หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1475-1478
บทที่ 1475 ผู้ทรงอำนาจ
ตู้ม!
ครั้นมังกรคำราม ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายก็วูบไหว แรงกดดันที่กำจายออกมาทำให้ทุกคนหวาดกลัว
ภายใต้สายตาหวาดกลัวเหล่านั้น มังกรก็ปะทะกับลำแสงสีเงิน…
ช่วงเวลาที่ชนกันท้องฟ้าก็เริ่มพังทลาย ความกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้แผ่ออกไป ทำให้เกิดรอยแตกในมิติบนเส้นทาง
ทุกคนเงยหน้าขึ้นจับจ้องไปที่จุดเกิดเหตุที่น่ากลัวก็เห็นรัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนและแสงสีเงินปะทะกัน พยายามที่จะกลืนกินกันและกัน
ก่อนหน้าลำแสงสีเงินที่รวบรวมพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าสามารถทำลายลวดลายจั้นเหวินสี่สิบล้านลายได้ แต่สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อถึงระดับห้าสิบล้านลาย
ขณะที่ลวดลายจั้นเหวินกวาดออก คลื่นการทำลายล้างในแสงสีเงินก็เริ่มลดลงจนไม่สามารถขยับได้ ไม่เพียงแค่นั้นยังถูกผลักกลับด้วยเสียงมังกรคำราม…
เมื่อทั้งห้าเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้ ยามนี้พวกเขามีความกลัวริบหรี่อยู่ในดวงตา
“ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลาย… ทำไมความสำเร็จของมู่เฉินในการเป็นจั้นเจิ้นซือถึงน่ากลัวขนาดนี้?!” พวกเขาทั้งห้าคำรามด้วยความไม่เต็มใจในใจ ต้องรู้ว่าลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายได้เลยทีเดียว
โฮก!
ขณะที่ทั้งห้ากำลังตกตะลึงในใจ เสียงคำรามที่ทำให้แผ่นดินพิโรธก็ดังก้องมาจากมังกร อึดใจต่อมามันก็อ้าปากกลืนแสงสีเงินลงไป
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เมื่อมันกลืนกินแสงสีเงิน การระเบิดรุนแรงก็เกิดขึ้นในร่างมังกรพร้อมกับแสงสีเงินแล่นแปลบปลาบ แต่ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายปะทุรัศมีออกมาระงับการระเบิดภายในตัวเอง…
การระเบิดดำเนินไปชั่วครู่ก่อนที่แสงสีเงินจะค่อยๆ หายไป ทว่ามังกรก็เริ่มหดตัวลง ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลายลดลงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามันใช้พลังงานจำนวนมหาศาลในการปราบปรามลำแสงสีเงิน
ปุ!
แต่เมื่อลำแสงสีเงินอ่อนตัวลง ใบหน้าของประมุขทั้งห้าก็ซีดลง คลื่นหลิงรอบตัวพวกเขาพลุ่งพล่านรุนแรง ก่อนที่เลือดจะกระอักออกมาจากปาก ความผันผวนของคลื่นพลังรอบตัวอ่อนลงฉับพลัน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับผลกระทบ
“ไอ้หนูนี่ต่อกรยากเกินไป ไม่ง่ายที่จะจัดการเลย!” ใบหน้าของตันหยางซีดเซียวขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว เขารู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกลแล้ว เพราะพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาน่ากลัวเกินไป
คนที่เหลือก็มีสีหน้าไม่น่าดู เป็นเรื่องน่าอายเกินไปที่พวกเขาทั้งห้าไม่สามารถได้เปรียบใดๆ ในการต่อสู้กับมู่เฉิน
มีเพียงกุ่ยตี้เท่านั้นที่มองไปที่มู่เฉินด้วยความไม่เต็มใจ
“วันนี้เราถอยไปก่อนไหม?” ตันหยางเอ่ยแนะนำ เขาได้รับบาดเจ็บและความสามารถในการต่อสู้ก็ลดลง ดังนั้นเขาจึงไม่มีความตั้งใจที่จะประลองกับมู่เฉินอีกต่อไป
เมื่อได้ยินคำแนะนำนั้น ทุกคนก็เกิดความคิด คลื่นหลิงพุ่งขึ้นรอบตัวด้วยความตั้งใจที่จะล่าถอย
“คิดหนีเหรอ?”
ทว่าทันใดนั้นมู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิง ไอเย็นเยือกวูบไหวในดวงตา แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้รับผลกระทบจากการปะทะ แต่กองทัพมังกรดำก็มีนักรบอย่างน้อยสองพันคนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว
นี่ทำให้มู่เฉินโกรธในใจ แล้วเขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายไปได้อย่างไร?
แสงเย็นวูบวาบในดวงตามู่เฉิน จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น ขณะเดียวกันภาพเงาหนึ่งก้าวออกมาจากเบื้องหลังนั่งลงในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่แทน เร้ารัศมีสงครามเพื่อปราบปรามอีกฝ่าย
ส่วนร่างหลักมู่เฉินก็มีปีกสีทองคู่หนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลัง เกิดการกระพือขึ้นลงก่อนที่เขาจะหายตัวไป
“ระวัง!”
เมื่อมู่เฉินหายตัวไป กุ่ยตี้และคนอื่นๆ ก็ตะโกนด้วยสีหน้าหนักใจ เพราะพวกเขาไม่สามารถสัมผัสถึงความเร็วของมู่เฉินได้เลย
วาบ!
ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนของพวกเขา ใบหน้าของตันหยางก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากเขาเห็นภาพเงาก้าวออกมาประจันหน้ากับเขา
ไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า เจดีย์ปรากฏในดวงตามู่เฉิน ผลึกคลื่นหลิงไหลผ่านแขนขาก่อนที่เขาจะผลักฝ่ามือออกเบาๆ
แม้ว่ามู่เฉินจะผลักฝ่ามือออกไปเบาๆ แต่ความเร็วนั้นก็ไม่สามารถตรวจจับได้ ยิ่งกว่านั้นตันหยางยังได้รับบาดเจ็บมาเมื่อครู่ก็ ดังนั้นทันทีที่ตันหยางเร้าคลื่นหลิงสร้างการป้องกัน ฝ่ามือของมู่เฉินซึ่งปกคลุมไปด้วยผลึกแสงก็ซัดลงบนหน้าอกแล้ว
ปัง!
การซัดนี้ทำให้หน้าอกของตันหยางยุบลง คลื่นหลิงไม่สามารถต้านทานฝ่ามือนี้ของมู่เฉินได้เลย
อ็อก!
ตันหยางกระอักเลือดกระเด็นกลับไป ในเวลาเดียวกันร่างเวทสวรรค์ใต้เท้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยร้าว จนสุดท้ายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
วาบ!
ซัดฝ่ามือเดียวใส่หน้าอกตันหยาง มู่เฉินก็ไม่ได้มองไปที่อีกฝ่ายเลย ปีกสีทองที่ด้านหลังกระพืออีกครั้งและเขาก็วาบหายตัวไป
“เร้าการป้องกันร่างเวทสวรรค์ออกมา!”
อีกสี่คนรู้สึกได้เมื่อตันหยางได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาคำรามลั่น ความเร็วของมู่เฉินเหนือกว่าพวกเขาหลายขุม แม้แต่กุ่ยตี้ก็ไม่สามารถตรวจจับมู่เฉินได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงใช้การป้องกันของร่างเวทสวรรค์เพื่อต้านการโจมตีของมู่เฉิน
โฮก!
แต่เมื่อพวกเขาคิดใช้พลังของร่างเวทสวรรค์ วิญญาณสงครามมังกรก็คำรามภายใต้การควบคุมของมู่เฉินชุดดำ ร่างมันพันธนาการเข้ากับร่างเวทสวรรค์ของทั้งสี่
“เวรเอ้ย!” ทั้งสี่คนสาปแช่งและรู้สึกเย็นเยือกในหัวใจ ขณะนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บและมู่เฉินได้ใช้ความเร็วที่น่ากลัวโดยตั้งใจที่จะเอาชนะพวกเขาในยามอ่อนกำลังลง
ในเวลานี้พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะถอยหนี
วาบ!
ภาพเงามู่เฉินปรากฏขึ้นข้างหลังจื่อเหลย หมัดถูกชกออกไป
“ไอ้สารเลว แกคิดว่าข้ากลัวเรอะ?!” จื่อเหลยคำราม สายฟ้าป่าเถื่อนแล่นแปลบปลาบรอบตัวเขา เขาก็เหวี่ยงหมัดออกไป เมื่อสายฟ้ากวาดออกก็ดูราวกับว่าสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้
ในตอนนี้เขารู้ว่ามู่เฉินปราบเขาแน่ หากเขาแสดงความขี้ขลาดออกมา
ตู้ม!
เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกัน ใบหน้าของจื่อเหลยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ผลึกแสงแผ่กระจายออกมาจากมู่เฉิน ก่อเป็นลวดลายผิดแผกพุ่งเข้ามาในร่างกายเขา
ในเส้นทางของผลึกแสงคลื่นหลิงก็หายไปอย่างน่าประหลาด
“พลังผนึก?!” จื่อเหลยอุทานออกมา
ตึง!
ทว่าก่อนที่เสียงจะสะท้อนออกไป หมัดของมู่เฉินก็ทะลุแนวป้องกันส่งร่างเขาถลาไปพร้อมกับอักขระผลึกที่ปกคลุมไปทั่วร่างกาย คลื่นหลิงไร้ขอบเขตลดลงฮวบ ชัดว่าถูกปิดผนึกไว้ชั่วคราว
ฟิ้ว ฟิ้ว!
หลังจากจัดการกับจื่อเหลยแล้ว มู่เฉินก็เล็งไปที่โยวเฉวียนและไป๋หู ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ซึ่งตอนนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉิน ดังนั้นเพียงไม่กี่สิบลมหายใจ ทั้งสองก็ถูกผนึกคลื่นหลิงเอาไว้ ร่างดิ่งพสุธาลงไปที่จัตุรัสหยก
ขณะนี้เหลือเพียงกุ่ยตี้ที่ยังยืนอยู่
การตอบโต้ของมู่เฉินดุร้ายมากจนมาถึงจุดที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นสี่คนพ่ายแพ้ทั้งหมด ขณะนี้เหล่าผู้ชมถึงได้หลุดออกจากอาการตื่นตะลึงและหายใจเข้าลึกๆ
พวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจหวาดผวามองไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ด้วยความเคารพในสายตา เห็นได้ชัดว่าทุกคนตะลึงในพลังการต่อสู้ของมู่เฉิน
“ตาเจ้าแล้ว”
มู่เฉินมองไปที่กุ่ยตี้โดยไม่สนใจสายตารอบข้าง
สีหน้าของกุ่ยตี้มืดครึ้มลง แต่ก็เลือกถอยกลับไป หากไม่มีอีกสี่คนช่วย เขาไม่มีทางที่จะต่อกรกับมู่เฉินได้แน่นอน ดังนั้นจึงได้แต่ถอนตัวเท่านั้น
“เจ้าคิดว่าจะวิ่งหนีได้เหรอ?”
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยแสงเย็นชาขณะที่ปีกข้างหลังกระพือ เขาพุ่งผ่านมิติไปปรากฏตัวเบื้องหน้ากุ่ยตี้พร้อมกับเหวี่ยงหมัดออกไป
ผลึกแสงบนกำปั้นพร่างพราวมาก
กุ่ยตี้ปวดหัวกับความเร็วที่ปีกหงส์ฟ้าสีทองมอบให้กับมู่เฉิน ทว่าเขาก็เป็นจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขาม ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าไม่สามารถถอยได้ แสงดุร้ายก็วูบไหวในดวงตาทันที
“แกจัดการพวกเขาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำแบบเดียวกับข้าได้!” กุ่ยตี้กล่าวขณะที่มือประสานกัน คลื่นหลิงเย็นเยือกไม่มีที่สิ้นสุดรวมตัวกันเบื้องหน้า ก่อร่างเป็นตราประทับพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนดังก้อง
“ตราประทับหมื่นผี!”
กุ่ยตี้แผดเสียงขณะที่กระแทกฝ่ามือใส่มู่เฉิน
ดวงตามู่เฉินกะพริบแสงวาบพร้อมกับเค้นเสียงเย็น แค่คิดเสียงคำรามรุนแรงก็ลั่นออกมาจากร่างกาย มังกรแท้จริงบิดตัวไปมาเคลื่อนไปที่แขนของเขา
แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกมาจากแขนของมู่เฉินทำให้ทั้งแขนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นกรงเล็บมังกรทอง
นี่คือกรงเล็บมังกรแท้จริง!
ตู้ม!
กรงเล็บมังกรฉีกผ่านมิติกระแทกกับตราประทับผี
ในช่วงเวลาที่ปะทะกันใบหน้าของกุ่ยตี้ก็เปลี่ยนไปรุนแรงด้วยความหวาดผวาสุดขีดขณะที่อุทานว่า
“นะ…นี่คือพลังระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน?!”
บทที่ 1476 ค่าชดเชย
เมื่อกรงเล็บสีทองปะทะกับตราประทับผี
แววไม่เชื่อก็วูบไหวในดวงตาของกุ่ยตี้พร้อมกับความหวาดผวาสุดขีด
“พลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน?!”
กุ่ยตี้อุทาน เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังที่มีอยู่ในหมัดของมู่เฉินมาถึงระดับนี้แล้ว
แม้ว่าก่อนหน้ามู่เฉินจะสามารถใช้วิญญาณสงครามเพื่อต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ แต่ก็เป็นรัศมีจั้นยี่ซึ่งไม่ใช่พลังของเขา ดังนั้นขุมพลังของมู่เฉินยังคงอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเท่านั้น
แต่ในขณะนี้หมัดของมู่เฉินมีพลังของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน
นี่ทำให้กุ่ยตี้รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออย่างยิ่ง เพราะในการรับรู้ของเขา มู่เฉินยังอยู่ในขั้นหลิง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด พลังของแขนข้างขวาถึงอยู่ในขั้นเซียน
ตู้ม!
อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้มากอีกแล้ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากเสียงคำรามรุนแรงจากจุดปะทะพร้อมกับแรงระเบิดขนาดใหญ่ที่ทำให้ตราประทับผีแตกออก
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก แค่มู่เฉินที่มีขุมพลังขั้นหลิงก็ยากที่จะรับมือแล้ว หากมู่เฉินมีความแข็งแกร่งของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว
ดังนั้นเขาจึงถอยกลับโดยไม่ลังเล ตราประทับในมือเปลี่ยนไป ตราประทับผีระเบิดออกพร้อมกับความเย็นเยือกไร้ขอบเขตขณะที่กวาดใส่มู่เฉิน
โฮก!
แต่ก่อนที่รัศมีเยือกเย็นจะปกคลุมมู่เฉิน เสียงมังกรทองก็คำรามดังก้องพร้อมกับแสงสีทอง รัศมีเยือกเย็นที่สัมผัสสลายหายไปทันที
วาบ!
ปีกหงส์ฟ้าด้านหลังมู่เฉินกระพือวูบไหว เขาก็ไปปรากฏตัวเบื้องหน้ากุ่ยตี้เหวี่ยงกำปั้นออกไป มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ หมัดพุ่งเข้าไปกระแทกหน้าอกของกุ่ยตี้ ภายใต้สายตาหวาดกลัวของเขา
ตึง!
เสียงระเบิดดังก้อง กุ่ยตี้ร้องโหยหวนออกมา แสงสีทองระเบิดออกมาจากหน้าอกทำลายการป้องกันทั้งหมดลง กระทั่งร่างกายของเขาก็ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง
เลือดตกลงมาจากท้องฟ้า กุ่ยตี้ก็คล้ายกับนกปีกหัก ร่วงหล่นลงมาก่อนที่จะกระแทกกับจัตุรัสหยก พื้นสั่นสะเทือนด้วยคลื่นกระแทกแผ่ออกทำลายจัตุรัสนี้…
ทันใดนั้นทั่วเมืองก็ตกอยู่ในความเงียบ
ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดกับฉากที่เกิดขึ้น พวกเขามองร่างเงาอ่อนเยาว์บนท้องฟ้าด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งในใจ
“ทรงพลังเกินไปแล้ว…” ทุกคนถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน ขณะนี้แม้แต่พวกเขาก็ถูกข่มเต็มที่จากพลังที่มู่เฉินแสดงออกมา
ตัวคนเดียวสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนได้
แม้กระทั่งในมหาพันภพความสำเร็จนี้ก็ทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือน…
ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าด้วยการดำรงอยู่ในทวีปเทียนหลัวไม่มีใครสามารถเขย่าบัลลังก์มู่เฉินและสถานะของ ตำหนักมู่ได้
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตำหนักมู่คือเจ้าเหนือหัวหนึ่งเดียวของทวีปเทียนหลัว
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะประมุขมู่ที่น่าสะพรึงกลัว…
เมื่อรัศมีจั้นยี่สลายไปในท้องฟ้า นักรบมังกรดำก็พุ่งกลับไปพักในแหวนของมู่เฉิน ตัวเขาถอนปีกหงส์ฟ้าออก จากนั้นก็ก้มลงมองทุกคนที่อยู่รอบๆ ด้วยดวงตานิ่งสงบ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตำหนักมู่จะปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด ทุกคนจงสวามิภักดิ์ มิฉะนั้นก็ออกจากทวีปไป” เสียงของมู่เฉินสะท้อนออกมา
แม้ว่าน้ำเสียงจะสงบเรียบ แต่ก็มีความเผด็จการที่ไม่อาจโต้แย้งได้
เขารู้ว่าตำหนักมู่ไม่จำเป็นต้องปกปิดพลังอีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือเปลี่ยนทวีปเทียนหลัวให้อยู่ใต้การปกครองของตำหนักมู่
ด้วยมหาทวีปนี้ ตำหนักมู่จะสามารถขยายอิทธิพลได้อย่างรวดเร็วและเข้าสู่ขั้วอำนาจสุดยอดในมหาพันภพ
เสียงของมู่เฉินทำให้เกิดความปั่นป่วน ทุกคนแสดงออกอย่างซับซ้อน ตอนแรกพวกเขาดำรงตำแหน่งระดับสูงในทวีปเทียนหลัว แต่ตอนนี้มีคนที่อยู่เหนือพวกเขาแล้ว
แต่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามเนื่องจากทั้งห้าคนที่มีคุณสมบัติต่างพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน
ดังนั้นหลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ ทุกคนก็ประสานมือโค้งคำนับพร้อมกับเปล่งเสียงดังก้องไปทั่วเมือง
“คารวะท่านประมุข”
เมื่อจิ่วโยวและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตำหนักมู่ก็คล้อยตามด้วยอารมณ์และความภาคภูมิใจ ภายใต้การนำของมู่เฉิน พวกเขาจะก้าวมายืนบนจุดสูงสุดของมหาพันภพในที่สุด
มู่เฉินพยักหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่หลุมอุกกาบาตทั้งห้าในจัตุรัส “เลิกมุดได้แล้ว จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนไม่ตายง่ายๆ หรอก”
พร้อมกับเสียงของมู่เฉิน แสงห้าสายก็พุ่งออกมาแล้วลอยบนอากาศด้วยสภาพน่าสมเพช
ยามนี้ทั้งห้าคนร่างถูกปกคลุมไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บหนัก
พวกเขาเกิดความหวาดกลัวในดวงตาเมื่อมองไปที่มู่เฉิน แม้แต่กุ่ยตี้ก็ยังนิ่งเงียบด้วยความกลัว
พวกเขาสูญเสียความมั่นใจอย่างสิ้นเชิงในการต่อสู้ครั้งนี้
“มู่เฉิน แกชนะแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกข้าจะไม่เอามือแตะทวีปเทียนหลัวอีกต่อไป” จื่อเหลยกล่าวด้วยสีหน้าซีดขาว
มู่เฉินยิ้ม “ถ้าเจ้าจุ่มมือลงมา ข้าจะสับมันออก”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดของมู่เฉิน พวกเขาทั้งห้าก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก แต่ก็ไม่สามารถหักล้างได้ เพราะผู้แพ้ไม่มีสิทธิ์เปิดปาก
“ตอนนี้มาพูดเรื่องค่าชดเชยกันหน่อยเถอะ” มู่เฉินกล่าวช้าๆ
พอได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของกุ่ยตี้ก็ดิ่งลง “แกต้องการอะไรอีก?”
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างเย็นชาขณะที่ตอบ “ถ้าข้าปล่อยพวกเจ้าไปแบบง่ายๆ ทุกคนก็คงมาท้าทายข้าทุกครั้งที่ต้องการ คิดว่าข้าอารมณ์ดีนักเหรอ?”
จื่อเหลยกัดฟันตะเบ็งเสียง “อย่าให้เกินไป แม้แกจะชนะ แต่เราก็ไม่ได้จัดการง่ายๆ ถ้าแกบังคับกันเกินไป ถึงจะต้องตายข้าก็จะลากแกไปด้วย!”
มู่เฉินยิ้ม “ถ้าพวกเจ้ามีความกล้าเท่าลมปากก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้หรอก”
หากทั้งห้าทำลายตนเองกระทั่งเขาก็ถูกคุกคาม แต่ใครก็ตามที่เป็นจอมยุทธ์ระดับนี้มักจะหวงแหนชีวิต เขาไม่เชื่อว่าทั้งห้าคนนี้กล้าหาญพอ
ใบหน้าของทั้งห้าเขียวคล้ำ แต่สุดท้ายเสียงก็อ่อนลง “เจ้าต้องการอะไร?”
“ง่ายมากค่าชดเชยเป็นของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดจากแต่ละคน” มู่เฉินตอบ ตำหนักมู่เตรียมเข้าครอบครองทวีปเทียนหลัว ดังนั้นเขาต้องการของเหลวจื้อจุนเป็นเงินทุน
“อะไรนะ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ใบหน้าทั้งห้าก็กระตุก นี่เป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเก็บบรรณาการเป็นเวลาสิบปีเลยนะ
ท้ายที่สุดถึงแต่ละคนจะผู้ใต้บังคับบัญชามาก ค่าใช้จ่ายก็มากเป็นเงาตามตัว เช่นตำหนักมู่ที่มีผลเก็บเกี่ยวของเหลวจื้อจุนมากกว่าพันล้านหยดต่อปี แต่พวกเขาจะเหลือเพียงต้อยติ่งหลังจากจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ใบหน้าของกุ่ยตี้เขียวคล้ำขณะพูดว่า “ประมุขมู่เลิกล้อเล่นเถอะ ถ้าเราเอาเงินจำนวนนั้นออกมา ผู้ใต้บังคับบัญชาคงแตกฉานซ่านเซ็นแน่”
หากปราศจากของเหลวจื้อจุน พวกเขาก็ไม่สามารถกุมหัวใจคนของตนแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ตาม
“ถ้างั้นก็ห้าพันล้าน” มู่เฉินยิ้มสายตาเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกทีละน้อย “ถ้าเจ้ายังไม่สามารถนำออกมาได้ ก็ทำลายตัวเองซะเลย”
ทั้งห้าชะงักไป ชัดว่าแทบโกรธจะเป็นบ้า
“กุ่ยตี้ไม่ต้องจ่าย…” คำพูดของมู่เฉินทำให้กุ่ยตี้เกือบร้องไชโยออกมา หรือว่าชายคนนี้ยำเกรงเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง?
“เอากระจกรวมเทพโบราณมา”
ทว่าเมื่อประโยคส่วนหลังของมู่เฉินเปล่งออกมาก็ทำให้กุ่ยตี้สะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง ขณะที่ใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด
“แก!” กุ่ยตี้โกรธเกรี้ยว ราคาของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเกินกว่าของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยดอีกนะ
“ถ้าไม่เต็มใจ ข้าจะไปล้วงคอออกมาเอง” ดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่คลื่นหลิงพวยพุ่งขึ้นรอบตัว
ใบหน้าของกุ่ยตี้เปลี่ยนไม่หยุด แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะกลืนความโกรธ สะบัดแขนเสื้อโยนลำแสงสีเทาออกมา
เมื่อมู่เฉินรับไปก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เมื่อเห็นกุ่ยตี้ยอมแพ้ อีกสี่คนก็ไม่กล้าหืออือ สามคนโยนกำไลเฉียนคุนออกมา
เมื่อได้รับมู่เฉินก็ทำการตรวจสอบก่อนที่จะพยักหน้า จากนั้นสายตาก็เลื่อนไปยังคนสุดท้าย…ตันหยาง อีกฝ่ายกำลังสวมสีหน้าขมขื่น เมื่อไม่นานมานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับขั้วอำนาจของเขา เขาจึงใช้ของเหลวจื้อจุนไปไม่น้อยในการจัดการ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจ่ายราคาจำนวนนั้นได้
เมื่อเห็นว่าตันหยางยืนทื่อมะลื่อ ใบหน้าของมู่เฉินก็เย็นเยือกลง
ครั้นมองไปที่สายตาคมกริบของมู่เฉิน ตันหยางก็ได้แต่ฝืนพูดขึ้นมาว่า “ข้าจ่ายเป็นสมบัติแทนได้หรือไม่?”
“สมบัติอะไร?” มู่เฉินถามโดยไม่มีความสนใจใดๆ
หลังจากลังเลชั่วครู่ตันหยางก็เอ่ยปาก “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณซึ่งอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน”
ขณะที่พูดก็เหลือบมองมั่นถัวหลัว เขารู้จักตัวตนของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้ ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวแสดงริ้วความตื่นเต้น เนื่องจากนางติดอยู่ในคอขวดของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม หากนางได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน นางก็จะสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้
แต่ดอกแมนดาลาโบราณหายากเหลือเกิน นางไม่เคยได้ยินข่าวใดมาก่อนเลย ไม่คิดว่าตันหยางจะมีอยู่ในครอบครอง
ทว่าตันหยางก็ยังค่อนข้างไม่แน่ใจเล็กน้อย เนื่องจากราคาที่แท้จริงของซากดอกไม้นี้อยู่ที่ของเหลวจื้อจุนหนึ่งพันกว่าล้านหยดเท่านั้น
แต่เขาไม่คิดว่าแววตาเย็นชาของมู่เฉินจะลดลงพร้อมกับรอยยิ้มพอใจ “งั้นข้าจะรับของนี้แทนการชำระเงินของเจ้า”
เขารู้โดยธรรมชาติว่ามูลค่าของซากดอกไม้ไม่ใช่ห้าพันล้าน แต่ก็คุ้มค่าเนื่องจากมั่นถัวหลัวสามารถใช้ในการบรรลุขุมพลังได้
ตั้งแต่เขามาอยู่อาณาเขตกงเวทสวรรค์มั่นถัวหลัวก็ช่วยเหลือเขามามาก มิหนำซ้ำยังช่วยเขาก่อตั้งตำหนักมู่ งานเล็กงานใหญ่ก็ทำให้ไม่ขาด ดังนั้นเขาไม่ลังเลเลยที่จะช่วยศิษย์พี่คนนี้
ตันหยางไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะรับง่ายขนาดนี้ เขาดีใจรีบโยนขวดหยกไปให้มู่เฉินทันที ในขวดเต็มไปด้วยของเหลวแช่ดอกไม้ขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งเอิบอาบไปด้วยความผันผวนที่ผิดปกติ
“ซากดอกไม้แมนดาลาโบราณจริงด้วย…”
มู่เฉินกวาดมองก่อนที่จะสะบัดมือส่งต่อไปให้มั่นถัวหลัว เมื่อนางรับไว้สายตาที่มองมู่เฉินก็มีแววอบอุ่นผุดขึ้น
“เอาล่ะจ่ายหนี้เสร็จแล้ว พวกเจ้าไปซะ” มู่เฉินตบมือพลางยิ้มตาหยีให้ทั้งห้า
ประมุขทั้งห้าถอนหายใจออกมาด้วยไม่เหลือหน้าที่จะอยู่ได้จนต้องรีบจากไป
เมื่อพวกเขาไปแล้ว ชายชุดขาวดำบนศาลาในเมืองเทียนหลัวก็มองตามไปอย่างเย็นชา ถ้ามู่เฉินเห็นคนคนนี้ก็จะจำได้ว่าเขาก็คือหมัวเฮอโยวซึ่งเคยได้พบกันในช่วงสั้นๆ ที่เผ่าฝูถู
“ไอ้ขยะห้ากองเอ้ย!”
หมัวเฮอโยวชกไปที่กำแพง รอยแตกแผ่กระจายออกไปพร้อมกับความเย็นชาในดวงตา เขาคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังประมุขทั้งห้าที่ต่อสู้กับมู่เฉิน มิหนำซ้ำยังมอบอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียนให้กับกุ่ยตี้เพื่อประกันความสำเร็จ แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายทั้งห้าก็ยังแพ้ให้มู่เฉิน ที่ยิ่งกว่าคืออาวุธนั่นยังตกไปอยู่ในมือมันอีกด้วย แล้วแบบนี้เขาจะไม่โกรธได้ยังไง?
“หืม?”
เมื่ออารมณ์ของหมัวเฮอโยวกำลังแปรปรวน มู่เฉินก็สัมผัสได้ สายตาเขาจับจ้องมาที่หมัวเฮอโยวทันที
“แกเองสินะที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง” ทันใดนั้นแววตาของมู่เฉินก็เย็นชา
หมัวเฮอโยวสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน คลื่นหลิงที่น่ากลัวก็พลุ่งพล่านรอบตัวเขา
“คุณชายจัดการมันเลยไหมขอรับ?” ร่างเงาสีดำสองร่างปรากฏขึ้นด้านหลังหมัวเฮอโยว กล่าวขึ้นโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ
ดวงตาของหมัวเฮอโยวกะพริบสั้นๆ ก่อนที่จะดึงคลื่นหลิงกลับพลางส่ายหัว “ชิงเหยี่ยนจิ้งแล่นมาแน่ถ้าเราเคลื่อนไหว”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจมันแล้ว ครั้งนี้ที่วางแผนจัดการก็เพราะทางเผ่าต้องการความมั่นใจ มันอาจจะมีความสามารถ แต่ไม่เป็นภัยคุกคามในสายตาข้า ถ้ามันกล้าเข้าร่วมชุมนุมนิรันดร์ ข้าจะซัดให้มันพิการไปเลย ถึงเวลานั้นชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยุ่งไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เงาทั้งสองก็หายไป
หมัวเฮอโยวจ้องมองไปที่มู่เฉิน ทั้งสองสาดสายตาเย็นชาใส่กัน
หมัวเฮอโยวเหยียดมือออกไปในทิศทางของมู่เฉินจากนั้นก็กำมือแน่น รอยยิ้มเย็นชาปรากฎบนใบหน้า เสียงส่งไปยังโสตประสาทของอีกฝ่าย
“ถ้าแกกล้ามาที่งานชุมนุม ข้าจะทำให้แกง่อยไปเลย!”
หมัวเฮอโยวหายตัวไปหลังจากแสยะรอยยิ้มน่ากลัว
มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอโยวด้วยใบหน้านิ่งสงบพลางกำมือแน่น
“หมัวเฮอโยว…ไม่ต้องกังวล ข้าไปรับร่างมหาเทพนิรัดร์ถึงบ้านแกแน่นอน!”
บทที่ 1477 แยกตัวฝึกฝน
เมื่อศึกในเมืองเทียนหลัวสิ้นสุดลง
ทวีปเทียนหลัวทั้งทวีปก็สั่นสะเทือน ทุกขั้วอำนาจรู้ว่าหลังจากนี้เป็นต้นไปตำหนักมู่ก็คือเจ้าเหนือหัวหนึ่งเดียวของทวีปนี้ เมื่อมีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างมู่เฉิน ตำหนักมู่ก็มีคุณสมบัติที่จะปกครองทวีปได้แล้ว
คราวนี้ไม่มีใครสามารถเขย่าบัลลังก์ตำหนักมู่ได้อีกแล้ว
ดังนั้นผู้คนที่อยู่ในทวีปเทียนหลัวจึงรีบไปที่ตำหนักมู่หลังจากการต่อสู้จบลง เพื่อแสดงความเต็มใจที่จะสวามิภักดิ์และแย่งชิงผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด
ทว่าพื้นที่ของทวีปกว้างใหญ่เกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมทุกคนได้ ในหลายๆ พื้นที่ยังต้องให้ขั้วอำนาจเดิมรักษาเสถียรภาพไว้
กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ วังสวรรค์บรรพกาล
มู่เฉินนั่งอยู่บนยอดเขาพลางมองไปที่ภูเขาที่ห่างไกลซึ่งกำลังแผ่ซ่านความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง
ขณะนี้มั่นถัวหลัวปลีกตัวเข้าสมาธิบนภูเขาแห่งนั้น หลังจากได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณเพื่อพยายามที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนให้จงได้
ฟิ้ว!
เสียงลมฉีกอากาศดังก้อง ร่างของจิ่วโยวก็ปรากฏขึ้นข้างๆ มู่เฉิน นางสวมเสื้อผ้าที่ราวกับเกล็ดงูสีดำซึ่งเผยส่วนโค้งที่น่าประทับใจ
“ที่สำนักเป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินหันมาและยิ้มให้จิ่วโยว
จิ่วโยวเหลือบสายตามองอย่างไม่พอใจ ช่วงนี้มั่นถัวหลัวเข้าสู่สมาธิ ส่วนมู่เฉินก็มาซ่อนตัวอยู่ในวังโบราณ ทิ้งทุกอย่างให้นางจัดการ
“ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในทวีปเทียนหลัวต่างมุ่งหน้ามาสวามิภักดิ์ เรื่องรายละเอียดในการจัดการ รอให้มั่นถัวหลัวออกมาก่อนค่อยตัดสินใจ” จิ่วโยวตอบ
มู่เฉินไม่คัดค้านเรื่องนี้เนื่องจากนี่เป็นเผือกร้อน หากเขาให้อิสระกับคนเหล่านี้มากเกินไป อาจทำให้ตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของตำหนักมู่อ่อนแอลง ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะให้มั่นถัวหลัวเป็นคนจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้
“จำนวนจอมยุทธ์ที่ขอเข้าร่วมตำหนักมู่ก็เพิ่มขึ้นและคุณภาพก็ค่อนข้างดี แค่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็มีถึงหกคนที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ”
จอมยุทธ์ระดับนี้มักจะเป็นเสาหลักในขั้วอำนาจต่างๆ เนื่องจากพลังพวกเขาจะเกื้อหนุนสำนักหากพวกเขาบรรลุระดับเทียนยจื้อจุนได้
“ตรวจสอบภูมิหลังให้ดี” มู่เฉินบอก แม้ว่าพวกเขาต้องการผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังต้องพิจารณาภูมิหลังอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากมักมีคนที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อทรัพยากรในการฝึกฝน
จิ่วโยวพยักหน้า
“ห้าเดือนต่อจากนี้ข้าจะเข้าสู่การฝึกฝน ดังนั้นต้องพึ่งพาเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ในตำหนักมู่” มู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษ เขาพาตัวองค์หญิงมาจากเผ่าวิหคโลกันตร์ สุดท้ายนางก็กลายเป็นเบ๊ของเขา
จิ่วโยวบึนริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ แต่นางรู้ดีว่านอกจากมู่เฉินแล้วตอนนี้ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถควบคุมตำหนักมู่ได้ นอกจากนี้นางยังรู้ว่าเป้าหมายของมู่เฉินในการฝึกฝนครั้งนี้เพื่อเตรียมการสำหรับการไปงานชุมนุมนิรันดร์
นี่เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับมู่เฉิน เนื่องจากตัวเขาตั้งเป้าหมายไว้ที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ ตอนนี้เขาได้พัฒนาร่างเทพสุริยะเข้าสู่ร่างเทพสุริยะนิรัดร์ เขาสามารถเติมเต็มความฝันได้ตราบใดที่คว้าขั้นตอนสุดท้ายได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มา
ดังนั้นมู่เฉินต้องใช้เวลาทั้งหมดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากที่สุด เขารู้ดีว่าทุกคนที่สามารถฝึกฝนร่างเทหสุริยะนิรันดร์ต้องเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังในมหาพันภพทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ใช่งานง่ายที่เขาจะเอาชนะพวกเขาและได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์
“ไม่ต้องกังวล เจ้าเข้าสมาธิให้เต็มที่เลย ข้าจะจัดการเรื่องต่างๆ ในตำหนักมู่เอง” จิ่วโยวพยักหน้า มู่เฉินเป็นเสาหลักของตำหนักมู่และสำนักจะสามารถยืนหยัดมั่นคงในมหาพันภพได้หากเขาทรงพลังยิ่งๆ ขึ้นไป
มู่เฉินพยักหน้าส่งกำไลเฉียนคุนให้กับจิ่วโยววงหนึ่ง “ในนี้มีของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยด น่าจะเพียงพอสำหรับการพัฒนาในช่วงนี้”
ของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยดเป็นสิ่งที่เขาไถมาจากประมุขทั้งห้า ส่วนอีกหมื่นล้านหยดมู่เฉินคิดจะใช้สำหรับการเพาะบ่มครั้งนี้ เขาตั้งใจจะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายภายในห้าเดือน ดังนั้นเขาจึงต้องการของเหลวนี้จำนวนมาก มิฉะนั้นจะเป็นไปไม่ได้ต่อให้เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศก็ตาม
จิ่วโยวรับมาไม่อิดออด เนื่องจากตำหนักมู่ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วต้องการของเหลวจื้อจุนมากจริงๆ
หลังจากสนทนากันสั้นๆ จิ่วโยวก็ออกไป มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องมีคนดูแลในตอนนี้
จ้องมองแผ่นหลังของจิ่วโยวที่หายลับ สายตาของมู่เฉินก็เลื่อนไปทางทะเลสาบสวรรค์ ซึ่งมีภาพเงาอ่อนเยาว์จำนวนมากกำลังบ่มเพาะอยู่บนแท่นฝึกรอบๆ
ทันใดนั้นลำแสงก็พุ่งลงมาห่อหุ้มร่างเงาหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนโดยรอบอุทานออกมา ภายใต้สายตาอิจฉาของทุกคน ภาพเงาอ่อนเยาว์นั้นก็หายไป
ชัดว่าผู้ที่มีพรสวรรค์คนนี้ถูกหอคัมภีร์เทพซ่อนเลือกไป ซึ่งเป็นโอกาสที่หายากสำหรับสมาชิกทุกคนในตำหนักมู่
เมื่อมองไปที่ฉากนี้มู่เฉินก็ยิ้ม ตำหนักมู่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตหนุ่มสาวเหล่านี้จะเป็นเสาหลักต่อไป
เขาถอนหายใจตำหนักมู่มาไกลขนาดนี้โดยที่เขาไม่รู้…
เด็กหนุ่มที่ก้าวออกมาจากสำนักศึกษาเป่ยชางได้กลายเป็นเจ้าทวีปเทียนหลัวในตอนนี้แล้ว
มู่เฉินก้มศีรษะหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะสงบใจกลายร่างเป็นริ้วแสงร่อนลงบนภูเขาที่อยู่เบื้องล่าง มีถ้ำที่ขุดขึ้นเพื่อการฝึกฝน
มู่เฉินนั่งลงบนแท่นหินสีฟ้าอมเขียว ปลายนิ้วแตะไปที่กำไลเฉียนคุนสองวง กระแสน้ำของเหลวจื้อจุนไหลเวียนออกมาไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับมังกรมหึมาขดอยู่ในถ้ำ
นอกจากนี้ยังมีเส้นสายบนผนัง ซึ่งก่อเป็นค่ายกลคลุมเครือ
นี่คือค่ายกลบรรจบจิตที่มีวิธีในการบีบอัดคลื่นหลิง ดังนั้นเมื่อของเหลวจื้อจุนไหลผ่านก็ถูกกลั่นออกมาผ่านทางค่ายกลและควบแน่นมากขึ้น เหมือนจะเห็นผลึกอยู่ภายในด้วย…
ของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดเป็นจำนวนมหาศาล หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดา พวกเขาจะต้องใช้เวลาหลายปีในการดูดซับ ดังนั้นมู่เฉินจึงเตรียมการเพื่อเร่งอัตราการดูดกลืนของเขา
ทว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอ…
มู่เฉินวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงหลิงก็ลุกโชนขึ้นบนศีรษะเขา เจดีย์ผลึกแก้วใสปรากฏขึ้นลอยอยู่เหนือหัวของมู่เฉิน
เพื่อดูดซับของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดในห้าเดือน เจดีย์พุทธะของเขาจะมีบทบาทสำคัญเนื่องจากสามารถช่วยในกระบวนการชำระได้
หลังจากเตรียมการเรียบร้อย มู่เฉินก็ค่อยๆ หลับตาลงและแม้แต่ลมหายใจเข้าออกก็ช้าลงเงียบๆ เขาเหมือนกับไต้ซือเฒ่าทำสมาธิ
ฟู่ ฟู่
มวลลมกู่ร้องก้องถ้ำ ขณะที่ของเหลวจื้อจุนเทลงในเจดีย์พุทธะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เจดีย์เปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ราวกับเป็นหลุมไร้ก้นบึ้งที่กลืนกินไม่รู้จบ
ในเวลาเดียวกันรัศมีก็เปล่งประกายออกมาจากฐานเจดีย์ ขณะที่เกล็ดผลึกโปรยปรายใส่มู่เฉิน แม้ว่าเกล็ดผลึกเหล่านั้นจะมีขนาดเล็ก แต่ก็เป็นคลื่นหลิงที่ได้รับการกลั่นอย่างยอดเยี่ยม…
เมื่อเกล็ดผลึกปลิวลงมาก็ละลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับผิวหนังของมู่เฉิน
เลือดของมู่เฉินเดือดพล่านในกระบวนการนี้ ทั่วสรรพางค์กายกลืนกินเกล็ดผลึก…
พายุโหมกระหน่ำภายในถ้ำ เมื่อเกล็ดผลึกปลิวลงมามากขึ้นผิวของมู่เฉินก็เปล่งรัศมีออกมา ทำให้ดูราวกับอัญมณี
ในช่วงเวลาหลายเดือนต่อมา
มู่เฉินก็มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝน ปิดกั้นข่าวสารภายนอกทั้งหมด
ทว่าขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิเงียบ มหาพันภพก็เริ่มร้อนระอุกับข่าวชุมนุมนิรันดร์ที่จะจัดขึ้นในไม่ช้า
นี่แตกต่างจากงานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถู ชุมนุมนิรันดร์เป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตาในมหาพันภพเนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกผู้ครอบครอง
ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าของร่างมหาเทพปฐมกาลซึ่งอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่ทุกคนรู้ดีว่าร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าไม่ได้แยกตามระดับ แต่มีความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นแท้จริงแล้วจึงควรจัดอันดับร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามร่างมหาเทพนิรันดร์มีชื่อเสียงมากกว่า เนื่องจากได้สร้างจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยโบราณ เทพจักรพรรดินิรันดร์ที่เป็นผู้ฝึกฝนสุดยอดร่างเทห์สวรรค์นี้
ดังนั้นจึงไม่มีข้อสงสัยกับพลังของร่างมหาเทพนิรันดร์
ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดา แม้แต่ขั้นเซิ่งก็น้ำลายไหลกับสุดยอดร่างเช่นนี้ ทว่าตามกฎของชุมนุมนิรันดร์ระบุไว้ว่ามีเพียงผู้ที่สร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติและสามารถเข้าร่วมได้ครั้งเดียวในชีวิต
แม้ว่าข้อกำหนดจะเข้มงวด แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางชุมนุมนิรันดร์เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ เนื่องจากทุกคนต้องการรู้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะตกเป็นของใคร…
ดังนั้นเมื่องานชุมนุมใกล้เข้ามา ความสนใจของจอมยุทธ์ทั่วมหาพันภพก็มุ่งเน้นไปที่เผ่าหมัวเฮอ
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป
พริบตาสี่เดือนก็ผ่านไปแล้ว การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกสิบวันข้างหน้า…
ทว่าเวลานี้เองกำไลเฉียนคุนทั้งสองในถ้ำก็ร่วงหล่นลงมาอย่างไร้พลัง ชัดว่าของเหลวจื้อจุนหมดลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
เคร้ง
เมื่อได้ยินเสียงกำไลตกกระทบบนพื้นดังก้อง มู่เฉินที่สัมผัสได้ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
บทที่ 1478 นิยม
เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้น
ลำแสงพร่างพราวสองสายก็พุ่งออกมาจากดวงตา ทะลุผ่านภูเขาหนาทึบยิงออกไปไกล
คลื่นหลิงที่เชี่ยวกรากกวาดหายนะไปทั่วถ้ำ ทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนราวกับว่ากำลังจะถล่มลง
ความปั่นป่วนนี้กินเวลานานก่อนที่จะค่อยๆ ลดลง ความแวววาวในดวงตาของมู่เฉินก็อ่อนกำลังจนกลับมาเป็นปกติ ทว่าดวงตาของเขากลับดูลึกเกินหยั่ง
เมื่อมองไปที่กำไลเฉียนคุนทั้งสองวงมู่เฉินก็ส่ายหัว เขายังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายได้
แม้จะมีการเตรียมการและใช้เจดีย์พุทธะ แต่ก็ยังค่อนข้างเคี่ยวกรำสำหรับเขาที่จะดูดซับของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดภายในสี่เดือน
แต่โชคดีที่มันถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายทั้งหมดแล้ว ตอนนี้คลื่นหลิงพลุ่งพล่านในเลือดเนื้อแล้วค่อยๆ หลอมรวมเข้าไป
เมื่อไรที่หลอมรวมเข้าอย่างสมบูรณ์ เขาก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายได้
“คงอีกไม่นาน”
มู่เฉินรู้สึกได้ว่ากระบวนการนี้จะใช้เวลาไม่นาน ทว่าเขาไม่มีเวลาเหลือเฟือที่จะอยู่ในสมาธิเงียบสงบ เนื่องจากเขาจะพลาดงานชุมนุมนิรันดร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้
“ค่อยไปฝึกฝนระหว่างเดินทางแล้วกัน”
มู่เฉินปลอบใจตัวเองแล้วไปปรากฏตัวบนยอดเขา ก่อนที่เขาจะเห็นเงาร่างสองร่างเข้ามาในทิศทางของเขา คนแรกคือจิ่วโยว ส่วนคนที่สองเป็นหญิงสาวสวมชุดสีม่วง เรือนผมของนางปลิวไสวไปตามสายลม ใบหน้าที่งดงามคล้ายกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบมีประกายแวววาวจางๆ ทว่านางมีสีหน้าเย็นชาและม่านตาสีทองคำคู่หนึ่งที่สะท้อนความลึกลับ
“มั่นถัวหลัว?” มู่เฉินอุทานขณะมองไปที่หญิงสาว
ในอดีตร่างของมั่นถัวหลัวเป็นเด็กสาวตัวเล็กจ้อย แต่ตอนนี้นางกลายเป็นหญิงสาวและจากความผันผวนที่อาบไล้บนตัวนาง ชัดว่านางบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้สำเร็จแล้ว
มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินกล่าวว่า “เผ่าแมนดาลาของข้า แต่ไหนแต่ไรก็มีช่วงเวลาการเติบโตที่ยาวนาน ดังนั้นข้าจึงผ่านช่วงวัยเด็กได้หลังจากบรรลุขั้นเทียนจื้อจุน”
มู่เฉินพยักหน้า พยายามกลั้นเสียงหัวเราะไว้ “ก็ดี ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นก็คิดว่าคนดูแลตำหนักมู่ของเราเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ”
“เจ้ากำลังเยาะเย้ยรูปร่างก่อนหน้าของข้าเรอะ?” มั่นถัวหลัวหรี่ตา
“ไม่กล้า ไม่กล้า” มู่เฉินตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขากำลังจะไม่อยู่ ดังนั้นเลยไม่กล้าสร้างความเดือดร้อนกับมั่นถัวหลัว ถ้านางโมโหขึ้นมาตำหนักมู่คงจะอยู่ในความโกลาหลแน่
มั่นถัวหลัวเค้นเสียงในลำคอพร้อมกับเบนหน้าเหม็นเบื่อหนีจากมู่เฉิน
“ช่วงนี้ความสนใจของมหาพันภพไปอยู่ที่เผ่าหมัวเฮอหมดแล้ว” จิ่วโยวกล่าว
มู่เฉินท่าทางเคร่งเครียดพลางพยักหน้า “เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์ไง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคน”
นั่นเป็นหนึ่งในร่างมหาเทพปฐมกาลที่ยิ่งใหญ่ในมหาพันภพ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะให้ความสนใจ มากจนแม้แต่ความสนใจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งยังจดจ่ออยู่ที่สิ่งนี้
“เอ้านี่” จิ่วโยวหยิบม้วนกระดาษออกมาส่งให้มู่เฉิน “นี่คือทำเนียบยอดนิยมของผู้ท้าชิงร่างมหาเทพปฐมกาล ข่าวพวกนี้เจ้าควรรู้ไว้ จะได้เตรียมตัวถูก”
“โอ้?”
มู่เฉินเปิดม้วนกระดาษด้วยความสนใจ ชื่อคุ้นเคยผุดขึ้นเบื้องหน้าสายตาเขาตั้งแต่บรรทัดแรก
อันดับหนึ่ง เผ่าหมัวเฮอ—หมัวเฮอโยว ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดและเป็นน้องชายของประมุขหมัวเฮอเทียน นอกจากนี้ยังมีโอกาสสูงที่เขาจะบรรลุขั้นเซิ่งเป็นคนต่อไปของเผ่า…
“เจ้านั่น…” มู่เฉินหรี่ตา หมัวเฮอโยวสมกับเป็นจอมยุทธ์แท้จริง ตราบใดที่เขาไม่ได้พบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ก็แทบไม่มีใครต่อกรกับเขาได้ ไม่แปลกที่เขาจะอยู่อันดับหนึ่ง
แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่คิดที่จะต่อสู้กับหมัวเฮอโยวก่อนที่จะไปถึงขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย
อันดับสอง หอกอสุรา—เยี่ยฉิง ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย”
“เยี่ยฉิง…” เมื่อมองไปที่ชื่อนี้มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่พัดมาปะทะใบหน้า
“เขาเป็นประมุขอันดับสองของหอทะเลตะว้นตก ใช้หอกอสุรากวาดล้างศัตรูที่ขวางหน้า มีข่าวลือว่าเขาผ่านการต่อสู้มาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งเพื่อฝึกฝนตัวเอง เขาดุดันประหนึ่งอสูรสงคราม ชื่อเสียงโด่งดังไม่ได้ด้อยไปกว่าหมัวเฮอโยวเลย” จิ่วโยวถอนหายใจ
มู่เฉินพยักหน้ามองไปที่อันดับต่อไป
อันดับสาม 3 ราชันทองวัชระ—ซื่อหลัว ผู้พิทักษ์ใหญ่ของขุมกำลังยอดวิญญาณ ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย
ขุมกำลังยอดวิญญาณก็เป็นขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพเช่นกัน ว่ากันว่าจอมยุทธ์ทุกคนที่นั่นให้ความสำคัญกับการฝึกฝนร่างกาย ดังนั้นซื่อหลัวในฐานะการเป็นผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ธรรมดาแน่
อันดับสี่ ดาบเทวะ—ทั่วป๋าชาง ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย เขาท่องยุทธภพไปทั่วโดยอาศัยดาบประจำตัวและเคยล้างบางสำนักด้วยดาบของเขามาแล้ว
“ไม่มีใครธรรมดาเลย”
เมื่อดูรายชื่อทั้งสี่คน มู่เฉินก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอยู่กี่ตัวในโลก ในสี่อันดับแรกเขาเคยได้ยินแต่ชื่อหมัวเฮอโยว อีกสามคนไม่มีข้อมูลเลย แต่ใครจะคิดว่าความสำเร็จของพวกเขาจะยอดเยี่ยมขนาดนี้
เมื่อนึกถึงคู่แข่งเหล่านี้สำหรับร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกกดดัน
ทว่าคนอย่างเขาก็ไม่กลัว ดวงตาเขากลับลุกโชนด้วยเปลวไฟ แม้แต่เลือดในร่างกายของเขาก็เริ่มเดือดพล่าน ในเส้นทางของยอดยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยความมานะพยายามและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากการต่อสู้กับคนที่ทรงพลัง…
มู่เฉินนึกคิดไปครู่ก่อนจะมองไปที่รายชื่อต่อพลางอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มเบา
อันดับที่ห้าประมุขตำหนักมู่—มู่เฉิน ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ครั้งหนึ่งเคยไปสร้างวีรกรรมในเฝ่าฝูถู เอาชนะหวงเฉวียนจือที่สระยกเทพ ล่าสุดก็จัดการจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนด้วยตัวคนเดียวเพื่อครอบครองทวีปเทียนหลัว
“รู้สึกหดหู่ใจไหมที่ได้อันดับห้า? ดูเหมือนหลายคนจะคิดว่าเจ้าอ่อนแอกว่าสี่อันดับแรกนะ” มั่นถัวหลัวกอดอกเอ่ยหยอกล้อ
มู่เฉินยิ้มอย่างสบายๆ “พวกเขาทั้งสี่สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองมานานแล้วและทั้งหมดยังอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายอีกด้วย ดังนั้นชื่อเสียงของข้าจึงลดลงตามธรรมชาติเมื่อเทียบกันในห้าคน”
หลังจากหยุดชั่วครู่เขาก็พูดต่อ “แต่ใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็ต้องลองมาสู้กันก่อน”
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยไฟแห่งการต่อสู้ เขาทำงานหนักเพื่อตามหาร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นไม่ว่าการแข่งขันจะดุเดือดแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้หรอก
มู่เฉินเก็บม้วนกระดาษไม่ได้สนใจมองเพิ่มเติม ในมุมมองของเขาภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดก็คือสี่อันดับแรก
“ข้าจะไปแล้วนะ”
มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวและมั่นถัวหลัว การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกสิบวัน ดังนั้นเขาต้องออกเดินทางทันที ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องตลกร้ายหากเขาไปไม่ทันทั้งที่รอวันนี้มานานแสนนาน
“ต้องรบกวนพวกเจ้าสองคนเรื่องตำหนักมู่ด้วย”
แม้ว่าขั้วอำนาจทั้งหมดในทวีปเทียนหลัวจะยอมสวามิภักดิ์ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยตำหนักมู่ ซึ่งนี่ทำให้เกิดการปะทะกันแน่ ดังนั้นจิ่วโยวและมั่นถัวหลัวจึงต้องอยู่เพื่อจัดการ
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะมอบตำหนักมู่พร้อมกับควบคุมทวีปเทียนหลัวให้กับเจ้าแบบเป็นระบบสมบูรณ์เมื่อเจ้ากลับมา” มั่นถัวหลัวพูดด้วยความมั่นใจ
ในเมื่อหินขวางทางที่ใหญ่ที่สุดถูกมู่เฉินเตะออกไปแล้ว มั่นถัวหลัวก็มั่นใจว่าตนเองจะแก้ไขปัญหาที่เหลือแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้
มู่เฉินคลี่รอยยิ้มไม่ได้อยู่อีกต่อไป ร่างกลายเป็นริ้วแสงหายไป
เมื่อมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน จิ่วโยวก็มีร่องรอยของความกังวลบนใบหน้า “ไม่รู้ว่าครั้งนี้มู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่…”
นางรับรู้เสมอว่ามู่เฉินใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์
หลังจากไตร่ตรองครู่มั่นถัวหลัวก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “นี่น่าจะเป็นศึกที่ยากที่สุดในชีวิตของมู่เฉิน ถ้าเขาสามารถผ่านไปได้ ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา ส่วนจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร ก็ต้องดูที่ตัวเขาเองแล้ว”
จิ่วโยวพยักหน้าได้แต่ภาวนาในใจ แม้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่สี่อันดับแรกก็ไม่ใช่ธรรมดา พวกเขาดุร้ายยิ่งกว่าหวงเฉวียนจือเสียอีก
เมื่อเวลาผ่านไป
บรรยากาศในมหาพันภพก็ร้อนระอุจากงานชุมนุมนิรันดร์ ขั้วอำนาจต่างๆ เริ่มมารวมกันที่เผ่าหมัวเฮอ เนื่องจากมีข่าวลือว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ได้แสดงปฏิกิริยาจะเลือกผู้ครอบครองแล้ว
เมื่อข่าวลือสะพัดออกไปก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที หรือว่าในที่สุดร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกเจ้านายหลังจากผ่านไปหมื่นปี?
หากร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกเจ้านาย ก็จะมีเทพจอมยุทธ์ถือกำเนิดในมหาพันภพอีกครั้ง…
ดังนั้นภายใต้ข่าวลือที่กระจายไปทั่ว เผ่าหมัวเฮอจึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
ภายใต้บรรยากาศนี้มู่เฉินก็มาถึงเผ่าหมัวเฮอในทวีปหมัวเฮอในอีกเจ็ดวันต่อมา…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น