หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 801-802
บทที่ 801 เอาชนะหลิ่วเหยียน
ตู้ม!
เมื่อร่างมหาเพลิงนภาระเบิดออก ก็กลายเป็นประกายแสงกระจัดกระจายไปทุกทิศทางบนท้องฟ้าแล้วโปรยปรายลงมา ภายในประกายแสงทุกคนสามารถมองเห็นร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งกระเด็นออกมา
อ็อก! อ็อก!
ร่างนั้นกระอักเลือดออกมาไม่หยุด คลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวลดลงจนถึงขีดสุด เห็นชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“หลิ่วเหยียนแพ้แล้ว!”
จอมยุทธ์ทุกคนทั่วบริเวณอุทานออกมา ความคืบหน้าในการดวลครั้งนี้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนแล้ว หลิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังการต่อสู้หดหายไป เขาไม่สามารถประมือกับมู่เฉินได้อีกต่อไป
มู่เฉินยืนอยู่ในท่าปล่อยหมัด สายตาคมภายใต้ชุดเกราะทองจ้องมองหลิ่วเหยียนพร้อมกับรังสีสังหารวูบไหวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา อึดใจเขาก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งออกไป ไล่ตามหลิ่วเหยียนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
รังสีสังหารพวยพุ่งทำให้ทุกคนตกใจ เห็นชัดว่ามู่เฉินตัดสินใจจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ความเด็ดเดี่ยวนี้ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว แม้ว่ามู่เฉินจะอายุน้อย แต่วิธีการของเขาไม่ใช่สิ่งที่จะดูถูกได้
เมื่อหลิ่วเหยียนที่ได้รับบาดเจ็บหนักเห็นมู่เฉินพุ่งตรงมาหา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง ทันใดนั้นเขาก็ตะเบ็งเสียงลั่น “ไอ้เวร ถ้าแกกล้าฆ่าข้า ตำหนักสุดนภาจะฆ่าแกจนไม่มีที่ฝังแน่!”
ตอนนี้เขาสูญเสียพลังไปหมดแล้ว หากต้องสู้ต่อละก็ เขาคงได้รับอันตรายถึงชีวิตแน่
ดวงตาเย็นเยือกของมู่เฉินไม่ปรากฏริ้วกระเพื่อมใดๆ เมื่อได้ยินเสียงตะคอกนั่น เขาเคลื่อนกายไปที่เบื้องหน้าหลิ่วเหยียน หมัดที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่มาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตซัดไปที่ศีรษะของหลิ่วเหยียนโดยไม่ลังเล
เผชิญกับการจู่โจมของมู่เฉินที่อัดแน่นด้วยรังสีสังหาร แววหวาดกลัวก็พล่านบนใบหน้าของหลิ่วเหยียน ความเด็ดขาดของมู่เฉินอยู่เหนือความคาดหมายของเขานัก
“แกจะฆ่าข้าเรอะ? ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”
ทว่าหลิ่วเหยียนไม่ใช่คนแบบหลิ่วหมิง ต่อให้อยู่ในสถานการณ์อันตรายก็ไม่มีท่าทางตื่นตระหนก เขาเปล่งคำรามออกมารอยร้าวปรากฏบนร่างขณะที่คลื่นหลิงป่าเถื่อนพุ่งพรวดออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น
เมื่อเห็นภาพนี้มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหางตากระตุก เจ้านี่คิดจะระเบิดตัวเอง!
วาบ!
มู่เฉินถอยหนีอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันร่างของหลิ่วเหยียนก็ระเบิดออกพร้อมกับพายุคลื่นหลิงกวาดอาละวาด มิติบิดเบี้ยวเนื่องจากพลังที่ได้รับ มากเสียจนเกิดรอยแตกมิติกระจายตัวออกไป
เมื่อคลื่นกระแทกกระทบร่างมู่เฉิน เสียงครางก็ดังจากลำคอ โชคดีที่เขาสวมชุดเกราะมังกรหงส์ป้องกัน เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ก็ถูกผลักกระเด็นกลับไปเป็นพันจั้ง
ขณะที่พายุเฮอริเคนคลื่นหลิงสร้างหายนะ ลำแสงหลิงสายหนึ่งก็พุ่งข้ามขอบฟ้าก่อนจะบิดเบี้ยวแล้วหายวับไปอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือร่างดวงจิตของหลิ่วเหยียน ชัดว่าเขาใช้โอกาสจากการระเบิดร่างกายเพื่อให้วิญญาณหลบหนีออกไป
เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฉินก็หรี่ตาลง แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรต่อ การระเบิดกายเนื้อทำให้วิญญาณของหลิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อให้สามารถหนีไปได้ ก็ไม่ต่างจากคนพิการครึ่งตัว ไม่จำเป็นต้องไปกลัวอะไรอีก
บนท้องฟ้าพายุรุนแรงค่อยๆ สงบลง จากนั้นทุกสายตาก็สั่นไหวเมื่อมองร่างที่อยู่ในชุดเกราะทอง
แม้เขาจะยืนเงียบๆ ที่ขอบฟ้า แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมาก็ทำเอาให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยทีเดียว ภายใต้รัศมีนี้ แม้แต่จอมยุทธ์อย่างซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง
เผชิญหน้ากับใครบางคนที่สามารถเอาชนะหลิ่วเหยียนได้ ซ้ำยังบีบให้เขาต้องระเบิดร่างเหลือแต่วิญญาณหนีไป คงไม่มีใครที่ไม่หวาดกลัวหรอก
บนท้องฟ้า ร่างมู่เฉินมีแสงสีทองไหลออกมาขณะเกราะมังกรหงส์ฝังลงไปสถิตใต้ผิวหนังอย่างรวดเร็ว มู่เฉินเผยร่างจริงให้เห็นอีกครั้ง
เมื่อมู่เฉินปรากฏตัวขึ้น จอมยุทธ์หลายคนก็อดสะดุ้งไม่ได้
ตอนนี้ร่างกายมู่เฉินเต็มไปด้วยสะเก็ดเลือด ภายใต้สะเก็ดเลือดเหล่านั้นคือบาดแผลฉกรรจ์ที่เห็นได้
ชัดว่าบาดแผลเหล่านั้นน่าจะมาจากการโจมตีสุดท้ายของหลิ่วเหยียนที่ทิ้งไว้ให้มู่เฉิน
มู่เฉินกระตุกร่างสะเก็ดเลือดล่อนออก บาดแผลที่ลึกจนมองเห็นกระดูกสมานตัวอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่สิบกว่าอึดใจเขาก็ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ความเร็วในการฟื้นตัวนี้ทำเอาจอมยุทธ์จำนวนมากที่มองอึ้งตะลึงค้างไปเลยทีเดียว
มู่เฉินรู้สึกพอใจมากกับความเร็วในการสมานตัว หลังจากผสานรวมกับแก่นเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเข้ากับเลือดของเขาแล้ว สิ่งนี้ก็มอบพลังชีวิตที่เทียบเท่ากับเทพอสูร ตราบใดที่ไม่ใช้การโจมตีแบบทำลายล้าง เขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้สึกถึงร่างกายกระฉับกระเฉง มู่เฉินก็เงยหน้ากวาดมองไปรอบๆ
ในส่วนลึกของม่านตาสีดำราวกับมียมทูตดุร้ายทรงพลังซ่อนตัวอยู่ภายใน ความคมกริบนี้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดผวา ยิ่งบวกกับที่เขาเอาชนะหลิ่วเหยียนได้เมื่อครู่ ความยิ่งใหญ่ของมู่เฉินก็มาถึงระดับสุดยอดแล้วในตอนนี้
ในเวลานี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังอย่างซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนยังเกิดแววหวาดเกรงในดวงตา แต่ละคนเบนสายตาหลบไปไม่กล้าเผชิญหน้ากับมู่เฉินตรงๆ ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าเผยความเป็นปฏิปักษ์ออกมาแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่รับมือได้ง่ายๆ เลย
ทั่วทั้งฟ้าดินเงียบกริบลงทันใด เหล่าจอมยุทธ์มองหน้ากัน พวกเขาตกใจกับอากัปกิริยาของมู่เฉินนัก ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่มีใครกล้าดูถูกมู่เฉินอีกแล้ว
สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วขอบฟ้า สุดท้ายก็จับจ้องไปที่จุดหนึ่ง ที่นั่นมีคนสามคนยืนประจันหน้ากันอยู่ กำลังขัดขวางซึ่งกันและกัน รัศมีที่พวกเขาก่อขึ้นทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปในรัศมีหลายพันจั้งโดยรอบ
แต่ตอนนี้มู่เฉินเพ่งสายตาคมกริบตรงไป ทำให้รัศมีบริเวณนั้นสั่นไหวเล็กน้อย
ขณะเดียวกันสายตาทุกคู่ก็พุ่งตรงไปที่บริเวณนั้นอย่างควบคุมไม่ได้ แม้การต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนจะดุเดือดมาก แต่ทุกคนก็รู้ว่าการต่อสู้ที่แท้จริงอยู่ที่นั่นต่างหาก
มู่เฉินกับหลิ่วเหยียนแข็งแกร่งมาก แต่เทียบกับไฉ่เซียว ฟังยี่และโยวหมิงแล้ว พวกเขาก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อย
ตอนนี้ถึงแม้มู่เฉินจะเอาชนะหลิ่วเหยียนได้แล้ว แต่หากเขาต้องการเข้าไปแทรกระหว่างสามคนนั่น เขาก็ต้องเผชิญหน้าโยวหมิงที่ทรงพลังกว่าหลิ่วเหยียนอย่างแน่นอน
นั่นคืออัจฉริยะชั้นยอดที่ครองอันดับสองบนบันทึกมังกรหงส์มาหลายปี
แม้แต่คนที่หยิ่งผยองอย่างหลิ่วเหยียนยังเกรงกลัวต่อโยวหมิงมาก ดังนั้นแม้มู่เฉินจะเอาชนะหลิ่วเหยียนได้แล้ว ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาจะสามารถขัดขวางจอมโหดอย่างโยวหมิงได้
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ฟังยี่กับโยวหมิงก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เห็นชัดว่าสถานการณ์ปัจจุบันอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขานัก
“ดูเหมือนพวกเจ้าต้องผิดหวังแล้วนะ” ไฉ่เซียวเอ่ยเสียงไม่แยแสขณะแสงอันตรายรวมตัวในดวงตาของนาง
ฟังยี่ยิ้มบางเว้นแต่ว่าร่างกายค่อยๆ เกร็งขึ้น เพราะเขารู้สึกถึงไอสังหารเย็นเยือกแผ่ออกจากร่างไฉ่เซียว เห็นชัดว่าเด็กสาวไม่คิดอดทนอีกต่อไป เตรียมพร้อมที่จะโจมตีแล้ว
“ถ้าเจ้าคิดจะให้เขาขัดขวางโยวหมิงละก็ ข้าว่าเขาจะตายเอานะ” ฟังยี่เอ่ยช้าๆ
รอยยิ้มเย็นคลี่บนใบหน้าของไฉ่เซียว “ข้าก็จะฆ่าเจ้าซะก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นไง”
ฟังยี่หรี่ตาลง แสงเย็นเยือกวาบในดวงตา เขาหันหน้าไปมองโยวหมิงเล็กน้อย
โยวหมิงรู้สึกถึงสายตาของฟังยี่ได้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “แบ่งมรดกครึ่ง-ครึ่ง” ที่เขาพูดก็หมายถึงมรดกมังกรหงส์นั่นเอง
“ได้” ฟังยี่พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อตกลงของโยวหมิง เพราะเขารู้ว่าตอนนี้จะต้องยืมพลังของโยวหมิง หากต้องการจัดการกับมู่เฉินและไฉ่เซียว
“ไม่ต้องออมมือ ฆ่ามันให้เร็ว… นางไม่ได้รับมือได้ง่ายนัก” ฟังยี่เอ่ยช้าๆ ขณะมองไฉ่เซียว
โยวหมิงพยักหน้า เขาเคยสู้กับไฉ่เซียวมาก่อนจึงรู้ว่าหญิงสาวลึกลับคนนี้มีพลังน่าสะพรึงเพียงใด หากเขาต่อสู้กับนาง ก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะนางได้ ดังนั้นเขาต้องจัดการมู่เฉินให้เร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะร่วมมือกับฟังยี่ฆ่าไฉ่เซียวซะ
โยวหมิงเบนสายตาล้ำลึกไปที่มู่เฉิน แววไม่แยแสอัดแน่นในดวงตา
“หึๆ พวกเจ้านี่อวดดีไม่เบาเลย”
ไฉ่เซียวยิ้ม เว้นแต่ว่าในดวงตาอัดแน่นด้วยไอเย็นเยือกขณะมองฟังยี่ ก่อนจะมองมู่เฉิน “เจ้าขัดขวางเขาไว้สักครู่ได้ไหม?”
สายตามู่เฉินจ้องที่โยวหมิงเช่นกัน แม้เขาจะรู้สึกถึงอันตรายแรงกล้าที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับเบาๆ
“ข้าไม่ปล่อยให้มันเข้าไปยุ่งการต่อสู้ของเจ้าแน่” มู่เฉินเอ่ยเบาๆ
ไฉ่เซียวมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งก่อนจะพยักหน้า นางไม่รู้แน่ชัดถึงพลังของมู่เฉินตอนนี้ ดังนั้นนางจึงไม่แน่ใจว่ามู่เฉินจะสามารถขัดขวางโยวหมิงได้หรือไม่ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นทั้งนางและมู่เฉินก็ไม่มีทางหลุดไปจากสถานการณ์นี้ได้
ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะเชื่อในตัวมู่เฉิน
“ขัดขวางข้าเรอะ?”
โยวหมิงยืนอยู่บนท้องฟ้ามองมู่เฉินด้วยสายตาไม่แยแส จากนั้นรอยยิ้มบางก็คลี่บนใบหน้าขาวซีด ราวกับรู้สึกขบขันกับความมั่นใจของมู่เฉิน
“ผลลัพธ์ของหลิ่วเหยียน ก็จะเป็นผลลัพธ์ของแก…”
เขาพึมพำ จากนั้นฝ่ามือก็วาดขึ้นเบาๆ คลื่นหลิงสีดำเมื่อมรวมตัวภายใต้ฝ่ามือ ก่อร่างเป็นหลุมดำจางๆ ตอนนี้มิติรอบตัวเขาสั่นสะเทือนรุนแรง ขณะที่แรงกดดันคลื่นหลิงน่ากลัวรวมตัวกันราวกับม้วนภูเขาพับทะเลได้ ก่อนจะกวาดตัวออกมาทั่วบริเวณ
สัมผัสได้ถึงแรงกดดันคลื่นหลิงน่าตกใจรอบตัวโยวหมิง สีหน้าของซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนที่อยู่บนท้องฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปพร้อมกับอุทานออกมา “ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า?!”
พอได้ยินคำพูดของพวกเขา หัวใจของมู่เฉินก็สะเทือนเบาๆ โยวหมิงบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้วรึ?!
หากเป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์ครั้งนี้ก็ยากที่จะตัดสินแล้ว!
บทที่ 802 องค์ชายโยวหมิง
โยวหมิงยืนไว้สง่าอยู่บนท้องฟ้าด้วยใบหน้าขาวไร้อารมณ์
แรงกดดันคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวราวกับกระแสน้ำพวยพุ่งออกจากร่างเขา ทำให้ทั่วบริเวณเกิดการกระเพื่อมจางๆ
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปจากแรงกดดันนั้น รวมถึงมู่เฉินด้วย
นั่นเป็นเพราะแรงกดดันคลื่นหลิงอยู่เหนือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ทั่วไป สูงจนแตะขั้นห้าแล้ว!
หรือว่าโยวหมิงบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้ว?!
จอมยุทธ์จำนวนมากมีสีหน้าตกตะลึง สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แม้แต่ในขั้วอำนาจชั้นยอดทั้งหลายก็ยังถือว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเหล่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในภูมิภาคทางเหนือเลย ซึ่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกอยู่ห่างไกลอย่างยิ่ง
สายตาบางคู่อดไม่ได้ที่จะมองไปทางมู่เฉินด้วยความเห็นใจ หากมู่เฉินยังคงมีโอกาสอยู่บ้างเมื่อต่อสู้กับหลิ่วเหยียน แต่โอกาสที่เขาจะชนะเมื่อเผชิญหน้ากับโยวหมิงซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็เข้าใกล้ศูนย์เลยทีเดียว
ภายใต้สายตาเห็นใจจำนวนมาก มู่เฉินมองโยวหมิงที่ไม่แยแสด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและตกใจในใจ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเป็นคนที่สามารถคว้าตำแหน่งผู้บัญชาการในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้เลยทีเดียว!
บางทีพลังของหลิ่วเหยียนนับได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ แต่ห่างเป็นโยชน์เมื่อเทียบกับโยวหมิง
“นี่คือช่องว่างพลังระหว่างอันดับสามกับอันดับสองของบันทึกมังกรหงส์เรอะ?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นเมื่อจ้องมองโยวหมิง เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดเสียดแทงเบาบางบนร่างกาย นั่นเป็นเพราะภัยคุกคามทรงพลังที่สัมผัสได้
แม้ความแตกต่างระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ากับขั้นสี่จะเป็นขั้นเดียว แต่ความแตกต่างของพลังห่างไกลกับขั้นก่อนๆ มากเลยทีเดียว
ในขุมพลังจื้อจุนทั้งเก้าขั้น สี่ขั้นแรกห่างกันแค่ระดับความแข็งแกร่งของคลื่นหลิงเท่านั้น แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นห้าแล้วก็จะมีความแตกต่างใหญ่หลวง ความแตกต่างมากที่สุดก็คือความสามารถในการเคลื่อนผ่านมิติ ซึ่งต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้วถึงจะทำได้
นี่เป็นวิธีช่วยชีวิตและโจมตีอันทรงพลัง การยืมพลังนั้นมาทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ถูกอัดเละเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า
ดังนั้นเมื่อจอมยุทธ์คนอื่นๆ เห็นว่าโยวหมิงอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า พวกเขาจึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความเห็นใจ นั่นเป็นเพราะในสายตาของพวกเขาผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้ตัดสินได้แล้ว
ไม่ว่ามู่เฉินจะมีทักษะทรงพลังอะไร เขาก็ไม่สามารถเอาชนะโยวหมิงได้แน่นอน
“แกยังคิดไปต่อไหม?” โยวหมิงถามเสียงเรียบ
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำถามนั่น แม้เขาจะไม่ให้คำตอบใดๆ แต่ในดวงตาก็ไม่ปรากฏแววหวาดกลัวสักริ้ว โยวหมิงทรงพลังก็จริง แต่พูดตรงๆ แล้วโยวหมิงยังไม่สามารถทำให้เขาต้องหนีไปโดยยังไม่ออกกระบวนท่าได้
โยวหมิงมองสายตาของมู่เฉินก็รู้คำตอบ ทว่ายังคงไม่มีริ้วกระเพื่อมใดๆ ในดวงตา เพียงแค่เอ่ยเสียงเรียบ “ดูเหมือนว่าอัจฉริยะคนเก่งแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะต้องตายอยู่ในเขตหลงเฟิ่งอีกครั้งแล้วสิ”
มู่เฉินหรี่ตาลงขณะที่กำลังจะตอบกลับ ม่านตาก็หดเกร็งทันที นั่นเป็นเพราะเขาเห็นมิติรอบตัวโยวหมิงพลันบิดเบี้ยวก่อนที่ร่างจะหายไปอย่างลึกลับ
ตู้ม!
มิติบิดเบี้ยวเบื้องหลังมู่เฉิน ฝ่ามือหนึ่งที่บรรจุด้วยคลื่นหลิงทรงพลังก็ตบใส่กลางหลัง
การจู่โจมลึกลับนี้ทำให้สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป ทว่าตัวเขาก็ตื่นระวังอยู่ตลอดดังนั้นตราประทับจึงถูกวาดขึ้นในทันที ขณะที่แสงพวยพุ่ง ร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นภาพมังกรเลือนราง เมื่อมังกรปรากฏขึ้นมิติรอบตัวก็บิดเบี้ยวพาร่างเขาหายเข้าไป
ฝ่ามือซัดลงบนอากาศว่างเปล่า โยวหมิงเผยตัวออกมาในพริบตา เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนเองล้มเหลว แววประหลาดใจก็วูบไหวในดวงตาพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “ไม่คิดเลยว่าแกจะสามารถเคลื่อนผ่านมิติได้โดยมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น… แต่น่าเสียดายที่ทักษะแกยังอ่อนด้อยนัก”
เมื่อพูดจบ ร่างเขาก็หายไปอีกครั้งทิ้งความผันผวนไว้ในมิติ
พื้นที่ห่างออกไปพันจั้ง มิติกระเพื่อมภาพมังกรทะยานออกมา แต่ทันทีที่ปรากฏตัว สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง
มิติพลิ้วเป็นลอนที่เบื้องหน้า ร่างคนคนหนึ่งก็พุ่งออกมา ฝ่ามือราวกับหนอนเจาะกระดูกซัดตรงมาหาพร้อมกับพลังเท่าภูเขาที่พลิกคว่ำทะเลได้
ครั้งนี้มู่เฉินหลบไม่ได้แล้ว
ขณะที่ฝ่ามือพุ่งผ่านก็เกิดเสียงครางกระหึ่มในสายลม ทำให้แทบจะรู้สึกหายใจไม่ออก ร่างมู่เฉินเปล่งประกายแสงสีทองเกราะมังกรหงส์ปรากฏขึ้นในพริบตา ขณะเดียวกันชั้นเกล็ดสีทองเข้มหนาแน่นก็ปรากฏบนผิวหนังของเขา
ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจ เขาก็เร้าพลังงานในร่างกายออกมาจนถึงขีดสุด ก่อนจะตบฝ่ามือทั้งคู่ออกไป ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ฝ่ามือเขาก็ปะทะกับฝ่ามือโยวหมิง
ปัง!
จังหวะที่ฝ่ามือทั้งคู่ปะทะกัน ก็ราวกับเกิดบางอย่างคล้ายเสียงคำราม คลื่นพลังที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดออก มิติในรัศมีหมื่นจั้งกระเพื่อมราวกับลอนคลื่น
ร่างของมู่เฉินสั่นสะท้านจากแรงปะทะกระเด็นออกไปพันจั้ง เขารู้สึกหวานในลำคอ กระอักเลือดออกมาคำหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้
ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นขึ้นมาจากแขนทั้งสองข้าง ราวกับว่ากระดูกถูกบดละเอียด สายตาของมู่เฉินเคร่งขรึมลงหลายส่วน โยวหมิงทรงพลังจริงๆ เพียงแค่ประมือเท่านี้ หากไม่ใช่เพราะเขามีเกราะมังกรหงส์และกายามังกรหงส์ปกป้องอยู่ละก็ งานนี้แขนของเขาหักไปแล้ว
ขณะที่มู่เฉินกระเด็นออกไป ร่างของโยวหมิงก็กระตุกก้าวถอยไปสิบกว่าก้าว มีริ้วบางจางปรากฏบนสีหน้าไร้อารมณ์ ไอเย็นเยือกรวมตัวกันในดวงตา เขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะไม่สามารถหักแขนมู่เฉินได้ด้วยกระบวนท่านี้
“มิน่าล่ะแกถึงเอาชนะหลิ่วเหยียนได้ มีฝีมือเหมือนกันนี่” โยวหมิงจ้องมองมู่เฉินพลางเอ่ยช้าๆ จากการปะทะเมื่อครู่ หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ใดๆ คงได้รับบาดเจ็บหนักไปแล้ว แต่มู่เฉินแค่กระอักเลือดออกมาคำเดียวเท่านั้น
มู่เฉินมองโยวหมิงด้วยสายตาเย็นชาขณะปาดคราบเลือดตรงมุมปากออก ไม่มีแววหวาดกลัวในดวงตาจากพลังที่โยวหมิงแสดงออกมา กลับแทนที่ด้วยไฟการต่อสู้ลุกโชนในดวงตา
เขาวาดตราประทับสองมือ แสงสีทองกวาดออกจากร่างกายทุกทิศทาง ก่อตัวเป็นร่างใหญ่โตสีทองยืนตระหง่าน ชั่วขณะนั้นคลื่นหลิงในฟ้าดินก็ม้วนตัวพร้อมกับแสงสีทองเปล่งประกาย
มู่เฉินยืนอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะ เมื่อเขากำมือ เสาปีศาจก็ปรากฏในมือใหญ่โต
โยวหมิงมองร่างเทพสุริยะที่เป็นเอกลักษณ์ก็ขมวดคิ้ว นั่นเพราะเขาไม่สามารถระบุได้ว่าร่างเทห์สวรรค์นั้นคือร่างอะไร แต่ในเวลาเดียวกันก็สัมผัสได้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ร่างเทห์สวรรค์ธรรมดา
“ต่อให้เอาชีวิตมาเสี่ยง แกก็เปลี่ยนจุดจบไม่ได้หรอก”
โยวหมิงไม่สนใจการตอบโต้ของมู่เฉิน เขากำมือเบาๆ แสงสีดำรวมตัวอยู่ในฝ่ามือ ก่อนก่อร่างเป็นง้าวสีดำราวน้ำหมึก
คลื่นหลิงเย็นเยือกผันผวนออกมาจากง้าว ความเย็นเยือกนั้นทำให้แม้แต่คลื่นหลิงรอบด้านยังหยุดชะงักและแข็งตัว
“นั่นคืออาวุธพบสวรรค์ขั้นสูงของจวนยมโลก ง้าวเทพใต้พิภพ!” จอมยุทธ์จำนวนมากอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเมื่อเห็นภาพนี้ ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับง้าวในมือของโยวหมิง
“ดูเหมือนโยวหมิงไม่คิดปล่อยให้มู่เฉินมีทางรอดแล้ว ถึงขนาดเอาง้าวเทพใต้พิภพออกมาเลย” บางคนถึงกับถอนหายใจ หากโยวหมิงดูถูก บางทีมู่เฉินอาจมีทางรอด แต่ชัดว่าคนที่ผ่านประสบการณ์สังหารมานับไม่ถ้วน ไม่โง่ที่จะทำเช่นนั้นหรอก
แม้แต่สิงโตยังใช้พลังเต็มที่ในการล่ากระต่าย เห็นชัดว่าการเป็นจอมยุทธ์โดดเด่นที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของจวนยมโลก โยวหมิงย่อมไม่ทำสิ่งที่โง่เขลาและเสี่ยงต่อการล้มเหลว
“เขายังไม่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าอย่างแท้จริง” มู่เฉินจ้องมองโยวหมิงพลางเอ่ยออกมาช้าๆ
จากการประมือสั้นๆ มู่เฉินรับรู้ได้ว่าโยวหมิงทรงพลังเพียงใด แต่ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่าโยวหมิงไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแท้จริง จากการคาดเดาของเขา โยวหมิงน่าจะเกือบบรรลุขุมพลัง
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ระดับความอันตรายของโยวหมิงก็เหนือกว่าหลิ่วเหยียนมากนัก
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินมองทะลุปรุโปร่ง โยวหมิงก็ประหลาดใจจากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ “มดอย่างแกจะสนใจทำไมว่าจะเป็นหมาป่าหรือเสือที่บดขยี้มันจนตาย?”
มู่เฉินส่งเสียงขึ้นจมูกพลางกระทืบเท้า ที่หว่างคิ้วและกลางอกของร่างเทพสุริยะปรากฏดวงตะวันสีทองเจิดจ้าสองดวงลุกโชนขึ้นมา
“ทักษะเทห์สวรรค์ คลื่นสองตะวัน!”
มู่เฉินตะโกนขึ้นในหัวใจ แสงสีทองพร่างพราวก็ระเบิดออกจากดวงตะวันสีทองสองดวง พลังงานทรงพลังมหาศาลที่สามารถบดขยี้ภูเขาได้แผ่ออกมาจากร่างเทพสุริยะ
“ฮ่าๆ น่าสนใจ”
โยวหมิงมองมู่เฉินที่มีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยพลางยิ้มเอ่ย “แกคิดจะใช้ชีวิตเข้าสู้เรอะ? แต่กลัวว่าความพยายามจะสูญเปล่านะสิ”
“ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าสูญเปล่าไหม!”
มู่เฉินตะเบ็งเสียง จากนั้นแสงสีทองก็กวาดออกจากร่างเทพสุริยะ ย้อมเสาปีศาจจนกลายเป็นสีทองอร่ามทันที จากนั้นก็ระเบิดมิติ พลังทำลายล้างปกคลุมร่างโยวหมิงพร้อมกับเงาขนาดใหญ่
เผชิญกับศัตรูทรงพลังเช่นนี้ มู่เฉินก็เร้าพลังจนถึงขีดสุด
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อมองพลังโจมตีที่มู่เฉินปล่อยออกมา ความกล้าหาญของมู่เฉินน่ายกย่องและน่าตกใจ
ทว่าในการต่อสู้ที่มีระยะห่างเช่นนี้ ความกล้าหาญอย่างเดียวอาจไม่สามารถส่งผลได้มากนัก
ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยพลัง!
การปะทะครั้งนี้รุนแรงกว่าเดิมแน่นอน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น