หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 787-788
ตอนที่ 787
ผู้พิทักษ์เกราะทอง
มิติบิดเบี้ยว
คลื่นหลิงที่ส่งผลต่อหายนะกวาดคร่าออกไป เหนือสระมังกรหงส์ชั้นยอดมีร่างสีทองยืนจังก้าพร้อมกับแสงสีทองอวลอยู่รอบตัว แผ่แรงกดดันข่มขู่ทรงพลังออกมา
มันเป็นร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์ซึ่งปกคลุมด้วยเกราะสีทองหนาหนัก แสงสีทองบนชุดเกราะนี้พร่างพราวนัก ซึ่งทำมาจากเกล็ดมังกรที่แข็งแกร่งและไม่อาจทำลายลงได้ ในมือถือหอกสงครามทองคำที่มีเส้นเลือดราวกับมังกรเลื้อยพันอยู่บนแขน บนมือกว้างมีเล็บแหลมคมซึ่งดูเหมือนกับมีดสั้นที่มีแสงเย็นเยือกวูบไหว
มันยืนเงียบๆ ในชุดเกราะสีทอง เผยให้เห็นม่านตาสีทองที่ไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ จ้องมองมาที่มู่เฉินกับไฉ่เซียวอย่างเฉยเมย
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วนเมื่อมองร่างในชุดเกราะทอง ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไปหาไฉ่เซียว “เป็นอะไรไหม?”
หัวใจของเขาสั่นสะเทือนอย่างเห็นได้ชัดเพราะเขารู้ว่าไฉ่เซียวทรงพลังและลึกลับเพียงใด ตลอดทางแทบไม่มีใครสามารถต่อกรนางได้ แต่ตอนนี้นางกลับตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบเมื่อปะทะกับร่างชุดเกราะทอง แล้วมู่เฉินจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
ไฉ่เซียวส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่สายตาจะพุ่งตรงไปยังร่างชุดเกราะทอง ความเคร่งเครียดเผยบนใบหน้างดงาม “ดูเหมือนมันจะเป็นผู้พิทักษ์ที่นี่ ระวังตัวไว้นะ มันทรงพลังมาก”
มู่เฉินพยักหน้า แม้แต่คนทรงพลังอย่างไฉ่เซียวยังอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ ดังนั้นหากเป็นเขาก็คงไม่สามารถต้านรับได้
“ผู้บุกรุก ออกจากที่นี่ มิฉะนั้นตาย!”
เมื่อร่างสีทองมองมาที่มู่เฉินกับไฉ่เซียวด้วยดวงตาที่ไร้ความรู้สึก ทันใดนั้นเสียงแหบพร่าก็ดังขึ้น แม้น้ำเสียงจะแหลมบาดหู แต่รังสีสังหารที่บรรจุอยู่ก็ทำให้มู่เฉินรู้สึกใจสั่นสะท้าน
“มันมีสติปัญญาด้วยเหรอ?” มู่เฉินกับไฉ่เซียวแลกเปลี่ยนสายตากันก็เห็นแววตกตะลึงของกันและกัน แม้สัตว์อสูรในเขตหลงเฟิ่งจะดุร้าย แต่พวกมันก็ไม่มีสติปัญญามากนัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการพูดภาษามนุษย์เลย
เห็นได้ชัดว่าผู้พิทักษ์เกราะทองไม่ธรรมดา เนื่องจากความมีสติปัญญา พลังการต่อก็ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ซึ่งนี่เป็นเรื่องน่าปวดเศียรเวียนเกล้าที่สุดสำหรับมู่เฉิน
“ออกไป!”
ผู้พิทักษ์เกราะทองชี้หอกสงครามมาที่ทั้งสองขณะที่รังสีสังหารเชี่ยวกรากกวาดออกเทียบเคียงกับพายุเฮอริเคนเลยทีเดียว ช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง
มู่เฉินมองไฉ่เซียวพร้อมกับที่ทั้งสองขมวดคิ้ว พวกเขาดั้นด้นมาถึงที่นี่ด้วยความพยายามทุกอย่างที่มี ตอนนี้สมบัติก็อยู่ตรงหน้าแล้วจะให้พวกเขาจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
“เป็นแค่มนุษย์อสูรที่ไร้เลือดเนื้อยังกล้าแสดงความโอหังออกมาอีก” ไฉ่เซียวแค่นเสียงเย็นขณะสายตาจับจ้องผู้พิทักษ์เกราะทอง ในมือปรากฏคลื่นหลิงเจ็ดสีโถมซัดราวกับคลื่นยักษ์
ตึง!
รังสีสังหารพวยพุ่งในดวงตาของผู้พิทักษ์เกราะทอง มันไม่พูดอะไรอีกก้าวเท้าไปข้างหน้า ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยว ร่างมันเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีทองพุ่งใส่ไฉ่เซียว
“หึ”
ไฉ่เซียวแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นเมื่อกำมือกระบี่ยาวเจ็ดสีก็ปรากฏขึ้น นางกระโจนตัวขึ้นโดยไม่ลังเล พร้อมกับคลื่นหลิงเจ็ดสีย้อมมิติจนตระการตา
เคร้ง! เคร้ง!
ทั้งสองโรมรันพันตูกันบนท้องฟ้า เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังออกมา ขณะที่หอกปะทะกับกระบี่ แรงกระทบคลื่นหลิงน่ากลัวก็กวาดออกราวกับพายุเฮอริเคน กรีดผ่านเมฆหนาออกจากกัน
เป็นการเผชิญหน้ากันที่ดุเดือดเลือดพล่าน
สายตาของมู่เฉินมืดครึ้มลงเมื่อมองการต่อสู้เข้มข้นบนท้องฟ้า ขณะนี้เขาไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่รังสีสังหารของผู้พิทักษ์เกราะทองมีมากล้น ราวกับเครื่องจักรสังหาร ดังนั้นหากการต่อสู้นี้ยังดำเนินต่อไป ผลลัพธ์ก็คงไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ
เคร้ง!
บนท้องฟ้า ปลายหอกและปลายกระบี่ปะทะกันอย่างแม่นยำ นอกจากคลื่นหลิงที่น่ากลัว แม้แต่ตัวอาวุธทั้งสองก็ยังโค้งงอ แต่วินาทีต่อมาก็กลับคืนรูปเดิม ทว่าคลื่นหลิงที่ระเบิดออกมาก็ผลักทั้งสองกระเด็นออกไป
ปัง!
ร่างสองร่างยิงไปยังยอดเขาสองลูกเหนือศีรษะมังกรและหงส์ฟ้าด้วยพลังที่น่ากลัว ภูเขาทั้งลูกพังทลาย หินน้อยใหญ่ร่วงหล่น
คลื่นหลิงกวาดออกมารอบตัวไฉ่เซียว สลายหินที่ร่วงลงกลายเป็นผุยผง นางกำกระบี่ยาวชี้ปลายกระบี่ลง ดวงตาฉายแสงเฉียบคมภายใน นางไม่คิดว่าร่างชุดเกราะทองจะรับมือได้ยากเย็นขนาดนี้
จากการประเมินของนาง พลังของผู้พิทักษ์เกราะทองน่าจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นห้า ซึ่งเทียบเท่าพลังที่นางใช้ได้ตอนนี้ แต่อีกฝ่ายมีชุดเกราะที่ทำจากเกล็ดมังกรที่มีพลังป้องกันน่าตกใจอยู่ด้วย
ไฉ่เซียวขบฟัน หากไม่ใช่เพราะสภาพร่างกายของนางถูกบิดาทิ้งผนึกไว้บนร่าง ก็เป็นเรื่องง่ายเพียงพลิกฝ่ามือในการทำลายผู้พิทักษ์เกราะทอง
แต่น่าเสียดาย…
บึ้ม!
ภูเขาที่ไกลออกไปพังทลาย หินก้อนใหญ่ปลิวว่อน ร่างสีทองเยื้องย่างออกมาช้าๆ สายตาไร้อารมณ์มองไฉ่เซียว เมื่อมันก้าวเท้ามาข้างหน้า ลวดลายสีทองก็ปรากฏบนชุดเกราะเกล็ดมังกร ขณะเดียวกันแสงสายหนึ่งก็รวมตัวที่ด้านหลัง ก่อตัวเป็นปีกหงส์ฟ้าขนาดใหญ่คู่หนึ่ง
เมื่อปีกกระพือขึ้นลง ผืนดินที่มันยืนอยู่ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ รอยแตกกระจายออกไปคล้ายกับใยแมงมุมวิ่งพล่านไปหลายพันจั้ง
สีหน้าของมู่เฉินกับไฉ่เซียวเปลี่ยนไปในเวลานี้ เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังของผู้พิทักษ์เกราะทองที่กำลังเพิ่มสูงด้วยความเร็วน่าตกใจ
“นั่นมันลวดลายมังกรแท้จริงและปีกหงส์ฟ้าแท้จริง…” มู่เฉินจ้องมองลวดลายมังกรบนเกราะเกล็ดมังกรของผู้พิทักษ์ กับปีกที่อยู่บนหลังด้วยแววตาไม่อยากเชื่อ นี่คือพลังของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ทำไมถึงปรากฏบนร่างของมันได้? พลังทั้งสองชนิดนี้ควรจะไม่เข้ากันเหมือนน้ำกับไฟไม่ใช่หรือ?
“มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการดูดซับเลือดของมังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริง ดังนั้นจึงมีพลังของเทพอสูรทั้งสองผสมอยู่ในร่าง” ไฉ่เซียวเอ่ยเสียงขรึม
“ทำยังไงดี?” มู่เฉินถามออกมาทันที ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ผู้พิทักษ์เกราะทองถูกไฉ่เซียวบีบจนต้องปล่อยกระบวนท่าไม้ตายออกมา คลื่นหลิงที่ผันผวนรอบตัวมันดูน่ากลัวไม่น้อย
“ช่วยข้าขวางมันสักครู่หนึ่งได้ไหม? ข้าต้องการเวลา” ไฉ่เซียวขมวดคิ้ว จากนั้นสายตาก็เป็นประกายขณะมองมู่เฉิน
เมื่อถูกนางจ้องมอง แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกว่าเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเขาหมุนเร็วขึ้น ทว่าสายตาของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
เพราะเขารู้ว่าผู้พิทักษ์เกราะทองตรงหน้าทรงพลังเพียงใด นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาหลิ่วเหยียนมาเทียบ คู่ต่อสู้ครั้งนี้มีพลังแข็งแกร่งมาก เขาไม่รู้ว่าจะขัดขวางได้หรือไม่
เขามองดวงตาใสดุจหินเนื้อแก้วของไฉ่เซียวก็สูดหายใจลึกสุดปอด คำขอเช่นนี้ไม่มีบุรุษใดสามารถปฏิเสธได้
แน่นอนว่าเวลาแบบนี้ตัวเขาก็ถอยกลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาๆ ให้กับไฉ่เซียวที่มองมา
เมื่อเห็นดังนี้ ไฉ่เซียวก็คลี่ยิ้มปานล่มเมืองออกมา ก่อนที่นางจะหลับตาลงช้าๆ เมื่อดวงตางดงามปิดลง อักขระเจ็ดสีก็วูบไหวบนร่าง ชัดว่านางเองก็รู้หากนางไม่ใช่ไพ่ตายสักใบ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการผู้พิทักษ์เกราะทอง
อักขระเจ็ดสีพันรอบตัวไฉ่เซียว แม้แต่ผืนดินก็สั่นสะเทือนเบาๆ
ตึง!
ทว่าขณะที่ไฉ่เซียวรวบรวมพลัง ผู้พิทักษ์เกราะทองก็กระทืบเท้าพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับแรงกดดันโยกคลอนพื้นดิน ความรวดเร็วนั้นเร็วอย่างยิ่ง เมื่อปีกหงส์ฟ้ากระพือขึ้นลง ก้อนหินดินทรายก็ปลิวว่อนไปทุกทิศทาง
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพนี้ ผู้พิทักษ์เกราะทองเจ้าเล่ห์จริงๆ ชัดว่ามันก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่มาจากไฉ่เซียว ดังนั้นมันจึงไม่ปล่อยให้ไฉ่เซียวได้มีเวลารวบรวมพลังสึกอึดใจ
แต่ตอนนี้ไฉ่เซียวกลับหลับตานิ่งราวกับว่าสัมผัสถึงผู้พิทักษ์เกราะทองที่กำลังพุ่งตัวเข้าหาไม่ได้
“บ้าเอ๊ย!”
สีหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไป สุดท้ายก็ขบฟันสบถออกมา ก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก ร่างเคลื่อนไหวมาปรากฏตัวตรงหน้าไฉ่เซียวในพริบตา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างไม่ยั้ง แสงสีทองพวยพุ่ง ร่างเทพสุริยะถูกเร้าออกมาในทันที ในเวลาเดียวกันเสาปีศาจก็ปรากฏในมือ ฉีกท้องฟ้าพร้อมกับรังสีร้ายกาจโถมซัด
“ตู้ม!”
ร่างเทพสุริยะกำเสาปีศาจขณะที่แสงสีทองระเบิดทุกทิศทาง อึดใจก็ฟาดใส่ผู้พิทักษ์เกราะทองที่พุ่งเข้ามาแบบไม่ยั้ง
แผ่นดินแตกออกในเวลานี้ แต่ร่างสีทองนั้นกลับไม่ถูกกระทบ ปีกหงส์เบื้องหลังกางออก ช่างคมกริบราวใบมีด ฟาดลงมาปะทะกับเสาปีศาจอย่างจัง
ปัง!
ความผันผวนของคลื่นหลิงกวาดออกไปราวกับห้อตะบึง เสาปีศาจกระเด็นหลุดจากการควบคุมของร่างเทพสุริยะ พลังของผู้พิทักษ์เกราะทองช่างทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ใบหน้าของมู่เฉินซีดลง ทว่ากลับมีแสงเย็นเยือกพวยพุ่งในดวงตา เมื่อจิตใจเคลื่อนไหว ร่างเทพสุริยะก็ชกหมัดออกไปใส่ผู้พิทักษ์เกราะทองอย่างไร้ปรานี
ไม่มีริ้วอารมณ์ใดในดวงตาของผู้พิทักษ์เกราะทอง หอกสงครามทองคำในมือสั่นเทิ้มเปลี่ยนเป็นหอกแสงพุ่งออกไป สร้างรอยร้าวบนหมัดของร่างเทพสุริยะ
ร่างมันยังพุ่งใส่โดยไม่มีท่าว่าจะหยุด ม่านตาสีทองจับจ้องที่ไฉ่เซียว เห็นชัดว่ามันไม่เห็นมู่เฉินที่ขัดขวางอยู่ในสายตา
มู่เฉินยืนอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะขณะมองแสงสีทองพุ่งผ่าน เขาขบฟันแน่นสายตาก็เปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม ไม่ว่าอย่างไรเขาปล่อยมันไปไม่ได้
มู่เฉินวาดตราประทับสองมือ ดวงตะวันสีทองโชติช่วงกำจายออกมาจากหว่างคิ้วและหน้าอกของร่างเทพสุริยะ แสงเจิดจ้าสองกลุ่มรวมตัวกันพุ่งเข้ามาในร่างมู่เฉิน
“คลื่นเก้าตะวัน พลังสองตะวัน!”
แสงสีทองในรูปแบบของเหลวปกคลุมร่างของมู่เฉิน
ขณะที่แสงสีทองแผ่กระจาย มู่เฉินก็กระทืบเท้า ทันใดนั้นเองเสียงมังกรคำรามก็ดังก้อง ลวดลายมังกรทองจำนวนมากพุ่งออกจากร่างล้อมรอบตัวเขาไว้
“กายามังกรพราง!”
พลังทรงประสิทธิภาพสองชนิดพุ่งใส่เข้ามาร่างเขา ตอนนี้มู่เฉินฉายแสงสีทองและลวดลายมังกรฉวัดเฉวียนรอบตัว ช่างเป็นภาพที่อัศจรรย์นัก เขาพุ่งตัวลงไปในอึดใจต่อมา ราวกับเทพสงครามยาตราลงในสนามรบ
เบื้องล่างผู้พิทักษ์เกราะทองที่พุ่งตัวก็ชะงัก ดวงตาไร้อารมณ์หันมองร่างสีทองที่พุ่งลงมาเป็นครั้งแรก
ชัดเจนว่าในที่สุดมันก็รู้สึกถึงอันตรายบางจางในตอนนี้แล้ว
ตอนที่ 788
หนึ่งดัชนีกลืนสวรรค์
แสงสีทองพร่างพราวพุ่งลงมาจากขอบฟ้า
ช่างเป็นพลังที่ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งจนเกือบจะแตกสลายมิติลง ทำให้พื้นดินยุบตัวเป็นโพรง
ผู้พิทักษ์เกราะทองยืนอยู่ใจกลางพื้นดินที่ถล่มลง ตอนนี้มันหยุดเคลื่อนที่ สายตาเหลือบมองอย่างไร้อารมณ์ไปที่ร่างสีทองที่พุ่งลงมาเป็นครั้งแรก
ระดับพลังนั้นเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของมัน
เปรียะ!
ผู้พิทักษ์เกราะทองที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรพลางกำหมัดช้าๆ เมื่อเกล็ดมังกรเสียดสีกันก็เกิดเสียงแตกร้าวกระจายออกมาพร้อมกับพลังทรงศักยภาพทำให้เกิดระลอกคลื่นที่มองเห็นได้รอบหมัด
ม่านตาสีทองจับจ้องที่ร่างสีทองที่กำลังพุ่งมาหาโดยไร้แววอารมณ์ในดวงตา
ตู้ม!
ขณะที่ลำแสงสีทองพุ่งลงมา แววตาเฉยเมยของผู้พิทักษ์เกราะทองก็สะท้อนในดวงตามู่เฉิน สีหน้าไร้อารมณ์นั่นพอที่จะทำลายความตั้งใจของคนอื่นๆ ลง
แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ใช่คนประเภทนั้น เขาจ้องร่างผู้พิทักษ์เกราะทองเขม็ง ม่านตาสีดำไม่มีแววหวาดกลัวใดๆ กลับมีประกายคมกริบราวใบมีดพลุ่งพล่านอยู่
“โฮก!”
จุดจื้อจุนไห่ปรากฏเบื้องหลังมู่เฉินพร้อมกับเสียงมังกรและคชสารคำรามก้อง สองมังกรสองคชสารทะยานออกมาก่อตัวเป็นจานแสงอย่างรวดเร็ว
“เฉือนมันซะ!” มู่เฉินคำรามลั่นราวกับฟ้าผ่าขณะที่เขารวบรวมพลังทั้งหมดบนฝ่ามือ ทำให้จานแสงหมุนคว้างในมือเร็วจี๋ แม้แต่มิติยังเกิดรอยแตกสีดำ
วาบ!
ขณะที่จานแสงมังกรคชสารหมุนควง ก็ดูราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์เฉือนลงมาบนศีรษะของผู้พิทักษ์เกราะทองโดยไม่ลังเล ความรู้สึกคมกริบกระจายออกจากรังสีแสง ทำให้เกิดรอยตัดเรียบหลายรอยบนพื้นดิน…
โฮกกก!
ดวงตาของผู้พิทักษ์เกราะทองสะท้อนจานแสงมังกรคชสารขณะที่เปล่งเสียงคำรามราวกับสัตว์อสูรในลำคอ จากนั้นก็กำหมัดพร้อมกับเกล็ดมังกรบนแขนเบ่งบานด้วยแสง ผู้พิทักษ์เกราะทองเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกับพลังงานราวกับภูเขาไฟปะทุ ปะทะกับจานแสงมังกรคชสารอย่างหนักหน่วง
ตึง!
ทันทีที่เกิดการปะทะ แสงสว่างไสวก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มากจนแม้แต่แสงเวลากลางวันยังหรุบหรู่ลงในตอนนี้ แสงสีทองระยิบระยับปกคลุมไปทั่วรัศมีหลายหมื่นจั้งเลยทีเดียว
ปัง! ปัง!
พื้นดินใต้ร่างผู้พิทักษ์เกราะทองถล่มลงอย่างต่อเนื่อง ในม่านตามู่เฉินวาบไหวด้วยแสงเย็นเยือก แสงในดวงตาของพวกเขาดูดุดันยิ่งนัก
ตู้ม!
ดวงตะวันสีทองโชติช่วงลุกโชนตรงจุดปะทะก่อนระเบิดออก พริบตาเดียวคลื่นระเบิดน่ากลัวก็กวาดออก ร่างของมู่เฉินกับผู้พิทักษ์เกราะทองสั่นเทิ้ม ก่อนจะกระเด็นออกไปจากคลื่นระเบิด
ปัง!
ทั้งสองกระเด็นออกมาในสภาพน่าสมเพช ทะลุภูเขาไปหลายลูก ทำให้ภูเขาพังทลายลง เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ
แสงสีทองรุนแรงค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับกลุ่มควันลอยขึ้นในบริเวณนี้
เมื่อควันลอยขึ้น ร่างร่างหนึ่งก็คลานออกมาจากกองหินในสภาพน่าอนาถภายใต้ภูเขาพังทลายที่ไกลออกไป ในตอนนี้มู่เฉินถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผง ใบหน้าซีดลงเล็กน้อย เลือดไหลออกมาตามซอกนิ้วมือขวา ย้อมหินแตกกลายเป็นสีแดง
เห็นชัดว่าการปะทะกระบวนท่าเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา
มู่เฉินค่อยๆ เช็ดเลือดออกจากมุมปาก แววตกตะลึงอัดแน่นในดวงตา หลังจากแลกกระบวนท่ากับผู้พิทักษ์เกราะทองแล้ว เขาก็รู้ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน
หากไม่ใช่เพราะเขามีกายามังกรพราง แขนของเขาคงจะแหลกละเอียดไปจากการปะทะแล้ว
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการจริงๆ” มู่เฉินยิ้มขื่น ทว่าเมื่อสิ้นเสียงก็เห็นหินยักษ์บนภูเขาวินาศสันตะโรไกลออกไปได้ระเบิดเป็นผุยผง
ฝุ่นผงร่วงกราว ร่างชุดเกราะทองก็เผยตัว มันกำหอกสงครามในมือแน่น แสงสีทองรอบตัวยังคงสว่างขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยดวงตาไร้อารมณ์
จากฝ่ามือที่มันยกมือขึ้น เห็นได้ว่าเกล็ดมังกรบางส่วนแตกหัก แสดงให้เห็นว่าการโจมตีของมู่เฉินไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว
มู่เฉินมองร่างนั้นกลับรู้สึกหนาวเยือกถึงไขสันหลัง กระบวนท่าโจมตีก่อนหน้านี้แข็งแกร่งที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้เกล็ดมังกรบนฝ่ามือผู้พิทักษ์เกราะทองแตกหักเท่านั้น ไม่ได้ผลอย่างที่มู่เฉินต้องการเลย
“บ้าเอ๊ย!”
มู่เฉินขบฟันแน่นสบถด่า เทียบกับหลิ่วเหยียน ผู้พิทักษ์เกราะทองเคี้ยวยากกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว
ตู้ม!
ผู้พิทักษ์เกราะทองจ้องมองมู่เฉินด้วยม่านตาสีทอง วินาทีถัดไปก็พุ่งตัวออกมา ระหว่างทางก้อนหินต่างระเบิดเป็นผุยผง หอกสงครามในมือก็ชี้มาที่มู่เฉิน
ตอนนี้มันก็เบนการโจมตีมาที่มู่เฉินแล้ว ก่อนหน้านี้มันไม่รู้สึกว่าชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอจะมีคุณสมบัติเพียงพอ แต่ในการปะทะเมื่อครู่ ดูท่ามันจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อมู่เฉินแล้ว
มันถือว่ามู่เฉินเป็นศัตรูที่อันตรายพอ
แต่ตอนนี้มู่เฉินไม่ต้องการให้มันเพิ่มระดับความอันตรายของเขาจนถึงระดับนี้ ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าถอยหนีราวกับสายฟ้าแลบ
ในเวลานี้ ถ้ายังปะทะกับผู้พิทักษ์เกราะทอง ชัดว่าจะเป็นเรื่องบุ่มบ่ามมาก
ตู้ม!
แต่ผู้พิทักษ์เกราะทองเหมือนไม่คิดจะปล่อยเขาไป มันพุ่งตัวเข้ามา ทุกอย่างที่ขวางหน้ามันจะสลายกลายเป็นฝุ่นจนหมดสิ้น
แสงสีทองพวยพุ่งบนร่างมันพร้อมกับความเร็วเพิ่มขึ้นฉับพลัน ทิ้งภาพเงาไว้ที่เบื้องหลัง
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรงเมื่อเห็นภาพนี้ ทว่าก่อนที่เขาจะเพิ่มความเร็ว มิติก็ฉีกออกตรงหน้า เงาสีทองเลือนรางปรากฏขึ้น หอกในมือเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองเสือกแทงมาที่ลำคอของเขาอย่างไร้ปรานีและไม่ลังเล
หอกช่างน่าตกใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือวิถีทาง ก็อยู่ในระดับสมบูรณ์แบบ ดังนั้นจึงทำให้มู่เฉินได้เพียงมองหอกคมกริบขยายขนาดในดวงตา ส่วนเขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยง
แววหวาดผวาอัดแน่นในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็กัดฟันแน่นยื่นมือไปคว้าปลายหอก นี่คือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้ แม้จะต้องจ่ายด้วยราคาแพงระยับเช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าให้ลำคอทะลุเป็นรูโบ๋
ทว่าขณะที่มือของมู่เฉินและปลายหอกกำลังจะสัมผัสกัน ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวเลือนรางตรงหน้าเขา ปลายกระบี่เจ็ดสีพุ่งออกมาจากช่องว่างปะทะกับปลายหอกอย่างแม่นยำ
เสียงโลหะกระทบกันดังลั่น แสงสายรุ้งพวยพุ่ง หอกสงครามสั่นสะเทือน ร่างผู้พิทักษ์เกราะทองสั่นไหวก่อนจะกระเด็นกลับไป
ผู้พิทักษ์ถอยหลังไปร้อยกว่าก้าวก่อนจะทรงตัวได้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นฉับพลัน ม่านตาสีทองจับจ้องที่มิติตรงหน้ามู่เฉิน ตรงจุดนั้นมิติบิดเบือนพร้อมกับร่างงดงามย่างกรายช้าๆ
มู่เฉินเงยหน้ามองเช่นกัน ไฉ่เซียวยังคงเป็นไฉ่เซียว แต่ผมสีดำของนางได้เปลี่ยนเป็นเจ็ดสีตระการตาแล้ว
ผมเจ็ดสีสยายไปกับสายลม ความลึกลับที่ไม่อาจเข้าใจภายใต้ความงามทำให้คนมองรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งหัวใจ
ไฉ่เซียวเอี้ยวหน้าเล็กน้อย ม่านตาก็เปลี่ยนเป็นสีเจ็ดสี นางมองมู่เฉินด้วยใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์พร้อมกับรอยยิ้มปรากฏขึ้น
“ทำได้ดี” นางยิ้ม ในน้ำเสียงมีแววชื่นชม เห็นชัดว่าเป็นเรื่องไม่คาดคิดสำหรับนางที่มู่เฉินจะทำได้ขนาดนี้
มู่เฉินยิ้มขมขื่น นั่งลงบนก้อนหิน ร่างที่ตึงเกร็งก็ผ่อนคลายลง ความเจ็บปวดพล่านในร่างกายอยู่เรื่อย เขาเปิดปากพูดว่า “ต่อไปต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
การปะทะกับผู้พิทักษ์เกราะทองทำให้ลมปราณและกระแสเลือดแล่นพล่านไปหมด หากไม่ใช่เพราะไฉ่เซียวปรากฏตัวทันเวลาพอดี ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บหนักไปแล้วแน่นอน
เทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่อย่างหลิ่วเหยียน จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้านับว่าทรงพลังมาก
“ปล่อยที่เหลือเป็นหน้าที่ข้าเอง”
ไฉ่เซียวพยักหน้าค่อยๆ หันกลับไปมองผู้พิทักษ์เกราะทองที่อยู่ไกลออกไป แสงจางรวมตัวกันในม่านตาเจ็ดสี จากนั้นจุดแสงเจ็ดสีก็กำจายออกจากร่าง
โฮก!
ผู้พิทักษ์เกราะทองคำรามราวกับสัตว์อสูร สายตาจับจ้องไฉ่เซียว ด้วยสัญชาตญาณบอกว่าตอนนี้ไฉ่เซียวอันตรายมากกว่าเมื่อสักครู่หลายเท่านัก
ม่านตาสีทองของผู้พิทักษ์เกราะทองเปล่งแสงวูบไหว วินาทีต่อมาก็พุ่งตัวออกไป หอกสงครามในมือเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองราวกับเจาะทะลวงผ่านสวรรค์พร้อมกับแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้ปกคลุมทั่วบริเวณนี้
ดูราวกับมีร่างเงาของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงทะยานอยู่ภายในแสงสีทองขณะที่ปกคลุมตัวหอกไว้ พลังอำนาจทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังโยกคลอน
ตอนนี้ผู้พิทักษ์เกราะทองใส่พลังโจมตีเต็มพิกัดแล้ว
เมื่อมองจากไกล มู่เฉินก็อดกำหมัดไม่ได้ ไฉ่เซียวตอนนี้จะสามารถสกัดพลังโจมตีนี้ได้จริงหรือ?
ภายใต้สายตาเป็นกังวลของมู่เฉิน เรือนผมเจ็ดสีพลิ้วไปในสายลม จากนั้นนางก็วาดนิ้วเรียวขึ้นช้าๆ ปลายนิ้วเป็นประกายแสงสีขาวราวกับงาช้าง งดงามจนผู้อื่นไม่อาจละสายตาไปได้
ทว่านิ้วงดงามนี้กลับเปล่งความผันผวนที่เป็นอันตรายร้ายแรง
ไฉ่เซียวสาวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับวาดนิ้วออกไป ปะทะกับพลังโจมตีน่าตื่นตะลึงของผู้พิทักษ์เกราะทองอย่างเบามือ
ทันทีที่ปะทะกัน เสียงแผ่วเบาก็เปล่งจากริมฝีปากสีกุหลาบ ทำให้เกิดเสียงสายฟ้าคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“หนึ่งดัชนีกลืนสวรรค์!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น