หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1531-1540

 บทที่ 1531 เทพจักรพรรดิปะทะเทพปีศาจจักรพรรดิ (1)

 

หลังจากที่แซ่ทั้งสองถูกจารึกไว้


ทำเนียบเหนือภพก็ค่อยๆ จางลง ไม่กี่ลมหายใจก็หายไปจนหมด


มีเพียงความกดดันที่ยังคงอยู่ในฟ้าดินที่ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น…


ภายในดินแดนวั้นมู่ สายตาที่ลุกโชนด้วยความเคารพนับไม่ถ้วนหยุดอยู่ที่ร่างทรงพลังของสองเทพจักรพรรดิ ขณะนี้ความกดดันที่เอิบอาบมาจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว


“แม้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจะจารึกได้เพียงแค่แซ่ของพวกเขา แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปครึ่งทาง ในแง่ของความแข็งแกร่งก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์แล้ว!”


“ดูเหมือนว่ามหาพันภพจะไม่สิ้นชะตา ในอดีตเทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ยืนหยัดสู้กับอันตราย และในวันนี้เราก็ยังมีเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”


“ด้วยเทพจักรพรรดิทั้งสองในที่สุดมหาพันภพก็มีสุดยอดจอมยุทธ์ที่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปีศาจจักรพรรดิได้!”


“…”


เหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในดินแดนวั้นมู่เขียนความสุขไว้บนใบหน้า พวกเขารู้สึกสิ้นหวังจากเทพปีศาจจักรพรรดิ เนื่องจากนักรบผู้นี้ทรงพลังเหลือล้น สามารถปราบปรามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายทุกคนได้


แต่ตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามได้จารึกแซ่ไว้บนทำเนียบเหนือภพ แม้ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จเพียงครึ่งเดียว แต่ก็เริ่มเข้าสู่พลังงานลึกลับของเอกภพได้แล้ว


การมีอยู่ของทั้งสองไม่ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังเกี่ยวกับเทพปีศาจจักรพรรดิอีกต่อไป


ในที่สุดพวกเขาก็เห็นแสงสว่างท่ามกลางความสิ้นหวังและความมืดมิด


ทางฝั่งดินแดนวั้นมู่ส่งเสียงโห่ร้องยินดี แต่ทางฝั่งจักรวรรดิปีศาจกลับฉายสีหน้าไม่น่าดู


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพปีศาจจักรพรรดิที่สาดสายตาน่ากลัวใส่เซียวเหยียนและหลินต้ง เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายของเขาไปไกล


เขาคิดว่าหลังจากการตายของเทพจักรพรรดินิรันดร์จะไม่มีใครในมหาพันภพสามารถหยุดเขาได้ แต่ยามนี้มีจอมยุทธ์สองคนสามารถเขียนแซ่ตนเองไว้บนทำเนียบเหนือภพได้…


“เวรเอ้ย!” จอมปีศาจเซิ่งเทียนกัดฟันกรอดพร้อมกับความโกรธพล่านในดวงตา สถานการณ์นี้เกินแผนการของพวกเขาไปไกล ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามหาพันภพจะต้องตกอยู่ภายใต้กำมือของพวกเขาเมื่อเทพปีศาจจักรพรรดิปรากฏตัว แต่หลังจากที่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจารึกแซ่ไว้บนทำเนียบได้ พลังของมหาพันภพในปัจจุบันก็แข็งแกร่งกว่าในสมัยโบราณเสียอีก


เนื่องจากในอดีตมหาพันภพมีเพียงเทพจักรพรรดินิรันดร์คนเดียวที่สามารถจารึกชื่อไว้บนทำเนียบ แต่ขณะนี้กลับมีถึงสองคน!


ภายใต้สายตาหลากหลายอารมณ์ เซียวเหยียนและหลินต้งก็เงยหน้าขึ้น พวกเขามองไปที่เทพปีศาจพร้อมกับเสียงราบเรียบสะท้อนออกมา “ดูเหมือนแผนการของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติที่อยากยึดครองมหาพันภพของเราจะล้มเหลวนะ”


ดวงตาของเทพปีศาจกะพริบด้วยแสงอันตรายขณะตอบว่า “พวกแกสองคนทำสำเร็จเพียงแค่ครึ่งเดียว มั่นใจแค่ไหนที่จะพูดคำเหล่านั้นกับข้า?”


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น… พวกข้าก็ขอคำชี้แนะจากเทพปีศาจจักรพรรดิหน่อยนะ”


เซียวเหยียนและหลินต้งไม่พูดมาก ฉายยิ้มเฉยเมย จากนั้นแววตาก็เย็นชาลง เทพปีศาจจักรพรรดิคนนี้เป็นผู้นำของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ตราบใดที่พวกเขาสามารถปราบปรามได้ แผนการของพวกปีศาจก็จะล้มเหลว


นอกจากนี้เทพปีศาจคนนี้ก็เพิ่งหลุดออกจากผนึกได้และอยู่ในจุดอ่อนแอที่สุด ดังนั้นจะไม่ลงมือได้อย่างไร ถ้าไม่ปราบกันตอนนี้จะไปจัดการกันตอนไหน?


ทั้งสองไม่ใช่คนที่จะยืดหยุ่น ดังนั้นจึงไม่คิดให้เวลากับเทพปีศาจในการฟื้นตัว ทั้งสองก้าวออกไปคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันทันที


ขณะที่เซียวเหยียนทำท่าทางคว้ามือ ดาบหัวตัดคล้ายไม้บรรทัดสีดำปรากฏขึ้นแล้วเฉือนลงไป ทันใดนั้นเพลิงจักรพรรดิที่ร้อนระอุก็พุ่งออกมากลายเป็นรัศมีกว้างใหญ่ไพศาลแผ่ซ่านออกไป


ในเส้นทางที่ดาบใหญ่พาดผ่าน มิติก็ถูกฉีกออก


ส่วนหลินต้งก็กำหมัดแน่นแล้วซัดออกไป เสียงคำรามมังกรดังก้อง กำปั้นสีฟ้าอมเขียวพุ่งข้ามขอบฟ้า


มังกรสีฟ้าอมเขียวคำราม พลังงานแปดสายก็รวมกันอยู่ในปากมังกร ดูเหมือนว่าสามารถทำลายสวรรค์และโลกได้


ยามนี้เมื่อเซียวเหยียนและหลินต้งเปิดการโจมตี ความปั่นป่วนก็เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม แรงกดดันที่แผ่ซ่านเข้ามาจากพวกเขาทำให้แม้แต่สีหน้าเทพปีศาจยังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด


“หึ ข้าจะดูสิว่าจอมยุทธ์ในทำเนียบจะมีความสามารถแค่ไหน!”


เทพปีศาจเค้นเสียงขึ้นจมูก ดวงตาชั่วร้ายที่กลางหว่างคิ้วกะพริบพร้อมกับรัศมีปีศาจพุ่งออกมา


“ปีศาจกินโลก!”


ลำแสงปีศาจพุ่งออกมาจากดวงตาชั่วร้ายขยายออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงคำรามแหลมคมกลายเป็นปีศาจรัตติกาลขนาดมหึมา


ปีศาจตัวนั้นมีรัศมีที่น่ากลัวไหลเวียนอยู่รอบตัวพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความรุนแรงราวกับว่าสามารถทำลายและกลืนกินทุกสรรพสิ่งในโลกได้


วาบ!


เมื่อปีศาจร้ายปรากฏขึ้น ดาบใหญ่ก็ผ่าลงมา


ปีศาจร้ายคำราม กรงเล็บปะทะจังใหญ่กับดาบใหญ่พร้อมกับพลังที่สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้อย่างง่ายดาย ลบล้างการดำรงอยู่แบบสิ้นซาก


ชี่!


เมื่อดาบใหญ่กวาดผ่าน ร่างปีศาจร้ายมืดมิดก็ตัวแข็งทื่อก่อนที่เสียงคำรามโหยหวนจะดังก้องในช่วงเวลาต่อมาพร้อมกับกรงเล็บแตกหัก


โฮก!


มังกรสีฟ้าอมเขียวทะยานเข้ามาอ้าปากปล่อยลมหายใจรุนแรงสีรุ้งใส่ปีศาจร้ายตัวมหึมา


ตู้ม ตู้ม!


ขณะที่ปีศาจร้ายคำรามรุนแรงก็บินถลาออกไป แสงที่น่ากลัวบนร่างมันจางลง เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บมาก


การปะทะกันครั้งนี้เทพปีศาจตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ เห็นได้ชัดว่าเทียบไม่ได้กับเทพจักรพรรดิทั้งสอง


ภายในดินแดนวั้นมู่เสียงโห่ร้องดังออกมา เหล่าจอมยุทธ์ต่างพากันชื่นชมยินดี


ส่วนทางจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเงียบเสียงลง จอมปีศาจทุกคนแสดงสีหน้าเคร่งเครียด


“พวกแกคิดรังแกข้าในสภาพอ่อนแอที่สุดงั้นเหรอ?”


ดวงตาน่ากลัวของเทพปีศาจมองไปที่ปีศาจร้ายขนาดมหึมาที่กำลังพ่ายแพ้พร้อมกับไอเกรี้ยวกราดกะพริบในดวงตา จากนั้นก็เอี้ยวศีรษะ สะบัดแขนเสื้อ รัศมีปีศาจกวาดออกไปยังปีศาจนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างหลัง


ในเส้นทางของรัศมีปีศาจ ปีศาจนับไม่ถ้วนร่างฉีกออกจากกัน เทพปีศาจกลืนกินเลือดกลั่นของพรรคพวกเข้าไป


อ๊าก!


ภาพที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้สีหน้านักรบเผ่าปีศาจสีหน้าแตกตื่น เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหนีอย่างไรก็ถูกกลืนกินไปโดยรัศมีปีศาจ


เห็นได้ชัดว่าเพื่อฟื้นฟูพลังของตนเอง เทพปีศาจไม่สนใจวิธีที่ใช้แล้ว


เมื่อเหล่าจอมปีศาจเห็นฉากนี้ก็หดดวงตาลง ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ขัดขวางเนื่องจากรู้ดีว่ามีเพียงเทพปีศาจฟื้นคืนความแข็งแกร่ง ถึงจะมีพลังพอที่จะจัดการกับเทพจักรพรรดิทั้งสองได้


“เผ่าเล็กทั้งหลายฟังคำสั่ง ทุกเผ่าส่งนักรบราชันปีศาจคนหนึ่งเพื่อสังเวย!” เสียงเยือกเย็นของจอมปีศาจเซิ่งเทียนดังก้อง ทำให้นักรบปีศาจหลากหลายเผ่ามีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก


สำหรับเผ่าเล็กการสูญเสียนักรบราชันปีศาจหมายถึงการสั่นคลอนรากฐาน


แต่เผชิญกับความโหดร้ายของประมุขเผ่าใหญ่ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติจะคัดค้าน ดังนั้นนักรบราชันปีศาจทีละคน…ละคนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าหลังจากความวุ่นวายชั่วครู่


เทพปีศาจพยักหน้าพอใจกับภาพนี้ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ รัศมีปีศาจคำรามและกลืนกินเหล่านักรบราชันปีศาจไป


“ไม่ต้องกังวล หลังจากที่พวกเรายึดครองมหาพันภพได้ ข้าจะชดเชยความสูญเสียของทุกคน” เสียงเยือกเย็นของเทพปีศาจดังก้อง จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกและกลืนกินแก่นโลหิตที่ลอยอยู่ในอากาศเบื้องหน้า


ตู้ม ตู้ม!


แก่นโลหิตถูกกลืนกินชิ้นแล้วชิ้นเล่า ดวงตาของเทพปีศาจก็เปล่งรัศมีพร้อมกับแสงทรงกลดรัศมีปีศาจปรากฏขึ้นที่ด้านหลังศีรษะเขา แม้แต่รัศมีปีศาจรอบตัวก็ทะยานขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจ


ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ แรงกดดันปีศาจที่เกิดจากรัศมีปีศาจก็ทำให้ดินแดนวั้นมู่โยกคลอนรุนแรง


ในดินแดนวั้นมู่ ความปีติยินดีของเหล่าจอมยุทธ์หดหายไป แม้แต่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ยังหดดวงตาพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด


รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกวาดออก ต้านทานแรงกดดันคลื่นหลิงที่มาจากเทพจักรพรรดิทั้งสอง


เมื่อรัศมีปีศาจภายในร่างเทพปีศาจน่ากลัวยิ่งขึ้น มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดวงตาที่ปิดสนิททั้งสองบนหน้าผากของเทพปีศาจสั่นไหวก่อนจะค่อยๆ เปิดออก


ม่านตาน่ากลัวทั้งห้าเปิดขึ้นพร้อมกัน รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตก็ทำให้หัวคนทุกคนหวาดผวาไปหมด


“ม่านตาทั้งห้าเปิด…”


ปู้สื่อมองไปที่ภาพนี้พร้อมด้วยเสียงแหบดังก้อง “ในสมัยโบราณเทพปีศาจใช้ม่านตาสี่ดวงเท่านั้น…”


ทุกคนใจสั่นสะท้าน นั่นหมายความว่าเทพปีศาจแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนแล้วเรอะ?


ภายใต้สายตาหวาดผวาของทุกคน เทพปีศาจก็ค่อยๆ เหยียดมือออก พลังทำลายล้างพลุ่งพล่านภายในร่างกายทำให้เขาแสดงสีหน้าพอใจ


จากนั้นดวงตาทั้งห้าก็ก้มลงมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง


ในเวลาเดียวกันเสียงที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดก็ดังก้อง


“พวกแกตายตาหลับโดยไม่ต้องเสียใจที่บังคับให้ข้าใช้ห้าเนตรได้!”

 

 

 


บทที่ 1532 เทพจักรพรรดิปะทะเทพปีศาจจักรพรรดิ (2)

 

“ห้าเนตร…”


เซียวเหยียนและหลินต้งมองไปที่ร่างเบื้องหน้าด้วยสายตามืดครึ้ม ภายใต้สภาวะนี้เทพปีศาจทรงพลังมาก แม้แต่พวกเขาสองคนก็รู้สึกถึงแรงกดดัน


“ปีศาจตัวนี้ลึกล้ำเกินหยั่งรู้จริงๆ” เซียวเหยียนถอนหายใจ


“แต่ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องตายในวันนี้!” หลินต้งพูดด้วยความเย็นชาพล่านในดวงตา ตัวเขาเต็มไปด้วยความชังชิงต่อเผ่าปีศาจ


“ข้าก็คิดเช่นกัน” เซียวเหยียนยิ้มขณะที่เปลวไฟลุกโชนในดวงตา


ตู้ม!


ทันใดนั้นร่างกายทั้งสองก็สั่นสะท้าน อึดใจต่อมาคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันกลายเป็นมหาสมุทรพลังหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่เบื้องหลัง


ซ่า ซ่า


เมื่อมหาสมุทรโหมกระหน่ำ การไหลเวียนชัดเจนก็ดังก้อง แสดงให้เห็นว่าคลื่นหลิงนี้ไม่ใช่ของปลอม แต่เป็นเพราะความหนาแน่นทำให้ก่อตัวเป็นมหาสมุทร


จากสิ่งนี้ทุกคนก็เห็นได้ว่าความสามารถในการควบคุมคลื่นหลิงในฟ้าดินของทั้งสองมาถึงจุดที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใด


เซียวเหยียนสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากมหาสมุทร ควบแน่นกันเป็นดอกบัวอย่างรวดเร็ว ดอกบัวทุกดอกมีความผันผวนของการทำลายล้าง


ที่เบื้องหลังหลินต้งมหาสมุทรพลังหลิงถูกปกคลุมไปด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่บินฉวัดเฉวียนไปมา พลังงานเหล่านั้นบางครั้งจะหลอมรวมและแยกออกจากกันทำให้ยากที่จะป้องกัน


เมื่อเซียวเหยียนและหลินต้งออกกระบวนท่าก็ไม่มีรั้งรอ แม้แต่เหล่าจอมปีศาจก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปพลางถอยห่าง


มีเพียงเทพปีศาจเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ม่านตาทั้งห้าสั่นไหวด้วยรัศมีน่าขนพองสยองเกล้า เบื้องหลังรัศมีปีศาจที่รุนแรงนำมาซึ่งพลังอันน่าสะพรึงกลัว


เทพปีศาจเงยหน้าขึ้นเสียงเฉยเมยดังก้อง “น้ำตกปีศาจ”


ตู้ม!


รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตกวาดไปบนท้องฟ้าแล้วเทลงมาจากขอบฟ้าราวกับน้ำตกสีดำ ปิดกั้นไว้ที่เบื้องหน้า


น้ำตกสีดำอัดแน่นด้วยพลังที่น่ากลัว มิติเบื้องล่างพังทลายลง


ชี่ ชี่!


ดอกบัวหมุนคว้างเข้าสู่น้ำตกมืดมิด จากนั้นก็เกิดการระเบิดรุนแรง ทำให้น้ำตกแตกเป็นเสี่ยงๆ


ก่อนที่น้ำตกสีดำจะฟื้นตัว สายฟ้า น้ำแข็ง ไฟและพลังธาตุอื่นๆ ก็ซัดเข้ามา


เมื่อพลังงานเหล่านั้นฝังเข้าไปในม่านสีดำ ผลกระทบที่รุนแรงก็ดังก้อง น้ำตกสีดำถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง


พลังงานค่อยๆ หายไปเหลือเพียงมิติที่ยุบตัวเท่านั้น


สายตาเย็นเยือกสามคู่สาดประกายไฟบินว่อนในอากาศ


วาบ!


เซียวเหยียนกระชับดาบใหญ่หัวตัดสีดำ ก่อนที่จะกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าใส่เทพปีศาจ


“ดาบเพลิงสวรรค์โบราณ!”


เสียงคำรามดังก้องพร้อมกับเพลิงร้อนแรงรวมตัวที่เบื้องหน้าเป็นไม้บรรทัดใหญ่ที่เอิบอาบไปในเปลวไฟที่น่ากลัว


ดาบใหญ่ในมือของเซียวเหยียนรวมเข้ากับดาบเปลวไฟ เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็ทำให้เกิดความผันผวนที่น่ากลัว


“คทาจักรพรรดิสายฟ้า!”


สายฟ้าปกคลุมในมือของหลินต้งขณะคทาปรากฏขึ้น มือกำคทาสะบัด สายฟ้าก็แล่นแปลบปลาบที่ใต้ฝ่าเท้าเขา ทะลุผ่านมิติพุ่งไปยังเทพปีศาจ


“ควับ!”


ดาบเพลิงฟันลงมา ฉีกสวรรค์และโลกออกจากกันด้วยความผันผวนที่เห็นได้


คทาสายฟ้าเหวี่ยงออกไป มังกรสายฟ้าที่ขดอยู่รอบๆ ก็โหมกระหน่ำด้วยภาพมายา ทุกกระบวนท่านำมาซึ่งการทำลายล้างยิ่งใหญ่


เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกันก็สั่นสะเทือนไปทั้งโลกา


เผชิญหน้ากับเซียวเหยียนและหลินต้งที่ทำงานร่วมประสาน แม้แต่เทพปีศาจก็ไม่กล้าดูถูก การแสดงออกน่ากลัว เขากำมือรัศมีปีศาจรวมตัวกันกลายเป็นหอกสีดำ


หอกปีศาจสลักด้วยใบหน้านับไม่ถ้วนพร้อมกับเสียงโหยหวนแหลมคม คลื่นเสียงสามารถทำให้คลื่นหลิงของทุกคนควบคุมไม่ได้จนระเบิดออก


วาบ!


หอกในมือของเทพปีศาจแทงออกมาพร้อมกับรัศมีปีศาจผันผวน อึดใจปลายหอกก็สั่น ตัวหอกกลายเป็นมังกรปีศาจพุ่งออกมาปะทะกับดาบเพลิงและคทาสายฟ้า


เคร้ง!


เสียงโลหะปะทะกันดังกึกก้อง แรงกระทบก็กวนตัวเป็นชั้นพายุทำให้มิติพังทลายลงจากคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้อย่างต่อเนื่อง มากจนแม้แต่สะเก็ดมิติยังไม่สามารถทนรับคลื่นกระแทกได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ


เมื่อมู่เฉินและจอมยุทธ์คนอื่นๆ เห็นฉากนี้ก็อดตกใจไม่ได้ เนื่องจากคลื่นกระแทกของการต่อสู้ในระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะสามารถทนได้


เคร้ง เคร้ง!


บนท้องฟ้าเหนือดินแดนวั้นมู่ การปะทะกันของสามจักรพรรดิก็ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขณะที่พวกเขาโรมรันพันตู ดาบเพลิง คทาสายฟ้าและหอกปีศาจก็นำความผันผวนของการทำลายล้างออกมาพร้อมกับการปะทะกัน


ในเวลาไม่กี่นาทีทั้งสามก็แลกกระบวนท่ากันมากกว่าพันกระบวนท่าแล้ว


ดวงตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่มิติตรงหน้าขณะที่แสงรวมตัวกันในนัยน์ตา ทว่าเขาก็เห็นเพียงร่างเงาทั้งสาม ไม่สามารถมองตามความเร็วนั้นไปได้


“ระดับนี้…ทรงพลังจริงๆ” มู่เฉินกำหมัดแน่นพร้อมกับเลือดเดือดพล่าน นี่คือสุดยอดจอมยุทธ์อย่างแท้จริง


จอมปีศาจเซิ่งเทียนและคนอื่นๆ ก็มองไปที่ฉากนี้เช่นกัน ครู่ต่อมาเขาก็แสดงความคิดเห็นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามไม่ธรรมดาจริงๆ”


ความร่วมมือของทั้งสองเทพจักรพรรดิน่ากลัวมาก ถึงขนาดที่แม้แต่เทพปีศาจก็ไม่สามารถทำอะไรได้


“เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวไหม?” จอมปีศาจอั้นเทียนถามขึ้น


เหลือมมองไปที่ดินแดนวั้นมู่จอมปีศาจเซิ่งเทียนก็ถอนหายใจพลางส่ายหัว “แม้เราจะจัดการกับจอมยุทธ์เหล่านั้นได้ แต่ก็สั่นคลอนมหาพันภพไม่ได้ ตราบใดที่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยังคงอยู่”


“ตอนนี้เราได้แต่หวังว่าท่านเทพปีศาจจะสังหารทั้งสองคนได้”


ตึง!


หอกปีศาจคำรามขณะที่ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีปีศาจมากมายปะทะกับดาบใหญ่เพลิงและคทาสายฟ้า ขณะที่ลอนคลื่นระเบิดทั้งสามก็ถูกเป่าออกจากกัน


ทั้งสามคนทรงตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับท่าทางที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม


“เจ้าสองคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ในอดีตเลย มหาพันภพโชคดีแท้จริง” หอกปีศาจของเทพปีศาจสั่นไหวขณะที่เขาพูดออกมา


ใบหน้าของหลินต้งเย็นเยือกลง แต่เขาไม่คิดที่จะโต้เถียงอะไรกับเทพปีศาจ เขามองไปที่เซียวเหยียนพูดว่า “ปีศาจตัวนี้มีพลังมากเกินไป เรายั้งมือไม่ได้”


เซียวเหยียนหายใจออกรุนแรง พลางพยักหน้าเบาๆ และหลับตาลง อึดใจก็ลืมตาโพลงพร้อมกับเพลิงจักรพรรดิลุกโชนในดวงตา


ฟู่!


ไม่ช้าเพลิงจักรพรรดิก็พวยพุ่งออกมาโอบล้อมร่างเซียวเหยียน มหาสมุทรคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่อยู่เบื้องหลังก็เริ่มลุกไหม้


ในส่วนลึกของมหาสมุทรเริ่มปะทุขึ้น จากนั้นทุกคนก็มองเห็นดอกบัวหมื่นจั้งลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า


ดอกบัวนั้นพราวด้วยสีสันต่างๆ ทุกสีเป็นตัวแทนของเปลวไฟสวรรค์ที่แทรกซึมไปด้วยพลังน่าสะพรึงกลัว


ความกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ปล่อยออกจากดอกบัวทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป


ในเวลาเดียวกันหลินต้งก็ออกกระบวนท่า มือเขาประสานกันก่อนจะค่อยๆ ดึงออกจากกัน ทันใดนั้นรัศมีไร้ขอบเขตก็พลุ่งพล่าน สีสันทั้งแปดสีที่แตกต่างรายล้อมรอบร่าง


สามารถมองเห็นลวดลายโบราณทั้งแปดได้คลุมเครือ


“จะเทหมดหน้าตักแล้วเรอะ… แต่คิดว่าข้าจะกลัวรึไง?!” เทพปีศาจหดตาลง จากนั้นใบหน้าก็มืดครึ้มลงพลางสร้างตราประทับ ทำให้รัศมีปีศาจแปรปรวน


ประจันหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม เทพปีศาจจักรพรรดิก็ไม่กล้าดูถูก แม้จะเปิดดวงตาทั้งห้าแล้วก็ตาม


ภายใต้สายตาตกตะลึงทุกคนสามารถมองเห็นดอกบัวขนาดใหญ่ลอยคว้างบนท้องฟ้าแล่นพล่านไปด้วยเพลิงจักรพรรดิ


ลวยลายทั้งแปดหมุนคว้างรอบตัวหลินต้งอย่างรวดเร็ว ดึงดูดพลังงานเอกภพให้เคลื่อนลงมา


รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตรวมตัวกันเหนือร่างเทพปีศาจพร้อมกับไอชั่วร้ายพลุ่งพล่าน


ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นฝั่งมหาพันภพหรือฝั่งจักรวรรดิปีศาจ ใบหน้าของทุกคนล้วนเปลี่ยนไปขณะที่ถอยฉากออกมา


ใครๆ ก็บอกได้ว่าทั้งสองฝ่ายโชติช่วงไปด้วยเจตนาฆ่า พวกเขานำท่าสังหารออกมาเพื่อยุติการต่อสู้นี้แล้ว


การเผชิญหน้าดำเนินไปชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งสามจะคำรามลั่น


“บัวเพลิงจักรพรรดิพุทธะพิโรธ!”


เซียวเหยียนเปล่งเสียงขณะที่ดอกบัวทะยานออกมา เบ่งบานส่งผ่านความผันผวนของการทำลายล้าง


“ตราประทับแปดเทวลิขิต!”


หลินต้งแตะนิ้วลงไป อักขระโบราณทั้งแปดก็หลอมรวมกันกระตุ้นพลังงานเอกภพ เปลี่ยนเป็นลำแสงทำลายล้างพุ่งไปยังเทพปีศาจ


“แผนภาพเทพสังหารห้าเนตร!”


เทพปีศาจประสานมือเข้าด้วยกันพลางสร้างตราประทับ บนท้องฟ้าที่มีรัศมีปีศาจเชี่ยวกราก แผนภาพก็ปรากฏขึ้นพลางคลี่ออก


สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองกระบวนท่าทั้งสามที่พาดผ่านฟ้าดินขณะที่ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน เนื่องจากผลของการปะทะกันครั้งนี้จะชี้ชะตากรรมของมหาพันภพ…

 

 

 


บทที่ 1533 เทพจักรพรรดิปะทะเทพจักรพรรดิปีศาจ (3)

 

แผนภาพปีศาจคลี่ออกปกคลุมท้องฟ้า


รัศมีปีศาจพลุ่งพล่านสะท้อนพร้อมกับเสียงคำรามของปีศาจนับไม่ถ้วน


ขณะที่แผนภาพปรากฏก็จะเห็นดวงตาชั่วร้ายทั้งห้าเปิดขึ้นช้าๆ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยการทำลาย


เมื่อมองไปที่ดวงตาทั้งห้าดวงเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนวั้นมู่ก็เย็นเยือกไปตามแนวสันหลัง แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขายังแสดงสัญญาณอาละวาด ทำให้พวกเขาต้องรีบเลื่อนสายตาออกไป


ตู้ม!


ขณะที่แผนภาพปีศาจคลี่ออก ดอกบัวขนาดมหึมาก็เคลื่อนเข้ามาถึงพร้อมเสียงหวีดหวิว เบ่งบานด้วยสีพร่างพราวแผ่กระจายออกไประหว่างฟ้าดินพร้อมกับคลื่นทำลายล้าง


ดอกบัวหมุนคว้างวาดแนวยาวเจิดจรัสข้ามขอบฟ้า เผชิญหน้ากับแผนภาพปีศาจ ดอกบัวก็ไม่แสดงอาการลังเล พุ่งเข้าใส่เต็มแรง


เมื่อพลังงานสองสายชนกันเพลิงไม่มีที่สิ้นสุดก็ปะทุออกมาจากดอกบัวราวกับภูเขาไฟระเบิด


ครืน!


เสียงแผ่นดินพิโรธดังกึกก้อง ทั่วดินแดนวั้นมู่โยกคลอนด้วยคลื่นความร้อนลุกโชน แม้อยู่ในระยะไกลทุกคนก็รู้สึกว่าผิวจะไหม้เกรียมไปหมด


คลื่นหลิงและคลื่นปีศาจพวยพุ่งขึ้นบนร่างจอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายเพื่อต่อต้านอุณหภูมิที่น่ากลัว


ฮึ่ม!


เมื่อดอกบัวผลิบานแรงกดดันทำลายล้างก็กลืนกินแผนภาพปีศาจ ในเวลาเดียวกันแผนภาพก็แก้ลำขณะดวงตาชั่วร้ายทั้งห้าระเบิดออกด้วยอักขระปีศาจนับไม่ถ้วน


อักขระเหล่านั้นถูกสลักไว้ด้วยพลังที่น่ากลัวซึ่งกระทั่งคลื่นหลิงในร่างจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ปนเปื้อนได้ เมื่อสัมผัสถูกร่างกาย ทำให้ร่างพังทลาย ช่างโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง


อักขระปีศาจนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเข้าปะทะกับเพลิงพร่างพราว ทั้งสองต่างกัดกร่อนซึ่งกันและกัน…


ภายใต้การกัดกร่อน มิติเต็มไปด้วยหลุมบ่อ


พลังงานทรงพลังทั้งสองปะทะกัน ทันใดนั้นพลังงานสายที่สามก็เข้าร่วมต่อสู้ ลวดลายทั้งแปดพุ่งไปปะทะกับแผนภาพปีศาจ…


ตู้ม ตู้ม!


ดอกไม้เพลิงผลิบานเมื่อพลังงานสามกลุ่มเผชิญหน้ากัน แม้แต่เหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งและเหล่าจอมปีศาจก็ยังไม่กล้าเพ่งมองไป พากันเลื่อนสายตาออกไป


พร้อมกับเสียงชุดระเบิดดังก้องไปทั่วมิติ ทุกความผันผวนที่เอิบอาบเข้ามาก็ทำให้สมาชิกทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด


พลังงานนั้นสามารถตัดสินชะตากรรมของโลกได้จริงๆ


หลังจากผ่านไปสิบกว่านาทีความผันผวนที่ตลบอบอวลก็ค่อยๆ จางหายไป


เกือบจะในทันทีที่จอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายก็หันไปมองการประจันหน้า เมื่อสักครู่เทพจักพรรดิทั้งสองฝ่ายไม่ได้รั้งไว้แม้แต่นิดเดียว พวกเขาหมุนเวียนพลังจนถึงขีดสุด


นี่เป็นพลังที่สามารถทำลายทั้งทวีปได้


การเผชิญหน้าครั้งนี้จะแสดงให้เห็นถึงพลังสุดยอดของสองฝ่าย ว่าใครเหนือกว่ากัน


ฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าจะได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย


ท่ามกลางการจดจ่อของผู้คน พายุก็เริ่มสลายและทุกอย่างสงบลง… ดอกบัวเพลิงขนาดใหญ่และพลังทำลายล้างหายไปแล้ว


มีเพียงแผนภาพปีศาจที่คลี่อยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับดวงตาทั้งห้าสั่นไหว


“การโจมตีร่วมกันของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามไม่สามารถทำลายแผนภาพปีศาจได้เหรอ?” เมื่อมองไปที่เบื้องหน้าจอมยุทธ์ทุกคนต่างก็แสดงออกรุนแรง ใบหน้าซีดลง


ส่วนทางจักรวรรดิปีศาจต่างมิตินักรบทั้งหลายฉายความสุขบนใบหน้า แต่มีเพียงคิ้วของเหล่าจอมปีศาจเท่านั้นที่ขมวดเข้าหากันแน่น


“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”


มู่เฉินพึมพำขณะจ้องมองท้องฟ้า


เซียวเหยียนและหลินต้งยืนไว้สง่าบนท้องฟ้าโดยไม่มีริ้วกระเพื่อมบนใบหน้า ดวงตาเย็นชาของพวกเขามองไปที่แผนภาพปีศาจก่อนจะสะบัดนิ้ว


เกลียวไฟพุ่งออกมาตกลงบนแผนภาพปีศาจ


ฟู่ ฟู่!


ช่างคล้ายกับประกายไฟตกลงบนทะเลฝ้าย แผนภาพปีศาจไฟลุกพรึ่บ ดวงตาชั่วร้ายทั้งห้าเปล่งเสียงคำรามลั่นก่อนที่จะระเบิด…


เมื่อม่านตาทั้งห้าระเบิดร่างของเทพปีศาจก็สั่นสะท้าน สีหน้าเคร่งขรึมลง ดวงตาทั้งห้าของเขาอาบไปด้วยเลือดสีดำทำให้เขาราวกับปีศาจร้ายก็มิปาน


ความปีติยินดีบนใบหน้าของเหล่านักรบปีศาจแข็งค้าง กลายเป็นความหวาดผวาขณะมองไปที่ฉากนี้…


เห็นได้ชัดว่าเซียวเหยียนและหลินต้งมีความได้เปรียบจากการต่อสู้กระบวนท่าก่อน มิหนำซ้ำพวกเขายังทำให้เทพปีศาจได้รับบาดเจ็บ สร้างความเสียหายให้กับดวงตาชั่วร้ายเหล่านั้น


ภายในดินแดนวั้นมู่เหล่าจอมยุทธ์ที่เฝ้าดูอย่างหน้าซีดก็ตะลึงไปก่อนที่จะระเบิดเสียงโห่ร้อง


“สวรรค์ประทานพรให้มหาพันภพอย่างแท้จริง ที่ส่งเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีมา!” ปู้สื่อตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


ตอนแรกใครก็คิดว่ามหันตภัยเกิดขึ้นในมหาพันภพแล้วจากการหลุดลอดของเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่ใครจะคาดคิดว่าเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีจะก้าวขึ้นสู่ระดับเดียวกับเทพจักรพรรดินิรันดร์?


พวกฉิงเทียนก็พยักหน้าพลางถอนหายใจ “นี่เป็นพรจากสวรรค์แท้จริง เทพปีศาจทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตถ้าเราไม่มีเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคี การขาดคนใดคนหนึ่งไปก็จะไม่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปีศาจจักรพรรดิได้”


เทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังเกินไปจนถึงจุดที่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยังต้องร่วมแรงร่วมใจกัน


เทพปีศาจสวมสีหน้าเคร่งขรึมขณะลอยอยู่บนท้องฟ้า มืดปาดเลือดสีดำที่ไหลออกจากดวงตา ก่อนที่จะมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งด้วยดวงตาไร้อารมณ์ “จากพลังที่มีพวกเจ้าเพียงคนใดคนหนึ่งก็โดดเด่นยิ่งกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ ไม่คิดว่ามหาพันภพจะโชคดีเช่นนี้”


เซียวเหยียนยิ้ม “เจ้าก็ทรงพลังเช่นกัน แต่เพื่อสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพ พวกข้าก็ต้องใช้ประโยชน์จากจำนวนคน ชนะอย่างอยุติธรรมน่ะ”


เทพปีศาจกระตุกยิ้มแปลกประหลาด ไม่มีคลื่นกระเพื่อมในน้ำเสียงของเขาสำหรับความล้มเหลวครั้งก่อน “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าคาดการณ์ที่จะชนะ”


เสียงทุ้มลึกของหลินต้งดังก้อง “อย่างน้อยเจ้าก็ไม่สามารถเติมเต็มความทะเยอทะยานในการรุกรานมหาพันภพได้ชั่วคราว”


“แม้ว่าวันนี้ข้าสองคนจะได้เปรียบเพียงเล็กน้อย แต่อีกร้อยปีเมื่อพวกข้าจารึกชื่อเต็มเอาไว้ในทำเนียบเหนือภพได้ ถึงเวลานั้นพวกข้าเพียงคนหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะฆ่าเจ้า”


เสียงของหลินต้งแผ่ไปด้วยไอสังหาร


เมื่อพวกเขาสามารถจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ พวกเขาก็จะไปถึงจุดสูงสุดที่สร้างความมั่นใจได้ว่าจะสามารถสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย


เทพปีศาจหรี่ตาลงไม่ได้คิดหักล้างคำพูดเหล่านั่นแต่ถามว่า “ข้าไม่สามารถทำอะไรพวกเจ้าได้ก็จริง ถ้าไปถึงจุดสูงสุดนั่น แต่…”


เขาเอี้ยวศีรษะมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มเย็นชา “แกคิดว่าข้าจะให้เวลาเหรอ?”


เซียวเหยียนหดตาด้วยสีหน้าเย็นชา “แล้วแกจะทำอะไรได้ล่ะ?”


รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากเทพปีศาจ เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “พวกเจ้าไม่คิดว่านี่แปลกเหรอ? ในสมัยโบราณพลังของข้าแข็งแกร่งกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์อย่างชัดเจน แล้วเพราะอะไรข้าถึงให้โอกาสมันผนึกได้?”


“ง่ายมากเพราะข้าเต็มใจที่จะถูกผนึกไง”


คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมดเปลี่ยนไปพร้อมกับความตกใจในดวงตา มากจนกระทั่งเซียวเหยียนและหลินต้งถึงกับหดดวงตา


ตอนนั้นเทพปีศาจจักรพรรดิเต็มใจที่จะถูกผนึกโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์เรอะ?


“ไร้สาระสิ้นดี!” เซียวเหยียนเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ผนึกอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียวก็จะฆ่าแกแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ทำให้แกต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วย”


หลังจากเงียบไปชั่วครู่เทพปีศาจก็ถอนหายใจมองไปในฟ้าดิน “พวกเจ้ารู้ว่าอะไรคือการปราบปรามโลกหรือไม่”


คำพูดของเขาทำให้เซียวเหยียนและหลินต้งขมวดคิ้ว


“สิ่งที่เรียกว่าการปราบปรามโลกคือเมื่อสิ่งมีชีวิตต่างมิติทรงพลังเข้ามาในโลกก็จะถูกปฏิเสธ เหมือนกับการที่เผ่าปีศาจเคลื่อนพลมายังมหาพันภพ ไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงได้”


“ยิ่งคนเข้มแข็งมากเท่าไร การปราบปรามก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”


“ด้วยการปล่อยให้ตัวเองถูกปิดผนึกโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์เป็นเวลาสี่หมื่นเก้าพันปี ผนึกนี้ทำให้รัศมีของข้าปนเปื้อน ดังนั้นตราบใดที่ข้าสามารถทำลายผนึกได้ ข้าก็จะสามารถหลอกโลกและหยุดไม่ให้มันปราบปราม ด้วยการถอดผนึกออกข้าก็จะสามารถปกครองทั้งมหาพันภพได้อย่างแท้จริงโดยไม่มีการปฏิเสธจากปณิธานเอกภพและยึดจักรวาลนี้เป็นของจักรวรรดิปีศาจ”


เทพปีศาจคลี่ยิ้มให้เซียวเหยียนและหลินต้งพูดต่อว่า “เจ้าคิดว่าห้าเนตรนี้เป็นพลังสุดยอดของข้าหรือ? ข้าขอบอกว่าพวกเจ้าซื่อเกินไปแล้ว”


เสียงนี้ช่างเย็นชา ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมดรู้สึกหนาวสั่น แม้แต่ความสุขที่พวกเขาเคยได้จากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็หายไป…


“อดีตเมื่อนานมาแล้ว… ข้าถูกเรียกว่า…”


“เทพปีศาจเก้าเนตร…”

 

 

 


บทที่ 1534 เทพปีศาจเก้าเนตร

 

“เทพปีศาจเก้าเนตร!”


เสียงของเทพปีศาจจักรพรรดิดังก้องไปทั่วดินแดนวั้นมู่ในความเงียบงัน เหล่าจอมยุทธ์สวมสีหน้าขาวซีด รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง


เทพปีศาจห้าเนตรก็ทรงพลังมากอยู่แล้ว…และถ้าเขามีเก้าเนตรที่จุดสูงสุดจะน่ากลัวขนาดไหน?


เซียวเหยียนและหลินต้งหดตาลงทันใด ใบหน้าพวกเขาเย็นชาลง สายตาจ้องมองไปที่เทพปีศาจพยายามตรวจสอบว่าอีกฝ่ายพูดความจริงหรือไม่


“ทำไม? ไม่เชื่อเหรอ?”


เมื่อเห็นแววตาของเซียวเหยียนและหลินต้ง เทพปีศาจก็ยิ้มพร้อมกับร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน เสื้อผ้าท่อนบนกระจุยเป็นฝุ่นผง เผยให้เห็นรูปร่างแข็งแกร่ง ขณะที่หน้าอกของเขาสั่น ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดวงตาปิดอยู่บนหน้าอกนั่น


นอกจากนี้ยังมีดวงตาเผยขึ้นที่หน้าท้องอีกด้วย


ขณะเดียวกันเมื่อเขาแบมือออกก็มองเห็นดวงตาที่ฝ่ามือแต่ละข้าง


แม้ว่าดวงตาทั้งสี่นี้จะยังปิดอยู่ แต่ความผันผวนน่ากลัวที่แทรกซึมออกมาก็ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน


ทุกคนมีความไม่เชื่อเขียนบนใบหน้าขณะมองไปดวงตาทั้งสี่ดวง


ในความเงียบงันสรรพเสียงหายไปภายใต้ดวงตาเก้าดวง แรงกดดันที่น่าเหลือเชื่อค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา ลึกซึ้งไม่อาจหยั่งรู้ได้ราวกับขุมนรก


“หรือว่ามหาพันภพ…จะถึงคราวอวสานจริงๆ…” เสียงเหล่าจอมยุทธ์ดังก้องในความสิ้นหวัง เมื่อเผชิญกับเทพปีศาจเก้าเนตร พวกเขาไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะต่อต้าน


เทพปีศาจมองไปที่ความสิ้นหวังที่ปกคลุมดินแดนวั้นมู่ จากนั้นก็เบนดวงตาไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งพลางคลี่ยิ้ม “ถ้าพวกเจ้าฉลาดก็จงสวามิภักดิ์ต่อจักรวรรดิปีศาจของข้าซะ ข้ารับประกันความปลอดภัยของครอบครัวเจ้าและจะให้พวกเจ้าปกครองมหาพันภพ”


ความรังเกียจเพิ่มขึ้นบนริมฝีปากของเซียวเหยียน “อย่างแกนะเหรอคิดจะเก็บพวกข้าสองคนไว้? แกถึงคราวตายแน่ทันทีที่พวกข้าสลักชื่อเต็มไว้ในทำเนียบเหนือภพได้”


รอยยิ้มของเทพปีศาจหยุดชะงักชั่วครู่ ก่อนที่จะพยักหน้าพลางถอนหายใจ “ก็จริงพวกเจ้าสองคนคุกคามเกินไป… ดังนั้นข้าควรกำจัดทิ้งซะ”


หลินต้งมองไปที่เทพปีศาจพูดเสียงเย็นชา “ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถใช้เก้าเนตรได้!”


แม้ว่าดวงตาอีกสี่ดวงจะเปล่งความผันผวนที่น่ากลัว แต่หลินต้งก็สัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าเทพปีศาจยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้


มิฉะนั้นมันคงไม่ยืนพล่ามในเมื่อสามารถจัดการพวกเขาได้


เทพปีศาจหรี่ตาลงพร้อมกับคลี่ยิ้ม “ประสาทสัมผัสเฉียบมาก… อันที่จริงข้ายังไม่สามารถเปิดตาได้ทั้งหมด เพราะยังไงข้าก็เพิ่งหลุดออกจากผนึก ซึ่งข้าจะต้องใช้พลังงานมหาศาลเพื่อฟื้นฟูดวงตาทั้งเก้า ตามการประมาณก็คงต้องใช้เวลาประมาณห้าปี”


“ดังนั้นพวกเจ้าจงดีใจที่ยังมีเวลาเหลือหายใจอีกห้าปี”


เทพปีศาจจักรพรรดิยิ้มร่าขณะที่ดวงตาวับวาวด้วยความโหดร้าย


“ห้าปีนับจากนี้ ข้าจะเคลื่อนทัพมาอีกครั้ง ถึงเวลานั้นมหาพันภพจะอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้า ทุกคนจะต้องกลายเป็นทาส”


ผู้คนในดินแดนวั้นมู่ใบหน้าไร้สีกันไปหมด ห้าปีเป็นเวลาเพียงพริบตาสำหรับพวกเขา กระทั่งความสามารถของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าสิบปีในการจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ซึ่งไกลเกินกว่าห้าปีถึงสิบเท่า


ดังนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในช่วงห้าปีนี้ เมื่อใดที่เทพปีศาจจักรพรรดิกลับมาก็จะเป็นวันโลกาวินาศของมหาพันภพแท้จริง


เซียวเหยียนและหลินต้งขมวดคิ้ววูบหนึ่งก่อนที่ไอสังหารจะระเบิดออกมาจากดวงตา พวกเขามองไปที่เทพปีศาจพูดเสียงเย็นชา “งั้นแบบนี้พวกข้าก็ไม่สามารถปล่อยเจ้าไปได้ ไม่ว่าจะต้องจ่ายในราคาเท่าใดก็ตาม”


ในเมื่อเทพปีศาจต้องใช้เวลาห้าปีในการฟื้นตัว พวกเขาก็ฝังมันอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์ตั้งแต่ตอนนี้เลย!


“คิดจะฝังข้าเหรอ? พวกเจ้ายังไม่ความสามารถทำเช่นนั้นได้หรอก” เทพปีศาจตอกกลับ ในเมื่อเขาเลือกเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เขาก็ไม่คิดกลัวเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามที่พยายามจะหยุดเขาไว้


“งั้นพวกข้าสองคนก็ขอลองดู!” ไอเยือกเย็นพล่านในนัยน์ตาของเซียวเหยียนและหลินต้ง


ฮึ่ม!


หลินต้งเคลื่อนไหวออกมาเป็นคนแรก อักขระโบราณแปดตัวควบแน่นในมือก่อนจะรวมกันเป็นบาตรโบราณที่มีองค์ประกอบทั้งแปดไหลอยู่ภายใน


“บาตรแก้วแปดเทวลิขิต!”


หลินต้งส่งเสียงคำราม บาตรแก้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นกรอบคลุมขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างเทพปีศาจเอาไว้


บาตรแก้วนี้มีทั้งพลังป้องกันและโจมตี ถ้าถูกขังไว้ภายในก็จะเป็นปัญหาใหญ่ต่อเทพปีศาจแน่


“บ่วงเพลิงจักรพรรดิมัดปีศาจ!”


เซียวเหยียนขยี้มือเข้าด้วยกันก่อร่างเป็นบ่วงเพลิงโชติช่วง หากวัตถุนี้มัดเข้ากับเป้าหมายละก็ แม้แต่เทพปีศาจก็ต้องทนทุกข์ทรมาน


ในเวลานี้ทั้งเซียวเหยียนและหลินต้งไม่กล้าประมาทศัตรูอีกแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รั้งรอที่จะโจมตี


มองไปที่การโจมตีสองสายที่พุ่งเข้ามาในทิศทางของตน เทพปีศาจก็หรี่ตาลง เขารู้ว่าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะบ้าคลั่งเหมือนเทพจักรพรรดินิรันดร์ที่ยอมสละชีวิตเพื่อต่อสู้กับเขาหรือไม่


เทพปีศาจกัดนิ้วตนเอง เลือดสีดำไหลลงมา เขาเช็ดดวงตาที่ปิดอยู่บนหน้าอกวาดยันต์ไว้


เมื่อรัศมีสีดำเบ่งบาน ดวงตาดวงที่หกก็เริ่มปรือออก…


แม้ว่าจะเปิดเพียงเล็กน้อย แต่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากภายในร่างเทพปีศาจก็พุ่งสูงขึ้น ในช่วงเวลาถัดมาเขาก็ประสานมือพร้อมกับเสียงหอนของปีศาจ


“แสงปีศาจแยกขอบเขต!”


ลำแสงปีศาจสีดำมะเมื่อมยิงออกมาจากศีรษะเทพปีศาจขยายออกไป มันมีขนาดไร้ขอบเขตเมื่อพาดผ่านก็แยกโลกออกเป็นสองส่วน


ด้านหนึ่งคือดินแดนวั้นมู่ อีกด้านหนึ่งคือกองทัพจักรวรรดิปีศาจ


ขณะที่บาตรแก้วและบ่วงเพลิงพุ่งเข้าไปก็ต้องหยุดอยู่ที่ขอบเขตไม่สามารถเข้าไปได้ ราวกับถูกต้านไว้อยู่ด้านนอก


ดวงตาที่อยู่ที่หน้าอกของเทพปีศาจปิดลง รัศมีปีศาจที่พลุ่งพล่านก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว


เห็นได้ชัดว่าเขาจ่ายราคาไปมากกับการเปิดดวงตาที่หกผ่านทางทักษะลับ


ยามนี้เทพปีศาจอ่อนแอลงอย่างสิ้นเชิง


แม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากแสงปีศาจแยกโลกออกเป็นสองส่วน แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้


“เพียงแค่เปิดเนตรที่หก พลังของมันก็น่ากลัวมากแล้ว ถ้ามันฟื้นคืนเนตรทั้งเก้าจะน่ากลัวขนาดไหน?” เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาสามารถมองเห็นความกังวลและครั่นคร้ามในดวงตาของกันและกัน


เทพปีศาจมองไปที่ทั้งสองพลางพูดอย่างไม่แยแส “ข้าจะตอบแทนสิ่งที่พวกเจ้าทำในวันนี้อีกห้าปี ถึงเวลานั้นมหาพันภพจะถูกปกคลุมไปด้วยเลือด ทุกสรรพชีวิตจะถูกทำลายล้าง”


เขาโบกมือเสียงเยือกเย็นดังก้องในโสตประสาทของเหล่าปีศาจ “ถอยทัพ!”


พร้อมกับคำสั่ง รัศมีปีศาจรุนแรงพุ่งสูงขึ้นขณะที่นักรบเผ่าปีศาจพุ่งเข้าไปในรอยแยกของมิติ…


เทพปีศาจจักรพรรดิและจอมปีศาจเซิ่งเทียนอยู่รั้งเป็นคนสุดท้าย สายตามองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่ไร้ประโยชน์ของมหาพันภพด้วยอาการเยาะเย้ย


ในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป เหล่าปีศาจต่างมิติก็หายไปพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรง


มองกองทัพที่ล่าถอยไปแล้ว จอมปีศาจเซิ่งเทียนก็เข้าไปในรอยแยกมิติ เหลือเพียงเทพปีศาจจักรพรรดิยืนนิ่งอยู่คนเดียว เขาเหลือบเซียวเหยียนกับหลินต้ง


“สนุกกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตซะ นี่ถือเป็นความเมตตาครั้งสุดท้ายจากข้าที่มีต่อมหาพันภพ”


รอยยิ้มอ่อนคลี่บนใบหน้า ฝ่าเท้าก็ก้าวเข้าไปในรอยแยกมิติ จากนั้นก็โบกมือปิดรอยแยกที่ด้านหลัง


พร้อมกับการจากไปของเทพปีศาจ ขอบเขตที่แยกพื้นที่จากกันก็จางหายไป บาตรแก้วและบ่วงเพลิงไม่สามารถคว้าจับอะไรไว้ได้…


มองไปยังมิติที่ว่างเปล่า เซียวเหยียนและหลินต้งก็ฉายสีหน้าถมึงทึง เทพปีศาจจักรพรรดิอันตรายแท้จริง!


เมื่อแลกเปลี่ยนสายตากัน ก็เห็นท่าทางช่วยไม่ได้ในสายตาของกันและกัน ศึกครั้งนี้พวกเขาทำดีที่สุดแล้ว แต่พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเทพปีศาจจะยากแท้หยั่งถึงขนาดนี้…


พวกเขาพลิ้วตัวลงมาสู่ดินแดนวั้นมู่


ฉิงเทียนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ มีสีหน้าซีดขาว ดวงตาวูบไหวด้วยความวิตกกังวล


“เทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงคราม… เราจะทำยังไงดี?”


เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันก็พากันถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “เปิดประชุมเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เราจะรวบรวมความคิดเข้าด้วยกันและหาทางออกสำหรับห้าปีนับจากนี้…”

 

 

 


บทที่ 1535 บุคคลที่สาม

 

วังมหาพันภพ


ภายในวังทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ ขณะนี้ทั้งหมดเงียบเสียงลงแผ่แรงกดดันกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ


ทุกสายตาจดจ่อไปที่ชายสองคนที่ยืนอยู่กลางวัง


“ทุกคนเรากำลังเผชิญหน้ากับสงครามทำลายล้างมหาพันภพ” เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้นกวาดตามอง


เหล่าจอมยุทธ์ตกอยู่ในความเงียบ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว


“ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้ง…พวกเจ้าไม่สามารถสู้กับเทพปีศาจคนนั้นได้จริงหรือ?” ฉิงเทียนขมวดคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น


เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันก็ถอนหายใจ “ถ้าเทพปีศาจมีดวงตาห้าดวง พวกข้าก็ไม่กลัว แต่ถ้ามันมีดวงตาเก้าดวง เราคงสู้มันไม่ได้”


สายตาของหลินต้งแหลมคมขึ้นขณะพูดต่อ “เว้นแต่… พวกข้าคนใดคนหนึ่งจะสามารถจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถใช้พลังเอกภพเพื่อฆ่าเทพปีศาจจักรพรรดิได้”


ชิงซันมองไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง “ถ้าเรารวบรวมทรัพยากรทั้งหมดในมหาพันภพมา ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนจะจารึกชื่อลงไปได้หรือไม่”


เซียวเหยียนและหลินต้งพากันส่ายหัว “ชื่อเต็มไม่นับเป็นตัวอักษร ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือแซ่และส่วนที่สองเป็นชื่อ… หากเราต้องการจารึกชื่อเต็มก็ต้องใช้พลังมหาศาลที่สั่งสมด้วยตัวเองเท่านั้น แม้พวกเราจะมั่นใจ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการทำเช่นนั้น”


ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โดยทั่วไปแล้วเวลาหลายสิบปีไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ตอนนี้เทพปีศาจเหลือเวลาให้พวกเขาห้าปีเท่านั้น ก่อนที่จะกลับมาและนั่นก็จะเป็นวันโลกาวินาศของมหาพันภพ…


เวลาคือสิ่งที่พวกเขาขาดไปในตอนนี้


“ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงหรือ?” เสียงแหบพร่าของปู้สื่อดังก้อง ใบหน้าแก่ชรากลายเป็นสีเทาพร้อมกับรัศมีที่ดิ่งลง


เซียวเหยียนและหลินต้งจนคำพูด บรรยากาศในห้องโถงถูกระงับเพิ่มขึ้น


มู่เฉินมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่นิ่งงันลงก็พูดว่า “ถ้าเราไม่สามารถช่วยผู้อาวุโสทั้งสองจารึกชื่อเต็มในทำเนียบเหนือภพได้ งั้นเรารวบรวมทรัพยากรทั้งหมดและสร้างจอมยุทธ์ในทำเนียบขึ้นมาใหม่ได้ไหม? ด้วยจอมยุทธ์บนทำเนียบสามคน เราจะสามารถสู้กับเทพจักรพรรดิปีศาจได้หรือไม่?”


คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องโถงแข็งทื่อทันใด ก่อนที่เหล่าจอมยุทธ์จะเผยแววตาปีติดีใจพร้อมกับความสุขบนใบหน้า


เซียวเหยียนและหลินต้งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยความชื่นชม “ความคิดนี้เป็นไปได้ หากเพิ่มจอมยุทธ์อีกคนบนทำเนียบได้ แม้ว่าเขาจะจารึกเพียงแซ่ไว้ได้เท่านั้น เมื่อเราร่วมพลังกัน ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะเทพปีศาจได้ แต่ก็ยังสามารถข่มความเสี่ยงในชัยชนะของมันในมหาพันภพได้”


ทุกคนในห้องโถงเหมือนคว้าโอกาสรอดชีวิตสุดท้ายได้ ต่างเริ่มพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น บรรยากาศที่หดหู่ก่อนหน้าก็หายไปหลายส่วน


“แต่คำถามคือใครจะเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สาม?” เซียวเหยียนกวาดสายตาออกไป


บรรยากาศเงียบลงอีกครั้งขณะที่ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ทว่าไม่มีใครกล้าเปิดปาก ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่เป็นตัวแทนสุดยอดของมหาพันภพ แต่ต่อให้เป็นพวกเขาก็ยังหวาดกลัวทำเนียบเหนือภพลึกลับนั่น


สายตาบางส่วนพุ่งไปที่ฉิงเทียนและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ นอกเหนือจากเซียวเหยียนและหลินต้ง พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดและมีโอกาสที่สุด…


ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคน ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ฉายสีหน้าขมขื่น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายและดูเหมือนห่างจากทำเนียบเหนือภพเพียงก้าวเดียว แต่พวกเขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเรียกทำเนียบเหนือภพออกมาด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะไปถึงระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิทั้งสองได้ภายในห้าปี


เมื่อมองไปที่การแสดงออกของพวกเขา ทุกคนก็เงียบลงความสุขที่เขียนบนใบหน้าจางหาย…


เซียวเหยียนและหลินต้งสบตากันก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขารู้ไม่สามารถตำหนิคนอื่นๆ ได้เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ยากแค่ไหน


พวกเขากวาดสายตาไปก็ต้องหยุดมองที่มู่เฉิน พวกเขาเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทางละล้าละลังที่จะพูด


“มู่เฉินพูดในสิ่งที่คิดเถอะ ตอนนี้มหาพันภพถูกรุกรานตราบใดที่ยังมีความหวังเราจะไม่ยอมแพ้” เซียวเหยียนยิ้ม


ทุกคนมองไปที่มู่เฉินทันที


ตั้งรับสายตาเหล่านี้ มู่เฉินก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาลังเลชั่วครู่จากนั้นดวงตาก็ค่อยๆ คมกล้าขึ้นพลางมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง “ข้าอยากลองเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สาม”


โห่


ทั่วทั้งวังตกอยู่ในความโกลาหล ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง แม้ว่าชายหนุ่มจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ก็มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเท่านั้น แม้แต่ขั้นเซิ่งระยะปลายยังไม่มั่นใจ แล้วเขาไปเอาความกล้ามาจากไหน?


“หึ ไอ้หนูแกมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน มีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านั้นเรอะ” หมัวเฮอเทียนเค้นเสียงเย็น เขาไม่ชอบขี้หน้ามู่เฉินตั้งแต่แรก ในเมื่อมีโอกาสก็ต้องสาดโคลนใส่ซะหน่อย


แม้ว่าคนอื่นๆ ไม่ได้พูด แต่ความสงสัยในดวงตาก็ชัดเจน ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้สำคัญมากและพวกเขาไม่เห็นความหวังใดๆ ในตัวมู่เฉิน


หลังจากลังเลชั่วครู่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ถามว่า “ทำไมเจ้าถึงมั่นใจ?”


แม้ว่าพวกเขาสองคนจะสนับสนุนมู่เฉินมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของมหาพันภพ พวกเขาจึงไม่กล้าละเลยเรื่องใดแม้เพียงเล็กน้อย


ภายใต้สายตาสงสัยทั้งหมดที่จ้องมองมา ท่าทางของมู่เฉินก็แสดงออกอย่างสบายๆ ขณะตอบว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่ข้ามั่นใจว่าสามารถฝึกวิชาสามพิสุทธิ์ให้เข้าสู่ขั้นสามพิสุทธิ์ได้”


ย้อนกลับไปตอนที่เขาต่อสู้กับเจียงหยา เขาได้รับความเข้าใจเลือนรางเกี่ยวกับขั้นสามพิสุทธิ์ในตำนาน


“วิชาสามพิสุทธิ์? ขั้นสามพิสุทธิ์?” เหล่าจอมยุทธ์แลกเปลี่ยนสายตากันเนื่องจากพวกเขาไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนที่ว่า เพราะแม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลานั้น


“แม้วิชาสามพิสุทธิ์จะเป็นหนึ่งในวิทยายุทธขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานของมหาพันภพ แต่คงไร้ผลกับทำเนียบเหนือภพ” หมัวเฮอเทียนหัวเราะเยาะ


มู่เฉินปรายตามองหมัวเฮอเทียนกล่าวว่า “แค่วิชาสามพิสุทธิ์อย่างเดียวไม่มีประโยชน์อะไรจริง”


จากนั้นเขาก็หยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ขั้นที่เรียกว่า ‘สามพิสุทธิ์’ หมายถึงร่างรองของข้าจะยืนอยู่ในฐานะจอมยุทธ์คนหนึ่งและอาศัยอยู่ในโลก ในเวลานั้นร่างรองจะสามารชำระร่างมหาเทพปฐมกาลได้อีกสองร่างและเมื่อรวมเข้าด้วยกันจะสามารถทำให้ข้าใช้ร่างมหาเทพปฐมกาลได้ถึงสามร่าง ข้าเชื่อว่าในเวลานั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย”


“ในเวลานั้นหากทรัพยากรทั้งหมดรวมอยู่ที่ข้าก็จะช่วยให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ภายในห้าปี ข้าเชื่อว่าตนเองจะกระตุ้นทำเนียบเหนือภพและทิ้งแซ่ไว้ได้”


คำพูดของมู่เฉินทำให้ทุกคนอ้าปากตาค้างทันที ขณะที่อาการตกตะลึงกวนตัวไปทั่ว


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกใจกับคำพูดของมู่เฉินมาก


“จะ…เจ้า ร่างรองของเจ้าสามารถฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ได้ด้วยหรือ?” จอมยุทธ์คนหนึ่งพูดติดอ่าง


“แล้วยังเป็นร่างมหาเทพปฐมกาลอื่นด้วยเรอะ?!”


แม้ว่ามู่เฉินจะใช้วิชาสามพิสุทธิ์ก่อนหน้านี้ แต่ร่างรองก็สามารถแบ่งปันร่างเทห์สวรรค์กับร่างหลักเพียงร่างเดียว ไม่สามารถฝึกฝนขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง


มู่เฉินไม่มีระลอกคลื่นในสายตาตอบอย่างใจเย็นว่า “ขั้นสามพิสุทธิ์สามารถบรรลุสิ่งนั้นได้อย่างแท้จริง”


ทุกคนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เนื่องจากยังไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จกับขั้นสามพิสุทธิ์มาก่อน


เมื่อเซียวเหยียนกับหลินต้งได้ยินคำพูดเหล่านั้น พวกเขาก็ไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะขอคำยืนยัน “มู่เฉินที่กำลังพูดอยู่คือความจริงหรือ?”


มู่เฉินยิ้ม “การโกหกมีความหมายอะไร? ถ้าตอนนี้ข้าพูดเรื่องไร้สาระออกมาก็เท่ากับเดินเข้าหาความตาย”


เทพจักรพรรดิทั้งสองพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่คนอื่นๆ “ทุกคนคิดว่าอย่างไร?”


คนอื่นๆ สวมสีหน้าที่ซับซ้อน


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉิงเทียนก็กล่าวว่า “เรายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”


ทุกคนยิ้มอย่างขมขื่น แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจิ้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายยังไม่มั่นใจ ดังนั้นนอกจากวิธีของมู่เฉิน แล้วพวกเขาจะเลือกทางอื่นได้เรอะ


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ก็ทำได้แค่ลองดู” ฉิงเทียนกัดฟัน


ปู้สื่อ จักรพรรดิมังกรแท้จริงและคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน


สายตาของหมัวเฮอเทียนสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจขณะที่พึมพำ “บ้ากันหมดแล้ว!”


เมื่อทุกคนเห็นด้วย เซียวเหยียนกับหลินต้งก็หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่มู่เฉิน “เช่นนั้นพวกเราก็ขอฝากความหวังของมหาพันภพไว้ที่เจ้าแล้ว…”


ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลงตอบว่า “ข้าจะทำให้ดีที่สุด แต่ข้าหวังว่าเงื่อนไขจะได้รับการตอบรับด้วย”


“ข้าต้องการร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง…”


“ยิ่งไปกว่านั้นข้าต้องการให้ทรัพยากรทั้งหมดมุ่งมาที่ข้าเพื่อที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในห้าปี…”

 

 

 


บทที่ 1536 สระมรดกราชัน

 

“ร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง…”


เมื่อเสียงของมู่เฉินสะท้อนก้อง ท่าทางของจอมยุทธ์ทั้งหมดก็ซับซ้อนขึ้น เงื่อนไขนี้ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกนัก


ในมหาพันภพมีร่างมหาเทพปฐมกาลห้าร่างเท่านั้น แต่ละร่างก็เข้าถึงยากเย็นและทรงพลัง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหมัวเฮอเทียนถึงประกาศสงครามเพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์


แต่เวลานี้มู่เฉินต้องการร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง นี่ทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว


เซียวเหยียนและหลินต้งก็แลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็หันไปมองประมุขและผู้อาวุโสใหญ่ของสี่เผ่าโบราณ เพราะร่างมหาเทพปฐมกาลที่เหลือถูกเก็บไว้ที่เผ่าโบราณเหล่านี้


เผชิญหน้ากับสายตาจากเทพจักรพรรดิทั้งสอง นอกเหนือจากชิงเหยี่ยนจิ้ง ทั้งสามเผ่าก็มีสายตาวูบไหว ท้ายที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลสำคัญมาก แม้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าตัดสินใจทันที


ดังนั้นความเงียบที่น่าอึดอัดจึงเขย่าไปทั่วโถงวังแห่งนี้


“เผ่าฝูถูยินดีที่จะนำร่างมหารัศมีอนันต์ออกมา”


ชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นคนแรกที่พูดขึ้นทำลายความเงียบ แม้ว่านางจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู แต่อันที่จริงก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากสภาผู้อาวุโสก่อน หากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับร่างมหาเทพปฐมกาล ทว่าเวลานี้มหาพันภพตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม หากไม่สามารถหยุดยั้งเทพปีศาจจักรพรรดิในอีกห้าปีข้างหน้า แม้แต่เผ่าโบราณก็จะถูกล้างบาง แล้วจะสำคัญอะไรกับครอบครองร่างมหารัศมีอนันต์ไว้แต่ใช้ไม่ได้?


ที่สำคัญที่สุดก็คือมู่เฉินเป็นบุตรชายที่รักของนาง ในฐานะมารดานางต้องสนับสนุนเขาทุกอย่างอยู่แล้ว


เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้ง ตัวแทนอีกสามเผ่าโบราณก็ยิ้มขมขื่น มู่เฉินเป็นลูกของนาง มิหนำซ้ำยังกำลังจะขึ้นเป็นประมุขเผ่า ดังนั้นการที่ชิ้งเหยี่ยนจิ้งสนับสนุนเขาก็สมควรแล้ว


เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาขาดร่างมหาเทพปฐมกาลอีกร่างหนึ่ง


ผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง ประมุขเฮยเธียนและประมุขหวางฉิวดูกังวล แต่ก็ไม่คิดจะพูดอะไร ชัดว่ารอให้คนอื่นออกปากก่อน


ทันใดนั้นลั่วหลีก็มองไปที่ไท่หมิงและยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง”


เมื่อได้ยินลั่วหลีเรียกเสียงหวาน ไท่หมิงก็สะดุ้งก่อนที่เขาจะมองนางด้วยรอยยิ้มน่าอึดอัดใจ


ทว่าลั่วหลีไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจกล่าวว่า “ในฐานะธิดาเทพเผ่าไท่หลิง ข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ใช่ไหม?”


ไท่หมิงพยักหน้าพลางยิ้มฝืด “ธิดาเทพประหนึ่งประมุข โดยปกติแล้วเจ้ามีอำนาจมากในการตัดสินใจ”


“ร่างมหาปราชญ์วิญญาณเป็นสมบัติของเผ่าไท่หลิง เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านจะมีความลังเล… แต่ข้าอยากจะถามคำถามสักหน่อย ร่างมหาปราชญ์วิญญาณจะมีปะโยชน์อะไรหากไม่มีเผ่าไท่หลิงอีกแล้ว?” เสียงของลั่วหลีดังสะท้อนเบาๆ ทำให้ใบหน้าของไท่หมิงตึงเครียดขึ้น


หากพวกเขาไม่มีจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สามในอีกห้าปีข้างหน้า มหาพันภพจะต้องประสบกับการทำลายล้างเผ่าพันธุ์และเผ่าโบราณก็ต้องรวมอยู่ในนั้นด้วย


หลังจากลังเลชั่วครู่ไท่หมิงก็ยิ้มฝืดออกมา “คำพูดของเจ้านั้นถูกต้อง หากตอนนี้เรายังเห็นแก่ตัวก็คงต้องตายตกตามกันไปในสงครามครั้งนี้”


ไท่หมิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เซียวเหยียน หลินต้งและมู่เฉิน ก่อนที่จะพูดเสียงต่ำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าไท่หมิงยินดีส่งมอบร่างมหาปราชญ์วิญญาณให้กับมู่เฉิน”


“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง” มู่เฉินประสานมือคารวะ


เมื่อเฮยเธียนและหวางฉิวเห็นว่าไท่หมิงยอมมอบร่างมหาปราชญ์วิญญาณให้กับมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกกระอักกระอวนเนื่องจากสิ่งที่มู่เฉินทำนั้นก็เพื่อประโยชน์ของมหาพันภพ


“หากมีความต้องการเพิ่ม เผ่าของพวกข้าก็ยินดีมอบร่างมหาเทพปฐมกาลไปให้เช่นกัน”


แม้ว่าทั้งสองจะตัดสินใจช้าไปบ้าง แต่มู่เฉินก็ยังยิ้มให้เพื่อแสดงความขอบคุณในน้ำใจ


“การรวมร่างมหาเทพปฐมกาลถึงสามร่างไม่เคยมีมาก่อน เจ้าอย่าทำให้ทุกคนผิดหวังละกัน” หมัวเฮอเทียนอดไม่ได้ที่จะพูดแดกดัน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความอิจฉา


มู่เฉินยิ้ม “ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพราะข้ารู้ดีถึงผลของความล้มเหลว”


หมัวเฮอเทียนทำท่าเหมือนจะพึมพำอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าควรจะชั่งน้ำหนักสถานการณ์อย่างไร ยามนี้มู่เฉินคือความหวังสุดท้ายของมหาพันภพ


เมื่อมองภาพใหญ่เขาก็หวังว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน


“ในเมื่อปัญหาเรื่องร่างมหาเทพปฐมกาลได้รับการแก้ไขแล้ว” เทพจักรพรรดิทั้งสองพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “จากนั้นก็ต้องคิดต่อว่าจะให้เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในห้าปีได้ยังไง”


ทุกคนในห้องโถงขมวดคิ้วแน่น มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ฝึกที่จะก้าวจากขั้นเซียนระยะกลางเป็นขั้นเซิ่งภายในเวลาห้าปี


เพราะนั่นจะต้องใช้โอกาสมหาศาล


ขณะที่ทุกคนจมลงในความเงียบ ปู้สื่อก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉิน “ห้าปีจากนี้ด้วยพรสวรรค์ของราชันมู่และความช่วยเหลือจากภายนอกก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้…”


คำพูดของเขาดึงดูดสายตาของทุกคนทันที


“ความช่วยเหลือจากภายนอกคืออะไร?”


ปู้สื่อถอนหายใจขณะที่เหยียดนิ้วชี้ไปที่ดินแดนวั้นมู่พลางยิ้ม “ในสมัยโบราณตอนที่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ต่อสู้กับเทพปีศาจจักรพรรดิ เขายุติการต่อสู้ด้วยการสละชีวิตเพื่อปิดผนึก”


“แต่ท่านเทพครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์และมีกายานิรันดร์ร่วมผสาน แม้ว่าเขาจะสิ้นชีพ แต่ร่างกายยังคงถูกเก็บรักษาไว้


“ขณะเดียวกันคลื่นหลิงที่ท่านเทพได้เพาะบ่มก็ถูกเก็บไว้ในกายานิรันดร์ของเขาซึ่งมีพลังไร้ขอบเขต พวกข้าเรียกบริเวณนั้นว่า…สระมรดกราชัน”


คำพูดของปู้สื่อทำให้เกิดความปั่นป่วนในทันที เหล่าจอมยุทธ์เกิดไฟลุกโชนในหัวใจ คลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์! ต่อให้อ่อนแรงลงหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี แต่ก็ยังมีพลังงานมหาศาล หากพลังงานนั้นได้รับการขัดเกลาและดูดซับก็มีโอกาสมากที่จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้


“แต่ว่าคลื่นหลิงของท่านปู้ซิ่วมีคลื่นนิรันดร์อยู่ ไม่มีใครสามารถดูดซับได้ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกกลืนกินเข้าไปแทน…” คำพูดครึ่งหลังของปู้สื่อดับความตื่นเต้นของทุกคนลง


จากนั้นปู้สื่อก็ยิ้มมองไปที่มู่เฉิน “ซึ่งนั่นหมายความว่ามีเพียงผู้ที่ฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์เท่านั้นที่สามารถดูดซับสระมรดกราชันได้”


“ฮ่าๆ ตามจริงสระมรดกราชันนี้ก็เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับราชันมู่ และนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด”


ทุกคนในห้องโถงแอบเดาะลิ้นขณะมองมู่เฉินด้วยความอิจฉา เจ้าหนุ่มคนนี้มาพร้อมโชคแห่งมหาพันภพด้วยการผูกขาดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของตน


“เวลาจะหล่อหลอมวีรบุรุษ…”


ทุกคนถอนหายใจ ถ้าเป็นในช่วงเวลาปกติแค่ร่างมหาเทพปฐมกาลสองร่างก็ยังเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับ ไม่ต้องพูดถึงสระมรดกราชัน


ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากมีเพียงมู่เฉินที่กล้ายืนหยัดแบกรับภาระนี้


แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างฉิงเทียนก็ไม่กล้าที่จะแบกรับ


มงกุฎแห่งปณิธานมีน้ำหนักหนาแน่น


หลังจากได้รับโอกาสทั้งหมดแล้วเขาต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา


เมื่อเห็นว่าเงื่อนไขทั้งสองเรียบร้อยดี เซียวเหยียนและหลินต้งก็รู้สึกโล่งใจมาก พวกเขามองไปที่มู่เฉิน กล่าวอย่างจริงจัง “เงื่อนไขเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว จากนี้ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว”


ดวงตาของมู่เฉินคมกล้าขณะพยักหน้า “ข้าจะทำให้ดีที่สุด”


เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าก่อนที่จะลุกขึ้นยืนปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังขณะที่ใบหน้าเย็นเยือกลง “แต่เราไม่สามารถนั่งรอโดยไม่ทำอะไร”


“นับจากนี้เป็นต้นไปเราจะเปิดเผยแผนการที่เทพปีศาจต้องการจะทำลายล้างเผ่าพันธุ์เราและรวบรวมขุมกำลังทั้งหมดของมหาพันภพเพื่อประกาศสงครามกับจักรวรรดิปีศาจ!”


“ในเมื่อไอ้เทพปีศาจต้องใช้เวลาห้าปีในการฟื้นตัว เราก็จะสร้างปัญหาให้มัน หลินต้งและข้าจะคอยตรวจจับตำแหน่งของมัน บีบให้มันต้องออกมาต่อสู้เพื่อชะลอการฟื้นตัว!”


จอมยุทธ์ทั้งหมดยืนขึ้นพร้อมกับไอสังหารพลุ่งพล่านบนใบหน้า ในเมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติต้องการทำลายล้างมหาพันภพ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ด้วยชีวิตทั้งหมดที่มี


ทันใดนั้นวังมหาพันภพก็อบอวลไปด้วยกลิ่นไอสังหาร


แม้แต่มู่เฉินก็ยังได้รับผลกระทบจากบรรยากาศ เขายืนขึ้นด้วยสีหน้าเย็นเยือก


เซียวเหยียนกับหลินต้งหันมามองมามู่เฉินและยิ้ม “แต่เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมในสงครามนี้ เจ้าจงอยู่ที่ดินแดนวั้นมู่รับสระมรดกราชัน ชำระร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสองร่างและไปให้ถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เพื่อจะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบ…”


“เมื่อไรที่เจ้าทำสำเร็จ มหาพันภพก็จะมีโอกาสมากขึ้น”


แม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม แต่เขาก็รู้ว่าตนเองคือตัวแปรสำคัญ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับทราบ


เทพจักรพรรดิทั้งสองหันมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ เสียงก็ก้องกังวานขึ้น


“ทุกคนจงกลับไปที่ของตนเอง สองเดือนนับจากนี้เราจะไปรวมตัวกันที่ชายแดนมหาพันภพเพื่อโจมตีจักรวรรดิปีศาจ!”


“รับทราบ!”


เหล่าจอมยุทธ์ขานทราบ เสียงสั่นสะเทือนทั้งวัง อึดใจต่อมาร่างแสงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งออกจากดินแดนวั้นมู่หายไปในเส้นขอบฟ้า


เมื่อมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่กลับไป เซียวเหยียนและหลินต้งก็ฉายท่าทางเคร่งขรึม


เนื่องจากพวกเขารู้ว่าข่าวนี้จะทำให้ทั้งจักรวาลสั่นสะเทือน


ความสงบสุขในมหาพันภพจบลงแล้ว

 

 

 


บทที่ 1537 รับมรดก

 

ไม่กี่วันหลังจากศึกดินแดนวั้นมู่จบลง


ข่าวดังก็กวาดไปทั่วมหาพันภพราวกับพายุ ทำให้ทั่วหล้าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น


สงครามสมัยโบราณเนิ่นนานเกินไปสำหรับทุกคน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่รู้เกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัวของจักรวรรดิปีศาจ


แต่เมื่อความไม่รู้ถูกฉีกออก ความสยองขวัญที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็ค่อยๆ สัมผัสได้ในมหาพันภพ…


นั่นเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถล้างบางคนทั้งจักรวาลได้


ศึกที่เกิดขึ้นในดินแดนวั้นมู่ทำให้ทุกคนเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของจักรวรรดิปีศาจ แม้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจะเคลื่อนไหว พวกเขาก็ทำได้แค่บังคับให้เทพปีศาจจักรพรรดิต้องล่าถอยไปเท่านั้น


ไม่ต้องพูดถึงว่าห้าปีจากนี้ที่เทพปีศาจจักรพรรดิจะกลับมาอย่างทรงพลังยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในเวลานั้นคงถึงคราวที่มหาพันภพจะถูกทำลายล้าง


เมื่อนึกถึงวันนั้นทุกคนก็อกสั่นขวัญแขวนไปหมด


ทุกหัวระแหงถูกปกคลุมไปด้วยความสยองขวัญจากเรื่องนี้


อย่างไรก็ตามความตื่นกลัวนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นนานก่อนที่จะถูกระงับไป นั่นเป็นเพราะแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูที่เป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติได้รวมกลุ่มกันก่อตั้งสมาพันธ์มหาพันภพขึ้น


สมาพันธ์มหาพันภพประกาศเชิญจอมยุทธ์ทุกคนที่อยู่เหนือระดับตี้จื้อจุนมารวมตัวกันที่ชายแดนมหาพันภพเพื่อเปิดการโจมตีและปกป้องจักรวาลแห่งนี้


จอมยุทธ์ทรงพลังนับไม่ถ้วนเคลื่อนพลไปยังชายแดน ความสยองขวัญที่จะเกิดขึ้นในอีกในห้าปีได้กระตุ้นความกล้าในตัวของทุกคน แทนที่พวกเขาจะนั่งซึมกระทือรอความตาย พวกเขาขอเปิดศึกดีกว่า บางทีอาจช่วยคว้าโอกาสให้กับมหาพันภพไว้ได้บ้าง


หากพวกเขาต้องตายก็ต้องตายอย่างสมเกียรติ


เมื่อมีความมุ่งมั่นในปณิธานนี้ จอมยุทธ์จำนวนมากก็มารวมตัวกันที่ชายแดนมหาพันภพ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็รวมตัวกันจัดตั้งกองทัพใหญ่พร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านไปไกลนับล้านลี้เลยทีเดียว


ภายใต้กองทัพขนาดใหญ่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ปรากฏตัวขึ้นสร้างความมั่นใจให้ทุกคน ขณะนี้สองเทพจักรพรรดิคือผู้นำแห่งสมาพันธ์มหาพันภพอย่างไม่ต้องสงสัย


สายตากร้าวแกร่งมองไปที่มิติปีศาจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย เซียวเหยียนและหลินต้งก็โบกมือส่งสัญญาณเสียงดังก้อง


“โจมตี”


 


ขณะที่กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพเปิดฉากโจมตีมิติปีศาจ


มู่เฉินที่มีปู้สื่อนำทางก็เข้าไปยังส่วนลึกของดินแดนวั้นมู่


ณ หุบเหวมองเห็นห่วงขนาดใหญ่ที่มีอักขระปกคลุมไว้


แต่วันนี้ทั้งหมดเสียหายราวกับว่าถูกทำลายโดยสัตว์ร้าย


“นี่คือที่ที่เทพปีศาจจักรพรรดิเคยถูกปิดผนึก” เมื่อมองไปที่โซ่ใบหน้าของปู้สื่อก็กระตุกด้วยความไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตามเหล่าผู้พิทักษ์หมื่นสุสานของเขาใช้เวลาถึงสี่หมื่นเก้าพันปีในการปกป้องผนึกนี้ แต่สุดท้ายเทพปีศาจก็หลุดออกไปได้ ทั้งที่พวกเขาใกล้จะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว


มู่เฉินพูดไม่ออกกับคำพูดดังกล่าว พวกเขาทำได้เพียงโทษการวางแผนซ้อนแผนหลายชั้นของเทพจักรพรรดิปีศาจ ในตอนนั้นเขาคงคิดแผนทุกอย่างและเตรียมการเพื่อหลบหนีไว้หมดแล้ว


ปู้สื่อรู้ดีว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เขาเผยรอยยิ้มขมขื่นก่อนที่จะก้าวเข้าไปในเหวก่อนที่พุ่งลงมาถึงก้น


มีบันไดที่ทอดยาวลงไปจากฝ่าเท้าของพวกเขา


เมื่อมองไปที่บันไดปู้สื่อก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียดก่อนที่จะก้าวเดินลงมาด้วยความเคารพโดยมีมู่เฉินเดินตามอยู่ด้านหลัง


บันไดนี้มีเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบขั้น


เมื่อพวกเขามาถึงขั้นสุดท้าย แท่นบูชาก็ปรากฏเบื้องหน้าสายตามู่เฉิน สายตาเขาเพ่งไปที่ใจกลาง


มองเห็นแท่นกะพริบด้วยรัศมี ร่างชุดขาวนั่งบนเบาะอยู่เงียบๆ


ชายผู้นี้มีโครงร่างเพรียวบางพร้อมกับผมยาวแผ่กระจายออกไป รูปลักษณ์เต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่น่าเสียดายที่ดวงตาทั้งสองปิดสนิท จินตนาการได้ว่าดวงตาคู่นั้นต้องพร่างพราวราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแน่


แรงกดดันที่น่าทึ่งแทรกซึมเข้ามาคล้ายกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม


นี่คือเทพจักรพรรดิคนแรกแห่งมหาพันภพ—เทพจักรพรรดินิรันดร์


ปู้สื่อแสดงความเคารพสูงสุดขณะที่คุกเข่าลงที่เบื้องหน้าร่างเทพจักรพรรดินิรันดร์ จากนั้นก็ก้มลงคารวะราวกับว่ากำลังแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ


เมื่อมองไปที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ มู่เฉินก็ฉายสีหน้าเคร่งขรึมก่อนที่จะโค้งคำนับด้วยความเคารพ ไม่ว่าจะเป็นพลังที่จอมยุทธ์ผู้นี้มีหรือการเสียสละเพื่อมหาพันภพก็ควรค่าแก่การเคารพยิ่ง


“กายานิรันดร์ที่แท้จริง แม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีก็ยังไม่เกิดความเสียหายใดๆ” มู่เฉินถอนหายใจขณะจ้องมองไปที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ จากการรับรู้ของเขาแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายปล่อยพลังโจมตีเต็มกำลังก็ไม่สามารถทำลายร่างเบื้องหน้านี้ได้


ที่สำคัญที่สุดคือเขารู้ว่าร่างกายนี้บรรจุด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นนิรันดร์ มิฉะนั้นคงไม่อยู่ยืนยงหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี


“ราชันมู่เตรียมตัวให้พร้อม” ปู้สื่อลุกขึ้นยืนมองไปที่ร่างเทพจักรพรรดินิรันดร์


มู่เฉินพยักหน้าไปปรากฏตัวเบื้องหน้าเทพจักรพรรดินิรันดร์พลางนั่งลง จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างปล่อยคลื่นพลังดึงดูดออกมา ขณะเดียวกันฝ่ามือของเทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ยกขึ้นตอบสนองช้าๆ


“ท่านผู้อาวุโส ขออภัยด้วย”


มู่เฉินหายใจเข้าสุดปอดขณะที่สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม นั่นเป็นเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะรับคลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ เนื่องจากพลังงานของเทพจอมยุทธ์ผู้นี้ทรงพลังมากเกินไป ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแบบเขา แม้แต่ขั้นเซิ่งก็ยังไม่กล้าดูดซับพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนี้


ความประมาทเล็กน้อยจะคร่าชีวิตได้ทันที


แต่ในเวลานี้มู่เฉินกลัวไม่ได้ เพราะเขาต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้มากที่สุด หากต้องการก้าวไปสู่การเป็นจอมยุทธ์คนที่สามบนทำเนียบ


หากเขาต้องการได้รับบางสิ่งก็ต้องทำงานหนักในปริมาณที่เทียบเท่ากัน ถ้าเขาไม่กล้าที่จะลองก็คงต้องยอมแพ้ตลอดกาล


เมื่อความคิดนี้พล่านในหัวใจ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไปมือยื่นออกมาก่อนที่จะสัมผัสกับฝ่ามือของเทพจักรพรรดินิรันดร์


ตู้ม!


ทันทีที่เกิดการเชื่อมโยง ม่านตาของมู่เฉินก็หดแคบลง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายตนเองในขณะนี้


ชี่!


ทันใดนั้นผิวหนังบนแขนของเขาก็ฉีกออกเป็นชิ้นพร้อมกับเลือดสดไหลออกมา เลือดเนื้อสั่นสะท้านรุนแรงขณะที่เขาเริ่มดูดซับคลื่นพลังงาน


คลื่นหลิงเหล่านี้ได้สูญเสียความมุ่งมั่นตั้งใจหลังจากผ่านมาหลายหมื่นปีกลายเป็นบริสุทธิ์ แต่ยังคงแฝงไปด้วยรัศมีนิรันดร์ หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาต้องการดูดซับพลังงานนี้ ก็มีความเป็นไปได้หนึ่งเดียวที่ต้องหลอมรวมกับพลังงานอย่างสมบูรณ์ แต่จอมยุทธ์เหล่านั้นจะไม่สามารถใช้พลังงานภายในร่างกายได้หรืออาจจะถูกโจมตีโดยคลื่นพลังนี้…


แต่โชคดีที่มู่เฉินฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นคลื่นหลิงของเขาจึงคล้ายคลึงกับเทพจักรพรรดินิรันดร์


นี่ทำให้เขาสามารถดูดซับพลังงานที่ไร้ขอบเขตได้โดยตรง


ตู้ม ตู้ม!


เสียงฟ้าร้องดังก้องจากร่างกายของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง ในเวลาไม่กี่สิบวินาทีร่างมู่เฉินก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดดูน่าสังเวชนัก ร่างกายของเขาแทบจะขาดออกจากกันด้วยคลื่นหลิงรุนแรง


แต่โชคดีที่เขามีกายาเซิ่ง ซึ่งมีผลสำหรับการฟื้นฟูที่ทรงพลังในการซ่อมแซมร่างกายอย่างรวดเร็ว


แม้จะเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความมุ่งมั่นของมู่เฉินสั่นคลอน


เขากัดฟันสงบสติอารมณ์ ไม่ปล่อยให้ตัวเองวนเวียนไปกับแรงกดดันจากคลื่นหลิงขนาดใหญ่


บนแท่นบูชา ปู้สื่อก็ถูกคลื่นกระแทกซัดให้ถอยออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ออกจากรัศมีของแท่นบูชา


เขามองไปที่แท่นบูชาพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด พายุทอร์นาโดหลิงที่ก่อตัวห่อหุ้มร่างมู่เฉินและร่างเทพจักรพรรดินิรันดร์ไว้


พลังงานหลิงที่ระเบิดออกมาเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างเขาก็ไม่กล้าเผชิญ


ปู้สื่อหรี่ตาลงมองร่างกายที่สั่นเทาของมู่เฉิน เขาจินตนาการได้เลยว่ามู่เฉินกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ในขณะนี้


แต่ภายใต้ความเจ็บปวด ปู้สื่อก็สามารถสัมผัสได้ชัดเจนว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากร่างกายของมู่เฉินกำลังค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น


ตราบใดที่มู่เฉินอดทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง


“ราชันมู่ เจ้าต้องประสบความสำเร็จ ห้าปีจากนี้ความเป็นตายของมหาพันภพอยู่ในมือเจ้าแล้ว…”

 

 

 


บทที่ 1538 เก็บกวาดและฝึกฝน

 

ในมิติปีศาจที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด


ชั้นอากาศเต็มไปด้วยรัศมีน่าขนลุกพร้อมกับการกัดกร่อนบนชั้นดิน


หลินต้งและเซียวเหยียนยืนอยู่บนภูเขาสองมือไพล่หลัง ขณะที่มองสภาพแวดล้อมโดยรอบ คิ้วของพวกเขาขมวดแน่น ที่ปลายขอบฟ้าสามารถมองเห็นร่างแสงนับไม่ถ้วน พวกเขาคือกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพซึ่งกำลังค้นหาร่องรอยของจักรวรรดิปีศาจอยู่


ตั้งแต่ประกาศสงครามนี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว


ช่วงครึ่งปีสงครามไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง เพราะเมื่อกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพเข้ามาพื้นที่ทั้งหมดก็ว่างเปล่า


ขณะที่กวาดล้างก็พบปีศาจหลงเหลืออยู่บางส่วน แต่ทันทีที่เกิดการปะทะก็จะถูกล้างบางโดยจอมยุทธ์มหาพันภพ ไม่รอให้สร้างความวุ่นวายใดๆ…


“ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้ง… เราได้ข้อมูลจากเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่ว่าพวกมันถอยกลับไปยังพิภพเขตล่างแล้ว…” ฉิงเทียนปรากฏตัวที่ด้านหลังทั้งสอง


“ซ่อนตัวจริงๆ ด้วย”


เซียวเหยียนถอนหายใจ เทพปีศาจจักรพรรดิยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เนื่องจากต้องฟื้นตัว ทว่าพวกเขาไม่ได้มีข้อกังวลในเรื่องนี้ ดังนั้นเวลานี้ฝ่ายสมาพันธ์มหาพันภพได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เผ่าปีศาจทั้งหลายก็ตัดสินใจที่จะซ่อนตัว


“ในเมื่อพวกมันอยู่ในรู เราก็จะขุดออกทีละตัว!” เสียงเหี้ยมหาญของหลินต้งดังก้องอย่างเย็นชา เผ่าปีศาจทรงพลัง แม้ว่าพวกมันจะซ่อนตัวอยู่ในพิภพเขตล่าง แต่ก็ยังกำจายความผันผวนแปลกประหลาด ดังนั้นด้วยการตรวจจับที่แม่นยำก็สามารถค้นหาได้


ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เผ่าปีศาจอยู่อย่างสงบสุขและให้เทพปีศาจเข้าสู่สมาธิได้


“ตกลง!”


ฉิงเทียนพยักหน้าพร้อมกับไอสังหารกะพริบในนัยน์ตาก่อนจะหันกลับ กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพมาด้วยความกล้าที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิต ตอนแรกคิดว่าจะมีการต่อสู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีใครคิดว่ากลับไม่พบอะไรเลย


ฉิงเทียนมุ่งหน้าไปแล้ว หลินต้งและเซียวเหยียนก็แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความเคร่งขรึมในสายตาของกันและกัน พวกเขารู้ดีว่าหากเทพปีศาจต้องการซ่อนตัวจริงๆ ก็จะเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะค้นหาอีกฝ่ายผ่านพิภพเขตล่างนับไม่ถ้วน


ทุกวันที่ผ่านไปเทพปีศาจจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุดก็จะฟื้นตัวเต็มที่


“ไม่รู้ว่าตอนนี้มู่เฉินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”


พวกเขาหันไปมองทางมหาพันภพพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด


“หวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จ มิฉะนั้นมหาพันภพจะไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยในอีกห้าปีข้างหน้า…”


 


ควับ ควับ!


พายุทอร์นาโดหลิงกวนตัวอยู่ในส่วนลึกของพื้นดิน การขยายตัวทุกครั้งทำให้ดินแดนวั้นมู่ฉีกออกเป็นชิ้นๆ…


ที่ใจกลางของพายุทอร์นาโดร่างเงาสองร่างนั่งหันหน้าเข้าหากันคล้ายกับก้อนหิน


มือของพวกเขาประสานเข้าด้วยกัน คลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ไหลออกมาไม่มีที่สิ้นสุดและคำรามอยู่ภายในร่างกายของมู่เฉิน ฉีกทึ้งร่างของเขาออกจากกัน ขณะเดียวกันก็ซ่อมแซมตัวเองอย่างต่อเนื่อง


เลือดไหลออกมาไม่หยุด ทว่าใบหน้าของมู่เฉินก็ไม่มีริ้วอารมณ์ใด นั่นเป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับความเจ็บปวดนี้มาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา


เนื่องจากเขาชินจึงรู้สึกด้านชาโดยธรรมชาติ


ปู้สื่อนั่งบนเสาที่ไกลออกไปขณะมองมู่เฉิน “ขั้นเซียนระยะปลายแล้ว…”


เขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของพลังงานที่เอิบอาบออกมาจากร่างกายของมู่เฉินมาถึงขอบเขตขั้นเซียนระยะปลายเรียบร้อยแล้ว


“ค่อนข้างช้านะ…”


ปู้สื่อพึมพำ ถ้านับตามเวลาปกติถือว่ารวดเร็วสำหรับผู้ฝึกที่ไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายได้ภายในหกเดือน แต่ตอนนี้มู่เฉินกำลังรับมรดกของเทพจักรพรรดินิรันดร์ ความเร็วนี้ไม่สามารถคำนวณได้ตามปกติ


นอกจากนี้ปู้สื่อยังสามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อมาถึงขั้นเซียนระยะปลาย การเสริมสร้างพลังของมู่เฉินก็ชะลอตัวลงเรื่อยๆ


นี่ไม่ใช่เพราะคลื่นหลิงไม่เพียงพอ แต่มู่เฉินจงใจยับยั้งไว้


“คลื่นลูกใหม่กลบคลื่นลูกเก่าอย่างแท้จริง มิน่าล่ะถึงก้าวมาสู่ขั้นนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ มิหนำซ้ำยังได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์” ปู้สื่อพึมพำเนื่องจากตระหนักได้ว่ามู่เฉินกำลังตั้งใจทำอะไร


มู่เฉินกำลังยับยั้งการเสริมสร้างคลื่นพลัง เนื่องจากรากฐานจะไม่มั่นคงหากแข็งแกร่งขึ้นเร็วเกินไปแม้ว่าคลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์จะสูญเสียความตั้งใจและง่ายต่อการดูดซับก็ตาม


แต่พลังก็ทรงศักยภาพเกินไป ถ้าเขาดูดซับอย่างไม่เกรงกลัวก็จะสั่นคลอนรากฐานของตนเอง


ดังนั้นเขาจึงพยายามยับยั้งการดูดซึมและสร้างความชินกับพลังตนเอง แต่การทำแบบนี้เขาจะต้องเจ็บปวดมากกว่าเดิม…


ขนาดเผชิญกับโอกาสที่จะแข็งแกร่งเร็วขึ้น มู่เฉินยังมีจิตใจสงบและฝึกฝนด้วยความยับยั้งชั่งใจ ทำให้ปู้สื่อมองไปด้วยความชื่นชม


ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมทั้งหลินต้งและเซียวเหยียนถึงมีความเห็นที่ดีกับชายหนุ่มคนนี้ยิ่งนัก


แต่แม้ว่าการฝึกฝนของมู่เฉินจะเพิ่มขึ้น แต่เขาก็ยังไม่ได้ฝึกฝนในสิ่งที่เรียกว่าขั้นสามพิสุทธิ์ของวิชาสามพิสุทธิ์


สิ่งนี้ทำให้ปู้สื่อค่อนข้างกังวล เนื่องจากท้ายที่สุดมู่เฉินจะต้องพึ่งพาวิชานี้เพื่อก้าวไปบนทำเนียบเหนือภพ ถ้าไม่บรรลุสิ่งนี้ แม้ว่าด้วยพรสวรรค์ของมู่เฉิน เขาก็ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะลงนามบนทำเนียบเหนือภพได้


แต่ในขณะนี้เขาไม่มีเวลาแล้ว


ดังนั้นมู่เฉินต้องสำเร็จขั้นสามพิสุทธิ์เท่านั้น เขาถึงจะมีคุณสมบัติในการลงนามบนทำเนียบเหนือภพ


ในทางกลับกันโอกาสนี้ไม่มีอะไรเลย แม้ว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ตาม


 


เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอีกปีครึ่ง


นั่นหมายความว่าเป็นเวลาสองปีแล้วที่เกิดสงครามในดินแดนวั้นมู่


ตู้ม ตู้ม!


พิภพเขตล่างแห่งหนึ่งกำลังถูกทำลาย ทั้งมิติแตกสลาย ริ้วแสงนับไม่ถ้วนทะยานออกมาปะทะกับเหล่าปีศาจ


ขณะเดียวกันหลินต้งและเซียวเหยียนที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็ยื่นมือออกมาโอบประคองไปเพื่อทำให้พิภพนี้มีเสถียรภาพขึ้น เพราะพิภพล่างเสี่ยงที่จะล่มสลายไปเมื่อจอมยุทธ์ทรงพลังนับไม่ถ้วนแห่กันเข้าไป


พิภพเขตล่างแห่งนี้ถูกยึดครองโดยหนึ่งในสามสิบสองเผ่าใหญ่แห่งจักรวรรดิปีศาจ—เผ่าเตาหมัว ตอนแรกเหล่าปีศาจก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่ดันถูกเทพจักรพรรดิทั้งสองค้นพบเข้า กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพจึงเปิดการโจมตีไม่ยั้ง


ตู้ม!


ในระยะไกลใบมีดแหลมคมฉีกฟ้าดินออกจากกัน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ยังไม่กล้าประมาท


ฮึ่ม!


แสงกระบี่เปล่งประกาย กวาดผ่านขอบฟ้าในระยะหลายแสนจั้งปะทะเข้ากับใบมีดแหลมคมนั้น


ชี่ ชี่!


เสียงแสบหูดังก้องออกมาขณะที่มิติแถบนั้นยุบลงเรื่อยๆ ลำแสงสีฟ้าอมเขียวพุ่งออกมาปรากฏที่เบื้องหน้าปีศาจร่างหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายร่างหยุดชะงักไป


เมื่อลำแสงสีฟ้าอมเขียวรวมตัวกันชิงซันก็เผยตัวออกมาพร้อมกับเก็บกระบี่สีเขียวยาวในมือเข้าฝัก


ชี่!


ที่ข้างหลังร่างปีศาจแข็งแกร่งแตกสลายอย่างช้าๆ นี่ก็คือประมุขเผ่าเตาหมัว—จอมปีศาจจ่านเทียน ทว่ายามนี้เขามองไปที่กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม แผดเสียงโหดร้ายขึ้น “เมื่อท่านเทพปีศาจฟื้นพลัง มหาพันภพของพวกแกก็จงเตรียมต้อนรับการทำลายล้าง!”


ปัง!


ร่างปีศาจระเบิดออกพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรงกวาดเข้าหากองทัพจอมยุทธ์บ้าคลั่ง


ฟู่ ฟู่!


แต่ในเวลาเดียวกันเปลวไฟก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า แผดเผารัศมีปีศาจเชี่ยวกรากสิ้นซาก


คนที่เคลื่อนไหวก็คือเซียวเหยียน สายตาเขามองไปที่เผ่าเตาหมัวที่พ่ายแพ้โดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ในแววตา เขารู้ว่าตั้งแต่วันนี้สามสิบสองเผ่าใหญ่จะหายไปอีกเผ่า


ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา พวกเขากวาดล้างไปหกเผ่าใหญ่แล้ว


แต่พวกเขายังไม่ค้นพบร่องรอยของเทพปีศาจจักรพรรดิ


หลินต้งและเซียวเหยียนมองไปที่ท้องฟ้าด้วยสายตาเฉียบคม


ไอ้เทพปีศาจจักรพรรดิ แกซ่อนตัวอยู่ที่ไหน… แม้แต่การทำลายล้างเช่นนี้ก็ไม่สามารถบีบแกออกมาได้รึ?


 


มิตินี้มืดมิดไร้แสงใดแทรกซึมเข้ามา


นี่คือวังปีศาจที่ลอยอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ภายในวังจอมปีศาจเซิ่งเทียนลืมตาโพลงมองไปที่ใจกลางวัง ป้ายปีศาจป้ายหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเส้นชีวิตของจอมปีศาจจ่านเทียน


และการที่ป้ายแตกสลาย นั่นก็หมายความว่าจอมปีศาจจ่านเทียนดับสูญไปตลอดกาลแล้ว


“ไอ้เทพจักรพรรดิอัคคี ไอ้เทพจักรพรรดิสงครามโหดจริงๆ”


จอมปีศาจเซิ่งเทียนพึมพำเสียงเรียบเฉย ในแววตาไม่มีความสงสาร เนื่องจากที่พวกเขาเลือกถอยชั่วคราวก็เพื่อที่จะตอบโต้แบบดุเดือดรุนแรงยิ่งขึ้น


จอมปีศาจเซิ่งเทียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่ส่วนลึกของโลกใบนี้ รัศมีปีศาจรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่ในทิศทางนั้นราวกับว่ากำลังก่อเกิดบางสิ่งที่น่ากลัว


เขายิ้มเบา ดวงตากะพริบด้วยแสงดุร้าย


“ไอ้สองเทพจักรพรรดิอย่าได้ตีปีกไป ในไม่ช้า… เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนจะถูกฆ่าต่อหน้าพวกแก…”


 


ณ ดินแดนวั้นมู่


ครืน!


แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกไปและกระจายไปทั่วทุกมุม


ปู้สื่อที่นั่งอยู่บนเสาก็ลืมตาขึ้นจ้องไปที่แท่นบูชา ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉินในตอนนี้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว!


บนแท่นบูชาดวงตาของมู่เฉินที่ปิดสนิทมาสองปีเปิดออก เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งภายในร่างกาย ริ้วแสงก็พุ่งออกมาจากดวงตา


ยามนี้เขาสูดหายใจเข้าลึกทำให้หัวใจสงบลง นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นสามพิสุทธิ์!

 

 

 


บทที่ 1539 ขั้นสามพิสุทธิ์

 

ตู้ม ตู้ม!


คลื่นหลิงรุนแรงก่อตัวขึ้นเป็นมังกรสายฟ้า เสียงคำรามสะท้อนก้องระหว่างฟ้าดินทำให้ดินแดนวั้นมู่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น


ที่ใจกลางพายุทอร์นาโดหลิงเสื้อผ้าของมู่เฉินปลิวว่อนจากแรงลม ขณะที่แสงหลิงแผ่ออกมาจากร่างกายเขาพร้อมกับคลื่นความกดดันทรงพลังก็ซ่านตามออกมา


นั่นคือแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!


เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านมู่เฉินก็แสดงออกอย่างตื่นเต้นก่อนจะค่อยๆ สงบลง เขารู้ดีว่าการมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเป็นเพียงก้าวแรก วิชาสามพิสุทธ์ขั้นสามต่างหากคือเป้าหมายสูงสุดของเขา


มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ มือประสานกัน “สามพิสุทธิ์!”


เมื่อร่างแสงสองร่างพุ่งออกจากร่างเขาก็นั่งลงล้อมรอบร่างเทพจักรพรรดินิรันดร์เป็นรูปสามเหลี่ยมพลางยื่นมือออกไปแตะลำตัวร่างตรงกลาง


แรงดูดทรงพลังพลุ่งพล่านออกมา


ครืนๆๆๆ!


เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตจากร่างจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างรอง ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านขณะที่พวกเขาดูดซับพลังงานเต็มกำลัง


การดูดซับโดยทั้งสามในเวลาเดียวกัน ประสิทธิภาพเร็วกว่าเมื่อก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย


มู่เฉินไม่มีสีหน้าใด แต่เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเมื่อเกิดกระบวนการเสริมสร้างพลังอย่างรวดเร็วภายในร่างรองทั้งสอง ความยากในการควบคุมจะเริ่มยากขึ้น


ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้หยุด ตรงกันข้ามเขากลับเร่งอัตราการดูดซึมแทน


เขามองไปที่ร่างรอง จากนั้นก็หลับตารอให้ทั้งสองถึงขีดสุด


ซึ่งการรอกินเวลาไปทั้งหมดหกเดือน


ครึ่งปีต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้นมองไปที่ร่างรองทั้งสอง ในขณะนี้ร่างรองครอบคลุมไปด้วยรัศมีหลิงที่น่าสะพรึงกลัว ดวงตาของพวกเขาแผ่ซ่านไปด้วยแรงกกดดัน


ภายใต้เจตจำนงของเขา คลื่นหลิงที่เอิบอาบออกมาจากร่างรองก็แข็งแกร่งกว่าร่างหลักไปเล็กน้อย


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ว่าการควบคุมที่เขามีต่อร่างรองอ่อนแอลงมากเลยทีเดียว


ทว่ามู่เฉินยังคงสีหน้าสงบราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น


“อีกนิด”


มู่เฉินพึมพำมือประสานเข้าหากันทันที ร่างมหาเทพนิรันดร์ปรากฏออกมา เข้าสวมร่างของเขา


“ทักษะเหยินฝ่าเหอยี!”


ตอนนี้มู่เฉินอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาใช้ทักษะเหยินฝ่าเหอยีก็จะราบรื่นกว่าเมื่อหลายปีก่อนมาก


เมื่อรัศมีพร่างพราวเปล่งออกมาจากร่างกายเขา ร่างรองทั้งสองก็เปล่งแสงจ้า ขณะที่พลังงานของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง


ตู้ม ตู้ม!


ร่างกายของพวกเขาผันผวนพร้อมกับแสงวูบวาบในดวงตา ราวกับว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น


สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อน ดวงตาของมู่เฉินก็เปล่งประกาย ขณะนี้การเชื่อมโยงที่เขามีกับร่างรองทั้งสองคลุมเครือมากยิ่งขึ้น


เมื่อปู้สื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าก็อดเปลี่ยนไปไม่ได้ “เจ้าหนูกำลังทำอะไร? ถ้าร่างรองมีพลังมากเกินไป เขาไม่กลัวพวกมันหลุดจากการควบคุมหรือ?”


นัยน์ตาของมู่เฉินราวกับบ่อน้ำลึก ขณะมองไปที่ร่างรองทั้งสอง เขาสามารถเข้าใจได้อย่างเลือนรางว่าแม้ความเชื่อมโยงระหว่างกันจะคลุมเครือ แต่ก็ยังลึกซึ้งมาก เพราะถึงอย่างไรร่างรองทั้งสองของเขาไม่ได้สร้างขึ้นด้วยวัตถุ แต่ถูกแยกออกจากร่างกาย


“สองขั้นของวิชาสามพิสุทธิ์สร้างร่างรองขึ้นมา แต่ก็มีการแบ่งลำดับขั้น ดังนั้นหากร่างหลักตายร่างรองก็จะสลายไป นี่ไม่ใช่ขอบเขตสูงสุดของวิชาสามพิสุทธิ์”


ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยความเข้าใจในขณะที่พึมพำต่อ “เพื่อไปให้ถึงขั้นสามพิสุทธิ์ในตำนาน ข้าจะต้องกำจัดการเชื่อมต่อนี้ เข้าสู่ขั้นที่ไม่มีการแบ่งแยก ข้าคือร่างรอง ร่างรองคือข้า”


เมื่อมองไปที่ร่างรอง รอยยิ้มก็เพิ่มขึ้นบนริมฝีปากขณะยกมือที่มีรัศมีลึกลับขึ้นเบาๆ


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราเป็นหนึ่งเดียวกัน หากใครต้องการฆ่าข้า พวกมันจะต้องทำลายถึงสามศพ”


คำพูดนี้หมายความว่าหากใครต้องการฆ่ามู่เฉิน การฆ่าร่างหลักเพียงอย่างเดียวจะไม่ทำให้เขาตาย เว้นแต่ทั้งสามจะถูกกำจัดในเวลาเดียวกัน


พูดจบ มือของมู่เฉินก็ค่อยๆ เฉือนลงไป ร่างมู่เฉินชุดดำสั่นสะท้านก่อนที่รอยยิ้มคุ้นเคยจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก ซึ่งเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับร่างหลักเลยทีเดียว


เขาประสานมือยิ้มให้กับมู่เฉิน


มู่เฉินยิ้มตอบ จากนั้นก็เฉือนมืออีกครั้งด้วยเส้นวิถีที่แปลกประหลาด


แสงพวยพุ่งออกมาจากดวงตามู่เฉินชุดขาว รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเขา “นี่…คือขั้นสามพิสทุธิ์”


มู่เฉินยิ้มบาง ขณะนี้รู้สึกว่าตนเองสูญเสียการควบคุมร่างรองหมดแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถควบคุมร่างรองได้ ทั้งสามเป็นคนคนเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องควบคุมอีกต่อไป


ขณะที่มู่เฉินยกมือขึ้นอีกครั้ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้เพิ่มขึ้นในหัวใจทำให้เขาเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง


นี่กินเวลานานถึงครึ่งวัน โดยมีมู่เฉินชุดขาวและชุดดำยืนอยู่เคียงข้าง


ต่อมามู่เฉินก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างรองทั้งสองซึ่งพวกเขาก็พยักหน้าตอบ


มู่เฉินยกมือขึ้นเฉือนลงมาอีกสองครั้ง


ขณะที่เขาสะบัดลง ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน ลำแสงสีทองสองสายยิงออกมาจากศีรษะพุ่งออกจากดินแดนวั้นมู่อย่างรวดเร็ว


สายตามองไปที่ลำแสงสีทองทั้งสองสายเป็นเวลานานก่อนที่จะดึงกลับมา


ฟิ้ว!


ปู้สื่อทะยานเข้ามามองไปที่มู่เฉินทั้งสาม แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตกใจ


เนื่องจากเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างร่างหลักและร่างรองได้แล้ว


“ขอแสดงความยินดีที่ประสบความสำเร็จในขั้นสามพิสุทธิ์” ปู้สื่อกล่าวด้วยความชื่นชม ในน้ำเสียงมีความเคารพแฝงอยู่


แม้ว่าตอนนี้มู่เฉินจะมีขุมพลังขั้นเซิ่งระยะต้นเท่านั้น แต่ก็ให้ความรู้สึกกดดันกับเขา นี่ทำให้เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กับมู่เฉินภายใต้สภาวะนี้


ในบางแง่มุมพลังการต่อสู้ของมู่เฉินมาถึงระดับเดียวกับเซียวเหยียนและหลินต้งแล้ว


ทันใดนั้นปู้สื่อก็โบกมือ ลำแสงสองสายตกลงที่เบื้องหน้าทั้งสามคน


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดอกบัวหินสองดอกที่มีร่างสองร่างอยู่ในนั้นซึ่งกำจายไปด้วยกลิ่นอายโบราณ


ร่างหนึ่งกำลังเปล่งรัศมีเทพที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าจะไม่ถูกทำลายแม้ว่าโลกจะล่มสลาย


อีกร่างหนึ่งกำจายความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งทำให้มู่เฉินตกตะลึง


“นี่คือร่างมหาเทพปฐมกาลในตำนาน—ร่างมหารัศมีอนันด์ที่มีการป้องกันไม่มีใครเทียบและร่างมหาปราชญ์วิญญาณที่มีพลังงานไร้ขอบเขตเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่ร่างมหาเทพทั้งสองที่แผ่ซ่านความผันผวนโบราณ เขาอดไม่ได้ที่จะมีระลอกคลื่นในสายตาขณะที่ดวงตาลุกโชน


ปู้สื่อถอนหายใจมองไปที่ร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสอง มหาพันภพเหลือร่างมหาเทพในตำนานเพียงห้าร่างเท่านั้นและสามในห้าก็มารวมอยู่ที่นี่ หากข่าวนี้กระจายออกไปใครจะรู้ว่าจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เพียงใดในมหาพันภพ


หากไม่ใช่เพราะมหาพันภพเผชิญกับภัยคุกคามทำลายล้างใหญ่หลวง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามเข้าด้วยกัน


เมื่อไตร่ตรองว่าถ้ามู่เฉินประสบความสำเร็จในการชำระร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามได้ กระทั่งปู้สื่อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ร่างมหารัศมีอนันด์มีความโดดเด่นในการป้องกัน ส่วนร่างมหาปราชญ์วิญญาณมีพลังงานหลิงไม่มีสิ้นสุด เมื่อจับคู่กับความเป็นอมตะของร่างมหาเทพนิรันดร์ก็มีความเป็นไปได้มากที่มู่เฉินจะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์คนที่สามบนทำเนียบเหนือภพ


“ราชันมู่ ร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณขอส่งมอบให้เจ้า ตอนนี้ทุกคนฝากความหวังไว้ที่เจ้าแล้ว” ปู้สื่อกล่าว


“ข้าจะทำให้ดีที่สุดแน่นอน!”


มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งขรึม เพื่อให้เขากลายเป็นจอมยุทธ์บนทำเนียบคนที่สาม มหาพันภพมอบโอกาสที่หายากให้ ในเมื่อเขาได้รับโอกาสนี้ก็ต้องแบกรับภาระยิ่งใหญ่ไว้


เมื่อเขามองไปที่ร่างรองทั้งสอง พวกเขาก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียดพลางพยักหน้า


ฟิ้ว!


อึดใจต่อมาทั้งสองก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พลิ้วตัวลงบนแท่นดอกบัวก่อนที่จะเดินเข้าหาร่างมหาเทพทั้งสอง จากนั้นก็สัมผัสถึงกัน

 

 

 


บทที่ 1540 แกะรอยปีศาจและแปดเนตร

 

สามปีผ่านไปนับตั้งแต่มหาพันภพโจมตีมิติปีศาจ


ในช่วงสามปีที่ผ่านมากองทัพสมาพันธ์มหาพันภพทำลายล้างแปดในสามสิบสองเผ่าใหญ่และเผ่ารองลงมาหลายสิบเผ่า พวกเขาถือว่าทำให้กองทัพจักรวรรดิปีศาจอ่อนแอลงได้ถึงหนึ่งในสี่ส่วนเลยทีเดียว


ทว่าเซียวเหยียนกับหลินต้งไม่ได้ยินดีกับชัยชนะเหล่านี้เลย ใบหน้าของพวกเขากลับดูเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป


นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่พบร่องรอยของเทพปีศาจจักรพรรดิในช่วงสามปีครึ่งที่ผ่านมานี้เลย แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันทรงพลังที่ก่อตัวขึ้นอย่างคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่าเทพปีศาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อฟื้นคืนกำลัง…


พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าจักรวรรดิปีศาจจะเปิดฉากการโจมตีรุนแรงอย่างไรเมื่อเทพปีศาจฟื้นคืนสู่ร่างเก้าเนตรและชำระหนี้แค้นคืนมหาศาลให้กับสิ่งที่พวกเขาทำมาตลอดสามปี


ในเวลานั้นพายุเลือดจะกวาดล้างมหาพันภพแน่นอน


ในมิติปีศาจที่ตั้งอยู่ในทวีปรกร้าง การสั่นไหวของคลื่นหลิงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าทำให้ทวีปมีชีวิตชีวาขึ้น


ร่างเงาเหล่านี้ก็คือกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพ


หลินต้งและเซียวเหยียนยืนอยู่บนภูเขาสูงตระหง่าน สองตาปิดลงเปิดประสาทสัมผัสการรับรู้โยงใยผ่านมิติเพื่อตรวจจับพิภพเขตล่างที่มีความผันผวนแปลกประหลาด


กระบวนการนี้ใช้เวลาครึ่งวัน แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ดูเหมือนว่าเผ่าปีศาจจะถอนทัพออกไปไกลแล้ว


ความคิดนี้วูบผ่านในใจ ทั้งสองเตรียมจะถอนการค้นหา ทว่าทันใดนั้นหัวใจก็สั่นสะท้านเมื่อพวกเขาดึงรับรู้และเพ็งเข้าไปยังจุดพิกัดหนึ่ง


เมื่อสักครู่พวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนคุ้นเคย


นั่นเป็นของเทพปีศาจจักรพรรดิ!


“พบแล้ว!”


ขณะนี้แม้แต่เซียวเหยียนและหลินต้งก็อดไม่ได้ที่จะเกิดคลื่นในใจ พวกเขาส่งพลังยิ่งใหญ่ออกมาทันทีเพื่อฉีกพิกัดมิติออกจากกัน


หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า คลื่นหลิงยิ่งใหญ่สองสายที่บรรจุคลื่นจิตของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามพุ่งลงมาจากท้องฟ้า


พอมาถึงระดับของพวกเขา ต่อให้เจ้าตัวไม่อยู่ก็สามารถส่งการโจมตีออกไปได้อย่างรวดเร็วตราบใดที่อยู่ในระยะการรับรู้


คลื่นหลิงทรงพลังสองสายพุ่งเข้าไปในหลุมดำ ซัดเข้าใส่วังที่ลอยอยู่ในความมืดมิด ที่ภายนอกพวกเขาเห็นจอมปีศาจเซิ่งเทียนฉายสีหน้าเคร่งขรึมอยู่


ทว่าหลินต้งและเซียวเหยียนไม่ได้สนใจจอมปีศาจเซิ่งเทียนสักเล็กน้อย แต่เล็งไปที่ส่วนลึกที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัวที่กำลังก่อตัวขึ้น


“เทพปีศาจจักรพรรดิ!”


คลื่นหลิงยิ่งใหญ่สองสายปลดปล่อยเสียงคำรามดังก้องขณะที่ครางกระหึ่มไม่หยุด


ความมืดที่ครอบงำถูกฉีกออกจากกัน มองเห็นร่างปีศาจร่างหนึ่งนั่งอยู่ นี่คือเทพปีศาจจักรพรรดิที่สัมผัสได้ถึงการโจมตีที่เข้ามา ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น


ดวงตาดำสนิทราวกับว่าสามารถกลืนกินแสงใดๆ ได้


“แกสองคนน่ารำคาญจริงๆ…” เทพปีศาจจักรพรรดิมองคลื่นหลิงขนาดมหึมาสองสายอย่างไม่แยแสพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันผุดที่ริมฝีปาก


“แต่พวกแกสองคนมาช้าเกินไป!”


เมื่อเทพปีศาจพูดจบ นอกจากดวงตาปกติสองดวงและสามดวงบนหน้าผาก ดวงตาบนฝ่ามือและหน้าอกก็เปิดออกด้วย


แปดตา!


เมื่อดวงตาชั่วร้ายทั้งแปดเปิดออกรัศมีปีศาจไร้ขอบเขตก็แผ่กระจายไปทั่วมิติสร้างกลุ่มควันขึ้นก่อนที่จะรวมตัวเป็นวงล้อมหึมาฉีกผ่านสวรรค์ในเส้นทางที่พุ่งผ่าน


ตู้ม!


เมื่อวงล้อปะทะคลื่นหลิงที่ลงมาจากฟากฟ้า พิภพเขตล่างแห่งนี้ก็สั่นสะเทือนใกล้จะพังทลายลง


“แค่คลื่นหลิงที่ซัดเข้ามายังคิดจะสู้กับแปดตาของข้าเรอะ? ฝันหวานไปแล้ว!”


เทพปีศาจหัวเราะร่าขณะวงล้อเร่งความเร็วขึ้น พิภพเขตล่างนี้ถูกฉีกออกจากกัน ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงยิ่งใหญ่สองสายก็ถูกบดขยี้


หลังจากทำลายคลื่นหลิงยิ่งใหญ่สองสาย วงล้อก็ไม่ได้สลายไปแต่เกาะเข้ากับบางสิ่งและหายไป


ในอีกมิติหนึ่ง หลินต้งและเซียวเหยียนลืมตาขึ้นพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง จากนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นวงล้อปีศาจมหึมาฉีกผ่านท้องฟ้าเคลื่อนลงมาราวกับว่ากำลังพยายามแบ่งดินแดนออกเป็นสองส่วน


การโจมตีกะทันหันดูดความสนใจของเหล่าจอมยุทธ์สมาพันธ์มหาพันภพทันที ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเมื่อรู้สึกถึงพลังน่ากลัวที่บรรจุอยู่ในวงล้อ


ใบหน้าของเซียวเหยียนเย็นชาลงขณะมือประสานเข้าด้วยกัน เสื้อคลุมพลิ้วสะบัดพร้อมกับเพลิงจักรพรรดิลุกโชนพุ่งออกมาก่อร่างเป็นมังกรปะทะกับวงล้อปีศาจ


ตู้ม!


เมื่อพลังทั้งสองปะทะกัน มังกรเพลิงก็ขาดออกจากกันแต่วงล้อปีศาจจางลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


หลินต้งชกกำปั้นออกไปจากระยะไกล ทำให้มิติแตกร้าวในเส้นทางที่ผ่าน สุดท้ายวงล้อปีศาจก็แตกเป็นเสี่ยงๆ


“ไม่เลว ไม่เลว เจ้าสองคนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่เราจะปะทะกัน รออีกหน่อยนะ รอให้ดวงตาที่เก้าของข้าฟื้นฟูซะก่อน แล้วข้าจะไปหาพวกเจ้าถึงบ้านเลย”


“ฮ่าๆ พวกแกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้าอย่างป่าเถื่อน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาข้าจะจ่ายคืนให้เป็นร้อยเท่า!”


วงล้อปีศาจพังลง แต่เสียงหัวเราะเทพปีศาจกลับดังก้องไปทั่วขอบฟ้า


จอมยุทธ์จากมหาพันภพต่างมีสีหน้าไม่น่าดู ความกลัวและความโกรธพล่านในดวงตาพวกเขา


หลินต้งและเซียวเหยียนแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาสามารถมองเห็นความเคร่งขรึมในดวงตาของกันและกัน ในการเผชิญหน้าช่วงสั้นๆ พวกเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเทพปีศาจจักรพรรดิที่เพิ่มขึ้น


ถ้าในอดีตเมื่อพวกเขาร่วมมือกันแล้วได้เปรียบ มิหนำซ้ำยังสามารถหาจุดอ่อนของเทพปีศาจและปราบปรามได้ ในตอนนี้พวกเขาไม่มีข้อได้เปรียบอีกต่อไปแล้วถึงจะร่วมมือกันก็ตาม


ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พวกเขาก็ไม่ได้ผ่อนคลาย พลังมีการเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเทพปีศาจเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งรวดเร็วกว่า


วาบ!


ฉิงเทียน ชิงซันและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งหมดมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเทพจักรพรรดิทั้งสองพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียดรุนแรง “ท่านเทพจักรพรรดิอัคคี ท่านเทพจักรพรรดิสงคราม พวกเจ้าพบร่องรอยของเทพปีศาจหรือไม่?”


หลินต้งและเซียวเหยียนพยักหน้าตอบว่า “เจอแล้ว แต่ข้าเกรงว่าตอนนี้เทพปีศาจเปลี่ยนตำแหน่งไปแล้ว ปีศาจตัวนี้ระวังตัวแจ ดูเหมือนว่าก่อนที่เขาจะอยู่ในสภาพพร้อมรบสูงสุด เขาไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับพวกข้าสองคน”


“จากคำบอกของไอ้เทพปีศาจ ตอนนี้มันเปิดดวงตาดวงที่แปดได้แล้ว” สีหน้าของฉิงเทียนน่าเกลียดลง


หลินต้งและเซียวเหยียนถอนหายใจกับคำพูดเหล่านั้น


“แล้วตอนนี้เราควรทำอย่างไร? เราควรจะติดตามต่อไปหรือไม่?” จักรพรรดิมังกรแท้จริงถามขึ้น


หลินต้งและเซียวเหยียนส่ายหัวตอบว่า “เตรียมเถอะ กองทัพของเราเหนื่อยล้าตลอดสามปีมานี้ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ไอ้เทพปีศาจจะฟื้นตัวขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจะฟื้นฟูพลังเต็มที่เตรียมพร้อมสำหรับศึกใหญ่ดีกว่า”


นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อเทพปีศาจได้อีกต่อไป แม้ว่าจะหาเจอก็ตาม ใครจะรู้พวกเขาอาจถูกลากเข้าสู่สงครามยาวนานและกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพอาจได้รับการตอบโต้กลับจากเผ่าปีศาจต่างๆ


ทุกคนตกอยู่ในความเงียบหลังจากได้ยินคำพูดของเทพจักรพรรดิทั้งสอง ในช่วงสามปีที่ผ่านมานอกเหนือจากการกำจัดเผ่าปีศาจบางส่วน พวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสุดท้ายได้


อีกก้าวเดียวเทพปีศาจก็จะเปิดดวงตาที่เก้าได้แล้ว


แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้วันนั้นมาถึง


“ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง ผู้อาวุโสปู้สื่อเพิ่งส่งข่าวมาว่ามู่เฉินบรรลุขั้นสามพิสุทธิ์ได้แล้ว ตอนนี้เขากำลังฝึกฝนร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณ หากเขาทำสำเร็จก็จะมีโอกาสสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์คนที่สามบนทำเนียบ ถึงเวลานั้นเราอาจจะสามารถต่อสู้กับเทพปีศาจเก้าเนตรได้” เมื่อเห็นทุกคนไม่สบายใจเซียวเหยียนก็เอ่ยปลอบใจ


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ท่าทางของทุกคนก็คลายลง สายตาเต็มไปด้วยความหวัง


“ออกคำสั่งให้ทุกคนถอยทัพ”


ทุกคนประสานมือรับคำสั่งก่อนที่จะทะยานออกไป ร่างแสงนับไม่ถ้วนบินออกไปอย่างรวดเร็ว กองทัพสมาพันธ์มหาพันเริ่มถอยออกจากมิติปีศาจ


หลินต้งและเซียวเหยียนยืนอยู่บนภูเขาพลางถอนหายใจขณะมองไปที่ร่างเงาผู้คน จากนั้นสีหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เนื่องจากพวกเขารู้ว่าความทุกข์ยากกำลังจะมาถึงในไม่ช้า


หากพวกเขาประมาทในเวลานั้น มหาพันภพก็จะถูกทำลาย…


“เวลานี้ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับมู่เฉินแล้ว…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)