หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1479-1488
บทที่ 1479 เมืองวั้นกู่
ทวีปหมัวเฮอเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ
ซึ่งมีดินแดนกว้างใหญ่และทรัพยากรมากมาย ชื่อของทวีปนี้ก็เลื่องลือไปทั่วหล้าด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะการดำรงอยู่ของเผ่าหมัวเฮอ
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ เผ่าหมัวเฮอยืนยงมาเป็นเวลาช้านาน แม้แต่ในสมัยโบราณเผ่าหมัวเฮอก็เป็นขั้วอำนาจทรงพลังและด้วยการสะสมในตอนนี้ก็สามารถติดอันดับต้นๆ ในมหาพันโลก …
ย้อนกลับไปเมื่อแคว้นหวู่จิ้งฮั่วกำลังขยายตัวในมหาพันภพ หมัวเฮอเทียนก็พยายามที่จะกลืนกินแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเมื่อเขาขึ้นเป็นประมุข เพื่อเป็นการข่มผู้ที่ไม่ยอมเขาในเผ่า
ทว่าในเวลานั้นแม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็คงไม่คิดว่าเทพจักรพรรดิอัคคีที่มาจากพิภพเขตล่างจะน่าเกรงขามยิ่งนัก ในท้ายที่สุดก็ทำลายความทะเยอทะยานของหมัวเฮอเทียนจนสิ้นซาก ไม่เพียงแต่เขาจะล้มเหลวในการกลืนกินแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เขายังกลับมาพร้อมกับรอยด่างบนชื่อเสียงที่ทำให้สถานะและชื่อเสียงของแคว้นหวูจิ้งฮั่วมั่นคงขึ้น…
แม้ว่าหมัวเฮอเทียนจะเคยพ่ายแพ้ต่อเทพจักรพรรดิอัคคี แต่เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีกลายเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ความพ่ายแพ้ก็กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่ง แม้ว่าหมัวเฮอเทียนจะไม่ชอบในสิ่งนี้ แต่สำหรับทุกคนในมหาพันภพก็จะคิดเช่นนี้…
ท้ายที่สุดแล้วการที่สามารถต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีจนถึงระดับนั้นได้ หมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้เช่นกัน
ดังนั้นชื่อเสียงของเผ่าหมัวเฮอจึงดังกึกก้องเพิ่มขึ้นและอยู่ตำแหน่งสูงในบรรดาห้าเผ่าโบราณ ไม่ว่าจะเป็นรากฐานหรือจอมยุทธ์ พวกเขาสามารถดูแคลนเผ่าโบราณอีกสี่กลุ่มได้
ทวีปหมัวเฮอ เมืองวั้นกู่
เมืองนี้ไม่ได้เป็นเมืองหลวงของทวีปหมัวเฮอ ถึงกระนั้นชื่อเสียงก็ยังสูงกว่าเผ่าหมัวเฮอ เพราะมีข่าวลือว่าสร้างขึ้นโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์และเป็นสถานที่จัดงานชุมนุมนิรันดร์ในทุกครั้ง
บนยอดเขาใกล้จากเมืองวั้นกู่ มู่เฉินมองไปที่เมืองที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายโบราณ มีริ้วแสงนับไม่ถ้วนพุ่งพาดผ่านขอบฟ้า ช่างคึกคักยิ่งกว่างานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถูเสียอีก
แต่ก็ไม่แปลกเพราะงานชุมนุมสายเลือดและงานชุมนุมนิรันดร์ไม่ใช่งานประเภทเดียวกัน เหตุการณ์แรกเป็นเพียงการเชิญขั้วอำนาจที่คุ้นเคยมารับชม ส่วนเหตุการณ์หลังไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ด้วยหรือไม่ ขั้วอำนาจเกือบครึ่งหนึ่งในมหาพันภพก็จะเข้ามาร่วมงาน
ท้ายที่สุดเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์
“นี่มันงานชุมนุมยอดยุทธ์ที่แท้จริง”
มู่เฉินถอนหายใจ คนที่สามารถมาที่นี่ได้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดจากขั้วอำนาจต่างๆ คนธรรมดาไม่สามารถแบกรับความกดดันตรงนี้ได้
ขณะที่เขาถอนหายใจในหัวใจ มู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นร่างแสงทะยานเข้าไปในเมือง เมื่อเขากำลังเข้าใกล้เมืองสายตาก็จ้องมองไปที่ประตู เพราะสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่มีกลิ่นอายโบราณแทรกซึมมาจากทั้งเมือง
แม้ว่าความผันผวนจะเบาบาง แต่ก็ยังทำให้คลื่นหลิงในร่างกายกระเพื่อมและทำให้เขาต้องร่อนตัวลง
“คลื่นนี่…”
มู่เฉินขมวดคิ้ว นั่นไม่ใช่แรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเป็นอะไรที่ลึกลับยิ่งกว่านั้น
“หรือเป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ในตอนนั้น?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านเกิดการคาดเดาบางอย่าง เพราะมีเพียงระลอกคลื่นจากจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพถึงสามารถสร้างแรงกดดันน่ากลัวขนาดนี้แม้จะผ่านมาหมื่นปีแล้วก็ตาม
ทว่าความคิดนี้ก็ถูกระงับในไม่ช้า ด้วยความเคารพในใจที่มีต่อเทพจักรพรรดินิรันดร์ มู่เฉินก็เดินไปที่ประตู
ทันทีที่เข้ามาในเมือง มุมมองก็ขยายออกไปพร้อมกับภาพถนนทอดยาวสุดสายตา ทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งต่างกำจายด้วยคลื่นทรงพลัง
การปรากฏตัวของมู่เฉินดึงดูดความสนใจ บางคนถึงกับดวงตาพราวแสง เห็นได้ชัดว่าจดจำเขาได้ว่าเป็นใคร
มู่เฉินอึ้งไปครู่หนึ่งกับความสนใจเหล่านี้ก่อนที่เขาจะยิ้มขำตัวเอง เขาต้องยอมรับว่ารู้สึกยินดีที่ตนเองกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพพร้อมกับผู้คนรู้จักเขามากขึ้น
แต่ความคิดนี้ก็แค่สั่นไหวหัวใจวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในเมือง
เขาเดินผ่านถนนหลายสาย ก่อนที่จะเห็นผู้คนมากมายมารวมตัวกันเบื้องหน้า สายตาเขาก็มองตามไป
มีกำแพงผลึกแก้วขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีแสงวูบวาบอยู่
“ตารางวางเดิมพันของงานชุมนุมนิรันดร์”
มู่เฉินมองไปก็เห็นจอมยุทธ์คนแรกเป็นชายในชุดสีดำขาว แม้จะเป็นเพียงภาพ เขาก็ปลดปล่อยแรงกดดันที่ทำให้หัวใจสั่นสะท้าน
มู่เฉินมองไปที่ภาพคุ้นเคยก็หรี่ตาลง เพราะนี่คือหมัวเฮอโยว ขณะนี้การเดิมพันชัยชนะของเขามีถึงสองหมื่นล้านหยดของเหลวจื้อจุน
ชัดเจนว่าหลายคนมองว่าหมัวเฮอโยวจะชนะครั้งนี้ ในแง่ของความแข็งแกร่งเขาทรงพลังอย่างแท้จริงและยังเป็นคนของเผ่าหมัวเฮอซึ่งได้รับการปลูกฝังร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ดังนั้นหากร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกผู้ครอบครอง ทุกคนก็คิดว่าหมัวเฮอโยวมีโอกาสสูงที่สุด
ถัดลงมาจากหมัวเฮอโยวก็คือหอกอสูรเยี่ยฉิง ราชันทองวัชระซื่อหลัวและดาบเทวะทั่วป๋าชาง
ภาพเยี่ยฉิงที่ฉายเป็นชายหนุ่มผมยาวถือหอกสีแดงเข้มพร้อมกับสายตาไม่แยแสแฝงไปด้วยจิตสังหาร
ซื่อหลัวสวมชุดสีทอง ศีรษะล้านเลี่ยนสะท้อนแสงดูเหมือนดวงดาว เขามีโครงร่างผอม ดูไม่เหมือนคนที่มีความแข็งแกร่งทางด้านพลังกายเลย
ส่วนทั่วป๋าชางสวมชุดสีดำสะพายดาบไว้ที่ด้านหลัง แม้ว่าเขาจะดูธรรมดา แต่ดวงตาแผ่ซ่านด้วยไอคมกริบที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าหนังหัวด้านชา
ในตารางเดิมพันหมัวเฮอโยวอยู่อันดับหนึ่งด้วยจำนวนของเหลวจื้อจุนสองหมื่นล้านหยด ขณะที่สามคนอยู่ที่ประมาณห้าพันล้านหยด
จากนั้นมู่เฉินก็ไม่ได้แปลกใจที่เห็นภาพตนเองถัดลงมาจากทั้งสี่คน แต่เมื่อเทียบกับสี่อันดับแรกการเดิมพันของเขามีเพียงหนึ่งพันล้านหยดเท่านั้น…
“มิน่าคนอื่นถึงจำข้าได้” มู่เฉินส่ายหัวช้าๆ มีหน้าจอขนาดใหญ่ปานนี้ตั้งไว้ ใครบ้างจะจำเขาไม่ได้?
มู่เฉินมองไปที่ภาพทั้งสี่เขาก็ยิ้ม คนพวกนี้คือคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเรอะ?
มู่เฉินเดินเข้าไปที่กำแพงผลึกแก้วซึ่งมีสาวงามกำลังเก็บเงินเดิมพัน พวกนางมาจากเผ่าหมัวเฮอ มีเพียงเผ่าหมัวเฮอเท่านั้นที่กล้าเป็นเจ้าภาพในการวางเดิมพันระดับดังกล่าวได้
“เจ้าสนใจจะพนันหน่อยไหม?” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากด้านข้าง มู่เฉินหรี่ตาหันไปมองก็เห็นร่างคุ้นหน้าส่งยิ้มมาให้เขา นั่นก็คือหมัวเฮอโยวนั่นเอง
ในฐานะเจ้าเหนือหัวทวีปหมัวเฮอ ตำแหน่งของมู่เฉินถูกจับตาโดยเผ่าหมัวเฮอตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาแล้ว
มองไปที่หมัวเฮอโยว มู่เฉินก็ตอบอย่างเยาะเย้ย “ทำไม? ยังคิดจะลงมือที่นี่อีกเรอะ? เผ่าหมัวเฮอของเจ้าขาดความมั่นใจไปหน่อยหรือเปล่า?”
หมัวเฮอโยวส่ายหัวตอบว่า “ไม่ใช่ว่าขาดความมั่นใจหรอก เราแค่ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น แต่ไม่ต้องกังวลนี่ก็แค่รอบคัดออก หากเจ้าไม่สามารถทนต่อปัญหาเหล่านั้นได้แสดงว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม”
มู่เฉินยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากพร้อมตอบ “งานชุมนุมนิรันดร์ที่เกิดจากเทพจักรพรรดินิรันดร์ไม่เห็นมีรอบกำจัดแบบนี้นะ ”
หมัวเฮอโยวเผยรอยยิ้มบางตอกกลับ “เผ่าหมัวเฮอของข้าปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มานาน นี่ถือเป็นสมบัติของเผ่าแล้ว ดังนั้นก็ไม่แปลกที่เราจะทำอะไรเพื่อครอบครองมัน”
มู่เฉินส่ายหัวแสดงความคิดเห็น “เทพจักรพรรดินิรันดร์คงจะสงสัยในตัวเองที่เลือกพวกเจ้าเป็นผู้ดูแล”
หมัวเฮอโยวพูดเสียงราบเรียบ “ตราบใดที่เผ่าหมัวเฮอเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้แต่เทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ไม่สามารถเอาคืนได้”
เขามองไปที่มู่เฉินพูดต่อ “มู่เฉินถ้าเจ้ายอมสละร่างมหาเทพนิรันดร์ เผ่าหมัวเฮอจะชดเชยให้”
“แต่นี่ไม่ใช่เพราะพวกข้าไม่มั่นใจ แต่ข้าแค่จะบอกเจ้าว่าเผ่าหมัวเฮอจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องร่างมหาเทพนิรันดร์ได้…”
“เจ้าว่ายังไงล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหมัวเฮอโยว ดวงตาของมู่เฉินก็วูบไหวแรงกล้าขณะที่โบกมือ กำไลเฉียนคุนบินไปหาหญิงสาวที่อยู่ใต้กำแพงผลึกแก้ว “หนึ่งพันล้านหยด ข้าเดิมพันตัวเอง”
ภายใต้สายตาตะลึงโดยรอบ มู่เฉินไม่สนใจหมัวเฮอโยวสักนิดขณะเดินจากไป
หมัวเฮอโยวมองภาพเงาที่กำลังจากไปของมู่เฉินอย่างไม่แยแสก็ส่ายหัว “ถ้าไม่ใช่มารดาเจ้า ข้าจะมาเสวนากับเจ้าทำไม… ช่างเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
“แต่ในเมื่อแกร้องหาความตาย ข้าก็ทำได้เพียงเติมเต็มความปรารถนาให้”
บทที่ 1480 เงื่อนไข
คฤหาสน์เงียบสงบทางตะวันตกของเมืองวั้นกู่
แม้ว่าเมืองวั้นกู่จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่คฤหาสน์แห่งนี้มีแต่ความสุขสงบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
นั่นเป็นเพราะที่นี่คือที่พักของเผ่าฝูถู
เมื่อมู่เฉินมาถึงที่นี่ ผู้คุ้มกันที่จำเขาได้ก็ก้าวขึ้นมา “นายน้อยมู่เฉิน ผู้อาวุโสใหญ่รออยู่ที่คฤหาสน์แล้วขอรับ”
เนื่องจากความปั่นป่วนที่มู่เฉินสร้างขึ้นในเผ่าฝูถู ทุกคนแทบจำเขาได้หมด บวกกับการที่ชิงเหยี่ยนจิ้งขึ้นดำรงผู้อาวุโสใหญ่และควบคุมอำนาจสูงสุดในเผ่า ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะดูหมิ่นบุตรชายของผู้อาวุโสใหญ่
“ขอบคุณ”
มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่สนใจสถานะนายน้อยของเผ่าฝูถู แต่เขาก็ขี้เกียจแก้ไขคำพูด เขาเข้าไปในคฤหาสน์ เมื่อผ่านลานบ้านก็เห็นชิงเหยี่ยนจิ้งที่ด้านหน้าโถง
“ท่านแม่”
มู่เฉินเร่งฝีเท้าพลางยิ้มเผล่
“เจ้าหนูน้อย เพิ่งกลับไปก็ทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตไปทั่วยุทธภพอีก” ชิงเหยี่ยนจิ้งบ่นขณะลูบศีรษะมู่เฉินอย่างรักใคร่
ท่าทางนางจะได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มู่เฉินต่อสู้กับหวงเฉวียนซวนจือและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าคน
“ช่วยไม่ได้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้นี่น่า” มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ ก่อนที่จะยิ้ม “ตาแก่ไม่มาด้วยเหรอ?”
พอได้ยินคำพูดของลูกชาย สีหน้าชิงเหยี่ยนจิ้งก็เคร่งเครียดลง “ที่นี่อันตราย ข้าจะให้เขามาด้วยได้ยังไง?”
ขณะที่พูดนางก็จ้องไปที่มู่เฉิน “เฉินเอ๋อ เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการต่อสู้เพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์?”
ใบหน้าของมู่เฉินฉายความจริงจัง เขาพยักหน้าแน่วแน่ “ท่านแม่ ข้าทำงานหนักมาหลายปีเพื่อให้ได้ร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นข้าจะยอมแพ้กับโอกาสนี้ไม่ได้”
นี่เป็นเส้นทางสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่เขาเลือก ถ้าไม่ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ ความพยายามทั้งหมดก็จะสลายเป็นอากาศธาตุ เขาจะต้องใช้เวลาและพลังงานมากขึ้นในเส้นทางอนาคต
ดังนั้นร่างมหาเทพนิรันดร์จะเป็นเส้นทางไปสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง
พอมองท่าทางตั้งใจของมู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้าและยิ้ม “ในเมื่อเป็นความปรารถนาของลูก แม่ก็จะสนับสนุนเต็มที่ ไม่ต้องห่วง”
“ขอบคุณท่านแม่”
มู่เฉินรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขารู้ดีว่าการได้ร่างมหาเทพนิรันดร์ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จ เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอ
เผ่าหมัวเฮอคิดไปเองแล้วว่าร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นของพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเทพจักรพรรดินิรันดร์วางเวลาเรื่องงานชุมนุมนิรันดร์เอาไว้ พวกเขาคงไม่ยอมให้ใครมาลองและคว้าเอาไป
ดังนั้นถ้าชิงเหยี่ยนจิ้งสนับสนุนเขา ก็หมายความว่าต้องปะทะกับเผ่าหมัวเฮอ ซึ่งจะทำให้เกิดศึกใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
“เผ่าหมัวเฮอมีรากฐานทรงพลัง ดังนั้นข้าจึงได้เชิญผู้ช่วยมาให้เจ้าด้วย” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มขณะที่ชี้มือไปทางหนึ่ง
พอมองตามไปมู่เฉินก็อึ้งไป ชายชรากำลังใช้จอบขุดดินทำสวน
เมื่อเห็นใบหน้าของชายชราคนนั้น เขาก็ร้องอุทานว่า “ฝูถูเฉวียน?”
ชายชราคนนี้เป็นอดีตผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู—ฝูถูเฉวียน
มู่เฉินไม่คิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะเชิญเขามา
ตอนนี้ฝูถูเฉวียนเงยหน้าขึ้นเดินเข้ามาพลางกวาดสายตามองมู่เฉินก่อนจะเค้นเสียงขึ้นว่า “เจ้าเด็กเหลือขอนี่ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์เหรอ? ข้าไม่เชื่อเลย หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิง ทั่วป๋าชางและซื่อหลัวไม่ใช่พวกจัดการได้ง่ายๆ”
ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มตอบว่า “ตาเฒ่านี่เป็นเรื่องของเฉินเอ๋อ เรามีหน้าที่แค่ปกป้องเขาหากร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับเขา”
ลังเลครู่หนึ่งฝูถูเฉวียนก็ตอบว่า “ข้าช่วยได้ แต่เจ้าก็รู้เงื่อนไขของข้า”
“เงื่อนไขอะไร?” มู่เฉินพูดแทรกขณะมองไปที่ฝูถูเฉวียนด้วยความระแวง ตาแก่คนนี้ทำให้เขาและมารดาต้องแยกจากกัน เขาเพิ่งจะแก้ไขปัญหานี้ได้ อย่าได้สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกเลย
ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบแทนว่า “เงื่อนไขก็คือให้เจ้าคารวะบรรพบุรุษและดำรงตำแหน่งประมุขเผ่า หากเจ้าได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์”
เมื่อได้ยินคำพูดของมารดา มู่เฉินก็อดเยาะเย้ยไม่ได้ “ท่านผู้เฒ่าไม่ได้เรียกข้าว่าเป็นตัวกาลกิณีรึ? ทำไมตอนนี้กลับจะให้ข้ายอมรับตัวตนว่าเป็นสมาชิกเผ่าฝูถูล่ะ?”
ริมฝีปากของฝูถูเฉวียนกระตุก ใบหน้ากลายเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
ทว่ามู่เฉินก็ไม่อยากแกล้งคนแก่มากไป เขาหุบรอยยิ้มเยาะเย้ย ขมวดคิ้วเข้าหากัน “ข้าไม่สนใจตำแหน่งประมุขเผ่าฝูถู ให้คนอื่นเป็นแทนไปเถอะ?”
“ในเผ่าตอนนี้เจ้าเป็นคนเดียวที่มีโอกาสบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” ชิงเหยี่ยนจิ้งประกาศอย่างภาคภูมิใจ
คำพูดของมารดาทำให้มู่เฉินปวดหัวจี๊ด แค่ตำหนักมู่ก็ทำให้เขาลำบากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพวกเผ่าโบราณเลย
“งั้นอย่าให้เขาช่วยเลย ข้าทำหน้าหนาส่งข่าวขอร้องท่านเซียวเหยียนและท่านหลินต้งให้มาช่วยแทน” มู่เฉินเบ้ริมฝีปาก
“หึ ข้ากลัวว่าคราวนี้เจ้าจะเชิญพวกเขาไม่ได้” ฝูถูเฉวียนตอกกลับ ท่าทางไม่พอใจอย่างยิ่ง ในเผ่าตระกูลมั่วและเฉวียนโหยหาตำแหน่งประมุข แต่ไอ้เด็กบ้าคนนี้ดันปฏิเสธ
“ทำไม?” มู่เฉินถามอย่างตกใจ
กระทั่งท่าทางของชิงเหยี่ยนจิ้งยังดูเคร่งขรึมลง “มีการเคลื่อนไหวจากเผ่าปีศาจ แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูตั้งอยู่ที่ชายแดนของมหาพันภพ ดังนั้นทั้งสองต้องตรึงกำลังไว้”
ดวงตาของมู่เฉินเย็นเยือกลงหลายส่วน เผ่าปีศาจเป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันภพ เมื่อเทียบกับสิ่งนั้นความขัดแย้งอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเลย
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาก็ขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทั้งสองคนไม่ได้แล้ว
“เฉินเอ๋อ แม่รู้ว่าเจ้าโกรธเผ่าฝูถู แต่เจ้าปฏิเสธสายเลือดที่กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายตัวเองไม่ได้ นอกจากนี้เจ้ายอมทนเห็นแม่รับหน้าที่ไว้คนเดียวอย่างทุกข์ระทมเหรอ” ชิงเหยี่ยนจิ้งจับมือมู่เฉินพร้อมกับดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง
เมื่อเห็นการแสดงของชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฉินก็ทำได้เพียงยกมือยอมแพ้พร้อมกับยิ้มขมขื่น “ท่านแม่ ข้ายอมแพ้ ข้าจะยอมรับคำขอของท่าน… ถ้าข้าได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มาจริงๆ ข้าเป็นประมุขเผ่าให้ก็ได้”
“เฉินเอ๋อดีที่สุด” ดวงตาแดงก่ำของชิงเหยี่ยนจิ้งหายวับไปกับตา ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้าง
มู่เฉินถอนหายใจ ‘ทักษะการแสดงของผู้หญิงน่ากลัวจริงๆ’
ฝูถูเฉวียนพยักหน้าขณะที่ท่าทางอ่อนลง เขาก็รู้สึกช่วยไม่ได้กับการให้มู่เฉินเป็นประมุข ท้ายที่สุดแล้วพรสวรรค์ของมู่เฉินมีมากกว่าคนรุ่นใหม่ทุกคนในเผ่าและยังมีโอกาสสูงที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง
จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทุกคนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเผ่าฝูถู เหตุผลที่เผ่าหมัวเฮอขึ้นเป็นผู้นำของห้าเผ่าโบราณนั้นเป็นเพราะพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสามคน
หากมู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง พวกเขาก็จะพอฟัดพอเหวี่ยงกับเผ่าหมัวเฮอได้
ดังนั้นฝูถูเฉวียนเต็มใจยอมแพ้และยอมให้มู่เฉินเป็นประมุขเนื่องจากเป็นเพราะเห็นแก่เผ่าตนเอง นอกจากนี้แม้ว่าฝูถูเฉวียนจะหัวรั้นไปบ้าง แต่เขาไม่สามารถผลักจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งออกจากเผ่าได้
“การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มพรุ่งนี้ ตามข่าวมีผู้เข้าร่วมทั้งหมดร้อยแปดคน” ฝูถูเฉวียนอธิบาย
“ร้อยแปดคน!”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น มหาพันภพกว้างใหญ่ไพศาล อดีตตัวเขาไม่เคยเห็นผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์มาก่อน แต่ตอนนี้กลับมีคู่แข่งถึงร้อยเจ็ดคน! ดังนั้นเขาบอกได้ว่ามหาพันภพเป็นสถานที่ที่มีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนแท้จริง
“นี่คือสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ตั้งใจทำเอาไว้ เขาต้องการหาผู้สืบทอดที่ดีที่สุดสำหรับร่างมหาเทพนิรันดร์” มู่เฉินครุ่นคิด ดูเหมือนว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ใช้ความคิดหนักมากในการค้นหาผู้สืบทอด
“ท่านแม่ ร่างมหาเทพนิรันดร์ไม่เคยเลือกผู้สืบทอดมาก่อนเลยเหรอ?” มู่เฉินถาม จอมยุทธ์ที่สามารถฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ล้วนไม่ได้อ่อนแอ แต่ไม่มีใครที่ได้รับการยอมรับเลย
ชิงเหยี่ยนจิ้งส่ายหัวพลางถอนหายใจ “เพราะนี่คือหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาลที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล ดังนั้นการได้รับการยอมรับจะเป็นเรื่องง่ายได้อย่างไร”
มู่เฉินพยักหน้าท่าทางเคร่งเครียดลง เขามองไปที่ใจกลางเมือง เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายโบราณที่คลุมเครือมาจากทิศทางนั้น
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับการยอมรับในร่างมหาเทพนิรันดร์
มู่เฉินเม้มไล่ตามริมฝีปาก ดวงตาฉายความแน่วแน่ขณะที่กำหมัดแน่น
แต่ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด คนอย่างเขาก็ไม่ยอมแพ้แน่…
เพราะนี่เป็นเส้นทางระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่เขาเลือกเอง
“พรุ่งนี้…มาสู้กัน!”
บทที่ 1481 เจดีย์วั้นกู่
เคร้ง!
ในวันที่สอง เสียงระฆังโบราณดังก้องไปทั่วทุกมุมเมือง ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ภาพเงานับไม่ถ้วนจะทะยานออกไปราวกับฝูงตั๊กแตน ขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังใจกลางเมืองวั้นกู่
มีภูเขาหัวโล้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง แม้ว่าจะดูธรรมดา แต่มีเจดีย์โบราณองค์หนึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา
เจดีย์หินนี้ก็ดูธรรมดามาก แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทำให้พวกเขาฉายสีหน้าเคร่งเครียดและเคารพ
เจดีย์นี้เป็นที่รู้จักกันในนามเจดีย์วั้นกู่และถูกสร้างขึ้นโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์
เผชิญหน้ากับเทพจอมยุทธ์ยุคโบราณที่ช่วยมหาพันภพให้พ้นภัย ทุกคนมีแต่ความเคารพให้
“นั่นคือเจดีย์วั้นกู่รึ?”
มู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนปรากฏตัวในศาลาบนยอดเขาที่รายรอบพลางจ้องมองไปที่เจดีย์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ร่างมหาเทพนิรันดร์ถูกเก็บไว้ในเจดีย์นี่เรอะ?
“เทพจักรพรรดินิรันดร์ทรงพลังอย่างแท้จริง แม้เวลาผ่านไปนับหมื่นปี แต่เจดีย์หินก็ยังน่าสะพรึงมาก” ฝูถูเฉวียนกล่าวขณะสายตาจ้องไปที่เจดีย์
เผชิญหน้ากับเจดีย์นี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังรู้สึกได้ถึงอันตราย
“พลังของเทพจักรพรรดินิรันดร์ดูเหมือนจะเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไปแล้ว…” มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบ แม้ว่าเขาจะเคยพบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงพลังเช่นนี้
ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าตอบ “เทพจักรพรรดินิรันดร์ก้าวไปเหนือกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแท้จริง”
“เหนือกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?” มู่เฉินตกใจในใจ ‘ระดับลึกลับนั่นถึงนับเป็นจุดสูงสุดของมหาพันภพอย่างแท้จริงหรือ?’
“ในมหาพันภพ มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งมากมาย แต่มีเพียงจอมยุทธ์สองคนที่มีโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับเดียวกับเทพจักรพรรดินิรันดร์” ฝูถูเฉวียนเอ่ยเสียงต่ำ
มู่เฉินถามด้วยสายตาที่สั่นไหว “เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม?”
ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งหมดที่เขาพบ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกยากที่จะอธิบาย พวกเขาให้ความรู้สึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวไร้ขอบเขต ไม่อาจวัดได้
ฝูถูเฉวียนถอนหายใจ แม้แต่คนหัวดื้ออย่างเขายังมีร่องรอยความเคารพในน้ำเสียง “ทั้งสองมาจากพิภพเขตล่าง แต่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไปถึงจุดสูงสุดเดียวกับเทพจักรพรรดินิรันดร์ในอนาคต”
“นั่นถือเป็นข่าวดีสำหรับมหาพันภพ การมียอดยุทธ์ทั้งสองคนทำให้เราไม่ต้องกลัวจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ” มู่เฉินยิ้ม
พอได้ยินคำพูดลูกชาย ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ส่ายหัว แม้แต่ฝูถูเฉวียนยังแสดงออกในท่าทางหนักใจ
“เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไปในเรื่องจักรวรรดิปีศาจ ในสมัยโบราณมหาพันภพพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเผชิญหน้ากับการรุกรานของเผ่าปีศาจ กระทั่งตอนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ก้าวออกมา สถานการณ์ก็แค่คงไว้ไม่ถดถอยต่อ แต่ถึงกระนั้นเกือบครึ่งหนึ่งของดินแดนในมหาพันภพก็ถูกยึดครองไป”
ชิงเหยี่ยนจิ้งถอนหายใจเบาๆ กล่าวต่อว่า “แทนที่จะเรียกว่าชัยชนะ น่าจะเป็นการที่พวกมันซื้อเวลามากกว่า ที่สำคัญที่สุดจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมันถูกผนึกไว้ด้วยชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ นี่คือสาเหตุว่าทำไมจักรวรรดิปีศาจต่างมิติถึงหยุดรุกราน…”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้นท่าทางก็เปลี่ยนไปรุนแรง จินตนาการไม่ได้เลยถึงความทุกข์ยากที่มหาพันภพเผชิญอยู่ในตอนนั้น
ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้มหาพันภพต้องตกเป็นทาสของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติได้
เขาเคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเผ่าปีศาจเข้ามายึดครองพิภพเขตล่าง สิ่งมีชีวิตที่นั่นถูกเลี้ยงคล้ายกับโรงปศุสัตว์
“เผ่าปีศาจแสดงสัญญาณการเคลื่อนไหวเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกมัน หากเทพปีศาจจักรพรรดิผู้ชั่วร้ายลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความสงบสุขของมหาพันภพคงจบลงแน่” ฝูถูเฉวียนกล่าวเสริม
เมื่อเห็นท่าทางทั้งสองคน มู่เฉินก็ปลอบใจ “ไม่ต้องกังวลไปก่อน เราจะจัดการเมื่อถึงเวลา หากกองทัพจักรวรรดิปีศาจต่างมิติรุกรานอีกครั้งจริงๆ เราจะต่อสู้กับพวกมัน เทพจักรพรรดินิรันดร์สามารถทำให้พวกมันล่าถอยได้ มหาพันภพในปัจจุบันก็ไม่เหมือนอดีต เราเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง”
ตึง!
ขณะที่มู่เฉินกำลังปลอบใจทั้งสองคน เสียงระฆังโบราณก็ดังขึ้นพร้อมกับผู้คนมารวมตัวกัน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่บนแท่นสูงตระหง่านโดยมีหมัวเฮอโยวยืนอยู่ด้านหน้าสุด
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหมัวเฮอโยวเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีทอง ร่างเขากำยำกระจายแรงกดดันเข้มข้น แม้ว่าจะไม่มีความผันผวนคลื่นหลิงใดๆ รอบตัว แต่กระทั่งหมัวเฮอโยวยังแสดงความเคารพ แม้แต่ผู้อาวุโสของเผ่ายังถอยออกไปหนึ่งก้าว ไม่กล้าที่จะยืนใกล้
“นั่นคือประมุขเผ่าหมัวเฮอคนปัจจุบัน—หมัวเฮอเทียน” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ‘นี่คือคนที่ต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีเหรอ? ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง’
ขณะที่มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียน อีกฝ่ายก็เหมือนจะสัมผัสได้ สายตาเลื่อนมามองที่กลุ่มมู่เฉิน
เมื่อหมัวเฮอเทียนจ้องมองมา มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่รอบตัวเขาหยุดนิ่ง เขารู้สึกราวกับถูกตรึงเอาไว้
“แค่ก!”
เมื่อมิติเริ่มแช่แข็ง เสียงไอก็ดังขึ้นทำลายความเวิ้งว้างนั่น ฝูถูเฉวียนจ้องไปที่หมัวเฮอเทียนอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นฝูถูเฉวียนอยู่ด้วย หมัวเฮอเทียนก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ฝูถูเฉวียนและชิ้งเหยี่ยนจิ้งเป็นการต้อนรับ
“หึ เป็นถึงขนาดประมุขเผ่าโบราณกลับมาข่มขู่เด็ก ดูเหมือนจิตใจของเจ้าไม่ได้มีการเติบโตขึ้นเลย” ฝูถูเฉวียนเค้นเสียง ไม่สนใจท่าทางของหมัวเฮอเทียน
มู่เฉินหลุดออกจากการถูกตรึงไว้ ท่าทางของเขายังคงสงบโดยไม่มีความโกรธใดๆ เพียงแค่นึกถึงความรู้สึกที่ถูกตรึงไว้นั้น ‘นั่นคือพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งรึ? ทรงพลังแท้จริง! การจ้องมองเพียงแวบเดียวก็ทำให้ข้าเคลื่อนไหวไม่ได้’
จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มให้ฝูถูเฉวียน “ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ไม่ต้องไปโกรธหรอก เพราะอีกไม่นานข้าจะไปเอาสมบัติที่พวกเขาหวงนักหนามา”
ฝูถูเฉวียนได้ยินคำพูดของเขาก็เย้าว่า “เจ้านี่หยิ่งผยองดีจริงๆ เจ้าคิดว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะเป็นของตัวเองจริงๆ เรอะ?”
มู่เฉินยิ้มพร้อมกับสายตาวูบไหวด้วยความคมชัด
“เด็กนั่นเป็นลูกของชิงเหยี่ยนจิ้งเหรอ?” หมัวเฮอเทียนก็ถอนสายตาออกมา ขณะที่หันมายิ้มให้หมัวเฮอโยว
“ใช่” หมัวเฮอโยวพยักหน้าแล้วพูดต่อ “ไอ้เด็กนั่นไม่ธรรมดา อายุเพียงนี้ก็บรรลุความสำเร็จได้มากเท่านี้แล้ว ถ้าให้เวลามันอีกสักหน่อย แม้แต่ข้าก็คงไม่สามารถเอาชนะได้”
หมัวเฮอเทียนมองไปที่เจดีย์โบราณพลางเอ่ยว่า “แต่น่าเสียดายที่มันไม่เหลือเวลาแล้ว ดังนั้นถือว่ามันไม่มีโชคชะตา”
หมัวเฮอโยวพยักหน้าและยิ้ม “แน่นอน… เพราะจากนี้ข้าจะเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์คนใหม่”
มีความมั่นใจอย่างมากในน้ำเสียง ท้ายที่สุดเขามีโอกาสสูงที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งคนอื่นๆ
“หวังว่าเจ้าจะไม่พลาดนะ…”
มือของหมัวเฮอเทียนลูบสิงโตหินบนเสาขณะหลุบตาลง “แน่นอน ต่อให้เจ้าพลาดจริง ก็ไม่มีใครสามารถเอาร่างมหาเทพนิรันดร์ไปต่อหน้าข้าได้”
“นั่นน่าจะเป็นหอกอสูรเยี่ยฉิงสินะ?”
มู่เฉินหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็เห็นชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียว ม่านตาสีแดงเข้มสั่นไหวด้วยจิตสังหารที่น่ากลัว
อากาศรอบตัวเขาเย็นเยือกจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“ราชันทองวัชระซื่อหลัว… ดาบเทวะทั่วป๋าชาง…”
ยืนอยู่ไม่ไกลจากเยี่ยฉิงเป็นชายร่างผอมในชุดคลุมสีทองแสงสะท้อนบนศีรษะล้านโล่งทำให้ดูสะดุดตา ภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นเขาช่างคล้ายกับสัตว์อสูรร้าย
บนอาคารพังพินาศก็มีชายชุดดำไร้อารมณ์พาดดาบหักไว้ที่กลางหลัง นอกจากนี้ยังมีความแหลมคมซึมออกมาจากร่างกายบั่นทอนทุกคนที่เข้าใกล้ให้กลายเป็นชิ้นเนื้อ
“มาถึงกันหมดแล้ว…”
เมื่อรู้สึกถึงคลื่นหลิงทรงพลังเหล่านั้น มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงกระแสเลือดเดือดพล่านด้วยความกระหาย ราวกับว่ามีบางสิ่งในคนเหล่านี้ดึงดูดเขา
มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นแรงดึงดูดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์
ครืน!
ทันใดนั้นพื้นก็สั่นสะเทือน เสียงโบราณสะท้อนก้อง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองเจดีย์โบราณด้วยดวงตาลุกโชน
ภายใต้การจ้องมองประตูของเจดีย์ก็ค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความรกร้าง…
เมื่อประตูเปิดกว้างมู่เฉินก็เลื่อนสายตาขึ้นพร้อมกับประกายคมกล้าวูบวาบในดวงตา
ในที่สุดเจดีย์วั้นกู่ก็เปิดออกแล้ว!
บทที่ 1482 ศึกชุมนุมนิรันดร์
แอ๊ด!
ประตูเก่าครำเปิดออก ภายในปกคลุมด้วยความมืดซึ่งให้ความรู้สึกถึงความอ้างว้างและความเก่าแก่
ทุกคนต่างตื่นเต้นขณะมองไปที่ประตูที่กำลังเปิดออกพร้อมกับความกระหายและความโลภในดวงตา หากพวกเขาไม่รู้ว่ามีเพียงคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ พวกเขาคงจะสูญเสียการควบคุมและพุ่งเข้าใส่แล้ว
เนื่องจากสิ่งล่อลวงจากร่างมหาเทพนิรันดร์ใหญ่หลวงจริงๆ
หมัวเฮอเทียนมองไปที่ประตูด้วยสีหน้าซับซ้อน ความโหยหาและความโลภริบหรี่ในดวงตา
ในบรรดาห้าเผ่าโบราณ อีกสี่เผ่าก็มีร่างมหาเทพปฐมกาล เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาได้ฝึกฝนสำเร็จ ดังนั้นจึงได้ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพียงแต่ว่าปัจจุบันไม่มีใครในสี่เผ่าที่สามารถฝึกฝนได้สำเร็จ…
แต่กระนั้นทั้งสี่เผ่าก็ยังเป็นเจ้าของ ขณะที่เผ่าหมัวเฮอเป็นเพียง ‘ผู้พิทักษ์’
บรรพบุรุษเผ่าหมัวเฮอของพวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับเทพจักรพรรดินิรันดร์เพื่อรับร่างมหาเทพนิรันดร์มา ชายคนนั้นได้รับชัยชนะและฝึกฝน ท้ายที่สุดก็กลายเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ
แต่บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่เผ่าหมัวเฮอเพื่อพิทักษ์รักษาให้ปลอดภัย
อีกสี่เผ่ามีร่างมหาเทพปฐมกาลขณะที่พวกเขาเป็นเพียงผู้พิทักษ์ ดังนั้นประมุขทุกคนของเผ่าหมัวเฮอจึงได้แต่อิจฉาและไม่พอใจมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงดื้อรั้นกับเรื่องนี้นัก
“เทพจักรพรรดินิรันดร์ เผ่าหมัวเฮอปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ถึงเวลาที่ท่านควรส่งมอบให้พวกเราอย่างแท้จริงแล้วมั้ง?”
“ในตอนนั้นท่านแย่งชิงร่างมหาเทพนิรันดร์ไปจากบรรพบุรุษของข้า ท่านก็สมควรส่งคืนให้เราในตอนนี้แล้วไม่ใช่หรือ?”
หมัวเฮอเทียนหรี่ตาขณะที่กวาดสายตามองเงานับร้อยที่อยู่ใกล้ๆ คนเหล่านี้เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่
“เจดีย์วั้นกู่เปิดแล้ว แต่ข้าต้องเตือนว่าการแข่งขันนี้ดุเดือด ทุกด่านจะกำจัดพวกเจ้าออกครึ่งหนึ่ง ดังนั้นหากต้องการไปให้ถึงปลายทางก็จงกำจัดคนอื่นๆ ออกไปซะ” เสียงของหมัวเฮอเทียนดังก้อง ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน ขณะใบหน้าพวกเขากลายเป็นเคร่งขรึม
“ครึ่งหนึ่งทุกด่าน…”
มู่เฉินขมวดคิ้ว อัตราการกำจัดนี้น่ากลัว นั่นหมายความว่าจะมีการแข่งขันที่โหดเหี้ยมรอพวกเขาอยู่ในเจดีย์วั้นกู่
นี่เป็นเหมือนห้องสำหรับเพาะเลี้ยงแมลงพิษ โดยคนสุดท้ายที่ยืนหยัดถึงจะได้เจอร่างมหาเทพนิรันดร์สินะ?
ฟิ้ว!
หลังจากเสียงของหมัวเฮอเทียนสิ้นสุด หมัวเฮอโยวก็ทะยานกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าไปในประตูโดยไม่มีอาการลังเลใดๆ
วาบ วาบ!
เยี่ยฉิง ซื่อหลัวและทั่วป๋าชางก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด…
เมื่อมีพวกเขาเป็นผู้นำ ทุกคนก็พุ่งเข้าประตูไปด้วย
“ข้าไปล่ะ”
มู่เฉินหันไปหาชิ้งเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียน
“ระวังด้วยนะลูก” ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ปล่อยมันไป แม้ว่าร่างมหาเทพปฐมกาลร่างนี้จะทรงพลัง แต่เจ้าก็สามารถทดลองฝึกร่างมหารัศมีอนันต์ของเผ่าฝูถูได้ นั่นก็เป็นหนึ่งในห้าร่างเทห์สวรรค์สุดยอดและไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างมหาเทพนิรันดร์”
“แค่กๆ!”
ฝูถูเฉวียนกระแอมไอขณะที่แสดงความคิดเห็น “นังหนู แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ แต่เจ้าก็ไม่สามารถอนุญาตให้คนอื่นมาทดลองฝึกร่างมหารัศมีอนันต์ได้ง่ายๆ นี่ต้องขอความเห็นจากเจดีย์บรรพบุรุษฝูถูก่อน!”
ทว่าชิงเหยี่ยนจิ้งลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของฝูถูเฉวียนตอบว่า “ข้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ สามารถชี้นำได้ แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเจดีย์บรรพบุรุษฝูถูจะไม่เห็นด้วย”
“เจ้า!”
เมื่อเห็นทั้งสองตั้งท่าเถียงกัน มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะส่ายหัวกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าประตูไป
เพียงหนึ่งนาที ร่างเงากว่าร้อยร่างก็ทะยานเข้าไปในเจดีย์ เมื่อพวกเขาเข้าไป หมัวเฮอเทียนก็โบกมือคลื่นหลิงรวมตัวกันกลายเป็นกระจกนับร้อยชิ้น แต่ละบานก็ฉายภาพเงาแต่ละคน…
เข้ามาในประตู
มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเชิงพื้นที่ที่รุนแรง ทว่าเขาไม่ได้ต่อต้านปล่อยให้ความผันผวนห่อหุ้มตัวเอาไว้ ไม่กี่ลมหายใจความมืดเบื้องหน้าก็ถดถอย ดินแดนรกร้างปรากฏขึ้น
มู่เฉินยืนอยู่บนเนินเขารกร้าง สายตามองไปที่สถานที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่า
เมื่อกระจายประสาทสัมผัสออกไป เขาสังเกตเห็นว่าสภาพของพื้นที่ตรงนี้บิดเบี้ยวราวกับว่าถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่เล็กๆ
ทว่าเขายังสามารถสัมผัสได้คลุมเครือถึงคลื่นหลิงรุนแรงที่แพร่กระจายออกไป
“การต่อสู้เริ่มแล้วรึ…?” มู่เฉินพึมพำ
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นความผันผวนของคลื่นหลิงก็พุ่งมาจากบริเวณใกล้เคียงมีร่างแสงทะยานเข้ามา
แต่เมื่อจอมยุทธ์คนนั้นเห็นมู่เฉิน ใบหน้าก็เปลี่ยนไปจากนั้นก็หันขวับโดยไม่ลังเล
นี่เป็นชายวัยกลางคนที่มีขมุพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แต่ชัดว่าเขาจำมู่เฉินได้และรู้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินน่ากลัวเพียงใดแม้จะมีขุมพลังขั้นหลิงเท่านั้น
“ในเมื่อมาแล้ว ทำไมต้องวิ่งหนีล่ะ?” แต่ทันทีที่เขาหันกลับไป พื้นที่ก็แปรปรวนเบื้องหน้า มู่เฉินก้าวย่างออกมาด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนที่นี่เป็นคู่แข่งที่มีจุดยืนแตกต่างกัน
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว งั้นขอทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าวันนี้ซะหน่อย!”
เมื่อเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี ชายวัยกลางคนก็กระทืบเท้าร่างแวทสวรรค์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นข้างหลังเขาพร้อมกับความผันผวนลึกลับ
นี่ก็คือร่างเทห์สวรรค์ที่คุ้นเคย—ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เมื่อมองไปที่ร่างนั่นมู่เฉินก็ถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนอื่นใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
“รหัสเทพอมตะ!”
ชายวัยกลางคำราม อักขระเปล่งรัศมีก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมีจำนวนถึงสามร้อยลายเลยทีเดียว
“รวม!”
รหัสเทพอมตะรวมตัวกันเป็นกระบี่ที่เอิบอาบด้วยรัศมีคมชัด แม้แต่มิติก็ฉีกออกจากกัน ขณะที่เฉือนใส่มู่เฉิน
มีรอยลากยาวบนพื้นจากกระบี่
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น เจดีย์ผลึกแก้วใสก็วาบในดวงตา ขณะที่คลื่นหลิงในร่างกายคำรามลั่นแล้วเปลี่ยนเป็นผลึกพลังงาน กระทั่งเสื้อผ้าของเขายังก็สั่นกระพือ
ตราประทับวาดขึ้นในฝ่ามือ ลอนผลึกคลื่นหลิงก็กวาดออกปะทะกับกระบี่สีม่วงทอง
เคร้ง!
เมื่อพลังงานสองสายชนกัน พายุคลื่นหลิงรุนแรงก็พัดออกมากลายเป็นเกลียวแสงนับล้านห่อหุ้มกระบี่สีม่วงทองไว้
คลื่นหลิงบนกระบี่ดิ่งลงทันทีก่อนที่จะแตกสลาย
“ไป”
มู่เฉินสะบัดนิ้วเกลียวผลึกเปล่งประกายก็ทะลุผ่านมิติซัดใส่ร่างสีม่วงทอง
“พลังปิดผนึก?”
ใบหน้าของชายวัยกลางเปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสถึงพลังผลึกคลื่นหลิง ทันใดนั้นเขาก็ควบคุมร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อสร้างแนวป้องกันมั่นคง
ทว่าเกลียวผลึกห่อหุ้มก็ก่อร่างเป็นรังไหมครอบคลุมร่างเทพสุริยะนิรันดร์เอาไว้
เมื่อมู่เฉินมองไปที่รังไหม แสงก็วาบผ่านดวงตา ด้วยขุมพลังในปัจจุบันของเขาที่ใกล้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ความแข็งแกร่งของผลึกคลื่นหลิงของเขาเทียบได้กับขอบเขตขั้นเซียนระยะต้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ตาม…
ชั่วครู่มู่เฉินก็โบกมือรังไหมระเบิดเป็นประกายแสง
เมื่อรังไหมหายไปชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่บนร่างสีทองคำก็ได้แต่ยิ้มขมขื่น
แกร็ก!
รอยแตกพล่านไปบนร่างสีม่วงทองก่อนที่จะระเบิดออกในที่สุด…
มีประกายระยิบระยับบนร่างของชายวัยกลางคน ชัดว่าคลื่นหลิงในร่างกายเขาก็ถูกปิดผนึกชั่วคราว
“ชื่อเสียงของประมุขมู่สมฐานะแล้ว ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” ชายวัยกลางคนยอมจำนนด้วยรอยยิ้มเหยเก
เมื่อสิ้นเสียงของเขา ลำแสงก็ส่องลงมาห่อหุ้มร่างไว้ จากนั้นก็ถูกส่งออกจากเจดีย์
“ขอบใจ”
มู่เฉินพยักหน้าเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะออกไป ก็มีลำแสงสีม่วงทองพุ่งออกมาจากกึ่งกลางหว่างคิ้วของเขา
มู่เฉินยื่นมือออกไปจับลำแสงนั้น ช่างเต็มไปด้วยความเป็นอมตะและรัศมีลึกลับ
“นี่คือ…รัศมีอมตะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์…”
มู่เฉินคุ้นเคยกับรัศมีนี้ นี่เป็นรากฐานของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ยิ่งรัศมีอมตะที่หนาแน่น ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งทรงพลัง
“ความล้มเหลวจะทำให้รัศมีอมตะของพวกเขาถูกสกัดโดยเจดีย์วั้นกู่…”
มู่เฉินฉายสีหน้าซับซ้อน รัศมีอมตะเป็นรากฐานของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เมื่อถูกสกัดพลังออกมาร่างก็จะอ่อนแอลง
นี่คือราคาของความพ่ายแพ้
เจดีย์วั้นกู่โหดร้ายอย่างแท้จริง
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใช่คนใจอ่อน เส้นทางยอดยุทธ์เต็มไปด้วยการแข่งขัน หากเขาไม่มีความมุ่งมั่นที่เพียงพอนี่ก็เป็นผลลัพธ์ของเขาเช่นกัน
มู่เฉินกำมือแน่น ร่างแสงสีม่วงทองก็ปรากฏขึ้นข้างหลังพลางกลืนกินรัศมีอมตะนั้น ทันใดนั้นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งลึกซึ้งและลึกลับมากขึ้น
มู่เฉินลืมตาขึ้นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็หายไป สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั้น เขาก็ระงับความตื่นเต้นเอาไว้ จากนั้นก็หันกลับไปก้าวเข้าไปในมิติบิดเบี้ยว
แม้จะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านเส้นทางนี้ คนอย่างมู่เฉินก็ต้องสู้เพื่อให้ได้มา!
บทที่ 1483 ฉินตงไห่
ตึง!
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ระเบิดออก กลายเป็นประกายสีทองกระจายไปทั่วท้องฟ้า
อ็อก
ภาพเงาหนึ่งพุ่งออกมาลากรอยลึกไปบนพื้น เขากระอักเลือดพร้อมกับรัศมีลดลง จากนั้นก็นอนพังพาบในหลุมลึกด้วยอาการบาดเจ็บปางตาย
เมื่อจอมยุทธ์สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง เจดีย์วั้นกู่ก็จะสัมผัสได้ มิติรอบๆ ตัวเขาบิดเบี้ยว จากนั้นก็ถูกส่งออกไปด้านนอก
เมื่อเขาถูกส่งออกไปก็มีลำแสงสีม่วงทองยิงออกมาจากกลางหว่างคิ้ว
ร่างหนึ่งพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า คว้าลำแสงนั้นก่อนที่ภาพเงาขนาดยักษ์ที่อยู่ข้างหลังจะกลืนกินลงไป
เมื่อได้กลืนกินรัศมีอมตะ รัศมีของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งลึกซึ้งพร้อมกับรัศมีอมตะกลั่นตัวหนาแน่นมากขึ้น ซึ่งทำให้ร่างยักษ์แข็งแกร่งขึ้นไปอีก
“รัศมีอมตะดวงที่สี่…”
เงานี้ก็คือมู่เฉิน เขามองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเองที่ลึกซึ้งมากขึ้นด้วยสายตาชื่นชม จนถึงตอนนี้เขาจัดการคู่แข่งไปได้สี่คนและได้รับแก่นอมตะจากพวกเขามา
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แข็งแกร่งขึ้นสองส่วนจากการกลืนกินแก่นอมตะทั้งสี่…
อย่าได้ประมาทสองส่วนที่ว่า เนื่องจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉินมาถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะขัดเกลาให้ดีขึ้น โดยไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มขึ้นสองส่วนในช่วงเวลาแค่หนึ่งก้านธูป
ทว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากเขาสามารถชิงแก่นอมตะมาจากจอมยุทธ์ทั้งหมดได้ ความแข็งแกร่งของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาจะเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นที่น่ากลัว
เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดวงตาของมู่เฉินก็ลุกโชนด้วยความตื่นเต้น
ฮึ่ม ฮึ่ม
ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงความผันผวนมิติรุนแรง ทิวทัศน์โดยรอบของเขาเริ่มเปลี่ยนไป
มู่เฉินไม่ตกใจกับภาพนี้ เขาหรี่ตาลงพึมพำ “ตกรอบไปแล้วครึ่งหนึ่งรึ? เร็วอะไรปานนี้…”
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในเจดีย์ถูกกำจัดออกไป
หากการกำจัดยังคงดำเนินต่อไป เขาก็จะสามารถไปถึงชั้นที่สถิตของร่างมหาเทพนิรันดร์ได้
มิติโดยรอบบิดเบี้ยว จากนั้นค่อยๆ กลับมาชัดเจน ขณะนี้ภูมิประเทศได้เปลี่ยนเป็นแนวเทือกเขานับไม่ถ้วนแล้ว
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขาหนึ่ง เมื่อทิวทัศน์โดยรอบเสถียรขึ้น เขามองไปข้างหน้าก็เห็นร่างเงาสองร่างตรงนั้น
คนหนึ่งมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ไม่ได้น่าสนใจนัก ดังนั้นความสนใจของมู่เฉินจึงมุ่งไปที่อีกคน
เขาเป็นชายสวมชุดสีน้ำเงินพร้อมกับดวงตาแหลมคม เพียงแค่เหลือบมองมู่เฉินก็สามารถบอกได้ว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา เขามีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง โดยตัดสินได้จากความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัว
เมื่อมู่เฉินมองไปที่ชายชุดสีน้ำเงิน อีกฝ่ายก็มองมาเช่นกัน เมื่อเขาเห็นมู่เฉินก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะคลี่ยิ้ม “ไม่คิดว่าจะได้พบผู้โด่งดังอย่างประมุขตำหนักมู่ที่นี่”
“เจ้าคือ?” มู่เฉินถามโดยไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า
“ข้าชื่อฉินตงไห่ ไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร ก็แค่อยู่อันดับหกรองจากเจ้า” ฉินตงไห่จ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่เกรงกลัว สาดสายตาพิจารณาใส่ด้วยซ้ำ
“อ้อ”
มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าสงบ
เมื่อจอมยุทธ์อีกคนเห็นทั้งสองประจันหน้ากัน เขาก็ถอยห่างออกไปเงียบๆ จากนั้นเผ่นแน่บไป
มู่เฉินเพียงแค่เหลือบ แต่ไม่ได้ไล่ตามเพราะเขารู้สึกได้ว่าฉินตงไห่เล็งเป้ามาที่เขาแล้ว
“เจ้าคิดจะต่อสู้กับข้ารึ?” มู่เฉินถาม
“ข้าต้องการทดสอบว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหนที่อยู่อันดับหน้าข้า” ฉินตงไห่ตอบกลับไม่ใส่ใจก่อนที่จะยิ้ม “ทำไม? หรือว่าเจ้ากลัว”
มู่เฉินยิ้มตอบ “ข้ากลัวว่าเจ้าจะวิ่งหนีหางจุกตูดเอาน่ะสิ การได้เจอปลาตัวใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
จากการรับรู้ของเขาแก่นอมตะของฉินตงไห่หนาแน่นกว่าคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็เอาชนะคู่แข่งมาหลายรายและชิงแก่นอมตะของพวกเขา
ดังนั้นแม้ว่าฉินตงไห่จะไม่เริ่มก่อน แต่มู่เฉินก็ไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไป เพราะการเอาชนะคนผู้นี้ได้ก็หมายความว่าเขาจะได้รับแก่นอมตะเทียบได้กับจอมยุทธ์หลายคน
ขณะที่มู่เฉินและฉินตงไห่ประจันหน้ากัน ผู้ชมที่อยู่นอกเจดีย์วั้นกู่ต่างก็เห็นภาพนี้ สายตาของพวกเขาถูกดึงดูดไปทันที
“อ้าว นั่นฉินตงไห่กับมู่เฉิน… ฉินตงไห่มีชื่อเสียงมานานแล้วและความสำเร็จของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่เฉินเลย…”
“ใช่ เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางบวกกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาก็สามารถเอาชนะผู้คนมากมายในขุมพลังเดียวกันในอดีต”
“ไม่รู้ว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย?”
การสนทนาเกิดขึ้นรอบๆ เจดีย์ ในที่สุดก็มีจอมยุทธ์ในทำเนียบสองคนเผชิญหน้ากัน
การปะทะของคู่นี้น่าสนใจกว่าคู่อื่นๆ อย่างแน่นอน
“ในที่สุดไอ้หนูก็ได้เจอคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อมั่ง ฉินตงไห่ไม่ใช่ธรรมดา” ฝูถูเฉวียนหรี่ตาลงขณะมองไปที่กระจก
ชิงเหยี่ยนจิ้งอมยิ้มตอบว่า “ก็แค่ฉินตงไห่ เขายังไม่มากพอที่จะคุกคามเฉินเอ๋อได้”
ฝูถูเฉวียนเอ่ยกระแทก “เจ้ากำลังยกหางลูกตัวเอง!”
“เพราะลูกชายข้ามีคุณสมบัตินะสิ” ชิงเหยี่ยนจิ้งเบ้ปาก ไม่ได้ใส่ใจอะไร
“งั้นข้าขอดูการประลองของพวกเขาหน่อย ครั้งนี้ไม่มีค่ายกลให้เขาใช้แล้ว” ฝูถูเฉวียนเค้นเสียงขึ้นจมูก เขายังคงรู้สึกขุ่นเคืองใจกับมู่เฉินที่แอบใช้ค่ายกลปราบปรามผู้อาวุโสสองตระกูลตอนอยู่ที่เผ่าฝูถู
ตู้ม!
คลื่นหลิงทรงพลังกวนตัวเป็นพายุ ขณะที่กวาดไปรอบตัวฉินตงไห่ ทำให้มิติบิดเบี้ยว รอยแตกกระจายออกไปบนภูเขาที่อยู่ใต้เท้าเขา
การระเบิดพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางสั่นสะเทือนโลกอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อมู่เฉินมองไปที่ฉินตงไห่ก็เลิกคิ้ว การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตี้กุ่ยซึ่งเป็นจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน
“แม้ว่าข้าอาจจะด้อยกว่าสี่อันดับแรก แต่ก็ไม่มีใครที่อยู่ใต้พวกเขาสามารถคุกคามข้าได้!” เสียงของฉินตงไห่ดังก้องราวกับฟ้าคำรนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
มู่เฉินคลี่รอยยิ้มตอบว่า “ข้าไม่เหมือนเจ้า กระทั่งสี่คนนั่นก็ไม่สามารถหยุดข้าได้”
ฉินตงไห่หรี่ตาลงส่งเสียงเยาะเย้ยขึ้นจมูก คำพูดของมู่เฉินทำให้เขาดูขาดความมั่นใจไปเลย เพราะไม่กล้าสู้กับสี่อันดับแรก
“งั้นข้าจะดูว่าแกมีคุณสมบัติในการพูดคำเหล่านี้ไหม!”
แววตาของฉินตงไห่วาววับขณะสร้างตราประทับ เสื้อคลุมของเขาโบกสะบัด มหาสมุทรคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ออกไป ทำให้มิติพังทลาย
“ทะเลปีกตะวันออก!”
ฉินตงไห่คำราม คลื่นหลิงสีน้ำเงินเติมเต็มไปทั่วบริเวณขณะที่กดไปยังมู่เฉิน
มหาสมุทรปิดผนึกทุกเส้นทางหลบหนีและอัดแน่นด้วยกระแสน้ำเชี่ยวกราก ซึ่งจะทำให้สูญเสียคลื่นหลิงอย่างรวดเร็วหากถูกขังไว้
มู่เฉินมีท่าทางสงบพลางหายใจเข้าลึก ก่อนจะเปิดปากขึ้น
เพลิงม่วงกลืนวิญญาณ!
ฟู่ ฟู่!
พริบตาเพลิงสีม่วงร้อนระอุก็พ่นออกมา ก่อตัวเป็นวงพุ่งออกไป บนทางผ่านของเพลิงมหาสมุทรขนาดใหญ่ก็ถูกแผดเผาอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉินตงไห่เห็นภาพนี้ สายตาก็เย็นเยือกลงก่อนที่จะวาดกระบวนท่า
“ทักษะมังกรทะเล!”
โฮก!
มิติฉีกออกเป็นชิ้นๆ ราวกับแม่น้ำสวรรค์ไหลลงมา ก่อตัวเป็นมังกรแปดตัวขณะที่พวกมันคำราม
“มุกบาดาล!”
มหาสมุทรเชี่ยวกรากบรรจบกันระหว่างฝ่ามือของฉินตงไห่ จากนั้นก็ถูกบีบอัดจนกลายเป็นลูกกลมสีน้ำเงินเข้มแล้วพุ่งขึ้นอย่างดุเดือดราวกับว่าบรรจุไปด้วยมหาสมุทร
ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ ฉินตงไห่ได้ใช้ทักษะเทพสองกระบวนท่า การเคลื่อนไหวที่น่าตกใจนี้สามารถกวาดจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางออกไปได้เลยทีเดียว
“ไป!”
มังกรคำรามลั่นพร้อมกับลูกกลมสีน้ำเงินเข้มบินไปหาหว่างคิ้วมู่เฉิน
ทว่ามู่เฉินก็ไม่เคลื่อนไหวอะไร ที่ด้านหลังรังสียุ่งเหยิงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะกวาดลงมาเบื้องหน้า
ในเส้นทางของรังสี มังกรและลูกกลมก็หายไป…
เมื่อฉินตงไห่มองที่ฉากนี้ใบหน้าเขาก็เขียวคล้ำลง เขาเผยไพ่ตายทั้งหมดออกมา ทว่ามู่เฉินเพียงแค่ยืนนิ่งก็สามารถรับการโจมตีได้
ช่องว่างระหว่างพวกเขาสองคนคำว่ามหาศาลยังไม่เรียกว่าพอ
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะทรงพลังขนาดนี้!”
ฉินตงไห่ปฏิเสธที่จะเชื่อในความจริง ดังนั้นเขาจึงคำรามและเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา
เผชิญหน้ากับกระบวนท่าทรงพลังของมู่เฉิน เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
“ในที่สุดก็ใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้วเรอะ?”
มู่เฉินยิ้มขณะที่ยื่นมือออกมาเคาะลงบนอากาศ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อปลายนิ้วของมู่เฉินแตะลง ฉินตงไห่ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจทันทีที่เห็นเจดีย์ผลึกแก้วกดลงมาพร้อมกับเงาขนาดใหญ่ห่อหุ้มทั้งตัวเขาและร่างเทพสุริยะนิรันดร์…
“แปะ!”
มู่เฉินดีดนิ้วส่งเสียงสะท้อนไปมาในอากาศ
“วิชาเจดีย์แปดองค์”
ตู้ม ตู้ม!
เจดีย์ผลึกแก้วสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงป่าเถื่อน ทำให้มิติโดยรอบพังทลายลง
แรงสั่นสะเทือนคงอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะค่อยๆ หยุดลง มู่เฉินฉายสีหน้าสงบพลางโบกมือเจดีย์ก็พุ่งกลับมา
ในมิติที่ยุบลง ร่างเงาของฉินตงไห่ก็หายไปเหลือเพียงรังสีสีม่วงทองแข็งแกร่ง
มู่เฉินยื่นมือออกมาพร้อมกับรอยยิ้มพอใจ เมื่อสัมผัสถึงความหนาแน่นของรังสี ก่อนที่เขาจะหันกลับจากไป…
เมื่อมู่เฉินเอาชนะฉินตงไห่เรียบร้อย ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์วั้นกู่ต่างก็ตกตะลึงกับฉากนี้ บรรยากาศเงียบกริบ
ไม่มีใครคิดว่าการต่อสู้ที่คาดว่าจะดุเดือดจะจบลงอย่างรวดเร็วปานนี้…
บทที่ 1484 สู้กับซื่อหลัว
ทุกคนที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอต่างตกตะลึง
ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงอย่างรวดเร็ว…
ฉินตงไห่ไม่ใช่พวกจัดการง่ายๆ สิ่งนี้เห็นได้จากความแข็งแกร่งของเขาที่เอาชนะคู่แข่งขันก่อนหน้า พลังของเขาอยู่ในอันดับต้นๆ ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกมู่เฉินปราบปรามอย่างสมบูรณ์…
ดังนั้นบอกได้ว่าพลังของมู่เฉินดุดันเพียงใด
“สมกับเป็นคนที่เอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนได้…ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเหนือมนุษย์จริงๆ…”
“ดูเหมือนว่าคงจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายแท้จริงถึงจะปราบเขาได้”
“ก็ไม่แน่เสมอไป มู่เฉินมีไพ่ตายมากมายและเราไม่รู้ว่าเขาซ่อนอะไรไว้บ้าง…” มีบางคนมองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าหนักใจ
“เป็นไง?” ชิงเหยี่ยนจิ้งหัวเราะเสียงพลิ้วขณะที่ปรายตามองฝูถูเฉวียน
ฝูถูเฉวียนทำท่าทางเข้มงวดเค้นเสียงขึ้นจมูกใส่ “มีอะไรต้องเฉลิมฉลองกับแค่เอาชนะฉินตงไห่? คู่ต่อสู้ที่แท้จริงคือสี่คนนั่นต่างหาก”
ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าตอบว่า “ทั้งสี่คนสั่งสมชื่อเสียงมานานแล้วและสามารถติดอันดับต้นๆ ในมหาพันภพ คราวนี้เฉินเอ๋อเจอศัตรูที่แข็งแกร่งแน่แล้ว”
ทว่าคำพูดของนางก็กลับมาชื่นชมลูกชายเหมือนเดิม “แต่ในเมื่อเฉินเอ๋อมั่นใจที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่ นั่นหมายความว่าเขาต้องมั่นใจมาก”
ฝูถูเฉวียนมองความมั่นใจที่ชิงเหยี่ยนจิ้งมีต่อมู่เฉินก็ได้แต่ส่ายหน้า เขาไม่ได้มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับนาง อย่างไรก็ตามแม้ว่ามู่เฉินจะไม่อ่อนแอ แต่ทั้งสี่คนนั้นก็ใช่ว่าจัดการง่าย
การต่อสู้ในวันนี้ไม่จบลงง่ายๆ แน่
หลังจากเอาชนะฉินตงไห่แล้ว
มู่เฉินก็ไปต่อโดยไม่หยุดพักและค้นหาคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ
เวลาต่อมาเขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายและได้รับแก่นอมตะสามชิ้นเพื่อเสริมสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง
ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวอีกครั้ง ชัดว่าคู่แข่งอีกครึ่งหนึ่งถูกกำจัด ดังนั้นคนอยู่ต่อก็เข้าสู่ชั้นถัดไป
มู่เฉินไม่ได้ประหลาดใจ ยังคงหาคู่ต่อสู้ต่อไป
ในเวลาสองก้านธูปต่อมามิติรอบก็เปลี่ยนไปถึงสองครั้ง คู่ต่อสู้ที่พบก็ลดลงแต่คนที่พบกลับมีพลังมากขึ้น มากจนบางคนแข็งแกร่งกว่าฉินตงไห่เสียอีก
นั่นหมายความว่าการจัดอันดับในทำเนียบไม่ได้ถูกต้องเสมอไป
ตู้ม!
มิติสั่นสะเทือนคลื่นหลิงป่าเถื่อนล้นเหลือก็กวาดอาละวาด สร้างรูพรุนเอาไว้บนพื้น…
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ค่อยๆ สลายไปพร้อมกับร่างร่างหนึ่งถูกส่งออกจากเจดีย์วั้นกู่ ในเวลาเดียวกันแก่นอมตะหนาแน่นก็พุ่งออกมาแล้วถูกยักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินเขมือบเข้าไป
หลังจากกินแก่นอมตะชิ้นนี้ ร่างยักษ์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินก็ได้รับการปรับแต่งมากขึ้นพร้อมกับจุดและลวดลายโบราณปรากฏขึ้น
ช่างราวกับว่าสร้างขึ้นก่อนประวัติศาตร์มีทั้งอำนาจเหนือกว่าและลึกลับ
“ร่างเทพสิรุยะนิรันดร์ของข้าตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านอาจารย์ในตอนนั้นแล้ว” มู่เฉินรู้สึกตื่นเต้นเมื่อสัมผัสถึงพลังของร่างเทห์สวรรค์
ในอดีตจักรพรรดิฟ้าน่าจะไม่เคยมาที่เจดีย์วั้นกู่ เนื่องจากเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังมีชีวิตอยู่
ฮึ่ม ฮึ่ม
ขณะที่ความคิดนี้แวบขึ้นในใจของมู่เฉิน มิติก็บิดเบี้ยว เขาหรี่ตาลงพร้อมกับร่างกายเกร็งขึ้น
เหลือจอมยุทธ์แปดคนสุดท้ายในเจดีย์วั้นกู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าเขามีโอกาสมากที่จะพบกับสี่อันดับแรก
“ในที่สุดก็มาถึงช่วงสุดท้าย…”
มิติบิดเบี้ยว เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยรอบอย่างรวดเร็ว เมื่อกวาดสายตาออกก็พบว่าเขาไปปรากฏตัวในมหาสมุทรกว้างใหญ่แล้ว
ฮา
มู่เฉินจ้องมองมหาสมุทรก็หายใจออกอย่างหนัก ฝ่ายตรงข้ามที่เขาพบจะต้องทรงพลังมาก มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถผ่านขั้นตอนการกำจัดได้
“แค่ไม่รู้ว่าจะเจอใคร…” มู่เฉินพึมพำ ถ้าเขาเจอหมัวเฮอโยวที่นี่ ศึกสุดท้ายก็จะเกิดขึ้นล่วงหน้า
ฝ่าเท้าก้าวย่างไปบนมหาสมุทร เมื่อย่างเท้าออกไปร่างมู่เฉินก็ไปปรากฏภายนอกในระยะหมื่นจั้ง…
หลังจากผ่านไปสิบกว่านาทีเขาก็หยุดฝีเท้า ความเฉียบคมรวมอยู่ในดวงตาขณะมองไปในระยะไกล
เขาเห็นคลื่นพลุ่งพล่านที่เบื้องหน้าพร้อมกับร่างเงาหนึ่งนั่งอยู่
คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีทอง ศีรษะโล้นเตียนสะท้อนแสง โครงร่างผอมบางราวกับสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่แผ่ซ่านแรงกดดันที่น่ากลัว
“ราชันทองวัชระ—ซื่อหลัว”
เมื่อมองไปที่คนผู้นั้น ท่าทางของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
“มู่เฉินปะทะซื่อหลัว”
ผู้ชมด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ร้องลั่น ตอนนี้เหลือกระจกเพียงสี่บานและในกระจกทั้งสี่ก็ฉายภาพจอมยุทธ์แปดคน เมื่อทุกคนเห็นมู่เฉินกับซื่อหลัวปรากฏบนบานเดียวกันก็ตะโกนอุทาน
ทุกคนฉายท่าทางเคร่งเครียด ซื่อหลัวอยู่อันดับสามและมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็น่ากลัว คู่ต่อสู้ทุกคนที่ผ่านมายังไม่สามารถบังคับให้เขาใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ เขาใช้พลังกายของตัวเองเผชิญหน้ากับศัตรูมาตลอดทาง
แต่ในทำนองเดียวกันมู่เฉินก็ก้าวเข้ามาอย่างอหังการเช่นกัน ดังนั้นการเผชิญหน้าของพวกเขาจึงดึงดูดความสนใจของทุกคน
“ซื่อหลัวรึ…” ท่าทางของชิงเหยี่ยนจิ้งเคร่งเครียดลง เนื่องจากนางเคยได้ยินเรื่องของซื่อหลัว
แม้แต่ฝูถูเฉวียนก็ขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าเขาจะหมั่นไส้มู่เฉินอยู่บ้าง แต่เขาก็หวังว่ามู่เฉินจะชนะ แต่การเผชิญหน้าซื่อหลัวเป็นเรื่องยากอย่างไม่ต้องสงสัย
บางทีเขาอาจจะจบลงที่นี่เลย
“เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดทีเดียว… หวังว่าไอ้หนูจะผ่านไปได้…”
ซ่า ซ่า ซ่า!
คลื่นหยุดห่างออกไปจากมู่เฉินหนึ่งพันจั้ง ซื่อหลัวค่อยๆ ลืมตาขึ้นพลางยิ้ม “ไม่คิดว่าจะได้พบกับประมุขมู่”
มู่เฉินก็ผงกศีรษะตอบว่า “ชะตาช่างกลั่นแกล้งให้ต้องพบกับราชันทองวัชระ”
เมื่อเผชิญหน้ากับเขา แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกถึงอันตรายที่ไม่สามารถประมาทได้
ซื่อหลัวยิ้ม “ประมุขมู่มีความสำเร็จที่น่าทึ่ง แต่ข้าก็ไม่ยอมแพ้เพราะร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เป็นรางวัลแน่”
“เช่นเดียวกัน” มู่เฉินยิ้ม
เมื่อซื่อหลัวยืนขึ้น ร่างเพรียวบางของเขาก็ทำให้มิติสั่น มือของเขาประสานเข้าด้วยกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องขอคำชี้แนะนำจากประมุขมู่แล้ว”
เจดีย์ผลึกแก้วสั่นไหวในดวงตาของมู่เฉิน ผลึกคลื่นหลิงไหลไปตามแขนขาแม้แต่ผิวก็กลายเป็นอัญมณี
“ชี้แนะด้วย”
ท่าทางของมู่เฉินเคร่งเครียดลง เผชิญหน้ากับศัตรูร้ายกาจเช่นนี้ ตัวเขาก็ให้ความเคารพ
ร่างของซื่อหลัวค่อยๆ เปล่งประกายด้วยแสงสีทองพร้อมกับลวดลายบนร่างกาย ยกคลื่นในมหาสมุทรขึ้น
แรงกดดันโอบล้อมออกไปด้านนอก
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปเป็นเฉียบคม อึดใจก็เคลื่อนไหว เขาอ้าปากเพลิงสีม่วงก็พุ่งไปทางซื่อหลัว
ในวิถีทางของเพลิง มหาสมุทรถึงกับเดือดปุด
แต่เผชิญหน้ากับเพลิงนี้ ซื่อหลัวไม่ได้หลบ เขาปล่อยให้เพลิงห่อหุ้มร่างเขาแทน
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็หรี่ตาลง เพลิงม่วงกลืนวิญญาณทรงพลังมาก กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ทว่าซื่อหลัวกล้าดีแท้
ปัง!
ทันใดนั้นเพลิงก็ระเบิดออก ร่างเงาหนึ่งพุ่งออกมา ไม่มีความผันผวนคลื่นหลิงรอบตัวซื่อหลัว อีกฝ่ายอาศัยพลังกายล้วนๆ ในการต้านทานเพลิงสีม่วง
เพลิงม่วงกลืนวิญญาณกลืนกินคลื่นหลิงเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง แต่ซื่อหลัวปิดผนึกรูขุมขนไม่ได้ปล่อยพลังงานใดๆ ออกมา ดังนั้นเพลิงจึงไม่สามารถคงอยู่ได้
วาบ!
ซื่อหลัวพุ่งออกมาพลางกำจายแสงสีทอง พริบตาก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้ามู่เฉินแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป
ดวงตามู่เฉินวูบไหว ผลึกคลื่นหลิงก่อตัวเป็นถุงมือ จากนั้นเขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายเพื่อที่จะปล่อยหมัดออกไป
เขาต้องการจะทดสอบความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย
ตึง!
หมัดสองหมัดปะทะกัน มหาสมุทรที่อยู่เบื้องล่างก็ยุบลงพร้อมกับคลื่นกระแทกยกตัวสูงนับไม่ถ้วน
ตู้ม!
ร่างทั้งสองสั่นสะท้าน แต่ครั้งนี้มู่เฉินอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เขาถลาออกไปหนึ่งพันจั้งลากรอยยาวบนมหาสมุทรใต้เท้า
“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายทรงพลังแท้จริง”
มู่เฉินกระทืบฝ่าเท้าเพื่อทรงตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รอยแตกปรากฏบนถุงมือผลึกใส ก่อนที่มันจะร่วงหล่นและสลายไป
หลังจากเปลี่ยนเป็นผลึกคลื่นหลิง ต่อให้มีขุมพลังเพียงขั้นหลิงระยะกลาง แต่ความหนาแน่นของคลื่นหลิงนั้นก็สามารถเทียบเคียงขั้นเซียน ทว่าตอนนี้ก็ยังถูกซัดถอยโดยซื่อหลัว
ถ้าไม่ใช่เพราะซื่อหลัวกลัวว่าผลึกคลื่นหลิงของเขาและไม่กล้าที่จะใช้พลังเต็มที่ หมัดนี้สามารถทำให้มู่เฉินได้รับบาดเจ็บแน่
“ดูเหมือนข้ายั้งมือไม่ได้แล้ว…”
มู่เฉินหายใจเข้าลึกพลางวาดตราประทับ เงาร่างสองร่างก็พุ่งออกมาจากร่างเขา กลายเป็นร่างรองสองร่างของเขา
เมื่อมองไปที่ภาพเงาทั้งสอง สีหน้าของซื่อหลัวก็กลายเป็นเคร่งเครียด เขารู้ว่าในฐานะวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า วิชาสามพิสุทธิ์ทรงพลังเพียงใด
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ ซื่อหลัวไม่กล้าออมมือ แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเท่านั้น มือของเขาประสานเข้าด้วยกัน แสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ในขณะนี้โครงร่างเพรียวบางก็เริ่มขยายตัว
ในไม่กี่ลมหายใจเขาก็กลายเป็นยักษ์ยืนตระหง่านอยู่บนมหาสมุทร
พลังไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงระเบิดออกมาราวกับพายุจากร่างซื่อหลัว
ที่ด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ทุกคนมองไปที่ภาพนี้ด้วยความตกตะลึงในใจ ทั้งสองคนกำลังจะนำความสามารถที่แท้จริงออกแล้ว…
แค่ไม่รู้ว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายในการต่อสู้ครั้งนี้
บทที่ 1485 ฝ่ามือเทพอรหันต์
ฟู่ ฟู่!
ขณะที่ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันบนมหาสมุทร พวกเขาก็ปลดปล่อยคลื่นพลังที่น่ากลัวซึ่งระเบิดออกจากร่างกายทำให้เกิดการยกคลื่นกระแทกขึ้นบนผิวน้ำ กระทั่งมหาสมุทรที่อยู่ใต้เท้าก็สั่นสะท้าน
โครงร่างเพรียวบางของซื่อหลัวขยายใหญ่ขึ้นราวกับยักษ์ที่ปกคลุมไปด้วยตุ่มสีทองซึ่งเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง
มู่เฉินทั้งสามยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ผลึกรัศมีไหลเวียนออกมาจากร่าง
“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของวิชาสามพิสุทธิ์มานานแล้ว วันนี้ขอลองหน่อยเถอะ!” เสียงของซื่อหลัวหนักแน่นก้องดังราวกับฟ้าร้อง
รัศมีตกผลึกบนร่างมู่เฉินทั้งสามก็หนาแน่นขึ้น ชัดว่าพวกเขาหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายเต็มที่
เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ มู่เฉินไม่คิดออมมือ
ตู้ม!
เมื่อทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนสายตากัน ทันใดนั้นซื่อหลัวก็เคลื่อนไหวกระทืบฝ่าเท้าลงไป มหาสมุทรที่อยู่ใต้เท้าเขาพังทลายลง ขณะที่ร่างแสงของเขาทะยานออกไปปรากฏต่อหน้ามู่เฉิน
พร้อมกับความผันผวนทำลายล้าง กำปั้นทองคำก็ซัดลงมา มิติถึงกับพังทลายลงราวกับกระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ
เผชิญหน้าการโจมตีที่ดุร้ายของซื่อหลัว มู่เฉินทั้งสามก็ออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน กำปั้นของพวกเขาที่ปกคลุมไปด้วยผลึกคลื่นหลิงปะทะกับกำปั้นทองคำ
ตึง!
เกิดการระเบิดดังขึ้นพร้อมกับปากปล่องขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นบนมหาสมุทร ก่อนที่น้ำทะเลจะไหลเทไปอย่างรุนแรง ทว่าก็ไม่สามารถเติมปากปล่องได้เป็นเวลานาน
ชี่!
มู่เฉินและร่างรองทั้งสองตัวสั่นขณะที่ถอยกลับ แต่ครั้งนี้ซื่อหลัวต้านไม่ได้เหมือนก่อนหน้า ท้ายที่สุดตัวเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูสามคน ดังนั้นเขาจึงถูกบีบให้ถอยร่นหนึ่งร้อยก้าวจากคลื่นหลิงป่าเถื่อน
“เยี่ยม! สมกับเป็นวิชาสามพิสุทธิ์! พลังที่รวมกันไม่ใช่สิ่งที่คนสามคนจะเปรียบได้!”
ดวงตาของซื่อหลัวเต็มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน แม้แต่ขั้นเซียนระยะกลางสามคนก็ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ แต่เขาเสียเปรียบในการแลกกระบวนท่าครั้งก่อน เห็นได้ชัดถึงความลึกซึ้งของวิชาสามพิสุทธิ์ การรวมร่างหลักและร่างรองสองร่างไม่ง่ายอย่างที่คนสามคนรวมจุดแข็งเข้าด้วยกัน
ตู้ม!
ซื่อหลัวพุ่งออกไปอีกครั้ง มู่เฉินทั้งสามก็ทะยานออกไปพร้อมกับภาพซ้อนปะทะกับซื่อหลัว
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉินทั้งสาม ซื่อหลัวก็ไม่กลัว ร่างกายเปล่งรัศมีแสงสีทอง ระเบิดพลังออกมา หมัด-เข่า-ศอกวาดกระบวนท่าออกมานับไม่ถ้วนขณะที่ปะทะกัน
ทั้งสี่โรมรันพันตูต่อสู้บนมหาสมุทร เหล่าผู้ชมไม่สามารถมองเห็นกระบวนท่าได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าการเผชิญหน้านั้นน่ากลัวเพียงใดจากคลื่นกระแทกที่เล็ดลอดออกมา
ด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ทุกคนตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการต่อสู้จะรุนแรงขนาดนี้…
หมัวเฮอเทียนมองไปที่การต่อสู้นี้ด้วยความเฉยเมยขณะกล่าวว่า “วิชาสามพิสุทธิ์สมกับชื่อเสียงอย่างแท้จริง”
“ใช่ นี่เป็นทักษะเทพที่จักรพรรดิฟ้าใช้สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ด้วยวิชานี้ทำให้จักรพรรดิฟ้ากลายเป็นจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขามในสมัยโบราณ” ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอถอนหายใจด้วยความอิจฉาเข้มข้น
“แม้ว่าวิชาสามพิสุทธิ์จะทรงพลัง แต่ก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างมู่เฉินและซื่อหลัว การต่อสู้ครั้งนี้คงอยู่อีกไม่นาน” สายตาของหมัวเฮอเทียนเฉียบคมนัก บางทีคนอื่นอาจไม่สามารถบอกได้ แต่เขาสามารถบอกได้ว่าทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกระบวนท่ามากกว่าพันท่าในเวลาเพียงไม่กี่นาที ทว่าซื่อหลัวยังคงได้เปรียบกับมู่เฉินหลายส่วน
‘ถ้านั่นคือความสามารถที่มู่เฉินมี เขาคงไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงด่านสุดท้าย’
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากของหมัวเฮอเทียน ขณะที่เขามองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ในอดีตเขาตั้งใจจะแต่งให้นาง แต่ใครจะคิดได้ว่านางจะออกจากเผ่าฝูถูไปตกหลุมผู้ชายขี้กะโล้โท้ แม้ว่าเรื่องจะผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังสร้างความอับอายให้เขา
เพื่อไม่ให้เสียหน้าจึงไม่ควรที่จะพูดถึงเรื่องในอดีต แต่ถ้าเขาได้เห็นลูกชายของชิงเหยี่ยนจิ้งหน้าแตกที่นี่เขาจะมีความสุขมาก
ตึง!
เกิดการปะทะกันอีกครั้ง ร่างจอมยุทธ์ทั้งสี่ก็แยกออกจากกัน แต่คราวนี้มู่เฉินไม่พุ่งกลับมาโต้ตอบ เขารู้ว่าไม่สามารถเอาชนะในการต่อสู้ลักษณะนี้ได้จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่
“พลังกายเจ้าทรงประสิทธิภาพมาก เจ้าถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” คลื่นหลิงสั่นไหวไปรอบๆ ร่างมู่เฉินขณะมองไปที่ซื่อหลัวพลางถอนหายใจ
“นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับข้า การที่ประมุขมู่สามารถบีบให้ข้ามาไกลถึงขนาดนี้ได้ด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง” ซื่อหลัวหัวเราะ เสียงนั้นคำรามก้อง
เขาไม่ได้ถ่อมตน มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างขั้นหลิงระยะกลางและขั้นเซียน แต่มู่เฉินกลับสามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ นี่ทำให้น่าตกใจอย่างแท้จริง
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะมู่เฉินขยายเจดีย์พุทธะและสายสัมพันธ์กับร่างรองทั้งสอง
“แต่ข้ากลัวว่ายังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะข้าด้วยวิชาสามพิสุทธิ์เพียงอย่างเดียว” ซื่อหลัวเปล่งรัศมีกระจ่างใสราวกับเทพเซียน
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินก็ยิ้มไม่ตอบ มือประสานกันก่อร่างเป็นตราประทับที่ลึกซึ้ง
“วิชาสามพิสุทธิ์ สามรวม!”
เมื่อเสียงดังก้องจากหัวใจของมู่เฉิน ร่างรองทั้งสองก็ก้าวเข้ามาสถิตในร่างกายของเขา
เมื่อทั้งสามรวมตัวกัน พายุทอร์นาโดที่ก่อตัวขึ้นจากคลื่นหลิงบริสุทธิ์ก็ระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน
เมื่อรัศมีวูบไหว คลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอัญมณีพร้อมกับร่างกายของมู่เฉิน
สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน ซื่อหลัวก็หดตาลงด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
เขาสามารถสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินเติบโตขึ้นจนน่ากลัวในขณะนี้!
“ไม่คิดว่าวิชาสามพิสุทธิ์จะมีกระบวนท่าเช่นนี้ด้วย…” ซื่อหลัวกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ เขาไม่กล้าออมมืออีกแล้ว
เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้นมา ม่านตาสีดำก็กลายเป็นอัญมณี เขารู้สึกถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกายตนเอง ขณะนี้ราวกับว่าเขาสามารถทำลายท้องฟ้าด้วยฝ่ามือเดียว
ขั้นสามรวมของเขาแข็งแกร่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับหวงเฉวียนจื่อ นี่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่เขาได้รับหลังจากสี่เดือนของการเข้าสมาธิฝึกฝน
“มาลองกันอีกครั้ง”
มู่เฉินยิ้มให้ซื่อหลัวก่อนที่จะวาบหายไป
ซื่อหลัวหดดวงตาเหวี่ยงหมัดออกไปโดยไม่ลังเล พลังน่ากลัวก็พุ่งออกมาทำให้มิติตรงหน้าเขาพังทลาย
เมื่อมิติยุบลง ภาพเงาหนึ่งก็วูบไหวเหวี่ยงหมัดออกมาปะทะกับหมัดทองคำของซื่อหลัว
เคร้ง
พลังงานสองสายปะทะกัน ก็คล้ายกับการชนกันระหว่างโลหะเกิดเสียงดังเสียดหู คลื่นกระแทกพัดออกมา แต่คราวนี้มู่เฉินไม่ได้ถูกกดดัน ร่างกายของเขาสั่นเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะสลายผลกระทบได้
ในทางกลับกันซื่อหลัวถูกซัดโดยไม่คาดคิด ทุกย่างก้าวที่เขาถอยออกไปจะสร้างหลุมขนาดใหญ่บนมหาสมุทรเบื้องล่าง…
การแลกกระบวนท่ากันครั้งนี้ซื่อหลัวตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ
ด้านนอกรอบเจดีย์วั้นกู่ระเบิดด้วยความโกลาหล ทุกคนตกใจที่มู่เฉินสามารถบังคับซื่อหลัวต้องถอยจากการเผชิญหน้าครั้งนี้
“นี่น่าจะเป็นระยะที่สูงขึ้นของวิชาสามพิสุทธิ์ มู่เฉินมาถึงระดับนั้นแล้ว…” หมัวเฮอเทียนขมวดคิ้ว หลังจากรวมกับร่างรองทั้งสอง ตอนนี้มู่เฉินมีพลังเทียบเคียบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายแล้ว
‘มิน่าล่ะไอ้หนูนี่ถึงกล้ามาที่งานชุมนุมนิรันดร์’
“ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับทักษะของซื่อหลัว…”
ซื่อหลัวฉายสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองมู่เฉิน หลังจากที่ขยายทักษะหลายวิชา มู่เฉินในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแล้ว
ดังนั้นหากเขาต้องการที่จะชนะ เขาต้องงัดไม้เด็ดออกมาแล้ว
ซื่อหลัวหายใจเข้าลึกๆ มือประสานเข้าด้วยกัน มหาสมุทรใต้เท้าก็คำรามรุนแรงพร้อมกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาจากเท้าครอบคลุมรัศมีหลายพันลี้
ซ่า!
ทันใดนั้นมหาสมุทรก็แยกออกจากกัน ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมือขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณพร้อมกับรัศมีศักดิ์สิทธิ์ยื่นออกมาจากมหาสมุทร
เมื่อมือนี้ปรากฏขึ้นแม้แต่มิติข้างใต้ก็ถูกแช่แข็ง
ถึงระดับที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายยังไม่กล้ารับ
ซื่อหลัวเงยหน้ามองมู่เฉินพูดขึ้นช้าๆ ว่า
“ประมุขมู่ นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงหนึ่งในสุดยอดของสำนัก—ฝ่ามือเทพอรหันต์…โปรดชี้แนะด้วย”
บทที่ 1486 ค่ายกลสามกำลังรบปรากฏอีกครั้ง
ครืน!
ขณะที่มหาสมุทรครางกระหึ่ม มือขนาดมหึมาก็ทะลุพื้นผิวน้ำแหวกมิติก่อนจะพุ่งไปหามู่เฉิน
ภายใต้เงามิติก็แข็งตัว เส้นทางการหลบหนีทั้งหมดของมู่เฉินถูกปิดผนึกไว้แล้ว
ซื่อหลัวเร้าพลังทั้งหมดออกมาในกระบวนท่านี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายยังอาจได้รับบาดเจ็บอย่างหนักได้
ฝ่ามือเทพอรหันต์เป็นหนึ่งวิทยายุทธระดับเสินทงที่ดีที่สุดของขุมกำลังยอดวิญญาณ ซึ่งด้อยกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าเท่านั้น ชื่อเสียงดังก้องไปทั่วมหาพันภพ คงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีจอมยุทธ์กี่คนที่พ่ายแพ้ต่อวิชานี้…
ด้านนอกเจดีย์ทุกคนกลั้นหายใจขณะมองกระจกอย่างตกตะลึง พวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาเทพของซื่อหลัวในอดีต ดังนั้นจึงรู้ว่าเมื่อใช้วิชานี้หมายความว่าซื่อหลัวไม่คิดออมมือแล้ว
หากมู่เฉินไม่สามารถต้านทานได้ กระบวนท่านี้ก็เอาชนะเขาได้เลย
ภายใต้ความสนใจของทุกคน มู่เฉินมองไปที่มือมหึมาพลางหลับตาลงเบาๆ ก่อนที่ผลึกแสงจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นเจดีย์
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เจดีย์ผลึกแก้วบินฉวัดเฉวียนพลางเปล่งแสงออกมาพร้อมกับปีศาจแปดตัวเคลื่อนออกจากเจดีย์ ดูคล้ายกับเทพปีศาจแปดองค์ที่ยืนอยู่รอบเจดีย์
มู่เฉินมีท่าทางเคร่งเครียดไม่กล้าประมาทเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงนำวิชาเจดีย์แปดองค์ออกมาทันที
“ตู้ม!”
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากร่างมู่เฉินถูกปีศาจทั้งแปดกลืนกินไว้
หลังจากกลืนกินพลังที่ไร้ขอบเขต ก็มองเห็นลวดลายแปลกประหลาดกระจายออกไปบนร่างปีศาจทั้งแปด จากนั้นพวกมันก็สร้างตราประทับพร้อมกัน
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ลำแสงพุ่งออกจากร่างเกี่ยวพันกันเป็นค่ายกลน่าสะพรึงกลัว
ในขณะที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันก็ค่อยๆ หดตัวลงเป็นรูปทรงกลมสีแดงเข้มที่มีร่องรอยจุดด่างดำ ทำให้เกิดความผันผวนของการทำลายล้าง
“วิชาเจดีย์แปดองค์ เจดีย์ปีศาจหยก!”
มู่เฉินร้องคำรามในใจ อึดใจค่ายกลก็แตกออก ลูกทรงกลมสีแดงเข้มที่อัดแน่นด้วยพลังของปีศาจทั้งแปดก็พุ่งออกมา มิติถึงกับพังทลายลงในวิถีโคจร
ยามนี้มือมหึมาปะทะกับลูกทรงกลมสีแดงเข้มภายใต้สายตาตกตะลึงมากมาย
ตู้ม ตู้ม!
เสียงสะท้อนที่ไม่อาจพรรณนาดังก้องรุนแรงราวกับว่ากำลังจะทำลายมหาสมุทรไร้ขอบเขต ถึงกับฉีกปากปล่องขนาดใหญ่ เจาะทะลวงลงไปในมหาสมุทร…
ที่ด้านนอกเจดีย์ทุกคนเฝ้าดูการเผชิญหน้าและหายสูดใจเข้าลึกๆ เผชิญหน้าการปะทะครั้งนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายก็ไม่สามารถรับได้
ไม่มีใครคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะดุดันยิ่งกว่าการปะทะกันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายแท้จริงสองคนเสียอีก
ขณะที่พวกเขาถอนหายใจสายตาก็ติดแน่นอยู่บนกระจก
คลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวกวาดออก ก่อนที่มือมหึมาและลูกทรงกลมจะระเบิดในเวลาเดียวกันพร้อมกับคลื่นกระแทกผลักมู่เฉินและซื่อหลัว ทั้งสองถลากลับไปลากรอยยาวไว้บนมหาสมุทร…
มู่เฉินถอยห่างออกไปหมื่นจั้งก็ทรงตัวได้ คลื่นกระแทกทำให้รัศมีและกระแสเลือดในร่างกายเขาเดือดพล่าน
ซื่อหลัวก็ทรงตัวพร้อมกับสีหน้ารุนแรง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดมาก่อนว่าตนเองยังไม่สามารถเอาชนะได้แม้จะใช้วิชาฝ่ามือเทพอรหันต์ก็ตาม
“วิชาเจดีย์แปดองค์สมชื่อเสียงแท้จริง” ซื่อหลัวตอบ เขารู้ข้อมูลของมู่เฉินมา ดังนั้นจึงรู้ที่มาของวิชาที่มู่เฉินเพิ่งใช้
หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายธรรมดา คงไม่สามารถรับกระบวนท่าเมื่อครู่ของมู่เฉินได้
“ฝ่ามือเทพอรหันต์ของเจ้าก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน” มู่เฉินตอบ
ซื่อหลัวถอนหายใจไม่พูดให้มาความ มือประสานเข้าด้วยกัน แสงสีทองรวมตัวกันอยู่ข้างหลังเขากลายเป็นร่างยักษ์เปล่งรัศมีอมตะ
เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ซื่อหลัวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา
เมื่อซื่อหลัวนำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา ร่างยักษ์สีม่วงทองก็ปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน
ตู้ม!
อึดใจร่างยักษ์ทั้งสองก็กระโจนออกมาพร้อมกับรหัสอมตะหลายร้อยรวมตัวกันที่เบื้องหน้าก่อนที่จะปะทะกัน ทุกกระบวนท่าทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนมากมายบนมหาสมุทร
ตึง ตึง ตึง!
ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีร่างยักษ์ทั้งสองก็ปะทะกันหลายร้อยกระบวนท่าแล้ว หากไม่ใช่มหาสมุทรที่ฟื้นฟูได้ทันท่วงที หากพวกเขาอยู่ที่อื่น สถานที่แห่งนั้นคงจะวินาศสันตะโรไปแล้ว
มู่เฉินยืนอยู่บนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ราวกับก้อนหินยืนนิ่งไม่ไหวติง เมื่อมองไปที่การเผชิญหน้ารุนแรงเขาก็ขมวดคิ้ว ความแข็งแกร่งของซื่อหลัวเกินความคาดหมายของเขานัก
ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขาต่อสู้กับหวงเฉวียนจือ เขาสามารถใช้วิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อยับยั้งอีกฝ่ายได้ แต่ตอนนี้ได้เพียงเสมอเมื่อสู้กับซื่อหลัว
ดังนั้นเขาต้องใช้วิธีแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการเอาชนะ
“เราจะลากสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้” มู่เฉินครุ่นคิด เขายังมีคู่ต่อสู้อีกสามคนที่แข็งแกร่งพอๆ กับซื่อหลัว หากหมัวเฮอโยวไม่ได้ปะทะกับเยี่ยฉิงหรือทัวป๋าชาง พวกเขาก็จะจบการดวลได้รวดเร็ว ไม่ยืดเหมือนเขาในตอนนี้
ดังนั้นเขาจำเป็นต้องยุติการต่อสู้อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นเขาจะหมดแรงและไม่สามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ที่เหลือได้
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แสงชี้ขาดก็วูบไหวในดวงตาของมู่เฉินขณะที่เขาสะบัดแขนเสื้อ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ถอยกลับ แหวนของมู่เฉินก็กะพริบพร้อมกับกองทัพที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีจั้นยี่ที่น่าอัศจรรย์ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง นี่ก็คือกองทัพมังกรดำ
การปรากฏของกองทัพกะทันหันทำให้เกิดความปั่นป่วนภายนอกเจดีย์ หลายคนตกตะลึงไป ‘มู่เฉินเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยหรือ? เขาตั้งใจจะใช้พลังรัศมีจั้นยี่เรอะ? ’
หมัวเฮอเทียนหรี่ตาลงขณะที่มองไปที่กองทัพ แม้แต่ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอก็ยังอุทาน มู่เฉินเป็นอัจฉริยะแท้จริง ไม่เพียงแต่เขาจะมีพลังการต่อสู้ที่น่าตกใจ แต่ยังมีความสำเร็จสูงในฐานะจั้นเจิ้นซืออีกด้วย
กองทัพนี้แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เต็มไปด้วยรังสีสังหาร
“ว่ากันว่ามู่เฉินได้รับกองทัพมังกรดำของจักรพรรดิมังกรดำ ในสมัยโบราณชื่อเสียงของเขาดังก้องทั่วหล้า เขากับกองทัพมังกรดำไม่รู้ฆ่าจอมปีศาจไปมากเท่าไร” หมัวเฮอเทียนกล่าว
“แต่กองทัพมังกรดำก็ไม่ได้ทรงพลังเหมือนเมื่อก่อน สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายได้เท่านั้น แต่การจะเอาชนะไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงไร้เดียงสาไปหน่อยสำหรับมู่เฉินที่จะพึ่งพากองทัพนี้เพื่อเอาชนะซื่อหลัว”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของเผ่าหมัวเฮอก็พยักหน้าเห็นด้วย
บนมหาสมุทร
ซื่อหลัวมองไปที่กองทัพ ไม่มีแรงกระเพื่อมในดวงตา “กองทัพนี้ทรงพลังนัก แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้”
แม่ทัพเจียงหลงมองไปที่ซื่อหลัว จากนั้นก็ยิ้มขมขื่น “จอมทัพมู่ ศัตรูของเจ้าดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้ง นี่ขั้นเซียนระยะปลายเลยนะ หากกองทัพมังกรดำอยู่ในจุดสูงสุดเราก็ไม่กลัว แต่ตอนนี้ยากที่จะเอาชนะได้”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินก็เพียงยิ้ม เขาทราบดีเกี่ยวกับความสามารถของกองทัพมังกรดำและเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะซื่อหลัวโดยอาศัยกองทัพมังกรดำเพียงอย่างเดียว
“ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
มู่เฉินพยักหน้าให้เจียงหลง
เจียงหลงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ทะยานกลับไปที่กองทัพและโบกธง ทันใดนั้นนักรบหนึ่งหมื่นห้าพันคนก็คำรามพร้อมกับรัศมีจั้นยี่รุนแรงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
มู่เฉินสะบัดนิ้วร่างยักษ์สีม่วงทองที่อยู่ใต้เท้าก็พุ่งออกไป เมื่อซื่อหลัวเห็นก็เร้าร่างยักษ์พุ่งเข้ามาปะทะ
ยักษ์ทั้งสองชนกันอีกครั้ง ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ขึ้น
มู่เฉินยืนอยู่บนมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือเดียว รัศมีจั้นยี่รวมตัวกันเป็นมังกรมหึมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
มังกรมหึมาปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลาย สามารถทำให้ผู้คนหนังหัวชาหนึบ
นี่เป็นจำนวนที่เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายทั่วไปเลยทีเดียว
ทว่าซื่อหลัวกลับประจันหน้ากับมังกรด้วยสีหน้าสงบ แม้ว่าลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายสามารถคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายทั่วไปได้ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเขา
“มู่เฉินกำลังพยายามไร้ประโยชน์จริงๆ พลังของลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายด้อยกว่าวิชาเจดีย์แปดองค์ซะอีก…” ด้านนอกเจดีย์ทุกคนกระซิบกัน พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมมู่เฉินถึงทำอะไรเปล่าประโยชน์เช่นนี้
มู่เฉินไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้นที่มองมา เขาจับจ้องไปที่ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายบนมังกรด้วยสายตาวูบไหว
ร่างแสงสีดำและสีขาวพวยพุ่งออกจากร่างของเขา กลายเป็นร่างรองยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ไปทางทั้งสอง ร่างรองก้าวออกไปก่อตัวเป็นรูปแบบค่ายกลที่ไม่เหมือนใคร
หลังจากวาดตราประทับอย่างรวดเร็ว เสียงหนึ่งก็เล็ดลอดออกมาจากลำคอเขา
“ค่ายกลรบสามกำลัง”
ตู้ม!
ช่วงเวลานั้นเมื่อค่ายกลรบก่อตัวขึ้น ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้านขณะที่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตระเบิดออกมาราวกับคลื่นโหมกระหน่ำฉีกทำลายมิติจากกัน
รัศมีจั้นยี่พวยพุ่งขึ้นแล้วเทเข้าสู่ร่างมังกรภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน…
โฮก!
เสียงคำรามแสบแก้วหูดังก้องจากมังกรขณะที่เริ่มขยายตัว มากจนแม้แต่ลวดลายจั้นเหวินบนร่างกายก็เพิ่มขึ้นอย่างดุเดือด
ห้าสิบห้าล้าน…หกสิบล้าน…
“ไม่พอ!”
มู่เฉินรู้สึกว่าหัวกำลังจะแตกออก ขนาดของรัศมีจั้นยี่เกินความสามารถในการควบคุมของเขา เลือดไหลซึมออกมาจากดวงตา
ทว่าเขาไม่ได้หยุด เขาสาดสีหน้าเย็นชาและระงับความเจ็บปวดขณะเทรัศมีจั้นยี่ใส่มังกรตัวมหึมาอย่างป่าเถื่อน…
ดังนั้นรัศมีจั้นยี่จึงขยายตัวออกไปอีก
หกสิบสามล้าน… หกสิบห้าล้าน… ในที่สุดจำนวนลวดลายจั้นเหวินก็มาถึงหกสิบแปดล้านลาย!
ขณะนี้ร่างมังกรมโหฬารปกคลุมท้องฟ้าราวกับเทพมังกรทำลายล้าง
ซื่อหลัวเงยหน้ามองมังกร ใบหน้าที่ไม่มีอารมณ์มาตลอด ในที่สุดก็ฉายความตกใจแล้ว…
บทที่ 1487 หกสิบแปดล้าน
ครืน!
ท้องฟ้าคำรน มหาสมุทรคำรามพร้อมกับรัศมีจั้นยี่มังกรตัวมหึมาขดอยู่ ลวดลายจั้นเหวินหกสิบแปดล้านลายกำลังเต้นระริกอยู่บนร่างของมัน รัศมีจั้นยี่ตลบอบอวลทำเอามิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น…
ลวดลายจั้นเหวินหกสิบแปดล้านลาย!
เมื่อเห็นจำนวนลวดลายจั้นเหวินที่มีมากมายมหาศาล ผู้คนที่อยู่นอกเจดีย์ก็สูดอากาศเย็นสุดปอดพร้อมกับฉายสีหน้าตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จเพียงนี้ได้…
“ไอ้เด็กบ้านั่น…”
หมัวเฮอเทียนฉายความดำมืดในดวงตากับฉากนี้ เผชิญหน้ากับลวดลายจั้นเหวินหกสิบแปดล้านลาย กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายยังต้องล่าถอย
ประจันหน้ากับพลังนี้ไม่ต้องพูดถึงซื่อหลัวเลย แม้แต่หมัวเฮอโยวก็ยังต้องถอยหนี
ยามนี้มู่เฉินคุกคามหมัวเฮอโยวได้อย่างแท้จริง
“เขายังมีไพ่ตายอยู่ในมืออีกเหรอเนี่ย?” ฝูถูเฉวียนตกใจกับฉากนี้ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินคงจะตกที่นั่งลำบาก ที่ไหนได้ชายหนุ่มกลับพลิกโอกาสกลับมาได้อีกครั้ง
“แต่ว่ารัศมีจั้นยี่ระดับนี้เกินการควบคุมของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าซื่อหลัวจะบีบให้เขาต้องนำไพ่ตายออกมา”
ฝูถูเฉวียนเห็นน้ำตาเลือดไหลจากมุมตาของมู่เฉิน นี่เป็นเพราะรัศมีจั้นยี่รุนแรงและทรงพลังเกินไป ด้วยเหตุนี้มู่เฉินจึงไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ แต่โชคดีที่เขาประสบความสำเร็จสูงไม่งั้นอาจจะตายจากพลังล้นเหลือนี่ก็ได้
ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าเบาๆ ทอดถอนหายใจและรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว นางรู้ว่าก่อนที่พวกนางแม่ลูกจะได้พบกัน มู่เฉินบีบตัวเองอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้ท้าทายขีดจำกัดตนเองมาตลอด
เพราะต้องใช้ชีวิตสู้เท่านั้นเขาถึงจะประสบความสำเร็จเช่นนี้
ขณะที่มหาสมุทรคำราม
ซื่อหลัวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มังกร แรงกดดันที่เอิบอาบทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบที่ผิวหนัง
ความกดดันมหาศาลปกคลุมไปทั่ว
“ไม่คิดว่าเจ้าจะทำถึงระดับนี้ได้…” ซื่อหลัวถอนหายใจ
มู่เฉินเช็ดน้ำตาเลือดบนแก้มแล้วคลี่รอยยิ้ม ใบหน้าเขาดูน่าขนพองสยองเกล้าเล็กน้อย “คู่ต่อสู้ทรงพลังเกินไป ดังนั้นข้าก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งให้เต็มที่”
ตอนแรกทักษะนี้เป็นสิ่งที่เขาเก็บไว้เพื่อใช้กับหมัวเฮอโยว แต่ดันโชคร้ายมาเจอศัตรูทรงพลังอย่างซื่อหลัวก่อน ดังนั้นจึงต้องงัดไพ่ตายนี้ออกมา
“งั้นข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”
ซื่อหลัวยิ้มก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แม้จะเผชิญกับแรงกดดันเช่นนี้คนอย่างเขาก็ไม่ยอมแพ้ มือประสานเข้าด้วยกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอข้าทดสอบความแข็งแกร่งของลวดลายจั้นเหวินหกสิบแปดล้านลายหน่อยเถอะ”
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไรอีก แต่หลับตาลงและประสานมือเข้าด้วยกัน
โฮก!
มังกรคำราม ดวงตาเปล่งประกายราวกับดาวสองดวงจ้องมองไปที่ซื่อหลัว อึดใจต่อมาหางมังกรก็ฟาดลงพร้อมกับการยุบตัวของมิติ ภาพเงาขนาดใหญ่กลายเป็นคลื่นรัศมีจั้นยี่รุนแรงเล็งเป้าไปที่ซื่อหลัว
ขณะที่คลื่นกวาดลงมาก็ทำให้ทุกอย่างที่ขวางหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ
หลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ก่อตัวในมหาสมุทรเบื้องล่างจนน้ำไม่สามารถเติมเต็ม
โดยที่มีซื่อหลัวยืนอยู่ตรงกลาง
เมื่อมองไปที่มังกรดำดิ่งลงซื่อหลัวก็หายใจเข้าลึกๆ “ทักษะมหาวัชระ!”
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ทันใดนั้นเลือดในร่างซื่อหลัวก็เดือดพล่านพร้อมกับรัศมีแวววาว ตัวเขาเริ่มขยายขนาด ในช่วงเวลาสั้น ก็กลายเป็นยักษ์สูงร้อยจั้งที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายสีทองโบราณ เลือดสีทองไหลออกมาจากรูขุมขน
กลิ่นอายดุร้ายระเบิดออกมาจากร่างของเขา
“นั่นคือวิทยายุทธระดับเสินทงที่แข็งแกร่งที่สุดของขุมกำลังยอดวิญญาณ มีข่าวลือว่าเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าเลยทีเดียว!”
เมื่อมองไปที่ยักษ์สีทอง ความปั่นป่วนก็กวนตัวที่ด้านนอกเจดีย์พร้อมกับผู้คนจำนวนส่งเสียงฮือฮา เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดว่าซื่อหลัวจะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนทักษะเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของขุมกำลังยอดวิญญาณ
เห็นได้ชัดว่านั่นคือไม้ตายของซื่อหลัว ซึ่งถูกมู่เฉินบังคับให้ต้องใช้
โฮก!
ยักษ์สีทองคำราม วงล้อสีทองขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นระหว่างมือ เมื่อเกิดการหมุนก็ปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งราวกับโล่ที่แข็งแกร่งที่สุด
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่กวาดข้ามขอบฟ้าก่อนที่จะซัดลงมาที่วงล้อสีทอง
ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์สามารถมองเห็นคลื่นกระแทกน่ากลัวแผ่ออกไปพร้อมกับรัศมีสีทองปกคลุมท้องฟ้า แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้างนอกยังสัมผัสได้ถึงการเผชิญหน้าที่น่ากลัว…
กระบวนท่าครั้งนี้สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว
“ใครชนะ?”
แต่ดวงตาทุกคู่ก็เกาะแน่นอยู่ที่กระจกขณะที่แสงสีทองพร่างพราวกินเวลาสิบกว่านาทีก่อนที่จะค่อยๆ สลายไป ทุกคนจับจ้องไปโดยไม่กะพริบตา
มหาสมุทรยุบตัวลง น้ำไม่สามารถเติมเต็มปากปล่องขนาดใหญ่ได้ น้ำราวกับน้ำตกขณะตกลงมาจากรอบด้าน…
ในปากปล่องสามารถมองเห็นร่างปกคลุมไปด้วยเลือด หัวโล้นเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวบอกว่านั่นคือซื่อหลัว
แต่ขณะนี้คลื่นหลิงรอบตัวเขาลดลง ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนัก
บนท้องฟ้าไกลออกไป มหาสมุทรจั้นยี่ก็เบาบางลง แต่ร่างเงาอ่อนเยาว์ยังนั่งอยู่ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน…
รอบเจดีย์วั้นกู่เงียบกริบ ทว่าผลลัพธ์นี้ชัดเจนแล้ว
เหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ที่เบาบางลง มู่เฉินมองไปที่ซื่อหลัวที่หมดสติด้วยสีหน้าซีดเซียว อึดใจเขาก็กระอักเลือดออกมา
“จอมทัพมู่ นักรบมังกรดำหนึ่งหมื่นคนได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นตัว” เสียงของเจียงหลงดังก้อง มู่เฉินหันไปมองก็เห็นใบหน้าอีกฝ่ายซีดขาวเช่นกัน มีรอยเลือดไหลลงจากมุมปากด้วย
ครั้งนี้แม้จะเอาชนะซื่อหลัวได้ แต่กองทัพมังกรดำก็จ่ายราคามหาศาล
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อขวดหยกบินไปหาเจียงหลง “ในนี้มีของเหลวจื้อจุนสามร้อยล้านหยด แจกจ่ายให้ทั่ว ทุกคนต้องฟื้นตัวรวดเร็วที่สุด”
“รับทราบ!”
เจียงหลงฉายท่าทางยินดี กองทัพมังกรดำสามารถฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้นด้วยจำนวนของเหลวจื้อจุนทั้งหมดนี้
มู่เฉินโบกมือเรียกกองทัพมังกรดำกลับมา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนมองร่างที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร
ซื่อหลัวทรงพลังอย่างแท้จริง แต่โชคดีที่เขาชนะ
มิติบิดเบี้ยวรอบร่างซื่อหลัวห่อหุ้มร่างกายนำออกจากเจดีย์วั้นกู่
พร้อมกับการหายไปของซื่อหลัว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับแสงสีม่วงทองสายใหญ่บินออกมา
โฮก!
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉินเปล่งเสียงคำรามด้วยความกระหายก่อนที่ดูดกลืนลำแสงนั้น
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ บังเกิดรัศมีสีทองบนหน้าผากของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้นจ้องมองขึ้นไปบนสวรรค์และโลก
เมื่อมองไปที่ภาพนี้ มู่เฉินก็เหม่อลอยไป ไม่รู้ใช่ความเข้าใจผิดหรือไม่ เขารู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นจากร่างเทพสุริยะรันดร์ที่คิดจะสลายตนและหลอมรวมเข้ากับฟ้าดินนี้…
ความรู้สึกนั้นคงอยู่เพียงวูบเดียว มู่เฉินฟื้นสติอย่างรวดเร็วมองไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ลวดลายสีทองราวกับชั้นชุดเกราะสีทองยากทำลายปกคลุมบนร่างของมัน
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะโบกมือเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์กลับคืน
เขารู้สึกได้ว่ามิติโดยรอบเริ่มบิดเบี้ยวอีกครั้ง
นั่นแสดงว่าเขาผ่านชั้นนี้และกำลังจะเข้าสู่ชั้นถัดไป ซึ่งเขาใกล้จะได้แตะร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ดวงตามู่เฉินก็ลุกโชกด้วยไฟปรารถนา เลือดทั้งกายเหมือนจะเดือดพล่านในเวลานี้ ความโหยหาที่ไม่เคยมีมาผุดขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจ
ร่างมหาเทพนิรันดร์!
เขารอวันนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ?
นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์เขาก็โหยหาถึงวันนี้ แต่ในเวลานั้นเขายังอ่อนแอเกินไป จึงทำได้เพียงซ่อนความปรารถนาไว้ในใจ
หลังจากผ่านไปหลายปีในที่สุดลูกนกก็เติบใหญ่โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ระดับสุดยอดของมหาพันภพและมีคุณสมบัติที่จะแสดงความปรารถนาในใจของตนเอง…
มู่เฉินค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยให้ร่างถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นมิติบิดเบี้ยวแล้วค่อยๆ หายไป
“ร่างมหาเทพนิรันดร์ ข้ามาแล้ว”
บทที่ 1488 ชั้นสุดท้าย
ในดินแดนโบราณแห่งนี้
พื้นดินแตกระแหงราวกับที่นี่ได้ผ่านการต่อสู้โชกโชน กระทั่งสุดขอบฟ้าก็ขาดรุ่งริ่ง
บนพื้นดินแตกสลายมีภูเขาสีแดงเข้มตั้งตระหง่านอย่างเงียบๆ ซึ่งปล่อยกลิ่นอายโบราณและอมตะออกมา ช่างให้ความรู้สึกลึกลับ
บนภูเขาสีแดงเข้มมีร่างเงาสามร่างนั่งบนแท่นขนาดใหญ่ ทั้งสามตั้งระวังซึ่งกันและกันอยู่
พวกเขาก็คือหมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผ่านรอบคัดออกมาถึงชั้นสุดท้ายแล้ว
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าผลจะเป็นไปตามที่ข้าคาดไว้ที่พวกเจ้าสองคนมาถึงที่นี่” หมัวเฮอโยวมองไปที่เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางขณะที่ยิ้ม “ในบรรดาร้อยกว่าคน มีเพียงเจ้าสามคนเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”
เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางรู้ว่าบุคคลที่สามที่หมัวเฮอโยวพูดถึงก็คือซื่อหลัว
“ถ้างั้นก็ต้องขอขอบคุณที่ให้ความคาดหวังสูงกับเรานะ” เยี่ยฉิงกระชับหอกสีแดงเข้ม เสียงหัวเราะช่างไม่แยแส แต่ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาไม่กลัวหมัวเฮอโยวสักนิด
สำหรับทัวป๋าชางกลับนิ่งเงียบโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า
“แต่ซื่อหลัวยังมาไม่ถึงที่นี่ ดังนั้นเขาต้องเจอกับศัตรูทรงพลังอยู่แน่” เยี่ยฉิงสังเกตว่าจอมยุทธ์คนที่สี่ยังไม่ปรากฏตัว เขาจึงอดจะดูประหลาดใจไม่ได้
“ต้องเป็นมู่เฉินคนนั้นแหละ” ทัวป๋าชางแสดงความคิดเห็น
พวกเขาทราบข้อมูลของมู่เฉินดีและรู้ว่าคนที่มีอันดับจี้ตามหลังพวกเขามีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
“แม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถ แต่ก็ยังขาดหลายส่วนที่จะเอาชนะซื่อหลัวได้” หมัวเฮอโยวหัวเราะ เขาเคยเห็นฝีมือการต่อสู้ของมู่เฉิน แม้ว่าอีกฝ่ายจะทรงพลัง แต่เขาไม่รู้สึกว่ามู่เฉินจะเอาชนะซื่อหลัวได้
แม้ว่าเยี่ยฉิงและทัวป๋าชางจะระวังตัว แต่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย เนื่องจากพวกเขาตระหนักดีถึงความสามารถของซื่อหลัว แม้กระทั่งตัวพวกเขาก็ยังไม่มั่นใจในการเอาชนะซื่อหลัว
ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถ แต่ด้วยขุมพลังขั้นหลิงระยะกลางก็น่าจะไม่สามารถเอาชนะซื่อหลัวที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้
ฮึ่ม!
เมื่อสิ้นเสียงพูดคุย มิติก็แปรปรวน ทันใดทั้งสามก็มองไปทันที
ภายใต้การจ้องมอง มิติบิดเบี้ยวก็เผยภาพเงาอ่อนเยาว์ขึ้น…
สายตาของทั้งสามจับจ้องมองไปที่ใบหน้าคนมาใหม่ชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของหมัวเฮอโยวจะแข็งค้าง แม้แต่เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางก็หดดวงตาขณะมองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความตกใจ
คนที่มาใหม่ก็คือมู่เฉิน เขามองไปที่หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง สายตาก็วูบไหวเล็กน้อยก่อนที่จะถอยออกไปในระยะที่ปลอดภัย…
“เจ้าเอาชนะซื่อหลัวได้เรอะ?” หมัวเฮอโยวขมวดคิ้วขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน
“แปลกตรงไหน?” มู่เฉินกวาดสายตามองไปอย่างไม่แยแส
“เฮ้ น่าสนใจดี… ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำอยู่ตลอด” รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหมัวเฮอโยวขณะมีแสงเย็นวาบในดวงตา เขาไม่ชอบความรู้สึกของสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่าย แต่มองไปที่ภูเขาสีแดงเข้ม เขาสัมผัสได้ถึงแรงดูดที่ไม่อาจบรรยายได้…
รัศมีอมตะที่เปล่งออกมาจากภูเขานั้นเหมือนกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทุกประการ
นี่ทำให้หัวใจของมู่เฉินเต้นรัวแรง ‘ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนานซ่อนอยู่ในภูเขาลูกนั้นงั้นหรือ?’
“เจ้าเดาถูก ร่างมหาเทพนิรันดร์น่าจะอยู่ในภูเขานั้น” มู่เฉินมองไปก็พบว่าเยี่ยฉิงเป็นคนพูดนั่นเอง
ตู้ม!
เมื่อเยี่ยฉิงพูดจบ ภูเขาสีแดงเข้มก็สั่นสะท้าน รอยแยกขนาดใหญ่บนภูเขาแตกออกก่อนที่จะค่อยๆ กระจายออกไปราวกับว่าภูเขากำลังจะแยกออกจากกัน
รอยแยกเหล่านั้นเปล่งรัศมีอมตะที่ไม่อาจบรรยายได้ นั่นเป็นความอมตะที่แท้จริง แม้ว่าสวรรค์และโลกจะแตกสลาย มันก็ยังจะคงอยู่ต่อไป
รัศมีสีม่วงทองเปล่งออกมาจากเบื้องหลังมู่เฉิน หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของพวกเขาถูกเร้าออกมาโดยไม่อาจควบคุมได้ ราวกับว่าพวกมันรู้สึกถึงแรงดูดทรงพลัง
สายตาของมู่เฉินเดือดพล่านขณะมองไปที่ภูเขา เขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าเมื่อภูเขาแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะถือกำเนิดขึ้น…
แต่เมื่อหัวใจของมู่เฉินเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่จ้องมองมา เขาหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายทันทีและมองไปที่หมัวเฮอโยว
ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกถึงความศัตรูของเยี่ยฉิงและทัวป๋าชางเช่นกัน เนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์กำลังจะปรากฏขึ้น แต่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะได้รับไป…
“ทุกคนน่าจะรู้ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป…” สายตาหมัวเฮอโยววูบไหวความเย็นเยือกราวกับอสรพิษร้ายพร้อมกับน้ำเสียงอัดแน่นด้วยไอสังหาร “ดังนั้นเราไม่ควรที่จะลดจำนวนคู่แข่งลงก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏรึ?”
สายตาของมู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางกะพริบวาบขณะที่ถามขึ้นในเวลาเดียวกัน “เจ้าต้องการอะไร?”
หมัวเฮอโยวเหยียดสองนิ้วออกมา รอยยิ้มโหดร้ายปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปาก “แบ่งออกเป็นสองกลุ่มและกำจัดคู่ต่อสู้ของเรา”
ขณะที่พูดสายตาเย็นชาก็จับจ้องไปที่มู่เฉิน ชัดว่าตัวเขากำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว
เยี่ยฉิงขมวดคิ้วพูดว่า “เจดีย์ไม่ได้ต้องการตัดใครออกแล้ว ซึ่งหมายความว่าทุกคนที่นี่มีคุณสมบัติพอที่จะได้เห็น…”
หมัวเฮอโยวยิ้มตาหยี “แต่ข้าไม่ได้คิดในมุมมองเดียวกัน”
บรรยากาศบนแท่นเย็นเยือกลง เจตนาฆ่าพลุ่งพล่านไปหมด
เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางมองไปที่มู่เฉิน พวกเขารับรู้แล้วว่าหมัวเฮอโยวกำลังจ้องหาเรื่องอีกฝ่าย…
ภายใต้สายตาทั้งสอง มู่เฉินก็ไม่มีแรงกระเพื่อมใดๆ บนใบหน้า เขามองไปที่หมัวเฮอโยวพลางยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจมากในการไล่ข้าออกไปก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะเผยออกมา?”
หมัวเฮอโยวตอบกลับด้วยเสียงเบาว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะยืนต่อหน้าข้าเพราะเอาชนะซื่อหลัวได้ เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ถ้าเจ้าอยากเล่นฆ่าเวลา ข้าก็จะเล่นด้วย”
รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมหมัวเฮอโยวขณะตอบว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะเล่นจนตัวเองตายนะสิ”
มู่เฉินคลี่รอยยิ้ม ขยับตัวกลายเป็นริ้วแสงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา หมัวเฮอโยวก็เคลื่อนไหวไล่ตามไปทันที
เยี่ยฉิงลังเลชั่วครู่ก่อนที่หอกสีแดงเข้มในมือจะชี้ไปที่ทัวป๋าชาง “สิ่งที่เขาพูดถูกต้อง มีเพียงคนเดียวที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่ดีในการกำจัดคู่แข่ง”
ทัวป๋าชางพยักหน้าคว้าดาบปลายหัก เส้นผมปลิวไสวไปในสายลมพร้อมกับรัศมีแหลมคมกวาดออกไป ทิ้งรอยไว้ในพื้นที่โดยรอบ
“ข้าอยากลองทักษะหอกอสุราของพี่เยี่ยมานานแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ…”
“พวกเขาสู้กันอีกแล้ว!”
เมื่อเหล่าผู้ชมเห็นภาพในกระจกสองบานก็มีไฟลุกโชนในดวงตา เนื่องจากทั้งสี่เป็นตัวแทนจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในงานชุมนุมนิรันดร์ครั้งนี้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นหมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงหรือทัวป๋าชาง พวกเขาล้วนมีชื่อเสียงแกร่งกร้าว แม้แต่มู่เฉินที่เพิ่งจะมีชื่อเสียงก็สามารถเอาชนะซื่อหลัวได้
ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ใกล้จะเผยออกมา ก็ถึงเวลาที่ทั้งสี่คนจะเปิดฉากการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่…
“หมัวเฮอโยวน่ารังเกียจนัก!”
ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งเย็นชาลง นางบอกได้เลยว่าหมัวเฮอโยวเล็งเป้ามาที่มู่เฉิน โดยเฉพาะมู่เฉินเพิ่งเสร็จศึกกับซื่อหลัว กองทัพมังกรดำได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่สามารถออกรบได้ในตอนนี้ มิฉะนั้นแม้แต่หมัวเฮอโยวก็คงไม่กล้าเสี่ยง
“ไม่ต้องกังวล” ฝูถูเฉวียนปลอบใจ เขามองไปที่ภาพเงาอ่อนเยาว์ในกระจก “ลูกชายเจ้ามีกลยุทธ์หลากหลายพร้อมกับเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ข้าไม่เชื่อว่ากองทัพมังกรดำเป็นไพ่ตายใบเดียวของเขา…”
“เจ้านั่นแหละเจ้าเล่ห์”
ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบอย่างไม่พอใจ แต่จากนั้นก็สงบใจลงได้ แม้ว่ามู่เฉินจะใช้กองทัพมังกรดำไม่ได้ แต่เขาก็ต้องมีความมั่นใจในการต่อสู้ถึงได้กล้ารับคำท้า
หมัวเฮอเทียนมองไปที่กระจกเช่นกัน ส่วนผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอที่เห็นหมัวเฮอโยวและมู่เฉินประจันหน้ากันก็ต่างส่ายหัว
“มู่เฉินช่างยโสโอหัง ไม่ต้องพูดถึงกองทัพมังกรดำได้รับบาดเจ็บหนัก แม้ว่าเขาจะมีมันในตอนนี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสู้กับหมัวเฮอโยว”
หมัวเฮอเทียนตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “หมัวเฮอโยวทำได้ดีมาก”
พวกเขาเห็นพ้องต้องกันเต็มที่ที่หมัวเฮอโยวจะกำจัดคู่แข่งก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏ ซึ่งจะดีมากถ้าสามารถกำจัดคู่แข่งทั้งสามคนได้ กรณีนี้ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะมีทางเลือกเดียวก็คือหมัวเฮอโยว
“แต่เวลากระชั้นชิดนัก ข้าเกรงว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏขึ้นในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป” ผู้อาวุโสคนหนึ่งมองไปที่ภูเขาสีแดงเข้มในกระจก
หมัวเฮอเทียนสวมรอยยิ้มเย็นชาขณะมองการเผชิญหน้าผ่านกระจก
“เวลาเท่านั้นก็เกินพอที่หมัวเฮอโยวจะถีบเจ้าเด็กนั่นออกจากเจดีย์วั้นกู่แล้ว…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น