หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1507-1512

 บทที่ 1507 ระเบิดศึก

 

ร่างมหึมาสีดำขาวยืนไว้สง่าระหว่างฟ้าดิน


คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้เอิบอาบไปทั่ว ทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป


นั่นเป็นเพราะร่างมหึมานี้คือร่างเทพมหันต์ อันดับแปดของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างของมหาพันภพ!


นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหมัวเฮอ ขณะเดียวกันพลังของมันก็โด่งดังไปทั้งมหาพันภพเลยทีเดียว


เนื่องจากพลังที่แข็งแกร่งของร่างเทพมหันต์ ดังนั้นเมื่อผู้คนเห็นหมัวเฮอเทียนใช้จึงพากันตกใจ


นั่นหมายความว่าเผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉินกระบวนท่าเมื่อครู่ หมัวเฮอเทียนก็เริ่มเดือดขึ้นมาแล้ว


ฟู่ ฟู่!


คลื่นหลิงก่อตัวขึ้นเป็นกระแสน้ำวนรอบร่างมหึมา ขณะที่มันยืนตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าประหนึ่งเทพ


หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพมหันต์จ้องมองไปที่มู่เฉินทั้งสามคนก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ร่างมหึมาก็อ้าปากส่งเสียงคำรามใส่พวกมู่เฉิน


โฮก!


คลื่นหลิงป่าเถื่อนกลายเป็นคลื่นเสียงพัดออกมาพร้อมกับพลังทำลายล้างรุนแรงซัดใส่มู่เฉินทั้งสามที่ไม่ทันหลบหนี


ปัง!


เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงนี้ ร่างพวกมู่เฉินก็สั่นสะท้าน คลื่นเสียงไม่เพียงแค่ทำให้เจ็บแปลบบนผิวหนังเท่านั้น แต่ยังทะลุทะลวงเข้าไปในเลือดเนื้อได้อีกด้วย


แต่โชคดีที่กายาเซิ่งแข็งแกร่งพอ นอกจากนี้เนื่องจากรัศมีนิรันดร์ร่างกายของมู่เฉินจึงเต็มไปด้วยกำลังวังชา แม้ว่าเนื้อจะปริแตกออกจากกัน แต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว


แต่ถึงอย่างนั้นพวกมู่เฉินก็ยังถูกกระแทกให้ถอยกลับไปหลายหมื่นจั้ง


“นี่คือร่างเทพมหันต์ที่มีชื่อเสียงงั้นเหรอ?” ดวงตามู่เฉินเคร่งขรึมเนื่องจากสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของร่างเทพมหันต์จากการเผชิญหน้าครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เขาสู้กับหมัวเฮอเทียนได้ด้วยร่างรองทั้งสอง แต่เมื่ออีกฝ่ายใช้ร่างเทพมหันต์ ข้อได้เปรียบที่เขาได้รับจากร่างรองก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง


ตู้ม ตู้ม!


ทว่าหมัวเฮอเทียนไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดลอยไป ร่างเทพมหันต์แผดเสียงคำรามเหวี่ยงหมัดออกไป ทันทีใดนั้นก็กลายเป็นหมัดสีดำขาวขนาดหมื่นจั้งที่ราวกับอุกกาบาต พุ่งใส่มู่เฉินทั้งสามอย่างดุเดือด


พวกมู่เฉินถอยห่าง พริบตาก็ปรากฏตัวออกไปตรงจุดหลายร้อยลี้ ทว่ารัศมีสีดำขาวก็วูบไหวเบื้องหน้าแล้วซัดลงมาราวกับพายุ


ครืนๆ!


เมื่อหมัดควงลงมาทั่วบริเวณก็สั่นสะท้านเลื่อนลั่น ในช่วงสิบกว่าลมหายใจควันก็ฟุ้งกระจาย เทือกเขาลดระดับสู่พื้นพร้อมกับหลุมขนาดใหญ่ปรากฏ


ร่างมู่เฉินค่อยๆ ลอยขึ้นจากหลุมนั้น เสื้อผ้าขาดวิ่นมีรอยหมัดบนร่างกาย


ร่างรองทั้งสองที่ด้านข้างก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แสงสีดำและสีขาวกะพริบวูบวาบบนร่าง พยายามขัดขวางการฟื้นฟูสภาพกายาเซิ่ง


“แกคิดว่าสามารถใช้เพียงพลังกายต้านรับร่างเวทสวรรค์ของข้าได้เรอะ?” บนท้องฟ้าเสียงของหมัวเฮอเทียนเคร่งขรึมแฝงร่องรอยการเยาะเย้ย ตอนที่เขาไม่ได้นำร่างเวทสวรรค์ออกมา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรมู่เฉินได้ แต่ด้วยร่างเวทสวรรค์ ความสามารถในการต่อสู้ก็แตะถึงจุดสูงสุดที่น่าสะพรึงกลัว


ในตอนนี้แม้แต่กายาเซิ่งของมู่เฉินก็ไม่สามารถรับได้


ที่สุดแล้วกายาเซิ่งอาจทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถต้านพลังทั้งหมดของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางได้


ทว่ามู่เฉินกลับอหังการว่าสามารถต่อกรกับร่างเทพมหันต์ได้ด้วยพลังกายของตน ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ


“ข้าแค่ลองพลังร่างเทพมหันต์ในตำนานเท่านั้นเอง” มู่เฉินยิ้มสบายๆ เมื่อเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยนั่น


“ร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับว่าแกเป็นเจ้านายแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่นำมันออกมา? หรือว่าแกก็ไม่สามารถควบคุมมันได้?” หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้า


ถ้ามู่เฉินไม่สามารถควบคุมร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ เขาก็มีข้อแก้ต่างมากขึ้นในการเรียกคืน


“เดี๋ยวลองดูก็รู้” มู่เฉินหรี่ตา


“ต้องลองอยู่แล้ว!”


หมัวเฮอเทียนยิ้มน่ากลัวขณะที่ดวงตาคมชัดขึ้น เมื่อมือเขาประสานเข้าด้วยกัน มือของร่างเทพมหันต์ก็ทำท่าเดียวกัน ก่อนจะค่อยๆ ดึงออกจากกัน


รัศมีสีดำขาวเต้นระริกราวกับสายฟ้าฟาด หอกยาวพันจั้งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างฝ่ามือ


“หอกมหันต์สวรรค์!”


สายตาของหมัวเฮอเทียนเย็นเยียบลงขณะที่ตะโกน หอกสีดำขาวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วหายไปพร้อมกับเสียงครางกระหึ่ม เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็อยู่เหนือร่างมู่เฉินแล้วซัดลงมาด้วยพลังทำลายล้างที่ไม่อาจจินตนาการได้


เสียงดังสะท้อนออกไปในระยะทางนับไม่ถ้วน


เผชิญหน้ากับการโจมตีจากหมัวเฮอเทียน แม้แต่สีหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้แต่พวกเขาก็ต้องประจันหน้าการโจมตีนี้อย่างจริงจัง


“จิตสังหารของหมัวเฮอเทียนถูกกระตุ้นแล้ว” สายตาของไท่หมิงเคร่งเครียดขณะมองไปที่ลั่วหลี “ถ้าคนรักของเจ้าไม่สามารถควบคุมร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ละก็ เขาตายคาที่แน่นอน แม้ว่าจะมีกายาเซิ่งช่วยเสริมก็ตาม”


มองไปที่ร่างเงาคุ้นเคย ลั่วหลีก็เห็นว่ามีร่องรอยความเคร่งเครียดในดวงตาของมู่เฉิน ทว่าไม่มีความตื่นตระหนกอย่างที่ลั่วหลีคาดไว้ ทันใดนั้นหัวใจที่ตึงเครียดของนางก็ผ่อนคลายลง ดูเหมือนว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายอยู่ในแขนเสื้ออีก


ฟู่ ฟู่!


หอกเคลื่อนลงมาใกล้จะถึงมู่เฉินในอีกไม่กี่ลมหายใจ ขณะที่กำลังจะกระแทกร่าง มู่เฉินก็หลับตาลง


ในเวลาเดียวกันรัศมีแสงสีทองโบราณก็พุ่งออกมาจากร่างเขา ร่างที่มีความสูงหลายจั้งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้วพุ่งออกไปพร้อมหมัดปะทะเข้ากับหอก


เคร้ง!


เกิดการปะทะดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก


เมื่อมองไปที่จุดปะทะ ทุกคนก็หดตาลง เพราะเห็นร่างเล็กใต้หอกขนาดใหญ่…


ทว่าแม้จะมีขนาดที่แตกต่างกันมาก แต่ร่างเล็กนั่นก็ไม่ขยับและยืนอย่างมั่นคง ที่ฝั่งตรงข้ามหอกสีดำขาวกลับถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตก…


ปัง!


เสียงระเบิดดังสนั่น หอกสีดำขาวก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


ภายใต้รัศมีแสงสีดำขาว ร่างนั้นก็เคลื่อนลงมาลอยตัวอยู่ข้างหลังมู่เฉินพร้อมกับรัศมีลึกลับและโบราณหมุนคว้างโดยรอบ เอิบอาบกลิ่นอายเก่าแก่


ทั่วทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองไปที่ร่างลึกลับด้วยความอิจฉาและตื่นเต้นในดวงตา…


แม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นร่างนั้นผ่านกระจกแสงของเจดีย์วั้นกู่ แต่พวกเขาก็ยังอดสั่นสะท้านไม่ได้ เมื่อได้เห็นด้วยตาของตนเอง


นั่นเป็นเพราะนี่คือร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนาน


หนึ่งในร่างมหาเทพปฐมกาลที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ!


ในที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลในตำนานก็ปรากฏตัวต่อสายตาของใต้หล้าอีกครั้ง


ผู้ชมไม่สามารถบรรยายความรู้สึกได้ เมื่อมองไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์พวกเขาก็รู้สึกว่าถูกล่อลวงโดยธรรมชาติ ดังนั้นหากมู่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ หัวใจก็จะรู้สึกดีขึ้นเพราะยังมีโอกาสสำหรับพวกเขา


แต่ก็น่าเสียดายเมื่อพวกเขาเห็นร่างโบราณยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉิน นี่ทำให้ความหวังที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกแตกสลาย…


แน่นอนว่าพวกเขาแค่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่หมัวเฮอเทียนและผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอสีหน้ามืดมน อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น


เมื่อลืมตาขึ้นมู่เฉินก็มองไปที่หมัวเฮอเทียน “ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ทดสอบแล้วหรือยัง?”


ความโกรธพุ่งขึ้นในดวงตาของหมัวเฮอเทียน ภาพเบื้องหน้าเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าร่างมหาเทพปฐมกาลยอมรับมู่เฉินเป็นเจ้าของแท้จริง สิ่งนี้ทำให้เขาโกรธมาก เนื่องจากเขารู้สึกว่าถูกทรยศโดยร่างมหาเทพนิรันดร์


เขารู้สึกอยู่เสมอว่าเผ่าหมัวเฮอทำงานหนักเพื่อพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาช้านาน เจ้าของคนใหม่ก็ควรเป็นใครสักคนในเผ่า


“อย่าเพิ่งตีปีก ข้ายังไม่เห็นว่าเจ้าจะเอามันไปจากเผ่าหมัวเฮอของข้าได้!” หมัวเฮอเทียนกล่าวเสียงเย็นชา


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ดวงตาของมู่เฉินก็กะพริบด้วยไอเย็นเยือก หมัวเฮอเทียนวาจาใหญ่โตและดื้อด้านที่คิดจะยึดร่างมหาเทพนิรันดร์ นี่เริ่มสร้างความรำคาญให้กับมู่เฉินแล้ว


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”


มู่เฉินหลุบตาลงพร้อมกับไอสังหารพุ่งออกจากร่าง ด้านหลังเขาร่างมหาเทพนิรันดร์ก็เงยขึ้นมองไปที่หมัวเฮอเทียน


“งั้นข้าก็จะใช้เจ้าทดสอบทักษะเทห์สวรรค์ของร่างมหาเทพนิรันดร์ในรอบหลายหมื่นปี…”


ร่างลึกลับที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินค่อยๆ ลอยขึ้น ไอนิรันดร์รวมอยู่ในฝ่ามือดูราวกับสามารถต้านทานการกัดกร่อนของกาลเวลาและดำรงอยู่อย่างไร้ขอบเขต


ไอนิรันดร์รวมตัวก่อเป็นลูกกลมแสง ซึ่งถูกปกคลุมด้วยลวดลายโบราณ


ร่างมหาเทพนิรันดร์ยกมือขึ้น ลูกกลมก็ลอยขึ้นซัดใส่หมัวเฮอเทียน ขณะเดียวกันปากก็ขยับพร้อมกับเสียงโบราณเปล่งออกมา


“โลก…ผนึกหนึ่งนิรันดร์”

 

 

 


บทที่ 1508 ขวดมหาเพลิงวารี

 

ฮึ่ม!


เมื่อลูกทรงกลมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก็กวาดข้ามขอบฟ้าพุ่งเข้าใส่หมัวเฮอเทียนและร่างเทพมหันต์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเขา


แม้ว่าลูกทรงกลมนี้จะดูไม่ทรงพลัง แต่หมัวเฮอเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเสียดแทงทะลุกระดูกออกมาพร้อมกับความกลัวและความไม่สบายใจกวนตัวในหัวใจ


“เจ้าสามารถฝึกฝนโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ได้เรอะ?!”


ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเขียวคล้ำ ในฐานะผู้พิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์ พวกเขาเข้าใจทักษะเทห์สวรรค์นี้ได้โดยธรรมชาติและโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ก็เป็นหนึ่งในทักษะนั้น


เล่าลือกันว่าร่างมหาเทพนิรันดร์สามารถใช้แก่นนิรันดร์สร้างเป็นลูกทรงกลมขึ้นมาได้ ใครก็ตามที่ติดอยู่ในนั้นจะได้ตกอยู่ในกาลเวลาโบราณ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็จะมีช่วงเวลายากลำบากที่จะหลุดออกมาได้ พวกเขาทำได้เพียงยอมจำนนให้ร่างกายค่อยๆ สลายกลายเป็นขี้เถ้า


ในอดีตเทพจักรพรรดินิรันดร์ได้ใช้ทักษะเทห์สวรรค์นี้ในการสังหารจอมปีศาจจำนวนเท่าใดคงมีแต่เทพเซียนที่รู้


ดังนั้นในแง่ของพลังโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานเลย


เพียงแค่ว่าการจะใช้ต้องมีแก่นนิรันดร์จำนวนมาก แต่มู่เฉินเพิ่งได้รับการสืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์มา แล้วเขามีแก่นนิรันดร์มากมายที่จะสนับสนุนมาจากไหน?


แม้ความคิดนี้จะผ่านเข้ามาในใจ แต่ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนกลับไม่น่าดูและก็ไม่กล้าที่จะหย่อน


เขากระทืบฝ่าเท้า ร่างเทพมหันต์ก็กลายเป็นลำแสงถอยออกไป พริบตาก็อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะหลบหลีกเลี่ยงการโจมตีนี้


ฮึ่ม!


แต่เมื่อเขาปรากฏตัวห่างออกไป ความปั่นป่วนจากมิติก็ก่อตัวที่ด้านบน ลูกทรงกลมไล่ตามมาติดๆ


ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนไม่น่าดู ขณะที่สั่งให้ร่างเทพมหันต์ถอยห่างออกไปอีกหมื่นลี้


ทว่าความพยายามของเขาก็ไร้ผล ไม่ว่าความเร็วของเขาจากเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ลูกทรงกลมก็เหมือนจะยึดติดเขาราวกับวิญญาณ ติดตามไปทุกหนแห่ง…


ดังนั้นสิบกว่าลมหายใจต่อมาหมัวเฮอเทียนก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือเมืองวั้นกู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ทำไม? ไม่วิ่งต่อแล้วเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียนพลางยิ้มไม่เชิงยิ้ม


“หึ แกคิดว่าข้ากลัวทักษะเทห์สวรรค์ของร่างมหาเทพนิรันดร์จริงๆ รึ!” หมัวเฮอเทียนกราดเกรี้ยว เขาเป็นประมุขเผ่าหมัวเฮอ แต่วันนี้กลับต้องเป็นลูกไก่ในมือเด็กเหลือขอ ช่างเป็นความอัปยศอดสูสำหรับเขานัก


หมัวเฮอเทียนหายใจเข้าลึกๆ วาดตราประทับเร็วรี่กลายเป็นภาพซ้อนนับไม่ถ้วน


ในเวลาเดียวกันร่างเทพมหันต์ที่อยู่เบื้องล่างก็กำจายหมอกสีดำขาวออกมาจากศีรษะ ก่อร่างเป็นร่มขนาดใหญ่เหนือศีรษะของหมัวเฮอเทียนอย่างรวดเร็ว


“ร่มมหาอุด!”


พร้อมกับเสียงหมัวเฮอเทียน ร่มขนาดมหึมาก็หมุนไปอย่างช้าๆ ปลดปล่อยความลึกซึ้งที่ไม่สิ้นสุด ราวกับว่าการยืนอยู่ใต้ร่มนี้จะทำให้เขาปลอดภัย แม้ว่าสวรรค์และโลกจะฉีกออกจากกันก็ตาม


ฮึ่ม!


เมื่อลูกทรงกลมลดระดับลงมา รัศมีแสงก็สะท้อนบนร่ม ทันใดนั้นทั้งคู่ก็กัดกร่อนกันรุนแรง ภายใต้การปะทะกันของพลังงานสองสาย มิติก็พังทลายลงเรื่อยๆ…


ทว่าแม้คลื่นหลิงสีดำขาวจะลึกซึ้ง แต่ก็ยังขาดเมื่อเทียบกับแก่นนิรันดร์ ดังนั้นแสงสีดำขาวจึงค่อยๆ ถูกกัดกร่อนภายใต้การเผชิญหน้า


เมื่อมองภาพนี้ฝ่ามือของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป “โลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ ตราประทับบุพกาล!”


ฮึ่ม ฮึ่ม!


ลูกทรงกลมเริ่มขยายออกห่อหุ้มร่ม หมัวเฮอเทียนและร่างเทพมหันต์ไว้


ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำสิ้นเชิง


ซ่า ซ่า


ภายในลูกทรงกลม เสียงน้ำกระเซ็นดังก้องราวกับว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาอันยาวนานปรากฏขึ้น เสียงซ่าซ่าเกิดอย่างต่อเนื่อง ทุกเสียงน้ำซัดสาดจะทำให้ร่มหดตัวดูเหมือนกับว่าจะไม่สามารถทนต่อการกัดกร่อนของกาลเวลาได้


ร่างมหาเทพนิรันดร์ไม่เพียงแต่มีความเป็นนิรันดร์เท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่ตรงกันข้ามซึ่งก็คือพลังแห่งการกัดกร่อน ดังนั้นร่างมหาเทพนิรันดร์สามารถใช้การกัดกร่อนของกาลเวลาเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งกีดขวางให้กลายเป็นเถ้าถ่าน


ในสมัยโบราณจอมปีศาจจำนวนมากถูกขังในโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ สุดท้ายก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อเวลาผ่านไป


หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนร่างเทพมหันต์ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำขณะมองไปที่ร่มที่ค่อยๆ อ่อนกำลังลง เขากระทืบเท้า ร่างเทพมหันต์ก็ส่งเสียงคำราม รัศมีสีดำขาวก่อร่างเป็นกระบี่พุ่งเข้าหาลูกทรงกลม


ฮึ่ม ฮึ่ม


แต่เมื่อกระบี่สัมผัสกับลูกทรงกลมก็สึกกร่อนอย่างรวดเร็วและหายไป แรงที่เหลือสามารถทำให้ลูกทรงกลมกระเพื่อมได้เท่านั้น


“บ้าเอ้ย!”


หมัวเฮอเทียนกัดฟัน ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงทนทานของลูกทรงกลม มิน่าล่ะกระบวนท่านี้ถึงสามารถสังหารจอมปีศาจจำนวนมากในสมัยโบราณได้ ด้วยการใช้เวลากัดกร่อนทำให้ทุกอย่างสลายกลายเป็นอากาศธาตุ


หมัวเฮอเทียนฉายแววตาน่ากลัว ไม่คิดพยายามที่จะทำลายลูกทรงกลมอีกต่อไป ทันใดนั้นร่างเทพมหันต์ก็ระเบิดรัศมีสีดำขาวเทลงในร่ม การสนับสนุนของพลังนี้ทำให้รัศมีของร่มสีดำขาวกลับคืนมา ปกป้องหมัวเฮอเทียนและร่างเทพมหันต์เอาไว้


“มู่เฉิน โลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ของแกทรงพลังก็จริง แต่แกคิดว่าตัวเองเป็นเทพจักรพรรดินิรันดร์เรอะ?! แกกำลังประเมินตัวเองสูงเกินไป ถ้าคิดว่าจะฆ่าข้าด้วยสิ่งนี้!” หมัวเฮอเทียนแผดเสียง


สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องเท็จ แม้ว่าจะเป็นปัญหามากที่จะหลบหลีก แต่โลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้


มู่เฉินหลุบตายิ้มอ่อน แต่ไม่ได้ตอบโต้ เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าหมัวเฮอเทียนด้วยโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ แต่แค่จับอีกฝ่ายเอาไว้ เขาก็บรรลุเป้าหมายแล้ว


เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ความหวาดผวาก็กวาดไปทั่วใบหน้าขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาแสดงความเคารพนับถือ


ครึ่งปีก่อนช่องว่างระหว่างหมัวเฮอเทียนกับมู่เฉินเรียกว่าห่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้ในระดับเดียวกับหมัวเฮอเทียนได้ มิหนำซ้ำยังผลักหมัวเฮอเทียนลงไปในกับดักได้อีกด้วย


ด้วยความสามารถดังกล่าว เขาสามารถติดอันดับหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพแล้ว


ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอใบหน้ามืดครึ้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมัวเฮอโยว เขาขบฟันจนเกือบแตก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากยอมรับความจริงที่พี่ชายของตนเองไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้


“หมิ่นกันเกินไปแล้ว! ไอ้สารเลวปล่อยท่านประมุขซะ!”


จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสองคนของเผ่าหมัวเฮอร้องตะโกน ขณะมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับคลื่นหลิงผันผวนรอบตัว


“ฮ่าๆ ใจเย็นสิ นี่เป็นการประลองระหว่างหมัวเฮอเทียนและมู่เฉิน ทำไมต้องเข้าไปยุ่งด้วยล่ะ?” ไท่หมิงสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันและขัดขวางผู้เฒ่าทั้งสองเอาไว้


“เรื่องในวันนี้เกิดจากเผ่าหมัวเฮอขาดความซื่อสัตย์ ทำไมต้องกัดไม่ปล่อยด้วย?” ไท่หมิงเหลือบมองไปที่หมัวเฮอเทียนที่ติดอยู่ในลูกโลก “ประมุขหมัวเฮอ ให้ตาแก่คนนี้เป็นคนกลางไหม? ทุกคนต่างถอยกันคนละก้าว ข้าจะบอกให้มู่เฉินหยุด เผ่าหมัวเฮอก็ปล่อยมือจากร่างมหาเทพนิรันดร์ ตกลงไหม?”


รากฐานของเผ่าหมัวเฮอหยั่งลึก หากเรื่องนี้เกิดขึ้นสงครามก็เป็นอะไรที่จินตนาการไม่ได้


สายตาของหมัวเฮอเทียนเย็นชาลงเมื่อกวาดมองไปที่ไท่หมิง “วาจายิ่งใหญ่จริง เผ่าไท่หลิงได้รับโอกาสและได้รับร่างมหาปราชญ์วิญญาณไปแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้วันนี้เผ่าไท่หลิงยืนยง เผ่าหมัวเฮอของข้าต่อสู้เพื่อสิ่งนี้จากรุ่นสู่รุ่น ถ้ามีร่างมหาเทพนิรันดร์ในครอบครอง เผ่าหมัวเฮอจะอยู่ในแค่จุดนี้ได้อย่างไร?!”


“ในอดีตร่างมหาเทพนิรันดร์ถูกแย่งไปจากมือบรรพบุรุษเผ่าหมัวเฮอของข้าโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ แล้วจะให้เผ่าหมัวเฮอยอมทิ้งโอกาสนี้ได้อย่างไร?”


“วันนี้ไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่สามารถนำร่างมหาเทพนิรันดร์ไปจากเผ่าหมัวเฮอของข้า!”


เมื่อคำพูดจบลงสายตาของหมัวเฮอเทียนก็น่าขนพองสยองเกล้าขณะที่ส่งเสียงคำราม


เขาไม่สนใจไท่หมิงอีกต่อไป หันไปจ้องมองมู่เฉินด้วยดวงตาแดงฉาน “ไอ้สารเลว แกคิดว่าเผ่าหมัวเฮอของข้าไม่มีรากฐานใดๆ เรอะ?!”


“แกไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำโอหังในดินแดนของเผ่าหมัวเฮอ!”


หมัวเฮอเทียนหัวเราะเสียงเย็นชาพร้อมกับแววเด็ดขาดพวยพุ่งในดวงตา เขาพ่นเลือดกลั่นออกมาหนึ่งคำและก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อเขาเริ่มวาดตราประทับก่อนที่จะกลายเป็นอักขระสีแดงเข้ม


เมื่ออักขระสีแดงเข้มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็หายไปในส่วนลึกของพื้นที่นี้


ตู้ม!


ขณะที่อักขระสีแดงเข้มหายไป ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงพื้นดินที่สั่นสะท้าน ก่อนที่แสงสีดำขาวจะพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากส่วนลึกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหมัวเฮอ


เสานี้เชื่อมระหว่างฟ้าดิน มิติเบื้องบนเมืองแตกออก เสาแสงสีดำขาวส่องลงมากจากในมิติ


ท่ามกลางเสาแสงนั้นทุกคนเห็นขวดหยกสีดำขาวปรากฏขึ้น


เมื่อขวดหยกเผยออกมา ทั่วบริเวณก็มีแต่สีดำและสีขาวราวกับว่าเป็นจุดตัดของหยินหยาง


แรงกดดันที่น่ากลัวก็เอิบอาบออกมาจากขวดหยกนั่น


เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงเห็นขวดหยก สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปพลางร้องอุทานว่า “ขวดมหาเพลิงวารี?! หมัวเฮอเทียน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ถึงขนาดใช้อาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งพิทักษ์เผ่า!”


โดยทั่วไปชนเผ่าโบราณจะมีอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งอย่างเจดีย์บรรพบุรุษของเผ่าฝูถู ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องเผ่าและสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีการใช้ เว้นแต่ว่าเผ่ากำลังเผชิญกับหายนะล้างโลกเท่านั้น


ย้อนกลับไปตอนนั้นที่หมัวเฮอเทียนพ่ายแพ้เซียวเหยียน เขาก็ถูกบีบให้ต้องใช้อาวุธนี้เพื่อบังคับให้เซียวเหยียนถอยออกไป


อาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งที่เขาใช้ในตอนนั้นก็คือขวดหยกดำขาวนี่


ไม่มีใครคิดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉิน หมัวเฮอเทียนจะถูกบังคับให้ใช้อีกครั้ง


เห็นได้ชัดว่าหมัวเฮอเทียนไม่สนใจวิธีการใดๆ แล้ว ตราบใดที่สามารถคว้าร่างมหาเทพนิรันดร์กลับคืนมาครอบครอง!


ตอนนี้มู่เฉินตกอยู่ในอันตรายแล้ว

 

 

 


บทที่ 1509 เจดีย์ยับยั้งขวดหยก

 

ฟู่ ฟู่!


หมอกสีดำและสีขาวอบอวลฟ้าดิน ก่อนที่จะเกิดจุดตัดที่ลึกซึ้งไม่มีที่สิ้นสุด


ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อมองไปที่ขวดหยกบนท้องฟ้าที่กำจายแรงกดดันมหาศาล แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้


ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงไม่น่าดูอย่างยิ่งขณะที่มองขวดหยกบนท้องฟ้าด้วยความหวั่นเกรงเข้มข้น


ขวดหยกนี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งของเผ่าหมัวเฮอที่มีพลังไร้ขอบเขต แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาก็ไม่สามารถเผชิญหน้าได้


ทว่าทุกครั้งที่ใช้อาวุธระดับนี้ก็จะทำให้มันหมดพลังงานลงมาก ดังนั้นถ้าไม่ถึงขั้นวิกฤตก็ไม่มีใครคิดจะใช้มัน


ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของพวกเขาจึงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นหมัวเฮอเทียนเรียกอาวุธนี้ออกมา


“หมัวเฮอเทียนบ้าไปแล้ว” ไท่หมิงเอ่ยออกมา


สีหน้าของลั่วหลีเปลี่ยนไป นางกำหมัดแน่นแผนภาพเหนือศีรษะนางเริ่มเปล่งรัศมีออกมา


“ลั่วหลีอย่าผลีผลาม แม้ว่าแผนภาพวิญญาณโบราณจะไม่อ่อนแอกว่าขวดมหาเพลิงวารี แต่เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะดึงพลังออกมาได้เต็มที่ หากฝืนทำก็รังแต่บาดเจ็บเท่านั้น” ไท่หมิงพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นการกระทำของลั่วหลี


ลั่วหลีกัดฟัน ดวงตาอัดแน่นด้วยความไม่เต็มใจ หมัวเฮอเทียนชักจะมากเกินไปแล้ว


“ไม่ต้องกังวล หากมีอะไรเกิดขึ้นกับมู่เฉิน เราไม่ยืนรอดูแน่” ไท่หมิงปลอบใจ เขากลัวใจหญิงสาวคนนี้ที่อาจใช้แก่นโลหิตจนหมดพลังเพื่อกระตุ้นแผนภาพวิญญาณโบราณ ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดผลสะท้อนกลับมากอย่างแน่นอน


ลั่วหลีกำหมัดแน่น สงบใจลงหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางรู้ว่าการฝืนเคลื่อนไหวตอนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถ้าหมัวเฮอเทียนล้ำเส้นเข้ามา ไม่ว่าต้องจ่ายราคาเท่าไร นางก็จะยืนเคียงข้างมู่เฉิน


มู่เฉินยืนอยู่กลางอากาศ เขามองไปที่ขวดหยก ม่านตาหดเกร็ง แรงกดดันที่กำจายออกมาจากขวดหยกทำให้เขายังรู้สึกหวั่นใจ


“สมเป็นเผ่าโบราณแท้จริง รากฐานน่าประทับใจยิ่งนัก” มู่เฉินเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ


ตามการคาดการณ์ของเขาพลังของขวดหยกอาจติดอันดับหนึ่งในสิบของมหาพันภพเลยทีเดียว


สายตาของหมัวเฮอเทียนเย็นชาลงขณะส่งเสียงขึ้นจมูกมองไปที่มู่เฉิน ตราประทับวาดขึ้นด้วยมือข้างเดียวขวดมหาเพลิงวารีก็เอียงลง รัศมีสีดำขาวไหลออกมาจากปากขวด


รัศมีสีดำและสีขาวเป็นคลื่นหลิงที่บริสุทธิ์ โดยความเป็นหยินหยางนี้คือตัวแทนของไฟและน้ำแข็ง ขณะที่คลื่นสองสายตัดกันก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น คลื่นหลิงที่แปดเปื้อนก็กลายเป็นสีดำและสีขาวเช่นกัน


ดังนั้นเมื่อตกลงมาก็กลายเป็นมหาสมุทรสีดำขาวก่อนที่จะพลิ้วลงบนลูกทรงกลม


ชี่ ชี่!


พลังงานสองฝั่งปะทะกันเกิดเสียงแหลมเสียดแทงดังขึ้น พลังมหาศาลทั้งสองเสียดสีกันอย่างรุนแรง แต่คราวนี้เมื่อรัศมีสีดำขาวไหลลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนเห็นว่าลูกทรงกลมเริ่มจางลง…


นี่เป็นเพราะพลังงานของลูกทรงกลมถูกผลาญไป


อึดใจหมัวเฮอเทียนก็คำราม เสาสีดำและสีขาวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระแทกเข้ากับโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์


ปัง!


ครั้งนี้เสาทะลุสิ่งกีดขวาง รอยแตกปรากฏบนโลกผนึก ก่อนที่จะระเบิดออกกลายเป็นจุดแสง


เมื่อผู้คนเห็นฉากนี้ก็ต่างตกใจ ยามนี้หมัวเฮอเทียนสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้เลยทีเดียว


เผชิญหน้ากับไพ่ตายของหมัวเฮอเทียน มู่เฉินก็ตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบแม้ว่าจะมีร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ตาม เพราะไม่ว่าอย่างไรขุมพลังหลิงของมู่เฉินอยู่ในขั้นเซียนระยะกลางเท่านั้น


หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพมหันต์ แววตาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาขณะจ้องมองมู่เฉิน เขายื่นฝ่ามือออก ขวดมหาเพลิงวารีก็พลิ้วลงมา ลอยอยู่เหนือฝ่ามือเขา


“ยังไม่ยอมยกร่างมหาเทพนิรันดร์ให้อีกเรอะ?” หมัวเฮอเทียนถามเสียงเย็น


“แกนี่ดูถูกข้าจริงๆ” มู่เฉินตอกกลับ


หมัวเฮอเทียนหลุบตาลงพลางหัวเราะเยาะ “แม้ว่านี่จะไม่ชอบธรรมในการเอาชนะแก แต่เผ่าหมัวเฮอก็ไม่สามารถใส่ใจเรื่องนั้นเมื่อเทียบกับร่างมหาเทพนิรันดร์”


หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉิน คำพูดก็เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ “ถ้าเจ้ายอมมอบให้ เผ่าหมัวเฮอก็จะคืนให้หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปี”


มู่เฉินส่ายหัวตอบว่า “ร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับว่าข้าเป็นเจ้าของแล้ว ดังนั้นอย่าหวังว่าข้าจะมอบให้”


ดวงตาของหมัวเฮอเทียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าก็ต้องใช้กำลังเอามาเท่านั้น!”


มู่เฉินหรี่ตามองไปที่หมัวเฮอเทียนนิ่ง “แม้ว่าเผ่าหมัวเฮอจะมีรากฐานลึกซึ้ง แต่ก็อย่าคิดว่าวันนี้แกจะกลั่นแกล้งข้าได้”


“ฮ่าๆ”


หมัวเฮอเทียนหัวเราะเสียงเย็นเยียบ ทำเหมือนคำพูดเหล่านั้นเป็นการต่อต้านที่ดื้อรั้นของมู่เฉิน


“ข้าจะดูว่าแกทำอะไรได้อีก!” หมัวเฮอเทียนยกมือขึ้น ขวดมหาเพลิงวารีก็ทะยานออกไปพร้อมกับความผันผวนที่น่ากลัว


“หมัวเฮอเทียน แกอย่าได้ทำเกินไปนะ!”


ในที่สุดชิงเหยี่ยนจิ้งก็ไม่สามารถอดรนทนได้ นางพูดเสียงเย็นชาว่า “รังแกลูกชายข้าต่อหน้าอย่างนี้ คิดว่าข้าไม่อยู่รึไง?”


นางรู้ชัดเจนเกี่ยวกับพลังของขวดมหาเพลิงวารี ซึ่งทำให้หมัวเฮอเทียนมีความสามารถแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม


“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ในเมื่อหมัวเฮอเทียนอยากหาเรื่องใส่ตัวก็ปล่อยเขาไปเถอะ” แต่เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งพูดจบ มู่เฉินก็เอ่ยปากปลอบใจทันที


คำพูดของเขาทำให้ทุกคนตกใจ หรือว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายใบอื่นที่สามารถเผชิญหน้ากับขวดมหาเพลิงวารีของหมัวเฮอเทียนได้?


แต่จะเป็นไปได้อย่างไร? ภายใต้สภาวะนี้ หมัวเฮอเทียนสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุด แม้ว่ามู่เฉินจะมีกายาเซิ่งบวกกับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้


แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยังงงงวย แต่นางลังเลเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะก้าวถอยหลังเนื่องจากนางเชื่อใจในตัวบุตรชาย ในเวลาเดียวกันก็ดึงคลื่นหลิงผันผวนรอบตัวกลับ


“เจ้าหนูนั่นยังมีวิธีอื่นอีกหรือ? แต่เป็นไปได้ยังไง…?” ไท่หมิงก็พึมพำอย่างสงสัย


ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่ามู่เฉินไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้


“ไอ้เด็กอวดดี!”


หมัวเฮอเทียนกรี้ยวกราดวาดตราประทับขึ้นโดยไม่ลังเล ขวดมหาเพลิงวารีเอียงลงรัศมีระเบิดออกมาพุ่งลงมาที่มู่เฉิน


ภายใต้รัศมีสีดำขาวยามนี้แม้แต่กายาเซิ่งก็สลายเป็นเถ้าถ่าน


ทุกสายตาพุ่งตรงไป


แต่มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงสีหน้าสงบและเงยหน้าขึ้นมองไปที่สายธารสีดำและสีขาว เมื่อสายธารเข้ามาในระยะร้อยจั้ง มู่เฉินก็ถอนหายใจเบาๆ และหันกลับไปก่อนที่จะโค้งคำนับให้เจดีย์วั้นกู่ “หมัวเฮอเทียนดื้อดึงนัก ท่านผู้อาวุโสโปรดจัดการด้วย”


ฮึ่ม ฮึ่ม!


เมื่อสิ้นเสียงของมู่เฉิน เจดีย์ก็สั่นแสงเปล่งปลั่งกวาดออกสายธารสีดำและสีขาวถูกดูดเข้าไปในเจดีย์


ตู้ม!


ในขณะเดียวกันเจดีย์ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พริบตาก็ไปปรากฏขึ้นเหนือขวดมหาเพลิงวารี เงาปกคลุมลงมา สุดท้ายขวดหยกก็ถูกดูดเข้าไปในเจดีย์ เจดีย์ร่อนลงจากฟ้ากลับไปสถิตในบริเวณเดิม


ตึง ตึง!


คลื่นกระแทกที่ไม่อาจจินตนาการได้กวาดออกมาจากเจดีย์ซึ่งคงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสงบลง…


บนท้องฟ้าเมื่อรัศมีสีกำขาวหายไป ขวดหยกก็หายไปเช่นกัน


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเพียงภาพเจดีย์ลอยสูงขึ้นและลดต่ำลง เมื่อมันกลับไปสถิตที่เดิมทั่วเมืองก็สงบลงแล้ว


ขณะนี้ทุกคนถึงได้หายจากอาการตื่นตะลึง


พวกเขามองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าก่อนจะสูดลมเย็นลึกสุดปอด


“อะไรน่ะ?!”


หมัวเฮอเทียนและผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอต่างตกตะลึงพร้อมกับความตกใจสุดขีดพล่านในดวงตา


“เกิดอะไรขึ้น?”


แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงก็ตกตะลึงก่อนจะหันไปมองเจดีย์วั้นกู่ ขณะนี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงพลังลึกลับและทรงพลังที่แทรกซึมออกมาจากเจดีย์


พลังนี้ทำให้จอมยุทธ์อย่างพวกเขายังรู้สึกถึงความกลัว


“พลังนี้…” ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะอุทาน “เทพจักรพรรดินิรันดร์!”


พลังนั้นเกินขีดจำกัดของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ตั้งแต่โบราณกาลจะมีใครทรงพลังเช่นนี้นอกจากเทพจักรพรรดินิรันดร์?!


ริ้วความตกใจเกิดขึ้นชั่วครู่บนใบหน้าของหมัวเฮอเทียน ก่อนจะค่อยๆ คืนสติมองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน “มู่เฉิน แกทำอะไร?! ขวดมหาเพลิงวารีของเผ่าข้าอยู่ที่ไหน?!”


มู่เฉินกวาดสายตามองอย่างเฉยเมยตอบว่า “ในเมื่อเทพจักรพรรดินิรันดร์วางร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ในเผ่าหมัวเฮอ เขาก็ทิ้งวิธีป้องกันไม่ให้เจ้าอ้างสิทธิ์แบบผิดเพี้ยน”


ตอนที่เขาออกจากเจดีย์ จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็บอกว่าเขาสามารถใช้พลังงานที่เหลืออยู่ในเจดีย์ได้หากเผ่าหมัวเฮอสร้างปัญหาให้


พลังนั้นถูกทิ้งไว้โดยเทพจักรพรรดินิรันดร์เพื่อหยุดสถานการณ์บานปลายเหมือนในวันนี้ไม่ให้เกิดขึ้น


ตอนแรกมู่เฉินก็ไม่คิดจะใช้ ทว่าหมัวเฮอเทียนทำเกินไป ถึงขนาดนำอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งของเผ่าออกมาอีกด้วย สิ่งนี้บีบให้เขาต้องใช้พลังที่เหลือจากเทพจักรพรรดินิรันดร์


“พลังในเจดีย์วั้นกู่จะคงอยู่เป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะสลายไป ในเวลานั้นขวดมหาเพลิงวารีก็จะเป็นอิสระ”


มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียนอย่างเรียบเฉยพูดต่อว่า “ยังคิดจะบีบทางตัวเองอีกไหม?”


ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนกระตุกสองตาแดงก่ำ เขารู้สึกเดือดดาลครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ ที่แท้เทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ได้ทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลังเพื่อป้องกันเผ่าหมัวเฮอตั้งแต่แรกแล้ว


เขารู้สึกอับอายและเดือดดาลในใจ


“ข้าประมุขเผ่าหมัวเฮอไม่ใช่คนที่เด็กอย่างแกจะตำหนิได้!”


หมัวเฮอเทียนแผดเสียงออกมาแสงเย็นก็กำจายจากดวงตา “วันนี้ข้าจะดูสิว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ที่ตายไปแล้วจะสามารถปราบปรามเผ่าหมัวเฮอของข้าอย่างไร!


“หากเจ้าต้องการนำร่างมหาเทพนิรันดร์ไปด้วยละก็ สงครามกับเผ่าหมัวเฮอระเบิดแน่!”


เสียงของหมัวเฮอเทียนดังก้องไปทั่วภูมิภาค “เผ่าหมัวเฮอเตรียมพร้อมรบ!”


เมื่อผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอได้ยินเช่นนั้น ก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ขอบฟ้าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด


เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งและไท่หมิงเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้าก็มืดครึ้มลง หมัวเฮอเทียนเสียสติไปแล้ว!


“งั้นเผ่าฝูถูก็ขอสู้ตายเช่นกัน!” ชิงเหยี่ยนจิ้งหายใจเข้าลึกพลางพูดเสียงเย็นชา


ไท่หมิงถอนหายใจก่อนตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าไท่หลิงก็ต้องเข้าร่วมแล้ว…”


หมัวเฮอเทียนหัวเราะด้วยความโกรธ “ได้ เผ่าหมัวเฮอขอประกาศสงครามกับทั้งสองเผ่าในวันนี้ ข้าจะดูสิว่าพวกเจ้าสามารถทำอะไรกับเผ่าหมัวเฮอของข้าได้บ้าง!”


นอกเมืองวั้นกู่ ทุกคนมีสีหน้าตกใจหวาดผวา สามเผ่าโบราณกำลังจะทำสงครามกันรึ? ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องเกิดคลื่นยักษ์กวาดไปทั่วมหาพันภพแน่


เมื่อมองไปที่ฉากนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็เย็นชาลง


ตึง!


ทว่าขณะที่บรรยากาศระหว่างฟ้าดินตึงเครียด ทั้นใดนั้นเสียงระฆังโบราณก็ดังก้องมาแต่ไกล…


เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น บรรดาจอมยุทธ์ก็หดตาและเงยหน้าขึ้น


“นี่คือ… ระฆังพันภพแห่งวังมหาพันภพ?”


ภายใต้ความสนใจ ลำแสงก็พุ่งมา ร่างกำยำปรากฏตัวในอุโมงค์มิติ ทำให้เกิดแรงกดดันไปทั่วภูมิภาค


ในเวลาเดียวกันเสียงหนักแน่นก็ดังขึ้น


“โปรดไว้หน้าวังมหาพันภพ หยุดสงครามลงเถิด”


เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเห็นร่างกำยำนี้ ใบหน้าก็เคร่งเครียดลง พวกเขาไม่เคยคิดว่าคนผู้นี้จะมาที่นี่


ราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน!

 

 

 


บทที่ 1510 เทียบทองคำ

 

เสียงสะท้อนไปทั่ว


ทุกคนมองภาพเงาก้าวออกจากในเสา มีแสงดาวส่องประกายระยิบระยับรอบตัวผู้มาใหม่ มองเห็นภูเขาและแม่น้ำปักอยู่บนเสื้อคลุม รูม่านตาของเขาก็ลึกราวกับห้วงมหรรณพ เขายืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพังแต่กลับเอิบอาบไปด้วยแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเคารพ


“ราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน…”


เมื่อทุกคนเห็นร่างนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปขณะร้องอุทานออกมา


ทุกคนในมหาพันภพรู้ดีว่ามีเพียงวังมหาพันภพเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นเป็นเพราะพลังดังกล่าวโอบอุ้มทุกสรรพชีวิตในระบบสุริยะจักรวาลนี้


วังมหาพันภพเหมือนกับสมาพันธ์ของมหาพันภพ


จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ


ผู้ก่อตั้งคือเทพจักรพรรดินิรันดร์


เมื่อวังมหาพันภพก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในสมัยโบราณก็รวบรวมพลังทั้งหมดของมหาพันภพเอาไว้ ทุกคนละทิ้งความแตกต่าง ยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันเพื่ออุดมกาณ์ป้องกันในการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ


ในสงครามครั้งนั้นวังมหาพันภพทุ่มเททุกสิ่งอย่าง ไม่มีใครไม่เห็นถึงความสามารถในการขับไล่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ดังนั้นทุกวันนี้ผู้คนจึงให้ความเคารพต่อวังอันยิ่งใหญ่นี้


แม้แต่จอมยุทธ์ที่ทรงอำนาจอย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็เข้าร่วมกับวังพันมหาพันภพในฐานะผู้อาวุโส


ในวังมหาพันภพจะต้องใช้คะแนนสังหารปีศาจเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทีละก้าว โดยต้องสังหารจอมปีศาจเท่านั้นถึงจะได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจ บางทีนี่อาจไม่ใช่สิ่งหายากในสมัยโบราณ แต่ในปัจจุบันการฆ่าจอมปีศาจอาจหมายความว่าต้องบุกเข้าไปรังของเผ่าปีศาจต่างมิติ


นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าลอง


ดังนั้นในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมามีราชันสังหารปีศาจหนึ่งเดียวที่ปรากฏในวังมหาพันภพ เขาเป็นจอมยุทธ์ที่บุกตะลุยเข้าไปในรังปีศาจและกลับมาพร้อมกับการสังหารที่น่าสะพรึง


ชายคนนั้นก็คือคนที่ยืนเบื้องหน้าทุกคนตอนนี้ ฉิงเทียน


เมื่อเทียบสถานะของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจที่ได้มาเพราะโชคช่วย ฉิงเทียนเป็นของแท้ เนื่องจากเขาได้รับตำแหน่งจากการสังหารปีศาจต่างมิติ


ดังนั้นเมื่อจอมยุทธ์เช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น แม้แต่สีหน้าของหมัวเฮอเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความหวั่นเกรงในสายตา


“พี่ฉิงเทียนนี่เป็นเรื่องของเผ่าหมัวเฮอ วังมหาพันภพน่าจะเข้ามายุ่งไม่ได้ใช่ไหม?” หมัวเฮอเทียนสูดลมหายใจพลางถาม


เสื้อคลุมของฉิงเทียนสะบัดไปตามสายลม เขาหันหน้ายิ้มให้หมัวเฮอเทียน “ทำไมเจ้าถึงยึดติดกับร่างมหาเทพนิรันดร์อย่างดื้อรั้นเช่นนี้? เผ่าของเจ้าไม่ได้รับการยอมรับแม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่าไม่มีชะตาร่วมกัน”


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น สีหน้าของหมัวเฮอเทียนก็ไม่น่าดู ถ้าเป็นคนอื่นพูดเขาจะตบให้ถลา แต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นกับคนเบื้องหน้าได้ เนื่องจากฉิงเทียนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายมานานแล้ว เป็นหนึ่งในสิบจอมยุทธ์อันดับแรกของมหาพันภพ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม


ถ้าหมัวเฮอเทียนมีขวดมหาเพลิงวารี เขาก็อาจจะสู้กับฉิงเทียนได้ ทว่าเวลานี้ขวดหยกถูกปราบปรามไว้ในเจดีย์ เขาคงกระอักเลือดแน่หากต้องต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย


แน่นอนว่าที่สำคัญคือวังมหาพันภพที่อยู่เบื้องหลังฉิงเทียน แม้ว่าโดยปกติทางวังจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ในมหาพันภพ แต่พลังอำนาจของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่เผ่าหมัวเฮอต้องไว้หน้า


แต่เขาจะยอมปล่อยให้มู่เฉินนำร่างมหาเทพนิรันดร์ออกไปได้ยังไง?


“พี่ฉิงเทียน เผ่าหมัวเฮอปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มาหลายหมื่นปีแล้ว แม้จะไม่ได้สร้างผลประโยชน์แต่ก็ทุ่มแรงไปมาก แล้วพวกข้าจะยอมให้มู่เฉินนำไปได้อย่างไร?”


หมัวเฮอเทียนหายใจเข้าลึก ดวงตากะพริบวาบ “นอกจากนี้เราก็ถอยคนละก้าวแล้ว ข้าขอให้เขาวางร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่นี่เป็นเวลาแค่ร้อยปี หลังจากนั้นทางข้าจะไม่ขัดขวางเมื่อเขาขอคืน”


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นฉิงเทียนก็เพียงยิ้ม “ท่านประมุข ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้ความหมาย ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะได้รับจดหมายของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”


ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนแข็งค้าง ส่วนเหล่าผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความกลัวกะพริบในดวงตา


เผชิญหน้ากับเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง เผ่าหมัวเฮอยังกัดฟันสู้ไหว แต่ถ้าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูกระโจนลงมาในศึกนี้ด้วย แม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็รับไม่ไหว


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขาเคยทำสงครามกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว ท้ายที่สุดตอนนั้นก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของหมัวเฮอเทียน ถ้าไม่ใช่เพราะขวดมหาเพลิงวารี ชื่อเสียงของเผ่าหมัวเฮอคงป่นปี้หมดแล้ว


ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาก้าวข้ามหมัวเฮอเทียนบรรลุระยะปลายกลายเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ทรงอำนาจสูงสุดแห่งมหาพันภพ


ในแง่ของรากฐานแคว้นหวู่จิ้งฮั่วไม่ได้อ่อนไปกว่าเผ่าหมัวเฮอเลย


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเทพจักรพรรดิสงครามและแคว้นหวูที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว


ที่นอกเมืองวั้นกู่ ทุกคนได้แต่เบ้ปาก พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์นี้จะระเบิดไปถึงระดับนี้…


ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเขียวคล้ำแต่ในใจเกรี้ยวกราดอย่างที่สุด ตอนแรกเขาต้องการใช้กำลังเพื่อปราบมู่เฉิน แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะทุบหน้าตัวเองจนยับแบบนั้


แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว แคว้นหวู วังมหาพันภพ เผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง…


ด้วยการผนึกกำลังขั้วอำนาจทั้งห้าเข้าด้วยกันแม้แต่โลกทั้งใบยังสั่นสะเทือน กระทั่งเผ่าหมัวเฮอของพวกเขาก็ไม่สามารถเผชิญกับขุมกำลังมหาศาลเช่นนี้ได้


“พี่ฉิงเทียน เจ้ากำลังพยายามบีบคั้นเผ่าหมัวเฮอหรือ?” ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเขียวคล้ำ


เมื่อมองไปที่หมัวเฮอเทียน ใบหน้าของฉิงเทียนก็ดูเคร่งขรึมขณะที่ตอบว่า “ท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอ มหาพันภพกำลังเผชิญอันตรายจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ เรื่องที่เกิดวันนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับมหาพันภพของเราที่ร่างมหาเทพนิรันดร์สามารถหาเจ้าของได้ ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถพิจารณาภาพรวมได้มากขึ้น”


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน เขาคิดเชื่อมโยงถึงสาเหตุที่เซียวเหยียนและหลินต้งต้องอยู่ประจำการในดินแดนของตนเอง เขาก็รู้สึกไม่สบายใจในใจ ‘จักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะเคลื่อนพลอีกครั้งแล้วหรือ?’


หมัวเฮอเทียนเงียบไป ตอนนี้เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกคืนร่างมหาเทพนิรันดร์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องเดินลงสะพานที่อีกฝ่ายมอบให้ หากเขาดึงดั้นคงมีเพียงเผ่าหมัวเฮอเท่านั้นที่จะต้องแบกรับทุกข์ทรมาน


“ในเมื่อวังมหาพันภพเข้ามาขอเรื่องนี้ งั้นเผ่าหมัวเฮอก็จะไว้หน้าให้”


ในที่สุดหมัวเฮอเทียนก็เปิดปาก ความผันผวนคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็หดกลับ ก่อนที่เขาจะมองไปที่มู่เฉิน “แต่เขาต้องคืนขวดมหาเพลิงวารีมา”


ฉิงเทียนมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “ราชันมู่ เราควรแก้ปมระหว่างศัตรูมากกว่าสร้างปม ในเมื่อประมุขเผ่าหมัวเฮอยอมถอยแล้ว เจ้าก็ถอยบ้างได้ไหม?”


ในเมื่อฉิงเทียนเอ่ยปากเอง มู่เฉินก็พยักหน้าให้โดยดี เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่ต้องการทำสงครามกับเผ่าหมัวเฮอ แม้ว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง แต่นั่นก็เสี่ยงเกินไป อาจทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต้องสังเวยชีวิต นั่นเป็นราคาหนักสำหรับทั้งสองฝ่าย


ดังนั้นหมัวเฮอเทียนยอมถอยจึงเป็นผลสรุปที่ดีที่สุดแล้ว


มู่เฉินหันกลับประสานมือไปที่เจดีย์วั้นกู่ “เรื่องในวันนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว รบกวนท่านผู้อาวุโสช่วยเคลื่อนไหวอีกครั้ง”


พร้อมกับเสียงของเขา เจดีย์วั้นกู่ก็สั่นสะเทือนเปล่งรัศมีออกมา ลำแสงสีดำทะยานออกมากลายเป็นขวดหยกดำขาว


หมัวเฮอเทียนเรียกขวดหยกคืนมาทันที เขาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง หลังจากเห็นว่าไม่มีความเสียหายใดๆ ก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก


“สมกับเป็นพลังที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ให้ ช่างทรงพลังอย่างแท้จริงแม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีแล้วก็ตาม” มองไปที่เจดีย์ฉิงเทียนก็ถอนหายใจ แม้เขาจะมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย เขาก็ยังรู้สึกเคารพในพลังโบราณที่เหลืออยู่ในเจดีย์


ทว่าหลังจากปลดปล่อยขวดหยก พลังที่เหลืออยู่ในเจดีย์ก็เริ่มเหือดหาย มากจนกระทั่งมีรอยแตกบนพื้นผิว


เมื่อมองไปที่ฉากนี้ มู่เฉินก็โค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้เจดีย์วั้นกู่อีกครั้ง


เมื่อเห็นบรรยากาศตึงเครียดคลายลง ทุกคนก็ถอนหายใจโล่งอกเพราะเหตุการณ์ระดับนี้มักมีผลกระทบในวงกว้าง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังไม่กล้าเข้าร่วม


ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะสลายความขัดแย้งนี้


“พี่ฉิงเทียน ข้าควรจะต้อนรับเจ้าสำหรับการมาเยี่ยมเผ่าหมัวเฮอให้ดีกว่านี้ แต่ข้าคงทำได้แค่ขอโทษเนื่องจากวันนี้ยุ่งมาก” หมัวเฮอเทียนยังรู้สึกกรุ่นโกรธในใจเมื่อมองเมืองวั้นกู่ที่วินาศวันตะโร เขาไม่คิดที่จะอยู่ต่อ ดังนั้นเขาจึงคารวะฉิงเทียนก่อนที่จะทะยานหายไปในเส้นขอบฟ้า


ผู้อาวุโสของเผ่าหมัวเฮอก็ติดตามไปด้วย


มองหมัวเฮอเทียนที่จากไปฉิงเทียนก็ไม่ใส่ใจ เนื่องจากการมาถึงของเขาทำให้เผ่าหมัวเฮอต้องเสียร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เผ่าหมัวเฮอจะรู้สึกโกรธเคือง


ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางมาของเขาไม่ได้เป็นเพราะเรื่องเผ่าหมัวเฮอเท่านั้น


ฉิงเทียนโบกมือมองไปที่มู่เฉินก่อนจะก้าวไปปรากฏตัวต่ออีกฝ่ายพลางยิ้มให้ “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าวังมหาพันภพมีราชันสังหารปีศาจคนใหม่ ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้า”


ได้พบกับราชันสังหารปีศาจตัวจริงอย่างฉิงเทียน มู่เฉินก็รักษามารยาทไว้อย่างสูงสุด “ผู้อาวุโสฉิงเทียนชมข้าเกินไปแล้ว ท่านน่าจะรู้ว่าสถานะของข้าในฐานะราชันสังหารปีศาจมีน้ำหนักแค่ไหน”


ฉิงเทียนหัวเราะก่อนที่จะตอบว่า “ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดนี่ก็เป็นโชคชะตาของเจ้าที่ได้รับ ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นราชันสังหารปีศาจแล้วจริงๆ”


ในอดีตอาจเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะสังหารจอมปีศาจ แต่ด้วยกายาเซิ่งและร่างมหาเทพนิรันดร์ตอนนี้ เขาก็เทียบเคียงได้กับจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางปลายสุด ดังนั้นจึงสามารถสังหารจอมปีศาจธรรมดาได้แล้ว


มู่เฉินเผยรอยยิ้มบนริมฝีปากพลางประสานมือ “ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องขอบคุณท่านฉิงเทียน มิฉะนั้นเหตุการณ์นี้คงจะไม่ยุติลงอย่างง่ายดาย”


แม้ว่าเขาจะไม่กลัวหมัวเฮอเทียน แต่เขาก็ไม่ต้องการลากเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


ฉิงเทียนโบกมือไปมาพลางถอนหายใจ “ตราบใดที่สามเผ่าโบราณทำสงครามกันก็จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสู้กันเอง”


หลังจากหยุดคิดชั่วครู่ ฉิงเทียนก็พูดต่อ “แต่นอกเหนือจากการมาหยุดศึกระหว่างเผ่า ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำในการเดินทางครั้งนี้”


เมื่อพูดจบเขาก็โบกมือ แสงสีทองหลายชิ้นพุ่งไปหาชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิง มีแม้กระทั่งสามชิ้นที่พุ่งไปในทิศทางของเผ่าหมัวเฮอ


เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งและคนอื่นได้รับแสงสีทองนี้ ท่าทางก็เปลี่ยนไปรุนแรง


“นี่คือ…?” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบพร้อมกับความประหลาดใจ เขารู้สึกได้ว่าดูเหมือนจะเป็นเทียบทองคำ…


ฉิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้าก็มีคุณสมบัติได้รับแล้วเช่นกัน”


ขณะที่พูดแสงสีทองอีกชิ้นก็พุ่งจากแขนเสื้อเขาไปหามู่เฉิน


มู่เฉินกางฝ่ามือออกแสงสีทองก็ตกลง กลายเป็นป้ายสีทองวางไว้


เมื่อมองไปเขาก็เห็นคำโบราณตราตรึงใจ


เทียบทองคำมหาพันภพ

 

 

 


บทที่ 1511 สนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ

 

“เทียบทองคำมหาพันภพ?”


มู่เฉินพึมพำขณะที่มองถ้อยคำโบราณเหล่านั้น เขารู้สึกฉงนในใจเพราะไม่รู้ว่านี่หมายถึงอะไร


“ไม่คิดว่าข้าจะมีโอกาสได้รับเทียบทองคำนี้ด้วย…” ขณะที่มู่เฉินกำลังงุนงง ชิงเหยี่ยนจิ้งก็พลิ้วตัวเข้ามาพลางถอนหายใจ


“นี่คืออะไรหรือขอรับ?” มู่เฉินรู้สึกงุนงง


ฉิงเทียนยิ้ม “ตอนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิต่อสู้กันในสมัยโบราณ สุดท้ายก็สามารถยับยั้งการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติที่จะเข้าสู่มหาพันภพได้ สงครามครั้งนั้นจบลงด้วยเทพปีศาจจักรพรรดิถูกผนึกไว้ในเนินเขารกร้างทางเหนือ”


“แต่พลังของเทพปีศาจจักรพรรดิไม่สามารถจินตนาการได้ แม้ว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์จะได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์”


“ดังนั้นสนธิสัญญพันธมิตรมหาพันภพจะถูกจัดขึ้นทุกๆ พันปีและส่งเทียบเชิญไปทั่ว เพื่อเชิญเหล่ายอดยุทธ์ในมหาพันภพมาชุมนุม ทั้งนี้ก็เพื่อการใช้พลังของทุกคน เราจะหมุนเวียนผนึกลบพลังที่เหลืออยู่เทพปีศาจจักรพรรดิทิ้งไป”


“มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะได้รับเทียบเชิญนี้ ซึ่งมีความแตกต่างสามระดับคือ ทองแดง เงิน ทองคำ แสดงถึงขั้นทั้งสามของระดับเทียนจื้อจุน โดยมีเพียงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเท่านั้นที่จะได้รับเทียบเชิญทองคำ”


ขณะที่พูดท่าทางของฉิงเทียนก็เคร่งขรึมลง “ตามการคาดการของเทพจักรพรรดินิรันดร์ในตอนนั้น เราจะสามารถฆ่าเทพปีศาจจักรพรรดิได้หลังจากหมุนเวียนพลังเป็นเวลาสี่หมื่นเก้าพันปี”


“ถึงตอนนี้เทียบเชิญถูกส่งออกไปแล้วสี่สิบแปดครั้งและนี่… เป็นครั้งที่สี่สิบเก้า”


พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ม่านตามู่เฉินก็หดแคบลงและตระหนักถึงความสำคัญของเทียบเชิญนี้


“เทพปีศาจจักรพรรดิน่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ? ผนึกที่ใช้ชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังต้องใช้เวลานานเช่นนี้เพื่อฆ่ามันให้สิ้นซาก?” มู่เฉินหายใจเข้าลึก ความตกใจในน้ำเสียงไม่สามารถปกปิดได้


หลังจากเงียบไปชั่วครู่ฉิงเทียนก็ยิ้มอย่างขมขื่น “พลังของเทพปีศาจจักรพรรดิไม่สามารถจินตนาการได้อย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ต้องคำนึงถึงราคา เราต้องฆ่ามันขณะที่มันยังถูกผนึกอยู่ มิฉะนั้นหายนะจะบังเกิดกับมหาพันภพแน่นอน”


“เพราะเราไม่มีเทพจักรพรรดินิรันดร์อยู่เพื่อช่วยอีกต่อไป”


ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงดิ่งลง เนื่องจากพวกเขารู้ว่าชะตากรรมเลวร้ายที่รอคอยมหาพันภพอยู่คืออะไรหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น


“ถ้าเทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังขนาดนั้น… พวกเผ่าปีศาจต่างมิติจะหาวิธีพยายามทำลายผนึกหรือไม่?” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง


“พวกมันพยายามเข้ามาแทรกพิธีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีตราประทับที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะสรรพชีวิตในมหาพันภพเข้าใกล้ได้เท่านั้น”


ฉิงเทียนพยักหน้าหรี่ตาลง “แต่ช่วงนี้เผ่าปีศาจมีการเคลื่อนไหว นี่เป็นสาเหตุทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามต้องประจำการที่ชายแดน”


สีหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงเนื่องจากเขาเข้าใจความหมายเบื้องหลังสนธิสัญญานี้ นี่เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของมหาพันภพ…


เมื่อเทียบกับเรื่องนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถวางลงก่อน


“จะเริ่มเมื่อไรหรือ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งถาม


“สามเดือนนับจากนี้” ดวงตาของฉิงเทียนวูบไหวพร้อมกับรัศมีดุดันกวาดออกจากร่างกาย “คราวนี้เราต้องกำจัดภัยคุกคามนี้ให้จงได้!”


มู่เฉินพยักหน้า เทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังนัก หากพวกเขาไม่สามารถฆ่าได้ ทั้งมหาพันภพก็จะตกอยู่ในความตึงเครียด


นั่นคือภูเขาไฟล้างโลก ตราบใดที่ปะทุก็จะกลืนกินทั้งมหาพันภพ


ฉิงเทียนพยักหน้าตอบว่า “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งหมดได้รับคำเชิญ แต่คงมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่มุ่งหน้าไปยังเนินเขารกร้างทางเหนือ เพราะยังต้องมีคนคอยจับตามองเผ่าปีศาจด้วย”


“ช่างเป็นงานใหญ่ของมหาพันภพจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เกือบครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแห่งมหาพันภพไปชุมนุมกันจะอลังการขนาดไหน?


เมื่อเทียบกับเหตุการณ์นี้ สิ่งที่เจอมาในอดีตก็ไม่มีอะไรเลย


“นี่เป็นงานยิ่งใหญ่จริงๆ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของมหาพันภพ ดังนั้นต้องวางความบาดหมางทั้งหมดไว้ก่อน” ฉิงเทียนมองไปยังทิศทางที่หมัวเฮอเทียนจากไปพูดต่อ “นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเดินทางมาขอให้หยุดสงครามนี้”


เผ่าหมัวเฮอ เผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงถือเป็นขุมกำลังสำคัญในมหาพันภพ ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆ ได้


มู่เฉินเข้าใจประเด็นนี้เช่นกัน สีหน้าของเขาจริงจังขึ้น “ท่านฉิงเทียนวางใจเถิด ข้าเป็นคนที่ได้รับผลจากเหตุการณ์นี้มากที่สุด ดังนั้นข้าจะยับยั้งชั่งใจ แม้ว่าท่านหมัวเฮอเทียนต้องการที่จะจัดการข้าในอนาคตก็ตาม”


ไม่ว่าอย่างไรร่างมหาเทพนิรันดร์ก็เป็นของเขา เผ่าหมัวเฮอได้แต่อดทนอดกลั้น ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรไกลเกินไป


ฉิงเทียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจตอบอย่างอบอุ่นว่า “เป็นเรื่องดีที่เจ้าสามารถมองภาพรวมใหญ่ได้ แต่ไม่ต้องกังวล วังมหาพันภพจะไม่อยู่นิ่งเฉยหากหมัวเฮอเทียนลากเรื่องไปไกล เพราะยังไงเจ้าก็เป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ”


มู่เฉินยิ้ม หมัวเฮอเทียนอาจจะหยิ่งยโสแต่ไม่ใช่คนโง่ หลังจากเรื่องวันนี้เขาก็น่าจะรู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่เขาจะยุ่งด้วยได้


“ข้าเสร็จภารกิจแล้ว ดังนั้นคงต้องขอลาไปก่อน เวลาไม่คอยท่า ข้ายังต้องไปส่งเทียบเชิญให้กับจอมยุทธ์คนอื่นๆ อีก” หลังจากสนทนาสั้นๆ กับมู่เฉิน ฉิงเทียนก็ประสานมืออำลา


มู่เฉินรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญจึงไม่รั้งฉิงเทียนไว้และกล่าวคำอำลา


“หวังว่าสามเดือนนับจากนี้เราจะได้พบกันอีกครั้งที่เนินเขารกร้างทางเหนือนะ” ฉิงเทียนหัวเราะขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


มองไปที่การจากไปของฉิงเทียน สีหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงก็ซับซ้อน “พายุกำลังก่อตัว…”


เทพปีศาจจักรพรรดิเป็นมหาจักรพรรดิของเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นพวกมันต้องรู้ถึงความสำคัญของสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพนี้ การผนึกพลังในครั้งนี้ไม่สงบแน่นอน


เผ่าปีศาจต่างมิติต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือมหาจักรพรรดิแน่


มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าฉิงเทียนจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึก แต่จอมยุทธ์ระดับในพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ในใจของฉิงเทียน


มิฉะนั้นคงไม่ให้ราชันสังหารปีศาจมาเดินทางส่งเทียบเชิญให้เป็นการส่วนตัวหรอก


“เผ่าปีศาจกำลังจับตามองพวกเรา ไม่คิดว่าจะมีภัยคุกคามยิ่งใหญ่ในเนินเขารกร้างทางเหนืออีก…” มู่เฉินถอนหายใจ โชคดีที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่มีคุณสมบัติที่จะยุ่งกับเรื่องแบบนี้


“เนินเขารกร้างทางเหนือถือได้ว่าเป็นดินแดนต้องห้ามของมหาพันภพเป็นที่รู้จักกันในชื่อดินแดนวั้นมู่ โดยมีกลุ่มหนึ่งเฝ้าระวังอยู่ พวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ ผู้นำของก็คือจักรพรรดิอมตะ ซึ่งอาจอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม แต่ตัวเขาอยู่ในเนินเขารกร้างทางเหนือไม่เคยออกไปไหน ดังนั้นจึงไม่เป็นที่รู้จักมากนัก” ฝูถูเฉวียนอธิบาย


“ดินแดนวั้นมู่… จักรพรรดิอมตะ…”


สีหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลง มหาพันภพสมกับเป็นสถานที่พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนจริงๆ


“ถ้าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา เราจะสามารถต้านทานพวกมันได้หรือไม่?” มู่เฉินถามขึ้น


ฝูถูเฉวียนกับชิงเหยี่ยนจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันตอบว่า “ในแง่ของความแข็งแกร่งมหาพันภพในปัจจุบันเทียบได้กับสมัยโบราณหรืออาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ เรามีทั้งเทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงคราม ราชันสังหารปีศาจ กระบี่เทพเขียว จักรพรรดิอมตะและขุมกำลังสุดยอดอื่นๆ รวมทั้งห้าเผ่าโบราณยังมีรากฐานพลังของตนและไม่ต้องพูดถึงขั้วอำนาจอื่นๆ…”


“ดังนั้นหากเผ่าปีศาจคิดจะรุกรานอีกครั้ง เราก็ใช่ว่าจะไม่มีพลังโต้ตอบกลับ”


“แต่ปัญหาเดียวก็คือเราไม่มีเทพจักรพรรดินิรันดร์ ต้องรู้ว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์เป็นจอมยุทธ์ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงแค่เรียกผนึกและสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิเพื่อทำลายความทะเยอทะยานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ


มู่เฉินพยักหน้าพลางพึมพำ “ข้าว่าพวกปีศาจต่างมิติก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน…”


จักรวรรดิปีศาจไม่นั่งดูให้พวกเขาสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิหรอก ดังนั้นสนธิสัญญาพันธมิตรครั้งนี้อาจซัดสาดไปด้วยพายุโลหิต…


เผชิญกับสถานการณ์นี้ แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกกดดันอย่างมาก


ขณะที่อารมณ์ของมู่เฉินพลุ่งพล่านอยู่ในใจ มือเรียงบางก็จับมือเขาเอาไว้ เมื่อเขาหันไปก็เห็นดวงหน้าเรียวเล็กของลั่วหลี


เมื่อหญิงสาวกะพริบตาส่งมาให้ ความอบอุ่นก็พวยพุ่งขึ้นในหัวใจเขาชำระล้างอารมณ์หมดสิ้น แม้แต่คิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายออก


มู่เฉินกุมมือลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ดวงอาทิตย์พร้อมกับไฟลุกโชนในดวงตา


การมีคนรักอยู่เคียงข้างเป็นเรื่องที่ดีนัก ไม่ว่าเผ่าปีศาจจะดุร้ายแค่ไหนคนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัว เพราะเขาจะสละทุกอย่างเพื่อปกป้องนางไว้


“ข้าฝึกฝนมาหลายสิบปีกว่าจะมาถึงจุดนี้… แล้วข้าจะยอมให้พวกแกมาทำลายความพยายามได้อย่างไร…?


“ถ้าพวกแกมา ก็แค่ถึงเวลาศึกชี้ชะตาเท่านั้น”

 

 

 


บทที่ 1512 หอหมื่นปีศาจ

 

โถงดำมืดที่พวยพุ่งไปด้วยความมืดมิด


หมอกสีดำไหลวนเวียนราวกับว่าสามารถกลืนกินความมีชีวิตชีวาทั้งหมดได้ ให้ความรู้สึกหม่นหมองและเย็นเยือก


ในห้องโถงมีที่นั่งสีดำเป็นชั้นๆ ยื่นออกไป มีคนนั่งอยู่บนที่นั่งทุกตัวพร้อมกับรัศมีสีดำครอบคลุมเอาไว้ พลังชั่วร้ายทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือน


โถงแห่งนี้บรรจุไปด้วยกลิ่นอายน่ากลัว เหมือนกับหอหมื่นปีศาจอย่างไรอย่างนั้น


ที่ศูนย์กลางบัลลังก์สามสิบสองแท่นยื่นออกไปด้านข้าง มีร่างบนบัลลังก์ทุกที่ปลดปล่อยรัศมีปีศาจรุนแรงออกจากร่างกาย สร้างภาพมายาปีศาจที่อยู่เบื้องหลังแต่ละคน เอิบอาบด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว


ภายใต้แรงกดดันของทั้งสามสิบสองคน คนอื่นๆ ก็ลดศีรษะลงเล็กน้อยด้วยความเคารพ


มีร่างที่พวยพุ่งด้วยเปลวไฟสีดำนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน เพลิงปีศาจนี้มีสีดำมืดราวกับน้ำหมึกและแผ่ซ่านด้วยรัศมีบริสุทธิ์ออกมาในเวลาเดียวกัน ขณะที่คลื่นสองสายไหลเวียน ก็ดูแปลกประหลาดมาก


ภายใต้เพลิงปีศาจ สายตาไม่แยแสก็กวาดมองออกไป ทำให้มิติสั่นไหวราวกับหวาดกลัวอย่างไรอย่างนั้น


“ทุกคนมากันครบหรือยัง?” เสียงเบาหวิวดังขึ้นจากเพลิงปีศาจ


บนบัลลังก์ข้างๆ ภาพเงาที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าซีดขาว แต่ดวงตากลับฉายภาพกระแสน้ำวนสีดำ ช่างแปลกตายิ่งนัก ในขณะที่เกิดปฏิกิริยาหมุนคว้างก็อาบด้วยความลึกลับที่ไม่อาจอธิบาย ซึ่งทำให้ผู้คนหลงทางอยู่ภายใน


ม่านตาของเขากวาดไปที่เพลิงปีศาจก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้น “ครั้งนี้เผ่าเทียนหมัวไม่ได้สายนะ”


ไม่ไกลนักอีกคนก็พูดว่า “เผ่าซือหมัวก็มาแล้ว”


ร่างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายซากศพน่าขยะแขยงทำให้แม้แต่อากาศยังกลายเป็นสีเทาขาว ถ้ามู่เฉินอยู่ที่นี่ก็จะสามารถจดจำร่างร่างนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะนี่ก็คือจอมปีศาจเฮยซือเทียนที่เคลื่อนไหวออกมาจัดการเขาในพิภพเขตล่าง


หลังจากเขาพูด คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็เอ่ยปาก พวกเขาเป็นตัวแทนแกนนำจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ สามสิบสองเผ่าใหญ่


ดังนั้นรัศมีปีศาจในหอหมื่นปีศาจนี้จึงบรรจุด้วยพลังรุนแรงเป็นทบทวีคูณ


เมื่อเห็นผู้นำเผ่าทุกคน ร่างเพลิงปีศาจก็ผงกศีรษะ เสียงแหบพร่าสะท้อนออกมา


“อีกสามเดือนนับจากนี้ สนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง”


เมื่อเขาพูดประมุขปีศาจทั้งหมดก็มีแสงน่าสะพรึงกลัวกะพริบในดวงตาเล็ดลอดด้วยไอเย็นเยือก


“ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง!” เสียงเยือกเย็นของจอมปีศาจเฮยซือเทียนดังก้อง รัศมีซากศพโดยรอบครางกระหึ่มก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกนับไม่ถ้วน


“เรารอมาหลายหมื่นปี ถึงเวลาแล้วที่มหาพันภพจะสั่นสะเทือนภายใต้อำนาจของเรา!” ร่างเงาอีกร่างหนึ่งกล่าวขึ้น ร่างนี้มีมือยาวคู่พร้อมกับเล็บสีดำ กระทั่งมิติยังถูกแยกออกอย่างง่ายดายด้วยเล็บที่แผ่ซ่านความคมที่น่ากลัว


นี่ก็คือผู้นำเผ่าเตาหมัว—จอมปีศาจจ่านเทียน


ในโถงคนอื่นๆ ก็ส่งเสียงคำรามด้วยเจตนาฆ่า


ร่างเพลิงปีศาจยื่นมือออกทำให้ทุกคนเงียบลง นี่แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่มี เขาก็คือประมุขเผ่าเซิ่งหมัวที่เป็นผู้นำของสามสิบสองเผ่าใหญ่—จอมปีศาจเซิ่งเทียน


เทพปีศาจจักรพรรดิที่ใช้ชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ผนึกเป็นคนของเผ่าเซิ่งหมัว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเผ่าเซิ่งหมัวจึงดำรงตำแหน่งผู้นำของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ


ดังนั้นเมื่อเทพปีศาจจักรพรรดิถูกผนึก จอมปีศาจเซิ่งเทียนจึงขึ้นเป็นผู้นำของจักรวรรดิปีศาจ


“อย่าดูถูกมหาพันภพ ตามรายงานถึงจะไม่มีจอมยุทธ์ที่เหมือนกับเทพจักรพรรดินิรันดร์ แต่พวกมันก็ยังมีจอมยุทธ์ชั้นยอดอีกนับไม่ถ้วนเช่นเทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงครามที่เป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่ต่อเผ่าเรา” ดวงตาของจอมปีศาจเซิ่งเทียนกะพริบพร้อมกับเพลิงปีศาจสีดำขาว


“ครั้งหนึ่งเจ้าเคยต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีนี่… มันเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้นำเผ่าเทียนหมัวถาม


เผ่าเทียนหมัวได้รับการจัดอันดับต้นๆ ของสามสิบสองเผ่า ส่วนประมุขเผ่าคนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมปีศาจเซิ่งเทียน ขณะเดียวกันยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อจอมปีศาจอั้นเทียน บอกได้ว่าเขาทรงพลังเพียงใด


เนื่องจากสถานะ เขาจึงรู้ว่าจอมปีศาจเซิ่งเทียนเคยต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ทุ่มสุดแรง


ขณะที่เพลิงปีศาจในดวงตาของจอมปีศาจเซิ่งเทียนวูบไหวก็ตอบว่า “เทพจักรพรรดิอัคคีไม่ธรรมดา มันทรงพลังในศาสตร์แห่งเปลวไฟและมีความรู้แจ้งที่น่ากลัว แม้แต่เพลิงปีศาจเทวะของข้าก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้”


ขณะที่เขาพูดทุกคนภายในโถงก็ตัวสั่นสะท้าน ยังเกิดการกระเพื่อมที่ภาพปีศาจเบื้องหลังพวกเขาด้วย


“ขนาดเพลิงปีศาจเทวะยังทำอะไรมันไม่ได้เลยเหรอ?”


แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ขณะที่แววตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พวกเขารู้ดีว่าเพลิงปีศาจเทวะของจอมปีศาจเซิ่งเทียนทรงพลังเพียงใด แม้แต่คนในระดับเดียวกันก็ไม่กล้าเผชิญหน้า แต่กลับทำอะไรเทพจักรพรรดิอัคคีไม่ได้?


“ดูเหมือนว่ามหาพันภพก็มีรากฐานใช้ได้… มิหนำซ้ำยังมีเทพจักรพรรดิสงครามซึ่งเป็นที่รู้กันว่าอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคี ข้าว่ามันคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดาเช่นกัน”


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็เอ่ยว่า “ข้าได้ปะทะกับเทพจักรพรรดิสงครามคนนั้นแล้ว มันทำให้ข้ากดดันมาก ถ้าต่อสู้กันด้วยร่างหลัก ข้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”


จอมปีศาจเฮยซือเทียนหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะกวาดสายตาไปที่มุมหนึ่งของโถง “ว่ากันว่าพิภพเขตล่างที่เทพจักรพรรดิสงครามถือกำเนิด ครั้งหนึ่งเคยประสบกับการรุกรานของเผ่ายี่หมัว แต่สุดท้ายพวกเจ้ากลับล้มเหลว ยังทำให้ดาวหายนะนั้นมาถึงมหาพันภพ ไม่ได้เรื่องจริงๆ!”


ทุกคนสายตามองไปที่ร่างร่างหนึ่งที่กำลังสั่นสะท้าน รัศมีปีศาจรอบตัวแสดงถึงอารมณ์ที่ผันผวน


นี่ก็คือผู้นำเผ่ายี่หมัวคนปัจจุบัน แต่ในหมู่จักรวรรดิปีศาจตำแหน่งของเขาอยู่ในระดับสามัญเท่านั้น มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเขาและสามสิบสองเผ่าใหญ่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะเหวี่ยงกับการตำหนิของจอมปีศาจเฮยซือเทียน ได้แต่ก้มหน้ายอมรับไป


ทว่าหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู การครอบครองพิภพเขตล่างเป็นสิ่งที่ทุกเผ่าปีศาจต้องทำ แต่เผ่ายี่หมัวโชคร้ายไปรุกรานพิภพเขตล่างที่มีเทพจักรพรรดิสงคราม ยิ่งกว่านั้นมันยังข้ามขอบเขตมาที่มหาพันภพและขึ้นเป็นศัตรูตัวฉกาจของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ


“ไม่ต้องขุดคุ้ยเรื่องนี้แล้ว” จอมปีศาจเซิ่งเทียนโบกมือเพื่อหยุดจอมปีศาจเฮยซือเทียนพูดอย่างเฉยเมยว่า “เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นภัยคุกคามต่อเราก็จริง แต่การฆ่าพวกมันจะง่ายแสนง่ายหากเราปลดปล่อยท่านเทพปีศาจจักรพรรดิให้เป็นอิสระได้”


“ออกคำสั่ง เราจะทำการโจมตีแคว้นหวู่จิ้งฮั่งและแคว้นหวู รั้งตัวจอมยุทธ์ทั้งสองไว้ ไม่ให้พวกเขาไปยังพื้นที่ผนึก”


“รับทราบ!”


ทุกคนโห่ร้องรับคำสั่ง


“เซิ่งเทียน ถึงแม้เราจะสามารถยับยั้งเทพจักรพรรดิทั้งสองได้ แต่ผนึกของเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังคงอยู่เพื่อต่อต้าน พวกเราจะถูกขัดขวางทันทีที่เข้าใกล้ แล้วเราจะช่วยท่านเทพทำลายผนึกนั้นได้อย่างไร?” คนที่พูดขึ้นร่างเอิบอาบด้วยรัศมีปีศาจ คล้ายกับมหาสมุทรปีศาจ นี่ก็คือผู้นำเผ่าหลิงหมัว หนึ่งในสามสิบสองเผ่าใหญ่—จอมปีศาจหลิงเทียน


จอมปีศาจเซิ่งเทียนหลุบตาตอบว่า “ข้ามีแผนของข้า เพียงทำตามคำสั่งก็พอ”


“พวกเจ้าทุกคนแค่จำไว้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับเรา แม้ว่าเราจะครอบครองครึ่งหนึ่งของมหาพันภพ แต่เราก็แตกต่าง ดังนั้นจึงถูกปฏิเสธจากที่นี่ เว้นแต่จะสามารถครอบครองได้อย่างสมบูรณ์ เพียงเท่านี้เราถึงจะสามารถสร้างโลกที่เหมาะกับเราได้ มิฉะนั้นเราจะค่อยๆ ถูกทำให้บริสุทธิ์โดยมหาพันภพหลังจากผ่านไปหมื่นปี…”


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทุกคนก็พล่านด้วยไอหนาวเย็นที่ดุร้ายในดวงตา


“ไปได้”


จอมปีศาจเซิ่งเทียนไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป ทุกคนลุกขึ้นโค้งคำนับมาทางเขาและจากไป


ผู้นำสามสิบสองเผ่าก็ลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรง


เพียงสิบกว่าลมหายใจหอหมื่นปีศาจก็ว่างเปล่า จอมปีศาจเซิ่งเทียนเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของมหาพันภพพร้อมกับดวงตาสั่นไหวด้วยอาการตื่นเต้นและบ้าคลั่ง


“ท่านเทพปีศาจ เมื่อท่านกลับมาก็จะเป็นวันที่เราเหยียบมหาพันภพไว้ใต้ฝ่าเท้า!”


“ในเวลานั้นทุกสรรพสิ่งในมหาพันภพจะต้องชดใช้เวลาสี่หมื่นเก้าพันปีที่ผ่านมา!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)