผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าที่หยิ่งทระนงที่ภาคภูมิใจประกาศตัวว่าเป็นจักรพรรดิ
ทว่าโอกาสที่มังกรหงส์จะถือกำเนิดมีน้อยแสนน้อย หลายหมื่นปีที่ผ่านมาไม่มีข่าวคราวของมังกรหงส์เลย ดังนั้นคนจำนวนมากจึงไม่คุ้นกับเรื่องนี้ แม้แต่มู่เฉินก็ยังเคยได้ยินแบบผ่านๆ มาจากจิ่วโยวเท่านั้น
แต่ตอนนี้มังกรหงส์ในตำนานกลับปรากฏตัวที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
“ช่างเป็นกายามังกรหงส์น่าสะพรึงจริงๆ”
มู่เฉินพึมพำ รู้สึกชาวูบวาบ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าขั้นสุดท้ายของการฝึกกายามังกรหงส์ ไม่เพียงแต่จะสามารถสร้างร่างมังกรหงส์แท้จริงขึ้นมาได้ นอกจากนี้ยังสามารถรวมทั้งสองอย่างเข้าเป็นมังกรหงส์ในตำนานด้วย!
วิธีทรงพลังเช่นนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจนัก
ฮา
ครู่ใหญ่มู่เฉินก็ระบายลมหายใจยาว ไล่ความรู้สึกตกตะลึงในใจทั้งหมด แม้กายามังกรหงส์จะลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าเป็นเรื่องยากขนาดไหนในการฝึกไปถึงระดับจอมยุทธ์ลึกลับคนนั้น
บนท้องฟ้ามังกรหงส์หม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นประกายแสงโปรยปรายลงมาเต็มท้องฟ้า จอมยุทธ์ลึกลับบนคลื่นลูกใหญ่สะบัดนิ้ว ประกายแสงรวมตัวตรงหน้ามู่เฉินกลายเป็นคำโบราณ…
มู่เฉินหดตาลงเพ่งมองไป ตอนท้ายของถ้อยคำโบราณเหล่านั้นคือตัวอักษรโบราณที่ดูราวกับมังกรและหงส์ทะยานด้วยความสง่างามไร้ขอบเขตแผ่ออกมา
“คัมภีร์หลงเฟิ่ง!”
สุดท้ายอักษรสีทองก็เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในสมองของมู่เฉิน ขณะเดียวกันมหาสมุทรสีทองก็สลายลง ร่างนั้นที่อยู่บนยอดคลื่นก็เริ่มจางหายไปด้วย
ทว่าจังหวะที่กำลังหายไป มู่เฉินรู้สึกได้ว่าจอมยุทธ์ลึกลับหันมามองทางเขา ภายใต้สายตานั้นมู่เฉินรู้สึกเหมือนแม้แต่ดวงจิตก็ถูกมองทะลุผ่าน
ก่อนที่มู่เฉินจะนึกย้อนความรู้สึก เขาก็ลืมตาขึ้น ตรงหน้ายังคงเป็นจัตุรัสมังกรหงส์ กระดูกสีทองที่อยู่ในมือสลายกลายเป็นฝุ่นผงสีทองปลิวไปกับสายลมในเวลานี้
มู่เฉินกำหมัดเบาๆ รู้สึกถึงข้อมูลที่เพิ่มเข้ามาในหัวสมอง นี่คงจะเป็นคัมภีร์หลงเฟิ่ง
สิ่งนี้ทำให้เกิดรอยยิ้มโค้งบนมุมปากอย่างควบคุมไม่ได้ ถึงเขาจะสร้างกายามังกรหงส์ได้แล้ว แต่ก็เป็นขั้นต้นเท่านั้น หากเขาไม่มีคัมภีร์หลงเฟิ่ง กายามังกรหงส์ก็จะแข็งแกร่งกว่ากายาเทพสายฟ้าเล็กน้อยเท่านั้น หากต้องการไปให้ถึงระดับเดียวกับจอมยุทธ์ลึกลับผู้นั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย
แต่โชคดีที่เขาดวงไม่จู๋
“ดูเหมือนเจ้าจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากสุดเลยนะ” เสียงหัวเราะของไฉ่เซียวดังขึ้นจากเบื้องหลังกะทันหัน เขามองไปก็เห็นไฉ่เซียวกำลังเดินขึ้นมา ตอนนี้แรงกดดันน่ากลัวหายไปพร้อมกับความสำเร็จของมู่เฉินในการขึ้นสู่ยอดจัตุรัส ดังนั้นนางจึงสามารถขึ้นมาชั้นบนสุดได้อย่างง่ายดาย
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้ต้องขอบใจเจ้ามากนะ”
น้ำเสียงของเขาจริงใจอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาเข้าใจดีว่าหากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของไฉ่เซียวในศึกครั้งนี้ ก็คงเป็นเรื่องยากเอาการที่เขาจะประสบความสำเร็จได้ เพราะด้วยพลังปัจจุบันเขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับอัจฉริยชนอย่างฟังยี่และโยวหมิงได้เลย
ดังนั้นมู่เฉินจึงรู้สึกดีใจที่ได้พบกับไฉ่เซียวระหว่างเดินทางและไม่ได้ปฏิเสธนางที่ติดตามมา
ไฉ่เซียวโบกมือด้วยท่าทางสบายๆ “เราต่างมีสิ่งที่ต้องการเท่านั้น นอกจากนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงจะปวดหัวไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นเจ้าไม่ถือว่าได้ผลประโยชน์เปล่าๆ หรอก”
มู่เฉินยิ้ม ขณะที่กำลังจะพูด ใบหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปขณะที่แสงสีทองกระจายออกมาเหนือจัตุรัสมังกรหงส์ สุดท้ายก่อตัวเป็นอุโมงค์มิติขนาดใหญ่
เห็นชัดว่านี่เป็นทางออกจากเขตหลงเฟิ่ง
“ดูเหมือนศึกมังกรหงส์ถึงเวลาปิดฉากแล้ว” ไฉ่เซียวมองอุโมงค์เหมือนยังไม่อยากจบงาน แต่สุดท้ายนางก็ตบบ่ามู่เฉินหัวเราะคิกคักเบาๆ “ครั้งนี้นับว่าเป็นความร่วมมือที่น่ายินดีนะ”
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เป็นการร่วมมือที่น่ายินดี”
การปรากฏตัวของอุโมงค์มิติ ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป พวกเขาทะยานตรงไปยังอุโมงค์จากทุกทิศทาง พุ่งเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย
มู่เฉินก็ไม่คิดอยู่ที่นี่ต่อ เขาเหลือบมองมิติด้วยแววชื่นชมปนถอนหายใจในสายตาก่อนจะเปลี่ยนเป็นลำแสงเหาะออกไปพร้อมกับไฉ่เซียวโดยไม่ลังเล พุ่งเข้าไปในอุโมงค์มิติ
ประมาณครึ่งนาทีหลังจากเข้าไป ภาพรอบตัวก็เปลี่ยนไปฉับพลัน ความรู้สึกเวิ้งว้างเก่าแก่ที่ปกคลุมทั่วฟ้าดินหายไป ถูกแทนที่ด้วยดินแดนสงบสุข
บริเวณที่มู่เฉินกับไฉ่เซียวปรากฏตัว ยังคงเป็นเทือกเขาหลงเฟิ่ง ตอนนี้มีร่างแสงนับไม่ถ้วนไหลบ่าออกจากอุโมงค์มิติราวกับฝูงตั๊กแตน
ฟ้าดินปั่นป่วนไปหมด
มู่เฉินกับไฉ่เซียวยืนอยู่บนท้องฟ้า เมื่อฝูงคนที่เหมือนฝูงตั๊กแตนเหาะผ่านพวกเขา แต่ละคนก็แตกฮือพร้อมกับความกลัวอัดแน่นในดวงตา
ในศึกมังกรหงส์ครั้งนี้ มู่เฉินกับไฉ่เซียวอาศัยพลังของตนเองในการทำให้จอมยุทธ์ที่ภาคภูมิและพยศเหล่านั้นรู้สึกยำเกรง
มู่เฉินมองไปรอบๆ ตั้งใจจะจากไปกับไฉ่เซียวก่อน แต่ขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เพราะเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันคลื่นหลิงน่ากลัวแผ่ซ่านไปทั่ว
ยิ่งกว่านั้นแรงกดดันนี้ยังพุ่งตรงมาทางเขา!
ขณะที่แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมเข้ามา เสียงเกรี้ยวกราดที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารก็สะท้อนออกไป ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากถึงกับมีท่าทีเปลี่ยนไป
“ไอ้เด็กเวร แกบังอาจกล้าทำลายร่างของลูกชายข้าและทำร้ายดวงจิตของเขา วันนี้ข้าจะทำให้แกตายแบบไร้ที่ฝัง!”
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปฉับพลัน นั่นคือหลิ่วเทียนเต้าเจ้าตำหนักสุดนภา!
บทที่ 811 สามจอมยุทธ์ทรงพลัง
เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังก้องทั่วบริเวณ
ทำให้เกิดพายุคลื่นหลิงน่ากลัวกวาดตัวออกมา ขณะเดียวกันจอมยุทธ์ที่อยู่บนเทือกเขาก็ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรง
เมื่อแรงกดดันคลื่นหลิงน่ากลัวปกคลุมไปทั่ว จอมยุทธ์จำนวนมากก็รู้สึกว่าคลื่นหลิงในร่างกายไหลเวียนช้าลง
ตอนนี้ใบหน้าของมู่เฉินไม่น่าดูอย่างยิ่ง เพราะแรงกดดันส่วนใหญ่พุ่งตรงมาหาเขา เขารู้สึกราวกับว่ามิติรอบตัวถูกแช่แข็งโดยแรงกดดันคลื่นหลิงนี้
นี่เป็นแรงกดดันที่ไม่ได้ด้อยกว่าอำนาจบนบันไดมังกรหงส์เลย!
แสงสีทองเข้มทอประกายบนพื้นผิวของมู่เฉิน เขาขบฟันแน่น เร้ากายามังกรหงส์ออกมาต่อต้านแรงกดดันทรงพลัง ส่วนสายตาก็จับจ้องไปยังท้องฟ้าที่ไม่ไกลออกไปนัก
ในทิศทางนั้น มิติบิดเบี้ยวรุนแรง จากนั้นร่างคนคนหนึ่งก็ก้าวย่างออกมา เขาสวมชุดสีฟ้าอมเขียวพร้อมกับท่วงท่าน่าทึ่งดูภูมิฐานอย่างยิ่ง ทว่าแววตาเย็นเยือกนั้นทำให้อุณหภูมิบริเวณนี้ลดฮวบลง
เขายืนบนท้องฟ้าพร้อมกับมือทั้งคู่ทิ้งดิ่งข้างลำตัว แต่ทั่วบริเวณก็พุ่งสายตาไปที่เขา จอมยุทธ์ทุกคนที่นี่รู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลัง มากจนพวกเขาไม่สามารถยืนตัวตรงได้
เพราะนี่เป็นแรงกดดันสมบูรณ์จากยอดยุทธ์
“นั่น…เจ้าตำหนักสุดนภา—หลิ่วเทียนเต้า?!”
“สวรรค์ ทำไมจอมยุทธ์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ถึงมาปรากฏตัวที่นี่ล่ะ?”
“หรือว่าเขาจะมาจัดการมู่เฉินด้วยตัวเอง…”
“…”
เมื่อหลิ่วเทียนเต้าปรากฏตัว ความโกลาหลก็กวนตัวไปทั่วบริเวณ ไม่มีใครคิดเลยว่าจอมยุทธ์ยิ่งใหญ่อย่างหลิ่วเทียนเต้าจะมาอยู่ที่นี่!
จากนั้นสายตาเห็นใจมากมายก็พุ่งไปยังมู่เฉิน เบื้องหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริง เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะมีโอกาสหนีไปได้
แรงกดดันน่ากลัวทำให้กล้ามเนื้อของมู่เฉินกระตุก แต่แม้ว่าจะมีเหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มแผ่นหลัง แต่ก็ไม่มีความตกใจใดๆ บนใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วเทียนเต้า เสียงดังก้องทั่วบริเวณ “ท่านประมุขหลิ่ว มีกฎว่าต้องรับผิดชอบตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในศึกมังกรกหงส์ หรือท่านจะไม่สนใจฐานะของตนเองคิดจะมาแก้แค้นข้าแทนหลิ่วเหยียนเรอะ?”
“กฎ?”
หลิ่วเทียนเต้าหรี่ตาลงราวกับมีไอเย็นเยือกไร้ที่สิ้นสุดพวยพุ่ง สายตาไร้อารมณ์ที่สามารถทะลวงผ่านจิตวิญญาณของผู้คนจ้องมองมาที่มู่เฉินพลางเอ่ยเสียงเรียบ “แกไม่รู้หรือว่าพวกข้านี่แหละเป็นคนตั้งกฎของภูมิภาคทางเหนือ? ตลกนักที่แกพูดเกี่ยวกับเรื่องกฎต่อหน้าข้า”
หัวใจของมู่เฉินดิ่งลง เขาไม่คิดเลยว่าหลิ่วเทียนเต้าจะไม่สนใจเรื่องฐานะมาหาเรื่องเขา ถ้าเป็นแบบนี้จริงเขาคงไม่มีทางหลบหนีได้ไม่ว่าจะมีกลยุทธ์มากมายเพียงใดก็ตาม
“ฮ่าๆ เป็นแค่ผู้นำประจำท้องถิ่นภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น กลับกล้าเอ่ยวาจาสามหาว” ขณะที่สายตาของมู่เฉินกำลังวูบไหวเตรียมแผนที่จะหลบหนี เสียงเยาะเย้ยเย็นชาก็ดังขึ้นที่ด้านหลังเขา ซึ่งนี่เป็นเสียงของไฉ่เซียว
เรือนผมของนางปลิวสยายไปกับสายลมขณะที่ยืนเงียบๆ ที่ด้านหลังมู่เฉิน อาการถากถางแขวนอยู่บนใบหน้า ในดวงตาเย้ายวนไม่มีความกลัวต่อหลิ่วเทียนเต้า กลับเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
จอมยุทธ์จำนวนมากในบริเวณนี้ตะลึงไป นี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นคนรุ่นใหม่ปากกล้าพูดแบบนี้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตัวจริง
“นังเด็กโอหัง!”
หลิ่วเทียนเต้าเหลือบมองไฉ่เซียวอย่างไม่แยแส ก่อนยื่นมือออกมาแล้วกำเข้า
ตู้ม!
มิติตรงหน้าแตกสลายก่อตัวเป็นมือคลื่นหลิงขนาดใหญ่ที่ตื่นตาไปด้วยแสงหลิง ช่างดูราวกับมืออัญมณี นี่เป็นการแสดงออกของคลื่นหลิงเมื่อถูกบีบอัดถึงระดับที่น่ากลัว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนธรรมดาสามารถทำได้
โดยธรรมชาติเมื่อคลื่นหลิงถูกบีบอัดจนถึงระดับนี้ ก็จะมีพลังอำนาจอยู่ในระดับสูงจนน่ากลัว
ฝ่ามืออัญมณีว่องไวมากขณะทะลวงผ่านมิติเพียงแวบเดียว จากนั้นก็มาปรากฏเหนือร่างมู่เฉินและไฉ่เซียว สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงรุนแรงเมื่อเห็น เขารีบดึงไฉ่เซียวมาอยู่ด้านหลังขณะที่แสงสีทองเข้มพวยพุ่งจากร่างเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าสีทองปรากฏบนแผ่นอกและแผ่นหลัง เริ่มเปล่งความร้อนออกมา
แม้เขาจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะปะทะกับจอมยุทธ์อย่างหลิ่วเทียนเต้าไม่ว่าจะงัดวิธีไหนมาใช้ก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรคนเราก็ต้องลองสักตั้ง!
“ตู้ม!”
ฝ่ามืออัญมณีกระแทกลงมา ทว่าทันทีที่มู่เฉินกัดฟันแน่นเตรียมรับพลังโจมตีทำลายล้าง ฉับพลันมิติก็ฉีกออกจากกันที่ด้านบน ร่างเล็กบางปรากฏตัวขึ้น นางแตะมือขึ้นเบาๆ ขณะที่มิติแตกออก ฝ่ามืออัญมณีก็ถูกทำลายไปเหมือนกัน
แรงกระแทกคลื่นหลิงกวาดออก มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตะลึง เขาเห็นร่างเล็กบางคุ้นเคยยืนอยู่บนท้องฟ้า มิติส่งเสียงแตกร้าวจากคลื่นหลิงน่ากลัวที่ไหลเวียนรอบตัวนาง
“มั่นถัวหลัว!”
เมื่อมองคนคุ้นเคย มู่เฉินก็อึ้งไปวูบหนึ่งก่อนจะระเบิดความดีใจออกมา เขารู้สึกโล่งใจในหัวใจ ในที่สุดกำลังเสริมของเขาก็มาถึงแล้ว ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะหนีไปได้ในวันนี้
ฮือ-ฮา!
ความโกลาหลเพิ่มขึ้น แม้ว่าภาพลักษณ์ของมั่นถัวหลัวจะไม่คุ้นตาสำหรับจอมยุทธ์ที่นี่ แต่ความผันผวนคลื่นหลิงน่ากลัวรอบตัวนางก็บ่งบอกตัวตนแล้ว
คนที่สามารถปะทะกับหลิ่วเทียนเต้าและออกมาปกป้องมู่เฉินได้ นอกจากประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วยังจะเป็นใครได้อีก?!
โดยปกติคนทั่วไปยากที่จะพบเจอจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่เป็นระดับหัวกะทิในภูมิภาคทางเหนือ แต่ตอนนี้ผู้ทรงอิทธิพลของสำนักชั้นยอดทั้งสองกลับมาปรากฏตัวที่นี่…
สิ่งนี้จะไม่ทำให้หัวใจของจอมยุทธ์จำนวนมากสั่นไหวได้อย่างไรกัน
บนท้องฟ้ามั่นถัวหลัวสวมชุดสีดำปักลายดอกไม้สีทองดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง นางไม่สนใจความวุ่นวายที่นี่ขณะปรายตามองมู่เฉินด้วยดวงตากลมโตราวกับอัญมณีตำหนิว่า “ไร้มารยาท เจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านประมุขสิ!”
ทว่าเมื่อพูดจบ รอยยิ้มพึงใจที่หาดูได้ยากก็ผุดบนใบหน้างดงาม
“ไม่เลว ครั้งนี้เจ้าไม่ทำให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราหน้าแตก” ฟังจากน้ำเสียง ชัดว่านางได้รู้เกี่ยวกับความสำเร็จของมู่เฉินในศึกมังกรหงส์แล้ว
“ข้าเกือบถูกฆ่าตายแล้วนะ” มู่เฉินเอ่ยอย่างไม่พอใจ หากมั่นถัวหลัวปรากฏตัวช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เขาคงจะถูกหลิ่วเทียนเต้าส่งไปปรโลกแล้ว เพราะเขาไม่มีความมั่นใจรับกระบวนท่าการโจมตีจากหลิ่วเทียนเต้าเมื่อครู่เลย
“วางใจเถอะ เขาไม่มีทางฆ่าใครในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าได้หรอก” มั่นถัวหลัวยิ้มบาง แม้เสียงจะฟังดูเยาว์วัย แต่ความไร้เทียมทานและคุกคามที่แฝงอยู่ในนั้นกลับทรงพลังเหลือล้น
“หึ!” หลิ่วเทียนเต้าแค่นเสียงแบบไร้อารมณ์บนท้องฟ้าไกลออกไป เขาจ้องมองมั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเย็นชา “ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ลูกชายทั้งสองคนของข้าถูกมันทำร้ายจนพิการ ตำหนักสุดนภาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้เงียบหายไปแน่นอน!”
“ถ้าเจ้าคิดจะปกป้องไอ้เด็กนี่ ก็อย่ามาโทษตำหนักสุดนภาของข้าเรื่องการล้างบางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในสงครามล่าล่ะ!”
มั่นถัวหลัวเหลือบมองหลิ่วเทียนเต้าเอ่ยตอบ “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าสามารถตั้งอยู่ในภูมิภาคทางเหนือมานาน ไม่ได้พึ่งจากความเมตตาสงสารของใคร ถ้าตำหนักสุดนภาคิดเริ่มเรื่องนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็พร้อมต้อนรับทุกเมื่อ”
จอมยุทธ์จำนวนมากแอบเดาะลิ้นกับประโยคของนาง แม้ว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีรูปลักษณ์น่ารัก แต่ความไม่ยอมใครและกล้าหาญของนางก็กลืนกินท้องฟ้าได้เลย
ทุกคนรู้ว่าเมื่อสำนักชั้นยอดเริ่มสงครามจะต้องจ่ายราคามหาศาลเพียงใด ทันทีที่แพ้ ก็จะถูกอีกฝ่ายกลืนกินแน่นอน แต่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คนนี้กลับไม่กลัวเรื่องนี้เลย
ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าบึ้งตึงพร้อมกับรังสีสังหารวาววับในดวงตาขณะจ้องมองดวงตาของมั่นถัวหลัว
“หลิ่วเทียนเต้าหยุดทำเป็นเก่งซะ เจ้าคนเดียวไม่พอจะชิงคนจากมือข้าได้หรอก” ทว่าเผชิญกับรังสีสังหารของหลิ่วเทียนเต้า มั่นถัวหลัวกลับดูไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินหลิ่วเทียนเต้ากลับแสยะยิ้ม “ข้าคนเดียวเจ้าไม่กลัว แต่ถ้าเพิ่มอีกคนล่ะ?”
พอได้ยินคำพูดนั่น ดวงตามั่นถัวหลัวก็หดเกร็ง จากนั้นางก็เอี้ยวหน้าไป นางเห็นทะเลเลือดเชี่ยวกรากไหลบ่าออกมาจากทางด้านหลังนาง ขณะที่เงาเลือดปรากฏตัววูบวาบตรงสุดขอบฟ้า ไม่กี่อึดใจก็เผยตัวมายังที่นี่
สายตามากมายพุ่งตรงไป
คนคนนั้นสวมชุดคลุมสีแดง อายุอยู่ในวัยกลางคน ใบหน้าเรียวแหลมคม ริมฝีปากบางกำจายไอเย็นเยือก ม่านตาชี้แหลมอัดแน่นด้วยรังสีชั่วร้ายมหาศาล
ทันทีที่เขาปรากฏตัว ก็มีกลิ่นหอมประหลาดแผ่กระจาย
“นั่น…วั้นตู๋เสอแห่งตำหนักเจ้าอสรพิษ!” เมื่อจอมยุทธ์จำนวนมากเห็นร่างในชุดแดง พวกเขาก็อุทานออกมาอย่างตกใจ
“วั้นตู๋เสอ?” หัวใจของมู่เฉินดิ่งลงทันทีที่ได้ยินชื่อดังกล่าว คนนี้คือประมุขตำหนักเจ้าอสรพิษก็คือวั้นตู๋เสอเรอะ เขาจำได้ว่าในเขตหลงเฟิ่งชื่อเสี่ยจากตำหนักเจ้าอสรพิษได้จบชีวิตลงด้วยน้ำมือของไฉ่เซียว
เมื่อเห็นการมาถึงของวั้นตู๋เสอ มั่นถัวหลัวก็ขมวดคิ้ว หากนางเผชิญหน้ากับหลิ่วเทียนเต้าคนเดียว นางจะไม่รู้สึกกลัวเลย แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสองคน ก็คงจะเป็นเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย
“วั้นตู๋เสอ เจ้าอยากเป็นศัตรูกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าด้วยเรอะ?” มั่นถัวหลัวมองชายชุดแดงเอ่ยเสียงเย็นชา
“ฮี่ ฮี่…”
วั้นตู๋เสอดูเหมือนจะยิ้ม เว้นแต่ว่าเสียงหัวเราะฟังราวกับเสียงงูกำลังขู่ฟ่อ มือซีดขาวชี้ไปที่ไฉ่เซียวที่ยืนอยู่เบื้องหลังมู่เฉินเอ่ยเสียงแหลม “ข้าได้กลิ่นของชื่อเอ๋ออยู่บนตัวนาง ดูเหมือนเจ้าจะชำระพลังแห่งสายเลือดของเขาไปแล้ว…”
“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ส่งตัวนางให้กับข้าแล้วข้าจะดูอยู่ข้างๆ ไม่เข้ามาขัดขวาง”
วั้นตู๋เสอเลียริมฝีปาก สายตาของเขาราวกับอยากจะลอกคราบไฉ่เซียวให้หมดทั้งตัว แม้ลักษณะของอสรพิษจะมากราคะโดยนิสัย แต่เขาที่มีขุมพลังแข็งแกร่งก็สามารถข่มใจได้อยู่แล้ว ทว่าตอนนี้หัวใจของเขากลับเต้นรัวโดยไม่อาจควบคุมได้เมื่อเห็นไฉ่เซียว ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกว่าถ้าได้ครอบครองสตรีตรงหน้า มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับพลังยุทธ์ของเขาและเขาอาจพัฒนาไปถึงอีกระดับหนึ่งได้!
หัวใจของมู่เฉินจมลงเมื่อเห็นวั้นตู๋เสอพุ่งเป้ามาที่ไฉ่เซียว ขณะที่เขากำลังจะพูดก็ถูกมือของไฉ่เซียวห้ามไว้ จากนั้นรอยยิ้มยั่วยวนก็ปรากฏบนใบหน้านาง นางเอียงศีรษะเล็กน้อยกลั้วหัวเราะมองวั้นตู๋เสอพลางกระดิกนิ้วเรียกเป็นเชิงท้าทาย เสียงหัวเราะใสเย็นดังก้องไปทั่วบริเวณ
“ถ้าเจ้าอยากได้ข้าไป ก็มาลองดูสิ?”
บทที่ 812 เพลิงจักรพรรดิ
“ถ้าเจ้าอยากได้ข้าไป ก็มาลองดูสิ?”
หญิงสาวยืนอยู่บนท้องฟ้าฉายรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้า เมื่อเสียงใสเย็นดังก้อง ก็ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากตะลึงไป เห็นชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมไฉ่เซียวถึงยังสงบได้ขนาดนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อย่างวั้นตู๋เสอ
นางไม่รู้หรือว่าวั้นตู๋เสอเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่น่าสะพรึงกลัวตัวจริงน่ะ?!
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่พวกเขาที่อึ้งไป แม้แต่วั้นตู๋เสอก็เป็นไปด้วย จากนั้นรอยยิ้มประหลาดก็เผยบนใบหน้าซูบตอบ เขามองไฉ่เซียวและเอ่ยเสียงแหลมลึก “เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับข้างั้นหรือ คึๆ น่าสนใจนัก ตอนนี้ข้าชักอยากได้เจ้ามากขึ้นแล้ว!”
จบคำพูด วั้นตู๋เสอก็อดรนทนไม่ไหว เขาเคลื่อนกายทะลุผ่านมิติไปปรากฏตัวตรงหน้าไฉ่เซียวอย่างลึกลับ จากนั้นมือซีดก็คว้าข้อมือบางไว้
ความเร็วของเขาไม่ได้ดูเร็วหรือช้า แต่ทันทีที่ลงมือ มิติรอบตัวไฉ่เซียวก็หยุดนิ่ง ไม่เพียงแต่นางจะเคลื่อนไหวไม่ได้ แม้แต่คลื่นหลิงในร่างก็ถูกผนึกไว้
เมื่อเห็นภาพดังนี้ มู่เฉินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ขณะที่คิดจะลงมือ เขาก็เห็นรอยยิ้มโค้งขึ้นบนมุมปากของไฉ่เซียว ทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหวอย่างงุนงง
หรือว่านางยังมีวิธีรับมือกับสถานการณ์นี้?
ไฉ่เซียวมีท่าทีนิ่งสงบขณะจ้องมองวั้นตู๋เสอด้วยสายตาเย็นชา ทันทีที่อีกฝ่ายกำลังจะคว้าข้อมือนางได้ มือของนางก็พลิกกลับป้ายหยกสีแดงปรากฏขึ้น
บนป้ายหยกมีลวดลายเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนสลักอยู่ จากนั้นมันก็ถูกไฉ่เซียวบดขยี้จนแหลกละเอียด
ฟู่!
เมื่อป้ายหยกถูกทำลาย เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงก็พลุ่งพล่านออกมาโอบล้อมรอบร่างไฉ่เซียว เปลวไฟแผ่กระจายทำให้เหล่าม่านตาจอมยุทธ์ในบริเวณนี้ถึงกับหดเกร็ง
เปลวไฟรอบร่างไฉ่เซียวพิเศษอย่างยิ่ง พวกมันไม่ได้มีเพียงสีเดียว แต่มีสีสันสดใสเหมือนจะมีส่วนประกอบของเปลวไฟมากกว่าหนึ่งชนิดในลูกเพลิงนั่น
นอกจากนี้ความจริงที่น่าตกใจที่สุดก็คือเปลวไฟงดงามนี้พันรอบตัวของไฉ่เซียวราวกับกระแสธาร ความแปลกประหลาดของเปลวไฟและน้ำทำให้หลายคนรู้สึกตะลึงงันเมื่อได้เห็นภาพนี้
เปลวไฟเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำ สีสันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง แต่ในความบริสุทธิ์กลับปลดปล่อยคลื่นพลังน่ากลัวที่สามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้
มู่เฉินเคยเห็นเปลวไฟที่มีองค์ประกอบหลายอย่างเช่นร่างมหาเพลิงนภาที่หลิ่วเหยียนฝึกฝน แต่เทียบกับเปลวไฟนี้แล้ว เปลวไฟจากร่างมหาเพลิงนภาดูกระจอกไปถนัดตา
“เปลวไฟนั้น…” มั่นถัวหลัวหดตาลงเมื่อเห็นเปลวไฟพร้อมกับสีหน้าดูเคร่งขรึมลงหลายส่วน สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่เพลิงงดงามและบริสุทธิ์ที่ม้วนตัวรอบไฉ่เซียว แม้แต่คนอย่างนางยังรู้สึกถึงอันตรายแรงกล้าที่แผ่ออกมาจากเปลวไฟนั้น
ขณะที่ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งขรึมลง ใบหน้าของวั้นตู๋เสอที่กำลังยื่นมือมาหาไฉ่เซียวก็เปลี่ยนแปลงรุนแรงทันทีเช่นกัน เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจึงมีประสาทสัมผัสเหนือกว่าคนธรรมดา ดังนั้นเมื่อเขาเห็นเปลวไฟรอบตัวไฉ่เซียว เขาก็รู้สึกหนาวเยือกในหัวใจรีบถอยกลับไปในทันที
ร่างเขาพุ่งทะลุมิติด้วยความเร็วที่ไม่สามารถจับได้ทัน
ทว่าไฉ่เซียวที่ปกคลุมด้วยเพลิงบริสุทธิ์กลับชี้นิ้วออกมาแตะลงเบาๆ
ฟิ้ว!
เปลวไฟรอบตัวนางลุกโชนขึ้นแล้วหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน จากนั้นวั้นตู๋เสอที่กำลังหลบหนีผ่านมิติก็ส่งเสียงร้องแหลม นั่นเป็นเพราะเปลวไฟเหล่านั้นทะลวงผ่านมิติปรากฏขึ้นรอบตัวเขา พัวพันกับตัวเขาแบบแยกไม่ออก
เหล่าจอมยุทธ์พากันสูดหายใจลึก เปลวไฟนี้พิลึกเกินไป พวกมันดูราวกับละเรื่องระยะทางมิติออกไปแล้วมาปรากฏตัวรอบร่างวั้นตู๋เสอเลย
ความเร็วนั้นเร็วเกินไปจนไม่สามารถตั้งรับได้
“เจ้า!”
วั้นตู๋เสอทั้งอึ้งทั้งโกรธ เขาสะบัดแขนเสื้อ สายธารคลื่นหลิงกวาดตัวออกมา คลื่นหลิงนั้นเพียงแค่หยดเดียวก็สามารถก่อเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่เพื่อทำลายล้างโลกได้ แต่ในตอนนี้กลับระเหยในทันทีด้วยเปลวไฟงดงาม
“เป็นไปได้ยังไง?!” วั้นตู๋เสอคำราม บนใบหน้าของเขาไม่มีแววสุขุมของจอมยุทธ์ทรงพลังเหลืออยู่อีกแล้ว ถูกแทนที่ด้วยอาการตกตะลึง ภาพตรงหน้าเป็นสิ่งที่แม้แต่คนที่มีฝีมืออย่างเขายังไม่สามารถต้านทานได้ เขาคิดไม่ออกเลยว่าหญิงสาวอ่อนแอบอบบางคนหนึ่งจะมีทักษะน่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!
ตู้ม!
แม้ในใจของวั้นตู๋เสอจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่กล้าชักช้าอะไร เขารีบวาดตราประทับขึ้น หมอกเลือดพวยพุ่งออกมาจากร่างเขา ก่อตัวเป็นปราการป้องกันล้อมรอบกาย
เมื่อหมอกเลือดปรากฏขึ้น คลื่นหลิงในบริเวณนี้ก็ถูกกัดกร่อน ชั้นมิติพังทลายลงไปเรื่อยๆ นี่คือพิษเจ้าอสรพิษที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของวั้นตู๋เสอ หมอกพิษนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนด้วยกันยังต้องหวาดกลัว
เมื่อหมอกเลือดสีแดงเข้มกวาดออก ก็ราวกับเปลี่ยนเป็นมังกรโลหิตพุ่งใส่เปลวไฟงดงามพร้อมกับคำรามออกมา
ชี่! ชี่!
พลังสองสายปะทะกันจังใหญ่ ภาพที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น มังกรโลหิตส่งเสียงร้องโหยหวน ก่อนพิษที่สามารถย่อยสลายแม้กระทั่งมิติถูกระเหยไปอย่างรวดเร็วด้วยเปลวไฟงดงาม
เปลวไฟงดงามมาถึงอย่างรวดเร็วครอบร่างวั้นตู๋เสอไว้
ในที่สุดแววหวาดผวาก็พล่านในดวงตาของวั้นตู๋เสอ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าหากเปลวไฟน่าสะพรึงนี้โดนตัวเข้า แม้แต่เขาเองก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่
แต่ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพยายามใช้กลยุทธ์ใด ก็ยังไม่สามารถขัดขวางเปลวไฟงดงามนี้ได้ สิ่งนี้ราวกับจะไม่หยุดพักจนกว่าเขาจะถูกเผามอดไหม้อย่างสมบูรณ์
“เวรเอ๊ย!”
ดวงตาของวั้นตู๋เสอเปลี่ยนไปรุนแรง ทว่าตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นเขาจึงขบฟันวาดตราประทับเร็วรี่ ร่างกายเขาระเบิดออกเลือดสาดกระเซ็นไปทุกทิศทาง เหลือไว้เพียงหางงูหลากสีสันขณะที่ร่างอันตรธานหายไป
บนท้องฟ้าห่างออกไปหลายหมื่นจั้ง มิติแตกออกเป็นเสี่ยง ร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือวั้นตู๋เสอ ทว่าตอนนี้เขาเหลือเพียงร่างกายท่อนบน ร่างกายท่อนล่างเละเทะโชกไปด้วยเลือดที่กระฉูดออกมาไม่หยุด
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต่างตกตะลึงกับสภาพน่าสังเวชของวั้นตู๋เสอ มากจนแม้แต่มั่นถัวหลัวกับหลิ่วเทียนเต้ายังมีสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ในด้านพละกำลัง แม้วั้นตู๋เสอจะเพิ่งบรรลุระดับตี้จื้อจุนไม่นาน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว ต่อให้พวกเขาลงมือโจมตี ก็จะต้องใช้ความพยายามส่วนหนึ่งถึงจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าได้ แต่ในตอนนี้… วั้นตู๋เสอกลับมีสภาพน่าอนาถด้วยฝีมือของหญิงสาวที่ดูอ่อนแอคนหนึ่ง!
“นางเป็นใครกันแน่?!”
จอมยุทธ์จำนวนมากอกสั่นขวัญแขวนขณะพุ่งสายตาตรงไปทางไฉ่เซียวที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า มู่เฉินก็จ้องมองนางด้วยสายตาตกตะลึงเช่นกัน แม้เขาจะรู้ว่าที่มาของไฉ่เซียวไม่ธรรมดา แต่เขาไม่คิดว่าไพ่ตายของนางจะทรงพลังขนาดนี้!
“เจ้า! เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
วั้นตู๋เสอยืนอยู่บนท้องฟ้าห่างออกไปหลายหมื่นจั้งด้วยสีหน้าเขียวคล้ำขณะมองไฉ่เซียว เพลิงโทสะในดวงตากำลังจะทำให้เขาเป็นบ้า แต่สุดท้ายเขาก็ข่มรังสีสังหารไว้ในใจ ตะโกนเสียงแหลม
วั้นตู๋เสออดไม่ได้ที่จะตกใจ เปลวไฟเมื่อครู่ไม่ใช่ของไฉ่เซียวแน่นอน แต่เป็นวัตถุภายนอก ส่วนเจ้าของวัตถุชิ้นนั้นถึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้วั้นตู๋เสอหวาดกลัวขึ้นมา
แค่ป้ายหยกชิ้นเดียวก็บีบให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์น่าสังเวชแล้ว หากเป็นตัวจริงพลังที่สำแดงจะน่าสะพรึงขนาดไหนกัน?!
หรือว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน?!
แค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้วั้นตู๋เสอหนังหัวชาหนึบแล้ว
“ไหนว่าอยากจับตัวข้าไง” ไฉ่เซียวมองวั้นตู๋เสอด้วยรอยยิ้มเหยียด จากนั้นก็ยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล เปลวไฟงดงามพุ่งกลับมารวมตัวอยู่เหนือร่างนาง ก่อร่างเป็นอักขระไฟที่ดูเหมือนจะมีหม้อกลั่นที่มีคนอยู่บนนั้น
คนผู้นั้นยืนเอามือไพล่หลัง ผมสีดำปลิวไปตามลม เบื้องหลังเป็นดาบใหญ่สองคมสีดำ แม้นี่จะเป็นเพียงภาพเงา แต่ก็ราวกับว่าทั้งฟ้าดินสยบแทบเท้าของเขา
นี่เป็นพลังอำนาจเหนือฟ้าดิน!
จอมยุทธ์จำนวนมากไม่คุ้นกับอักขระไฟนั้น แต่เมื่อวั้นตู๋เสอเห็นอักขระนั้นเข้า ความกลัวลึกซึ้งก็ผุดในส่วนลึกของดวงตา จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอุทานลั่น “อักขระไฟนี่… เจ้ามาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเรอะ?! เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นอะไรกับเจ้า?!”
น้ำเสียงของเขาฟังดูหวาดผวาสุดขีด เนื่องจากเขาไม่คิดเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าจะมาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วที่มีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่!
“อย่างนี้นี่เอง…” มั่นถัวหลัวมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองไฉ่เซียวด้วยสายตาแปลกประหลาด “ที่แท้นางมาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว งั้นเปลวไฟเมื่อครู่…ก็น่าจะเป็นเพลิงจักรพรรดิในตำนาน มิน่าถึงได้มีพลังครอบงำและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้!”
“เพลิงจักรพรรดิ?” มู่เฉินอึ้งไป
“นั่นเป็นเพลิงที่ครอบครองโดยผู้ก่อตั้งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคี… ว่ากันว่าถูกชำระโดยเทพจักรพรรดิอัคคีจากเปลวไฟทุกชนิดบนโลก ถูกเรียกว่าเป็นจักรพรรดิแห่งเปลวไฟทุกชนิด ในมหาพันภพแทบไม่มีเปลวไฟชนิดไหนสามารถเทียบได้” มั่นถัวหลัวยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ “ในเมื่อนางสามารถใช้เพลิงชนิดนี้ ดูท่าคงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเทพจักรพรรดิอัคคี ฮ่าๆ วั้นตู๋เสอเอามือนาบเหล็กร้อนซะแล้ว”
ไฉ่เซียวยืนไว้สง่า ไม่สนใจสายตาตื่นตะลึง ดวงตาของนางจ้องมองวั้นตู๋เสอที่กำลังหวาดกลัวพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดโค้งขึ้นบนมุมปาก ยิ่งกว่านั้นประโยคต่อมาของนางยังทำให้วั้นตู๋เสอหนาวเยือกไปทั้งสรรพางค์กาย ขนทุกเส้นลุกชูชัน
“เทพจักรพรรดิอัคคี… เขาคือพ่อของข้า ถ้าเจ้าต้องการจับตัวข้า ควรจะบอกเขาก่อนไหม?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น