หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1471-1474

 บทที่ 1471 ศึกชิงอำนาจ

 

ทวีปเทียนหลัว เมืองเทียนหลัว


เมืองใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของทวีป ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวง เนื่องจากเมืองนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะ ดังนั้นจึงไม่เคยถูกควบคุมโดยกองกำลังใด ซึ่งเป็นสิ่งที่จัดการร่วมกันโดยขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหมดในทวีปเทียนหลัว


แต่ตอนนี้พันธมิตรเทียนหลัวได้ก่อตั้งขึ้น รวบรวมพลังของห้าขั้วอำนาจสูงสุด ดังนั้นพวกเขาจึงมีสิทธิ์ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงกำหนดให้ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ในวันที่สองของการจัดตั้ง


ไม่มีใครกล้าออกความเห็นเกี่ยวกับการประกาศเผด็จการของพันธมิตรเทียนหลัว เนื่องจากการรวมกลุ่มของขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้านั้นสร้างความตกตะลึงให้กับพวกเขามากเกินตั้งรับแล้ว


ในอดีตขั้วอำนาจทั้งห้ามองว่าต่างเป็นคู่แข่งกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีกองทัพทรราชในทวีปเทียนหลัว แต่ด้วยการเติบโตของตำหนักมู่ พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม ดังนั้นพวกเขาจึงจับมือกันเป็นพันธมิตรใหญ่ในทวีป…


ตราบใดที่พวกเขาถือไพ่เหนือกว่าในงานเลี้ยงเทียนหลัว ก็จะไม่มีใครสงสัยว่าพวกเขาจะเป็นผู้ปกครองของทั้งทวีปนี้


ดังนั้นทุกความสนใจจึงพุ่งไป สองวันผ่านไปในพริบตา


เมื่อแสงแดดส่องผ่านชั้นเมฆลงมายังเมืองนี้ ทั้งเมืองก็คึกคักไปด้วยความมีชีวิตชีวา


ร่างแสงนับไม่ถ้วนเคลื่อนผ่าน ดูเหมือนฝูงตั๊กแตนกำลังบุกตัวเมือง


ตอนนี้เมืองเทียนหลัวกลายเป็นจุดสนใจของทั้งทวีปไปแล้ว ดังนั้นเกือบทุกคนจึงมารวมตัวกันที่นี่ เนื่องจากพวกเขารู้ว่างานเลี้ยงนี้อาจจะเป็นการกำหนดตัวเจ้าเหนือหัวแท้จริง…


หลายปีที่ผ่านมาตำหนักมู่ขยายตัวและสร้างชื่อเสียงมากมายภายใต้การนำของมู่เฉินที่สร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนพันธมิตรเทียนหลัวก็มีภูมิหลังที่ทรงพลังเนื่องจากมีขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเข้าร่วม ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนในมหาพันภพเลยทีเดียว


เมื่อสองขั้วอำนาจที่เป็นอิทธิพลหลักในทวีปเทียนหลัวปะทะกัน จะเกิดผลในการต่อสู้นี้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นทั้งทวีปก็จะสงบลงและยินดีต้อนรับเจ้าเหนือหัวคนใหม่


นี่เป็นข่าวใหญ่สำหรับทวีปเทียนหลัวในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา!


ขณะที่เมืองคึกคัก จัตุรัสหยกขนาดใหญ่ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน…


ฟิ้ว ฟิ้ว!


ภาพเงาจำนวนมากพลิ้วลงมาบนจัตุรัส ทุกคนที่สามารถมาปรากฏตัวที่นี่ล้วนเป็นขั้วอำนาจระดับต้นในทวีปเทียนหลัว


ทว่าขั้วอำนาจที่ปกติจะได้รับการยกย่องวันนี้ไม่เป็นที่สนใจแน่นอน เพราะทุกคนรู้ว่าตัวเอกทั้งสองของเหตุการณ์นี้เป็นขั้วอำนาจทรงพลังทั้งสอง…


สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่จัตุรัส พวกเขาเห็นบัลลังก์ทองคำห้าตัวเปล่งประกายบด้วยรัศมีสีทอง ร่างเงาห้าร่างนั่งบนนั้นมีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน


จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคน!


การรวมตัวนี้ถือได้ว่ายิ่งใหญ่ตระการตาแม้แต่ในมหาพันภพ ดังนั้นเมื่อวางไว้ในทวีปเทียนหลัวก็น่าทึ่งมากเลยทีเดียว


โดยปกติทั้งห้าเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังตัวแทนของตนเองในทวีปเทียนหลัว แต่ด้วยการปรากฏตัวของมู่เฉิน จอมยุทธ์ทรงอิทธิพลเหล่านี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผยตัว…


“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคน… ช่างน่ากลัวอะไรขนาดนี้ ตลอดมาข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ซ่อนอยู่ในทวีปเทียนหลัวของเรา” ทุกสายตาแสดงความเคารพมองไปที่ร่างเงาทั้งห้าพลางถอนหายใจ


“ดูเหมือนว่าพันธมิตรเทียนหลัวกับตำหนักมู่จะปะทะกันในวันนี้แน่”


“ตำหนักมู่เติบโตรวดเร็วเกินไปและประมุขก็ดุร้ายมาก ว่ากันว่าเมื่อไม่นานมานี้แม้แต่หวงเฉวียนจือจากเผ่าหงส์ฟ้ายังแพ้ในมือเขา”


“ประมุขตำหนักมู่ก็คือมู่เฉินใช่ไหม? ในอดีตเขาเป็นเพียงผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่คิดเลยว่าเขาจะก้าวกระโดดในเวลาเพียงไม่กี่ปี”


“ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการต่อสู้ครั้งนี้”


“คงเป็นพันธมิตรเทียนหลัวล่ะมั้ง ไม่ว่าอย่างไรพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนเชียวนะ!”


“แต่มู่เฉินก็ไม่ได้เคี้ยวง่าย ความสำเร็จของเขาแต่ละอย่างนั้นไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”


“ไม่ว่ายังไงงานเลี้ยงเทียนหลัวในวันนี้น่าสนใจแน่…”


“…”


เสียงกระซิบดังก้องไปทั่วเมือง ทุกคนบอกได้ว่าพันธมิตรเทียนหลัวไม่ได้เพียงแค่เชิญตำหนักมู่มางานเลี้ยงเท่านั้น พวกเขายังตั้งใจครอบครองตำแหน่งเจ้าเหนือหัวในทวีปเทียนหลัวอีกด้วย


ประมุขตำหนักมู่เป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะที่มีความสำเร็จน่าอัศจรรย์ แล้วเขาจะเป็นคนที่ก้มหัวลงได้อย่างไร? ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าชนวนจะจุดขึ้นในการเผชิญหน้าวันนี้


พร้อมกับเสียงกระซิบโดยรอบ ร่างเงาทั้งห้าบนบัลลังก์ก็ปิดตาลงโดยไม่สนใจการสนทนาใด แต่เมื่อลืมตาขึ้นเป็นครั้งคราวก็จะทำให้มิติรอบๆ แปรปรวน


เวลาค่อยๆ ผ่านไปภายใต้บรรยากาศนี้ ดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า…


กีด!


ทันใดนั้นเสียงร้องของหงส์ฟ้าก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน


วาบ!


เสียงนั้นดึงดูดความสนใจทั้งหมดไป ทุกคนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวที่แผ่ออกมา


มากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้ายังต้องหรี่ตามอง


จุดสีดำปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าห่างไกลอย่างรวดเร็ว ในไม่กี่กะพริบตาก็ขยายออกไปจนเห็นเป็นร่างหงส์ฟ้าสีดำ


หงส์ฟ้ากระพือปีกที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำ พริบตาก็เข้าใกล้เมือง ทันใดนั้นแรงกดดันสายเลือดที่ทำให้ใบหน้าของหลายคนเปลี่ยนไปก็แผ่ออกมา


“นี่… เทพอสูรเผ่าอะไร?!”


“ช่างเป็นแรงกดดันที่น่ากลัว ไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าและเผ่ามังกรเลย!”


ทุกคนในเมืองต่างประหวั่นพรั่นพรึงเมื่อมองดูสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่บนท้องฟ้า พวกเขารู้สึกว่าหัวใจเย็นเยือกลงจากแรงกดดัน


ประมุขทั้งห้าถึงกับขมวดคิ้ว ขณะที่พวกเขาสบตากันด้วยความประหลาดใจ


“นั่นคือ…วิหคอมตะในตำนานหรือ?” ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับนี้ พวกเขาก็มีความรู้จากประสบการณ์มากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ถึงต้นกำเนิดของวิหคสีดำตัวนั้นได้ทันที ความตกใจเกิดขึ้นชั่วครู่จนม่านตาหดลง


พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าพลังของวิหคอมตะมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายแล้ว


“ในเมื่อประมุขมู่มาอยู่ที่นี่แล้วก็โปรดแสดงตัวด้วย” ม่านตาสีเทาของกุ่ยตี้มองไปที่วิหคสีดำ เสียงอันเยือกเย็นของเขาก็ดังก้อง


ทันใดนั้นทุกคนก็เลื่อนสายตาตามไป ก็เห็นภาพเงายืนอยู่บนหัวของวิหคสีดำตัวนั้น นี่เป็นใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ปลดปล่อยความกดดันที่ไม่มีที่สิ้นสุดออกมา


เมื่อได้ยินคำพูดของกุ่ยตี้ ร่างเงาอ่อนเยาว์ก็ยิ้มและก้าวออกมา ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นภาพเงามาปรากฏขึ้นที่ใจกลางจัตุรัส


จากนั้นวิหคสีดำก็ส่งเสียงร้อง ก่อนที่จะหดตัวกลายเป็นร่างเงาเพรียวบางยืนอยู่ข้างมู่เฉิน


ในเวลาเดียวกันเสียงลมหวีดหวิวก็ดังขึ้น มีคนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังมู่เฉินและจิ่วโยว


นี่ก็คือเฉวียนเทียนและมั่นถัวหลัว เห็นได้ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของตำหนักมู่มาปรากฏตัวในครั้งนี้


เมื่อพวกเขามาถึงทั้งเมืองก็เงียบกริบพร้อมกับสายตาแปลกประหลาดมากมายมารวมตัวกันที่ฝั่งตำหนักมู่


ร่างอ่อนเยาว์ยืนเอามือไพล่หลังมีรอยยิ้มจางๆ โดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ ต่อจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้า


“ประมุขมู่เป็นจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงสามารถก้าวสู่ระดับนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย” กุ่ยตี้มองไปที่มู่เฉินขณะพูด


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา มู่เฉินก็ยิ้ม “ไม่ต้องสนคำทักทายธรรมดาเหล่านั้น สำหรับพันธมิตรเทียนหลัวที่เชิญข้าด้วยการรวมตัวยอดเยี่ยมเช่นนี้ คงไม่ใช่แค่งานเลี้ยงละมั้ง?”


ทั้งห้าแลกเปลี่ยนสายตากัน ตันหยางก็หัวเราะเบาๆ “พวกข้ามีเรื่องที่จะคุยกับเจ้านิดหน่อย…”


เขาหยุดชั่วครู่สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนเป็นเถรตรง “ประมุขมู่น่าจะรู้ว่าพวกข้าลงทุนลงแรงอย่างมากในทวีปเทียนหลัว ดังนั้นเราจึงตัดสินใจยุติการต่อสู้และหวังว่าเจ้าจะหยุดความตั้งใจที่จะปกครองทวีปเทียนหลัว”


“แน่นอนว่าพวกจะให้ค่าตอบแทนแก่เจ้า หลังจากการประชุมพวกข้าตัดสินใจที่จะมอบทวีปเทียนหมังให้กับตำหนักมู่”


เมื่อเสียงของตันหยางดังก้อง ทั่วฟ้าดินก็เงียบลง ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด พันธมิตรเทียนหลัวไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ ยื่นข้อเสนอตั้งแต่เริ่ม…


ทุกคนรู้จักทวีปเทียนหมัง ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ไม่ไกลจากทวีปเทียนหลัว แต่เป็นทวีปขนาดเล็กและทรัพยากรก็จำกัดจำเขี่ย เมื่อเทียบกับทวีปเทียนหลัวก็เป็นความแตกต่างระหว่างฟ้ากับเหว


ใบหน้าสมาชิกตำหนักมู่เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา การให้ยอมแพ้ต่อทวีปเทียนหลัวและมอบทวีปเทียนหมังให้ พันธมิตรเทียนหลัวคิดว่าพวกเขาสามารถคุมตำหนักมู่ได้หรือ?


สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่มู่เฉินที่ยังคงเงียบสงบ หลังจากตันหยางพูดจบเขาก็ยิ้ม


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประมุขทั้งห้าพลางส่ายหัว เสียงยังคงนิ่งเรียบ “ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งวัน ไสหัวไปจากทวีปเทียนหลัวซะ แล้วข้าจะไม่เอาเรื่องในวันนี้”


คำพูดของเขาทำให้ทุกคนเงียบกริบทันตา แต่ละคนมือเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น แม้ว่าพันธมิตรเทียนหลัวจะโหดไปหน่อยกับคำพูด แต่พวกเขาก็ยังคงให้หน้ามู่เฉิน ทว่ามู่เฉินกลับพูดแบบตัดบัวไม่เหลือใย…


ตอนนี้คงไม่มีการพูดคุยกันอย่างสันติแล้ว

 

 

 


บทที่ 1472 พันธมิตรเทียนหลัวปะทะตำหนั...

 

เมื่อคำพูดของมู่เฉินดังก้องไปทั่วจัตุรัส


ทั้งเมืองก็เงียบกริบลง ทุกคนมองไปที่ชายหนุ่มพลางกลืนน้ำลายลงคอ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนของพันธมิตรเทียนหลัว มู่เฉินก็ไม่แสดงอาการถอย ซ้ำยังตอกกลับอีกฝ่ายซะหน้าหงาย


ทันใดนั้นใบหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวพร้อมกับแสงเย็นวาบในดวงตา


“อวดดี!”


ขณะที่ใบหน้าของทั้งห้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา รอบจัตุรัสก็มีเสียงตะโกนลั่น ทันใดนั้นร่างเงาสามร่างก็ปรากฏขึ้น พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน


จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามนี้เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในพันธมิตรเทียนหลัว เมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินสามหาวเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจอดกลั้นได้ ทว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ประมุขทั้งห้าสั่งไว้ เนื่องจากพวกเขาต้องการให้ทั้งสามคนทดสอบพวกตำหนักมู่ก่อน


“ตำหนักมู่ที่ปวกเปียกกล้าสู้กับพันธมิตรเทียนหลัวรึ? ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”


จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามหัวเราะเยาะและเหวี่ยงฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสามสายทะลุผ่านมิติห่อหุ้มไปในทิศทางของพวกตำหนักมู่


เผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสาม มู่เฉินไม่แม้แต่จะหันมอง สายตาเขายังคงมองไปที่ประมุขทั้งห้าด้วยความไม่แยแส


ทว่าสายตาของจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที นางพรูเพลิงสีดำเผาผลาญการโจมตีที่ทรงพลังทั้งสามสายในทันที


เมื่อทั้งสามเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดว่าจิ่วโยวจะแก้ไขกระบวนท่าของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย


ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าจิ่วโยวไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายและคิดจะถอยหนี


แต่จิ่วโยวจะยอมให้พวกเขาล่าถอยได้อย่างไร? นางจะใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงพลังของตำหนักมู่ให้เป็นที่ประจักษ์


ร่างกายของนางกระตุกปีกหงส์ฟ้าที่อาบด้วยเพลิงสีดำสยายออกมาจากด้านหลัง ร่างวาบหายไป


เมื่อจิ่วโยวหายตัวไป จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามก็รู้สึกไม่ดีทันที ดังนั้นพวกเขาจึงรีบหมุนเวียนคลื่นหลิง ร่างกายเปล่งประกายขึ้น พวกเขาเร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมาทันที


วาบ!


จิ่วโยวปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับที่ด้านหลังทั้งสาม ปีกเฉือนออกมาฉีกมิติออกด้วยความคมกริบ


เสียงลมคมกริบจากเบื้องหลังทำให้จอมยุทธ์ทั้งสามเปลี่ยนสีหน้าทันที ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็พวยพุ่งกลายเป็นเกราะป้องกันหลายชั้นบนร่างกาย


แคว๊ก!


ทว่าการป้องกันทุกอย่างก็ถูกเพลิงสีดำเผาไหม้ ทุกคนเห็นเพียงริ้วสีดำเคลื่อนผ่านจากนั้นเสียงร้องโศกเศร้าสามเสียงก็ดังก้อง


ทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นร่างทั้งสามดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า พวกเขาเห็นบาดแผลที่น่ากลัวบนหน้าอกของจอมยุทธ์ทั้งสาม เลือดสดไหลอาบ เพลิงสีดำกำลังเผาไหม้อาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถฟื้นตัวได้


“ซี้ด”


ทุกคนสูดลมหายใจเย็น ขณะที่มองไปที่จิ่วโยวด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงของพันธมิตรเทียนหลัวสามคนจะพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว


หลังจากเอาชนะทั้งสาม จิ่วโยวก็ไม่หยุด ดวงตาของนางวูบไหว ร่างกลายเป็นเพลิงสีดำโดยตั้งใจที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้แบบเด็ดขาด ขณะที่พวกเขาจนหนทาง


เมื่อทั้งสามเห็นจิ่วโยวพุ่งมา พวกเขาก็หวาดผวา จากการเผชิญหน้าเมื่อครู่พวกเขารู้ว่าต่อให้รวมพลังก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่วโยว


“แกช่างกล้า!”


แต่เมื่อจิ่วโยวปรากฏตัวเบื้องหน้าทั้งสาม เสียงตะเบ็งก็ดังก้อง


เสียงกราดเกรี้ยวสะท้อนไปมา จื่อเหลยก็หายตัวมาปรากฏเบื้องหน้าจิ่วโยวพร้อมกับหมัดที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีม่วงซัดออกไป


พลังของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนไม่ใช่สิ่งที่ขั้นหลิงจะเทียบเคียงได้


สายฟ้าสีม่วงพล่านในดวงตาของจิ่วโยว ขณะที่นางจะตั้งท่าป้องกัน มู่เฉินก็ปรากฏตัวเบื้องหน้านาง เจดีย์เผยในดวงตาเปลี่ยนคลื่นหลิงทั้งหมดของเขาทันที


เขากำหมัดแน่น เหวี่ยงหมัดที่ห่อหุ้มด้วยถุงมืออัญมณีออกไป


ตึง!


พลังสองสายปะทะกันสายฟ้าสีม่วงพังทลายลง พริบตาหมัดของมู่เฉินก็ทะลวงมิติกระแทกเข้ากับหน้าอกของจื่อเหลย


ตู้ม!


พร้อมกับระเบิด ร่างของจื่อเหลยก็กระตุกแล้วถลาออกไปทิ้งรอยลึกสองแห่งไว้บนจัตุรัสหยก


ใบหน้าของจื่อเหลยเขียวคล้ำขณะที่ทรงตัวพลางมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน แต่ความกลัวกลับผุดขึ้นในใจ เขาสัมผัสได้ว่ามู่เฉินน่ากลัวเพียงใดจากการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าก่อนหน้านี้


การแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อทุกคนได้สติก็เห็นว่าจื่อเหลยถูกหมัดของมู่เฉินซัดกลับอย่างไร ความโกลาหลก็ระเบิดออกมาในทันที


แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียงเลื่องลือในมหาพันภพ แต่น้อยคนที่เห็นเขาปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ดังนั้นหลังจากได้เห็นมู่เฉินเอาชนะจื่อเหลยได้ พวกเขาถึงได้รู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง


“ท่านจื่อเหลย หากเจ้าต้องการต่อสู้ก็ให้มาหาข้า รังแกผู้หญิงทำไม?” มู่เฉินถอนกำปั้นและยิ้มบางให้แก่จื่อเหลย


ทว่าจื่อเหลยไม่ได้พูดอะไรเพียงมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย


ตอนนี้เองความโกลาหลก็อ่อนตัวลง เนื่องจากทุกคนเห็นประมุขอีกสี่คนบนบัลลังก์ยืนขึ้น


เมื่อพวกเขายืนขึ้น ทั้งภูมิภาคก็มืดลง


กุ่ยตี้จ้องมองไปที่มู่เฉินขณะที่เสียงดังก้อง “ประมุขมู่ เรารู้ว่าเจ้าทรงพลังและไม่มีพวกเราคนใดที่จะเอาชนะได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว”


เสียงของกุ่ยตี้ทำให้หลายคนตกตะลึง เนื่องจากกุ่ยตี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางแล้ว เมื่อเทียบกับมู่เฉินก็ห่างอยู่หลายขุม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมรับว่าไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ แล้วชายหนุ่มคนนี้มีพลังแค่ไหนกัน?


ทว่ามู่เฉินก็ยังคงมีสีหน้าสงบโดยไม่แสดงความพึงพอใจจากคำสรรเสริญของกุ่ยตี้


“วัตถุประสงค์ของเราชัดเจนที่เชิญเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ พันธมิตรเทียนหลัวต้องการที่จะปกครองทวีป เทียนหลัวทั้งหมด หากเจ้าสามารถตกลงพวกข้าจะชดเชยให้”


“แต่ถ้าเจ้ายืนกรานที่จะสู้เพื่อชิงทวีปเทียนหลัว…”


ขณะที่พูดคำนี้แสงดุร้ายก็กะพริบในดวงตาของกุ่ยตี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลง “พวกข้าทั้งห้าคนก็ขอท้าประลองกับเจ้า”


ยามนี้พันธมิตรเทียนหลัวเปิดเผยความทะเยอทะยานออกมาแล้ว


ผู้คนรอบลานต่างแสดงออกอย่างเคร่งเครียด ประมุขทั้งห้าตั้งใจรวมกลุ่มจัดการมู่เฉิน เห็นได้ว่าพวกเขากลัวมู่เฉินแค่ไหน


“ดูเหมือนว่าพันธมิตรเทียนหลัวจะไม่เอาหน้าเอาตากันแล้ว” จิ่วโยวที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย


จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนรุมโจมตีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ถ้าข่าวนี้กระจายออกไปไม่ใช่เรื่องดีเลย


แต่กุ่ยตี้กลับยิ้ม “ผู้ชนะคือกฎ ข้าไม่สนวิธีการหรอก”


ม่านตาสีเทาของเขามองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกว้างขึ้น “นอกจากนี้เพราะให้ความสำคัญต่อประมุขมู่ พวกข้าถึงทำเช่นนี้ หากเรื่องนี้กระจายออกไปชื่อเสียงของประมุขมู่คงจะพุ่งทะยานอีกครั้ง”


เมื่อจิ่วโยวได้ยินแววตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “หน้าด้าน!”


มู่เฉินโบกมือขัดจังหวะจิ่วโยวพลางยิ้มให้กุ่ยตี้ “งั้นข้าต้องขอขอบคุณทั้งห้าคนที่เมตตา”


จื่อเหลยกล่าวอย่างเย็นชา “แกต้องผ่านวันนี้ให้ได้ก่อนถึงจะพูดแบบนั้นได้”


มู่เฉินกล่าว “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าห้าคนมั่นใจที่จะจัดการกับข้ามากนะ?”


ดวงตาของกุ่ยตี้กะพริบขณะที่พูด “เจ้ารู้สึกอย่างอื่นได้ไหมล่ะ?”


พูดจบคลื่นหลิงสีเทาก็พุ่งออกมาจากร่างกายเปลี่ยนเป็นกายาหลิงเทียนจุน ดวงตาของเขาสั่นไหวพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิงที่น่ากลัวปกคลุมไปทั้งเมือง


ในเวลาเดียวกันอีกสี่คนก็ทำเช่นเดียวกัน เวลานี้แรงกดดันทรงพัลงโอบล้อมไปที่มู่เฉิน


ห้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน นี่เป็นฉากที่ทำให้ทั้งฟ้าดินตื่นตะลึงเลยทีเดียว


ทุกคนโดยรอบจัตุรัสมีสีหน้าเปลี่ยนไป เผชิญหน้ากับห้าจอมยุทธ์ระดับนี้แม้แต่มู่เฉินที่น่ากลัวก็ยังรู้สึกกดดันใช่ไหม?


ภายใต้สายตาของทุกคน รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉินค่อยๆ หุบลง ความหนาวเย็นเสียดกระดูกเข้ามาแทนที่


“ในเมื่อพวกเจ้าชอบเอาจำนวนคนมาเบ่ง งั้นข้าจะแสดงให้รู้ซึ้งถึงความหมายแท้จริงของการเบ่งด้วยจำนวน…” เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่วจัตุรัส


เมื่อประมุขทั้งห้าได้ยิน พวกเขาก็ขมวดคิ้วทันที ขณะที่ความรู้สึกไม่สบายใจตีกวนขึ้นมา


แต่ขณะที่พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ มู่เฉินก็ยื่นมือออกมาปัดนิ้วไปบนแหวน อึดใจรัศมีสีดำไร้ขอบเขตก็กวาดออก


ทันใดนั้นทั้งภูมิภาคถูกปิดล้อมด้วยความเงียบ ทุกคนมองไปที่จัตุรัสด้วยความตกใจหวาดผวา กองทัพสวมชุดเกราะสีดำปรากฏตัวอยู่ด้านหลังมู่เฉิน


เมื่อกองทัพนี้ปรากฏขึ้นก็ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้สวรรค์และโลกแปรปรวน ภูมิภาคสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

 

 

 


บทที่ 1473 หนึ่งต่อห้า

 

เหล่านักรบยืนจังก้าข้างหลังมู่เฉิน


พวกเขาดูราวกับรูปปั้นเนื่องจากไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ทว่ามีความปั่นป่วนที่น่ากลัวเดือดพล่านเหนือพวกเขา


ทุกคนตกตะลึงกับการปรากฏตัวของกองทัพนี้อย่างกะทันหัน แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั่วไปเสียอีก


เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่กองทัพธรรมดา


เผชิญหน้ากับกองทัพนี้ แม้แต่ประมุขทั้งห้ายังต้องหดดวงตาเมื่อรู้สึกถึงภัยคุกคาม


“มิน่าไอ้เด็กเหลือขอนี่ถึงได้มั่นใจมาก เพราะมีไพ่เด็ดแบบนี้นี่เอง”


ทว่าประมุขทั้งห้าก็ไม่กลัว ไม่ว่ามู่เฉินจะมีวิธีการมากแค่ไหน พวกเขาเป็นห้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แม้แต่หวงเฉวียนจือก็ต้องหลีกเลี่ยงพวกเขา


พวกเขาไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถทำอะไรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางได้


“ประมุขมู่น่าเกรงขามจริงๆ แต่พวกข้าขอแนะนำให้เจ้าคิดให้ดีก่อน อย่าทำลายอนาคตของตัวเองเลย” กุ่ยตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงคุกคามอย่างชัดเจน


มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขามองไปที่ด้านหน้าสุดของนักรบมังกรดำ ซึ่งมีร่างเงาหนึ่งยืนอยู่ นั่นก็คือแม่ทัพเจียงหลง


“ไม่คิดว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้จอมพลมู่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้” เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน เจียงหลงก็ประสานมือ


เทียบกับในอดีตน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคารพมากขึ้น พลังของมู่เฉินที่พบเจอกันในตอนนั้นอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ตอนนี้เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว


ในแง่มุมหนึ่งมู่เฉินเทียบได้กับเจ้านายคนก่อนของพวกเขาแล้ว


มู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพเจียงหลงเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ หลังจากหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ถึงเวลาที่โลกจะได้ยินชื่อของกองทัพมังกรดำอีกครั้ง”


ในอดีตเขาไม่สามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงของกองทัพมังกรดำออกมาได้ แต่หลังจากมาถึงระดับเทียนจื้อจุนเขาก็รู้สึกมั่นใจว่าสามารถนำพลังเต็มรูปแบบของกองทัพมังกรดำออกมาได้แล้ว


พอได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ไม่ใช่แค่เจียงหลงที่มีริ้วอารมณ์วูบวาบในดวงตา แม้แต่เหล่านักรบมังกรดำก็ตัวสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ในตอนนั้นพวกเขาได้สังหารปีศาจภายใต้คำสั่งของเจ้านายคนก่อน เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีจอมปีศาจจำนวนเท่าใดที่ตายด้วยมือของพวกเขา


แต่เมื่อพวกเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นครั้งแรก มู่เฉินสามารถใช้พลังกองทัพมังกรดำได้กระจ้อยร่อยเนื่องจากขุมพลังที่ยังอ่อนแอ พวกเขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย แต่โชคดีที่ในที่สุดมู่เฉินก็มาถึงระดับที่สามารถสั่งการกองทัพทั้งหมดได้แล้ว


“ปล่อยรัศมีจั้นยี่!”


เจียงหลงคำราม เหล่านักรบมังกรดำหนึ่งหมื่นคนก็คำรามตอบ รัศมีจั้นยี่อันดุเดือดแผ่กระจายออกไปทั่วขอบฟ้ากลายเป็นมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตเหนือกองทัพ


มหาสมุทรนี้ทำให้มิติสั่นสะเทือนจากลอนคลื่นเลยทีเดียว


ซ่า ซ่า


ร่างของมู่เฉินปรากฏขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ จากนั้นก็กระจายคลื่นจิตออกไป เขาได้ยินเสียงสาดกระเซ็นมาจากมหาสมุทร


นี่เป็นเพราะรัศมีจั้นยี่ได้รับการขัดเกลาสูงมากจนน่ากลัว


เมื่อประมุขทั้งห้ามองไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน จากท่าทางนี้ดูเหมือนว่ามู่เฉินยืนยันที่จะต่อสู้กับพวกเขา


“ไอ้เด็กหยิ่งผยอง งั้นก็ช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเขาเถอะ!” จื่อเหลยกล่าวอย่างเย็นชา


อีกสี่คนก็พยักหน้า ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวห้าสายพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อตัวเป็นเสาแสงเจิดจ้าห้าเสาฉีกผ่านมิติพุ่งไปยังมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่


พวกเขามีประสบการณ์และรู้ดีว่าตราบใดที่สามารถทำลายมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ได้ กองทัพนี้ก็จะล่มสลาย


การโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าในเวลาเดียวกันน่าทึ่งมาก ทำให้หนังหัวคนดูเย็นวาบไปหมด หากการโจมตีนี้ซัดเข้าในเมือง อาจทำให้ทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองการโจมตีทั้งห้าอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เหยียดนิ้วออกแล้วสะบัด


ตู้ม!


มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตม้วนตัวด้วยคลื่นรุนแรง ก่อนที่จะกลายเป็นแสงมากมายพุ่งทะยานออกไปด้านนอก


ลำแสงแต่ละสายก่อจากของเหลวรัศมีจั้นยี่ ถ้ามองให้ละเอียดจะเห็นภาพมังกรตัวเล็กอยู่ภายในทุกเส้นสาย


ฮา


ลำแสงทะยานออกไปเข้าปะทะกับการโจมตีทั้งห้า พริบตาลำแสงจำนวนมากก็แตกออก ทว่าก็ยังยิงออกไปไม่มีที่สิ้นสุด


ภายใต้พายุแสง เสาทั้งห้าก็ค่อยๆ อ่อนแอลงก่อนที่จะพังทลาย


มองพายุตระการตาบนท้องฟ้า ทุกคนก็ตกใจ แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือมู่เฉินสามารถทนต่อการโจมตีจากประมุขทั้งห้าได้จริงๆ


แม้ว่าจะเป็นการหยั่งเชิง แต่มู่เฉินก็ตอบโต้ได้อย่างสบาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เกรงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าคนเลย


“ประมุขมู่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง มิน่าเขาถึงมีชื่อเสียงในมหาพันภพได้…” ผู้คนนับไม่ถ้วนถอนหายใจ ความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินเกินความคาดหมาย หากเขาได้รับเวลามากกว่านี้ เขาจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหลังจากที่เขาไปถึงขั้นเซียนแล้ว


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกกุ่ยตี้ถึงกลัวเขามากและต้องการกำจัดให้สิ้นซาก เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าหากพลาดโอกาสนี้ก็จะไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้เมื่อมู่เฉินเคลื่อนไหวอีกครั้ง


ทั้งห้าเผยสายตามืดมน อึดใจถัดมาก็ไม่ได้พูดให้เสียเวลา แสงหลิงรวมตัวขึ้นที่เบื้องหลัง ร่างมหึมาทั้งห้าก็ปรากฏขึ้น


พวกเขาเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมาแล้ว


จากกระบวนท่าเมื่อครู่พวกเขารู้แล้วว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด ซึ่งไม่สามารถชนะได้โดยอาศัยวิธีธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร่างเวทสวรรค์ออกมาทันที


ร่างใหญ่โตทั้งห้ายืนอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก พวกเขาปล่อยพายุที่น่ากลัวพร้อมกับแรงกดดัน


เมื่อมองไปที่ทั้งห้า มู่เฉินก็หรี่ตาพลางวาดตราประทับเร็วรี่ ไม่นานเสียงคำรามรุนแรงก็ดังขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่


ทุกคนมองเห็นมังกรขนาดมหึมากำลังบินฉวัดเฉวียนออกมาจากมหาสมุทร


นี่เป็นมังกรขนาดใหญ่ที่มีประกายแวววาวบนเกล็ด เกล็ดทุกชิ้นถูกสลักด้วยลวดลายจั้นเหวิน เมื่อปรากฏขึ้นก็กวาดความผันผวนรุนแรงออกไป


วิญญาณสงคราม!


ทว่าวิญญาณสงครามนี้ได้รับการขัดเกลามากกว่าในอดีตราวกับว่ามีชีวิต


เมื่อรู้สึกถึงความผันผวนของมังกร มู่เฉินก็ดูพอใจ กองทัพมังกรดำในจุดสูงสุดสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดได้เลยทีเดียวและอยู่ยงคงกระพันภายใต้อาณาจักรขั้นเซิ่งเท่านั้น


กองทัพมังกรดำมีนักรบจำนวนถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน แต่เขาเรียกมาหมื่นคน วิญญาณสงครามที่กลั่นออกมาสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางปลายสุด


ตู้ม!


เมื่อมังกรขนาดใหญ่ก่อร่างขึ้น ประมุขทั้งห้าก็ซัดการโจมตีโดยไม่ลังเล ร่างเวทสวรรค์เหวี่ยงหมัดกระชากผ่านมิติพุ่งเข้าหามังกรยักษ์


แม้ว่าหมัดจะดูเรียบง่าย แต่คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็สามารถทำลายร่างเวทสวรรค์ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้


เผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ ท่าทางของมู่เฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง รัศมีจั้นยี่มังกรคำรามกวาดหางออกไปประจัญบานกับศัตรู


ตู้ม!


มังกรกางกรงเล็บ เข้าปะทะจุดแรกกับร่างเวทสวรรค์ของตันหยาง


ตึง!


เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากการปะทะ มิติพังทลาย แต่ที่ทำให้หลายคนตะลึงคือร่างเวทสวรรค์ของตันหยางกระเด็นออกไป


“บ้าเอ้ย!”


ตันหยางยืนอยู่บนไหล่ของร่างเวทสวรรค์ด้วยท่าทางไม่น่าดูขณะที่ตะโกน “ลงมือพร้อมกัน!”


ร่างเวทสวรรค์ทั้งห้าทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าล้อมวิญญาณสงครามและปลดปล่อยการโจมตีออกมา


ทว่ามังกรยักษ์ไม่มีหวาดเกรง มันกวัดแกว่งกรงเล็บตลอดเวลา นอกเหนือจากกุ่ยตี้ที่ยังพอต้านได้ ทุกคนถูกปราบเอาไว้


มังกรมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางปลายสุดแล้ว นอกเหนือจากกุ่ยตี้ คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถต่อกรได้ เพราะยังไงพวกเขาก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นเท่านั้น


ตู้ม ตู้ม!


การต่อสู้ดุเดือดปะทุขึ้นบนท้องฟ้าสูง ห้าร่างเวทสวรรค์คล้ายกับดวงอาทิตย์ลุกโชนที่ระเบิดด้วยพายุที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง


แต่ที่น่าตกใจคือวิญญาณสงครามไม่มีอาการพ่ายแพ้แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ห้าคน ในทางตรงกันข้ามมันกลับปล่อยการโจมตีที่ดุร้าย กระแทกร่างเวทสวรรค์ทั้งห้าต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่ง


ผู้ชมต่างเหงื่อเย็นท่วมตัว อดีตพวกเขารู้เพียงว่าประมุขมู่แข็งแกร่ง แต่หลังจากได้เห็นวิธีการต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนและไม่พ่ายแพ้ ในที่สุดทุกคนก็รู้ว่าเขาทรงพลังเพียงใด…


ใบหน้าของกุ่ยตี้ดูเคร่งขรึมเมื่อมองไปที่วิญญาณสงครามที่ดุร้าย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะทรงพลัง กระทั่งความเชี่ยวชาญในฐานะจั้นเจิ้นซือก็ยังน่าตื่นตะลึง


“หากยังเป็นแบบนี้ก็ไม่สามารถกำจัดเขาได้”


ดวงตาของกุ่ยตี้กะพริบพร้อมกับไอหนาวเย็น จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือจานกระดูกสีเทาปรากฏขึ้นในมือ


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงต้องให้เจ้าลิ้มลองสิ่งนี้แล้ว…”

 

 

 


บทที่ 1474 ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้าน

 

จานกระดูกสีเทาปรากฏขึ้นในมือกุ่ยตี้


จานนี้มีผิวเรียบกริบราวกับกระจก ขอบถูกสลักด้วยสัญลักษณ์โบราณที่ปลดปล่อยความผันผวนของคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวออกมาเบาบาง


เมื่อจานกระดูกนี้ปรากฏขึ้นมู่เฉินก็หดตาลง สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง “ความผันผวนนี้…อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียน?”


ความผันผวนนั้นทรงพลังแม้ในหมู่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียน ไม่คิดว่ากุ่ยตี้จะมีในครอบครอง… ชัดว่าสิ่งนี้ให้ความมั่นใจมากกับอีกฝ่าย


“ประมุขมู่ ข้าไม่อยากใช้วัตถุนี้หรอกนะ แต่ในเมื่อเจ้าดื้อด้านก็โทษข้าไม่ได้” ถือจานกระดูกไว้ กุ่ยตี้ก็ยิ้มอย่างเย็นชา “แต่ไม่ต้องกังวลเจ้ามีภูมิหลังแข็งแกร่งปานนั้น ดังนั้นข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าจ่ายราคาแพงระยับ!”


มู่เฉินตอบอย่างแผ่วเบาพร้อมกับไม่มีความแปรปรวนบนใบหน้า “เจ้ายังไม่มีพลังพอที่จะทำหรอก”


แม้ว่ากุ่ยตี้จะอยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง แต่ในแง่พลังการต่อสู้ยังปะทะกับหวงเฉวียนจือไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะหวงเฉวียนจือสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ที่มีขุมพลังเหนือกว่าของตนเอง และในเมื่อเขาสามารถเอาชนะหวงเฉวียนจือได้ เขาจึงไม่กลัวกุ่ยตี้เลยสักนิด


เห็นได้ชัดว่ากุ่ยตี้ทราบข้อเท็จจริงนี้ดี ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงรวมพลังกับประมุขอีกสี่คนเพื่อต่อสู้กับมู่เฉิน


“งั้นก็ลองดู!”


เมื่อได้ยินเสียงไม่แยแสของมู่เฉิน สีหน้าน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ากุ่ยตี้ มือของเขาประสานกันอย่างรวดเร็ว จานกระดูกในมือทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขยายขนาดเป็นพันจั้ง


“รวมพลังกัน!”


กุ่ยตี้ตะโกนพลางมองไปที่ประมุขอีกสี่คน


ประมุขอีกสี่คนก็รู้ว่าจานกระดูกนี้ทรงพลังเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้า ห้าร่างเวทสวรรค์ปลดปล่อยเสาแสงขนาดใหญ่ห้าเสาเข้าไปในจานกระดูกขนาดใหญ่นั่น


ฮึ่ม ฮึ่ม!


ระลอกคลื่นพุ่งเข้าในจานกระดูก เกิดระลอกคลื่นด้านบน ความผันผวนที่อธิบายไม่ได้รวมอยู่ภายใน


มิติโดยรอบแสดงร่องรอยการยุบตัวราวกับว่าไม่สามารถทนต่อความผันผวนของคลื่นหลิงได้


เมื่อจิ่วโยวและเฉวียนเทียนเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกได้ว่าจานกระดูกนี้ได้รวบรวมพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าคนเอาไว้


ต้องรู้ว่าทั้งห้าทรงพลัง ด้วยพลังที่มารวมกันก็จะทำให้เกิดการปฏิเสธตามธรรมชาติ ทว่าจานกระดูกนี้สามารถรวมเข้าด้วยกันได้จริง


ดังนั้นการโจมตีนี้จึงเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนอีกหน้า ซึ่งเป็นการหลอมรวมสมบูรณ์ระหว่างพลังห้าสายและเป็นสิ่งที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางได้เลยทีเดียว


ชัดว่านี่น่าจะเป็นไพ่ตายของประมุขทั้งห้า


ขั้วอำนาจอื่นโดยรอบจัตุรัสก็สังเกตเห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน การแสดงออกของพวกเขาเปลี่ยนไปรุนแรง


พวกเขารู้ดีว่าผลของการต่อสู้ครั้งนี้จะกำหนดตัวเจ้าเหนือหัวทวีปเทียนหลัวแล้ว…


“เมื่อดูสถานการณ์นี้ ประมุขมู่กำลังตกอยู่ในอันตราย ประมุขทั้งห้าได้รวมพลังผ่านจานกระดูก ไม่ต้องพูดถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แม้แต่ขั้นเซียนระยะกลางก็ตายคาที่หากประมาท”


“ประมุขมู่ยังเด็กเกินไป ขณะประมุขทั้งห้าเป็นเฒ่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ถ้าพวกเขาไม่มีไม้เด็ดสักใบสองใบจะยั่วโมโหอีกฝ่ายทำไม…”


“ถ้าประมุขมู่แพ้ ตำหนักมู่ก็ต้องออกจากทวีปเทียนหลัว การทำงานหนักทั้งหมดของพวกเขาก็ละลายไปในทะเล…”


ทว่ามู่เฉินกลับเพิกเฉยต่อความวุ่นวาย ดวงตาหรี่ลงมองไปที่จานกระดูก ความผันผวนของคลื่นหลิงที่รวมตัวกันทำให้แม้แต่เขาก็ไม่สามารถประมาทได้


ครืนๆๆๆ!


คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันในกระจกก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายฟ้า มันส่องประกายและแผ่ซ่านด้วยความผันผวนของการทำลายล้าง


กุ่ยตี้ยืนอยู่ใต้กระจก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาจากคลื่นหลิง ก่อนที่เขาจะมองไปที่มู่เฉินจากนั้นโบกมือเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม


“แกลองทดสอบความสามารถของกระจกรวมเทพโบราณหน่อยเถอะ”


จานกระดูกสั่นไหวเล็งเป้าไปที่มู่เฉิน


ตู้ม!


อึดใจต่อมาคลื่นหลิงพร่างพราวก็รวมตัวกันป่าเถื่อนรอบกระจกกระดูก ก่อนที่จะหดตัวลงอย่างรวดเร็ว สิบกว่าลมหายใจสั้นๆ เสาพลังหลายพันจั้งก็กลายเป็นลำแสงขนาดเท่าฝ่ามือพุ่งออกไป


แม้ว่าจะลดขนาดลง แต่ลำแสงสีเงินก็ฉีกผ่านสวรรค์และโลกทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง


เมื่อมองไปที่ลำแสงสีหน้าของมู่เฉินก็เคร่งขรึมมาก เขารู้สึกถึงไอเยือกเย็นจากเจตนาสังหารบนลำแสงนั้น


ฮา


มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ มือประสานเข้าด้วยกัน รัศมีจั้นยี่ดุเดือดก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็หลั่งไหลเข้าไปในวิญญาณสงครามมังกร


เมื่อมีการเพิ่มขึ้นของรัศมีจั้นยี่ปริมาณมาก สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ก็เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น


ที่สำคัญที่สุดคือจำนวนลวดลายจั้นเหวินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน


สิบล้าน… สามสิบล้าน… สี่สิบล้าน…


ด้วยพลังในปัจจุบันของมู่เฉิน เขาสามารถสร้างลวดลายจั้นเหวินได้แล้วในระดับสิบล้าน พูดโดยทั่วไประดับสิบล้านก็เทียบเท่ากับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิง


เมื่อถึงสี่สิบล้านลายก็เปรียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!


ยามนี้มู่เฉินได้ดึงพลังทั้งหมดของกองทัพมังกรดำออกมาโดยไม่รั้งไว้แล้ว


ฟิ้ว!


จังหวะนั้นลำแสงสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือก็ยิงเข้ามา


โฮก!


รัศมีจั้นยี่มังกรปล่อยเสียงคำราม อ้าปากสูดลมหายใจ ลมหายใจมังกรมีลวดลายจั้นเหวินสี่สิบล้านลายเลยทีเดียว


ตึง!


ปราณมังกรเชี่ยวกรากปะทะกับลำแสงสีเงิน แต่เมื่อเกิดการโรมรัน ปราณมังกรเชี่ยวกรากก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว


ลำแสงสีเงินทำลายปราณมังกรทั้งหมดที่ขวางหน้า


“แม้ว่าลวดลายจั้นเหวินสี่สิบล้านลายจะน่ากลัว แต่ก็ไร้เดียงสาเกินไปที่แกคิดว่าจะเอาชนะพวกข้าห้าคนได้!” กุ่ยตี้ยิ้มเยาะเมื่อเห็นพลังทำลายล้างของลำแสงสีเงิน


เมื่อมองไปที่ปราณมังกรที่สลายลงจากลำแสงสีเงิน มู่เฉินก็ไม่มีสีหน้าใด เขาหายใจเข้าลึกสะบัดนิ้วออก รัศมีเปล่งประกายออกมาจากแหวน


แสงกระจายออกจากเบื้องหลัง นักรบมังกรดำห้าพันคนก็ปรากฏตัวขึ้น


ตอนแรกเขาคิดจะกั๊กไว้ แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะต้องทุ่มหมดหน้าตักแล้ว


“เร้ารัศมีจั้นยี่ออกมาทั้งหมด!” เสียงของมู่เฉินดังก้องในโสตประสาทของนักรบมังกรดำทุกคน ดวงตาของพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงพลางตะโกนรับ


ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม!


ลำแสงหนึ่งหมื่นห้าพันสายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ลำแสงทุกเส้นควบแน่นและทนทาน สุดท้ายก็พุ่งเข้าสู่รัศมีจั้นยี่มังกร


โฮก!


มังกรส่งเสียงคำรามและขยายขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันจำนวนลวดลายจั้นเหวินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน…


สี่สิบล้าน… สี่สิบห้าล้าน…


พร้อมกับความเร็วบ้าคลั่งของจำนวนลวดลายจั้นเหวินที่เพิ่มมากขึ้น ความกดดันที่น่ากลัวก็แผ่กระจายทำให้ท้องฟ้ามืดลง


เมื่อมองไปที่ฉากนี้ใบหน้าของประมุขทั้งห้าก็เปลี่ยนไป ลวดลายจั้นเหวินสี่สิบห้าล้านลายเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางยังรู้สึกหนังหัวชาหนึบ


“ไอ้เด็กนี่เป็นตัวปัญหาจริงๆ!”


กุ่ยตี้ขบฟันพลางสร้างตราประทับทันที ลำแสงสีเงินเพิ่มความเร็วขึ้นขณะพุ่งเข้าหามังกร


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองมังกรด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาถึงขีดสุดในการควบคุมลวดลายจั้นเหวินแล้ว


สายตาของเขาจับจ้องไปที่มังกร ลวดลายจั้นเหวินยังคงเพิ่มขึ้น พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของเส้นเลือดปรากฏขึ้นในดวงตาเขา…


ลวดลายจั้นเหวินห้าสิบล้านลาย…


ในที่สุดก็หยุดลงที่จำนวนนี้ เลือดไหลออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน เขาเช็ดออกพลางถอนหายใจยาวๆ


นี่เป็นขีดสุดของกองทัพมังกรดำแล้ว บางทีอาจจะด้อยกว่าสภาพพร้อมรบในอดีต แต่ก็เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางยังไม่กล้าประมาท


สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางจะถูกสังหารทันที


“ไป”


มู่เฉินลูบขมับด้วยความเหนื่อยล้า ไอสังหารพลุ่งพล่านในดวงตาขณะที่ชี้นิ้วออกไป


โฮก!


ภายใต้สายตาตกตะลึงมากมาย พริบตามังกรก็กลายเป็นริ้วแสงสีเทาปะทะกับลำแสงสีเงิน…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)