หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1499-1502

 บทที่ 1499 เจ้าของคนใหม่เจดีย์วั้นกู่

 

ภายในเจดีย์วั้นกู่


ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเคลือบด้วยความตกใจหวาดผวาขณะมองไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ จากนั้นก็มองไปที่ตำแหน่งที่ร่างสีทองเข้มหายไปอีกครั้ง สีหน้าเขาเหวอไปแล้ว


ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว ภาพเงาลึกลับเบื้องหน้าก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ของแท้!


ร่างสีทองเข้มที่เขาจ่ายราคาออกไปมหาศาลเพื่อควบคุมเป็นเพียงของปลอม!


คำตอบนี้ทำให้ใบหน้าของหมัวเฮอโยวกระตุก ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อมองไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ ความอิจฉาในแววตาได้ก่อตัวขึ้น


“เป็นไปได้ยังไง?! ร่างมหาเทพนิรันดร์ตกอยู่ในมือไอ้เด็กนั่นได้ยังไง?!” หมัวเฮอโยวพึมพำพร้อมกับดวงตาแดงฉาน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากยอมรับความจริงที่โหดร้ายที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ถูกคว้าไปโดยมู่เฉิน


“ร่างมหาเทพนิรันดร์ เผ่าหมัวเฮอของข้าเฝ้าพิทักษ์เจ้ามาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ทำไมเจ้าถึงไปเลือกคนนอก?!” หมัวเฮอโยวคำรามส่งไปยังภาพเงาลึกลับด้วยความไม่เต็มใจ


ทว่าร่างมหาเทพนิรันดร์กลับไม่ตอบสนองต่อเสียงคำรามนั่นเลย ร่างเทห์สวรรค์เป็นการดำรงอยู่ที่มีเอกลักษณ์ซึ่งมีใยแห่งสติปัญญา แต่มันไม่ได้มีจิตใต้สำนึก ในความคิดของมันแม้หมัวเฮอโยวจะแข็งแกร่งกว่ามู่เฉิน แต่เขาไม่ใช่เจ้าของที่เหมาะสม


มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอโยวอย่างสงบ จากนั้นก็เหยียดนิ้วออกมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาแก่นอมตะของเขามา”


หมัวเฮอโยวไม่เพียงแต่วางแผนเล่นตุกติกกับเขาเท่านั้น แต่ยังบีบให้เขาต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง มิหนำซ้ำยังพยายามที่จะเคลื่อนไหวจัดการเขา นี่เป็นหนี้ที่มู่เฉินจดเอาไว้ในใจ


ดังนั้นเมื่อสถานการณ์พลิกผันเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยหมัวเฮอโยวไป


“แกบังอาจ!”


หมัวเฮอโยวร้องเสียงสูงพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน


วาบ!


ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงมู่เฉิน ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ก้าวออกไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหมัวเฮอโยว


ตู้ม!


ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเขียวคล้ำ ขณะที่คลื่นหลิงรุนแรงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย เขาถอยออกไปทันที ในพริบตาก็ไปไกลหลายหมื่นจั้งแล้ว


แต่เมื่อเขาถอยกลับ ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ไม่ได้ไล่ตามมา เพียงแค่ยื่นมือออกไปคว้าหมัวเฮอโยว


ท่าคว้าจับนั้นทำให้ฟ้าดินเหมือนหยุดชะงัก หมัวเฮอโยวก็คล้ายกับแมลงที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ ไม่สามารถขยับร่างได้เลย มีเพียงความกลัวฉายบนใบหน้า


เมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ชี้มา รัศมีสีม่วงทองก็รวมตัวกันอยู่ข้างหลังหมัวเฮอโยว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ถูกเรียกขึ้นมาโดยไม่มีการควบคุม…


ยามนี้หมัวเฮอโยวรู้สึกกลัวจับใจ


ปัง!


เมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์กำมือแน่นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของหมัวเฮอโยวก็ถูกปกคลุมด้วยรอยร้าวก่อนที่จะระเบิดออก


พร้อมกับแรงดูดจากปาก ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็กลืนกินแก่นอมตะเข้าไปอย่างสมบูรณ์


อ็อก!


หมัวเฮอโยวได้รับอิสรภาพในเวลานี้ ทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมา คลื่นหลิงรอบตัวก็อ่อนกำลังลง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนัก!


“มู่เฉิน! แกบังอาจกล้าทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของข้า!”


หมัวเฮอโยวคำรามพลางมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้าย เมื่อแก่นอมตะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ถูกเอาไป ร่างเวทสวรรค์ของเขาก็ถูกทำลาย ถ้าเขาไม่ได้เริ่มต้นฝึกฝนใหม่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับเขาแล้วนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย


“แกทำให้ข้าต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตัวเอง ข้าก็เลยทำมั่งไง ก็เจ๊ากันดีนี่” มู่เฉินยิ้มอ่อน


ลูกตาของหมัวเฮอโยวแทบถลนออกมาด้วยความโกรธ ท่าทางน่ากลัวราวกับว่าเขาจะขบหัวมู่เฉินให้ขาดในครั้งเดียว


“ดูเหมือนว่าแกจะไม่พอใจนะ” พอเห็นท่าทางนั่น มู่เฉินก็หรี่ตาลงพลางชี้นิ้วไปที่หมัวเฮอโยวพร้อมกับจิตสังหารในดวงตา


“แล้วไง? แกกล้าฆ่าข้าเหรอ?!” แววตาของหมัวเฮอโยวเย็นเยือกลง ที่นี่คือเผ่าหมัวเฮอ ถ้ามู่เฉินกล้าที่จะฆ่าเขาก็จะตกที่นั่งลำบาก ดังนั้นเขาไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะกล้าทำอะไร


“ฆ่ามันซะ”


ทว่าเมื่อหมัวเฮอโยวพูดจบ เสียงเฉยเมยของมู่เฉินก็ดังขึ้น


ดวงตาของร่างมหาเทพนิรันดร์เลื่อนไปมองที่หมัวเฮอโยว


ยามนี้หนังหัวของหมัวเฮอโยวชาหนึบไปหมด สายตาจ้องมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เห็นได้ชัดเขาไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะกล้าฆ่าเขาจริงๆ แต่จากน้ำเสียงแน่วแน่นั่น เขารู้ว่านี่ไม่ใช่มุกตลก


“แกบ้าไปแล้ว!”


หมัวเฮอโยวกัดฟันไม่กล้าอยู่ต่อไป “ข้าถอนตัว!”


เมื่อร่างสีทองเข้มถูกจัดการไปแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าสามารถถอนตัวออกไปได้


มิติรอบร่างหมัวเฮอโยวบิดเบี้ยวก่อนที่เขาจะถูกส่งออกไปจากเจดีย์


แต่ก่อนที่เขาจะหายตัวไปก็เขม่นมองมู่เฉินอย่างเย็นชา “มู่เฉินอย่าเพิ่งดีใจไป แม้ว่าแกจะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่แกก็ต้องเอาออกจากเผ่าหมัวเฮอให้ได้ก่อน!”


เมื่อพูดจบเขาก็หายวับไปจากเจดีย์วั้นกู่


มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอโยวอย่างไม่แยแสพลางหัวเราะเยาะ “ทีตอนวิ่งหนีนี่เร็วจริงๆ”


ถ้าหมัวเฮอโยวยังคิดอยู่ที่นี่ต่อไป เขาก็ตั้งใจจะฆ่าอีกฝ่ายจริงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะปล่อยให้หมัวเฮอโยว ออกไป แต่เผ่าหมัวเฮอก็ไม่ปล่อยเขาไปหรอก เนื่องจากเขาได้รับการสืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมเขาต้องให้หน้าพวกมันด้วยล่ะ?


ดวงตาของมู่เฉินกะพริบ เขาก้มมองเยี่ยฉิงที่นอนอยู่บนพื้นไกลออกไป เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน เยี่ยฉิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่คิดว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะตกอยู่ในมือเจ้า”


เยี่ยฉิงถอนหายใจหลับตาลง “แต่ก็ดีกว่ามอบให้กับไอ้หน้าด้านอย่างหมัวเฮอโยว เจ้าระวังตัวด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาร่างมหาเทพนิรันดร์ไป”


พูดเสร็จก็เงยหน้าไปบนฟ้า “ข้าถอนตัว”


มู่เฉินพยักหน้าตอบว่า “ขอบคุณสำหรับคำเตือน ข้าจะระวังตัว”


เยี่ยฉิงยิ้มไม่พูดต่อ ร่างถูกปกคลุมไปด้วยความผันผวนมิติหายตัวไป


หลังจากเยี่ยฉิงออกไป มู่เฉินก็อยู่ในเจดีย์วั้นกู่เพียงผู้เดียว


เมื่อทั้งหมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงออกไป กระจกทั้งสองบานก็แตกสลาย การมองเห็นภายในเจดีย์หายไป


กระจกหายไป ทว่าทุกคนนอกเจดีย์กลับเงียบกริบ พวกเขารู้สึกได้ถึงความกดดันในบรรยากาศ


ซึ่งมาจากหมัวเฮอเทียนที่หน้าตานิ่งเฉยบนแท่นสูง


หมัวเฮอเทียนมองไปที่หมัวเฮอโยวที่ปรากฏตัวข้างๆ อย่างเย็นชา เขาไม่พูดแค่ไพล่มือไว้ด้านหลังและหลับตาลง


ความเงียบทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ นี่ช่างคล้ายกับความสงบก่อนพายุจะมา


ทุกคนรู้ดีว่าหมัวเฮอเทียนไม่มีทางปล่อยให้มู่เฉินนำร่างมหาเทพนิรันดร์ออกไปจากเผ่าหมัวเฮอแน่นอน แม้เขาจะเป็นเจ้าของที่ร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกก็ตาม!


เมื่อมองไปที่หมัวเฮอเทียนที่หลับตา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนรุนแรงในสายตาของอีกฝ่าย


ทว่านางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก สายตากลับมองไปที่เจดีย์ด้วยความเฉียบคมและความเด็ดเดี่ยวในดวงตา


ถ้าหมัวเฮอเทียนกล้าทำอะไรกับลูกชายนางละก็ งานนี้นางไม่ถอยแน่ แม้ว่าจะหมายถึงสงครามเผ่าก็ตาม!


ส่วนฝูถูเฉวียนก็ขมวดคิ้วแน่นขณะมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งพลางถอนหายใจเบาๆ ความคิดของนางทำไมเขาจะไม่รู้ นางไม่ปล่อยให้เรื่องสงบลงแน่นอนถ้าหมัวเฮอเทียนกล้าแตะต้องบุตรชายนาง


ถึงเวลานั้นนี่จะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป เหตุการณ์นี้จะเขย่าไปทั่วมหาพันภพ


แต่ตอนนี้นางเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่เป็นตัวแทนของเผ่าฝูถู ดังนั้นหากหมัวเฮอเทียนไม่ยอมไว้หน้าให้นาง นั่นก็หมายความว่าเขากำลังดูหมิ่นเผ่าฝูถู แม้ว่าเผ่าฝูถูจะด้อยกว่า แต่พวกเขาก็จะเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี หากอีกฝ่ายทำเกินไป


นอกจากนี้ฝูถูเฉวียนยังพอใจกับศักยภาพของมู่เฉิน ขณะนี้เขาเห็นควรแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้สมควรดำรงตำแหน่งประมุขเผ่าฝูถูสืบต่อไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่เขาจะถอยหลัง…


ภายใต้ความกดดันของทั้งสองเผ่าโบราณ ทุกคนรู้สึกว่าหนังหัวลุกชันไปหมด พวกเขารู้ว่าช่วงเวลาที่มู่เฉินก้าวออกจากเจดีย์วั้นกู่ การต่อสู้สะเทือนปฐพีก็จะระเบิดออก…


นี่จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในมหาพันภพเลยทีเดียว


ขณะที่บรรยากาศภายนอกตึงเครียดลอยอวล


ในเจดีย์ มู่เฉินก็มองเห็นแสงรวมตัวกันเป็นร่างพร่ามัว นี่คือจิตวิญญาณของเจดีย์วั้นกู่


“ยินดีด้วย ตอนนี้เจ้าคือเจ้าของคนใหม่ร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่มองไปที่มู่เฉินและยิ้ม


ดวงตาของมู่เฉินกะพริบก่อนที่จะโค้งคำนับ ร่างเขาสั่นสะท้านซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นในใจ


เขาทำงานหนักวันนี้มานานแสนนาน


จากนั้นคำพูดประโยคถัดมาของจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็ทำให้เขาสนใจ


“นอกจากนี้เทพจักรพรรดินิรันดร์ยังเตรียมของขวัญไว้ให้กับเจ้าด้วย…”

 

 

 


บทที่ 1500 กายานิรันดร์

 

“ของขวัญ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ดวงตาของมู่เฉินก็กะพริบด้วยความตื่นเต้น


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่คลี่ยิ้มพลางโบกมือมิติโดยรอบก็เปลี่ยนไป ที่นี่ราวกับท้องฟ้าสีทองที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวโบราณ ดวงดาวพริบพราวแสงนับไม่ถ้วน


หมอกสีทองเข้มลอยอวลไปทั้ว ทั้งลึกลับและอัศจรรย์ใจ ให้ความรู้สึกอมตะ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากแก่นอมตะ


“แม้ว่าเจ้าจะเป็นเจ้าของคนใหม่ของร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ยังไม่สามารถดึงพลังออกมาอย่างเต็มที่” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่บอกกล่าว


มู่เฉินพยักหน้ากับคำพูดเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะสามารถสั่งการร่างมหาเทพนิรันดร์ได้เมื่อก่อนหน้า แต่เขาก็เหมือนคนนอกที่ยังไม่ได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์


แต่ก่อนเขาสามารถรวมเป็นหนึ่งกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ ซึ่งจะปลดปล่อยพลังที่เหนือล้ำยิ่งขึ้น


ตามการคาดเดา ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตอนนี้สามารถเทียบได้กับจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้นปลายสุด แต่ชัดว่าพลังระดับนี้ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดของมัน


เขาต้องการควบคุมร่างมหาเทพนิรันดร์ได้เช่นเดียวกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขารู้สึกว่ามีกำแพงกั้นอยู่


“นั่นเป็นเพราะตอนนี้กายของเจ้ายังเป็นแค่กายเนื้อธรรมดา ดังนั้นจึงไม่สามารถเชื่อมโยงกับร่างมหาเทพนิรันดร์ และทำให้ไม่สามารถปลดปล่อยพลังออกมา”


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ยิ้มขณะพูดต่อ “เจ้ายังขาดขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไป”


“ขั้นไหน?” มู่เฉินถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม


“การชำระร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์ เพื่อให้เกิดการหลอมรวมที่สมบูรณ์แบบกับร่างมหาเทพนิรันดร์” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ตอบกลับ


หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน เขาเคยฝึกฝนวิชาพลังกาย ดังนั้นจึงรู้ว่าการได้รับกายานิรันดร์ยากเพียงใด ซึ่งเป็นระดับที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดายังไม่สามารถฝึกฝนได้สำเร็จ


ด้วยกายานิรันดร์ ในอนาคตแม้ว่าจะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง มู่เฉินก็สามารถรับกระบวนท่าไว้ได้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว


“ผู้อาวุโส ข้าจะชำระร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์ได้อย่างไร?” มู่เฉินถามด้วยดวงตาที่ลุกโชน


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ยิ้ม “ง่ายมาก โดยธรรมชาติก็ต้องใช้แก่นอมตะที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ด้วยแก่นอมตะจำนวนมากที่นี่ ส่วนหนึ่งก็มีไว้สำหรับเจ้าของใหม่เพื่อชำระพลังกายของเขานั่นเอง”


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เฉินก็เต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่จะพูดแบบสบายๆ แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งนี้ยากแค่ไหน แก่นอมตะเป็นสิ่งที่สามารถหาได้จากร่างเทพสุริยะนิรันดร์เท่านั้น การพยายามรวบรวมจำนวนมากจำเป็นต้องมีการสกัดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์นับไม่ถ้วน หากไม่ใช่เจดีย์วั้นกู่เก็บรวบรวมไว้ ความพยายามชำระร่างกายของเขาให้เป็นกายานิรันดร์ก็เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น


“แต่การชำระกายานิรันดร์เป็นการสร้างขึ้นใหม่ในทางปฏิบัติ ความเจ็บปวดไม่อาจพรรณนาได้ หากเจ้าไม่สามารถทนรับได้ ก็ต้องใช้เวลานานในอนาคตเพื่อบรรลุเป้าหมาย” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ย้ำเตือน


มู่เฉินถามด้วยสายตาแหลมคมขึ้น “ต้องใช้เวลาในการชำระนานแค่ไหน?”


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ยิ้มพลางยื่นมือออกไป “โดยประมาณน่าจะต้องใช้เวลาห้าปี”


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นเข้าปอด นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องอยู่ในเจดีย์วั้นกู่ห้าปีเต็มหรือ? ถ้าอยู่ที่อื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ที่นี่คือเผ่าหมัวเฮอ ถ้าเขาอยู่ที่นี่นานเกินไป เขากลัวว่าเผ่าหมัวเฮอจะทำอะไรบางอย่าง


ดังนั้นคิ้วมู่เฉินจึงขมวดเข้าหากันแน่น


“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา เจ้าไม่สังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างภายในกับภายนอกหรือ?” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม


เมื่อถูกเตือนความจำ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปพลางมองไปที่ท้องฟ้าทางช้างเผือกด้วยความตกใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เวลาที่นี่ต่างออกไปหรือ?”


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่พยักหน้าตอบว่า “ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ชะลอเวลาในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นการอยู่ที่นี่ห้าปีเท่ากับครึ่งปีภายนอกเท่านั้น”


เมื่อได้ยินมู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจเนื่องจากเวลานั้นเขายอมรับได้ ทว่าเขาก็ยังตกใจเกี่ยวกับวิธีนี้ สมกับเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาพันภพในสมัยโบราณจริงๆ


“ถ้าอย่างนั้นได้โปรดช่วยข้าสร้างกายานิรันดร์ด้วย” มู่เฉินประสานมือด้วยมารยาท


นี่เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับเขา เนื่องจากกายานิรันดร์เป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ด้วยพลังกายที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ เขาจะสามารถก้าวขึ้นไปในอันดับต้นๆ ในแง่ของความทนทึก


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่รับการคารวะจากมู่เฉินจากนั้นก็โบกมือให้ รัศมีสีม่วงทองไร้ขอบเขตกวาดไป ก่อตัวเป็นหม้อกลั่นขนาดใหญ่


ฟู่


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่อ้าปากพ่นเปลวไฟครอบคลุมหม้อเอาไว้ อุณหภูมิทำให้มิติบิดเบี้ยวไปเลย


“ลงหม้อ” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่กล่าวสั้นๆ


เมื่อมองไปที่หม้อกลั่นแดงจัด คิ้วของมู่เฉินก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่เขายังรู้สึกเจ็บแปลบบนผิวกายจากอุณหภูมิที่น่ากลัว เขานึกได้เลยว่าจะต้องทนกับความเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อเข้าไป


ทว่ามู่เฉินไม่ใช่คนอ่อนแอ ดังนั้นหลังจากตั้งสติสักครู่เขาก็ไม่ลังเลกระโจนเข้าไปในหม้อทันที


ชี่ ชี่!


ทันทีที่เข้าไปเสื้อผ้าและเส้นผมก็ไหม้เป็นเถ้าถ่าน ร่างเขาเปลือยเปล่าและเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง มีร่องรอยการละลายกระจายออกไป


ความเจ็บปวดที่ไม่อาจจินตนาการได้ถาโถมเข้ามา


ร่างกายของมู่เฉินสั่นสะท้านจากความเจ็บปวด แต่เขาก็ปกป้องสติเอาไว้มั่น เขารู้ดีว่าถ้าจิตใต้สำนึกถูกเผาผลาญไปด้วยการชำระพลังกายก็จะล้มเหลว


ตัวเขาเดินบนเส้นทางความเป็นความตายนับตั้งแต่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยหลิงจนประสบความสำเร็จในวันนี้… และตอนนี้ความฝันของเขาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ดังนั้นเขาจะต้องยืนหยัดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม


ความมุ่งมั่นวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ปิดตา ปล่อยให้อุณหภูมิสูงห่อหุ้มร่างกายเอาไว้


เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เห็นภาพนี้ก็พยักหน้า ในเมื่อจอมยุทธ์คนนี้ถูกเลือกโดยร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ต้องเป็นคนที่มีปณิธานแข็งแกร่ง


“นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หวังว่าเจ้าจะผ่านพ้นไปได้”


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่พึมพำ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเส้นใยอมตะพุ่งลงไปในหม้อกลั่นหลอมรวมเข้ากับร่างของมู่เฉินเมื่อละลาย


 


บรรยากาศภายนอกเจดีย์วั้นกู่อึมครึม


ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอมองไปที่เจดีย์พลางกระซิบว่า “ทำไมไอ้เด็กนั่นยังไม่ออกมา? เขาตั้งใจจะซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์ตลอดรึไง?”


ท่าทางของหมัวเฮอเทียนไม่แยแสราวกับว่ากำลังพักผ่อน มีเพียงริมฝีปากที่ขยับพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น “เราจะรอ ไม่ว่ามันจะซ่อนตัวนานแค่ไหน”


เหล่าผู้อาวุโสต่างพยักหน้าเข้าใจ เผ่าหมัวเฮอของพวกเขาพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นเวลาหลายหมื่นปี ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยให้มู่เฉินเอาออกไป


“ข้าจะดูซิว่ามันจะซ่อนตัวได้นานแค่ไหน… เมื่อไรที่มันปรากฏตัวก็ต้องส่งมอบร่างมหาเทพนิรันดร์มาให้แต่โดยดี!”


ที่ด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนและชิงเหยี่ยนจิ้งไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เฝ้ารอให้เวลาผ่านไป ภายใต้การเผชิญหน้าของสองจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เหล่าผู้ชมก็ไม่ได้ไปไหน ทว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่กลับกำลังกระจายไปทั่วมหาพันภพด้วยความเร็วเหนือแสง


การประจันหน้าของสองเผ่าโบราณอาจนำมาสู่สงคราม ดังนั้นทุกคนจึงมุ่งความสนใจมาที่ทวีปหมัวเฮอแห่งนี้


 


เวลาไหลผ่านไปสามเดือนในพริบตา


ในช่วงเวลาสามเดือน จำนวนผู้คนที่รวมตัวกันในเมืองวั้นกู่กลับเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง พร้อมกับข่าวแพร่กระจายออกไป


การเผชิญหน้าของสองเผ่าโบราณช่างน่าตกใจนัก ครั้งล่าสุดที่เกิดศึกใหญ่คือเผ่าหมัวเฮอกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว…


แต่ตอนนั้นหมัวเฮอเทียนแพ้เซียวเหยียนจนต้องล้มเลิกความทะเยอทะยาน แต่คราวนี้ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดจะสามารถยับยั้งจอมยุทธ์ที่ครั้งหนึ่งเคยท้าทายอำนาจของเทพจักรพรรดิอัคคีได้


แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นการต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้โลกสั่นคลอนแน่


 


ขณะที่บรรยากาศนอกเจดีย์ตึงเครียด


ในเจดีย์ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีม่วงทองกลับบิดเบี้ยวภายใต้อุณหภูมิสูง


นับเวลาของที่นี่ก็ผ่านไปประมาณสามปีแล้ว


ในสามปีนี้ไฟในหม้อกลั่นไม่เคยหยุดโหมกระหน่ำสักครั้ง


เปลวไฟสีม่วงทองห่อหุ้มร่างเงาในหม้อกลั่นไว้ แต่เมื่อมองดีๆ จะพบว่านั่นเป็นร่างที่ไม่มีเนื้อหนัง เหลือเพียงโครงกระดูกนั่งเงียบๆ อยู่ในนั้น


ภายใต้ชำระเข้มข้นโครงกระดูกนี้ได้กลายเป็นสีม่วงทองที่เอิบอาบไปด้วยรัศมีนิรันดร์


ด้านนอกหม้อกลั่นจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ลืมตาขึ้น ถ้าเขาไม่รู้สึกถึงเส้นสายชีวิตที่ซ่อนอยู่ภายในโครงกระดูกนั้น เขาคงคิดว่ามู่เฉินจบชีวิตลงในเปลวไฟแล้ว


“ไม่เลว…”


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ชมเชย ความมุ่งมั่นของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขาในช่วงสามปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นคนอื่นพวกเขาคงจะหมดสติไปจากความเจ็บปวดแล้ว


“ต่อไปจะเป็นกระบวนการสร้างเนื้อหนังใหม่เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นนิรันดร์”

 

 

 


บทที่ 1501 ห้าปีแห่งสมาธิ...กายานิรันดร์

 

บนท้องฟ้าทางช้างเผือก


หม้อกลั่นปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ปล่อยอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวออกมา


โครงกระดูกสีทองตั้งอยู่ภายใน ดูราวกับว่าหลอมมาจากโลหะศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถทำลายได้ ปลดปล่อยรัศมีอมตะหนาแน่น


มีอักขระโบราณอยู่บนโครงกระดูก ให้ความรู้สึกว่าโครงกระดูกนี้ถูกสร้างขึ้นในยุคแรกของโลก


แต่ถึงแม้จะเป็นโครงกระดูก แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่เลือนลางภายใน


ด้านนอกหม้อกลั่นจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็พยักหน้าเบาๆ ท่าทางเคร่งขรึมลง อึดใจเขาก็สะบัดแขนเสื้อหมอกสีม่วงทองรวมตัวกันจากสภาพแวดล้อม หมอกนี้ก็คือแก่นอมตะที่บริสุทธิ์มาก


เมื่อหมอกพุ่งลงไปในหม้อกลั่นก็ห่อหุ้มโครงกระดูก อวัยวะภายในเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย…


กระบวนการสร้างขึ้นใหม่เชื่องช้ามาก ผ่านไปหลายวันก็มีเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้นที่เกิดขึ้น


ทว่าเลือดเนื้อที่สร้างขึ้นใหม่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เนื้อเยื่อบรรจุไปด้วยไอสีม่วงทองซึ่งทำให้ดูเหมือนลึกลับซับซ้อนนัก


เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เห็นฉากนี้ก็พยักหน้าเบาๆ ขั้นตอนต่อไปคือการหลอมรวมเนื้อหนังและเมื่อเสร็จสิ้น มู่เฉินจะได้รับกายานิรันดร์ที่แท้จริง


แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นนิรันดร์แท้จริง แต่แสดงถึงการปรับแต่งร่างกายในระดับที่สูงขึ้น แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในมหาพันภพก็มีคนจำนวนไม่มากนักที่จะก้าวไปถึงขั้นตอนนี้ได้


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่หลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อรอร่างกายมู่เฉินที่จะฟื้นขึ้นมาใหม่


การรอคอยนี้กินเวลาไปอีกหนึ่งปีเต็ม


เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เปิดดวงตาขึ้นอีกครั้งกล้ามเนื้อครึ่งหนึ่งบนโครงกระดูกก็สร้างขึ้นใหม่เสร็จสมบูรณ์พร้อมกับผิวหนังเริ่มก่อตัว


นอกจากนั้นยังมีแรงกดดันเลือนรางกำจายออกมาจากร่างกายที่สร้างขึ้นใหม่ด้วย


จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่สามารถบอกได้ว่ากายานิรันดร์ของมู่เฉินมาถึงเก้าส่วนแล้ว จากนี้ก็ต้องรอสร้างผิวหนังให้เสร็จสิ้นสำหรับร่างกายอันทรงพลัง…


 


เวลาผ่านไปกว่าสี่เดือน


ขณะที่มู่เฉินอยู่ในเจดีย์วั้นกู่ ในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมาสิ่งที่เกิดขึ้นในเผ่าหมัวเฮอก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วมหาพันภพ


นั่นเป็นเพราะไม่มีใครคิดว่าแรงกดดันภายนอกเจดีย์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป มากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนยังรู้สึกหายใจไม่ออก


หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนแท่นโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ พร้อมกับจอมยุทธ์สามสิบคนยืนอยู่ข้างหลัง ทำให้เกิดความผันผวนยิ่งใหญ่ สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เนื่องจากทุกคนล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน!


จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามสิบคน!


นี่คือรากฐานของเผ่าหมัวเฮอที่สร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับขั้วอำนาจอื่นได้ ขั้วอำนาจธรรมดาสามัญจัดตั้งขึ้นได้ด้วยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งเดียว แต่เผ่าหมัวเฮอมีถึงสามสิบคน!


แน่นอนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามสิบคนไม่ได้น่าตกใจที่สุด แต่เป็นชายชราสองคนที่ถือไม้เท้าสีขาวและสีดำสองคนที่ยืนห่างจากหมัวเฮอเทียนครึ่งก้าว


ใบหน้าของพวกเขาเหี่ยวย่นตามวัย ดวงตาลึก ความกดดันที่เล็ดลอดออกมาทำให้แม้แต่แผ่นโลกยังส่งเสียงคราง


ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!


เมื่อรวมหมัวเฮอเทียนเข้าไปก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสามคน ทั้งหมดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามสิบคน นี่เป็นพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหมัวเฮอ ซึ่งพวกเขาได้เปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนครั้งนี้…


อีกด้านหนึ่งก็มีจอมยุทธ์ยี่สิบกว่าคน โดยที่สองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็คือชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียน ที่เยื้องไปด้านหลังเป็นเฉวียนกวาง มั่วถงและชิงเทียน รวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นๆ


เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่ชิงเหยี่ยนจิ้งและหมัวเฮอเทียนยืนประจันหน้ากันในบรรยากาศตึงเครียด อีกทั้งเผ่าหมัวเฮอก็ส่งคนข่มขู่อยู่ตลอด ทว่าคนอย่างชิงเหยี่ยนจิ้งก็ไม่ได้ขาดอะไร นางใช้อำนาจในฐานะผู้อาวุโสใหญ่เรียกระดมพลจอมยุทธ์เผ่าฝูถูมา


ทั้งสองเผ่ายืนเผชิญหน้ากันสร้างแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งทำให้ผืนฟ้าและผืนดินโยกคลอน


ณ เวลานี้เมืองวั้นกู่ไร้ผู้คนเนื่องจากทุกคนอดทนไม่ไหว เพียงแค่ความกดดันจากทั้งสองเผ่าอย่างเดียวก็ทำให้พวกเขาหายใจไม่ได้แล้ว


ดังนั้นขั้วอำนาจเหล่านี้จึงวิ่งออกไปตั้งหลักไกลๆ เพราะเกรงว่าอาจถูกลากเข้าไปในสงครามครั้งนี้ด้วย…


“เกือบครึ่งปีแล้ว…”


หมัวเฮอเทียนมองไปที่เจดีย์วั้นกู่พร้อมกับแสงน่ากลัวและเกรี้ยวกราด “มันซ่อนตัวทำอะไรอยู่ข้างในกันแน่?!”


ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินจะซ่อนตัวอยู่ในนั้นไม่เกินหนึ่งเดือน แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้ว่าจะเป็นเวลาครึ่งปีแล้วก็ตาม


“ใจเย็นๆ” ชายชราถือไม้เท้าสีดำกล่าวปลอบโยนก่อนที่จะพูดต่อ “เราได้ปิดทางหนีทั้งหมดแล้ว ไอ้เด็กเหลือขอนี่ไม่สามารถวิ่งหนีออกไปได้ หากมันคิดจะอยู่ข้างในตลอดชีวิต เผ่าหมัวเฮอก็จะรอคอยอยู่เป็นเพื่อนมัน”


“ใช่ เผ่าหมัวเฮอพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาหลายหมื่นปี เราจะปล่อยให้ร่างมหาเทพปฐมกาลนี้ตกอยู่ในมือของคนนอกไม่ได้เด็ดขาด!” ชายชราถือไม้เท้าสีขาวกล่าวเสียงเย็นชา


หมัวเฮอเทียนพยักหน้าปรายตามองไปที่เผ่าฝูถูกล่าวเสียงเย็นเยียบว่า “ดูเหมือนว่าเผ่าฝูถูยืนกรานที่จะเปิดสงครามกับเรา”


ดวงตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งสองเย็นเยือกลงก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องห่วง หากพวกมันไม่รู้จักกาลเทศะ ก็ให้พวกมันได้ลิ้มรสว่าทำไมเผ่าหมัวเฮอถึงแข็งแกร่งที่สุดในห้าเผ่าโบราณ!”


 


ฝั่งเผ่าฝูถู


“ผู้อาวุโสใหญ่แน่ใจหรือว่าเราจะเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอที่นี่? พลังของพวกเราอ่อนแอกว่าพวกเขาหลายส่วนนะ” เฉวียนกวางพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด ขณะมองไปที่การรวมตัวที่น่ากลัวของเผ่าหมัวเฮอ


“ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นอาณาเขตของเผ่าหมัวเฮอด้วย…” มั่วถงกล่าวเสริม


พวกเขาสองคนเคยมีความแค้นกับมู่เฉินในอดีต ดังนั้นจึงไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอเพื่อช่วยชายหนุ่ม


ชิงเหยี่ยนจิ้งมองไปที่ทั้งสองอย่างเย็นชาพลางตอบว่า “พวกเจ้ากลับไปได้เลยถ้าไม่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่”


เฉวียนกวางและมั่วถงชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะเงียบเสียงลง เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เป็นสมาชิกของเผ่าฝูถู ต่อให้พวกเขาต้องการไปแต่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่เต็มใจแน่นอน เพราะแม้จะแบ่งตระกูล แต่พวกเขาก็อยู่เผ่าเดียวกัน ดังนั้นจะรอดหรือตายก็ต้องไปด้วยกัน


“อย่าพูดไร้สาระ ตอนนี้มู่เฉินคือประมุขคนใหม่เผ่าฝูถู ดังนั้นเราต้องปกป้องเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” ฝูถูเฉวียนเค้นเสียงอย่างเย็นชา


เฉวียนกวางและมั่งถงเบ้ปาก พวกเขาหมายมั่นปั้นมือกับตำแหน่งประมุขมานานหลายปี แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกต่อต้านเล็กน้อยที่จู่ๆ ตำแหน่งนี้จะหล่นใส่มือมู่เฉิน


ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากมู่เฉินเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์ พวกเขาทราบถึงความสำคัญของร่างมหาเทพปฐมกาลดี หากมู่เฉินได้ครอบครองต่อจากนี้ก็ไม่ต้องกลัวแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง


ในแง่ของพลังมู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งประมุขจริงๆ


ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการที่ดีก็อาจทำให้ทั่วมหาพันภพสั่นสะเทือนได้…


“เรื่องนี้จัดการได้ยากเสียจริง…”


 


ฟู่ ฟู่!


เปลวไฟสีม่วงทองส่งเสียงดังฉ่าๆ หมอกไร้ขอบเขตเทลงในหม้อหม้อกลั่นอย่างไม่รู้จบ


รังไหมสีม่วงทองที่ก่อตัวขึ้นภายในหม้อกลั่นก็สั่นสะท้าน เปลือกตาของร่างเงาภายในกระตุกเบาๆ ก่อนจะเปิดขึ้น หลังจากปิดลงเป็นเวลาห้าปี


ชี่!


เมื่อเขาลืมตาขึ้นลำแสงสองสายก็พุ่งผ่านหม้อกลั่นออกไปไกลกว่าหลายแสนจั้งก่อนที่จะค่อยๆ สลายไป


เขาเปิดปากกลืนกินหมอกสีม่วงทองที่เหลือทั้งหมดเข้าสู่ร่างกาย


เมื่อหมอกค่อยๆ หายไป ร่างมนุษย์คนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากภายในหม้อกลั่น ผิวขาวของเขาเรียบรื่น เส้นขนบนร่างกายเอิบอาบไปด้วยแสงสีม่วงทองเบาบางพร้อมกับรัศมีนิรันดร์ไหลเวียนอยู่รอบตัว ทำให้เขาดูลึกลับอย่างยิ่ง


มู่เฉินก้มศีรษะลงมองก็อึ้งไปเมื่อเห็นร่างเนื้อใหม่ เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อนภายในร่างกาย เขาก็เงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำราม


ตู้ม ตู้ม!


ผืนฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวสั่นสะเทือนพร้อมกับเสียงคำราม


เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เห็นฉากนี้ รอยยิ้มพอใจก็ผุดขึ้นบนริมฝีปาก


ห้าปีแห่งสมาธิ ในที่สุดมู่เฉินก็บรรลุ…กายานิรันดร์


 


ที่ด้านนอกเจดีย์


ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนต่างเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจดีย์ พวกเขาได้ยินเสียงคำรามแว่วมาจากในเจดีย์


“ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว!”


ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป บรรยากาศตึงเครียดระอุขึ้น


ที่นอกเมืองผู้คนที่เฝ้ามองก็สูดอากาศเย็นอัดปอด การเผชิญหน้าที่หยุดชะงักมาครึ่งปีในที่สุดก็จะปะทุขึ้นในวันนี้แล้ว…

 

 

 


บทที่ 1502 ปรากฏตัว

 

เสียงคำรามประหนึ่งฟ้าคำรนสะท้อนออกมาจากเจดีย์วั้นกู่


เสียงคำรามกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนต้องหันมาสนใจ ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก เนื่องจากสัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างเผ่าฝูถูและหมัวเฮอตึงเครียดเพิ่มขึ้นพร้อมกับไอสังหารน่าสะพรึงกลัวไหลพล่านเข้ามา…


“ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะไม่ซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว…”


“ก็ช่วยไม่ได้นี่ เขาซ่อนตัวมาครึ่งปีแล้ว คงไม่สามารถอยู่ข้างในตลอดไปหรอกมั้ง? เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของเผ่าหมัวเฮอเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ”


“ท้ายที่สุดเขาอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าการกระทำของตนจะสร้างความปั่นป่วนให้กับภายนอกมากแค่ไหน เผ่าฝูถูอาจแข็งแกร่ง แต่นี่คืออาณาเขตของเผ่าหมัวเฮอ หากปะทะกันเผ่าฝูถูคงต้องเสียเปรียบ ถึงเวลานั้นร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะถูกเผ่าหมัวเฮอแย่งกลับคืนไป…”


“…”


เสียงกระซิบดังก้องจากนอกเมือง แต่ทุกคนฟันธงไว้แล้วว่าการหายตัวไปของมู่เฉินก็เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับเผ่าหมัวเฮอ


แต่เผ่าหมัวเฮอและเผ่าฝูถูไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น สายตาของพวกเขาจดจ่อไปที่เจดีย์วั้นกู่ด้วยอารมณ์แตกต่างกะพริบในดวงตา


ฮึ่ม ฮึ่ม!


ภายใต้ความสนใจของพวกเขา เจดีย์วั้นกู่ก็สั่นสะเทือนพร้อมกับวงรัศมีล้ำลึกกำจายออกมา หลังจากนั้นร่างแสงร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


หมัวเฮอเทียนเงยหน้าขึ้นโดยไม่แสดงอารมณ์ใด เขามองไปที่ยอดเจดีย์ ก็เห็นร่างสูงโปร่งค่อยๆ ปรากฏตัวต่อสายตาทุกคน


ร่างนั้นเพรียวบาง เสื้อผ้าพลิ้วไหวเบาๆ ร่างกายเอิบอาบด้วยรัศมีสีทองพร้อมกับความแวววาวประหนึ่งหยกบนใบหน้า แสงสีทองไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กายอบอวลด้วยรัศมีลึกลับ


นี่ก็คือมู่เฉินที่ปลีกวิเวกอยู่ในเจดีย์วั้นกู่มาห้าปี


ภายใต้การจ้องมองเหล่านั้น มู่เฉินก็ยังสงบนิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันตั้งแต่ก้าวขาออกจากเจดีย์วั้นกู่เลยทีเดียว


การต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เขาอาจเกิดความกังวลหากมีพลังก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์ เพราะถ้าไม่เข้มแข็งพอก็คงไม่สามารถรักษาความสงบในใจได้


แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในห้าปีพลังของเขาทบทวีคูณอย่างไม่อาจบรรยายได้


“ช่างยิ่งใหญ่ตระการจริง แม้ว่าข้าจะโชคดีได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ข้าก็รู้สึกเกรงใจจังที่ได้รับการต้อนรับจากเผ่าหมัวเฮอแบบนี้” มู่เฉินกวาดสายตามองไปยังการรวมตัวที่น่ากลัว เขายิ้มขณะมองไปที่หมัวเฮอเทียนและผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหลัง


ที่นอกเมืองทุกคนอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มู่เฉินบ้าบิ่นแท้จริง ทุกคนบอกได้ว่าเผ่าหมัวเฮอมีเจตนาร้ายและคำพูดของเขาก็เป็นการตบหน้าเผ่าหมัวเฮอฉาดใหญ่


“ไอ้หนู ข้ากลัวว่าแกจะไม่มีโชคแบบนั้น!” ไม่รอให้หมัวเฮอเทียนได้พูดอะไร หมัวเฮอโยวก็เค้นเสียงหยันออกมาก่อน


เขาสูญเสียโชคครั้งใหญ่เมื่อพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน ทำให้เผ่าหมัวเฮอต้องสูญเสียร่างมหาเทพนิรันดร์ ชีวิตครึ่งปีในเผ่าของเขาก็ไม่ดีเลย ถ้าไม่ใช่เพราะหมัวเฮอเทียนเป็นพี่ชายของเขา เขาคงได้รับการปฏิบัติราวกับคนบาปแล้ว


ดังนั้นเมื่อเขาเห็นมู่เฉินในตอนนี้เขาจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้


แต่ก่อนที่เขาจะพ่นคำพูดอะไรออกมาอีก หมัวเฮอเทียนก็หยุดเอาไว้แล้วมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่น “สหายน้อย พรสวรรค์ของเจ้าโดดเด่นแท้จริงที่ได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์ น่าตกใจจริงๆ”


มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียนตอบว่า “ท่านประมุขกำลังชมข้าเกินไป ถ้าหมัวเฮอโยวหัดตรองอีกสักนิดก็จะแยกความแตกต่างว่าของจริงของปลอมได้และข้าคงไม่มีโอกาสได้แตะร่างมหาเทพนิรันดร์”


เปลือกตาของหมัวเฮอโยวกระตุก มีเส้นเลือดเต้นตุบตับบนหน้าผาก ตอนนี้เขาอยากฆ่ามู่เฉินสักพันครั้ง


หมัวเฮอเทียนพยักหน้ากล่าวว่า “แต่สหายน้อยมู่เฉินก็คงรู้ดีว่าเผ่าหมัวเฮอของข้าพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มานานนับหมื่นปี เราใช้เวลาและกำลังไปมาก ดังนั้นการที่เจ้าจะนำออกไปง่ายเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมนัก”


ดวงตาของมู่เฉินหลุบลง “ท่านประมุขหมัวเฮอพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกต้องนะ ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นทักษะที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ฝากไว้ที่นี่เพื่อค้นหาผู้ครอบครองที่เหมาะสม นอกจากนี้เขายังเผยแพร่ทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะและร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่สมบูรณ์แบบให้กับเผ่าหมัวเฮอตรงๆ ซึ่งก็หมายความว่าเผ่าหมัวเฮอมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่นๆ”


“และนั่นก็ถือได้ว่าเป็นค่าตอบแทนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์มอบให้กับเผ่าเจ้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครจากเผ่าหมัวเฮอได้รับการยอมรับของร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นจะมาตำหนิผู้อื่นในเรื่องนี้ไม่ได้”


น้ำเสียงของมู่เฉินไม่ได้ร้อนรนหรือวิตกกังวล ทั้งยังปราศจากความกลัวซึ่งทำให้หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย เผ่าหมัวเฮอพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ซ้ำพวกเขายังมีข้อได้เปรียบสูงกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นในแง่ของโอกาสพวกเขามีสิทธ์ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มากที่สุด


เมื่อพวกเขาล้มเหลว ก็แสดงว่าปัญหาอยู่ที่ตัวพวกเขาเอง


หมัวเฮอเทียนหรี่ตาลง รอยยิ้มเป็นมิตรบนใบหน้าหดหาย “ข้าไม่คิดจะคุยให้มากมาย แต่ข้ามีข้อเสนอ ข้าหวังว่าเจ้าจะมอบร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้กับเผ่าหมัวเฮอเป็นเวลาร้อยปี หลังจากนั้นข้าสาบานว่าเราจะไม่รั้งเจ้าต่อไปอีกอย่างแน่นอน ว่าไงละ?”


เมื่อเสียงของหมัวเฮอเทียนดังขึ้น รอยยิ้มเยาะเย้ยก็โค้งขึ้นบนริมฝีปากของมู่เฉิน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะพูดได้ไร้ยางอายแบบนี้


ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ในเผ่าหมัวเฮอร้อยปี? ตราบใดที่ไม่ใช่เด็กสามขวบก็ไม่มีใครเชื่อหรอก


“ดูเหมือนว่าท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอผู้สูงส่งจะไม่ต้องการรักษาหน้าอีกต่อไปแล้วสินะ?” น้ำเสียงเย็นเยือกกระจายออก ชิงเหยี่ยนจิ้งอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันด้วยคำพูด


มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ ตอบว่า “ท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอหยุดล้อเล่นเถอะ ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับว่าข้าเป็นเจ้าของแล้ว ก็แปลว่าโชคชะตาของมันกับเผ่าเจ้าได้สิ้นสุดลง ข้าสามารถนำมันไปได้เป็นเรื่องปกติ”


เมื่อเสียงของมู่เฉินดังขึ้นทั้งเมืองก็เงียบลง


หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแสพูดว่า “ดูท่าเจ้าจะไม่เต็มใจที่จะเติมเต็มความปรารถนาเล็กๆ ให้เผ่าของข้าใช่ไหม?”


ตู้ม!


เมื่อพูดจบรัศมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอันน่าอัศจรรย์ก็กวาดออกครอบไปทางมู่เฉิน


ขณะที่ความกดดันแผ่กระจายออกไป ทั้งบรรยากาศและคลื่นหลิงก็แข็งตัวในพื้นที่โดยรอบ


แรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งซัดใส่ร่างกายของมู่เฉิน


เผชิญหน้ากับแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง สายตามู่เฉินก็หดเกร็ง แต่น่าแปลกที่ไม่มีร่องรอยความกลัวเลย ตรงกันข้ามกลับถูกแทนที่ด้วยการเยาะเย้ย


ถ้าเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่เขาอาจขยับเขยื้อนไม่ได้เมื่อเผชิญกับแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่หลังจากห้าปีแห่งสมาธิ เขาได้ปรับแต่งร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์แล้ว


ขณะนี้ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาก็เทียบไม่ได้


ฮึ่ม!


ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันเช่นนี้ มู่เฉินก็กำหมัดเปล่งรัศมีสีทองออกมา เลือดเนื้อทั้งตัวกระตุก ทำให้ร่างกายดูเหมือนสร้างมาจากทองคำ


เวลาเดียวกันพลังงานที่น่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน พริบตาการยับยั้งในมิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเศษแก้ว…


เสี้ยววินาทีความกดดันที่น่ากลัวก็หายไป


“อะไรน่ะ?!”


ผู้คนนับไม่ถ้วนที่อยู่นอกเมืองต่างร้องอุทาน ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจำนวนมากก็ยังตกตะลึง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวภายใต้การครอบงำแบบนี้ได้ แต่มู่เฉินกลับแก้ไขได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ?!


เมื่อผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง ส่วนใบหน้าหมัวเฮอโยวเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ


มีเพียงหมัวเฮอเทียนและชายชราสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของพวกเขาดิ่งลงทันที จ้องเขม็งไปที่ร่างของมู่เฉิน


ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนที่กำลังจะเคลื่อนไหวก็อึ้งไป ขณะมองไปที่มู่เฉินก่อนจะสบตากันพลางสูดลมหายใจเย็นลึกสุดปอด


เสียงสั่นเครือดังออกมาจากปากของพวกเขาทำให้เกิดความตกตะลึงไปทั่ว


“นั่นคือ… กายาเซิ่ง?!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)