หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1513-1518
บทที่ 1513 สุขสงบ
ทวีปเทียนหลัว วังสวรรค์บรรพกาล
สายธารพลังงานหลิงลอยอวลทำให้เกิดการกระเซ็นและเอิบอาบด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์กลายเป็นหมอกกระจายออกไป บรรยากาศทั่วบริเวณทั้งสดชื่นและสะอาด
แท่นหินที่ตั้งอยู่สองฝั่งของสายธารมีร่างเงาอ่อนเยาว์จำนวนมากนั่งอยู่ด้านบนดูดซับคลื่นหลิงเข้าไปเพื่อชำระร่างกายพวกเขา…
มีลานประลองอยู่ไกลออกไปพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวก
วังสวรรค์บรรพกาลไม่ได้เงียบสงบดังเดิม กลับมีความมีชีวิตชีวาไหลเวียน มากจนบรรยากาศเปรียบได้กับจุดสูงสุดเมื่อในอดีต
เพราะแม้วังสวรรค์บรรกาลจะมีชื่อเสียงมากในสมัยโบราณ แต่ทุกอย่างแบกรับโดยจักรพรรดิฟ้าเท่านั้น แม้ว่าเหล่าจอมพลจะเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่มีความสามารถ แต่ไม่รอให้พวกเขาได้พัฒนาจนมีศักยภาพได้เต็มที่ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติก็บุกเข้ามาก่อน…
ไกลออกไปมีร่างเงานอนเอกเขนกบนเนินเขาสูงขณะที่สายตากวาดมองผู้คนรอบๆ ทะเลสาบ
นี่ก็คือมู่เฉิน
เมื่อมองเหล่าเยาวชนรุ่นใหม่ที่กำลังฝึกฝน ดวงตาของมู่เฉินก็วาวแสงพึงพอใจ ตำหนักมู่ค่อยๆ ทรงพลังมากขึ้นในมือเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้จัดการโดยตรง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความสำเร็จที่น่าภาคภูมิ
เพราะเขาเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตำหนักมู่ที่เขาก่อตั้งขึ้นนั้นจะเติบโตขึ้นเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังในมหาพันภพ
ขณะที่มู่เฉินมองฉากนี้อย่างเกียจคร้าน ร่างสะคราญโฉมก็ย่างกรายเข้ามาซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน
นางสวมชุดสีดำเดินด้ายทองเนื้อผ้าพลิ้วไหวไปตามสายลม ช่างเป็นสัญลักษณ์ของความสูงส่ง รูปร่างมีโค้งเว้า ดวงหน้าบอบบางมีรอยยิ้มประดับ ขณะกวาดมองไปในสถานที่แห่งนี้
ชายหนุ่มทั้งหลายแอบมองไปที่ร่างงดงาม แต่เมื่อนางกวาดมองมา ใบหน้าของพวกเขาก็แดงซ่านไม่กล้าสบตากับนางโดยตรง
สำหรับพวกหญิงสาวมองไปที่จอมยุทธ์หญิงคนนี้ด้วยความปรารถนาว่าในอนาคตจะครอบครองความสง่างามและความงดงามเช่นนี้เหมือนกัน
ขณะที่ร่างนั้นเดินผ่านไป สายตาที่จ้องมองอยู่ก็ถูกดึงกลับด้วยความไม่เต็มใจ
มู่เฉินฉายรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อมองไปที่ร่างงดงามที่กำลังเดินมาหา นางหยุดยืนอยู่ข้างๆ เขา ดวงตากวาดมองรอบวังสวรรค์บรรพกาลพลางยิ้ม “ตำหนักมู่ของเจ้าดีทีเดียว”
มู่เฉินพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่เป็นสิ่งที่ข้าทำเพื่อลูกๆ ของเรา”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาใบหน้าของลั่วหลีก็แดงระเรื่อด้วยความเขินอายพลางถลึงตาใส่มู่เฉิน “จะ…เจ้าพูดไร้สาระอะไรเนี่ย! ใครจะมีลูกกับเจ้า!”
ลั่วหลีที่ปกติจะไว้สง่าก็หน้าแดงเถือกจากคำพูดของมู่เฉิน เรายังไม่ได้เข้าพิธีแต่เจ้านี่คิดจะข้ามไปอีกหลายขั้นแล้ว…
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าแดงก่ำด้วยไฟปรารถนาในใจ ทันใดนั้นเขาก็โผเข้าหาโอบแขนรอบเอวบาง ล้มลงบนสนามหญ้าด้วยกัน
ตอนที่ล้มลงมามู่เฉินก็พลิกตัวลงก่อนโดยที่มีลั่วหลีแนบทับอยู่บนร่าง
การจู่โจมกะทันหันทำให้ลั่วหลีตกใจ นางผลักหน้าอกมู่เฉินดึงตัวออก ร่างกายส่วนบนแอ่นไปทางด้านหลังพร้อมกับขบปากจ้องมองไปที่มู่เฉิน
เมื่อสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มบนร่างกายตนเอง สายตามู่เฉินก็ลุกโชน เขามองไปที่ลั่วหลีด้วยความรักเต็มหัวใจ “เราพยายามกันหน่อยไหม?”
“พยายามอะไร?” ลั่วหลีคิดไม่ทันกับคำถาม
“ลูกๆ ไง!” มู่เฉินตอบแบบหน้าด้าน
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของหญิงสาวในอ้อมกอดเขาก็แดงแก่ก่ำไปเลยทีเดียว
บึก!
จากนั้นศอกของลั่วหลีก็กระแทกเข้าที่ท้องของมู่เฉิน ทำเอาเขาต้องสูดลมหายใจเย็น ใบหน้าที่หล่อเหลาก็บิดเบี้ยว
“เจ้าคนพาล!” ใบหน้าของลั่วหลีแดงเป็นตับหมูขณะถลึงตาใส่มู่เฉิน
ตั้งแต่ยังเด็กนางก็คือจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิ่น ตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งธิดาเทพเผ่าไท่หลิง ทุกคนให้ความเคารพและไม่มีใครกล้าทำให้ขุ่นเคือง
ดังนั้นเมื่อเจอมู่เฉินจอมเจ้าเล่ห์ ลั่วหลีก็รู้สึกตะลึงงันไปหมด
ศอกที่ถ่องลงมา ทำให้ใบหน้ามู่เฉินบิดเบ้อย่างขมขื่นขณะโอดครวญ “ข้าจะพาลกับฮูหยินตัวเองไม่ได้เลยหรือ?”
ลั่วหลีกลอกตาบนหัวเราะเบาๆ “พูดเรื่องนี้หลังจากที่เจ้าตกลงเรื่องงานแต่งงานกับตระกูลลั่วเสิน”
มู่เฉินถูท้อง ใบหน้าบูดบึ้ง จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนบนพื้นพลางจ้องมองไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาหมดหวัง
เมื่อเห็นท่าทางของเขา ลั่วหลีก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มรู้สึกหน่วงเล็กน้อยในใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาแกล้งทำ
ดังนั้นนางจึงก้มศีรษะลงจูบมู่เฉิน
ความรู้สึกอบอุ่นกะทันหันทำให้มู่เฉินอึ้งไป ก่อนที่เขาจะเลียริมฝีปากด้วยความโลภพลางมองไปที่ริมฝีปากสีแดงชาดของลั่วหลี
แต่เผชิญกับแววตาของเขา ลั่วหลีก็ไม่สนใจ นางลุกขึ้นนั่งอย่างสง่างาม
เมื่อมองไปที่ร่างเพรียวบางรวมกับกลิ่นหอมเฉพาะตัว มู่เฉินก็ยิ้มขณะที่ไฟปรารถนาลดลง ถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบ
เขาวางศีรษะลงบนตักนางนอนเหยียดตัวหลับตาลง “ข้ารอคอยช่วงเวลานี้นับตั้งแต่ที่เจ้าออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางแล้ว”
ร่างกายของลั่วหลีสั่นสะท้านขณะลดศีรษะลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์ แม้ว่าในเวลานี้จะเต็มไปด้วยความเฉียบคม แต่ก็มีความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดจากดวงตาที่ปิดลงของเขา
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าจมูกเปรี้ยวขึ้น ตอนนี้มู่เฉินเป็นยอดยุทธ์ที่แท้จริงแห่งมหาพันภพพร้อมกับชื่อเสียงที่ขจรขจายไปทั่วหล้า แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาพยายามมากแค่ไหนเพื่อให้บรรลุสิ่งที่มีในวันนี้
นางยังจำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นดูว่างเปล่าเพียงใดเมื่อลั่วเทียนเสินพานางกลับไป…
ในเวลานั้นเขาบอกนางว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นยอดยุทธ์และจะไม่มีใครพรากนางไปจากเขาได้…
เพียงแต่ว่าเส้นทางที่ก้าวเดินนั้นเต็มไปด้วยอันตราย
นางตกหลุมรักเด็กหนุ่มที่พบกันในสงครามเทพยุทธ์ รอยยิ้มมั่นใจของเขาส่งผลต่อนางเสมอ ทำให้นางกล้าพุ่งเข้าชนกับปัญหาใดๆ
ดังนั้นนางจึงกังวลเหลือเกินว่ามู่เฉินอาจสูญเสียรอยยิ้มที่นางรักในเส้นทางแห่งยอดยุทธ์และถูกปกคลุมไปด้วยบาดแผล
โชคดีที่สิ่งที่นางกังวลไม่ได้เกิดขึ้น
ลั่วหลียิ้มมือบางลูบไล้ใบหน้าของมู่เฉิน รอยยิ้มที่เผยออกมาทำให้ขอบฟ้าไร้สีสันไปเลยทีเดียว
“มู่เฉิน เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่โชคดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับข้าในชีวิตคืออะไร? ไม่ใช่การช่วยตระกูลลั่วเสิน ไม่ใช่การเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิง… แต่เป็นการพบเจ้าที่สงครามเทพยุทธ์”
สายลมพัดผ่านภูเขา เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวก็ดังกระทบหัวใจมู่เฉิน เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย
มู่เฉินลืมตาขึ้นมองไปที่คนรักก่อนที่จะมองไปที่ผู้คนนับไม่ถ้วนที่ริมทะเลสาบพลางยิ้ม
มีสิ่งดีงามมากมายในชีวิตที่ควรค่าแก่การปกป้อง
แล้วเขาจะยอมให้ใครมาทำลายได้อย่างไร? แม้ว่าศัตรูของเขาจะเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว…
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ จ้องมองไปที่ลั่วหลี “ลั่วหลี ถ้าเราผ่านสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพได้ แต่งงานกับข้านะ”
ลั่วหลีมองไปที่รอยยิ้มของมู่เฉินที่นางรักก็กัดริมฝีปากพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ นางพยักหน้า ผมสีเงินเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน
“ข้ายินดี!”
บทที่ 1514 ร่องรอยปีศาจปรากฏ
สามเดือนผันผ่าน
บรรยากาศในสามเดือนนี้ของมหาพันภพค่อยๆ หนักหน่วง จุดเริ่มต้นก็คือสงครามไร้ที่สิ้นสุดที่เกิดขึ้นระหว่างพรมแดนมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
มากล้นจนกระทั่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูกลายเป็นเป้าโจมตีของจักรวรรดิปีศาจ กองทัพปีศาจนับไม่ถ้วนบุกรุมโจมตีสองขุมกำลังชั้นยอดนี้อย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่าการโจมตีจะไม่สามารถสั่นคลอนขั้วอำนาจทั้งสอง เนื่องจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเข้าสั่งการเอง แต่แรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำนี้ก็กระจายไปทั่วโลก
เห็นได้ชัดว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี
หลังจากทราบเรื่องนั้นทุกคนในมหาพันโลกก็ต้องหวาดหวั่นในใจ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้สึกกลัว เพราะถึงยังไงชื่อเสียงเผ่าปีศาจก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก พวกมันก่อสงครามโลหิตในสมัยโบราณ ทำให้จอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนล้มหายตายจากกับสงครามครั้งนั้น
ตอนนี้เผ่าปีศาจกำลังสำแดงตัวอีกครั้งและจะต้องกวาดแม่น้ำโลหิตทั่วมหาพันภพอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกสรรพสิ่งจะถูกทำลายล้าง
ทุกคนตระหนักถึงมหันตภัยในรอบหลายหมื่นปีด้วยความกลัว
กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ ทวีปเทียนหลัว
มู่เฉินมองไปที่จอมยุทธ์ของตำหนักมู่ โดยมีจิ่วโยวและมั่นถัวหลัวเป็นผู้นำ ตอนนี้ตำหนักมู่คือเจ้าทวีปเทียนหลัวแท้จริง ขั้วอำนาจทั้งหมดยอมสวามิภักดิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าหมัวเฮอแพร่กระจายออกไป ขั้วอำนาจอื่นที่ยังคงมีความคิดกบฏก็ยอมแพ้ทันที
เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ในแง่ของพลังชายหนุ่มได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาพันภพ เมื่อบวกเข้ากับภูมิหลังการปกครองทวีปเทียนหลัวก็ไม่ใช่ปัญหา
ดังนั้นผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ จึงเร่งรุดมาประจำการที่ทวีปเทียนหลัว ช่างเป็นการรวมตัวที่หรูหรายิ่งนัก
“ข้าจะมุ่งหน้าไปยังเนินเขารกร้างทางเหนือ ขอให้ทุกคนปกป้องทวีปเทียนหลัวบ้านของเรา จงระวังตัวตลอดเวลาและเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม” มู่เฉินกวาดมองทุกคนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
การเดินทางครั้งนี้ไม่ราบรื่นแน่ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะต้องทำทุกอย่างเพื่อทำลายผนึก ดังนั้นจะต้องเกิดสงครามขึ้นอย่างแน่นอนและไม่มีใครรู้ผลลัพธ์ เขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในฐานะผู้ปกครอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเตือนทุกคนให้เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม เพราะพวกเขาจะได้ไม่เดินซ้ำรอยของวังสวรรค์บรรพกาล
“รับทราบ!”
ทุกคนตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม พวกเขาทราบเกี่ยวกับหายนะที่กำลังเกิดขึ้นในมหาพันภพ เมื่อเผชิญกับมหันตภัยนี้ก็ไม่มีใครคิดโอนอ่อนผ่อนตาม เนื่องจากความผิดพลาดเล็กน้อยอาจทำให้จักรวาลล่มสลายได้
เมื่อเผชิญกับมหันตภัยนี้ พวกเขาต้องละข้อขัดแย้งทั้งหมดลง ยามนี้ผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ ในทวีปเทียนหลัวต่างชื่นชมยินดี เนื่องจากพวกเขามีจอมทัพที่ยิ่งใหญ่
มิฉะนั้นถ้าทวีปเทียนหลัวยังไม่รวมเป็นหนึ่งคงจะกลายเป็นทะเลเลือดหากเผ่าปีศาจบุกเข้ามา
ตอนนี้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ที่เทียบเท่ากับจักรพรรดิฟ้าที่ทรงอำนาจในอดีตแล้ว ภายใต้การนำของเขาทวีปเทียนหลัวจะสามารถต้านเผ่าปีศาจได้ ต่อให้พวกมันจะบุกเข้ามา
ดังนั้นเมื่อยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน ทุกคนก็เกิดความเชื่อมั่นเต็มปรี่ ร่องรอยความเคารพพล่านในใจ
มู่เฉินหันไปรอบๆ มู่เฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ยิ้มกับภาพนี้ ลูกชายของเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอ่อนแอที่ไม่มีภูมิหลังใดๆ ตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิง แต่ขณะนี้เขามีขุมกำลังของตัวเองและต้องยอมรับว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าตนที่เป็นพ่อหลายขุม
แต่นี่ก็ทำให้เขามีความภาคภูมิใจ แม้เขาจะไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง แต่ลูกชายของเขาเป็นมังกรแท้จริงท่ามกลางมังกร
“ท่านพ่ออยู่ที่ตำหนักมู่ช่วงนี้ก่อนนะ” มู่เฉินยิ้ม เขาไปรับมู่เฟิงมาเมื่อเดือนก่อน ไม่ว่าอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็ปลอดภัยกว่าทวีปไป่หลิง
มู่เฟิงพยักหน้ารับรู้ เขาทราบดีว่าภรรยาและลูกชายจะไปที่เนินเขารกร้างทางเหนือ แม้เขาจะไม่มีความสามารถช่วยอะไร แต่อย่างน้อยไม่ให้พวกเขากังวลเป็นห่วงก็เป็นการช่วยอย่างหนึ่ง
“ไอ้หนูจงทำในสิ่งที่ต้องทำ แต่อย่าลืมดูแลแม่และลั่วหลีให้ดี ในฐานะลูกผู้ชายเจ้าต้องแบกรับความรับผิดชอบเหล่านี้” มู่เฟิงตบไหล่มู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม บิดาเขาอาจไม่แข็งแกร่งแต่เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ในอดีตชายคนนี้ก็โอบอุ้มปกป้องเขาด้วยสองมือ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมู่เฉินจึงมีนิสัยเช่นนี้เพราะได้รับอิทธิพลจากบิดามานั่นเอง
“ไปกันเถอะ”
มู่เฉินไม่รอช้ามองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลี
ทั้งสองพยักหน้า ความผันผวนของคลื่นหลิงเพิ่มขึ้นรอบตัว ร่างกลายเป็นร่างแสงสามสายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หายไปในขอบฟ้า
เมื่อมั่นถัวหลัวและจิ่วโยวเห็นทั้งสามไปแล้วก็สบตากันพร้อมกับความเคร่งเครียดในสายตาของกันและกัน พวกนางรู้ว่าการเดินทางไปยังเนินเขารกร้างทางเหนือในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของมหาพันภพ
เมื่อพวกมู่เฉินเริ่มเคลื่อนไหว
ความผันผวนของคลื่นหลิงจำนวนมากก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งไปที่ขอบฟ้า
เหล่ายอดยุทธ์กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียว…เนินเขารกร้างทางเหนือ
มหาพันภพ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
ที่นี่คือทวีปสีแดงเข้มที่มีอุณหภูมิร้อนแรง บางครั้งจะเกิดการปะทุของภูเขาไฟพร้อมกับลาวาพวยพุ่งออกมา
ที่ใจกลางทวีปมีเมืองขนาดใหญ่ในรูปทรงดอกบัวทำให้มีเสน่ห์ที่แปลกประหลาดตา
เวลานี้มีร่างเงายืนอยู่บนแท่นสูงพร้อมกับความดุเดือดเลือดพล่าน นี่ก็คือเทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน
เขากวาดสายมองไปที่นอกทวีป มิติบริเวณนั้นถึงกับบิดเบี้ยวพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากหลั่งไหลออกมา ดูราวกับว่าสายตาเต็มไปด้วยไอสังหารและความโลภกะพริบอยู่ภายใน
“ไอ้พวกปีศาจเล็งเป้ามาที่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วของเราจริงๆ” ชายชราหดตาลงที่ด้านหลังเซียวเหยียนพร้อมกับรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย เขาก็คืออาจารย์ของเทพจักรพรรดิอัคคี—เย่าเฉิน
“เป็นเพราะสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ เผ่าปีศาจเลยบุกมาที่นี่เพื่อให้เซียวเหยียนประจำการ” หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างมีรูปร่างเพรียวบางและส่วนโค้งน่าประทับใจที่ดูน่าหลงใหล แม้แต่น้ำเสียงก็ทรงเสน่ห์
นางคือหนึ่งในนายหญิงแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว—ไฉ่หลิง
“ในเมื่อพวกมันตัดสินใจแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าพวกปีศาจจะลงมือที่เนินเขารกร้างทางเหนือแน่นอน” หญิงสะคราญโฉมอีกคนกล่าวขณะยืนอยู่ข้างไฉ่หลิง นางสวมชุดสีมรกตมีลักษณะที่โดดเด่น จริตจะก้านดูนิ่มนวล นางก็คือนายหญิงอีกคนของแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว—เซียวซุนเอ๋อ
เมื่อได้ยินคำพูดของฮูหยิน เซียวเหยียนก็พยักหน้าเบาๆ สายตามองไปที่รัศมีปีศาจที่พวยพุ่งขึ้นในมิติ “ออกคำสั่ง แคว้นหวู่จิ้งฮั่วส่งสัญญาณเตือนภัยสีแดง จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหว”
ที่เบื้องหลังร่างเงาหนึ่งหายไปพร้อมกับคำสั่ง
ครืนๆๆๆ
เมื่อเซียวเหยียนออกคำสั่ง มิติก็เริ่มปริแตกออกจากกัน ร่างปีศาจนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาเหมือนผีห่าซาตานระบายสีขอบฟ้าจนดำทะมึน
ในเวลาเดียวกันร่างปีศาจขนาดใหญ่สามร่างก็ก้าวย่างออกมาจากรอยแตกพร้อมกับแรงกดดันปีศาจกลืนกินพื้นที่แห่งนี้
เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้นยกยิ้ม “อา…สามจอมปีศาจจากสามสิบสองเผ่าใหญ่ ไม่รู้ว่าเผ่าปีศาจกำลังให้ความสำคัญหรือดูถูกข้ากันแน่?”
แคว้นหวู
เทพจักรพรรดิสงครามหลินต้งมองไปที่สัตว์นรกที่หลั่งไหลออกมาจากรอยแตก มีร่างจอมปีศาจสามร่างเผยตัวออกมาเช่นกัน
ที่ข้างหลังเป็นหญิงสะคราญโฉมสองคน คนหนึ่งสวมชุดสีขาวรูปร่างงดงาม นางสวมผ้าคลุมหน้าแต่ก็ไม่สามารถปกปิดส่วนโค้งที่น่าประทับใจได้ ในมือถือกระบี่ยาวสีฟ้าอมเขียวไว้ ช่างคล้ายกับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์
อีกคนหนึ่งมีผมยาวสีน้ำเงินเข้ม ผิวกระจ่างใส มีรัศมีเย็นยะเยือกที่ไร้ขอบเขตอบอวล ราวกับว่าความหนาวเย็นนี้สามารถตรึงทุกสิ่งได้
ความเย็นจัดที่ปกคลุมทำให้นางดูราวกับว่าเป็นเด็กสาว
โฉมสะคราญทั้งสองก็คือนายหญิงแคว้นหวูหลิงชิงจู๋และอิ้งฮวนฮวน
“ข้าได้นำจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเผ่าเทพน้ำแข็งมาทั้งหมดแล้ว” เสียงของอิ้งฮวนฮวนดังก้องพร้อมกับสาดความหนาวเย็น
“จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนทั้งหมดภายใต้อาณัติแคว้นหวูพร้อมรับคำสั่งสู้ศึกแล้วเช่นกัน” เสียงนุ่มนวลของหลิงชิงจู๋ดังตามมา
หลินต้งพยักหน้ายื่นมือไปจับมือสตรีทั้งสองพร้อมกับรอยยิ้ม “ไม่คิดว่าเราจะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเผ่าปีศาจด้วยกันอีกครั้ง”
“ไม่ต้องกังวล หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะใช้ชีวิตนี้ปกป้องเจ้าเอง” หลิงชิงจู๋ยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของหลินต้งก็ดิ่งลงขณะขอร้อง “ได้โปรดอย่าทำอย่างนั้น ข้าไม่สามารถรับครั้งที่สองไหวแน่”
หลิงชิงจู๋ยิ้ม ส่วนริมฝีปากของอิ้งฮวนฮวนก็จือขึ้นก่อนจะเค้นเสียงเย็น “ไม่เต็มใจขนาดนี้เชียว ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้ให้เจ้ามาช่วยสักหน่อย”
หลินต้งทำได้เพียงยักไหล่
หลังจากที่ทั้งสามคนแหย่กันพอหอมปากหอมคอ ท่าทางของหลินต้งก็กลับมาเป็นปกติ เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างปีศาจทั้งสาม มือยื่นออกมาคทาสายฟ้าก็ปรากฏขึ้น ความคมชัดเพิ่มขึ้นในดวงตาขณะความผันผวนที่น่ากลัวค่อยๆ กวาดออกจากร่างเขา
“ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเมียรักต่อหน้าข้าได้…”
บทที่ 1515 ดินแดนวั้นมู่
เนินเขารกร้างทางเหนือตั้งอยู่ที่ใจกลางมหาพันภพ
ในสมัยโบราณที่นี่เป็นทวีปที่กว้างใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อทวีปเป่ยหวาง ทวีปนี้ไม่เหมือนกับชื่อที่รกร้างว่างเปล่า แต่กลับเป็นดินแดนเฟื่องฟูและทรงพลังจนถึงขีดสุด
แต่เมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา มิหนำซ้ำมหาพันภพก็พ่ายแพ้สงครามอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดเทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ยืนหยัดและสร้างสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ ก่อตั้งวังมหาพันภพขึ้นเพื่อต่อสู้กับเผ่าปีศาจต่างๆ
ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างจักรวรรดิปีศาจและมหาพันภพ ศึกนี้ที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการปะทะกันระหว่างเทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิได้เกิดขึ้นในทวีปเป่ยหวางนี้ การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ทวีปแตกเป็นเสี่ยงๆ และดินแดนที่เหลือจึงถูกขนานนามว่าดินแดนวั้นมู่
ศึกครั้งนั้นจบลงพร้อมกับเทพปีศาจจักรพรรดิถูกปิดผนึก มิหนำซ้ำดินแดนวั้นมู่ก็ถูกปิดแน่นหนาไว้โดยผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเทพจักรพรรดินิรันดร์—ผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน แน่นอนว่าสถานที่อันตรายแห่งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่กล้าย่ำเท้าเข้ามา ดังนั้นจึงไม่อยากมีใครอยากมาอยู่แล้ว
มีเพียงถึงเวลาของสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพในหนึ่งสหัสวรรษ วังสวรรค์บรรพกาลจะส่งเทียบเชิญยังจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนเพื่อมุ่งหน้าไปยังดินแดนวั้นมู่ ภายใต้ความร่วมมือร่วมใจ พวกเขาจะอัญเชิญผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้เพื่อลบพลังของเทพปีศาจจักรพรรดิ
แต่สนธิสัญญานี้เกณฑ์สูงสุดเอื้อม มีเพียงผู้ที่ทราบเรื่องราวภายในเท่านั้นที่เข้าใจว่าสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพมีความสำคัญเพียงใด
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของมหาพันภพและหากล้มเหลวก็จะไปสะกิดระเบิดทำลายล้าง
ที่สุดแล้วยังมีความกลัวฝังลึกอยู่ในใจทุกคนจากการกระทำของเทพปีศาจจักรพรรดิ ต่อให้แม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังถูกบันทึกไว้ในบันทึกโบราณที่สืบทอดต่อกันมา
ตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์สละชีวิตเพื่อผนึกและหากเทพปีศาจคนนี้หนีไปได้ก็จะไม่มีใครหน้าไหนหยุดได้อีกแล้ว…
“นี่คือดินแดนวั้นมู่รึ?”
ริ้วแสงสามสายฉีกผ่านพื้นที่เชิงมิติและหมู่เมฆ ก่อนที่พวกเขาจะเห็นทวีปรุ่งโรจน์ในครรลองสายตา
ทวีปนี้ได้รับความเสียหายมากจนถูกย้อมเป็นสีแดง แม้จากระยะไกลก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายในบรรยากาศ
เมื่อรัศมีโดยรอบทั้งสามจางลง ภาพมู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลีก็ปรากฏขึ้น
ขณะนี้มู่เฉินกำลังมองไปที่ทวีปรกร้างด้วยความอยากรู้ เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจสถานที่การสู้รบระหว่างเทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิยิ่งนัก
ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าเคร่งขรึม สายตามองไปที่เนินเขารกร้างทางเหนือด้วยความครั่นคราม เนื่องจากนางสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีน่าสะพรึงกลัวเบาบางจากทวีปแห่งนี้
แม้ในฐานะหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง รัศมีนี้ก็ทำให้นางรู้สึกกดดันและหวาดผวา
“ช่างเป็นสถานที่ที่น่ากลัวจริงๆ”
มู่เฉินถอนหายใจขณะจ้องมองไปที่ผืนดินสีแดงเข้ม ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้
ร่องรอยรัศมีเล็กน้อยก็ทำให้หนังหัวเขาชาวาบไปหมดแล้ว
“นี่คือสถานที่ที่ปิดผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิและรัศมีก็มาจากสิ่งนี้ แต่โชคดีที่ถูกจำกัดไว้โดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าก้าวเข้ามาที่นี่” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย
มู่เฉินพยักหน้า ขณะกำลังจะพูด การแสดงออกก็ที่เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงพายุรุนแรงฉีกออกในพื้นที่ไกล ริ้วแสงหลายสายที่เอิบอาบด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังกระจายออกมา ทุกคนล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ได้รับเทียบเชิญกำลังเร่งรุดเดินทางเมื่อเวลาใกล้เข้ามา
จอมยุทธ์เหล่านั้นก็รับรู้ได้ถึงทั้งสามคน พวกเขาเหลือบมองมาด้วยความเคารพฉายบนใบหน้า จากนั้นก็ประสานมือคารวะจากระยะไกล ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินทางไปยังดินแดนวั้นมู่
“ดูเหมือนตอนนี้ข้าก็โด่งดังในมหาพันภพเหมือนกันนะเนี่ย”
มู่เฉินมองไปที่คนเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่ม เขารับรู้ได้ถึงความเคารพโดยธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเดาตัวตนของกลุ่มเขาได้
“พวกเขาคำนับท่านน้าจิ้งต่างหาก ไปเกี่ยวอะไรกับเจ้า” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินชักจะเริ่มหางชี้ ลั่วหลีก็อดไม่ได้ที่จะจือปากขึ้นเอ่ยหยอกล้อ
มู่เฉินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะมองค้อนลั่วหลี แต่หญิงสาวกลับทำหน้าล้อเลียนแบบไม่กลัว เสียงหัวเราะพลิ้วหวานของนางกระตุ้นหัวใจของมู่เฉินนัก
ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มขณะเฝ้าดูคู่รักกระเซ้าเย้าแหย่กัน “แต่ตอนนี้เฉินเอ๋อมีชื่อเสียงมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเผ่าหมัวเฮอ ข้าคิดว่าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนไหนไม่รู้จักเจ้าผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์และทำเอาหมัวเฮอเทียนทำอะไรไม่ได้”
มู่เฉินหัวเราะ ตัวเขาไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงอะไรก็แค่อยากแกล้งลั่วหลีเท่านั้น
“ไปต่อกันเถอะ”
มู่เฉินโบกมือมุ่งหน้าไปยังดินแดนวั้นมู่ ขณะที่กำลังเดินทางต่อมู่เฉินก็หยุดชะงักลงชั่วครู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
เขาสามารถสัมผัสได้เบาบางถึงแรงกดดันน่ากลัวที่มาจากดินแดนวั้นมู่ ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวเขาจะถูกสังหารโดยพลังงานที่ไร้ขอบเขตทันทีหากมีความคิดชั่วร้าย
“ระวัง นี่คือผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้” เสียงเคร่งเครียดของชิงเหยี่ยนจิ้งดังขึ้น “ผนึกนี้ไม่เพียง แต่ผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังก่อเป็นปราการกั้นดินแดนวั้นมู่ไว้ด้วย ผนึกจะทำลายล้างสมาชิกของเผ่าปีศาจที่เข้ามาใกล้”
“เราแค่ต้องผ่อนคลายและใช้คลื่นหลิงห่อหุ้มร่างตัวเองไว้ก็พอ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของมารดา ร่างกายของมู่เฉินก็พวยพุ่งด้วยคลื่นหลิงปกป้องร่างไว้ ชั่วครู่ต่อมาเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“พลังน่ากลัวอะไรขนาดนี้…ด้วยการปกป้องเช่นนี้ ทำไมพวกปีศาจถึงยังกล้าบุกเข้ามา?” มู่เฉินถอนหายใจ
ชิงเหยี่ยนจิ้งส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พวกปีศาจฉลาดแกมโกง ผนึกอาจทรงพลัง แต่พวกมันก็ไม่ใช่กลุ่มที่ดูถูกได้”
มู่เฉินพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในดินแดนวั้นมู่แล้ว เมื่อมองลงมาจากท้องฟ้า เขาก็อึ้งไป
ภูเขาถูกใช้เป็นสุสานทอดยาวไปจนสุดสายตา…
“พวกเขาล้วนเป็นเหล่าจอมยุทธ์ที่สละชีพในสงครามโบราณ” ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เนื่องจากใครก็ตามที่ถูกฝังไว้ที่นี่จะต้องมีชื่อเสียงในสมัยโบราณ แต่ด้วยจำนวนมากมายเช่นนี้ เขาคาดเดาได้ว่าสงครามโหดร้ายเพียงใด
ทุกคนสละชีวิตเพื่อปกป้องบ้านและสมควรได้รับการเคารพจากคนรุ่นหลังอย่างเขา
ฟิ้ว
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ ร่างแสงสีเทาสองสายก็ทะยานเข้ามาปรากฏที่เบื้องหน้า พวกเขาเป็นชายวัยกลางคนสองคนในชุดคลุมสีเทา
ร่างทั้งสองคนผอมบางและไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า อย่างไรก็ตามความผันผวนของคลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาบอกว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงแท้จริง
“คารวะผู้อาวุโสใหญ่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ท่านประมุขตำหนักมู่มู่เฉินและธิดาเทพลั่วหลี” ชายสองคนประสานมือคารวะทั้งสามพลางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง
เมื่อมู่เฉินกวาดสายตามองก็มองเห็นภาพศูนย์รวมของภูเขาสุสานที่ดูรกร้างบนหน้าอก ในเวลาเดียวกันก็สามารถเดาตัวตนอีกฝ่ายได้ นี่คือผู้พิทักษ์หมื่นสุสานแห่งดินแดนวั้นมู่
เล่าขานกันว่าผู้พิทักษ์หมื่นสุสานเป็นสายเลือดของเทพจักรพรรดินิรันดร์ พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนวั้นมู่หลังจากการตายของเทพจักรพรรดิเพื่อปกป้องผนึกนี้
ในแง่ของพลังแม้แต่เผ่าโบราณทั้งห้าก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน เพียงแต่ว่าพวกเขาทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ไม่เคยก้าวออกจากสถานที่แห่งนี้ การอุทิศตนเช่นนี้ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกเคารพจากใจ
ดังนั้นมู่เฉินจึงประสานมือตอบด้วยมารยาท
“ตามเรามา”
ผู้พิทักษ์ทั้งสองยังคงมีสีหน้าไม่แยแส แต่เมื่อสายตาพวกเขากวาดผ่านร่างมู่เฉินก็มีความผันผวนแปลกประหลาดในดวงตา
แต่พวกเขาไม่ได้ถามมากความ พวกเขาหันหลังและมุ่งหน้าไปยังส่วนลึก
พวกมู่เฉินตามไปพร้อมกับพวกเขาทันที
ภูเขาวาบผ่านไปที่ด้านล่างและใช้เวลาเหาะเหินประมาณสิบกว่านาทีก่อนที่ผู้พิทักษ์จะเริ่มชะลอตัวและพลิ้วลงมา
เมื่อมองลงไปมู่เฉินเห็นลานสีดำขนาดใหญ่บนพื้นพร้อมเสาสีดำขนาดมหึมา เมื่อเข้าใกล้มากขึ้น มู่เฉินก็ต้องหดดวงตาลง เนื่องจากเขาพบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เสา แต่เป็นโลงศพขนาดใหญ่
โลงศพเหล่านี้เหมือนตะปูเมื่อตรึงลงไปบนลานก็ทำให้เกิดความผันผวนที่ผิดปกติ
ขณะที่สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วโลงศพ ตำแหน่งต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นในความคิดและเชื่อมโยงกัน จากนั้นแผนภาพทรงพลังก็ปรากฏขึ้นในใจ
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็เข้าใจว่าโลงศพเหล่านี้เป็นผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ นั่นก็หมายความว่าเทพปีศาจจักรพรรดิถูกผนึกลึกลงไปใต้ลานสีดำมืดแห่งนี้…
บทที่ 1516 การรวมตัวของยอดยุทธ์
ลานสีดำตั้งอยู่ระหว่างภูเขาสุสาน
ซึ่งเอิบอาบไปด้วยรัศมีกดขี่มาจากโลงศพสีดำที่ตรึงไว้ในลานนี้
ใบหน้าของพวกมู่เฉินเคร่งเครียดรุนแรงโดยเฉพาะชิงเหยี่ยนจิ้ง เนื่องจากนางเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งและความสำเร็จในด้านค่ายกลก็ติดอันดับต้นๆ แม้แต่ในมหาพันภพ ดังนั้นนางจึงสามารถบอกได้เลยว่าโลงศพเหล่านี้สร้างรูปแบบค่ายกลที่ทรงพลังอย่างน่ากลัว
ค่ายกลนี้เกินกว่าระดับเซิ่งไปแล้ว
“หากกระตุ้นค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ดับสูญได้” ชิงเหยี่ยนจิ้ง ทอดถอนหายใจด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งในน้ำเสียง ย้อนกลับไปตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์สมเป็นตำนานแท้จริง มิน่าถึงกอบกู้โลกได้
มู่เฉินพยักหน้าตอบว่า “ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้จากสิ่งนี้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังมากถึงขนาดต้องใช้เวลาสี่หมื่นเก้าพันปีในการดับพลังลงจนสิ้นซาก”
แสงเคร่งเครียดวาบขึ้นในดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งขณะที่ถอนหายใจ “นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถปล่อยให้หายนะนี้เป็นอิสระได้”
ขณะที่พวกเขาพูดคุย ผู้พิทักษ์ทั้งสองก็ลงไปบนภูเขาใกล้ขอบลาน วังขนาดใหญ่ตั้งบนภูเขาราวกับสัตว์อสูรขนาดมหึมา
พวกมู่เฉินพลิ้วตัวลงมาที่เบื้องหน้าวัง พวกเขาก็เห็นตัวอักษรยิ่งใหญ่เมื่อเงยหน้ามอง
‘วังมหาพันภพ’
เมื่อมองไปที่วังมหาพันภพ มู่เฉินก็รู้สึกถึงความอันตรายที่ซึมออกมาจากตำหนักราวกับว่ามีชีวิต
“วังมหาพันภพนี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมและเป็นสมบัติของวังมหาพันภพ ซึ่งสามารถเดินทางผ่านมิติ ในแง่ของพลังเปรียบได้กับเจดีย์บรรพบุรุษของเผ่าฝูถูเลยทีเดียว” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย
มู่เฉินเข้าใจจนต้องแอบเดาะลิ้น เขาเคยเห็นเจดีย์บรรพบุรุษเผ่าฝูถูและขวดมหาเพลิงวารีเผ่าหมัวเฮอ เขารู้ว่าอาวุธเทพสุดยอดเหล่านี้น่ากลัวเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังเกรงกลัว
ดูเหมือนว่าวังมหาพันภพจริงจังกับครั้งนี้ ถึงขนาดนำสมบัติล้ำค่ามาที่นี่ด้วย
ขณะที่วังมหาพันภพเปิดออก มู่เฉินก็สบตากับชิงเหยี่ยนจิ้ง ทั้งสามก้าวเข้าไป
เมื่อก้าวเข้ามาทิวทัศน์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ภายในวังสว่างไสวด้วยโคมไฟ มีที่นั่งโดยรอบข้างหน้าซึ่งจัดวางในลักษณะเป็นวงกลม ช่างคล้ายกับลานฝึกนัก
ทว่ายิ่งเดินลงไปก็ยิ่งมีที่นั่งจำนวนน้อยลง เบาะนั่งก็มีความแตกต่างทั้งสีเทา สีเงินและสีทอง ซึ่งแสดงสถานะที่แตกต่างกัน
ชัดว่าที่นั่งที่อยู่ลึกลงไปด้านล่างงสถานะก็ยิ่งสูงขึ้นตาม
มีเงาจำนวนมากนั่งอยู่บนนั่น ทั้งหมดพรั่งพรูด้วยคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
ทว่าระดับเทียนจื้อจุนที่ถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ในมหาพันภพ กลับกลายเป็นธรรมดาในวังมหาพันภพ ทุกคนเก็บอาการหยิ่งผยองจองขนไว้อย่างมิดชิด
สายตาของมู่เฉินมองไปที่ที่นั่งสีทองก็เห็นร่างคุ้นเคยของราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน
“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสใหญ่ชิงเหยี่ยน ประมุขมู่เฉิน ธิดาเทพลั่วหลี ยินดีต้อนรับ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับทั้งสามคนด้วยตัวเอง” เมื่อพวกมู่เฉินเข้ามา ฉิงเทียนก็รู้สึกได้ถึงและพูดต้อนรับอย่างอบอุ่น
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉิน ชิ้งเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลีก็พยักหน้าด้วยมารยาทให้กับราชันสังหารปีศาจผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ
“ทั้งสามนั่งที่เบาะสีทองเลย”
ฉิงเทียนยิ้มชี้ไปที่ที่นั่งสีทองข้างๆ เขา
คำพูดของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นทันที ทุกคนพุ่งความสนใจมาหา แม้ว่าที่นั่งจะดูไม่โดดเด่น แต่ก็เป็นตัวแทนของสถานะในมหาพันภพ
ตามกฎจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้รับอนุญาตให้นั่งบนที่นั่งธรรมดา ขณะที่เบาะสีเงินเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน สำหรับเบาะสีทองนั้นมีไว้สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหรือผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุดเท่านั้น
ในบรรดาทั้งสามคน ชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งและผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู ดังนั้นนางจึงมีคุณสมบัติที่จะมีนั่ง ส่วนลั่วหลีเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงเทียบได้กับประมุขเผ่าก็มีคุณสมบัติเช่นกัน
ทว่ามู่เฉิน แม้ตอนนี้ตำหนักมู่จะครอบครองทวีปเทียนหลัวแต่รากฐานยังคงอ่อนแอ แม้ว่าข่าวศึกในเผ่าหมัวเฮอจะแพร่กระจายออกไปไกล แต่ผู้คนจำนวนมากที่นี่ก็อยู่ในสันโดษเป็นเวลานาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทราบเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจเมื่อทราบว่าที่นั่งของชายหนุ่มคนนี้เป็นเบาะทองคำ
เมื่อเห็นความวุ่นวายในวังฉิงเทียนก็ยิ้ม “มู่เฉินไม่เพียงแต่เป็นประมุขตำหนักมู่เท่านั้น แต่ยังเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย ในแง่ขุมพลังก็เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลาง ที่สำคัญที่สุด…เขาเป็นผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์คนที่สอง ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติได้รับ”
ทันใดนั้นความโกลาหลก็ระเบิดออกทันที ทุกคนจ้องไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากเข้าสมาธิไปร้อยปีจะมีจอมยุทธ์เช่นนี้กำเนิดในมหาพันภพ คลื่นลูกใหม่แซงหน้าคลื่นลูกเก่าไปแล้วจริงๆ…” ผู้เฒ่าคนหนึ่งถอนหายใจ
เมื่อเผชิญหน้ากับคำอุทานเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากไป เขาให้ชิงเหยี่ยนจิ้งเดินนำ ขณะที่เขาและลั่วหลีเดินตามหลัง พวกเขาก้าวลงบันไดนั่งบนเบาะสีทองของแต่ละคน
แต่ขณะที่กำลังเดินผ่านเขาก็หยุดชะงักมองเห็นคนคุ้นเคย เมื่อชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉินก็ตัวแข็งทื่อ
“ฮ่าๆ จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่คิดว่าท่านจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งด้วย ว่าแต่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่เฉินยิ้มพลางมองไปที่ชายคนหนึ่งบนเบาะสีทอง
นี่คือจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนที่ครั้งหนึ่งเคยจะฆ่ากันตายกับมู่เฉิน
ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ต้องการให้ลั่วหลีเข้ารับตำแหน่งรับใช้ในตำหนัก ซึ่งทำให้เกิดการขัดแย้งกับมู่เฉิน ในท้ายที่สุดมู่เฉินต้องเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมา ไม่เพียงแต่เรื่องนี้จะได้รับการแก้ไข เขายังได้ตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียนมาอีกด้วย
ตอนนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์อยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย ไม่คิดว่าเขาจะบรรลุถึงขั้นเซิ่งระยะต้นได้เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง
พอได้ยินคำพูดของมู่เฉินใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เขียวคล้ำอย่างกระอักกระอ่วน ตอนนั้นมู่เฉินเป็นเพียงมดในสายตาเขาที่ไม่มีค่าต้องสนใจ
แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าภายในเวลาไม่ถึงสิบปีเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ้นน้ำนมที่อยู่ในระดับตี้จื้อจุนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ พร้อมกับชื่อเสียงที่เลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ
แม้ว่าเขาจะบรรลุขั้นเซิ่ง แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉินอีกต่อไป หลังจากเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเผ่าหมัวเฮอ
แม้แต่หมัวเฮอเทียนยังไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ ไม่ต้องพูดถึงตนที่มีขุมพลังนี้เลย
เมื่อนึกถึงความเป็นศัตรูมาก่อนหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เริ่มไม่สบายใจ สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไปหมด
มู่เฉินกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ยิ้ม “ความเป็นปฏิปักษ์ของเราในอดีตได้รับการแก้ไขแล้ว ตัวท่านก็ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรกับตระกูลลั่วเสินอีก ดังนั้นข้าไม่คิดหาเรื่องท่านหรอก”
เมื่อพูดจบเขาก็นั่งบนเบาะสีทองที่ใกล้กับฉิงเทียน
เมื่อมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็กัดฟันก่อนจะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ มู่เฉินไม่ใช่มดอีกต่อไป เขาต้องปฏิบัติต่อสิ่งนี้อย่างจริงจัง
เป็นการดีที่สุดที่ความเป็นปรปักษ์จากอดีตจะลบล้างให้หมดสิ้น
เมื่อมู่เฉินนั่งลงบนเบาะก็หลับตาลงไม่สนใจสายตารอบด้าน
หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธ์เดินทางมาถึงมากขึ้น เผ่าไท่หลิง เผ่าเฮยเทียนและเผ่าหมัวเฮอก็มาถึงเช่นกัน
หมัวเฮอเทียนเป็นตัวแทนของเผ่าหมัวเฮออยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นมู่เฉินใบหน้าก็ไม่น่าดู แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะแก้ปัญหาความไม่พอใจส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงเลือกคารวะให้ฉิงเทียนก่อนจะนั่งลง
มู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับหมัวเฮอเทียน แต่เขามองไปที่ชายร่างกายกำยำที่นั่งบนที่นั่งสีทองไม่ไกล ผิวของชายคนนี้เป็นสีเหลืองมีเส้นเลือดเต้นยุบยับแผ่ซ่านความผันผวนที่น่ากลัว
เหตุผลที่มู่เฉินให้ความสนใจชายคนนี้ก็เพราะว่าเขาเป็นประมุขเผ่าโบราณเผ่าที่ห้า เผ่าหวางกู่—หวางฉิว
เป็นที่ทราบกันดีว่าเผ่าหวางกู่มีความเชี่ยวชาญในการฝึกฝนพลังกาย ภายใต้การรับรู้ของมู่เฉินพลังกายของหวางฉิวก็ถึงระดับกายาเซิ่งเช่นเดียวกับเขา
เมื่อเวลาผ่านไปมีที่นั่งก็เริ่มเต็มจำนวน มองไปที่การรวมตัวนี้แม้แต่มู่เฉินก็ยังตกใจ เพราะทุกคนที่นี่คือยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่
ฟู่ ฟู่!
ขณะที่มู่เฉินกำลังทอดถอนหายใจกับการรวมตัวนี้ จู่ๆ หัวใจของเขาก็โลดขึ้น มวลลมสีดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้วพลิ้วลงมาที่เบาะข้างฉิงเทียน
เมื่อมวลลมจางหายไปก็เห็นชายชราผมขาวที่ดวงตาหลุบต่ำราวกับว่าหลับนั่งอยู่บนเบาะนั้น
ชายชราคนนั้นเอิบอาบกลิ่นอายชราภาพราวกับว่าชีวิตดับวูบลงได้ทุกเมื่อ แต่ภายใต้รูปลักษณะนี้กลับมีแรงกดดันน่าเกรงขามปลดปล่อย
เมื่อรู้สึกถึงความกดดันแม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ยังสั่นสะท้าน
เมื่อมองไปที่ชายชราใบหน้าของฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมประสานมือให้ “ฉิงเทียนคารวะผู้อาวุโสปู้สื่อ”
ทั้งวังตกอยู่ในความปั่นป่วนทันที ทุกคนจ้องมองไปด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้ก็คือจักรพรรดิอมตะผู้นำของผู้พิทักษ์หมื่นสุสานที่ปกปักเนินเขารกร้างทางเหนือ—ผู้อาวุโสปู้สื่อที่ลึกลับ
ฮึ่ม!
ขณะที่ทุกคนกำลังมองไปที่ชายชรา เสียงกระบี่กรีดแทงก็ดังกังวานขึ้น พวกเขาเห็นกระบี่สีฟ้าเขียวทะยานผ่านไปก่อนที่จะพลิ้วลงมาบนที่นั่งข้างผู้อาวุโสปู้สื่อ
เมื่อแสงสีฟ้าอมเขียวสลายไป ชายในชุดเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกระบี่มรกตวางบนตัก
เขาเงยหน้ามองทุกคนแล้วยิ้ม “ยกโทษให้ด้วย ข้าชิงซันมาสายไปหน่อย”
เสียงของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้งเมื่อทุกคนมองมา นี่เป็นหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ราชันสังหารปีศาจและจักรพรรดิอมตะ
ชิงซัน—เทพกระบี่ชุดเขียว!
บทที่ 1517 ประกาศิตนิรันดร์
“เทพกระบี่ชุดเขียว…”
มู่เฉินมองไปที่ชายชุดเขียวที่นั่งอยู่ข้างจักรพรรดิอมตะด้วยสายตาวูบไหว เกิดริ้วความเคร่งขรึมขณะมองสุดยอดจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพที่คงตำแหน่งไว้เป็นเวลายาวนาน ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
นั่นหมายความว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอยู่ในวังสามคน แม้ว่าประมุขหรือผู้อาวุโสใหญ่ของห้าเผ่าโบราณจะอยู่ในขั้นเซิ่งระยะกลาง แต่ด้วยอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งของเผ่า ทำให้พวกเขาไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ขั้นเซิ่งระยะปลาย
บวกกับสัตว์ประหลาดเฒ่าอีกหลายคนที่มักแยกตัวสันโดษ เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสองสามคน
ดังนั้นเกือบครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ชั้นสูงสุดในมหาพันภพมารวมตัวกันที่นี่ในรูปแบบที่น่าสะพรึงกลัว
“ในเมื่อพี่ชิงซันอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นให้เราเริ่มสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพได้” เมื่อเห็นการมาถึงของชิงซัน ฉิงเทียนก็ยิ้มออก
ขณะที่พูดเขาก็กวาดสายตามอง “ที่จริงแล้วเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็จะมาที่นี่ด้วย แต่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเปิดการโจมตีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูกะทันหัน ทั้งสองคนจึงไม่สามารถละทิ้งชายแดนได้”
คำพูดของเขาสร้างความปั่นป่วนทันที จอมยุทธ์ทุกคนที่นี่ต่างแสดงสีหน้ารุนแรง
“ดูเหมือนจักรวรรดิปีศาจเตรียมลงมือกับดินแดนวั้นมู่แล้วจริงๆ ไม่งั้นพวกมันคงไม่พยายามสุดตัวเพื่อกันไม่ให้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมาที่นี่หรอก” ชิงซันถอนหายใจขณะที่สายตาเย็นชาลง
ที่ด้านข้างปู้สื่อก็ลืมตาขึ้น แม้ว่าใบหน้านั้นจะเหี่ยวย่นแต่ก็แผ่ซ่านด้วยกลิ่นอายเย็นเยือก “ผู้พิทักษ์หมื่นสุสานของข้าปกป้องดินแดนวั้นมู่มาสี่หมื่นแปดพันปี เหลือเพียงให้สนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ หากจักรวรรดิปีศาจต้องการทำลาย ผู้พิทักษ์ของข้าก็จะเผชิญหน้าอย่างไม่กลัวเกรง”
ขณะที่พูดมิติรอบตัวก็สั่นสะท้านด้วยจิตสังหารเยือกเย็น ทำให้ใบหน้าจอมยุทธ์หลายคนเปลี่ยนไป
ปู้สื่อปกป้องดินแดนวั้นมู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก แต่เขาจะกลายเป็นคนบ้าเมื่อมีคนกล้าล้ำเส้นแบ่งเข้ามา
ฉิงเทียนพยักหน้า “ถ้าเผ่าปีศาจกล้าแหยมเข้ามา เราจะไม่ยอมให้พวกมันได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเหลือเพียงหมุนค่ายกลนี้อีกครั้งก็จะสามารถดับพลังของเทพปีศาจจักรพรรดิได้ ในเวลานั้นมหาพันภพจะสงบสุขแท้จริงและเราไม่จำเป็นต้องกลัวเผ่าปีศาจอีกต่อไป”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!”
เหล่าจอมยุทธ์เปล่งเสียงสะท้อนออกมา พวกเขารู้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิน่ากลัวเพียงใด หากปีศาจระดับนั้นหลุดรอดออกไปละก็ จะเป็นหายนะสำหรับระบบสุริยจักรวาลนี้แน่นอน ถึงเวลานั้นก็ไม่มีใครหนีรอดไปได้
“จักรวรรดิปีศาจต่างมิติอาจมีแผนการบางอย่าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกมัน มีปราการกั้นในดินแดนวั้นมู่ซึ่งสร้างขึ้นโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ หากกองทัพปีศาจต่างมิติเข้าใกล้การป้องกันก็จะเริ่มขึ้น แม้แต่จอมปีศาจตัวเอ้ก็ไม่สามารถทะลวงเข้ามาได้”
“สำหรับพวกเราก็ต้องใช้เวลานี้เรียกผนึกเพื่อสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิ” ฉิงเทียนมองทุกคน เสียงแกร่งกร้าวของเขาดังกึกก้อง
ทุกคนพยักหน้า “รับคำสั่งราชันฉิง”
ฉิงเทียนไม่เพียงแต่เป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ แต่ยังเป็นเจ้าวังคนปัจจุบันอีกด้วย ภารกิจของวังมหาพันภพคือรวบรวมพลังทุกส่วนเพื่อต่อต้านผู้รุกรานเมื่อมหาพันภพกำลังถูกคุกคาม
“ขอบคุณทุกคน” ฉินเทียนประสานมือคารวะ
“ท่านฉิงเทียนเราจะเริ่มลงมือเมื่อไรขอรับ?” มู่เฉินถามขณะมองไปที่ฉิงเทียน
“ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนที่ค่ายกลดับแสงพันปีศาจจะหมุนเวียนครบหนึ่งสหัสวรรษ เราต้องรอให้การโคจรสมบูรณ์เพื่อที่จะได้อัดคลื่นหลิงเข้าไปกระตุ้น” ฉิงเทียนตอบ
มู่เฉินพยักหน้าหลุบตาลงรอคอย
แต่ทันใดนั้นสายตาเขาก็เหลือบเห็นปู้สื่อกลับกำลังจ้องมองมา ทำให้เขารู้สึกงุนงง
“สหายน้อย…” ปู้สื่อมองมู่เฉินขณะสีหน้าอบอุ่นวาบขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่น
หลังจากอึ้งไปชั่วครู่มู่เฉินก็ตอบทันทีว่า “ผู้อาวุโสเรียกข้ามุ่เฉินเถอะขอรับ”
ความอาวุโสของปู้สื่อไม่มีข้อกังขาใด แม้แต่ฉิงเทียนก็ยังต้องเรียกว่าเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นมู่เฉินจึงต้องรักษามารยาทที่ดีไว้
“ฮ่าๆ”
ปู้สื่อยิ้มกว้าง “สหายน้อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์รึ? ข้าอยากจะขอดูหน่อยได้ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า แค่คิดรัศมีเปล่งปลั่งก็แผ่ซ่านออกมาจากด้านหลัง ภาพเงาค่อยๆ ก่อตัวขึ้น แม้ว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ก็อบอวลด้วยกลิ่นอายโบราณและรัศมีนิรันดร์ที่ผันผวนภายในวัง
ทุกคนมองไปที่ด้านหลังของมู่เฉิน เมื่อเห็นร่างโบราณก็ต้องตกตะลึงในสายตา เนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยนับตั้งแต่เกิดสงครามยุคโบราณ
มีเพียงสายตาของหมัวเฮอเทียนเท่านั้นที่ดูน่าขนลุก เขารู้สึกทรมานด้วยความไม่เต็มใจ
เมื่อมองไปที่มู่เฉิน รอยย่นบนใบหน้าของปู้สื่อก็คลายลงพร้อมกับความทรงจำห้วงลึกวูบไหวในดวงตา “ไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าจะมีโอกาสได้เห็นร่างเทพนิรันดร์”
ขณะที่พูดก็โค้งคำนับให้กับมู่เฉิน
เมื่อเห็นท่าทางนี้ของปู้สื่อ มู่เฉินก็ตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร เนื่องจากความอาวุโสและประสบการณ์ของปู้สื่อคงไม่มีใครในมหาพันภพที่ได้รับการคารวะแบบนี้
“ผู้อาวุโสได้โปรดอย่าทำเช่นนี้” มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น
ปู้สื่อสั่นศีรษะตอบว่า “ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์เคยลั่นประกาศิตนิรันดร์ เมื่อผู้สืบทอดคนใหม่ของร่างมหาเทพนิรันดร์ปรากฏขึ้น ผู้พิทักษ์หมื่นสุสานทุกคนจะต้องสวามิภักดิ์และปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่บิดเบือน”
คำพูดของเขาทำให้เกิดความโกลาหลในวังทันที แม้แต่ฉิงเทียนและชิงซันก็ฉายความประหลาดใจบนใบหน้าเมื่อมองไปที่มู่เฉิน
ผู้พิทักษ์หมื่นสุสานเป็นทายาทสายตรงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ พวกเขามีความจงรักภักดีอย่างยิ่งต่อเทพจอมยุทธ์ผู้นี้ นอกจากนี้ยังครอบครองมรดกที่ทิ้งไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงทรงพลังมากและถือได้ว่าเป็นขุมกำลังสำคัญของมหาพันภพ
หากผู้พิทักษ์หมื่นสุสานสวามิภักดิ์ต่อมู่เฉินแล้ว ขุมกำลังของมู่เฉินก็จะก้าวกระโดดขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของมหาพันภพ ซึ่งเทียบได้กับแม้แต่ห้าเผ่าโบราณ
สายตาตกตะลึงทุกคน ทำเอาริมฝีปากของหมัวเฮอเทียนกระตุกพร้อมกับความกลัวในดวงตา ถ้ามู่เฉินได้รับพลังนี้ไปจริงๆ ต่อให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าฝูถูก็ปราบปรามเผ่าหมัวเฮอได้
หมัวเฮอเทียนทั้งรู้สึกตกใจและโกรธมากไปพร้อมกัน โอกาสนี้ควรเป็นของเผ่าหมัวเฮอ แต่มู่เฉินดันได้รับไปทั้งหมด
แม้แต่สีหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปลี่ยนไปรุนแรง หลังจากนั้นไม่นานท่าทางก็คลายลงเนื่องจากโชคดีที่ความขัดแย้งของเขากับมู่เฉินไม่ได้ลึกซึ้งอะไร ตอนนี้ปีกของมู่เฉินเติบโตเต็มที่ ชายหนุ่มคนนี้ไปถึงจุดสุดยอดของมหาพันภพอย่างแน่นอน ใครจะรู้ว่ามู่เฉินอาจกลายเป็นเทพจักรพรรดิอีกคนก็ได้
มู่เฉินอึ้งไปกับคำพูดเหล่านั้น เขาไม่เคยคิดว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์จะว่าประกาศิตเช่นนี้ไว้ จากนั้นไม่นานท่าทางเขาก็กลับมาเป็นปกติ “ท่านผู้อาวุโสมองข้าสูงเกินไปแล้ว ผู้พิทักษ์หมื่นสุสานน่าชื่นชมที่ปกปักดินแดนวั้นมู่สืบกันมา ตัวข้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะสั่งการ ดังนั้นท่านไม่ต้องปฏิบัติอย่างจริงจังเกินไปหรอก ท่านตั้งเป้าในการรักษาภารกิจเพื่อให้มหาพันภพปลอดภัยเถิดขอรับ”
พลังของผู้พิทักษ์หมื่นสุสานไม่มีข้อกังขา ทุกคนถูกล่อลวงที่จะควบคุม ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้โง่ นั่นเพราะเมื่อทรงพลังมากก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการแม้จะมีประกาศิตนิรันดร์จากเทพจักรพรรดินิรันดร์ ถ้าเขาฝืนทางก็อาจโดนเด้งแทนก็ได้
ปู้สื่อยิ้มไม่พูดอะไรอีก เขารู้โดยธรรมชาติว่ามู่เฉินกังวลเรื่องอะไร เนื่องจากมู่เฉินยังคงอ่อนแอเกินไปที่จะกลายเป็นประมุขผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน แต่ถ้ามีวันหนึ่งที่เขาขึ้นสู่ระดับสูงสุดเหมือนเทพจักรพรรดินิรันดร์ เหล่าผู้พิทักษ์ก็จะรับใช้เขาด้วยใจจริง
ขณะที่ปู้สื่อเงียบลง สายตาผู้คนก็กวาดผ่านใบหน้าของมู่เฉินด้วยความเคารพ
ภายใต้ความเงียบงันหกชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงช่วงเวลาสุดท้าย้นินเขารกร้างทางเหนือก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
โฮก!
ขณะที่แผ่นโลกโยกคลอน เสียงคำรามที่อัดแน่นด้วยการทำลายล้างไม่สิ้นสุดก็สะท้อนออกมา ราวกับว่าสามารถเอาชนะสวรรค์ได้
โลงศพสัมฤทธิ์บนลานกว้างก็เริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับลำแสงเชื่อมเข้าด้วยกัน ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ได้ก่อตัวเป็นค่ายกลโบราณเหนือดินแดนวั้นมู่
ฉิงเทียนยืนขึ้นทันทีด้วยสายตาเย็นชา เสื้อคลุมสะบัดไหวด้วยแรงกดดันทรงพลังที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกาย
“ทุกคนได้เวลาแล้ว เตรียมพร้อมที่จะใช้ค่ายกลดับแสงพันปีศาจเพื่อดับพลังชีวิตที่เหลืออยู่เทพปีศาจจักรพรรดิ!”
ในวังจอมยุทธ์ทุกคนมีไอเย็นเยือกวูบไหวในดวงตาขณะที่ตอบเสียงดังก้อง
“รับทราบ!”
บทที่ 1518 ชำระเทพปีศาจจักรพรรดิ
ตู้ม ตู้ม!
บริเวณเนินเขารกร้างทางเหนือเกิดเสียงดังก้องไม่หยุด โลงศพบนลานสีดำระเบิดแสงจำนวนมากถักทอกลายเป็นค่ายกลเหนือพื้นที่นี้
แม้ว่าค่ายกลจะดูเลือนรางแต่ก็พล่านด้วยพลังเต้นระริก ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายยังหวาดกลัว
ม่านแสงเริ่มปรากฏขึ้นและกระจายออกไปห่อหุ้มดินแดนวั้นมู่ทั้งหมด ราวกับว่าเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด
ฉิงเทียนยืนขึ้นพลางเงยหน้า สายตาเหมือนจะสามารถทะลุผ่านวังยิ่งใหญ่มองไปที่ค่ายกลทรงพลังเหนือดินแดนวั้นมู่
“ทุกคนประจำตำแหน่ง เมื่อไรที่ได้รับคำสั่งข้าก็จงเทคลื่นหลิงลงในโลงศพทองสัมฤทธิ์นั่น!” เสียงหนักแน่นของฉิงเทียนดังก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคน
พูดจบฉิงเทียนก็โบกมือ มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกว่าวิวทิวทัศน์พร่ามัวไป ก่อนที่จะไปปรากฏเบื้องหน้าโลงศพทองสัมฤทธิ์
ที่นี่เป็นดินแดนสีดำกว้างใหญ่ ทุกโลงศพจะมีร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
มู่เฉินนั่งอยู่บนโลงศพทองสัมฤทธิ์มองไปที่ค่ายกลใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสัมผัสได้ว่าพลังที่รั่วไหลออกมาเล็กน้อยก็ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของเขาสั่นสะท้าน
“พลังนี้…เกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไปแล้ว…”
มู่เฉินพึมพำ ค่ายกลดับแสงพันปีศาจที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์สร้างขึ้นด้วยชีวิตของเขา ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎลึกลับ ดังนั้นพลังจึงเป็นสิ่งที่จินตนาการไม่ได้
“นี่คือพลังงานอะไร?”
ขณะที่มู่เฉินกำลังมองไปที่ค่ายกล ฉิงเทียนก็ปรากฏตัวบนโลงศพที่อยู่ตรงกลางพลางจ้องไปที่ค่ายกลเช่นกัน
บนค่ายกลพลังอันยิ่งใหญ่กำลังค่อยๆ อ่อนลง
นี่เป็นเพราะค่ายกลดับแสงพันปีศาจอีกไม่ช้าก็จะจบสิ้นวงจรแล้ว เมื่อรอบนี้จบลงพวกเขาจะต้องเติมคลื่นหลิงของจอมยุทธ์ทุกคนลงไปเพื่อกระตุ้นให้วงจรสุดท้ายดับชีวิตเทพปีศาจจักรพรรดิ
บนท้องฟ้าค่ายกลขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบดินแดนวั้นมู่เริ่มจางหาย
อีกครึ่งก้านธูปต่อมารัศมีก็ดับวูบลง
ตู้ม!
ดินแดนวั้นมู่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น รอยแตกขนาดใหญ่เริ่มปรากฏขึ้นพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพวยพุ่งออกมาจากช่องปริแตกเหล่านั้น
เมื่อรัศมีปีศาจปรากฏขึ้นพื้นที่ทั้งหมดก็มืดลงพร้อมกับคลื่นหลิงถูกแปดเปื้อนและสึกกร่อนในเส้นทางของรัศมีนั้น
จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนหนึ่งที่ไม่ทันตั้งตัวไม่แม้แต่จะได้ส่งเสียงกรีดร้อง ร่างกายก็ถูกลดขนาดเป็นเถ้าถ่าน
เมื่อเห็นฉากนี้สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการรั่วไหลจะน่ากลัวขนาดนี้
โฮก!
เสียงคำรามลึกดังมาจากใต้พิภพ เมื่อทุกคนมองไปที่รอยแตกก็เห็นนัยน์ตาน่ากลัวจ้องมองกลับมา
มองดวงตาที่น่าขนพองสยองเกล้าคู่นั้น ทุกคนก็สั่นสะท้านตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เทคลื่นหลิงกระตุ้นค่ายกล! ห้ามปล่อยให้เทพปีศาจจักรพรรดิหลบหนีไปได้!” ฉิงเทียนตะโกน เสียงของเขาดังก้องปลุกทุกคนจากอาการตื่นตกใจ
ใบหน้าของจอมยุทธ์ทั้งหมดเปลี่ยนไป พวกเขาหมุนเวียนคลื่นหลิงโดยไม่ลังเลแล้วเทลงในโลงศพทองสัมฤทธิ์ที่อยู่เบื้องล่าง
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อจอมยุทธ์จำนวนมากเคลื่อนไหว โลงศพทองสัมฤทธิ์ก็ระเบิดรัศมีพร่างพราว คลื่นหลิงกวาดออกไปตามเส้นทางที่เชื่อมโยงกับโลงศพ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็กำจายไปทั่วดินแดนวั้นมู่โดยมีตาข่ายดักจับรัศมีปีศาจที่รั่วไหลไว้
ตึง ตึง!
เมื่อรัศมีปีศาจไร้ที่สิ้นสุดปะทะกับตาข่ายจังใหญ่ พื้นดินก็สั่นสะท้าน ทว่าก็ถูกยับยั้งไว้อย่างแน่นหนา
สีหน้าของฉิงเทียนเคร่งเครียดมาก เขาแลกเปลี่ยนสายตากับชิงซันและปู้สื่อ จากนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พุ่งขึ้นที่ด้านหลังพวกเขา ร่างใหญ่โตสามร่างปรากฏขึ้น
ที่ด้านหลังฉิงเทียนเป็นร่างที่ถือกงล้อสีทองที่มีดวงดาวสลักอยู่บนนั้น นี่ก็คือร่างสังหารปีศาจล้อสวรรค์อยู่ในอันดับเก้าของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!
ที่ด้านหลังชิงซันเป็นร่างถือกระบี่สีฟ้าอมเขียว ขณะที่กระบี่ใหญ่สั่นสะท้านก็ปลดปล่อยรัศมีเชี่ยวกรากซึ่งสามารถฉีกมิติออกจากกันได้ นี่ก็คือร่างเทพกระบี่เขียวอยู่ในอันดับที่สิบ!
ส่วนปู้สื่อเป็นร่างถือไม้เท้ายักษ์ที่มีรัศมีความตายพลุ่งพล่านอยู่รอบตัว แต่ท่ามกลางรัศมีความตายกลับมีพลังชีวิตสอดประสาน ทั้งชีวิตและความตายลึกซึ้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอยู่ในอันดับสิบสอง ร่างจักรพรรดิอมตะ!
ยามนี้สุดยอดจอมยุทธ์ทั้งสามได้ใช้พลังทุกหยาดหยดแล้ว
ตู้ม ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตราวกับมหาสมุทรเทลงมาในโลงศพใหญ่ที่สุดสามโลงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าพวกเขา
ตึง!
ขณะที่พวกเขาเติมคลื่นหลิงตลบอบอวล โลงศพก็สั่นสะท้าน เสาคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าขับเคลื่อนเข้าไปในค่ายกลดับแสงพันปีศาจ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
พร้อมกับเสาพลัง ค่ายกลก็เอิบอาบไปด้วยรัศมีขณะพลังยิ่งใหญ่ที่กำลังอ่อนแรงลงได้รับการปรับปรุงอย่างรวดเร็ว
รัศมีลึกลับพุ่งออกมาจากใจกลางค่อยๆ บีบอัดเป็นหอกยาว
หอกถูกปกคลุมด้วยรูปแบบพลังงานโบราณ ราวกับว่ามันเป็นพลังงานลึกลับที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อโลกอุบัติขึ้น
เมื่อรู้สึกถึงพลังงานนั่น มู่เฉินก็หดดวงตา เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์สั่นสะเทือน ราวกับว่าถูกบางอย่างดึงดูด
ทุกคนที่นี่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็มีสีหน้าตกตะลึง เนื่องจากสัมผัสได้ถึงรัศมีคุกคามอย่างมากจากหอก
หากหอกนั้นเล็งมาที่พวกเขาก็คงตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัย
ฟิ้ว!
เมื่อค่ายกลดับแสงพันปีศาจสั่นไหว หอกก็พุ่งลงมา อึดใจก็ซัดลงมาบนพื้นดิน
ชี่!
เมื่อพุ่งลงสู่พื้นดินหอกก็หายไป แต่จังหวะนั้นทุกคนต่างได้ยินเสียงโหยหวนโกรธเกรี้ยวที่มาจากใต้พิภพ แผ่นโลกสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวต้องการเคลื่อนตัวให้หลุดพ้น
ปัง!
ทว่ารัศมีปีศาจก็ถูกจำกัดไว้โดยตาข่าย ภูเขาหลายลูกในดินแดนวั้นมู่ถล่มลง แต่ตาข่ายก็ยังคงดักจับรัศมีปีศาจไว้อย่างแน่นหนา
หลังจากการเผชิญหน้ากันชั่วครู่ ในที่สุดรัศมีปีศาจก็สงบลง ดวงตาน่าขนพองสยองเกล้ากลัวปรากฏขึ้น “ไอ้พวกต่ำตม! หากเทพปีศาจคนนี้หลุดไปได้ละก็ ข้าจะทำให้ทุกชีวิตในมหาพันภพเป็นทาสของข้า!”
ดวงตาของฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อเย็นเยือกลง
“ไม่ต้องใส่ใจมัน ก็แค่การดิ้นรนครั้งสุดท้ายก่อนตาย คงค่ายกลไว้ให้ได้จนหอกเก้าสิบเก้าเล่มครบ ร่องรอยสุดท้ายของพลังชีวิตมันก็จะถูกลบออกไป!” ฉิงเทียนกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น ก่อนที่จะหมุนเวียนพลังเทลงในโลงศพอย่างต่อเนื่อง
ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อแลกเปลี่ยนสายตาพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ค่ายกลดับแสงพันปีศาจถูกกระตุ้นแล้ว เทพปีศาจจักรพรรดิก็จะถูกสังหารหลังจากหอกเล่มที่เก้าสิบเก้าซัดลงไป
“ตอนนี้…เราต้องปกป้องดินแดนวั้นมู่ไว้ให้ดี” ฉิงเทียนกล่าว
ชิงซันเงยหน้ามองไปที่ขอบฟ้าตอบว่า “ไม่มีความวุ่นวายใดๆ จากโดยรอบ พวกปีศาจยังไม่ปรากฏตัว
ปู้สื่อเอ่ยว่า “ปีศาจเหล่านั้นไม่ยอมแพ้แน่ เทพปีศาจจักรพรรดิเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกมัน ดังนั้นพวกมันต้องทำทุกทางเพื่อช่วยเหลือ!”
ฉิงเทียนพยักหน้าขณะมองไปที่ขอบฟ้าด้วยไอเย็นเยือกพล่านอยู่ในดวงตา
ยามนี้ดินแดนวั้นมู่สงบนิ่ง ทุกคนต่างรอคอยพลังมหาศาลหมุนเวียนที่ขอบฟ้า ทุกหนึ่งก้านธูปก็จะสร้างหอกขึ้นมา ก่อนที่จะพุ่งลงไปแล้วตามด้วยเสียงคำรามกร้าว
ทุกครั้งที่หอกซัดลงไป เสียงนั้นก็ค่อยๆ อ่อนแอลง
เมื่อรับรู้ถึงฉากนี้ ความสุขก็ปรากฏบนใบหน้าของทุกคน มีเพียงฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อเท่านั้นที่ดูเคร่งขรึมและตื่นตัวมากขึ้น
“เผ่าปีศาจยังไม่ปรากฏตัวอีกเรอะ?” มู่เฉินพึมพำขณะขมวดคิ้ว
ทว่าทันใดนั้นดวงตาของสุดยอดจอมยุทธ์ทั้งสามก็เปล่งประกาย
มู่เฉินรู้สึกถึงสิ่งนี้ก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง
จอมยุทธ์ทุกคนเงยหน้าขึ้นตามด้วยความหวาดผวาเมื่อเห็นรอยแตกขนาดใหญ่ค่อยๆ ปริออกจากกันพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพุ่งออกมารุนแรง
“ในที่สุดก็มา…”
ชิงซันกวัดแกว่งกระบี่พลางถอนหายใจ “ไม่คิดว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะใช้จุดเชื่อมพิภพเขตล่างมาที่ชายแดนดินแดนวั้นมู่… ช่างเป็นแผนการที่ดีนัก”
เมื่อรอยแตกขยายใหญ่ขึ้น เหล่าปีศาจก็พุ่งทะยานออกมาราวกับคลื่นยักษ์ ร่างสูงตระหง่านของจอมปีศาจปรากฏตัวก้าวออกจากมิติ เสียงเยือกเย็นดังก้อง
“ไอ้พวกมหาพันภพสารเลว ถ้ายังไม่ปล่อยเทพปีศาจของพวกข้า วันนี้จักรวรรดิปีศาจจะทำลายมหาพันภพให้ราพณาสูร!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น