หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 793-798
ตอนที่ 793
การรวมตัวของจอมยุทธ์
เมืองหลงเฟิ่งตั้งอยู่ในใจกลางเขตหลงเฟิ่ง
ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด เนื่องจากข่าวลือว่าจัตุรัสมังกรหงส์มีมรดกของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าอยู่ที่นั่น
สถานการณ์ในบริเวณนี้ไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร ในสถานที่แห่งนี้ไม่มีสัตว์อสูรใดกล้าเข้ามาเนื่องจากเป็นสุสานของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในอดีต
แม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี แรงกดดันที่เหลืออยู่ก็ยังทำให้สัตว์อสูรเหล่านั้นที่ดูดซับแก่นเลือดแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้าไม่กล้าเข้ามาใกล้
ดังนั้นบริเวณนี้จึงเงียบสงบโดยปกติ มากจนแม้แต่ไม่มีเสียงลมพัดราวดินแดนที่ตายไปแล้ว
แต่ความเงียบสงบก็ไม่ได้คงอยู่ในเวลานี้ กลับถูกแทนที่ด้วยความโกลาหล บนท้องฟ้าที่กำจายรัศมีโบราณ ร่างคนนับไม่ถ้วนเหาะเหินมาจากทุกทิศทางราวกับฝูงตั๊กแตนอัดแน่นเต็มท้องฟ้า ความโกลาหลทำให้ความเงียบในสถานที่แห่งนี้หายวับไปกับตา
ร่างแสงเหล่านั้นก็คือจอมยุทธ์ที่เข้ามาในเขตหลงเฟิ่ง แม้ว่าพวกเขาจะพบกับอันตราย แต่ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้เช่นกัน ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ต่างรู้ว่าจะเกิดการต่อสู้น่าตื่นตะลึงระเบิดขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนคนที่มารวมตัวกันที่นี่ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง เสียงดังรวมตัวกันเป็นคลื่นเสียงพุ่งขึ้นสู่ชั้นฟ้า ทำให้แม้แต่ชั้นเมฆหนายังกวนตัว
ฟิ้ว!
ขณะที่จำนวนคนในบริเวณนี้มาถึงจุดที่น่าตกใจ คลื่นหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกที่ขอบฟ้าไกลออกไป จากนั้นร่างร่างหนึ่งก็ทะยานผ่านขอบฟ้าราวกับอุกกาบาตพลิ้วลงบนยอดเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่งภายใต้สายตาตะลึงนับไม่ถ้วน
บึ้ม!
เมื่อร่างนั้นยืนบนยอดเขา รอยร้าวขนาดใหญ่ก็กระจายที่ใต้ฝ่าเท้า ในไม่กี่อึดใจก็ปกคลุมไปทั่วยอดเขา ทำให้โยกคลอนคล้ายกับจะถล่มลงมา
แสงบนยอดเขาสลายลง ร่างใหญ่สูงราวห้าถึงหกจั้งก็ยืนจังก้า เขาสวมชุดเกราะหนาหนักพร้อมควงขวานใหญ่แผ่รัศมีแก่กล้าออกมา ดูราวกับยักษ์โบราณป่าเถื่อนที่องอาจอย่างยิ่ง
“นั่นติงเซวียนจากตระกูลจู้หลิง!”
เมื่อเขาปรากฏตัวก็ดึงดูดความวุ่นวายเข้ามาในทันที เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ไร้ชื่อ กลับเป็นหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปในภูมิภาคทางเหนือ
“ว่ากันว่าติงเซวียนครอบครองสระมังกรหงส์และสร้างกายามังกรพรางได้ ตระกูลจู้หลิงชำนาญในด้านการต่อสู้ด้วยกำลังกายอยู่แล้ว ตอนนี้เขามีกายามังกรพรางก็ราวกับติดปีกให้พยัคฆ์ ดูท่าครั้งนี้อันดับในบันทึกมังกรหงส์ของเขาจะคราวขยับขึ้นแล้ว”
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ขณะที่ความปั่นป่วนโหมกระพือจากการปรากฏตัวของติงเซวียน เสียงลมสองสายก็ครางกระหึ่มบนท้องฟ้าไกลออกไป เสียงลมหวีดหวิวมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงน่าตกใจ
วาบ!
สองร่างจากด้านหน้าและด้านหลังเหาะเหินมาจากระยะไกล ไม่นานพวกเขาก็สวนกันบนท้องฟ้าขณะคลื่นหลิงทรงพลังกวาดออกมาปะทะกันเปรี้ยงปร้าง
ขณะที่คลื่นหลิงระเบิดออกก็กวาดหายนะไปทั่ว ร่างคนทั้งสองผละถอยจากกัน สุดท้ายก็พลิ้วลงบนยอดเขาคนละลูก
“คิกๆ พี่ซูมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นไม่น้อยนะเนี่ย แหมน้องสาวคนนี้ชักจะอิจฉาแล้วสิ” เมื่อแสงจางหายไป หงหยูในชุดสีแดงสดใสก็ปรากฏตัวพร้อมยิ้มจือปากเล็กน้อย รอยยิ้มของนางทรงเสน่ห์น่าดึงดูดนัก ทำให้สายตานับไม่ถ้วนในบริเวณนี้จ้องมองมาอย่างละเมอเพ้อพก
“น้องหงหยูก็ไม่เลวทีเดียว เจ้าฝึกคัมภีร์เทพปีศาจจนประสบความสำเร็จขั้นสุดแล้วใช่ไหม?” บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ร่างแสงอีกร่างก็เผยตัวออกมา นางเป็นโฉมงามสวมชุดขาวส่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ออกมา นางก็คือซูปี้เยี่ยแห่งยอดเขาหมื่นเทพนั่นเอง
เมื่อหญิงสาวทั้งสองเผยตัวออกมา บรรยากาศในบริเวณนี้ก็ลุกฮือพร้อมกับสายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาทางพวกนาง ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ บางทีพลังของหญิงสาวสองคนนี้อาจไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่เสน่ห์ของพวกนางเป็นสิ่งที่แม้แต่อันดับหนึ่งในบันทึกมังกรหงส์อย่างฟังยี่แห่งหมู่ตึกเทวะก็ไม่อาจเทียบได้
“ข้าอยากรู้ว่าพี่ซูสร้างกายาหงส์ฟ้าพรางสำเร็จไหม” หงหยูป้องปากพลางยิ้มแย้ม เสียงหัวเราะยั่วเย้าของนางจุดไฟปรารถนาในใจของคนอื่นๆ
ซูปี้เยี่ยยิ้มอย่างไม่ถือสา “อย่าบอกนะว่าน้องหงหยูอยากทดลองดูตอนนี้เลย?”
“ข้าก็อยากนะ แต่ถ้าเราต่อสู้กันตอนนี้ ข้ากลัวผลประโยชน์จะกลายเป็นของคนอื่นไป ตัวข้าไม่เป็นไรหรอก แต่ข้าแค่เกรงว่าชื่อเสียงของพี่สาวในฐานะเทพธิดาไร้พ่ายจะเสียหายเอาน่ะสิ” หงหยูกลั้วหัวเราะ
หญิงสาวสองคนที่เป็นโฉมสะคราญ ชัดว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเลย แม้พวกนางจะพูดคุยสนิทสนมใกล้ชิดว่าเป็นพี่เป็นน้อง แต่อันที่จริงทั้งคู่ระแวงกันและกันอยู่ลึกๆ
พอได้ยินคำพูดอีกฝ่าย ซูปี้เยี่ยก็ส่ายหน้าเบาๆ นางรู้ว่าหงหยูรับมือยากเพียงใด จึงไม่พูดอะไรต่อ สายตาของนางกวาดออกไปหยุดอยู่ที่ติงเซวียนที่มาถึงก่อนแล้วก็ละออกไป
หลังการปรากฏตัวของหญิงสาวทั้งสองหงหยูและซูปี้เยี่ย บรรยากาศก็เริ่มร้อนรุ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเวลาผ่านไปจอมยุทธ์จำนวนมากที่มีคลื่นหลิงทรงพลังก็มาถึง แรงกดดันบางจางแผ่ออกมาจากร่างของพวกเขา ซึ่งเกิดจากการดูดซับเลือดมังกรและหงส์ฟ้าเอาไว้
เห็นชัดว่าจอมยุทธ์เหล่านั้นต่างได้สมบัติธรรมชาติที่มีแก่นเลือดมังกรแท่จริงกับหงส์ฟ้าประกอบอยู่ พวกเขาจึงมีคุณสมบัติเข้าสู่จัตุรัสมังกรหงส์ด้วยเช่นกัน
และในหมู่จอมยุทธ์เหล่านี้ หลิ่วเหยียนเป็นจุดสนใจมากที่สุด ทว่าหลังจากที่เขาปรากฏตัวใบหน้าก็มืดครึ้ม เขาพลิ้วตัวลงบนยอดเขาพร้อมกับคลื่นหลิงมหาศาลพลุ่งพล่านรอบตัว รังสีสังหารน่ากลัวกระจายออกมาจุดความหวาดผวาขึ้นในใจของคนอื่นๆ
แต่ท่าทางของเขากลับทำให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบขึ้น
“ว่ากันว่าหลิ่วเหยียนแพ้มู่เฉินในการชิงสระมังกรหงส์… สระมังกรหงส์แห่งนั้นก็ถูกมู่เฉินครอบครองไป”
“มู่เฉิน? ไอ้เด็กที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามนนั่นนะ?”
“เขานั่นแหละ อย่าคิดว่าพลังของเจ้านั่นอยู่ระดับจื้อจุนขั้นสาม ข้าก็อยู่ที่นั่นตอนที่มู่เฉินกับหลิ่วเหยียนฟัดกัน ไอ้นั่นไม่ธรรมดาจริงๆ นะ แม้หลิ่วเหยียนจะเรียกใช้ทักษะเทห์สวรรค์ก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้”
“ไม่ควรด่วนตัดสินคนจากภายนอกจริงๆ มิน่าล่ะอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถึงส่งเขามา”
“…”
ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้น ใบหน้าของหลิ่วเหยียนก็อดกระตุกไม่ได้ ไอมืดครึ้มเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม รังสีสังหารรอบพวยพุ่งข้นคลั่กเลยทีเดียว
ซูปี้เยี่ยกับหงหยูอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหลิ่วเหยียนที่มีใบหน้ามืดครึ้ม พวกนางก็ได้ยินข่าวมา แต่ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อ เพราะชื่อเสียงของหลิ่วเหยียนโด่งดังมากเมื่อเทียบกับมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ไร้ชื่อ ดังนั้นหากพวกเขาต่อสู้กัน ผลลัพธ์ก็บอกได้ชัด
แต่สุดท้ายความเป็นจริงกลับทรยศจินตนาการของพวกนาง หลิ่วเหยียนที่น่าจะชนะกลับพ่ายแพ้ในการประลองแย่งสระมังกรหงส์…
“มู่เฉินทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ?” สองสาวมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแต่ในใจกลับสั่นไหว ก่อนหน้าที่หอหลงเฟิ่ง พวกนางแค่ประหลาดใจไปกับความกล้าที่มู่เฉินแสดงออกมา แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสามเมื่อมองแต่ผิวเผิน ไม่เพียงแต่จะมีความกล้าหาญเขายังมีพลังพอจะทำอีกด้วย
หงหยูกับซูปี้เยี่ยเลื่อนดวงตาก่อนจะหดเกร็งฉับพลัน สายตาพวกนางพุ่งตรงไปที่ยอดเขาสองลูกที่ไกลออกไป บนนั้น มิติบิดเบี้ยวร่างคนสองคนก็ปรากฏตัวออกมา
การปรากฏตัวกะทันหันของทั้งสองไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า พวกเขามาอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการรบกวนใด แต่ความเงียบที่พิลึกนั่นกลับทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต่างใจสั่นกันถ้วนหน้า
“นั่นมัน…”
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปพร้อมกับเสียงอุทานอย่างควบคุมไม่อยู่ดังขึ้น ส่วนใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์ที่กำจายรัศมีแก่นเลือดแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้าก็เปลี่ยนไปพร้อมกับแววหวาดกลัวสุดขีดวาบในดวงตา
“นั่น…อันดับสองโยวหมิงแห่งจวนยมโลกและอันดับหนึ่งฟังยี่แห่งหมู่ตึกเทวะ!”
“ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวแล้ว!”
การปรากฏตัวของทั้งสองก่อให้เกิดเสียงร้องตกใจนับไม่ถ้วน เทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ทั้งสองคนนี้คือยักษ์ใหญ่อย่างแท้จริง
ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน ทั้งสองยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดเขา สีขาวกับสีดำดูเหมือนจะเป็นสีที่โดดเด่นที่สุดในบริเวณนี้ ทำให้ทุกคนหม่นหมองไปภายใต้รัศมีของพวกเขา
ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ ทั้งสองคนราวกับอนุเสาวรีย์ที่ไม่มีอัจฉริยะคนใดไปไกลเกินพวกเขาได้
โดยรอบเงียบลงเนื่องจากการปรากฏตัวของสองจอมยุทธ์ ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขาถูกปกคลุมด้วยรังสีคุกคามของทั้งสอง
ฟิ้ว!
ทว่าความรู้สึกกดดันเยือกเย็นก็คงอยู่ได้ไม่นาน ก่อนจะสลายตัวไปจากเสียงมวลลมอัดอากาศ ร่างสองร่างเหาะข้ามขอบฟ้าท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน
ทั้งสองยังมาไม่ถึง ทว่าเสียงเย็นเยือกใสกระจ่างก็ดังก้องท้องฟ้าบริเวณนี้
“ไอ้คนฉวยโอกาสยังกล้าเผยหน้าออกมาอีกเรอะ คิดว่าข้าจัดการแกไม่ได้จริงๆ หรือไง?”
เมื่อเสียงใสกระจ่างดังขึ้น ตราประทับก็เหมือนจะสร้างขึ้นในมือ นางชี้นิ้วออกไป พริบตามิติก็ฉีกจากกัน ลำแสงเจ็ดสีพุ่งผ่านขอบฟ้าราวกับฟ้าผ่าก็มิปาน
เมื่อมองไปยังทิศทางปลายอีกด้านของลำแสงเจ็ดสี ทุกคนต่างก็สูดรัศมีเย็นยะเยือกเต็มปอด นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักว่าปลายอีกด้านของลำแสงเจ็ดสีแท้จริงก็คืออันดับแรกของบันทึกมังกรหงส์—ฟังยี่แห่งหมู่ตึกเทวะ!
ใครกันที่โกรธกริ้วขนาดกล้าโจมตีฟังยี่ที่แข็งแกร่งที่สุดขณะเพิ่งปรากฏตัว?
ตอนที่ 794
จัตุรัสมังกรหงส์ปรากฏ
ตู้ม!
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน แสงเจ็ดสีก็พุ่งผ่านขอบฟ้าตรงไปยังยอดเขาที่ฟังยี่ยืนอยู่ราวกับสายฟ้าฟาด
การโจมตีฉับพลันนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคน แม้แต่ซูปี้เยี่ย หงหยูและคนที่เหลือต่างก็ตะลึงไปเล็กน้อย เห็นชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าใครกล้าปล่อยการโจมตีใส่ฟังยี่
ชายคนนี้เป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของบันทึกหลงเฟิ่งเชียวนะ!
ผู้คนนับไม่ถ้วนดวงตาเป็นประกายด้วยความตะลึงสงสัย ทว่าขณะที่หลายๆ คนคิดว่าคนนั้นคือคนโง่เง่าบ้าบิ่น ฟังยี่ที่อยู่บนยอดเขาก็จ้องมองแสงเจ็ดสีที่พุ่งตรงมาหาพลางขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็ทำสิ่งที่ทำให้ทุกคนอึ้งไป เขาไม่ได้ออกมือป้องกันกลับเคลื่อนไหวเกิดภาพซ้อนทิ้งไว้เบื้องหลังหลบการโจมตีที่พุ่งมาทางเขา
ตู้ม!
ลำแสงเจ็ดสีกระแทกยอดเขา ทำให้ถล่มลงทันที หินน้อยใหญ่ร่วงกราว ทั้งยอดเขาราบเป็นหน้ากลองในพริบตา
ภาพนี้ทำให้หนังตาคนจำนวนมากกระตุก
บนท้องฟ้า ร่างแสงสองร่างยืนอยู่กลางอากาศ เมื่อแสงจางหายไปก็เผยตัวออกมาท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน
เมื่อเห็นทั้งสอง เสียงฮือฮาก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“นั่น…มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์?!”
“พวกเขาถึงกับกล้าโจมตีฟังยี่ ไม่รนหาที่ตายไปหน่อยรึไง?!”
“ทำให้ฟังยี่โกรธแบบนี้ ไม่ตายยังยากเลย!”
“…”
บางคนอุทานด้วยความตกใจขณะที่พวกเขามองดูมู่เฉินด้วยสายตาที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง แม้มู่เฉินจะคว้าสระมังกรหงส์ได้จากมือของหลิ่วเหยียนสร้างชื่อเสียงดังเป็นพลุแตกให้ตัวเอง แต่ถ้านี่เป็นฐานความมั่นใจให้เขาในการโจมตีฟังยี่ ก็บอกได้แค่ว่าเขาปัญญาอ่อนเหลือเกิน
เพราะแม้หลิ่วเหยียนจะน่าสะพรึง แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับฟังยี่ที่เปรียบเหมือนตำนานหรอก!
ทุกคนเหมือนจะมองข้ามสาวสะคราญโฉมที่ยืนอยู่ข้างมู่เฉินไปแล้ว
เมื่อเห็นสายตาเหล่านั้นมู่เฉินก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ แต่ทันทีที่เขาจะพูด เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาเปี่ยมไอสังหารพุ่งมาหา
เขาเอี้ยวหน้าไปเล็กน้อย ก็เห็นหลิ่วเหยียนสาดสีหน้ามืดครึ้ม
มู่เฉินหรี่ตาลงจ้องมองหลิ่วเหยียนที่มีริ้วรังสีสังหารเย็นเยือกวูบไหวในดวงตา วันก่อนที่พวกเขาต่อสู้กัน ผลลัพธ์คือทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าเขาต้องสู้กับหลิ่วเหยียนอีกครั้งในตอนนี้ เขามั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
เมื่อสายตาของทั้งคู่ฟาดฟันกันในอากาศ รังสีสังหารก็กระจายออก ชัดว่าทั้งคู่ไม่คิดข่มความอยากฆ่าในใจไว้แม้แต่น้อย
ขณะที่มู่เฉินกับหลิ่วเหยียนจ้องกัน ร่างในชุดขาวก็ปรากฏตัวช้าๆ บนยอดเขาที่พังทลาย ฟังยี่สวมชุดขาวและมีผมสีดำ ทำให้ดูเป็นอิสระมาก เขามองไฉ่เซียวด้วยสายตาล้ำลึกพลางประสานมือด้วยรอยยิ้ม “แม่นางน้อย การกระทำของข้าก่อนหน้าไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ แต่ผลเทพมังกรหงส์เป็นสมบัติแท้จริงในเขตหลงเฟิ่ง หากหามาได้ก็จะสามารถสร้างกายามังกรแท้จริงหรือกายาหงส์ฟ้าแท้จริงได้อย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นข้ายังได้ผลที่ยังไม่สุกไปแค่ผลเดียวจากสามผล เจ้ายังมีผลสุกอยู่ในมือสองผลเชียวนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าของมู่เฉินก็อดดิ่งลงไม่ได้ ฟังยี่วางแผนได้ลึกซึ้ง เขาเผยเรื่องผลเทพมังกรหงส์ต่อหน้าคนจำนวนมาก เขารู้ว่าแรงดึงดูดของผลไม้เทพนี้มีมากเพียงใด นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่สระมังกรหงส์ก็ไม่สามารถเทียบได้
โห้!
อย่างที่มู่เฉินคาดไว้ เมื่อฟังยี่พูดจบ ความโกลาหลก็ระเบิดออกมาในพื้นที่นี้ สายตาร้อนรุ่มนับไม่ถ้วนราวกับต้องการแผดเผาพุ่งตรงมาที่ทั้งสอง
“พวกเขาได้ผลเทพมังกรหงส์สุกสองผลงั้นเหรอ?!”
“นั่นเป็นสมบัติยอดเยี่ยมที่สามารถช่วยสร้างกายามังกรแท้จริงหรือกายาหงส์ฟ้าแท้จริงได้เลยนะ!”
“…”
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนที่นี่ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ ไม่ต้องกล่าวถึงคนทั่วไปเลย แม้กระทั่งจอมยุทธ์อย่างซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นก็อดไม่ได้ที่จะสายตาหดลง
มู่เฉินมองดวงตาแดงก่ำเหล่านั้นที่พุ่งตรงมาจากทุกทิศทางก็ขมดวคิ้วแน่น จากนั้นก็เหลือบมองไฉ่เซียว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายไม่มีการแสดงออกใดบนใบหน้า นางมองฟังยี่ที่กำลังยิ้มบางด้วยสายตาไม่แยแส นางไม่พูดอะไรออกมาแต่ย่างก้าวไปข้างหน้าก่อนที่ร่างนางจะหายวับไป
จังหวะที่ไฉ่เซียวหายตัวไป ฟังยี่ก็หรี่ตาลงวาดตราประทับด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะกระแทกมิติตรงหน้าเบาๆ
“ตราประทับฝ่ามือมหาสูญ!”
เมื่อฟังยี่ตะโกนออกมา มิติตรงฝ่ามือก็บิดเบี้ยวก่อร่างเป็นตราประทับฝ่ามือไร้รูปร่างขนาดใหญ่ แม้ฝ่ามือยักษ์จะดูไร้รูปร่าง แต่พลังงานน่ากลัวที่บรรจุอยู่ภายใน กลับทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนรู้สึกขนลุกชัน
วาบ!
แต่ก่อนที่ตราประทับฝ่ามือจะฉีกผ่านมิติ มิติตรงหน้าเขาก็แปรปรวนพร้อมกับมือเล็กปรากฏขึ้น นางงอนิ้วชี้ลงแตะที่ตราประทับฝ่ามือมหาสูญ
“สลาย!”
หญิงสาวเปิดริมฝีปากสีแดงชาดเล็กน้อย แสงสีขาวเบ่งบานออกมาจากนิ้ว ขณะที่มิติเกิดการกระเพื่อม เสียงอึกอักก็ดังขึ้น ก่อนที่ตราประทับฝ่ามือมหาสูญจะถูกนิ้วของนางเจาะทะลวงอย่างรวดเร็ว
แสงสีขาวทะลุผ่านตราประทับพุ่งไปที่กึ่งกลางหว่างคิ้วของฟังยี่อย่างรวดเร็วจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ภายใต้เสียงอุทานตกใจนับไม่ถ้วนเมื่อมันทะลุผ่าน
ทว่าภายใต้อาการตกใจ กลับไม่มีเลือดไหลออกมาจากหว่างคิ้วของฟังยี่เลย ร่างเขากลายเป็นภาพโปร่งแสงจางหายไป ซึ่งนี่ก็คือภาพมายาเท่านั้น
ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง ฟังยี่ก็ปรากฏตัวอีกครั้ง
เมื่อฟังยี่ปรากฏตัวทั้งบริเวณก็เงียบกริบ ราวกับถังน้ำเย็นสาดน้ำใส่สายตาแดงก่ำที่พุ่งตรงไปยังมู่เฉินและไฉ่เซียว พวกเขากลับคืนสู่ความสงบทันที
เพราะในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าโฉมสะคราญที่ติดตามมู่เฉินมีพลังน่ากลัวนัก!
พลังของนางสามารถเทียบได้กับจอมยุทธ์อย่างฟังยี่
หญิงสาวคนนั้นเป็นใครกัน?!
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมองหน้ากัน ไม่กล้าแสดงความเอะอะออกมาอีกแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นภาพนี้ มู่เฉินก็ถอนหายใจโล่งออก การโจมตีกลับของไฉ่เซียวงดงามหมดจด เห็นได้ว่าฟังยี่พยายามใช้ผลเทพมังกรหงส์มาเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ทั้งคู่ถูกทุกคนรุมทึ้ง แต่ใครจะคิดว่าไฉ่เซียวจะโหดกว่า นางซัดการโจมตีออกมาตรงๆ แสดงถึงพลังน่าตกใจที่มี สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนที่เบื้องล่าง
บนยอดเขาอื่นๆ หงหยู ซูปี้เยี่ย ติงเซวียนและจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงระดับสูงต่างมองไฉ่เซียวด้วยสายตาผิดแปลกไป พวกเขาต้องรู้สึกตกใจอยู่ในใจ ไม่มีใครคิดเลยว่าหญิงสาวที่ดูเปราะบางจะมีพลังน่าสะพรึงกลัวที่สามารถเทียบกับฟังยี่ได้ มีปีศาจอัจฉริยะเช่นนี้ปรากฏตัวในภูมิภาคทางเหนือตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ไฉ่เซียวยืนบนท้องฟ้าขณะมองฟังยี่ที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าด้วยสายตาไม่แยแส “ไม่ว่าแกจะพยายามยังไง ข้าก็ไม่ปล่อยแกไปวันนี้แน่”
ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ ก็คงจะเป็นตัวตลกเลยทีเดียว แต่หลังจากได้เห็นพลังของไฉ่เซียว ก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะได้แต่ตกใจอยู่ในใจ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าฟังยี่จะครองตำแหน่งยอดเยี่ยมที่สุดอีกครั้งในศึกมังกรหงส์ แต่ใครจะคิดว่าหญิงสาวที่ไม่รู้ที่มาที่ไปจะมีฝีมือไม่ด้อยกว่าอีกฝ่ายเลย
ดูเหมือนจะมีศึกยักษ์ชนยักษ์เกิดขึ้นในศึกมังกรหงส์เสียแล้ว
ได้ยินคำพูดของไฉ่เซียว สายตาของฟังยี่ก็หดลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงนุ่ม “ไม่รู้ว่าแม่นางเจ้าเป็นใคร? น่าจะไม่มีคนอย่างเจ้าอยู่ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือของเรานะ”
ไฉ่เซียวยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เมินเฉยต่อคำพูดของฟังยี่ นางหมุนตัวไปปรากฏตัวข้างมู่เฉินทันที
ฟังยี่ที่เห็นปฏิกิริยาของนาง ก็ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาไพล่มือข้างหนึ่งไว้ข้างหลังพร้อมกับสายตาล้ำลึกวูบไหวเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้นบรรยากาศในบริเวณนี้ก็เงียบลงอย่างผิดปกติ ทุกคนรู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่ไหลระหว่างจอมยุทธ์ชั้นสูง ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้สู้กันที่นี่ เพราะทุกคนกำลังรอคอยจัตุรัสมังกรหงส์ที่จะเผยออกมา…
เมื่อพวกเขาขึ้นสู่จัตุรัสมังกรหงส์ การต่อสู้น่าตื่นตะลึงก็จะอุบัติขึ้นอย่างไร้ปรานี
มู่เฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศใกล้จะหยุดนิ่งทั่วบริเวณนี้ ดวงตาเขาก็หรี่ลงพลางเร้าคลื่นหลิงในร่างกายเงียบๆ ภายใต้บรรยากาศเงียบงัน เขาได้กลิ่นพายุที่กำลังมาถึง
ตอนนี้มีจำนวนจอมยุทธ์ที่มารวมตัวกันที่นี่ราวหมู่เมฆ ฟังยี่ที่สามารถหลบได้อย่างปลอดภัยจากการโจมตีของไฉ่เซียวหลายครั้ง โยวหมิงที่ราวกับอสรพิษพิษร้ายและยังไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวก็มองพวกเขาอยู่ข้างๆ
ขณะเดียวกันยังมีเทพธิดาไร้พ่ายซูปี้เยี่ย หงหยูแห่งแดนปีศาจ ติงเซวียนแห่งตระกูลจู้หลิง และแน่นอนหลิ่วเหยียนที่จับจ้องมองเขาด้วยสายตาอาฆาต
ทุกคนล้วนไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ง่าย นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีจอมยุทธ์หลายคนที่ซ่อนพลังเอาไว้อยู่
บนจัตุรัสมังกรหงส์ครั้งนี้ไม่ขาดการต่อสู้อันดุเดือดแน่นอน
บรรยากาศหยุดนิ่งยังคงดำเนินต่อไป หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง สายตามู่เฉินก็หดเกร็ง เวลาเดียวกันสายตาของฟังยี่ โยวหมิงและคนอื่นก็เลื่อนขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่มิติเริ่มบิดเบี้ยวพร้อมกับกลิ่นอายโบราณที่คลุมเครือแผ่ออกมา
โฮก!
เสียงมังกรและหงส์ฟ้าโบราณเคลื่อนผ่านมิติ คนนับไม่ถ้วนก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นลานประลองขนาดมหึมาที่ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดปรากฏขึ้นช้าๆ ในมิติที่บิดเบี้ยว
ลานประลองโบราณค้ำยันไว้ด้วยมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงตัวมหึมา หัวและหางของพวกมันเชื่อมต่อกันสร้างลานประลองทองคำที่แบ่งชั้นชัดเจน
คนนับไม่ถ้วนดวงตากลายเป็นสีแดง ในที่สุดจัตุรัสมังกรหงส์ก็ปรากฏขึ้นแล้ว!
ตอนที่ 795
เข้าสู่ลานประลอง
ฮึ่ม!
แท่นหินมหึมาเปล่งประกายราวกับหลอมจากทองคำค่อยๆ ปรากฏตัวบนมิติบิดเบี้ยว ช่างใหญ่โตจนไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุดได้
ชั้นบนของจัตุรัสมังกรหงส์ปกคลุมด้วยชั้นเมฆหนาทึบ มีเพียงประกายสีทองแวววาวที่มองเห็น แต่แรงกดดันที่ลงมาจากท้องฟ้ากลับทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนรู้สึกหายใจไม่ออก
แรงกดดันที่แผ่ลงมาจากจัตุรัสมังกรหงส์ทรงพลังเหลือเกิน
ทว่าแม้แรงกดดันจะทรงพลัง แต่จอมยุทธ์มากมายก็ยังคงจ้องมองจัตุรัสมังกรหงส์ที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยสายตาเร่าร้อนพร้อมกับความละโมบที่อัดแน่นในดวงตา เล่าลือกันว่ามรดกของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงอยู่ที่ชั้นบนสุดของจัตุรัสนี้ ซึ่งเป็นสิ่งล่อตาล่อใจที่สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนคนใดก็ตามเป็นบ้าได้
“นี่คือจัตุรัสมังกรหงส์เรอะ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นจ้องมองลานประลองหินโบราณ เขารู้สึกได้ว่าเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น ราวกับมีบางสิ่งเรียกร้องหา เป็นความรู้สึกที่บอกเขาว่ามีบางอย่างอยู่บนจุดสูงสุดของจัตุรัสที่สามารถทำให้เขาสมบูรณ์แบบกว่าที่เป็นอยู่
“จัตุรัสมังกรหงส์ปรากฏแล้ว!”
ความเงียบดำเนินอยู่ชั่วขณะก่อนที่ความตื่นเต้นจะระเบิดออกมา จากนั้นเสียงอัดอากาศก็ดังขึ้น ร่างแสงแต่ละร่างทะยานขึ้นไปบนจัตุรัสที่ลอยอยู่บนฟ้า
ท่ามกลางคนเหล่านั้น หลายคนที่ไม่ได้รับแก่นเลือดของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ก็ยังมีความคิดว่าอาจจะมีโชคดีอยู่บ้าง ในเมื่อจัตุรัสมังกรหงส์อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาต้องลองดูสักตั้ง
มู่เฉินกับคนอื่นมองคลื่นจอมยุทธ์ขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าสงบกลับไม่เคลื่อนไหว ปล่อยให้ผู้คนเหาะเหินตรงไปยังจัตุรัสมังกรหงส์
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เสียงลมกรีดอากาศดังขึ้นบนท้องฟ้าขณะที่ร่างแสงเกือบจะปกคลุมไปทั่วขอบฟ้า มากจนแม้แต่แสงสีทองจากจัตุรัสมังกรหงส์ยังถูกปกคลุมด้วยผู้คนจำนวนมาก ช่างเป็นภาพที่ตระการตานัก
ความเร็วของร่างแสงนั้นเร็วมาก ไม่สิบกว่าอึดใจพวกเขาก็เข้าใกล้จัตุรัสแล้ว แต่เมื่อพวกเขาอยู่ห่างราวพันจั้ง แสงสีทองก็กวาดออกมาฉับพลัน
แสงสีทองเหมือนแฝงด้วยเสียงมังกรและหงส์ฟ้าคำราม
ปัง! ปัง!
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนกระเด็นกลับจากการซัดของแสงสีทอง ทันใดนั้นทุกคนก็พ่นเลือดออกมาจากปาก ร่วงลงราวกับนกปีกหักหล่นลงมาจากท้องฟ้า
ตึง!
หลุมลึกถูกสร้างเมื่อร่างคนร่วงผล็อยลงบนพื้นดินน คนที่มีพลังยุทธ์แก่กล้าก็ไม่เป็นอะไรมาก แต่คนที่ไม่เคยชำระกายมาก่อนเลือดสดถึงกับไหลออกจากอวัยวะตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหก
การกวาดล้างครั้งแรกทำให้ท้องฟ้าว่างเปล่าทันที ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่ถูกกวาดออกไป ยังมีจอมยุทธ์หลายสิบคนที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับแสงสีทอง มีร่างมังกรและหงส์ฟ้าเลือนรางวูบวาบอยู่บนผิวกายของพวกเขา เห็นชัดว่าเหล่าคนนี้ได้ชำระเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงมา ดังนั้นจึงสามารถอดทนต่อการกวาดล้างของแสงสีทองได้
“เราก็ไปกันเถอะ!”
มู่เฉินเอ่ยกับไฉ่เซียวเมื่อเห็นภาพนี้ ก่อนที่ร่างเขาจะทะยานขึ้นไปบนขอบฟ้า เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังจัตุรัสมังกรหงส์
ขณะเดียวกันกับที่มู่เฉินกับไฉ่เซียวเคลื่อนกาย ฟังยี่ โยวหมิง ซูปี้เยี่ยและคนที่เหลือก็ทะยานออกจากยอดเขา พุ่งตรงไปยังจัตุรัสอย่างรวดเร็ว
บนพื้นดินครอบคลุมด้วยเสียงโอดโอยน่าสังเวช จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนได้แต่มองคนที่มีสิทธิ์เคลื่อนกายออกไปก็ถอนหายใจอย่างขมขื่น ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีคุณสมบติแม้แต่เอานิ้วแหย่บนจัตุรัสมังกรหงส์ได้จริงๆ แต่สิ่งเดียวที่ปลอบใจพวกเขาก็คือในช่วงเวลาต่อไปจะต้องเกิดต่อสู้ดุเดือดบนจัตุรัสแน่นอน
และนี่จะเป็นการประลองระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือแท้จริง!
ฟิ้ว!
มู่เฉินพุ่งตรงไปยังจัตุรัสมังกรหงส์ ขณะที่แสงสีทองกวาดออกมาก็มีแรงกดดันหนักอึ้งครอบร่างเขาไว้ ในสถานที่แห่งนี้แม้แต่อากาศยังเหมือนแข็งตัวกลายเป็นกำแพงไร้รูปร่าง
ทว่าแรงกดดันนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดอุปสรรคใดๆ ต่อมู่เฉิน แสงจางๆ กระจายออกจากผิวกายของเขา ความรู้สึกเฉื่อยชาก็หายไป ความเร็วของเขาไม่เพียงแต่จะไม่ถูกขัดขวาง กลับยังเหมือนกับปลาได้น้ำ ความเร็วพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ขึ้นไปบนลานประลองเก่าแก่และยิ่งใหญ่แล้ว
มู่เฉินพลิ้วตัวลงบนลานหิน รู้สึกถึงความแข็งแกร่งและหนาวเย็นแผ่ออกมาจากพื้น เขากวาดสายตาไปรอบๆ ก็เห็นว่าพื้นราวกับหล่อหลอมมาจากเกล็ดมังกรทอง ทั้งแข็งแกร่งและไม่อาจทำลายได้
เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นไปก็มีปีกสีทองขนาดใหญ่กางออกเหนือลานประลองทองคำมหึมานี้ ทุกชั้นของปีกทองคำเป็นชั้นลานประลองหินแผ่ออกหายไปในชั้นเมฆหนาทึบ
วาบ!
แสงพราวแสงระยิบระยับบนจัตุรัส ขณะที่ร่างคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในพริบตา ทว่าเมื่อแต่ละคนปรากฏตัวก็ต่างทิ้งระยะห่างระหว่างกันไว้ด้วยความระแวดระวังฝ่ายตรงข้าม
ไฉ่เซียวปรากฏตัวข้างมู่เฉิน ดวงตาเย็นเยือกจ้องเขม็งที่ฟังยี่ ชัดว่านางหมายหัวฟังยี่เอาไว้แล้ว
ส่วนฟังยี่ก็สังเกตเห็นสายตาของไฉ่เซียว แม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่สายตากลับหดเกร็งลงเล็กน้อย ความลึกลับของไฉ่เซียวทำให้แม้แต่เขายังรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ดังนั้นการถูกนางหมายหัวจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเลยทีเดียว
มีจอมยุทธ์หลายสิบคนปรากฏตัวบนจัตุรัสมังกรหงส์ ทุกคนมีคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนรอบกาย นอกเหนือจากไม่กี่คน ส่วนใหญ่ต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ทั้งสิ้น!
คนเหล่านี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นสูงที่แท้จริงแห่งภูมิภาคทางเหนือ
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ปรากฏตัว จัตุรัสมังกรหงส์กลับตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำที่ไหลเวียนอยู่ในบรรยากาศ
มู่เฉินมีสีหน้านิ่งสงบ แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งรวมตัวของจอมยุทธ์หัวกะทิ มิหนำซ้ำทุกคนก็ไม่ได้ต่อกรด้วยง่ายๆ แต่เมื่อเขาร่วมมือกับไฉ่เซียวก็ไม่กลัวใครหน้าไหนที่นี่
หลังจากเห็นพลังของไฉ่เซียวแล้ว คงไม่มีคนตาบอดที่ไหนกล้าจะลงมือกับพวกเขา
ความเงียบยังคงดำเนินต่อไปบนจัตุรัสหลายนาที ก่อนที่แสงสีทองจะกำจายบนลานประลองทองคำแห่งนี้ เกล็ดมังกรปรากฏบนพื้นผิวลานประลอง ก่อร่างเป็นกระจกทองคำขนาดใหญ่
และทุกคนก็ยืนอยู่บนกระจกทองคำนี้
แสงสีทองไหลเวียนราวกับของเหลวบนผิวกระจกทองคำ ก่อนจะรวมตัวใต้ฝ่าเท้าของทุกคน เมื่อแสงสีทองสาดส่องออกมาก็ปกคลุมเท้าเอาไว้ ทันทีที่เท้าถูกแสงปกคลุม ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังไร้รูปร่างกวาดเข้าไปภายในร่าง
ฮึ่ม!
เมื่อแสงสีทองไหลออกไป ทุกคนก็เริ่มมีแสงสีทองในระดับต่างกันกำจายบนผิวกายในอึดใจต่อมา แสงสีทองเหล่านั้นมาพร้อมกับเสียงมังกรและหงส์ฟ้าร้องคำราม
“นี่เป็นการตรวจสอบแก่นเลือด!” ทุกคนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จัตุรัสมังกรหงส์นี้ดูเหมือนกำลังอ่านค่าความเข้มข้นของเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในร่างของพวกเขา และความหนาแน่นของเลือดก็เชื่อมโยงกับโอกาสที่พวกเขาจะได้ครอบครองมรดกมังกรหงส์
ดังนั้นทุกคนจึงร้อนใจขณะมองแสงสีทองที่แผ่ออกมาจากร่างกาย
ตู้ม!
ขณะที่ทุกคนมองแสงสีทองบนร่างอย่างกระวนกระวายและครุ่นคิดในใจ ทันใดนั้นเสาแสงสีทองขนาดประมาณสิบจั้งก็พุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า แสงสีทองนั้นเหนือกว่าคนอื่นๆ
ทุกคนรีบหันไปมอง ภายในแสงสีทองร่างกำยำสูงใหญ่ของติงเซวียนกำลังหัวเราะร่วน เสียงหัวเราะดังก้องราวฟ้าร้อง เห็นได้ว่าแก่นเลือดมังกรแท้จริงที่เขาชำระแรงกล้าไม่น้อย
ตู้ม!
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงหัวเราะของเขา เสาแสงสีทองขนาดเดียวกันก็พุ่งออกมาพร้อมกับเสียงมังกรคำราม ภายในแสงสีทองหลิ่วเหยียนมองมาที่มู่เฉินด้วยสายตาไม่แยแส
บนจัตุรัสใบหน้าของจอมยุทธ์จำนวนมากเปลี่ยนไป จากที่เห็นหลิ่วเหยียนกับติงเซวียนอยู่เหนือพวกเขาไปหลายส่วน
“เอี๊ยะ!”
เสียงหงส์ฟ้าใสกังวานดังออกมาสองเสียงในเวลาเดียวกัน ซูปี้เยี่ยกับหงหยูถูกปกคลุมอยู่ในแสงสีทองพร้อมกับปีกหงส์ฟ้าสยายออกมา ตัดสินจากพลังของพวกนางก็แข็งแกร่งพอตัวและไม่อ่อนแอกว่าหลิ่วเหยียนกับติงเซวียนเลย
พวกนางสร้างกายาหงส์ฟ้าพรางได้
วาบ!
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่ฟังยี่และโยวหมิง เพราะว่าพวกเขาเห็นแสงสีทองเริ่มรวมตัวกันที่ใต้ฝ่าเท้าของทั้งสอง มิหนำซ้ำยังสร้างภาพที่น่าตกใจเพราะเสามีขนาดประมาณร้อยจั้งเห็นจะได้!
ตู้ม!
แสงสีทองพวยพุ่งออกมา อึดใจต่อมาเสาแสงสีทองขนาดใหญ่สองเสาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสาแสงสีทองที่มีความหนาร้อยจั้ง ทำให้สีหน้าของเหล่าพวกหัวกะทิทั้งหลายเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
“ดูจากความผันผวนนั่น ทั้งสองคนจะต้องสร้างกายามังกรแท้จริงได้แล้วแน่ๆ!” บางคนเอ่ยออกมาอย่างอึดอัดใจ ดูเหมือนครั้งนี้จัตุรัสมังกรหงส์จะมีแค่ฟังยี่กับโยวหมิงเท่านั้นที่จะยืนหยัดอยู่ได้อีกแล้ว
“มีบางอย่างผิดปกติ ทำไมอ่านค่าของมู่เฉินไม่ได้ล่ะ?!”
ทันใดนั้นก็มีบางคนสังเกตมู่เฉิน นั่นเพราะไม่มีแสงสีทองใดปรากฏใต้ฝ่าเท้าของเขาจากจัตุรัสมังกรหงส์ ซึ่งทำให้ทุกคนอึ้งไป หรือว่าเขาไม่ได้ชำระแก่นเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง? งั้นเขามายืนอยู่บนจัตุรัสได้อย่างไร?
ท่ามกลางเสียงสงสัยจำนวนมาก กลับไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ ปรากฏบนใบหน้ามู่เฉิน เขาก้มหน้าลงมองของเหลวสีทองใต้ฝ่าเท้า เขารับรู้ได้ว่ามีระลอกคลื่นแผ่ออกมาจากร่างและระลอกคลื่นนั้นก็ทำให้เลือดในร่างกายของเขาก็เหมือนจะแสดงสัญญาณเดือดพล่าน
ความเดือดนั้นเพิ่มระดับอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงจุดสูงสุด
มู่เฉินหลับตาช้าๆ ขณะค่อยๆ กางแขนออก
เสาแสงสีทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้ว่าเสาแสงนี้จะมีขนาดเพียงร้อยจั้ง แต่มันกลับมีสีทองเข้มข้นราวกับมีแรงกดดันไม่สิ้นสุดไหลออกมา
ปัง! ปัง! ปัง!
เมื่อเสาแสงสีทองเข้มพุ่งทะยานออกจากร่างกายมู่เฉิน เสาแสงของคนอื่นๆ บนจัตุรัสก็ระเบิดเปลี่ยนเป็นประกายแสงสีทองฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ
มีเพียงเสาแสงสีทองเข้มจากร่างกายของมู่เฉินที่คงอยู่บนจัตุรัสมังกรหงส์และสาดแสงเจิดจรัสทั่วบริเวณ
ภาพนี้ราวกับประชาราษฎร์พบราชาและโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุด เสาแสงสีทองใช้วิธีนี้เป็นการเปิดเผยระยะห่างระหว่างพวกมันกับเสาแสงสีทองเข้มของมู่เฉิน
และในตอนนี้สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
脏腑 **อวัยวะภายใน (จั้งฝู่) ชื่อเรียกรวมอวัยวะภายในร่างกายของการแพทย์จีน ได้แก่ อวัยวะตัน (จั้ง) ทั้ง 5 อวัยวะกลวง (ฝู่) ทั้ง 6 และอวัยวะกลวงพิเศษ (ฉีเหิงจือฝู่)
ตอนที่ 796
เริ่มการแข่งขัน
เสาแสงสีทองเข้มยืนตระหง่าน
ราวกับว่าทะลุผ่านชั้นเมฆหนาทึบ ภายใต้แสงโชติช่วงของเสาแสงสีทองเข้ม ทั้งจัตุรัสมังกรหงส์ก็ดูสว่างไสวไปในตอนนี้เลยทีเดียว
ทุกคนต่างตะลึงเมื่อมองเสาแสงสีทองเข้มอันเป็นเอกลักษณ์ ขณะแสงฉายบนใบหน้าพวกเขา ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมการอ่านค่ามู่เฉินถึงได้ผลลัพธ์แบบนี้ นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน? หมายความว่าแก่นเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงภายในร่างกายของมู่เฉินหนาแน่นจนไม่มีใครสามารถเทียบกับเขาได้งั้นหรือ?
จากการอ่านค่าเมื่อครู่ ฟังยี่กับโยวหมิงสร้างกายามังกรแท้จริงได้ก็นับว่าน่าตกใจมากแล้ว แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะมีผลลัพธ์ที่น่ากลัวมากกว่าเสียอีก…
ความเข้มข้นของแก่นเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าท้จริงในร่างกายเขาอยู่ในระดับไหน? เขาได้รับแก่นเลือดมากขนาดนี้ได้อย่างไร?
ไม่เพียงแต่จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนในบริเวณนี้มีสีหน้าตกใจสุดขีด แม้แต่เหล่าคนที่อยู่บนจัตุรัสมังกรหงส์ยังต้องแลกเปลี่ยนสายตากันขณะที่รู้สึกมหัศจรรย์ใจ
ฟังยี่กับโยวหมิงขมวดคิ้วลงเล็กน้อยขณะมองเสาแสงของมู่เฉินด้วยสายตาวูบไหว สายตาแลกเปลี่ยนกันเบาๆ ก่อนจะละไป
ซูปี้เยี่ย หงหยู ติงเซวียนและคนอื่นต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วนเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่จากร่างของมู่เฉิน
ใบหน้าของหลิ่วเหยียนที่ไม่เคยดีก็มืดครึ้มมากกว่าเดิม รังสีสังหารลึกลงไปในดวงตาเข้มข้นมากขึ้น
เสาแสงสีทองเข้มยังคงอยู่เป็นเวลานานที่ภายใต้สายตาของทุกคน ก่อนที่จะค่อยๆ จางสลายไป
ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินค่อยๆ ลืมขึ้นพลางเหลือบมองจัตุรัสเงียบงัน เขาขมวดคิ้วเร้าคลื่นหลิงในร่างเงียบๆ
ชัดว่านี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเขากับการที่แก่นเลือดในร่างของเขาถูกเปิดเผยทันที หากเป็นไปได้มู่เฉินก็ไม่อยากให้ต้องเปิดเผยออกมา เนื่องจากนี่จะทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายของทุกคนได้ง่าย
เพราะนั่นหมายความว่าเขามีโอกาสสูงสุดที่จะได้รับมรดกมังกรหงส์
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นเป้าเกลียดชังของความอิจฉา จุดนี้สังเกตได้จากสายตาระวังที่ยิงมาอยู่เรื่อย ซึ่งสายตาเหล่านั้นในตอนแรกส่วนใหญ่ยิงเข้าหาฟังยี่กับโยวหมิง
แต่โชคดีที่เขาอยู่กับไฉ่เซียว จอมยุทธ์คนอื่นๆ เลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
เมื่อแสงสลายหายไป จัตุรัสมังกรหงส์ก็กลับสู่ความเงียบงอีกครั้ง จอมยุทธ์จำนวนมากมีสายตาเปล่งประกาย แต่ไม่มีใครกล้าเริ่มตุกติก
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองชั้นหินที่ก่อร่างจากปีกหงส์ฟ้า เห็นชัดว่ามรดกมังกรหงส์จะต้องอยู่ที่จุดสุงสุดของจัตุรัสมังกรหงส์หลงเฟิ่งแห่งนี้ หากใครต้องการรับมรดก ก็จะต้องขึ้นไปให้ได้
ผู้ที่สามารถไปถึงจุดสูงสุดคนแรกจะมีโอกาสได้รับมรดก แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าเปิดก่อน เพราะกลัวจะสร้างความเกลียดชังให้กับคนอื่น
ทว่ามู่เฉินรู้ว่าการรั้งรอจะคงอยู่ไม่นาน
และคนที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็คือฟังยี่ อันดับหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีในบันทึกมังกรหงส์ เขาเหลือบมองมู่เฉินกับไฉ่เซียวก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ในเมื่อทุกคนไม่อยากเป็นฝ่ายเริ่มก่อน งั้นก็ให้ข้าเป็นคนเริ่มก่อนละกันนะ”
เขามีฝีมือองอาจและไม่สนใจว่าใครจะทำอะไร เขาไม่รอคำตอบกระทืบเท้าทะยานตัวขึ้นไป ทิ้งภาพเงาไว้ในอากาศ
ตู้ม!
ทันทีที่ฟังยี่ขยับ ร่างโยวหมิงก็เปลี่ยนเป็นลำแสงมืดมนพุ่งผ่านขอบฟ้าราวกับสายฟ้า ทิ้งชั้นลานหินไว้เบื้องหลังอย่างรวดเร็ว
ปัง! ปัง!
เมื่อทั้งสองเคลื่อนไหว ทันใดนั้นก็ทำลายความเงียบบนจัตุรัส จอมยุทธ์ทุกคนกวาดคลื่นหลิงออกจากตัวราวกับพายุเฮอริเคน ขณะที่ลานหินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ร่างคนจำนวนมากก็ทะยานขึ้นไปบนฟ้า
มู่เฉินกับไฉ่เซียวสบตากัน ก็เปลี่ยนเป็นลำแสงเหาะออกไปเช่นเดียวกัน
สายตานับไม่ถ้วนในบริเวณนี้พุ่งตรงไปยังเส้นแสงที่พุ่งทะยานขึ้นไปก็ถูกตีกวนทันที เพราะพวกเขารู้ว่าการแข่งขันบนจัตุรัสมังกรหงส์ได้ฤกษ์ระเบิดออกมาแล้ว
เว้นแต่พวกเขาไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนที่สามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในบันทึกมังกรหงส์แน่นอน
วาบ!
มู่เฉินเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด เปลี่ยนเป็นร่างแสงเคลื่อนผ่านชั้นหินชั้นแล้วชั้นเล่า เขาเงยหน้าขึ้นมองและใช้คลื่นหลิงอำพรางพูดกับไฉ่เซียว “ยิ่งขึ้นไปชั้นบน จำนวนชั้นหินก็จะลดลงเรื่อยๆ ซึ่งชั้นหินพวกนั้นจำเป็นต่อการขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ดังนั้นเราจะต้องครองลานประลองให้ได้คนละแห่งเมื่อถึงตอนนั้น”
จากข้อมูลที่มู่เฉินได้รับ แม้ว่าจะมีลานประลองมากมายที่ชั้นล่างสุดและสามารถรองรับผู้คนได้ทั้งหมดจึงไม่จำเป็นต้องแข่งขันกัน แต่ยิ่งเมื่อพวกเขาขึ้นสูงจำนวนของลานประลองก็จะลดลง ในเวลานั้นจะเกิดสถานการณ์มีคนมากกว่าลานประลอง ดังนั้นท้ายที่สุดการต่อสู้รุนแรงก็ยังคงระเบิดออกอยู่ดี
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ไฉ่เซียวก็พยักหน้าอย่างเบาๆ “งั้นถึงตอนนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วยนะ”
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลำแสงเกือบร้อยสายพุ่งทะยานสู่ขอบฟ้าราวกับดาวหาง ขณะที่ข้ามผ่านลานประลองมังกรหงส์ที่หลอมด้วยทองคำ ช่างเป็นฉากที่น่าตื่นตา ทว่าทุกคนต่างค่อยๆ กำหมัดแน่น เพราะเริ่มรู้สึกถึงคลื่นหลิงรุนแรงมากมายที่แผ่ซ่านจากลำแสงเหล่านั้นเงียบๆ
“จำนวนลานประลองกำลังลดลงแล้ว!”
มีบางคนอุทานขึ้น พวกเขาจ้องตรงไปข้างหน้า แน่นอนว่าพวกเขาเห็นบนท้องฟ้าไกลออกไป จำนวนลานประลองมังกรหงส์ที่เคยมีมากก็ลดจำนวนลง เมื่อมองคร่าวๆ ก็เห็นชัดว่าไม่สามารถรองรับทุกคนที่มาได้แล้ว
ตู้ม!
ลำแสงเกือบร้อยสายแยกออกจากกัน คนที่เหาะขึ้นมาก่อนพุ่งตัวลงไปราวกับสายฟ้า จับจองลานประลองเอาไว้
ทว่าไม่มีสักคนที่มาถึงที่นี่ง่ายดายต่อการจัดการ การพยายามให้พวกเขายอมรับกฎมาก่อนได้ก่อนเป็นไปไม่ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นบางคนก็เริ่มมีแสงโหดร้ายกะพริบในดวงตาขณะพุ่งเข้าลงสู่ลานประลองที่ถูกยึดครอง คลื่นหลิงรุนแรงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ปัง! ปัง!
คลื่นหลิงรุนแรงกวาดออกไปบนลานประลองหลายแห่ง ทันใดนั้นบรรยากาศสงบสุขก็หายวับไปถูกแทนที่ด้วยรังสีสังหาร
ความเร็วของมู่เฉินกับไฉ่เซียวรวดเร็วมาก ดังนั้นทั้งสองจึงได้ครอบครองลานประลองเป็นคนแรกๆ
แต่ทันทีที่มู่เฉินจับจองลาน ความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงมากก็ระเบิดออกมาจากด้านหลังพร้อมกับเสียงตะเบ็งลั่น “ไสหัวไป!”
มู่เฉินมีสีหน้าสงบนิ่งขณะแสงสีทองแผ่ซ่านคลุมเครือบนชั้นผิวหนัง ราวกับก่อตัวเป็นเกล็ดมังกรทองหนาแน่น จากนั้นเขาก็ฟาดฝ่ามือกลับ
ตู้ม!
ฝ่ามือและกำปั้นปะทะกันอย่างหนักหน่วงพร้อมกับคลื่นพลังที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดออก ทว่าร่างของมู่เฉินกลับไม่ได้ขยับเขยื้อน เป็นฝ่ายหลังที่ต้องถอยออกไปหลายก้าว
เมื่อเงยหน้าขึ้นมู่เฉินก็เห็นชายชุดดำมองมาอย่างน่าขนลุก มู่เฉินไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน แต่ดูจากคลื่นหลิงที่ผันผวนบนร่างนั่น เขาก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ ทว่ายังมีช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างเขากับหลิ่วเหยียน
“ข้าเฉินฟานจากสำนักเงาภูต ข้าต้องขอให้แกหลีกทางให้ด้วย” ชายชุดดำมองมู่เฉินอย่างน่าขนลุกพร้อมกับแววเหี้ยมเกรียมอัดแน่นในดวงตา แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินไม่ได้รับมือง่าย แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เขาต้องถอย นอกจากนี้มู่เฉินกับไฉ่เซียวก็แยกกันแล้ว เขาหวังใช้โอกาสได้เปรียบนี้กำจัดมู่เฉินให้ได้
ทว่าม่านตาสีดำของมู่เฉินทำเพียงจ้องมองอย่างไม่แยแสก่อนที่จะหันหลังกลับจากไป
“รนหาที่ตาย!”
เฉินฟานกระตุกยิ้มจากความกรุ่นโกรธของสถานการณ์นี้ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้รับมือง่ายๆ แต่มันคิดว่าตัวเองเป็นฟังยี่หรือไง? ถึงกล้าเมินเขา!
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างเขาพร้อมกับร่างสีดำขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น ร่างสีดำใหญ่โตรายล้อมด้วยรัศมีชั่วร้ายราวกับอสูร เฉินฟานไม่คิดหยั่งเชิงใดๆ เขาเร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมาตั้งแต่กระบวนท่าแรก
“ร่างเงาภูต ปีศาจหมื่นเงา!”
แสงสีแดงกะพริบในดวงตาของร่างสีดำ จากนั้นมันก็ซัดฝ่ามือออกไป ภายใต้ฝ่ามือเงาดำมืดฟ้ามัวดินก็โถมซัดขึ้น ราวกับภูตผีส่งเสียงกรีดร้องแหลมแสบแก้วหู คลื่นพลังน่ากลัวทำให้มิติบิดเบี้ยวเลยทีเดียว
“นั่นเฉินฟานจากสำนักเงาภูติ เขาหมายหัวมู่เฉินแล้ว!”
“เฉินฟานคนนั้นชั่วช้า ร่างเงาภูตว่ากันว่ามีพิษร้ายแรงมาก ทุกคนที่มันฆ่าล้วนถูกดูดวิญญาณและเปลี่ยนเป็นพลังภูตผี!”
เห็นได้ว่ามีความสนใจมากมายพุ่งไปยังมู่เฉิน ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นลานหินระเบิดคลื่นหลิงออกมา ก็ดึงดูดสายตาตกตะลึงจำนวนมากในทันที
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ให้ความสนใจกับลานหินที่มู่เฉินอยู่ บนลานอื่นยังมีสายตาพุ่งตรงมาอีก แม้ว่าลานประลองของคนอื่นจะมีพลังงานรุนแรง แต่กลับไม่มีใครกล้าวางเท้าลงบนลานหินของพวกเขา
เพราะพวกเขาก็คือจอมยุทธ์หัวกะทิในบันทึกมังกรหงส์ได้แก่ฟังยี่ โยวหมิง ซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นๆ
พวกเขามองไปที่ลานประลองของมู่เฉิน เห็นชัดว่าพวกเขาอยากเห็นว่าคนที่ถูกตรวจสอบว่ามีแก่นเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเข้มข้นที่สุดมีความสามารถตรงกับที่ได้รับหรือไม่
กรีด! กรีด!
เสียงภูตผีกรีดร้องปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ขณะฝ่ามือใหญ่ของร่างสีดำครอบร่างมู่เฉินไว้ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน
มู่เฉินยืนอย่างมั่นคงภายในเงาขนาดใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นมองฝ่ามือสีดำที่กำลังปกคลุมตัวเขาไว้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นเขาก็กำหมัด
แสงสีทองเจิดจ้าระเบิดจากร่างเขา พริบตาต่อมาก็ดูราวกับดวงตะวันร้อนแรงเปล่งแสงสีทองสว่างไสว ทำให้คนจำนวนมากต้องหรี่ตาลง
แต่วินาทีนี้คนที่มีสายตาแหลมคมก็เห็นปีกหงส์คู่หนึ่งแผ่สยายที่แผ่นหลังของมู่เฉินเมื่อแสงสีทองปรากฏ ปีกหงส์กวาดออกราวกับแสงคมกริบพาดผ่านขอบฟ้า
แสงสีทองโชนขึ้นวูบหนึ่งแล้วหายไป
ร่างของมู่เฉินกลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง เขาไม่หันหลังกลับขณะเดินไปข้างหน้า ฝ่ามือสีดำและร่างเงาภูตหยุดเคลื่อนไหวเหนือร่างเขา แสงสีทองละเอียดกระจายออกมาจากฝ่ามือของมัน พล่านไปถึงส่วนหัวของร่างเงาภูต…
ปัง!
แสงสีทองระเบิดออกมาจากแสงเหล่านั้น ร่างเงาภูติก็ระเบิดเป็นริ้วแสงจำนวนมาก ภายในนั้นร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งกระเด็นออกมาพร้อมกับเลือดกบปาก ก่อนจะร่วงลงจากท้องฟ้าอย่างไร้พลัง ทำให้ยอดเขาพังราบเป็นหน้ากลอง…
สายตานับไม่ถ้วนตะลึงค้างเมื่อมองภาพนี้ จากนั้นเสียงสูดอากาศลึกสุดปอดก็ดังขึ้นขณะที่สายตาสั่นไหวหลายคู่มองไปที่ร่างสูงโปร่งที่เยื้องย่างไปข้างหน้าช้าๆ
แค่กระบวนท่าเดียวเขาก็เอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ได้!
มู่เฉินตอนนี้ทรงพลังมากกว่าตอนที่เขาเผชิญหน้ากับหลิ่วเหยียนเสียอีก!
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 797 เผยรัศมีแรงกล้า
ขณะที่ความผันผวนคลื่นหลิงรอบตัวลานที่มู่เฉินอยู่หายไป
ทั่วบริเวณก็ยังคงเงียบกริบลง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งบางที่กำลังยืนอยู่กลางลานประลอง
สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อและตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าความสำเร็จที่มู่เฉินเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ได้เพียงกระบวนท่าเดียวได้สั่นคลอนพวกเขาอย่างมาก
สายตาของซูปี้เยี่ยและหงหยูเปล่งประกายขณะที่แววอัศจรรย์ใจวาบผ่านใบหน้าของพวกนางไป พวกนางได้ยินการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนที่จบลงด้วยทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าพวกนางก็ไม่ได้เห็นกับตาตัวเองบวกกับการมีไฉ่เซียวทรงพลังติดตามเขา พวกนางก็ได้แต่กังขาว่าผลลัพธ์การต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนอาจจะมีไฉ่เซียวมาเกี่ยวข้องด้วย…
ทว่าเมื่อพวกนางเห็นภาพนี้ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อ ชายคนนี้ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ซึ่งไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกนางกลับไม่ได้โค่นง่ายอย่างที่พวกนางคิด
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าสู้กับหลิ่วเหยียน เพราะพลังของเขาแข็งแกร่งขนาดนี้นี่เอง
เทียบกันแล้ว สีหน้าของฟังยี่กับโยวหมิงดูสงบลงไม่น้อย แต่ดวงตาของพวกเขาได้หรี่ลงวูบหนึ่งเมื่อเห็นแสงสีทองเจิดจ้าระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน
จังหวะนั้นพวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันคุกคามเบาบางแผ่มาจากมู่เฉิน การกดขี่นั้นไม่ได้มาจากพลังของเขา แต่มาจากแก่นเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่อยู่ในร่าง
เห็นชัดว่ามู่เฉินมีแก่นเลือดมหาเทพอสูรในร่างมากกว่าพวกเขาจริงๆ
ทว่าฟังยี่ก็ไม่ประหลาดใจกับความจริงข้อนี้ เพราะเขารู้ว่าสระมังกรหงส์ที่มู่เฉินกับไฉ่เซียวพบมีพลังน่าสะพรึงเพียงใด ยิ่งกว่านั้นทั้งสองยังมีผลเทพมังกรหงส์สองผล ถ้าผสมเข้าด้วยกัน ก็มากยิ่งกว่ามากที่จะสร้างกายามังกรแท้จริงหรือกายาหงส์ฟ้าแท้จริงได้
ฟังยี่ไขว้นิ้วหลุบตาลงเล็กน้อย พลังของมู่เฉินแข็งแกร่งเลยทีเดียว แต่ยังไม่อยู่ในระดับที่ทำให้เขารู้สึกกลัว แต่สำหรับหญิงสาวลึกลับที่ติดตามอยู่ไม่ห่าง นับว่าเป็นตัวปัญหาเลยทีเดียว…
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินยืนเงียบๆ บนลานประลอง ขณะที่กวาดสายตาช้าๆ เหล่าจอมยุทธ์ที่ไม่สามารถขึ้นมาบนลานประลองได้ก็อดไม่ได้ที่จะเสมองไปทางอื่นด้วยสายตาวูบไหว คนที่วางแผนจะเหยียบหน้ามู่เฉินในตอนแรก ตอนนี้ก็มีเหงื่อซึมออกจากหน้าผาก รีบสลายความคิดบ้าบอที่อยู่ในใจอย่างรวดเร็ว
พิจารณาจากความแข็งแกร่งที่มู่เฉินแสดงออกมาเมื่อครู่ ก็คงจะเป็นคนโง่มากหากยังปฏิบัติต่อเขาเหมือนจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามธรรมดา
เห็นชัดว่าเขาไม่ได้พึ่งพาหญิงสาวไร้เทียมทานที่สวยและทรงพลังคนนั้นในเส้นทางยุทธ์… พลังของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่ประมาทได้เลย
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเริ่มมองหาเป้าหมายอื่นแล้ว
มู่เฉินยืนอยู่ตรงกลางลานประลองมังกรหงส์ขณะมองไปยังลานประลองอื่นๆ ตอนนี้คลื่นหลิงรุนแรงอย่างมากระเบิดออกมาจากลานประลองเหล่านั้นโดยมีร่างเทห์สวรรค์ปะทะกันอย่างต่อเนื่องในที่ไม่ไกล กวนลมพายุที่น่าตกใจออกมาทุกครั้งที่ชนกัน
เห็นชัดว่าจอมยุทธ์แต่คนมีดวงตาแดงก่ำหมายจะชิงลานประลองมังกรหงส์ที่สามารถทำให้พวกเขาก้าวขึ้นต่อไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงงัดกลยุทธ์ทุกอย่างที่มีออกมาใช้
แต่โชคดีที่หลังจากมู่เฉินแสดงพลังน่าตกตะลึงออกมา ก็ไม่มีไอ้โง่หน้าไหนกล้ามากวนใจเขาอีกง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงรอดพ้นจากปัญหาไม่จำเป็นมากมาย
สายตาของมู่เฉินกวาดมองจัตุรัสมังกรหงส์ที่มีคลื่นหลิงรุนแรงปะทุออกมา ก่อนจะเบนสายตาไปยังลานประลองบางส่วนที่สงบ มองเห็นร่างคนกลุ่มหนึ่งได้เลือนราง
ไม่มีใครกล้าก้าวขึ้นไปบนลานประลองเหล่านั้น เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจอมยุทธ์ที่อยู่บนนั้นเป็นระดับหัวกะทิในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ
แต่ละคนมีคุณสมบัติที่จะขึ้นไปบนจุดสูงสุดของจัตุรัสมังกรเลยทีเดียว
ท่ามกลางคนเหล่านี้ มู่เฉินก็เห็นหลิ่วเหยียน ตอนนี้อีกฝ่ายก็จ้องมองมาทางเขาด้วยสายตาน่าขนลุก แววตาคมกริบราวกับต้องการแทงตัวเขาให้ทะลุ
ความเป็นศัตรูของพวกเขาไม่สามารถประนีประนอมได้อีก หลังจากเกิดการต่อสู้ก่อนหน้า เห็นได้จากรังสีสังหารไม่ปิดบังที่วาววับในดวงตาของหลิ่วเหยียน ทว่าคนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวตั้งแต่ก่อนที่เขาจะสร้างกายามังกรหงส์ได้ ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่พลังของเขาพุ่งทะลุเพดาน หากต้องสู้กันอีกครั้ง เขาจะทำให้หลิ่วเหยียนซึ้งว่าไม่ง่ายที่จะเกิดผลลัพธ์แบบที่ได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่อีกครั้ง…
ดังนั้นเผชิญกับสายตาเหี้ยมเกรียมของหลิ่วเหยียน แสงในดวงตามู่เฉินก็กวาดออก ก่อนที่เขาจะเลื่อนผ่านเหลือบหางตามองไปทางฟังยี่กับโยวหมิง
เทียบกับหลิ่วเหยียนแล้ว เขาระแวงพวกที่ยากหยั่งถึงมากกว่า เนื่องจากพวกเขาสามารถหลบหลีกกระบวนท่าของไฉ่เซียวได้มาก่อน
หากเขาต้องการจะขึ้นสู่จุดสุงสุดของจัตุรัสมังกรหงส์และรับมรดกไป ฟังยี่กับโยวหมิงก็จะเป็นก้างชิ้นใหญ่สำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ตู้ม! ตู้ม!
เมื่อความคิดหมุนวนในใจมู่เฉิน ความผันผวนของคลื่นหลิงก็แผ่ออกมาจากลานประลองบางแห่งก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น เห็นได้ว่าการต่อสู้เหล่านั้นมาถึงจุดเดือดสุดแล้ว
ภายใต้การต่อสู้เข้มข้น ผลลัพธ์ถูกตัดสินอย่างรวดเร็ว บนท้องฟ้าปรากฏร่างผู้แพ้ที่ถูกโค่นลง
ในที่สุดคลื่นหลิงรุนแรงบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ สงบลงแล้ว
มู่เฉินกวาดสายตาออกไปก็เห็นมีลานประลองมังหรหงส์สามสิบสองแห่งลอยอยู่บนฟ้า ซึ่งมีจอมยุทธ์ยืนอยู่ครบจำนวนแล้ว
“เหลือสามสิบสองคนแล้วเรอะ?”
มู่เฉินเบ้ปาก มีจอมยุทธ์เกือบร้อยคนที่มีคุณสมบัติขึ้นมาบนจัตุรัสมังกรหงส์หลงเฟิ่ง แต่มากกว่าครึ่งถูกกำจัดแล้ว
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกล ก็สามารถมองเห็นลานประลองสิบหกแห่งลอยอยู่ในแสงสีทองจางๆ เห็นชัดว่ามีแค่สิบหกคนเท่านั้นที่จะผ่านในรอบถัดไป
ทุกชั้นจะต้องมีคนถูกกำจัดออกไปครึ่งหนึ่ง อัตราการกำจัดนี้นับว่าโหดร้ายนัก
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ขณะที่มู่เฉินกำลังถอนหายใจกับอัตราการกำจัด ลานประลองที่อยู่ใต้เท้าก็ระเบิดแสงสีทองออกมา เกล็ดมังกรนับไม่ถ้วนและปีกหงส์สั่นสะเทือน มีร่องรอยของของเหลวสีทองส่วนหนึ่งไหลเอื่อยผ่านเข้าสู่ร่างของพวกเขาผ่านทางฝ่าเท้า
“นี่มันแก่นเลือดมังกรและหงส์ฟ้า?!” สัมผัสได้ถึงพลังงานคุ้นเคย หนังตาของมู่เฉินก็กระตุกขึ้นเหมือนว่านี่จะเป็นรางวัลเล็กๆ น้อยๆ สำหรับจอมยุทธ์สามสิบสองคน
แก่นเลือดมังกรและหงส์ฟ้าจากจัตุรัสมังกรหงส์บริสุทธิ์อย่างยิ่ง นี่คือโชคที่ตกลงจากฟากฟ้าสำหรับจอมยุทธ์คนอื่นๆ แต่สำหรับมู่เฉินที่ดูดซับสระมังกรหงส์ชั้นยอดและชำระผลเทพมังกรหงส์แล้ว ก็เป็นแค่ของขบเคี้ยวเท่านั้น
แสงสีทองหนาแน่นปกคลุมร่างจอมยุทธ์สามสิบสองคนท่ามกลางสายตาอิจฉานับไม่ถ้วน ครู่ใหญ่แสงสีทองก็ระเบิดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสีฟ้าพร้อมกับจอมยุทธ์ที่ผ่านเข้ารอบต่อไป
แสงสีทองรวดเร็วมากราวกับว่าเจาะทะลวงมิติไปปรากฏบนขอบฟ้าสูงขึ้นไปในพริบตา จากนั้นแสงสีทองก็สลายลงพร้อมกับจอมยุทธ์สามสิบสองคนยืนอยู่บนท้องฟ้า
ที่ตรงหน้าจอมยุทธ์สามสิบสองคนคือลานประลองลอยฟ้าสิบหกแห่งที่เหมือนกับหลอมมาจากทองคำ
มองลานประลองที่มีเพียงสิบหกแห่ง ก็ไม่มีใครพูดอะไรให้มากความ ฟังยี่ โยวหมิงและจอมยุทธ์ในบันทึกมังกรหงส์พลิ้วตัวลงคนละลานด้วยสีหน้านิ่งสงบ
ร่างของมู่เฉินวาบผ่านไปปรากฏตัวบนลานประลองหนึ่งเช่นกัน เขามองสายตาคมกริบที่พุ่งตรงมาหา ก็ประสานมือ “มีสหายคนไหนต้องการชี้แนะบ้างไหม?”
บนท้องฟ้าสายตาเปล่งประกายสาดมาจากคนมากกว่าสิบที่ยืนอยู่ ในที่สุดชายหนุ่มชุดเทาก็ทะยานออกมาพลิ้วตัวลงบนลานประลองของมู่เฉิน รัศมีคมกริบแผ่ออกจากร่างเขา ทำให้มิติบิดเบี้ยวไป
“สำนักดาบทรราช หยูลู่ขอคำชี้แนะด้วย!”
เมื่อเสียงตะโกนต่ำพร่าดังจากปากหยูลู่ ร่างเขาก็พุ่งตัวออกระเบิดรัศมีดาบครอบงำทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า
พลังของจอมยุทธ์จากสำนักดาบทรราชอยู่ในระดับเดียวกับเฉินฟานเมื่อสักครู่ ดังนั้นการดวลครั้งนี้จึงกินเวลาไม่นาน เมื่อหยูลู่เห็นมู่เฉินทำให้รัศมีดาบไร้เทียมทานของตนแตกเป็นเสี่ยงด้วยนิ้วเดียว เขาก็ทราบดีถึงช่องว่างพลังที่มี ดังนั้นจึงไม่สู้ต่อให้เหนื่อย ตัดสินใจถอยกลับหลังประสานมือคำนับจบการประลอง
ยกนี้มู่เฉินชนะอีกครั้ง
ในเวลาต่อมา มู่เฉินก็ราวกับกระบี่คมที่ถูกชักออกจากฝักขณะที่รัศมีแรงกล้าเผยตัวออกมา หลังเข้าสู่รอบสิบหกคนสุดท้าย เขาก็เอาชนะจอมยุทธ์อัจฉริยะที่มากจากขั้วอำนาจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือได้อีก ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน เขาก็ก้าวเข้าสู่รอบแปดคนสุดท้าย!
เมื่อคู่ต่อสู้ที่ประมือกันในรอบแปดคนสุดท้ายล่าถอยหลังเจอการโจมตีที่ดุดัน มู่เฉินก็ระบายลมหายใจยาวเงยหน้าขึ้นมองจัตุรัสมังกรหงส์หลงเฟิ่งในชั้นสูงขึ้นไป ที่ตรงนั้นมีลานประลองยิ่งใหญ่สี่ลานประลองเท่านั้น!
เขากำหมัดแน่นช้าๆ เนื่องจากสัมผัสได้ว่าเมื่อการกำจัดยังดำเนินต่อไป คู่ต่อสู้ที่เหลืออยู่แข็งแกร่งมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะผ่านไปโดยง่ายสักคนเดียว
แต่ในเมื่อเขามาถึงตรงนี้แล้ว เขาก็ต้องขึ้นไปสู่จุดสูงสุดอยู่แล้ว ต่อให้ฟังยี่ โยวหมิงและจอมยุทธ์คนอื่นๆ จะเป็นศัตรู แต่ก็ยากที่จะทำให้คนอย่างมู่เฉินรู้สึกลัวขึ้นมาได้
“มาดูหน่อยว่าใครจะขวางทางข้าได้!” มู่เฉินอมยิ้มขณะที่ไฟแห่งต่อสู้ลุกโชนในม่านตาสีดำ
แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นอีกครั้ง มู่เฉินก็กางแขนออก ปล่อยให้แก่นเลือดมังกรและหงส์ฟ้าบริสุทธิ์ซึมเข้าสู่ร่าง ไม่นานมันก็หลอมละลายเข้าไปในเลือดเนื้อและกระดูกของเขา เปลี่ยนเป็นพลังงานไร้ขอบเขตไหลเวียนผ่านสรรพางค์กาย
เมื่อแสงสีทองจางหายไป มู่เฉินก็ลืมตาขึ้นด้วยแววตาคมกริบพล่านในส่วนลึก
จอมยุทธ์ทั้งแปดคนยืนไว้สง่ากลางอากาศ แต่คลื่นหลิงที่แผ่ออกมากลับปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทุกคนที่ด้านล่างกลั้นหายใจเฝ้าดูฉากนี้อย่างเงียบๆ
พวกเขารู้ดีว่าในที่สุดศึกมังกรหงส์ที่พวกเขาคอยมาครึ่งวันกำลังจะเข้าสู่จุดเดือดแล้ว!
รอบแปดคนสุดท้าย!
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 798 เวลาหนึ่งก้านธูป
บนขอบฟ้าห่างไกล
จอมยุทธ์แปดคนยืนอยู่กลางอากาศ แม้ว่าพวกเขาจะยืนกันเงียบๆ ไร้สุ้มเสียง ทว่าความผันผวนของคลื่นหลิงกว้างใหญ่ที่แผ่ซ่านก็ราวกับพายุกวาดหายนะไปทั่วบริเวณ มากจนแม้แต่ชั้นเมฆหนาบนท้องฟ้ายังแตกออก
คนจำนวนนับไม่ถ้วนกลั้นหายใจ แรงกดดันจากการต่อสู้ที่จะมาถึง ทำให้พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก
จอมยุทธ์ทั้งแปดบนท้องฟ้าเป็นตัวแทนของความสุดยอดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ แม้จะอยู่ในขั้วอำนาจชั้นสูง พลังของพวกเขาก็นับว่าเป็นจอมยุทธ์หัวกะทิที่มีศักยภาพไร้ขอบเขต
แต่ตอนนี้เมื่อจอมยุทธ์อัจฉริยะเหล่านี้มารวมตัวกัน ก็เหมือนกับการชนกันของดาวหาง สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน
“ไม่รู้ว่าใครจะสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดในครั้งนี้…”
“น่าจะเป็นฟังยี่หรือโยวหมิงนะ…สองคนนั่นครองตำแหน่งที่หนึ่งและที่สองในบันทึกมังกรหงส์มาหลายปี ไม่มีใครมาเขย่าตำแหน่งของพวกเขาได้เลย”
“เรื่องนี้ก็ไม่แน่นะ แม่นางลึกลับคนนั้นก็ไม่ได้อ่อนหัด แม้แต่ฟังยี่ยังกลัวนางเลย…”
“คนอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสนะ พวกซูปี้เยี่ย หงหยูก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่โค่นได้ง่ายๆ เหมือนกัน หากประมาทพวกเขา ก็อาจจมลงได้”
“สถานการณ์ตอนนี้สูสีมาก เพราะไม่มีใครที่ทรงพลังจนถึงขนาดลอยตัวเหนือคนอื่นได้”
“…”
บรรยากาศหยุดนิ่งไม่สามารถปกคลุมเสียงถกเถียงกันได้เลย ทุกคนที่มาที่นี่ได้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา พวกเขามีความสามารถบางอย่างจึงมีสายตากว้างไกล ดังนั้นการวิเคราะห์ของพวกเขาจึงเป็นไปตามตรรกะเหตุผล
เมื่อเสียงกระซิบกระซาบกระจายออกไป มู่เฉินก็สัมผัสถึงบรรยากาศหยุดนิ่ง ม่านตาสีดำของเขาก็วูบไหวเบาๆ
เขาถือว่ารู้จักกับเจ็ดคนตรงหน้ามาบ้าง นอกจากไฉ่เซียว อีกหกคนต่างเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อในบันทึกมังกรหงส์ คนที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยก็คงจะเป็นติงเซวียนแห่งตระกูลจู้หลิง ส่วนอีกหกคนที่เหลือก็เคยประหน้ามาบ้างแล้ว
ในหมู่ทั้งหกคน เขาไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรกับติงเซวียน แล้วก็ไม่นับว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกับซูปี้เยี่ยและหงหยู แต่อีกสามคนที่เหลือนับว่ามีปัญหามากกว่า
หลิ่วเหยียนนี่ไม่ต้องพูดถึง พวกเขานับเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ไม่มีวันญาติดีกันได้ ส่วนฟังยี่กับโยวหมิงก็เคยสู้กับเขาและไฉ่เซียวด้วยเรื่องก่อนหน้า ดังนั้นโดยทั่วไปก็มีความเป็นศัตรูระหว่างพวกเขา แต่แค่ไม่รู้ว่าความเป็นศัตรูลึกหรือตื้นเพียงใด
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ แม้แต่ตัวเขายังรู้สึกว่ายากที่จะลงมือ
ขณะที่มู่เฉินกำลังคิดว่าจะทำลายสถานการณ์หยุดชะงักนี้อย่างไรดี เขาก็รู้สึกถึงสายตาคมกริบราวมีดพุ่งตรงมาเปี่ยมด้วยรังสีสังหาร
มู่เฉินหันหน้าไปเล็กน้อย ตามคาดเขาเห็นหลิ่วเหยียนที่ไม่มีอารมณ์บนใบหน้า เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขามองมา รอยยิ้มชั่วร้ายสายหนึ่งก็ผุดขึ้นช้าๆ บนริมฝีปาก
ภายในบรรยากาศหยุดนิ่ง หลิ่วเหยียนกำมือขึ้นเรียกหอกยาวขึ้นมาในพริบตา ปลายหอกชี้ตรงไปที่มู่เฉินพร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ครั้งก่อนแกโชคดีหนีไปได้ แต่ครั้งนี้แกไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกแล้ว”
“คนที่วิ่งหนีหางจุกตูดไป ไม่ใช่ข้านะ” มู่เฉินยิ้มบาง
ได้ยินคำพูดนั่น หลิ่วเหยียนก็ไม่ได้โกรธกลับเอ่ยเสียงนิ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะนาง แกคิดว่าข้าจะปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่รึ?”
เขาหมายถึงไฉ่เซียว ความจริงครั้งก่อนที่สู้กับมู่เฉิน เขาไม่ใช่จะสู้ต่อไม่ได้ แต่แค่รู้สึกถูกข่มขู่ที่เห็นไฉ่เซียวสังหารชื่อเสี่ย ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหนีไปอย่างน่าสมเพช ทำให้ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ เพราะเขาเชื่อว่าตอนนั้นมู่เฉินก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน ดังนั้นหากการต่อสู้ดำเนินต่อไป เขาก็จะเป็นคนหัวเราะในท้ายสุดแน่นอน
และสถานการณ์ตอนนี้ หากเขาสู้กับมู่เฉิน ไฉ่เซียวก็เข้ามาขวางไม่ได้ เพราะคนอื่นๆ คงไม่เต็มใจที่จะเห็นพวกเขาร่วมมือกันอย่างแน่นอน
มู่เฉินยิ้ม “งั้นดูท่าแกจะหาเรื่องข้าที่นี่ใช่ไหม?”
หลิ่วเหยียนยิ้มไม่แยแส จากนั้นก็หันไปหาคนอื่นๆ “ดูเหมือนข้าต้องลงมือก่อนแล้ว ทุกคนคงไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะ?”
“ฮ่าๆ แขนขาเป็นของเจ้า ไม่มีใครหยุดเจ้าได้ แต่สหายจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ใช่ไก่อ่อนนะ หลิ่วเหยียนอย่าไปเตะแผ่นเหล็กจนเจ็บเท้าเข้าล่ะ” หงหยูแสร้งยิ้ม นางแมวยั่วสวาทตัวน้อยแห่งแดนปีศาจเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แม้นางดูเหมือนไม่ช่วยอะไรใครเลย แต่ชายใดที่ได้ยินคำพูดของนางก็จะรู้สึกไม่พอใจและจัดเต็ม
คนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่าชัดเจนที่พวกเขายินดีที่จะเห็นหลิ่วเหยียนประมือกับมู่เฉิน เนื่องจากพวกเขารู้ว่าสถานการณ์หยุดชะงักไม่สามารถดำเนินไปตลอด ดังนั้นจึงเป็นความคิดที่ดีที่จะให้หลิ่วเหยียนรับเกียรติเบิกฤกษ์ก่อน
ขณะที่คนอื่นๆ อยู่ในความเงียบ สายตาของไฉ่เซียวกลับเย็นชาลงพลางก้าวออกไปข้างหน้า
แม้นางจะก้าวออกไปข้างหน้าก้าวเดียว ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนมาที่นาง การเป็นคนลึกลับที่สุดที่นี่ ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวไฉ่เซียวนัก
ม่านตาของหลิ่วเหยียนหดเกร็งทันทีที่ไฉ่เซียวเดินออกมา ถ้าเวลานี้ไฉ่เซียวยังช่วยมู่เฉิน ก็จะเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์สำหรับเขาแน่นอน
“ฮ่าๆ แม่นาง ข้าคิดว่าเวลานี้ไม่จำเป็นต้องลงมือช่วยหรอกนะ?” ทว่าขณะที่หลิ่วเหยียนมีสีหน้าน่าเกลียดเพราะการกระทำของไฉ่เซียว ฟังยี่ที่เงียบมาตลอดก็ยิ้มบางมองไฉ่เซียวเอ่ยอย่างนุ่มนวล
“แล้วเจ้าจะทำอะไรได้บ้างถ้าข้าคิดลงมือ?” ไฉ่เซียวแค่นเสียงเย็น
ฟังยี่ยิ้ม “งั้นข้าคงทำได้เพียงขัดขวางเจ้า ยังไงก็เป็นการดีที่สุดที่จะไม่แหกกฎนะ”
เขาก้าวออกไป เสื้อผ้าสะพัดไหว มิติรอบตัวบิดเบี้ยวรุนแรงพร้อมกับระลอกคลื่นมิติปรากฏเลือนรางพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิงน่าตกใจแผ่ออกมา
เมื่อหงหยูกับคนอื่นรู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากฟังยี่ ดวงตาก็ไหวระริกอย่างควบคุมไม่ได้ ดูจากการกระเพื่อมไหวนี้ ฟังยี่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาไปแล้ว
“แค่เจ้าเหรอ?” ไฉ่เซียวมองฟังยี่พร้อมกับนิ้วเรียวเปล่งแสงอีกครั้ง นิ้วเรียวที่ดูบอบบางของนางเปี่ยมด้วยพลังที่ทำให้จอมยุทธ์อย่างฟังยี่ยังรู้สึกหวาดกลัว
ขณะที่สายตาฟังยี่ที่มองไฉ่เซียวค่อยๆ ขรึมลง โยวหมิงที่อยู่เบื้องหลังไฉ่เซียวก้าวเท้าไปข้างหน้าหลายก้าว สร้างรูปแบบกับฟังยี่ขนาบไฉ่เซียวเอาไว้
“รวมข้าด้วยพอไหม?” โยวหมิงเอ่ยเสียงเรียบเฉยขณะแสงมืดมนพวยพุ่งออกจากร่างกาย ราวกับว่าดูดกลืนแสงในบริเวณนี้ เสียงต่ำพร่าของเขาทำให้คนฟังขนลุกชันเลยทีเดียว
คนจำนวนนับไม่ถ้วนมองภาพนี้อย่างตกตะลึง แม้แต่ซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นๆ ก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ เห็นชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าอันดับหนึ่งและสองที่ทรงอิทธิพลบนบันทึกมังกรหงส์จะมายืนอยู่ด้วยกันในตอนนี้!
ในอดีตไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างฟังยี่กับโยวหมิงเลย
ฮา!
ความโกลาหลระเบิดขึ้น ถ้าความจริงนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้ว่าจะสร้างความตกตะลึงให้จอมยุทธ์รุ่นใหม่มากขนาดไหน เพราะฟังยี่กับโยวหมิงเป็นตำนานในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือเลยทีเดียว แต่ตอนนี้ตำนานทั้งสองกลับร่วมมือกันเพื่อต่อกรกับคนคนหนึ่ง มิหนำซ้ำนางยังเป็นหญิงสาวที่ดูเยาว์วัยอีกด้วย!
สีหน้าสงบนิ่งของมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปกับภาพนี้ เขาไม่คิดว่าการกระทำของไฉ่เซียวที่หวังจะช่วยเขาจะทำให้ฟังยี่กับโยวหมิงรวมตัวกันกำจัดนาง
“ผู้ชายสองคนรุมผู้หญิงคนเดียว อันดับหนึ่งและอันดับสองของบันทึกมังกรหงส์น่าขำแท้จริง” มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขารู้ว่าไฉ่เซียวเป็นคนลึกลับ แต่อย่างที่นางพูดเนื่องจากผนึกในร่างกายทำให้มีข้อจำกัดพลังที่นางสามารถใช้ได้ จากการประเมินของมู่เฉิน นางน่าจะสามารถเอาชนะได้หากสู้กับฟังยี่หรือโยวหมิงแค่คนเดียว แต่ถ้าสองคนรวมพลังกันละก็ แม้แต่ไฉ่เซียวก็ไม่อาจเป็นฝ่ายได้เปรียบ
โยวหมิงเหลือบมองมู่เฉินอย่างไม่แยแสขณะเอ่ยเสียงแหบพร่า “แกไม่มีสิทธิ์มาสะเออะเรื่องนี้ ควรพูดหลังจากเอาชนะหลิ่วเหยียนได้ก่อน นางอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เพราะแก ถ้าแกแน่นัก ก็พูดหลังจากจัดการสถานการณ์ของแกได้ก่อนเถอะ ไม่งั้น…”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตามองมู่เฉินอย่างเฉยเมย ในดวงตาไม่ได้ปรากฏแววดูถูกอะไร แต่แค่ไม่ได้มองมู่เฉินอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา “แกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด”
“งั้นหรือ?” แสงเข้มข้นรวมตัวกันในม่านตาสีดำของมู่เฉินขณะที่จ้องโยวหมิงเขม็ง
ทั้งบริเวณเงียบไป เพราะทุกคนไม่ได้คิดว่าสถานการณ์จะเกินเลยถึงจุดนี้ ซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นก็ฉลาดเลือกเอาตัวรอด ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบาดหมางของคนส่วนน้อยนี้ ยิ่งกว่านั้นสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาก็เต็มใจที่จะมองคนต่อสู้กัน
ไฉ่เซียวเอี้ยวหน้า เรือนผมปลิวสยายไปกับสายลม นางเหลือบมองโยวหมิงกับฟังยี่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่งดงามจนล่มเมืองได้ มากจนหญิงงามอย่างซูปี้เยี่ยและหงหยูยังด้อยกว่านางหลายขุม
ไฉ่เซียวเบนสายตาไปทางมู่เฉินพลางหัวเราะเบาๆ “ยุ่งยากเล็กน้อยในการจัดการกับสองคนนี้ แต่นับจากนี้พวกเขาก็ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้เช่นกัน ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูปจัดการกับหลิ่วเหยียน และ…”
เรียวนิ้วของนางที่เปล่งประกายงดงามก็วาดไปที่โยวหมิงที่อยู่ทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงใสกระจ่างดังขึ้นทั่วบริเวณ
“เจ้ามาขวางคนหนึ่ง ส่วนข้าก็ฆ่าคนหนึ่ง ทำได้หรือไม่?”
สายตาตกตะลึงพุ่งตรงไปที่มู่เฉิน ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมไฉ่เซียวถึงมีความมั่นใจในตัวมู่เฉินมากขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าหลิ่วเหยียนยากจะจัดการอย่างไรเลย ต่อให้มู่เฉินเอาชนะหลิ่วเหยียนได้ ก็คงเป็นเรื่องบ้าระห่ำที่สุดที่คิดจะขัดขวางโยวหมิงได้ด้วยพลังที่มี
แต่มู่เฉินไม่สนใจกับสายตาตกตะลึงเหล่านั้น เขาจ้องมองไฉ่เซียว ไม่ได้เอ่ยกล่าวอะไร เพียงแค่หันหลังดวงตาจับจ้องไปที่หลิ่วเหยียน
“หนึ่งก้านธูปเพียงพอแล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น