หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1527-1530
บทที่ 1527 เทพปีศาจจักรพรรดิเผยตัว
เสียงคำรามดังก้อง
ราวกับพายุโหมกระหน่ำออกมา ทำให้หมู่เมฆแตกสลาย ขณะที่บดบังแสง
ในดินแดนวั้นมู่จอมยุทธ์ทุกคนเงยหน้าขึ้นด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว เมื่อมองไปที่เทพปีศาจ พวกเขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวสุดพรรณนาจากอีกฝ่าย
แม้แต่จอมยุทธ์ระดับหมัวเฮอเทียนและชิงเหยี่ยนจิ้งยังมีสีหน้าซีดขาวด้วยความครั่นคร้าม
เนื่องจากชื่อเสียงของเทพปีศาจจักรพรรดิยิ่งใหญ่เกินไป ในสมัยโบราณจักรวรรดิปีศาจต่างมิติภายใต้การนำทัพของเขาทำให้มหาพันภพพ่ายแพ้ยับเยิน หากไม่ใช่เพราะเทพจักรพรรดินิรันดร์จักรวาลแห่งนี้คงตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน…
ย้อนกลับไปตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์ได้สละชีวิตเพื่อผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่ใครจะคิดว่าสี่หมื่นเก้าพันปีต่อมา เทพปีศาจคนนี้จะได้รับการปลดปล่อยในช่วงเวลาสุดท้าย
“เหลือหอกอีกสามเล่มเท่านั้นเอง!” เสียงของไท่หมิงสั่นพร่าด้วยความไม่เต็มใจ พวกเขารอเพียงหอกอีกสามเล่มเท่านั้นก็จะดับชีวิตเทพปีศาจจักรพรรดิได้ แต่ความพยายามทั้งหมดกลับสลายกลายเป็นอากาศธาตุในเวลานี้
“หรือว่านี่เป็นชะตากรรมของมหาพันภพจริงๆ?”
จอมยุทธ์หลายคนออกอาการเศร้าสลด
ที่ด้านนอกดินแดนวั้นมู่ ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็รู้สึกได้ถึงรัศมีปีศาจน่าสะพรึงกลัว สีหน้าของพวกเขาก็ดูน่าเกลียดลงเช่นกัน
“สี่หมื่นเก้าพันปี! การทำงานหนักกว่าสี่หมื่นเก้าพันปีของผู้พิทักษ์หมื่นสุสานหมดสิ้นกันแล้ว!” จักรพรรดิอมตะตัวสั่นสะท้านขณะกู่ร้อง
เขารู้สึกไม่เต็มใจ เนื่องจากอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น หากพวกเขาสามารถยืนหยัดได้จนถึงหอกเล่มสุดท้ายซัดลงมา ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมหาพันภพก็จะถูกทำลายไปตลอดกาล
แต่ตอนนี้เทพปีศาจจักรพรรดิเผยตัวใต้หล้าอีกครั้ง แล้วมหาพันภพจะใช้อะไรในการหยุดปีศาจตัวนี้ได้?
สีหน้าของฉิงเทียนและชิงซันก็มืดมนลงพร้อมกับแสงอ่อนจางวูบไหวในดวงตา พวกเขาได้ทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว แต่ใครจะคิดว่ากองทัพปีศาจจะมีแผนสำรองมากมายในวันนี้…
ทว่าฉิงเทียนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงสงบอารมณ์อย่างรวดเร็ว เสียงตะโกนดังก้องไปทั่วดินแดนวั้นมู่ “ทุกคนฟังคำสั่ง เข้าควบคุมค่ายกลดับแสงพันปีศาจเพื่อฆ่าไอ้ปีศาจนี่ซะ! มันเพิ่งหลุดออกมา ยังอ่อนแออยู่มาก!”
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ผู้สิ้นหวังได้ยินเสียงของเขา พวกเขาก็ตื่นจากภวังค์พลางสบตากันก่อนที่จะกัดฟันและหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายเทลงไปในโลงศพ
จากบันทึกโบราณต่างๆ พวกเขารู้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิน่ากลัวเพียงใด ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ห้ามปล่อยให้ไอ้ปีศาจตัวนี้รอดไปได้ มิฉะนั้นจะเป็นการทำลายล้างมหาพันภพหากมันฟื้นขึ้นมา
ตู้ม ตู้ม!
ควบคู่กับการหมุนค่ายกล อักขระโบราณนับไม่ถ้วนก็รวมเข้าด้วยกันก่อนที่จะกลายเป็นลวดลายโบราณที่เต็มไปด้วยพลังลึกลับ
เทพปีศาจเงยหน้าขึ้นพร้อมกับความชั่วร้ายสุดพรรณนาในแววตา เมื่อมองไปที่ค่ายกลเสียงคำรามก็สะท้อนก้องขึ้นอีกครั้ง “ไอ้เทพจักรพรรดินิรันดร์ตายไปนานแล้ว พวกแกคิดว่าสามารถผนึกข้าด้วยค่ายกลกระจอกที่มันทิ้งไว้ข้างหลังเรอะ? ปัญญาอ่อนเกินไปแล้ว!”
เขาลอยตัวขึ้นไปในอากาศ รัศมีปีศาจแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายปลดปล่อยพลังที่น่ากลัวออกมา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็จะถูกฆ่าตายทันทีหากไปติดอยู่ในนั้น
“หยุดมัน!”
หมัวเฮอเทียนและคนอื่นๆ ร้องลั่น
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลวดลายโบราณถูกกระตุ้นพุ่งเข้าไปล้อมรอบตัวเทพปีศาจที่พยายามหลบหนีจากดินแดนวั้นมู่
“ไสหัวไป!” เมื่อเห็นลวดลายโบราณกำลังพล่านเข้ามา เทพปีศาจก็แผดเสียงตะโกนพร้อมกับซัดรัศมีปีศาจที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อย่างง่ายดาย
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลวดลายโบราณเปล่งประกายแวววาวกลายเป็นม่านแสงทรงกลมห่อหุ้มเทพปีศาจเอาไว้
ชี่ ชี่!
รัศมีปีศาจปะทะเข้ากับม่านแสง เกิดเสียงดังฉ่าคล้ายกับหิมะต้องลาวา สลายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้ หม้วเฮอเทียนและคนอื่นๆ ก็เร้าพลังขึ้นมาทันที เนื่องจากดูเหมือนว่าค่ายกลดับแสงพันปีศาจจะมีผลกับเทพปีศาจจักรพรรดิมาก
แสงเย็นเยือกวูบวาบไปทั่วดวงตาเทพปีศาจขณะที่เสียงดังก้อง “ต่อให้ตอนนี้เป็นสภาพที่อ่อนแอที่สุดของข้า แต่คิดว่าจะสามารถดักข้าไว้ได้ด้วยลวดลายเหล่านี้เรอะ?
“ลำแสงปีศาจโลกาวินาศ!”
เสียงคำรามดังก้องระหว่างฟ้าดิน เทพปีศาจอ้าปากปล่อยลำแสงปีศาจพวยพุ่งออกมา ลำแสงปีศาจนี้มีขนาดประมาณร้อยจั้ง เมื่อปรากฏขึ้นสวรรค์และโลกก็แยกออกจากกันพร้อมกับคลื่นหลิงถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเจอสิ่งน่ากลัว
ลำแสงปีศาจปะทะเข้ากับม่านแสงเบื้องบน พลังงานสองสายชนกันจังใหญ่ ลำแสงปีศาจกระจายความผันผวนที่ไม่สามารถอธิบายได้ มิติแตกออก กระทั่งเวลายังเฉื่อยลงภายใต้ลำแสงปีศาจนี้
ลวดลายโบราณเปล่งรัศมีออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่เสริมความแข็งแกร่งของม่านแสงพยายามที่จะต้านทาน
ทว่าลำแสงปีศาจน่ากลัวเกินไป หลังจากสิบกว่าลมหายใจม่านแสงก็เริ่มจางหายไปพร้อมกับรอยแตกปรากฏขึ้นบนลวดลาย
“ต่อให้ไอ้เทพจักรพรรดินิรันดร์ฟื้นขึ้นมาในวันนี้ มันก็อย่าคิดจะได้หยุดข้า!” เทพปีศาจคำรามเสียงดัง ลำแสงปีศาจขยายออก พริบตาก็ทะลุผ่านปราการม่านแสง
ลำแสงปีศาจนำพาร่างเทพปีศาจลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพุ่งออกจากดินแดนวั้นมู่
ที่ด้านนอกปราการดินแดนวั้นมู่ แถวแสงที่สร้างขึ้นจากค่ายกลก็เหลือชั้นสุดท้ายเท่านั้น ขณะนี้ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อมองไปที่ร่างเทพปีศาจด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ หากพุ่งผ่านปราการนี้ไปได้ เทพปีศาจจักรพรรดิก็จะเป็นอิสระแล้ว
“เราต้องหยุดมัน มิฉะนั้นเมื่อไรที่ไอ้เทพปีศาจนั่นหลุดไปได้ ก็จะไม่มีใครสามารถปราบปรามมันได้อีกต่อไป!” ทั้งสามคนพูดพร้อมกัน
“ฮ่าๆ พวกข้าจะยอมให้พวกแกขัดขวางท่านเทพได้อย่างไร? อยู่ตรงนี้และดูเฉยๆ!” แต่เมื่อทั้งสามกำลังจะทะยานออกไป เสียงหัวเราะก็ดังก้องขึ้น จอมปีศาจเซิ่งเทียนสาดสายตามองมาอย่างเย็นชา พร้อมกับการโบกมือ เขานำประมุขเผ่าปีศาจส่วนหนึ่งพุ่งเข้ามา
รัศมีปีศาจรุนแรงพวยพุ่งขึ้นกวาดเข้าใส่ยอดยุทธ์ทั้งสาม
ทว่าพวกฉิงเทียนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากหยุดและเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจ
ตู้ม ตู้ม!
ในเวลาเดียวกันร่างเงาของเทพปีศาจจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นใต้ขบวนแถวแสง ลำแสงปีศาจพุ่งออกมา เมื่อสัมผัสก็ทำให้เกิดความผันผวนรุนแรง แต่ไม่สามารถทะลุผ่านและค่อยๆ จางหายไป
“ถ้าข้าฟื้นเต็มกำลังก็สามารถทำลายได้ด้วยฝ่ามือเดียว แต่ตอนนี้คงต้องใช้พลังแก่นปีศาจแล้วเท่านั้น” ดวงตาเทพปีศาจไม่มีการกระเพื่อมใดๆ ขณะที่มองปราการชั้นสุดท้าย
พูดจบ รัศมีสีดำก็แยกออกจากร่างกายก่อร่างเป็นผลึกสีดำขนาดเท่ากำปั้นที่เบื้องหน้า
แม้ว่าผลึกสีดำจะไม่ได้เด่นตาอะไร แต่กลับมีความผันผวนของการทำลายล้างก่อตัวขึ้น
ที่ด้านหลังผลึกสีดำร่างเทพปีศาจก็หดตัวลงจนเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง ชัดว่าได้เร้าพลังงานส่วนใหญ่ไปแล้ว
“ไป”
เทพปีศาจสะบัดนิ้ว ผลึกก็พุ่งออกไปปะทะกับขบวนแถวแสง
ขณะที่ประสานงากันก็ไม่มีความวุ่นวายใดๆ แต่ผลึกสีดำกลับแผ่ซ่านด้วยวงรัศมีดำมืดที่ผันผวน…
ความผันผวนดูเหมือนจะบรรจุด้วยพลังลึกลับ เมื่อกวาดออกขบวนแถวแสงที่ไม่ได้รับผลกระทบใดจากจอมปีศาจทั้งหลายก็เริ่มปรวนแปรแล้ว
เมื่อการสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น แถวแสงก็เริ่มบางลง
ผลึกสีดำอ่อนกำลังและหดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อมีขนาดเท่ากับเมล็ดพืชในที่สุดแถวแสงก็สลายหายไป กลายเป็นวงรัศมีว่างเปล่า
เมื่อมองไปที่วงรัศมีว่างเปล่าบนอากาศ เหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนวั้นมู่ก็มีสีหน้าซีดขาวสุดขีด
ขณะมองไปที่วงรัศมีว่างเปล่า ดวงตาไม่แยแสของเทพปีศาจจักรพรรดิก็วูบไหว ก่อนที่เขาจะหันกลับมามองดินแดนวั้นมู่ “ปู้ซิ่ว แกสละชีวิตเมื่อสี่หมื่นเก้าพันปีก่อนเพื่อผนึกข้า แต่คราวนี้ใครหน้าไหนในมหาพันภพจะหยุดข้าได้? ข้าเคยพูดไว้แล้วว่ามหาพันภพจะต้องเป็นของข้า…”
เพียงแค่เคลื่อนไหว รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากก็พุ่งออกมาจากวงรัศมี ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็เริ่มกระจายออก หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของค่ายกลดับแสงพันปีศาจ
ขณะนี้ทุกคนในมหาพันภพรู้สึกถึงความกลัวพลุ่งพล่านในหัวใจ
ยามนี้เทพปีศาจจักรพรรดิชั่วร้ายเผยตัวแล้ว
บทที่ 1528 พวกเขามาแล้ว
ขณะที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกวาดไปทั่วทุกหัวระแหง
ทุกสรรพชีวิตในมหาพันภพก็เงยหน้าขึ้นด้วยความกลัว พวกเขามองไปทางทิศเหนือที่ตั้งของดินแดนวั้นมู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวที่ปกคลุมไปทั่ว
ความรู้สึกนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว
ภายในดินแดนวั้นมู่
เหล่าจอมยุทธ์หน้าซีดเผือดลงเมื่อมองไปที่รัศมีปีศาจ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอย่างหมัวเฮอเทียนและชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับความไม่สบายใจ
เทพปีศาจจักรพรรดิเป็นอิสระแล้ว การพยายามปราบปรามอีกครั้งก็ยากราวกับจะขึ้นสวรรค์
สำหรับมหาพันภพนี่เป็นหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเหล่าจอมปีศาจเซิ่งเทียนเห็นเทพปีศาจจักรพรรดิ พวกเขาก็ถอยออกไปทันทีไม่สนใจพวกฉิงเทียนอีกเลย เหล่านักรบปีศาจจำนวนมากมายืนเบื้องหน้าเทพปีศาจก้มหัวลงด้วยความเคารพต่อจักรพรรดิแห่งตน
“ยินดีต้อนรับการกลับมาของท่านเทพปีศาจ!”
เผชิญหน้ากับเทพปีศาจจักรพรรดิ แม้แต่ประมุขเผ่าต่างๆ ก็แสดงความเคารพโดยไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ ตรงกันข้ามพวกเขามีความกลัวและนับถือในใจ
ที่เบื้องหลัง รัศมีปีศาจแผ่กระจายออกมานับไม่ถ้วน นักรบปีศาจมากมายคุกเข่าพร้อมกับร่างกายสั่นเทา “ยินดีต้อนรับท่านเทพปีศาจ!”
เมื่อเสียงดังก้องออกไป ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็มีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับหัวใจสั่นสะท้าน
ฟิ้ว!
ร่างแสงกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามา พวกเขาคือจักรพรรดิมังกรแท้จริง จักรพรรดิหงส์ฟ้าแท้จริงและประมุขเผ่าสัตว์อสูรสูงสุดอื่นๆ
“ฉิงเทียน พวกเจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมไอ้ปีศาจนั่นถึงเป็นอิสระได้!” เสียงกราดเกรี้ยวของจักรพรรดิมังกรแท้จริงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ขณะที่มองไปที่ทั้งสามคนอย่างโกรธเกรี้ยว
ฉิงเทียนฉายสีหน้าขมขื่นตอบว่า “ความผิดทั้งหมดเป็นของข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเมล็ดพันธุ์หัวใจปีศาจ พวกจักรวรรดิปีศาจต่างมิติก็ไม่มีโอกาสทำลายผนึกได้”
“จักรพรรดิมังกรแท้จริง ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือคิดหาวิธีจัดการกับเทพปีศาจก่อน” ชิงซันส่ายหน้าด้วยสีหน้าหนักใจ
จักรพรรดิมังกรแท้จริงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เผ่าปีศาจจากนั้นก็ยิ้มเฝื่อน “เราจะทำอะไรได้อีก? เจ้าก็รู้ว่าเทพปีศาจนั้นน่ากลัวแค่ไหน! แม้แต่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังต้องสละชีวิตเพื่อผนึก แล้วตอนนี้มีใครในมหาพันภพจะหยุดมันได้อีก?”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงเช่นนี้ แม้แต่ยอดยุทธ์อย่างพวกเขาก็รู้สึกไร้พลัง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็สู้ตายเท่านั้น” ใบหน้าปู้สื่อกระตุกขณะที่พูดอย่างไม่แยแส
ทุกคนสบตากันพลางถอนหายใจ แต่ในดวงตาฉายแววตัดสินใจมุ่งมั่นแล้ว พวกเขาลิ้มรสความโหดเหี้ยมของเผ่าปีศาจมาแล้ว หากตกอยู่ในเงื้อมมือพวกมัน สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็จะถูกกดขี่และเลี้ยงไว้เป็นสัตว์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาขอสู้ตายดีกว่า
มองไปที่ด้านนอกมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับความเฉียบคมวูบไหวในดวงตา
ลั่วหลียืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน ดวงหน้าเรียวเล็กก็แสดงความเคร่งขรึม แม้แต่นางก็รู้สึกหวาดกลัวจากสถานการณ์นี้
เมื่อรู้สึกถึงอารมณ์คนรักที่ด้านข้าง มู่เฉินก็จับมือนางเบาๆ “ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน เจ้าจะต้องปลอดภัยตราบเท่าที่ข้ายังมีลมหายใจ”
ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาส่งผ่านมาทำให้เกิดความสงบขึ้น นางกระชับมือมู่เฉินเสียงดังแผ่วเบา “แค่อยู่กับเจ้า ข้าก็ไม่กลัวแม้แต่ความตาย”
เมื่อมองไปที่ลั่วหลี มู่เฉินก็ยิ้มและรู้สึกเชื่อมั่นในหัวใจ
แม้เทพปีศาจจะน่ากลัว ทว่าเพื่อปกป้องคนที่รัก เขาจะกลัวความตายทำไม?
แม้จะต้องเผชิญกับความสิ้นหวัง คนอย่างมู่เฉินก็ไม่เคยกลัว
เหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนวั้นมู่ตั้งปณิธานแน่วแน่ เทพปีศาจกวาดมองพรรคพวกที่ก้มหน้าลงพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่รอบตัว
“เซิ่งหมัว ทำได้ดีมาก”
จอมปีศาจเซิ่งเทียนคุกเข่าลงมองไปที่เทพปีศาจพร้อมกับไฟโชนในดวงตา “ข้าทำตามแผนของท่าน”
เทพปีศาจยิ้มไม่แยแสพลางกวาดสายตาไปรอบๆ “แม้ว่าข้าจะออกจากผนึกได้ แต่พลังก็ลดลงอย่างมาก อาหารของข้าเตรียมไว้หรือยัง?”
จอมปีศาจเซิ่งเทียนยิ้ม “ขุนจนอ้วนพีมานานแล้ว”
เมื่อเขาโบกมือมิติก็ฉีกออกจากกัน ภาพพิภพเขตล่างหลายแห่งก็ปรากฏขึ้น ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต
ดวงตาของเทพปีศาจกะพริบด้วยความโหดร้ายขณะที่ยิ้มเย็นชา ด้วยการตวัดนิ้วรัศมีปีศาจหนาแน่นก็พุ่งเข้าสู่พิภพเขตล่าง ล้างผลาญสิ่งมีชีวิตทั้งหมดกลายเป็นหมอกเลือด…
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องแม้จะมีขอบเขตของระนาบพิภพก็ตาม
ฮา
ขณะที่เทพปีศาจสูดลมหายใจ รัศมีปีศาจก็ถูกดึงกลับมา เลือดกลั่นถูกเขากลืนกินจนหมดสิ้น
เมื่อกินเลือดเข้าไป ร่างกายก็เริ่มขยายขนาดพร้อมกับรัศมีปีศาจน่ากลัวถูกปลดปล่อยออกมา
ในช่วงไม่กี่สิบลมหายใจร่างปีศาจก็บีบอัดตัวอย่างรวดเร็ว สุดท้ายร่างเงาหนึ่งก้าวออกมาจากรัศมีปีศาจ
ร่างนั้นช่างดึงดูดความสนใจของทุกคน เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวปักรูปดวงดาว เมื่อเสื้อคลุมสะบัดขึ้นลงก็ปลดปล่อยรัศมีไร้ตัวตนออกมา
ภาพลักษณ์ช่างละเอียดอ่อนประหนึ่งหยก ดวงตาคู่ของเขาเป็นสีดำสนิทไม่มีสีขาวแทรกอยู่ ดูเหมือนหลุมดำสองหลุมที่สามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
นอกเหนือจากดวงตาคู่ก็ยังมีดวงตาสามดวงบนหน้าผาก แต่นอกจากดวงตรงกลาง อีกสองดวงก็ยังปิดลงอยู่
เทพปีศาจคนนี้มีลูกตาห้าดวง!
เมื่อมองไปที่เทพปีศาจชั่วร้าย ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงความผันผวนที่คลุมเครือซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว ชัดว่าหลังจากที่กลืนกินสิ่งมีชีวิตจากพิภพเขตล่างไปหลายแห่ง เทพปีศาจก็ฟื้นฟูพลังได้แล้วบางส่วน
“แม้ว่าข้าจะฟื้นพลังได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง แต่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว” เทพปีศาจก้มศีรษะลงพลางยิ้มให้กับจอมยุทธ์ของมหาพันภพ ทว่ารอยยิ้มนี้ช่างเต็มไปด้วยความโหดร้าย
ฉิงเทียน ปู้สื่อและจอมยุทธ์ขุมพลังทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอีกมากมายฉายสีหน้าเคร่งเครียด การรวมตัวของพวกเขาก็น่ากลัวมากแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเทพปีศาจชุดขาว พวกเขากลับรู้สึกถึงไอเยือกเย็นลอยอวลเท่านั้น
“ดินแดนวั้นมู่ผนึกข้ามาสี่หมื่นเก้าพันปีและเต็มไปด้วยเลือดกลั่นของปู้ซิ่ว วันนี้ข้าจะทำลายมันเพื่อส่งสารบอกถึงการกลับมาของตัวเอง” เทพปีศาจกล่าวเสียงเบา
พูดจบดวงตาแนวตั้งก็วูบไหว ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็ยิงออกมา
“เนตรผลาญชีวา”
ลำแสงสีดำขยายอย่างรวดเร็ว ดวงตาแนวตั้งที่หลุดออกมาก็ก่อร่างเป็นอุกกาบาตที่เหมือนถูกสร้างขึ้นจากความตาย พร้อมกับรัศมีความตายที่สามารถทำลายทั้งทวีปหากพุ่งลงจอด
เมื่อเห็นอุกกาบาต ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากมัน
พลังนี้สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้เลย!
“เคลื่อนไหวพร้อมกัน!” ใบหน้าของฉิงเทียนเปลี่ยนไปมาก รีบตะโกน
ไม่ต้องพูดให้มากความ จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็คำราม คลื่นหลิงเร้าพุ่งขึ้นสูง ฉีกฟ้าดินออกจากกัน ขณะที่การโจมตีทรงพลังซัดใส่อุกกาบาตสีดำไม่ยั้ง
ด้วยการออกกระบวนท่าของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายจำนวนมาก พลังก็น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
ตู้ม ตู้ม!
ภายใต้สายตากังวลของทุกคน การโจมตีทั้งหมดก็ปะทะกับอุกกาบาตสีดำ
ปัง!
จังหวะที่ปะทะกันคลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวก็กวาดออกทำลายทุกสรรพสิ่งในระยะหลายแสนลี้…
ขณะที่มิติพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ทุกคนก็มองไปที่จุดปะทะด้วยสายตาเคร่งเครียด
เมื่อคลื่นกระแทกค่อยๆ จางลงลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาปรากฏในครรลองสายตาของทุกคน
นั่นคืออุกกาบาตที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย กระทั่งขนาดก็ไม่ได้หดลง การโจมตีประสานจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ซื้ด!
ทุกคนที่อยู่ในดินแดนวั้นมู่สูดลมหายใจเย็นพร้อมกับสีหน้าซีดขาว
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างฉิงเทียนยังตกตะลึงไป พวกเขารู้สึกได้ว่าพลังที่อยู่ภายในนั้นเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนไปแล้ว
“หรือนี่จะเป็นจุดจบของมหาพันภพจริงๆ?” ปู้สื่อพูดด้วยความสิ้นหวังเขียนอยู่ในดวงตา
“ขาตั๊กแตนขวางรถม้า”
เทพปีศาจจักรพรรดิส่ายหัวกับฉากนี้
“ปู้ซิ่วขอให้ศพของแกถูกทำลายไปพร้อมกับสุสานนี้ ไม่ต้องกังวลแกผนึกข้ามาสี่หมื่นเก้าพันปี ดังนั้นข้าจะชำระหนี้นี้ด้วยมหาพันภพ”
ฟิ้ว!
เมื่ออุกกาบาตฉีกผ่านมิติก็มาปรากฏเหนือสุสาน ทำให้ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่ยืนมองมันพุ่งเข้ามา
“ทุกคน ปกป้องด้วยชีวิตเถอะ” ฉิงเทียนหลับตามือประสานกันด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว คลื่นหลิงในร่างกายเริ่มระเบิดขึ้น เขาตั้งใจจะระเบิดตัวตายเพื่อตอบโต้การโจมตีจากเทพปีศาจจักรพรรดิ
เหล่าจอมยุทธ์แลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ โดยไม่มีคำพูดใดๆ คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาก็เริ่มจุดชนวน
ทว่าเมื่อพลังงานในร่างกายของทุกคนเร้ามาถึงขีดจำกัด มิติก็ฉีกออกจากกันกะทันหัน คลื่นไร้ขอบเขตกวาดออกมาปกคลุมร่างพวกเขาไว้
ทันใดนั้นคลื่นหลิงที่อาละวาดภายในร่างกายก็ถูกยับยั้ง
ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นความผันผวนคุ้นเคย…
“ความผันผวนนี้…”
ขณะที่มิติฉีกออกจากกัน ร่างเงาสองร่างก็ยืนอหังการเหนือดินแดนวั้นมู่
“เพลิงจักรพรรดิ!”
“ฝ่ามือแปดเทวลิขิต!”
เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นเสียงก็ดังกึกก้องออกมาจากลำคอ
ฟู่!
เพลิงโชติช่วงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นใบมีดกวาดข้ามขอบฟ้าพร้อมกับความร้อนแรงที่สามารถเผาผลาญโลกได้
ฝ่ามือซัดออกไปซึ่งมีพลังงานแตกต่างกันแปดชนิดหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ ปะทะกับอุกกาบาตสีดำในเวลาเดียวกันกับใบมีดเพลิง
ตู้ม!
เวลานี้มิติสั่นสะท้านจากคลื่นกระแทกของการโจมตีสามสายและพังทลายลง แต่ครั้งนี้อุกกาบาตสีดำสั่นสะเทือนรุนแรงแล้วระเบิดออกภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อของเผ่าปีศาจ…
นักรบปีศาจมองไปที่ดินแดนวั้นมู่ด้วยความตกใจหวาดหวั่น พวกเขาเห็นร่างสองร่างยืนอยู่ในห้วงมิติ เงาทั้งสองยืนเอามือไพล่หลังอย่างภาคภูมิใจราวกับว่าสามารถพยุงท้องฟ้าทั้งหมดไม่ให้ร่วงลงมา
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ฝั่งมหาพันภพเห็นภาพเงาทั้งสองก็ตัวสั่นเทา “นั่นคือ…เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม!”
“ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่นี่แล้ว!!”
บทที่ 1529 ปณิธานเอกภพ
ด้านนอกดินแดนวั้นมู่
ชายสองคนยืนเอามือไพล่หลัง เมื่อพวกเขาปรากฏตัวแรงกดดันปีศาจที่ปกคลุมดินแดนนี้ก็ลดลง
“เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม!”
เมื่อมองไปที่ทั้งสองพวกฉิงเทียนก็ชื่นชมยินดี แม้ว่าในสายตาของหลายคนทั้งเซียวเหยียนและหลินต้งจะดูไม่ได้แตกต่างจากพวกเขานัก เนื่องจากทั้งคู่ก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุดเช่นกัน
แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งสองคนยากแท้เกินหยั่งถึงขนาดไหน
ดังนั้นสถานการณ์จึงมั่นใจได้เล็กน้อยหลังจากการปรากฏตัวของทั้งสองคน
“ฮ่าๆ ขอโทษที่มาสาย โปรดอย่าถือโทษกันเลยนะ พวกจักรวรรดิปีศาจใช้กลอุบายเพื่อรั้งเราเอาไว้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกข้าเพิ่งจะมาถึง” เซียวเหยียนหันกลับมาพลางยิ้ม รอยยิ้มราบเรียบของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ
“ไม่กล้าๆ” ฉิงเทียนส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิด “ข้าสร้างปัญหาทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นนะ”
เซียวเหยียนถอนหายใจพูดออกมา “สำหรับเรื่องเมล็ดหัวใจปีศาจ เจ้าไม่ควรตำหนิตัวเอง แม้ว่าตอนนั้นข้าจะรู้สึกได้แต่ก็ไม่สามารถมองลึกลงไปในนั้นได้ ดังนั้นจึงไม่มั่นใจเท่าไร ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงแค่ทิ้งเมล็ดเพลิงไว้กับเจ้าเท่านั้น”
หลินต้งพยักหน้ากล่าวว่า “ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือจัดการกับความยุ่งยากเหล่านี้”
จากนั้นหลินต้งก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เทพปีศาจจักรพรรดิอย่างเย็นชา ราวกับว่าสายตาสามารถทะลุทะลวงผ่านอีกฝ่ายได้
“เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม… ข้าส่งหกประมุขจากสามสิบสองเผ่าใหญ่ไป ไม่คิดว่าจะหยุดยั้งพวกแกไม่ได้!” จอมปีศาจเซิ่งเทียนกดความตกตะลึงบนใบหน้าขณะมองไปที่ทั้งสอง
เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้ม
“แกกำลังพูดถึงพวกมันหรือเปล่า?” ทั้งสองยกฝ่ามือขึ้นคลื่นหลิงจากฝ่ามือพวกเขาก็ก่อร่างเป็นลูกทรงกลม มีปีศาจข้างละสามตัวกำลังส่งเสียงโหยหวนอยู่ภายใน แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนสู้อย่างไรก็ไม่สามารถสั่นคลอนวัตถุนี้ได้
เมื่อมองไปที่ร่างทั้งหกนั้น จอมปีศาจเซิ่งเทียนก็หดตาลง ประมุขเผ่าปีศาจอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าไป เนื่องจากนั่นคือประมุขหกคนในสามสิบสองเผ่าใหญ่!
ต้องรู้ว่าพวกเขาทุกคนเป็นนักรบสุดยอดระดับจอมปีศาจและไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายเลย แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดถูกจับได้โดยเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม?!
“แค่หกจอมปีศาจก็คิดบุกแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเหรอ? พวกแกดูถูกพวกข้ามากเกินไปหน่อยแล้ว” น้ำเสียงของหลินต้งดังกึกก้องด้วยศักดิ์ศรีเต็มภาคภูมิ
ใบหน้าของจอมปีศาจเซิ่งเทียนกระตุกรุนแรง ความป่าเถื่อนพวยพุ่งขึ้นในดวงตาขณะพูดอย่างเย็นชา “ยังไม่รีบปล่อยพวกเขาอีก? ไม่งั้นแคว้นหวูจิ้งฮั่วและแคว้นหวูของพวกแกก็รอถูกล้างออกจากจักรวาลนี้เลย!”
พอได้ยินคำขู่ดังกล่าว เซียวเหยียนและหลินต้งก็หรี่ตาลงพร้อมกับไอหนาวเหน็บเจาะกระดูกแผ่ซ่าน
จากนั้นพวกเขาก็แสดงปฏิกิริยาตอบสนอง มือของพวกเขากำแน่น พลังน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้าไปในลูกทรงกลมในมือ เมื่อพลังระเบิดออกไปจอมปีศาจทั้งหกก็ไม่ทันแม้แต่จะร้องตะโกนออกมาสักแอะก็ถูกบดขยี้ไม่เหลือซาก…
จอมปีศาจหกคนตายคาที่
เมื่อมองไปที่ภาพเบื้องหน้าใบหน้าของจอมปีศาจคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก สายตาเย็นชาลงหลายส่วน
“ฮ่าๆ น่าสนใจ…”
ที่ด้านหน้าเทพปีศาจจักรพรรดิเฝ้าดูฉากนี้ด้วยความสนใจขณะจ้องมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง “เจ้าสองคนแข็งแกร่งกว่าพวกนั้นมาก”
แม้ว่าจอมปีศาจคนอื่นๆ จะไม่สามารถบอกระดับของเซียวเหยียนและหลินต้งได้ แต่เทพปีศาจจักรพรรดิสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งนั้นได้ดี ทั้งสองคนแข็งแกร่งกว่าพวกฉิงเทียนมาก
เซียวเหยียนและหลินต้งจดจ้องอยู่ที่เทพปีศาจจักรพรรดิ เมื่อเผชิญหน้ากับนักรบปีศาจระดับนี้แม้แต่ใบหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“เจ้าคงเป็นเทพปีศาจจักรพรรดิที่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ยอมสละชีวิตเพื่อผนึกเอาไว้สินะ” เซียวเหยียนกล่าว
เทพจักรพรรดิปีศาจเผยรอยยิ้ม ม่านตาดูราวกับสามารถเขมือบทุกอย่างได้ “ตอนนั้นข้าประเมินเทพจักรพรรดินิรันดร์ต่ำไป เนื่องจากข้าไม่คิดว่าจะมีคนที่ทรงพลังอย่างมันในมหาพันภพ”
หลินต้งยืนคล้ายกับเสาสูงตระหง่านขณะตอบว่า “มหาพันภพเต็มไปด้วยผู้มากพรสวรรค์ ในเมื่อเรามีเทพจักรพรรดินิรันดร์หยุดแกในตอนนั้น ก็จะมีคนมาปราบแกในวันนี้เช่นกัน”
“โอ้?”
เทพปีศาจเลิกคิ้วขึ้นขณะมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม “งั้นข้าจะดูสิว่าใครจะหยุดข้าได้หลังจากที่ไอ้ปู้ซิ่วตายไป”
เซียวเหยียนยิ้ม “แกดูถูกมหาพันภพ ก็เพราะแกคิดว่าไม่มีใครในมหาพันภพที่สามารถบรรลุระดับนั้นได้อีก”
ม่านตาของเทพปีศาจหดลงฉับพลัน สีหน้ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งแรก เขามองไปที่เซียวเหยียน “พวกแกรู้ถึงระดับนั่นเรอะ?”
“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งถือเป็นจุดสุดยอดของมหาพันภพ แต่ยังมีระดับใหม่ที่อยู่นอกเหนือจากนั้นอีก” เซียวเหยียนตอบ
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ตัวสั่น พวกเขาไม่กล้าคิดฟุ้งซ่าน ตราตรึงคำพูดของเซียวเหยียนลงลึกไว้ในหัวใจ เนื่องจากพวกเขาอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว แต่ระดับนี่ราวกับเป็นขีดจำกัด ไม่ว่าจะเพาะบ่มพลังอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถพัฒนาได้อีก…
พวกเขาไม่อาจสัมผัสกับขอบเขตที่อยู่เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้สักที
“ขอบเขตนอกเหนือจากระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไม่ได้ลึกลับอะไรขนาดนั้น บางทีอาจง่ายด้วยซ้ำ เพียงแค่ผู้ฝึกต้องการโอกาสเท่านั้น” เซียวเหยียนยิ้ม “และโอกาสนั้นก็คือ…”
“ปณิธานเอกภพ”
ครั้งนี้หลินต้งพูดออกมา เมื่อเสียงราบเรียบดังสะท้อนก้อง ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของมหาพันภพและพลังงานหลิงก็ทรงพลังมากขึ้นอย่างคลุมเครือ
“ปณิธานเอกภพ?” ฉิงเทียนและคนที่เหลือพึมพำคำเหล่านั้น แม้จะมีความเข้าใจในใจ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถติดต่อกับระดับนั้นได้ จึงไม่สามารถอธิบายความลึกซึ้งได้
“ปณิธานเอกภพ?” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ยอดยุทธ์ทั้งสองที่เผชิญหน้ากับเทพปีศาจพร้อมกับความสั่นสะเทือนในใจ ดวงตาของเขากะพริบด้วยแสงพร่างพราวและมีความเข้าใจในใจ
“ในเส้นทางการฝึกฝนใดๆ สุดท้ายก็จะมาถึงจุดหมายปลายทางเดียวกัน จอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนสามารถกระตุ้นพลังงานเอกภพเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเอง…”
“มหาพันภพมีปณิธาน โดยการสัมผัสถึงปณิธานนั้นเท่านั้นถึงจะสามารถสลักวิญญาณไว้ในมหาพันภพและกระตุ้นพลังงานเอกภพได้ ซึ่งระดับนั้นเป็นขอบเขตที่อยู่เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” เสียงของเซียวเหยียนและหลินต้งดังก้องกังวาน ทำให้จอมยุทธ์คนอื่นๆ มึนเมาไปตามกัน
นั่นคือระดับในตำนานที่อยู่เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง
“กระตุ้นพลังงานเอกภพ…” หัวใจของมู่เฉินตกตะลึง แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะสามารถควบคุมและเชื่อมโยงกับคลื่นหลิงในพื้นที่ส่วนหนึ่งของมหาพันภพ แต่ก็ไม่มีอะไรถ้าเทียบกับการควบคุมมหาพันภพทั้งหมด
เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าจะทรงพลังขึ้นเพียงใดหลังจากพลังงานเอกภพเสริมเข้าสู่ร่างกาย?
เซียวเหยียนมองไปที่เทพปีศาจจักรพรรดิซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม “ในอดีตท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ได้อาศัยพลังมหาพันโลกในการผนึกแก”
สายตาเทพปีศาจจ้องมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งก่อนจะกล่าวว่า “ไม่คิดว่าพวกแกสองคนจะรู้ความลับนี้ แต่รู้อย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์!
“นับตั้งแต่มหาพันโลกอุบัติขึ้นก็มีเพียงไอ้ปู้ซิ่วเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นปณิธานเอกภพได้”
“ดังนั้นไม่ว่าวันนี้แกสองคนจะพูดดีขนาดไหน มหาพันภพก็ถึงวาระสุดท้ายแล้ว”
เมื่อคำพูดสุดท้ายเปล่งออกไป รัศมีปีศาจทำลายล้างก็กวาดออก แม้แต่ทวีปใกล้เคียงก็ถูกกลืนกินเข้าไปในนั้น
ทว่าเมื่อประจันหน้ากับรัศมีปีศาจ เซียวเหยียนและหลินต้งกลับมีสีหน้าสงบ พวกเขาสบตากันก่อนที่จะหลับตาลง
ขณะที่พวกเขาหลับตาลง หัวใจของจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็สั่นสะท้าน เนื่องจากพวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากทุกมุมของมหาพันภพ…
ตู้ม!
จากนั้นพลังงานหลิงในมหาพันภพก็ปะทุขึ้น ทำเอาจอมยุทธ์ทุกคนต้องเงยหน้าขึ้น พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งจิตวิญญาณที่น่าทึ่งกำลังรวมตัวมาที่ดินแดนวั้นมู่
พลังงานหลิงนี้ทรงพลังมากจนแม้แต่จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็รู้สึกหวาดกลัว
มู่เฉินและคนอื่นๆ เงยหน้าขึ้นมองไปในกลางอากาศ รัศมีปีศาจรุนแรงบริเวณนั้นเริ่มแปรปรวนราวกับว่าถูกฉีกออกโดยบางอย่าง…
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ลำแสงหลิงพุ่งลงมาจากท้องฟ้าทะลุผ่านรัศมีปีศาจ เพียงไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากที่โหมกระหน่ำในทวีปต่างๆ ก็เต็มไปด้วยรูพรุน…
ลำแสงเหล่านั้นแตกต่างจากคลื่นหลิงทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว เพียงริ้วเดียวก็สามารถทำให้คลื่นต่างๆ สั่นสะเทือน
เซียวเหยียนและหลินต้งลืมตาขึ้นพร้อมความเย็นเยือกขณะมองไปที่เทพปีศาจจักรพรรดิ ในเวลาเดียวกันเสียงของพวกเขาก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“ในเมื่อแกไม่เชื่อ เราก็จะให้แกเป็นพยานด้วยตัวเอง แม้ว่าท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์จะสิ้นชีพไปแล้ว แต่แกก็ไม่สามารถดูถูกเหยียดหยามมหาพันภพได้…”
บทที่ 1530 ทำเนียบเหนือภพ
“แกก็ไม่สามารถดูถูกเหยียดหยามมหาพันภพได้”
เมื่อเสียงของเทพจักรพรรดิทั้งสองดังกึกก้อง ม่านรัศมีขนาดใหญ่ก็เคลื่อนลงมา แยกรัศมีปีศาจออกจากกัน
มู่เฉินและเหล่าจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง คลื่นหลิงที่ไหลเวียนระหว่างฟ้าดินมาถึงระดับที่น่ากลัว
ซึ่งอยู่ในระดับที่แม้แต่จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายยังต้องเกรงกลัว
นอกจากนี้ยังมีพลังงานที่น่าทึ่งบรรจุอยู่ในคลื่นหลิงอีกด้วย แรงกดดันใกล้เคียงกับโลกมาก
ใบหน้าของเทพปีศาจดูเคร่งขรึมลงขณะมองไปที่คลื่นหลิง ม่านตาที่คล้ายกับหุบเหวค่อยๆ เย็นเยือกลง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปในความว่างเปล่า เวลานี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กำลังบีบกดลงมา
ขณะที่เมฆรัศมีหลิงโปรยลงมา พื้นที่ก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแล้วค่อยๆ รวมตัวกัน ไม่ช้าทุกคนก็เห็นม่านขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือดินแดนวั้นมู่
“นั่นอะไร?”
ฉิงเทียนและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ มองไปที่ม่านรัศมีที่กำจายกลิ่นอายลึกลับ ดูเหมือนว่าจะถูกสลักไว้ด้วยทิวทัศน์และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
แรงกดดันที่น่ากลัวแทรกซึมเข้ามา หัวใจของทุกคนก็ไหวโยกด้วยความกลัวจากพลังงาน
เซียวเหยียนและหลินต้งมองไปที่ม่านลึกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นี่คือปณิธานเอกภพแห่งมหาพันภพ”
“ปณิธานเอกภพแห่งมหาพันภพ?” ทุกคนใจสั่น นี่คือโอกาสในตำนานที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวข้ามขอบเขตแห่งเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งรึ?
“จอมยุทธ์คนแรกที่สามารถสัมผัสถึงปณิธานเอกภพในมหาพันภพได้คือท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์” เซียวเหยียนมองไปที่ม่านรัศมีลึกลับขณะเอ่ยออกมา “และเขาก็ได้ตั้งชื่อปณิธานเอกภพว่า…”
“ทำเนียบเหนือภพ!”
“ทำเนียบเหนือภพ?” ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์เปลี่ยนไป เนื่องจากเมื่อได้ยินชื่อก็ราวกับว่ามีพลังอันเหลือเชื่อตราตรึงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ทำให้พวกเขามองไปด้วยความปราถณา
“โลกเปรียบดังกระดาน… ตราบใดที่ใครสามารถจารึกชื่อไว้ได้ พวกเขาจะได้รับการยอมรับจากมหาพันภพและครอบครองพลังเอกภพนี้” หลินต้งอธิบาย
ทุกคนเงยหน้าขึ้นขณะมองไปม่านรัศมีลึกลับ ซึ่งก็คือทำเนียบเหนือภพพร้อมกับความเคารพในสายตา
ทำเนียบเหนือภพทั้งลึกลับและลึกซึ้ง แต่เมื่อทุกคนมองไปอย่างละเอียดก็จะเห็นคำโบราณหนึ่งบนม่านรัศมี…
“เยี่ย!”
“เยี่ย?! นั่นหมายความว่าอะไร?” ฉิงเทียนและคนที่เหลือหดดวงตา
“เยี่ย…คือแซ่ของท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์” เสียงของปู้สื่อสั่นพร่า
“ใช่แล้ว นั่นคือแซ่ของท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ ในสมัยโบราณเขาสามารถสัมผัสได้ถึงปณิธานเอกภพแห่งมหาพันภพ จึงกระตุ้นทำเนียบเหนือภพและสลักแซ่ของเขาเอาไว้”
เซียวเหยียนพยักหน้า “แต่น่าเสียดายที่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ล้มเหลวในการจารึกชื่อเต็มของตนเองไว้บนทำเนียบเหนือภพ เขาสามารถจารึกแซ่ไว้ได้เท่านั้น มิฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องสละชีวิตเพื่อผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิ”
ทุกคนอุทาน ในที่สุดก็เข้าใจ แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่า ‘เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง’ ก็คือการสัมผัสได้ถึงปณิธานเอกภพและกระตุ้นทำเนียบเหนือภพ สุดท้ายก็สลักชื่อไว้ ถ้าสำเร็จก็จะสามารถควบคุมพลังงานเอกภพ บรรลุเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง…
“แม้แต่เทพจักรพรรดินิรันดร์ยังทิ้งแซ่ไว้ข้างหลังได้เท่านั้น…” ทุกคนสูดหายใจเย็นลึกสุดปอดแม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังไม่สามารถจารึกชื่อเต็มได้ ดังนั้นพวกเขาบอกได้เลยว่าการจารึกชื่อไว้นั้นยากเย็นเพียงใด
เทพปีศาจมองไปที่ทำเนียบเหนือภพโดยไม่มีอารมณ์บนใบหน้า ก่อนจะมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง “ไม่คิดว่าพวกแกสองคนจะสามารถเรียกปณิธานเอกภพได้…”
“แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรู้สึกถึง หากแกไม่สามารถจารึกชื่อของตัวเองได้ ก็ช่างเป็นความพยายามที่ไร้ผล”
เซียวเหยียนและหลินต้งสบตากันก่อนที่จะยิ้มอ่อน รอยยิ้มเต็มไปด้วยความมั่นใจขณะที่หัวเราะร่า “ในเมื่อท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์สามารถบรรลุได้ ในฐานะคนรุ่นหลังพวกข้าก็ไม่ยอมอยู่เบื้องหลังคนรุ่นก่อนแน่นอน”
เมื่อเสียงหัวเราะสองเสียงดังก้อง เซียวเหยียนและหลินต้งก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ฟู่ ฟู่!
เพลิงโชติช่วงลุกโชนออกมาจากร่างกายของเซียวเหยียนเอิบอาบด้วยความลึกซึ้ง แทรกซึมรัศมีราชัน ราวกับว่าเป็นจักรพรรดิแห่งเพลิงทั้งหมด
นั่นคือเพลิงจักรพรรดิในตำนานแห่งเปลวเพลิงทั้งหมด!
เมื่อเพลิงจักรพรรดิปรากฏขึ้นท้องฟ้า อุณหภูมิของโลกก็เพิ่มสูงขึ้นราวกับหม้อต้มที่มีร่องรอยการหลอมละลาย
“วันนี้ข้าเซียวเหยียนจะฝากชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพ!”
เซียวเหยียนหัวเราะขณะที่เพลิงโชติช่วงรวมตัวกันกลายเป็นพู่กันขนาดใหญ่ที่ก่อจากเปลวไฟ จากนั้นเซียวเหยียนก็กอดอากาศ พู่กันมหึมาเคลื่อนผ่านมิติไปยังทำเนียบเหนือภพ
ตู้ม ตู้ม!
เมื่อพู่กันเข้าใกล้ หมอกลึกลับก็พล่านบนกระดาน แม้ว่าหมอกจะดูเบาบางแต่ก็ลึกซึ้งราวกับว่าสามารถบดบังทุกสิ่งได้
ปัง!
หลินต้งก็เคลื่อนไหวออกไปเช่นกัน รัศมีแสงเจิดจรัสระเบิดออกมาจากร่างกาย ทว่ากลับมีสีทั้งหมดแปดสีที่แตกต่างกัน ในเส้นแสงทุกสีจะเป็นตัวแทนของพลังหลิงทั้งหมดแปดประเภทที่หลอมรวมกันอย่างลงตัว
รัศมีทั้งแปดแปรผันกลายเป็นดัชนีใหญ่ ดัชนีแทงทะลุมิติราวกับว่ามีพลังงานไร้ขอบเขตขณะพุ่งลงไปที่ทำเนียบเหนือภพ
“เปิดซะ!”
เซียวเหยียนและหลินต้งร้องตะโกน เสียงของพวกเขาทำให้มิติแปรปรวน
ฮึ่ม ฮึ่ม!
หมอกลึกลับรอบๆ ทำเนียบเหนือภพกระเพื่อมไหวราวกับว่ากำลังป้องกันไม่ให้สิ่งใดเข้ามาใกล้ได้ แต่ด้วยพลังงานหลิงรอบเซียวเหยียนและหลินต้งแข็งแกร่งนัก สิ่งกีดขวางจึงถูกฉีกออกจากกัน
พู่กันเปลวไฟและดัชนีแปดสีฉีกผ่านหมอกพลิ้วลงบนทำเนียบเหนือภพภายใต้สายตาตกตะลึงของเหล่าจอมยุทธ์
แรงกดดันน่าเหลือเชื่อแผ่ซ่านมาจากทำเนียบเหนือภพ กระจายออกไประหว่างฟ้าดิน
ภายใต้แรงกดดันเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมด แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายแบบฉิงเทียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เนื่องจากพบว่ากระทั่งขยับนิ้วยังทำไม่ได้…
มีเพียงเซียวเหยียนและหลินต้งเท่านั้นที่ยังคงแสดงออกอย่างสงบขณะที่สะบัดมือไปมา
ทุกคนจับจ้องไปที่ทำเนียบเหนือภพพร้อมกับพู่กันและดัชนีพลิ้วลงไป ทำเนียบเหนือภพสั่นสะเทือน เสียงดังก้องไปทั่วมหาพันภพ
ยามนี้ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพต่างสัมผัสได้ พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศของดินแดนวั้นมู่
พู่กันและดัชนีเคลื่อนลงมาขีดเขียนลงบนทำเนียบเหนือภพ…
คลื่นหลิงทั่วภูมิภาคสั่นสะเทือนภายใต้สายตาของทุกคน บนทำเนียบเหนือภพมีเปลวไฟปะทุขึ้น ทุกการขีดเขียนดูสบายมั่นใจ แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าการกระทำนี้ยากแค่ไหน
เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายภายใต้แรงกดดันของทำเนียบเหนือภพได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าการกระทำที่ยากอย่างการจารึกชื่อเอาไว้เลย
ขณะที่แสงหลิงแล่นแปลบปลาบ สีหน้าของเซียวเหยียนและหลินต้งก็เคร่งขรึมลง แขนของพวกเขาสั่นเทิ้ม ขณะที่หอบหายใจบีบพลังทั้งหมดในร่างกายออกไป…
ความสว่างบนทำเนียบเหนือภพหนาแน่นขึ้น ทุกคนสามารถเห็นอักษรสองตัวค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
เซียว!
หลิน!
เมื่อทั้งสองคำเสร็จสิ้นลง เซียวเหยียนและหลินต้งก็หยุดนิ่ง มองเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของพวกเขา
พวกเขามองไปที่แซ่ตนเองบนทำเนียบเหนือภพ แต่สีหน้าของพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่คลายลงกลับดูจริงจังมากขึ้น
นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาตวัดเส้นสายสุดท้ายเสร็จสิ้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันเหลือเชื่อที่โอบล้อมร่าง แรงกดดันนั้นทำให้พวกเขารู้สึกทนไม่ได้
ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพจักรพรรดินิรันดร์จึงไม่ได้เขียนชื่อเต็มเอาไว้…
เพราะส่วนหลังนี่ยากเกินไป
พวกเขารู้สึกได้ว่าถ้าลุยเดินต่อไปเรื่อยๆ พู่กันและดัชนีจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จากพลังงานเอกภพ…
ทั้งสองคนยืนอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลานานก่อนที่จะถอนหายใจโบกมือ พู่กันและดัชนีก็หายไป
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย หากทั้งสองทำขั้นตอนสุดท้ายสำเร็จ เซียวเหยียนและหลินต้งก็จะกลายเป็นเทพจอมยุทธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในมหาพันภพที่สามารถจารึกชื่อสมบูรณ์ของตนเองเอาไว้ได้
นี่จะเป็นสิ่งที่เกินกว่าความสำเร็จของเทพจักรพรรดินิรันดร์
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาประสบความสำเร็จในตอนนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว จากความสำเร็จนี่เทียบเท่ากับเทพจักรพรรดินิรันดร์เลยทีเดียว!
ตู้ม!
พร้อมกับการเคลื่อนไหวของพวกเขา ทำเนียบเหนือภพลึกลับก็สะท้อนด้วยเสียงดังกึกก้อง รัศมีลึกลับแผ่ออกมาปกคลุมอักษรแซ่ทั้งสองไว้…
ยามนี้เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายก็สามารถสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พวกเขามองเซียวเหยียนและหลินต้ง ก็เห็นพลังงานลึกลับพลุ่งพล่านลงมาปกคลุมทั้งสองเอาไว้
เมื่อมองไปที่พวกเขา ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงความเคารพในใจที่เพิ่มขึ้น
รัศมีลึกลับรวมตัวกันที่หว่างคิ้วของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
ซึ่งวาดอักขระเพลิงที่หว่างคิ้วของเซียวเหยียว ขณะที่อักขระเทวลิขิตวาดบนหน้าผากของหลินต้ง
อักษรทั้งสองคล้ายกับตราประทับของโลก ทำให้พวกเขาดูสูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อทั้งสองคนกวาดสายตาไป แรงกดดันที่ไม่สามารถบรรยายได้ก็แทรกซึมเข้ามา ราวกับว่าเป็นจอมราชันของโลกนี้ พลังมหาศาลติดตามทุกการคลื่อนไหว ซึ่งเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไปแล้ว
ฉิงเทียน ปู้สื่อและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็มองไปที่ภาพนี้ด้วยความร้อนแรงและความคาดหวังในดวงตา
พวกเขาคิดว่าตนเองมาถึงที่สุดของขุมพลังแล้ว แต่ขณะนี้พวกเขาตระหนักว่ายังไม่ถึงจุดสิ้นสุด…
“นี่เหรอ ทำเนียบเหนือภพ…”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองกระดาน ร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกได้ถึงเลือดพลุ่งพล่านขณะที่มือกำแน่นพร้อมกับเสียงหนักแน่นดังก้องออกมา
“ในชีวิตนี้ที่สุดแห่งความปรารถนาของข้าคือจารึกชื่อตัวเองไว้บนทำเนียบเหนือภพนี้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น