หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1465-1470

 บทที่ 1465 ผลลัพธ์ของการต่อสู้

 

ฮึ่ม ฮึ่ม!


ขณะที่เจดีย์โบราณลอยคว้างอยู่ ร่างปีศาจทั้งแปดก็บินวนเวียนอยู่รอบๆ ปลดปล่อยรัศมีรุนแรงซึ่งทำให้มิติใกล้เคียงบิดเบี้ยว


“นั่นคือ…วิชาเจดีย์แปดองค์ในตำนานเรอะ?!”


เมื่อร่างปีศาจทั้งแปดปรากฏตัว ความปั่นป่วนก็ปะทุขึ้นรอบๆ สระยกเทพ มีบางคนจดจำได้


“มู่เฉินไม่เพียงแต่ได้รับวิชาสามพิสุทธิ์ แต่ยังได้ฝึกฝนวิชาเจดีย์แปดองค์ เขาได้รับสองวิชาในวิทยายุทธขั้นเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานเลยทีเดียว” หลายคนเดาะลิ้น ในมหาพันภพมีวิทยายุทธนับไม่ถ้วน แต่วิทยายุทธในตำนานมีเพียงสามสิบหกวิชา เห็นได้ว่าวิชาเหล่านี้มีค่าเพียงใด


แม้แต่คนอย่างหวงเฉวียนจือยังได้รับการฝึกฝนเพียงหนึ่งในนั้นก็คือวิชาเก้าเทพหมุนวน ทว่ามู่เฉินได้เรียนรู้ถึงสองวิชา!


นี่ไม่ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร?


แม้แต่หวงจิงก็มองไปที่กระจกด้วยสีหน้าไม่น่าดู เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะต้านทานกระบวนท่าสูงสุดของหวงเฉวียนจือได้ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเริ่มปล่อยการโจมตีดุร้ายกลับมาด้วย


ผู้อาวุโสเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงก็เปลี่ยนสีหน้า ปรากฏแววกังวลในดวงตา นั่นเป็นเพราะในขณะนี้บอกได้ว่าข้อได้เปรียบของหวงเฉวียนจือเริ่มลดลงแล้ว


ด้วยพลังของมู่เฉินตอนนี้ที่เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหวงเฉวียนจือ เมื่อบวกวิชาเจดีย์แปดองค์ไปด้วยแล้วเขาจะน่ากลัวขนาดไหน?


“หวังว่าประมุขน้อยจะรับเอาไว้ได้ การเพิ่มพูนพลังของมู่เฉินมีจำกัด ตราบใดที่ทนช่วงเวลานี้ไปได้ อีกฝ่ายก็ต้องอ่อนแอลงและนั่นจะเป็นโอกาสที่ดี!”


“ถูกต้อง ตราบใดที่เขาทนช่วงนี้ได้ มู่เฉินจะต้องแพ้!”


 


ขณะที่การสนทนาเกิดขึ้นท่ามกลางผู้ชม


หวงเฉวียนจือยังคงยืนอยู่บนหงส์ฟ้าทองคำพลางมองไปที่ปีศาจทั้งแปดอย่างเย็นชา ความคิดของเขาคล้ายคลึงกับผู้อาวุโสของเผ่าอย่างไรอย่างนั้น


ตราบใดที่เขาสามารถผ่านช่วงเวลานี้ได้ มู่เฉินก็จะต้องพ่ายแพ้กลับไปที่ขุมพลังดั้งเดิมแน่นอน


“ในเมื่อแกต้องการสู้ ข้าก็จะสู้ด้วย!”


เส้นเลือดฝอยคืบคลานบนดวงตาของหวงเฉวียนจือ ในฐานะประมุขน้อยเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริง เขาก็เป็นคนที่มีความภาคภูมิใจ แม้ว่ามู่เฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เขาก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะทำอะไรเขาได้ ถ้าเขาป้องกันอย่างดีที่สุด


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับสายตาเย็นชาของหวงเฉวียนจือ แต่กลับมองไปที่ปีศาจทั้งแปด เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสาแสงสูงตระหง่านทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่ทำให้มหาสมุทรสั่นสะเทือน


โฮก!


เมื่อเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ปีศาจทั้งแปดก็ส่งเสียงคำรามดุร้ายราวกับว่าฟื้นขึ้นมาจากนรก พวกมันอ้าปากเริ่มดูดซับเสาคลื่นหลิงขนาดใหญ่…


หลังจากกลืนกินคลื่นหลิงไร้ขอบเขต รัศมีรุนแรงรอบตัวพวกมันก็พุ่งสูงขึ้น ทำให้กระทั่งผู้ชมที่อยู่นอกสระยกเทพยังรู้สึกหนาวสั่นราวกับว่าปีศาจมีชีวิตขึ้นมา


ท้ายที่สุดร่างปีศาจทั้งแปดนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากศพราชาปีศาจนับร้อย… ในมหาพันภพเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนับร้อย ฟังดูน่าสยดสยองยิ่งนัก


มู่เฉินมองไปที่หวงเฉวียนจือโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ มือเขาประสานเข้าหากัน


พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของตราประทับ ปีศาจทั้งแปดก็สร้างตราประทับเดียวกัน ลำแสงสีแดงเข้มแปดสายเชื่อมต่อกันเป็นรูปแปดเหลี่ยมซับซ้อน


รัศมีรุนแรงพวยพุ่งออกมาจากการก่อตัว เริ่มบีบอัดตัวเองเป็นทรงกลมสีแดงเข้ม


ลูกทรงกลมถูกปกคลุมไปด้วยอักขระสีแดงเข้มพร้อมกับรัศมีรุนแรง มีกลิ่นอายที่สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเสียการควบคุมคลื่นหลิงในร่างเลยทีเดียว


เมื่อรู้สึกถึงความผันผวน หวงเฉวียนจือก็หดดวงตา สีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ฉายแววหวาดผวาในดวงตา


เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่าถูกคุกคามจากลูกทรงกลมนั่น


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้เวลาได้คิด เขาหายใจเข้าลึกเสียงดังกึกก้อง


“วิชาเจดีย์แปดองค์ เจดีย์ปีศาจหยก!”


ตู้ม!


รัศมีดุร้ายเพิ่มขึ้นทั่วทั้งบริเวณนี้ เมื่อปีศาจทั้งแปดปลดปล่อยเสียงคำรามรุนแรงก็สั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน ในเวลาเดียวกันลูกทรงกลมสีแดงเข้มก็พุ่งไปยังหวงเฉวียนจือ


แกร็ก แกร็ก!


ในเส้นทางที่ลูกทรงกลมสีแดงเข้มพุ่งผ่าน มิติก็พังทลายลงรุนแรง พลังในการทำลายล้างทำให้ผู้ชมที่อยู่นอกสระต้องเบิกตากว้าง


ลึกลงไปในพื้นมหาสมุทร หวงเฉวียนจือรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ขึ้นมาจากฝ่าเท้า เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความตายในขณะนี้


หากปล่อยให้ลูกทรงกลมสีแดงเข้มนั้นพุ่งกระทบเขา แม้กระทั่งตัวเขาก็ต้องตายตกอยู่ที่นี่


“นี่คือพลังอำนาจของวิชาเจดีย์แปดองค์รึ? น่ากลัวจริงๆ!”


สายตาของหวงเฉวียนจือกะพริบด้วยแสงดุร้าย ในเมื่อเขาหนีไม่ได้ เขาก็ต้องพยายามต้านให้ได้ แม้ว่าความสามารถของมู่เฉินจะน่ากลัว แต่เขาหวงเฉวียนจือก็ไม่ใช่หมาขี้แพ้!


โฮก!


หวงเฉวียนจือคำรามขณะที่สร้างตราประทับอย่างรวดเร็ว เขากัดลิ้นพร้อมกับเลือดกลั่นไหลออกมา


แก่นเลือดนี้มีสีทอง ใบหน้าของหวงเฉวียนจือซีดลงเล็กน้อย ทว่าเขาก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ วงแสงสีทองเริ่มหมุนและกลืนกินแก่นเลือดของเขาไป


ตู้ม ตู้ม!


หลังจากกลืนกินแก่นเลือดวงแสงสีทองก็เริ่มขยายออกไปพร้อมกับลำแสงสีทองพุ่งออกมา


ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!


คราวนี้มีแสงสีทองแปดสายหมุนเวียน หวงเฉวียนจือนำทักษะเทพทั้งแปดออกมาใช้พร้อมกัน แต่หลังจากปลดปล่อยการโจมตีแปดกระบวนท่า วงแสงก็ยังไม่หยุดหมุน ขณะที่หมุนด้วยความฝืด ลำแสงสีทองสายที่เก้าก็ค่อยๆ ออกมา


ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหวงเฉวียนจือ เขายังไม่สามารถใช้กระบวนท่าที่เก้าได้เต็มที่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่บีบเค้นออกมาในขณะนี้


อ็อก!


เมื่อมองไปที่ลำแสงสีทองสายที่เก้า สายตาหวงเฉวียนจือก็พล่านด้วยความดุร้าย เลือดกลั่นสีทองหลั่งไหลเข้ามาในวงแสง ครั้งนี้ในที่สุดลำแสงสีทองสายที่เก้าก็เริ่มควบแน่น…


แต่เนื่องจากเขาบีบบังคับ วงแสงจึงเริ่มแตกร้าว


สิ่งนี้ทำให้หวงเฉวียนจือรู้สึกปวดใจเนื่องจากเขารู้ว่าแม้จะชนะในวันนี้ แต่เขาก็ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บที่ต้องทุกข์ทน


“ให้ตายเถอะ ไอ้มู่เฉิน!”


หวงเฉวียนจือกัดฟันพร้อมกับแสงเย็นวูบวาบในดวงตา “ในเมื่อแกต้องการเอาชนะ ข้าก็จะบอกให้รู้ว่าแกมันปัญญาอ่อนแค่ไหน!


“วิชาเก้าเทพหมุนวน นิพพานที่เก้า บาตรหงส์ฟ้า!”


ทันใดนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้น กระบวนท่าทั้งเก้ารวมเข้าด้วยกันเร็วรี่ก่อนจะก่อร่างเป็นบาตรทองคำขนาดใหญ่ที่มีหงส์ฟ้าแท้จริงอยู่บนนั้นซึ่งส่งเสียงร้องและปล่อยเพลิงหงส์ฟ้าที่สามารถเผาผลาญฟ้าดินได้


ขณะที่บาตรหงส์ฟ้าหมุนคว้างก็ห่อหุ้มหวงเฉวียนจือ นี่เป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของวิชาเก้าเทพหมุนวน แม้ว่าเขาจะบีบคั้นออกมา แต่ก็ไม่สามารถประเมินพลังได้


ดวงตาของหวงเฉวียนจือเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะจ้องไปที่มู่เฉิน เขาไม่เชื่อว่ามู่เฉินสามารถทะลวงการป้องกันของเขาได้!


ตราบใดที่เขาต่อต้านการโจมตีนี้ได้ ชีวิตของมู่เฉินก็จะตกอยู่ในกำมือของเขา!


“มาเลย!”


ท่ามกลางเสียงของหวงเฉวียนจือและสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้คนนอกสระยก ลูกทรงกลมสีแดงเข้มก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าและชนกับบาตรหงส์ฟ้า…


ครืนๆๆๆ!


พริบตาพลังงานสองสายก็ปะทะกัน ทั่วบริเวณโยกคลอนพร้อมกับคลื่นมากมายยกตัวขึ้นเหนือพื้นมหาสมุทร มากจนการระเบิดทำให้เกิดพายุปกคลุมเทือกเขาทั้งหมด…


เหล่าจอมยุทธ์จากเผ่าเทพอสูรใบหน้าเปลี่ยนไป พวกเขารู้ว่าสระยกเทพเป็นมิติแยกตัว แต่ถึงอย่างนั้นการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและหวงเฉวียนจือก็ส่งผลกระทบออกมาได้…


การเผชิญหน้านั้นน่ากลัวแค่ไหนกัน?!


ทว่าทุกคนต่างจับจ้องไปที่กระจก ตอนนี้การทำลายล้างยังคงดำเนินต่อไปสองสามนาทีก่อนที่จะค่อยๆ สลายไป


ทุกคนที่นี่รวมถึงหวงจิงและเทียนฮวงก็ยังกลั้นหายใจขณะที่มองดู


เมื่อแสงค่อยๆ หายไปทิวทัศน์ก็กระจ่างขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นทุกคนก็หดดวงตา บาตรหงส์ฟ้าวูบไหวด้วยแสง ขณะที่ลูกทรงกลมสีแดงเข้มหดตัวลงอย่างรวดเร็ว…


“เขาต้านไว้ได้เหรอ?!”


เมื่อเห็นฉากนี้ผู้อาวุโสเผ่าหงส์ฟ้าก็ฉายความสุขบนใบหน้าทันที พวกเขารู้สึกได้ว่าพลังของลูกทรงกลมสีแดงเข้มลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว


ไม่กี่ลมหายใจ ลูกทรงกลมสีแดงเข้มก็ลดขนาดลงเหลือเท่ากับศีรษะมนุษย์


ในเวลาเดียวกันหวงเฉวียนจือก็ฉายความสุขบนใบหน้า ชัยชนะจะอยู่ในมือเขาแล้ว!


แกร็ก!


ทว่าเสียงแตกดังก้องขึ้นฉับพลัน หวงเฉวียนจือเงยหน้าขึ้นก็ต้องหดตาลง เนื่องจากเขาเห็นรอยแตกเล็กๆ บนบาตร…


แกร็ก แกร็ก!


รอยแตกนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นและเมื่อปรากฏขึ้นก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทั้งบาตรในช่วงหายใจเข้า


ขณะเดียวกันลูกทรงกลมสีแดงเข้มยังมีขนาดเหลือเท่าฝ่ามือ


“แกแพ้แล้ว”


มู่เฉินกล่าวแบบไร้อารมณ์


ปัง!


พร้อมกับคำพูดของมู่เฉิน บาตรหงส์ฟ้าก็ถึงขีดจำกัดและระเบิดทันที…


หวงเฉวียนจือเผยความกลัวในดวงตา ขณะที่ปีกหงส์ฟ้าแผ่ออกไปด้านหลังทันที เขาคิดจะถอยหนี


ฟิ้ว!


แต่ทันใดนั้นลูกทรงกลมสีแดงเข้มก็พุ่งลงมาที่หน้าอกของเขา…


ร่างกายครึ่งหนึ่งของหวงเฉวียนจือระเบิดออก แม้แต่หงส์ฟ้าทองคำที่อยู่ใต้เท้าก็แข็งค้างก่อนที่จะแตกออกจากกัน


ร่างของหวงเฉวียนจือร่วงลงราวกับว่าวสายป่านขาด


บรรยากาศนอกสระยกเทพหยุดนิ่งไปเลยในขณะนี้

 

 

 


บทที่ 1466 คว้าแก่นโลหิตเสมือนขั้นเซิ่ง

 

ด้านนอกสระยกเทพ


ขณะที่พายุเข้าปกคลุมพื้นที่ เสียงก็เงียบสนิทราวกับป่าช้า ทุกคนตกตะลึงเมื่อมองไปที่กระจก


ในกระจกร่างของหวงเฉวียนจือค่อยๆ ล้มลงโดยที่ร่างกายครึ่งหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และหมดสติไป


ในที่สุดผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งนี้ก็ปรากฏแล้ว…


แม้ว่าจะเหนือความคาดหมายของทุกคน แต่ก็เป็นความจริงที่โหดร้าย เมื่อมองไปที่สภาพปัจจุบันของหวงเฉวียนจือก็ไม่มีใครหาข้ออ้างให้ได้


“เป็นไปได้อย่างไร…”


จอมยุทธ์เผ่าเทพอสูรพึมพำพร้อมกับความหวาดหวั่นพล่านในดวงตา เพราะชื่อเสียงของหวงเฉวียนจือขจรขจายในเผ่าเทพอสูรและตัวเขาก็อยู่ในอันดับต้นๆ ของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ในอดีตหลายต่อหลายคนพ่ายแพ้ให้กับหวงเฉวียนจือซึ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้เขา


แต่ใครจะคาดคิดว่าหวงเฉวียนจือจะพ่ายแพ้ให้กับมนุษย์ในวันนี้…


แม้จะมีความตกใจ แต่หลังจากที่ได้เห็นการปะทะ พวกเขาก็ต้องยอมรับว่ามู่เฉินน่ากลัวอย่างแท้จริง


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงพลิกคว่ำพลิกหงายเผ่าฝูถูได้…


ขณะที่ทุกคนกำลังถอนหายใจ เผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงก็เงียบกริบ แม้แต่หวงจิงก็มีสีหน้าเขียวคล้ำ ส่วนผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ตะลึงพรึงเพริด ชัดว่าไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์นี้ได้


อัจฉริยะเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริงแพ้?


ตอนแรกพวกเขายังหวังว่าหวงเฉวียนจือจะต่อต้านการโจมตีของมู่เฉินได้ ก่อนที่จะตอบกลับ แต่ใครจะคิดได้ว่ากระบวนท่าของมู่เฉินจะทรงพลังมากจนทำลายการป้องกันของหวงเฉวียนจือไปได้…


เมื่อเทียบกับความเงียบของเผ่าหงส์ฟ้า เทียนฮวงฉายความสุขบนใบหน้าขณะตัวสั่นเทิ้ม แม้แต่ผู้อาวุโสหลู่จากเผ่าวิหคโลกันตร์ที่อยู่ข้างหลังก็ยังอึ้งตะลึงงันพลางกลืนน้ำลายลงคอ


“มู่เฉินนั้นน่ากลัวจริงๆ…” เขาพึมพำ


เอาชนะหวงเฉวียนจือที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง หากข่าวนี้กระจายออกไปก็จะทำให้ชื่อเสียงของมู่เฉินพุ่งทะลุฟ้าไปอีกขั้น


เพราะพลังของหวงเฉวียนจือไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูจะเทียบเคียงได้


“เป็นโชคดีที่สุดของจิ่วโยวที่ได้รู้จักกับมู่เฉิน” เทียนฮวงถอนหายใจ ตอนนั้นพวกเขาคัดค้านพันธะโลหิตระหว่างจิ่วโยวกับมู่เฉินหัวชนฝา เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่ามู่เฉินจะลากจิ่วโยวลงมาที่ต่ำ แต่ใครจะคิดได้ว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่ลากจิ่วโยวลงมา เขายังกลายเป็นกองหนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางอีกด้วย


หลังจากการศึกครั้งนี้แม้แต่สถานะของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะเพิ่มขึ้นในหมู่เทพอสูร ในอดีตบรรดาคนที่หมายตาเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะปัดเป่าความคิดแตกซ่านออกไป


ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมู่เฉิน


 


มู่เฉินปล่อยลมหายใจยาว


ก่อนที่เจดีย์จะกลายเป็นริ้วแสงกลับมาสถิตในร่าง แม้แต่กายาหลิงเทียนจุนก็ค่อยๆ จางหายไป


“ชายคนนี้คู่ควรกับการเป็นอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าแท้จริง”


มู่เฉินพึมพำขณะมองไปที่หวงเฉวียนจือ นั่นเป็นเพราะหลังจากต่อสู้เขาก็สัมผัสว่าหวงเฉวียนจือทรงพลังเพียงใด เขาต้องใช้ทั้งวิชาสามพิสุทธิ์และวิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อเอาชนะ


แม้ว่าหวงเฉวียนจือจะน่ารังเกียจ แต่ก็เป็นอัจฉริยะแท้จริง เมื่อเทียบกับชายคนนี้ จอมยุทธ์คนอื่นที่มู่เฉินพบในอดีตล้วนเทียบไม่ได้


อย่างไรก็ตามถึงหวงเฉวียนจือจะทรงพลัง แต่เขาไม่ใช่คนสุดท้ายที่ยืนหยัด…


มู่เฉินโบกมือแสงสามสายบินจากหวงเฉวียนจือเข้าสู่ฝ่ามือเขา นี่ก็คือแก่นโลหิตระดับเสมือนขั้นเซิ่งหกส่วนที่อีกฝ่ายได้มาจากพวกข่งหลิงเอ๋อ


“ได้มาสักที”


มู่เฉินยิ้มเมื่อเห็นเม็ดกลมทั้งสามนี้ ด้วยสิ่งนี้ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าสามารถวิวัฒนาการให้กับจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในร่างของเขาได้


ฟิ้ว!


หลังจากที่มู่เฉินรับเม็ดยาทั้งสามแล้ว จู่ๆ ร่างหวงเฉวียนจือก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทองทะยานออกจากสระยกเทพไป


มู่เฉินไม่ได้หยุดอีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่หวงเฉวียนจือไม่กล้าฆ่าเขา เขาก็ไม่สามารถฆ่าหวงเฉวียนจือ ได้ เนื่องจากพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเป็นกองหนุน การต่อสู้เมื่อครู่ยังภายใต้กฎเกณฑ์ หากพวกเขาทำอะไรกันขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ


ตอนนี้มู่เฉินยังไม่มีความสามารถที่จะต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการหาเรื่องเดือดร้อนให้มารดา


สำหรับหวงเฉวียนจือ มู่เฉินไม่กลัว อีกฝ่ายต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวจากการต่อสู้ครั้งนี้ เมื่อถึงเวลาที่ฟื้นตัวได้ มู่เฉินก็คงบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้วเรียบร้อย ในเวลานั้นก็เป็นเรื่องง่ายที่มู่เฉินจะเอาชนะเขาได้


เมื่อหวงเฉวียนจือจากไป จิ่วโยวก็เหินเข้ามาพร้อมกับมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง


“เจ้าสัตว์ประหลาด… เจ้าเอาชนะหวงเฉวียนจือได้จริงๆ…” จิ่วโยวกัดริมฝีปากมองไปที่มู่เฉินทั้งตกใจและมีความสุข


ผลลัพธ์ที่ได้เกินความคาดหมายของนาง แม้ว่านางจะเชื่อใจมู่เฉิน แต่นางก็รู้สึกว่ามู่เฉินมีพลังเพียงสามารถพานางหนีไปได้หากสู้ไม่ไหว


ทว่าใครจะคิดว่ามู่เฉินไม่ได้มีเจตนาหลบหนีไปพร้อมกับนางเลย ในทางตรงกันข้ามเขาใช้วิธีที่เด็ดขาดเพื่อเอาชนะหวงเฉวียนจือ เพื่อที่อีกฝ่ายจะไม่สามารถกลืนกินสายเลือดของนางได้…


“การเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ดีเยี่ยมที่สุดเลย” มู่เฉินโยนเม็ดกลมทั้งสามพลางยิ้ม


ขณะที่พูดเขาก็เหลือบมองไปในระยะไกล เห็นกลุ่มข่งหลิงเอ๋อทะยานเข้ามาด้วยความตื่นระวัง สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่แก่นโลหิตในมือของมู่เฉิน


จนตอนนี้พวกเขาถึงได้ฟื้นคืนสติจากฉากที่หวงเฉวียนจือพ่ายแพ้ แต่อึดใจก็นึกถึงเรื่องแก่นโลหิต…


พี่มู่…”


ข่งหลิงเอ๋อเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์


“ฮ่าๆ ลาก่อน ไว้พบกันใหม่ถ้ามีโอกาส”


มู่เฉินไม่ได้ให้โอกาสนางได้พูด เขายิ้มพลางจูงมือจิ่วโยวกลายเป็นริ้วแสงบินออกจากสระยกเทพ


เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพวกข่งหลิงเอ๋อคิดอะไรอยู่ คนเหล่านี้คิดจะขอแก่นโลหิตกลับไป


ไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งนี้เป็นรางวัลจากการชนะ ทั้งสามคนไม่ได้มีเจตนาดีตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาแค่ต้องการใช้ประโยชน์จากเขาเพื่อดึงหวงเฉวียนจือ


ในเมื่อพวกเขามีแผนการเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไร


รอยยิ้มบนใบหน้าของข่งหลิงเอ๋อแข็งค้าง นางมองการจากไปของมู่เฉินพลางขบฟัน แม้แต่หลินชางและเซียวเทียนก็ไม่เต็มใจ


ทว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะขัดขวางมู่เฉิน ไม่เห็นว่าแม้แต่หวงเฉวียนจือยังแพ้อีกฝ่ายหรือ? หากพวกเขาต่อสู้กับมู่เฉิน พวกเขาก็มีแต่จะแสวงหาความทุกข์ทรมาน…


ดังนั้นทั้งสามคนจึงรู้สึกหดหู่ ถ้าพวกเขารู้ว่ามู่เฉินทรงพลังมากเพียงนี้จะไปคิดร้ายกับเขาได้ยังไง? พวกเขาแค่ติดตามมู่เฉิน หวงเฉวียนจือก็ไม่สามารถคว้าแก่นโลหิตจากพวกเขาได้แล้ว


น่าเสียดายสายเกินไปที่จะเสียใจ ในศึกสระยกเทพครั้งนี้ พวกเขาต้องกลับไปมือเปล่าแล้ว…


 


ปุ ปุ!


พื้นผิวของสระยกเทพแยกออกร่างเงาสองร่างก็ทะยานออกมา


เมื่อออกมามู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศผิดปกติทันที สายตาที่จ้องมาที่เขาดูผวานิดๆ ยิ่งเมื่อมู่เฉินมองตอบไป พวกเขาก็เลื่อนสายตาราวกับว่ามู่เฉินเป็นปีศาจ ทำให้เขาพูดไม่ออกเลยทีเดียว


มู่เฉินส่ายหัวไปมาไม่สนใจคนอื่น เขากับจิ่วโยวเดินไปหาเทียนฮวงด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ทำให้ท่านผิดหวัง พาจิ่วโยวกลับมาได้แบบไม่บุบสลาย”


เทียนฮวงยิ้มด้วยความตื่นเต้น เขาตบไหล่มู่เฉินพลางกล่าวอย่างจริงจัง “มู่เฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าวิหคโลกันตร์ ในฐานะตัวแทนเผ่าข้าขอขอบคุณ”


เมื่อเห็นว่าเทียนฮวงกำลังจะโค้งคำนับให้ มู่เฉินก็รีบหยุดเขาไว้อย่างรวดเร็ว “ท่านประมุขกำลังพูดอะไร? จิ่วโยวคอยปกป้องข้าเมื่อในอดีต ถ้าไม่ใช่เพราะนางวันนี้ข้าจะประสบความสำเร็จได้งั้นเหรอ? เรื่องเล็กน้อยนี้ไม่มีอะไรเลย”


เทียนฮวงยิ้มอย่างพอใจแต่ก็รู้สึกผิดทันที “สายตาของจิ่วโยวนั้นดีกว่าพวกเราทุกคนจริงๆ”


มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม “ศึกสระยกเทพจบแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”


สายตาโดยรอบทำให้เขารู้สึกอึดอัด ดังนั้นจึงรีบจากไปเถอะในเมื่อได้รับแก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้นเซิ่งมาแล้ว


“หึ คิดจะไปเรอะ? ไม่ง่ายแบบนั้นหรอก! ทิ้งแก่นโลหิตนั่นไว้ที่นี่!” แต่ทันใดนั้นเสียงเย็นเยือกก็ดังขึ้นจากด้านหลัง


มู่เฉินหรี่ตาหันไปมองผู้อาวุโสเผ่าหงส์ฟ้า “นี่เป็นความคิดเห็นของเผ่าหงส์ฟ้าหรือ?”


สายตาของผู้อาวุโสคนนั้นคมชัดขึ้นขณะที่คิดจะตอกกลับก็ถูกหวงจิงตวาด “หุบปาก!”


ผู้อาวุโสคนนั้นทำได้เพียงปิดปากโดยไม่เต็มใจ เขาสัมผัสได้ถึงสายตาเหยียดหยามจากโดยรอบ ในโลกของสัตว์อสูร กำปั้นใครใหญ่ที่สุดมีสิทธิ์พูด ในเมื่อมู่เฉินเอาชนะหวงเฉวียนจือได้แล้วแก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้นเซิ่งก็คือรางวัลของเขา ดังนั้นหากเผ่าหงส์ฟ้าคิดใช้อำนาจยับยั้งมู่เฉินก็คงจะหน้าหนามากเกินไป


แต่โชคดีที่หวงจิงไม่สูญเสียเหตุผล เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่มีอะไรที่เผ่าหงส์ฟ้าสูญเสียไปไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเอาชนะเฉวียนจือได้ พวกข้าก็ยอมรับความพ่ายแพ้”


มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อยขณะมองไปที่หวงจิงก่อนที่จะหัวเราะ ถ้าไม่ใช่เพราะมารดาเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง หวงจิงคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สงบลงง่ายๆ


อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดที่จะพูดให้มากความ เขาประสานมือนำจิ่วโยวและคนอื่นๆ ออกไป


ตอนนี้เขาต้องการดูดซับแก่นโลหิตชั้นยอดนี้ เพื่อที่เขาจะทำให้จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงมีพัฒนาการ…


เขาตั้งหน้าตั้งตารอเป็นอย่างยิ่ง


เผ่าเทพอสูรที่อยู่รอบสระก็มองมู่เฉินและถอนหายใจ พวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้ชื่อเสียงของมู่เฉินในมหาพันภพจะเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ…

 

 

 


บทที่ 1467 วิวัฒนาการ

 

ภูเขาด้านหลังเผ่าวิหคโลกันตร์


มู่เฉินนั่งอยู่บนหินสีฟ้าอมเขียว หลังจากออกจากเผ่าหงส์ฟ้าเขาไม่ได้กลับไปที่ตำหนักมู่ แต่มาอยู่ที่นี่กับจิ่วโยวก่อน


นั่นเป็นเพราะจิ่วโยวต้องดูดซับแก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้นเซิ่งเพื่อให้วิวัฒนาการสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจมาปกป้องนาง


แน่นอนว่าเขาก็ต้องการสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อดูดซับแก่นโลหิตชั้นยอดอีกหกส่วนด้วยเช่นกัน


มู่เฉินเงยหน้ามองภูเขาที่อยู่ห่างไกลซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนนั้น นี่เป็นเขาหัวโล้นพร้อมกับอุณหภูมิที่พุ่งออกมาจากภูเขา


นั่นเป็นจุดที่จิ่วโยวกำลังอยู่ระหว่างการวิวัฒนาการ


“จิ่วโยวเข้าสู่สมาธิแล้ว หวังว่านางจะประสบความสำเร็จ” เทียนฮวงยืนอยู่ข้างมู่เฉิน ขณะที่เขามองไปที่ภูเขาใหญ่ แม้ว่าสายตาจะดูเรียบเฉยแต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความกังวลใจที่แฝงอยู่


“ไม่ต้องกังวล นางจะประสบความสำเร็จแน่นอน” มู่เฉินเอ่ยแบบสบายใจ


เทียนฮวงพยักหน้าหันไปหามู่เฉินและยิ้ม “เจ้าสามารถเข้าสู่สมาธิได้ที่นี่ตอนนี้ ข้าออกคำสั่งว่าในรัศมีหนึ่งแสนลี้ให้เป็นพื้นที่หวงห้าม ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาได้ ดังนั้นเจ้าจะไม่ถูกรบกวน”


เมื่อตอนที่พวกมู่เฉินกลับมาถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ ข่าวที่นำมาด้วยทำให้ทั้งเผ่าตื่นเต้นกันยกใหญ่ ตอนแรกพวกเขารู้สึกคับแค้นใจที่หวงเฉวียนจือต้องการสายเลือดของจิ่วโยวแต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้


เดิมทีพวกเขาคิดว่าจิ่วโยวจะไม่รอดพ้นจากชะตากรรมนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ มู่เฉินจะยื่นมือเข้ามาช่วย ที่น่าตกใจยิ่งกว่าอะไรก็คือ… เขาเอาชนะหวงเฉวียนจือได้…


ในบรรดาเผ่าเทพอสูรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เผ่ากลางเวหา หวงเฉวียนจือมีชื่อเป็นที่โจษจัน แต่ใครจะคิดว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน?


เมื่อข่าวส่งกลับมาที่เผ่าวิหคโลกันตร์ มู่เฉินก็กลายเป็นวีรบุรุษในหมู่เยาวชนรุ่นใหม่ ช่วงเวลาที่มู่เฉินเผยตัวต่อหน้าสาธารณชน เขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย


ดังนั้นพอได้ยินคำพูดของเทียนฮวง มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ “ถ้างั้นก็รบกวนท่านประมุขแล้ว”


เทียนฮวงโบกมือหันไปมองภูเขาที่จิ่วโยวกำลังเข้าสมาธิ “งั้นข้าก็ไม่รบกวนเจ้าแล้ว พวกเราจะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวที่นี่ ดังนั้นเจ้าสามารถแจ้งให้ทราบหากต้องการอะไร”


มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า


เทียนฮวงกลายเป็นริ้วแสงทะยานจากไป


เมื่อเทียนฮวงไปแล้ว ท่าทางมู่เฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดก่อนที่เขาจะหายใจเข้าลึกๆ และเม็ดกลมเกลี้ยงสามเม็ดลอยออกมาจากแขนเสื้อ


มีอักขระอยู่บนเม็ดกลมเหล่านี้ ซึ่งเป็นผนึกที่มู่เฉินประทับไว้เพื่อป้องกันการรั่วไหล


แม้ว่าเม็ดเหล่านี้จะอยู่ในสถานะปิดผนึก แต่เมื่อถูกนำออกมาก็ยังทำให้จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในร่างเขาอยู่ไม่สุข เสียงคำรามดังก้องออกมา


“ใจร้อนจริง…”


มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่มือจะประสานเข้าหากัน ร่างกายเขาก็สั่นสะท้านก่อนที่ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจะปรากฏขึ้น


ชี่!


เมื่อเงาทั้งสองออกมา พวกมันก็ทะยานออกจากร่างมู่เฉิน ขยายตัวขนาดใหญ่เป็นมังกรและหงส์ฟ้าลอยอยู่เหนือมู่เฉิน


มังกรและหงส์ฟ้ามีสีทองราวกับว่าร่างกายหลอมด้วยทองคำดูสูงส่งนัก


นี่ก็คือจิตวิญญาณเทพอสูรแท้จริง แต่ร่างกายของพวกมันยังค่อนข้างลวงตาไม่สามารถสร้างร่างแท้จริงได้ ส่วนความผันผวนของคลื่นหลิงก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น


“หวังว่าแก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้นเซิ่งนี้จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”


มู่เฉินพึมพำขณะที่สะบัดนิ้ว ผนึกบนเม็ดกลมทั้งสามหายไปในทันที รัศมีสายเลือดรุนแรงพัดออกมาทำให้ท้องฟ้าทั้งผืนกลายเป็นสีแดง


วิญญาณเทพอสูรทั้งสองเปล่งเสียงคำรามหิวกระหายทันที ก่อนที่จะเริ่มกลืนรัศมีสายเลือดเข้าสู่ร่างกายพวกม้น


เบื้องหน้ามังกรและหงส์ฟ้าที่กำลังกลืนกิน เม็ดกลมทั้งสามเป็นเหมือนหลุมไร้ก้นขณะที่พรั่งพรูรัศมีสายเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง ปล่อยให้วิญญาณทั้งสองกลืนกินโดยรัศมีไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ชัดว่ารัศมีภายในหนาแน่นนัก


เมื่อจิตวิญญาณทั้งสองกลืนกินอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ร่างที่พร่างพราวเริ่มลึกซึ้งขึ้น มิหนำซ้ำยังมีสัญลักษณ์โบราณแผ่ออกมาบนเกล็ดมังกรและขนนกหงส์ฟ้า…


ราวกับว่าร่างกายของพวกมันกำลังถือกำเนิดขึ้นในขณะนี้


มู่เฉินยิ้มกับภาพนี้ แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากเขาต้องการให้จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงมีวิวัฒนาการ พวกมันก็ต้องการรัศมีสายเลือดจำนวนมาก โชคดีที่แก่นโลหิตชั้นยอดเกือบจะบรรลุขั้นเซิ่งหกส่วนมีมากพอ


“ตอนนี้ก็แค่รอ…”


มู่เฉินพึมพำ จากนั้นก็หลับตาและเข้าสู่สภาวะฝึกฝน


 


กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาหนึ่งเดือน


โดยภูเขาที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีสายเลือดรุนแรงซึ่งก่อตัวเป็นชั้นเมฆสีแดงเข้มบนท้องฟ้า ฉากนี้ช่างน่ากลัว แต่โชคดีที่เทียนฮวงได้ออกคำสั่งห้ามทุกคนเข้ามา


มู่เฉินลืมตาขึ้นเงยหน้ามองก็ไม่เห็นมังกรและหงส์ฟ้าอีกต่อไป เห็นแต่ชั้นเมฆสีแดงเข้มรวมตัวกันอย่างต่อเนื่องกลายเป็นไข่สีแดงเข้มขนาดใหญ่สองฟอง ส่วนเม็ดกลมทั้งสามที่เบื้องหน้ามู่เฉินก็หดตัวลงครึ่งหนึ่ง


รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน เขารู้สึกได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่โดดเด่นสองชนิดบ่มตัวอยู่ในไข่


เมื่อมองลงมาจากเมฆสีแดงมู่เฉินก็อึ้งไปชั่วครู่ เนื่องจากเห็นเปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกมาจากภูเขาหัวโล้นอย่างต่อเนื่อง


ภายใต้เปลวไฟสีดำภูเขาทั้งลูกมีร่องรอยการละลาย


ดูเหมือนจะมีบางอย่างแตกออกมาจากรังไหมที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาพร้อมกับความผันผวนลึกลับ


“ดูท่าว่าวิวัฒนาการของจิ่วโยวจะมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว…” มู่เฉินรู้สึกตื่นเต้น หากจิ่วโยววิวัฒนาการสำเร็จ นางก็จะได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในมหาเทพอสูรในฐานะจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุน


“เห็นทีข้าจะล้าหลังไม่ได้…”


ตราประทับของมู่เฉินเปลี่ยนแปลง รัศมีสายเลือดจากเม็ดกลมทั้งสามก็หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นมู่เฉินก็หลับตาลง


 


มู่เฉินลืมตาขึ้นอีกครั้ง


เพราะตกใจกับเสียงฟ้าร้องดังก้อง เขามองไปในระยะไกลก็เห็นเมฆฝนรวมตัวกันเหนือภูเขาที่จิ่วโยวอยู่พร้อมกับสายฟ้าทำลายล้าง


“ภัยพิบัติสายฟ้า!”


ดวงตาของมู่เฉินหดลง นี่ก็เหมือนกับมนุษย์พบกับภัยพิบัติเทียนจุนเมื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เหล่าเทพอสูรก็เกิดภัยพิบัติเช่นกัน


หากภัยพิบัติสายฟ้าอยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่าจิ่วโยวอยู่ห่างจากความสำเร็จอีกเพียงก้าวเดียว


มู่เฉินมองไปที่เมฆฝนหนาแน่นก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิง เมื่อเลื่อนสายตาต่อไปเขาก็เห็นเทียนฮวงและผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์รวมตัวกันมองไปที่เมฆหนาทึบด้วยความกังวลใจ


ตู้ม ตู้ม!


ขณะนี้เองเมฆฝนฟ้าคะนองแตกออก เสาสายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดลงมาจากสวรรค์ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ในชั้นบรรยากาศ


ฟู่ ฟู่!


ทว่าเมื่อเสากำลังจะปะทะกับเปลวไฟสีดำภายในภูเขา เสาเพลิงสีดำก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าปะทะกับเสาสายฟ้า


ตึง!


เมื่อเปลวไฟและสายฟ้าปะทะกันทั่วฟ้าดินก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น พลังงานสองสายยึดกันเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนจะสลายไป


ตู้ม ตู้ม!


แต่ภัยพิบัติสายฟ้าไม่ง่ายอย่างนั้น ไม่นานจากนั้นเมฆฝนก็กลิ้งตัว พวกเทียนฮวงรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด เมื่อเห็นเสาสายฟ้าสีเงินฟาดลงมาจากท้องฟ้าพุ่งไปยังภูเขาลูกนั้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าสวรรค์พยายามทำลายสิ่งที่อยู่ภายใน


เผชิญกับการโจมตีที่รุนแรงเหล่านั้น เปลวไฟสีดำเชี่ยวกรากก็พวยพุ่งออกมาจากภูเขาก่อตัวเป็นกำแพงกั้น


ตึง ตึง ตึง!


พลังโจมตีของสายฟ้ารุนแรงมากขึ้น กำแพงเริ่มอ่อนลงก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ ในที่สุด


ทันใดนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็รวมตัวกัน สายฟ้าขนาดมหึมาฟาดลงมาจากท้องฟ้ามุ่งสู่ภูเขา


ความตกใจกลัวปกคลุมใบหน้าของพวกเทียนฮวง พวกเขาเห็นภูเขาราวกับละลายและลดระดับลงบนพื้นทันที


กีด!


แต่ทันใดนั้นเสาเพลิงสีดำขนาดใหญ่ก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางกระพือปีก ปากเปิดอ้าคล้ายกับหลุมดำกัดกินสายฟ้า


เสียงร้องดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก


ทุกคนเงยหน้าขึ้นก็เห็นวิหคสีดำปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำขณะที่แทรกซึมรัศมีโบราณและสูงส่ง


เมื่อมองไปที่วิหคสีดำ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกด้วยความชื่นชมสุดซึ้งในดวงตา


ณ เวลานี้จิ่วโยววิวัฒนาการสำเร็จแล้ว นางหลุดจากร่างเทพอสูรกลายเป็นมหาเทพอสูรอย่างแท้จริง


วิหคอมตะ!


ขณะที่มู่เฉินรู้สึกยินดีกับวิวัฒนาการที่ประสบความสำเร็จของจิ่วโยว ดวงตาก็หดลงทันที เขาหันไปมองเมฆสีแดง เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ว่าสิ่งชีวิตในนั้นก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว…


“ในที่สุดก็จะออกมาแล้วเรอะ?”



 

 

 


บทที่ 1468 มังกรแท้จริง หงส์ฟ้าแท้จริง

 

“สำเร็จ?!”


เทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโสต่างมองวิหคสีดำด้วยความสุขบนใบหน้า ขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน


พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันสูงส่ง ซึ่งทำให้กระทั่งสายเลือดในร่างยังสั่นไหว


สมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์มีริ้วสายเลือดวิหคอมตะ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปลุกสายเลือดได้และก็หายากยิ่งสำหรับคนที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะ


ดังนั้นเมื่อจิ่วโยววิวัฒนาการเป็นวิหคอมตะได้ ทุกคนที่นี่จึงรู้สึกถึงแรงกดดันจากสายเลือดของตนเอง


“ผู้อาวุโสหลู่ จิ่วโยวบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วใช่ไหม?” เทียนฮวงถามด้วยเสียงติดตื่นเต้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของบุตรสาว แต่ไม่สามารถวัดระยะที่แน่นอนได้


หลังจากสัมผัสอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าของผู้อาวุโสหลู่ก็ฉายความตกใจ “จิ่วโยวน่าจะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายแล้ว!”


มนุษย์และเทพอสูรไม่เหมือนกัน มนุษย์จะฝึกฝนไปทีละขั้น…ละขั้น ส่วนเทพอสูรจะไม่ก้าวหน้าขึ้นมาอีกเป็นเวลาหลายปี แต่ในช่วงเวลาที่มีพัฒนาการขึ้นพลังของพวกเขาจะทะยานไปสู่จุดสูงจนไม่อาจจินตนาการได้


นั่นหมายความว่าจิ่วโยวตอนนี้แข็งแกร่งกว่ามู่เฉินในแง่ขุมพลัง


“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย!”


เทียนฮวงและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ดีใจมาก ที่แล้วมาเผ่าวิหคโลกันตร์ได้แต่พึ่งพาผู้อาวุโสหลู่ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเพียงผู้เดียวในการแทรกเข้าสู่อันดับของเผ่าเทพอสูร ทว่าพวกเขาก็เผชิญกับความท้าทายตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสหลู่เข้าสู่วัยชรา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถก้าวหน้าในการเพาะปลูกของเขาได้อีกต่อไป


อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการของจิ่วโยวทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากความคับแค้นอันสิ้นหวัง นางได้วิวัฒนาการเป็นมหาเทพอสูรวิหคอมตะ ในแง่ของความแข็งแกร่งสามารถติดหนึ่งในสามอันดับแรกเลยก็ว่าได้


ด้วยการดำรงอยู่ของจิ่วโยว ไม่ต้องไปพูดถึงเผ่าเทพอสูรเหล่านั้น แม้แต่เผ่ามหาเทพอสูรก็ยังต้องให้ความยำเกรงเผ่าวิหคโลกันตร์ของพวกเขา


ตู้ม ต้ม!


ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมยินดี ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังก้องจากท้องฟ้า ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปทันที “ทำไมถึงมีภัยพิบัติสายฟ้าขึ้นอีก!”


ทุกสายตามองเห็นการรวมตัวของเมฆหนาแน่นพร้อมกับความผันผวนที่น่ากลัว


“ไม่ใช่ของจิ่วโยว!” ม่านตาผู้อาวุโสหลู่หดเกร็ง


เทียนฮวงตกตะลึงไปกับคำพูดนั่น ถ้าไม่ใช่ของจิ่วโยวแล้วเป็นของใครล่ะ? แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างได้รีบเบนสายตาไปยังมู่เฉินทันที ไข่ใบมหึมาสองฟองเหนือร่างมู่เฉินเอิบอาบด้วยความผันผวนที่น่ากลัว


“ไอ้ไข่แดงๆ นั่นคืออะไร? ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้!” เทียนฮวงอุทานเสียงต่ำ รัศมีสายเลือดปิดกั้นการสัมผัสของพวกเขา ดังนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสหลู่ยังไม่รู้ว่าอะไรกำลังฟักอยู่ในไข่เหล่านั้น


ครืนๆๆๆ!


สายฟ้าร้องรุนแรงดังกึกก้องอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจของมู่เฉินขณะที่ดวงตาเขาหดลงมองเมฆฝนสีดำพลางขมวดคิ้ว


เขาตระหนักได้ว่าพลังงานที่สร้างขึ้นในเมฆฝนฟ้าคะนองแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่โจมตีจิ่วโยวเสียอีก


แต่ไม่ช้าเขาก็คิดได้ว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ด้อยไปกว่าวิหคอมตะ ดังนั้นเมื่อทั้งสองก่อตัวขึ้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมฆฝนฟ้าคะนองจะน่ากลัวกว่านี้


“หวังว่าจะทนไว้ได้” มู่เฉินจ้องไปที่ไข่ทั้งสองฟอง พวกมันไม่สามารถพึ่งพาปัจจัยภายนอกสำหรับภัยพิบัติสายฟ้า มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น


ตู้ม!


ขณะที่มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เมฆฝนฟ้าคะนองสีดำหนาแน่นก็กวนตัวจนถึงขีดสุด ทั่วบริเวณมืดมิดลง สายฟ้าสีดำสองสายที่คล้ายกับกรงเล็บมังกรยักษ์พุ่งเข้าใส่ไข่


ตึง!


ท้องฟ้าทั้งผืนเลื่อนลั่น ขณะที่ไข่สองฟองสั่นไหว ราวกับถูกกลืนกินไปส่วนหนึ่ง


ตู้ม ตู้ม!


เมื่อสายแรกไม่ได้ผล ภัยพิบัติสายฟ้าก็เริ่มรุนแรงขึ้น สายฟ้าสีดำจำนวนมากฟาดลงมาจากท้องฟ้ารุนแรง ทำให้กระทั่งหนังหัวของผู้อาวุโสหลู่ยังด้านชาไปหมด


พร้อมกับการโจมตีที่รุนแรงของสายฟ้า ไข่สีแดงเข้มก็เริ่มลดขนาดลง…


มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน แก่นโลหิตชั้นยอดขนาดเท่ากำปั้นทั้งสามก็ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีสายเลือดรุนแรงพุ่งเข้าไปในไข่ทั้งสองใบ


ด้วยการสนับสนุนของรัศมีสายเลือดที่ไร้ขอบเขตทำให้ไข่ฟื้นตัวช้าๆ…


ครืน!


แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงชั่วคราว ไข่สีแดงเข้มยังคงลดขนาดลงเรื่อยๆ จากสายฟ้าผ่าก่อนที่จะเหลือขนาดประมาณหนึ่งพันจั้งเท่านั้น


ฉากนี้ทำให้เทียนฮวงและคนที่เหลือกังวลเล็กน้อย แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินกำลังทำอะไรอยู่ แต่พวกเขารู้สึกว่าไข่สีแดงเข้มทั้งสองเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว


แต่เมื่อเทียบกับความกังวลของคนอื่น ท่าทางของมู่เฉินก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของสิ่งมีชีวิตจากไข่สองฟองก่อตัวขึ้นแล้ว


ขณะที่เมฆฝนฟ้าคะนองสีดำยังคงบีบกด ก็ได้ก่อตัวเป็นกรวยที่มีริ้วการสั่นไหวของสายฟ้าที่รวมตัวกันเป็นเสาสายฟ้าขนาดมหึมา


เมื่อเสาพุ่งลงมาก็ฉีกออกจากกันกะทันหัน กลายเป็นมังกรสายฟ้าสีดำและหงส์ฟ้าสายฟ้าสีดำพร้อมกับพลังที่สามารถลดภูเขาทั้งหมดในรัศมีแสนลี้ได้หากตกลงมา


แต่ในขณะนี้เองไข่สีแดงเข้มสองฟองก็แตกออก เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องไปทั่วท้องฟ้า


ทันใดนั้นรัศมีแสงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เทียนฮวงและผู้อาวุโสพากันตกตะลึง เมื่อเห็นมังกรและหงส์ฟ้าขนาดใหญ่แผ่ร่างออกมา


มังกรมีสีทองประกอบกับแสงลึกลับวาบบนเกล็ดซึ่งมีพลังในการทำลายล้าง เกล็ดยังสลักด้วยสัญลักษณ์โบราณซึ่งดูลึกลับมาก


หงส์ฟ้าก็มีสีทองดูสูงส่งพร้อมกับลาวาสีทองหยดลงมาจากปีกทำให้มิติถึงกับบิดเบี้ยว


ความกดดันที่น่ากลัวสองสายแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า ทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป


“นั่นคือ…มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเหรอ?!”


เสียงอุทานดังขึ้น เทียนฮวงและคนอื่นๆ แสดงความไม่เชื่อบนใบหน้า ในฐานะสมาชิกเผ่าเทพอสูร ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการปราบปรามจากสิ่งมีชีวิตเหนือกว่าทั้งสองได้


นอกจากนี้มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงยังมีร่างเนื้อไม่ใช่ภาพลวงตา!


“เป็นไปได้ยังไง?!” ผู้อาวุโสหลู่อุทาน “มู่เฉินสร้างมังกรและหงส์ฟ้าของแท้ได้อย่างไร!”


ต้องรู้ว่าหงส์ฟ้าและมังกรเป็นจักรพรรดิในเผ่าพันธุ์ทั้งสอง มีสายเลือดสูงส่ง แม้แต่ในเผ่าพวกมันเองก็ยากที่จะเกิดมาสักคน แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับให้กำเนิดทั้งสองขึ้นมางั้นเรอะ?!


ท่ามกลางสายตาไม่อยากจะเชื่อ มหาเทพอสูรทั้งสองก็ทะยานขึ้นสูง ใช้ร่างที่ทรงพลังปะทะมังกรสายฟ้าและหงส์ฟ้าสายฟ้า


ครืน!


ผืนฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือน สายฟ้าก็สาดส่องไปทั่วท้องฟ้า ทำให้เกิดคลื่นกระแทกกวาดออกไป มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงส่งเสียงคำราม สายฟ้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้


นอกจากนี้ความผันผวนของคลื่นหลิงจากร่างกายพวกมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก


เพียงสิบกว่าลมหายใจก็ก้าวข้ามระดับไปถึงขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!


“ซี้ด…”


ผู้อาวุโสหลู่สูดลมหายใจเย็นพลางอุทาน “มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นได้แล้ว!”


เทียนฮวงและคนที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตา พวกเขาตกตะลึงเกินคำบรรยาย ใครจะคิดว่ามู่เฉินไม่เพียง แต่ให้กำเนิดมังกรและหงส์ฟ้า แต่ยังสามารถยกพวกมันไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนอีกด้วย


“ถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้วซะงั้น…”


มู่เฉินก็ตกใจเช่นกัน ตอนแรกเขาคิดว่าจะอยู่ในระดับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ทว่าเขาไม่คิดมาก่อนว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจะไปถึงระดับนี้และแข็งแกร่งกว่าเขา


อย่างไรก็ตาม…


เขาขมวดคิ้วขณะที่มองมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง เขารู้สึกได้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองไม่มีจิตสำนึกของตัวเอง ในระดับหนึ่งช่างคล้ายกับร่างรองที่เขาฝึกฝน


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกินไป เพราะมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงมีต้นกำเนิดมาจากเขา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง


เขาโบกมือ มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปลดปล่อยเสียงคำรามไปทั่วขอบฟ้า ขณะที่พลิ้วลงมา มังกรแท้จริงกลายเป็นงูตัวจิ๋วฝังอยู่ในแขนเสื้อของมู่เฉิน ขณะที่หงส์ฟ้าแท้จริงกลายเป็นนกตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของมู่เฉิน


เมื่อรู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่มีต่อกัน มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ ในที่สุดเขาก็สามารถเลี้ยงดูพวกมันหลังจากทำงานหนักมาตลอด


ขณะนี้เองวิหคสีดำก็โผทะยานลงมากลายเป็นเงาร่างเพรียวบาง


เมื่อทุกคนมองไปที่ร่างเงานั้น แม้แต่มู่เฉินก็ยังตกตะลึงในสายตา


จิ่วโยวได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ ชุดสีดำแนบลำตัวพร้อมกับเรือนผมทิ้งตัวลงมา มีรัศมีลึกลับและสูงส่งบนใบหน้า ม่านตาของนางก็คล้ายกับมีเปลวไฟสีดำในก้นบึ้งที่ดูดผู้คนเข้าหา


ในอดีตจิ่วโยวเต็มไปด้วยความพยศ แต่ขณะนี้นางมีเสน่ห์ลึกลับและกลิ่นอายของสายเลือดสูงส่งที่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้


เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน จิ่วโยวก็หันกลับมาและยิ้ม


เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของนาง มู่เฉินก็ยิ้มกว้าง ดูท่าไม่ว่านางจะเปลี่ยนไปอย่างไร นางก็ยังคงเป็นจิ่วโยว พี่สาวที่คอยปกป้องเขาคนเดิม…

 

 

 


บทที่ 1469 สถานการณ์ตำหนักมู่

 

ทวีปเทียนหลัว กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ ภูมิภาคทางเหนือ


มู่เฉินนั่งกุมขมับกับรายงานที่วางบนโต๊ะ นี่เป็นรายละเอียดบรรณาการจากกองกำลังต่างๆ ที่มาอยู่ภายใต้อาณัติตำหนักมู่


“เฮ้อ”


หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวันมู่เฉินก็รู้สึกเหนื่อยล้ามาก เขาวางรายงานลงมองไปที่มั่นถัวหลัวที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยความสะใจก็ยิ้มขมขื่น “พวกนี้ไม่จำเป็นให้ข้ามานั่งอ่านเองหรอกมั้ง?”


มั่นถัวหลัวเบ้ปากตอบ “เจ้าเป็นประมุขตำหนักมู่ ดังนั้นก็ต้องเข้าใจรายงานที่เกี่ยวกับตำหนักมู่สิ”


มู่เฉินถอนหายใจ เขากลับมาที่ตำหนักมู่เมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนแรกก็คิดจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุข แต่ใครจะไปคิดว่ามั่นถัวหลัวจะไม่พอใจเขาที่ทิ้งงานมานานจนทุ่มงานทั้งหมดคืนมาที่เขา


ครึ่งเดือนนี้เขารู้สึกเหนื่อยกว่าสู้กับหวงเฉวียนจือเสียอีก…


“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าลำบาก” มู่เฉินยกสองมือยอมแพ้ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวตั้งใจทำแบบนี้เพื่อสอนบทเรียนให้เขา เพราะเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องงานในตำหนักมู่เลยนับตั้งแต่ก่อตั้งมา


เมื่อจิ่วโยวและเฉวียนเทียนเห็นภาพนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าดาวรุ่งแห่งมหาพันภพคนใหม่ จะยอมรับความพ่ายแพ้


ศึกระหว่างมู่เฉินและหวงเฉวียนจือลือไปทั่ว สิ่งนี้ทำให้ชื่อเสียงของมู่เฉินเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าหวงเฉวียนจือเคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางมาแล้ว…


พร้อมกับความพ่ายแพ้ของเผ่าหงส์ฟ้าที่ภาคภูมิ นั่นหมายความว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าหวงเฉวียนจือ


แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือมู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ซึ่งอาจแปลว่าเขาจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเมื่อไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน…


เมื่อเห็นว่ามู่เฉินยอมแพ้ ท่าทางของมั่นถัวหลัวก็อ่อนลงก่อนที่นางจะแหววใส่เบาๆ แล้วเหยียดตัวเพื่อดึงรายงานสำคัญมา “ตำหนักมู่ได้รับของเหลวจื้อจุนรวมหนึ่งพันเก้าร้อยล้านหยดในปีที่ผ่านมา”


“ของเหลวจื้อจุนหนึ่งพันเก้าร้อยล้านหยด…” มู่เฉินแอบเดาะลิ้นเมื่อได้ยินจำนวน อดีตอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้กระทั่งของเหลวจื้อจุนถึงร้อยล้านหยดต่อปีด้วยซ้ำ


“เจ้าคิดว่ามากเรอะ?” เมื่อเห็นใบหน้าประหลาดใจของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็กลอกตา


มู่เฉินยิ้มเขินอาย “ไม่เยอะเหรอ?”


เขาไม่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกเท่าไร


“จากพันเก้าร้อยล้านหยด เจ้าได้รับเจ็ดร้อยล้านหยดสำหรับการฝึกฝน ผู้อาวุโสเฉวียนเทียนใช้สี่ร้อยล้านหยดต่อปี ตอนนี้จิ่วโยวบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็ต้องได้รับสี่ร้อยล้านหยดเช่นกัน ดังนั้นจึงมีเหลือเพียงสี่ร้อยล้านหยดสำหรับเรื่องอื่นๆ เจ้ารู้ไหมว่าตำหนักมู่มีกี่ปากกี่ท้อง?” มั่นถัวหลัวเค้นสียงเย็น


มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเขาคนเดียวก็ใช้ไปหนึ่งส่วนสามแล้ว ยิ่งตอนนี้เขามาถึงระดับเทียนจื้อจุน ยิ่งต้องการทรัพยากรจำนวนมาก แต่ถ้าไม่มีทรัพยากร ประสิทธิภาพในการเพาะบ่มขุมพลังก็จะลดลงอย่างมาก


นี่เป็นสาเหตุที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนสร้างกองกำลังของตนเอง เนื่องจากพวกเขาต้องการพลังเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกฝน


“ข้าไม่ต้องการมากขนาดนั้น” จิ่วโยวไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะได้รับการจัดสรรจำนวนนี้เมื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน


มั่นถัวหลัวส่ายหัวตอบ “นี่คือกฎ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนเป็นเสาหลักของขั้วอำนาจใหญ่และถ้าตำหนักมู่ไม่แม้แต่จะรักษาเช่นนั้นได้ จะมีคนต้องการเข้าร่วมกับเราในอนาคตได้อย่างไร”


มั่นถัวหลัวหันไปหามู่เฉินเอ่ยต่อ “แต่ตอนนี้ตำหนักมู่สามารถสนับสนุนพวกเจ้าได้เพียงสามคน หากมีคนอื่นเพิ่มเติม เราจะไม่สามารถสนับสนุนพวกเขาได้”


ท่าทางมู่เฉินเคร่งเครียดลงกับคำพูดเหล่านั้น สิ่งนี้ส่งผลต่อการเติบโตของตำหนกมู่อย่างชัดเจน เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นรากฐานของขั้วอำนาจใดๆ และจำนวนก็แสดงถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา


“แล้วตอนนี้เราควรทำยังไง?” มู่เฉินถาม


“รักษาสถานะนี้ไว้และค่อยๆ กลืนกินดินแดนมากขึ้นเพื่อขยายอิทธิพลตำหนักมู่” มั่นถัวหลัวตอบ


“ตอนนี้ขั้วอำนาจมากมายในทวีปเทียนหลัวตั้งระวังตำหนักมู่ของเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถขยายตัวได้มากเกินไปในปีที่ผ่านมา กลัวว่าจะโดนตอบโต้”


หลังจากพิจารณาครู่หนึ่งมู่เฉินก็ถามว่า “หาข้อมูลขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสำนักเหล่านั้นในทวีปเทียนหลัวแล้วหรือยัง?”


มั่นถัวหลัวพยักหน้าพลางหยิบม้วนกระดาษส่งให้มู่เฉิน


เมื่อมู่เฉินเปิดออกชื่อห้าชื่อก็กระแทกเข้าตา ขั้วอำนาจทั้งห้านี้มีชื่อเสียงแม้กระทั่งในมหาพันภพ


ภูเขาตันหยาง—ผู้อาวุโสตันหยาง


เมืองเฉวียนยิง—เจ้าเมืองโยวเฉวียน


สำนักเซียนสายฟ้าม่วง—จอมยุทธ์จื่อเหลย


หุบเขาไป๋หู—ราชันไป๋หู


ประตูหลิงกุ่ย—ราชันกุ่ยตี้


ประมุขขั้วอำนาจสูงสุดสี่ชื่อแรก ล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ส่วนกุ่ยตี้ก้าวเข้าสู่ขั้นเซียนระยะกลางแล้ว


“ทวีปเทียนหลัวสมกับเเป็นมหาทวีป มีความซับซ้อนอย่างแท้จริง ขั้วอำนาจสูงสุดในระดับนี้มีถึงห้าขั้วอำนาจ” มู่เฉินหดดวงตา


“เมื่อก่อนไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามาแทรกแซงเนื่องจากกฎไม่ได้บัญญัติของทวีป แต่พวกเขาสนับสนุนขุมกำลังเพื่อเป็นตัวแทน ใครจะคิดว่าตำหนักมู่จะมีสัตว์ประหลาดอย่างเจ้ามาอยู่ในเวลาเพียงไม่กี่ปีก็ทำลายสถานการณ์ในทวีปจนยับเยิน” มั่นถัวหลัวยิ้ม


“ช่วงแรกที่สำนักเรารวมจักรวรรดิเหนือ ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าก็ส่งคำเตือนเราว่าอย่าเข้าไปยุ่งในดินแดนอื่นๆ ของทวีปเทียนหลัว ขณะเดียวกันก็ขัดแข้งขัดขาการขยายตัวของเราด้วย”


“แต่หลังจากข่าวการต่อสู้ของเจ้าในเผ่าฝูถูมาถึง ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าก็หวาดผวาหยุดขัดขวางเรา”


มู่เฉินพยักหน้า เขารู้ว่าขั้วอำนาจทั้งห้ากลัวหลังจากที่รู้ว่ามารดาของเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ นอกจากนี้นางยังเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถูอีกด้วย


ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นปัญหาแท้จริง แม้ว่าตำหนักมู่จะเต็มไปด้วยแรงผลักดัน แต่พวกเขาก็ถูกล้อมกรอบอยู่ในจักรวรรดิเหนือโดยขั้วอำนาจทั้งห้า หากพวกเขาฝ่าฝืนออกไปก็จะเป็นการบังคับให้ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าร่วมมือกันจัดการกับพวกเขา ซึ่งเป็นหายนะใหญ่ของตำหนักมู่แน่


เพราะสุดท้ายมู่เฉินก็คงไม่สามารถให้มารดาออกหน้ามาจัดการคนเหล่านั้นแทนได้… ตำหนักมู่เป็นขุมกำลังของเขา ดังนั้นเขาอยากพึ่งพาตัวเองในการพัฒนาให้แข็งแกร่ง


แต่ถ้าตำหนักมู่ต้องการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของมหาพันภพ พวกเขาจะต้องครอบครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมดเพื่อได้ใช้ทรัพยากรมากขึ้น


ไม่ใช่เพราะมู่เฉินมีความทะเยอทะยาน แต่เขารู้ดีว่าหากตำหนักมู่เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป ต่อให้พวกเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดก็ต้องต่อสู้กับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าอย่างไม่ต้องสงสัย


ตามการคาดการณ์ของเขาหากไม่ใช่เพราะชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู ขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าคงเคลื่อนไหวต่อต้านตำหนักมู่ไปนานแล้ว


ในมุมมองของพวกเขาตำหนักมู่ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นภัยคุกคามนานแล้ว


“ไม่ต้องรีบร้อน”


มู่เฉินครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ขอแค่คงสถานการณ์ปัจจุบันของตำหนักมู่ไว้อีกช่วงหนึ่ง แล้วข้าจะทำให้พวกเขาวิ่งหางจุกตูดออกจากทวีปเทียนหลัวด้วยความหวาดกลัวเอง”


แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้เปรียบด้านจำนวน แต่ถ้ามีเวลาที่เพียงพอหรือ รอให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้วอำนาจเหล่านั้นจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร


ในขณะนั้นมู่เฉินไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพเพื่อครองทวีปทั้งหมด


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจ “ข้าเกรงว่าพวกเขาไม่คิดจะให้เวลากับเจ้าน่ะสิ”


“เจ้าหมายถึงอะไร?” มู่เฉินหรี่ตา


ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งขรึมขณะอธิบายว่า “ข้าได้รับข่าวว่าไม่กี่วันก่อนขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าจับมือกันสร้างพันธมิตรเทียนหลัวแล้ว…”


“ข้ากังวลว่าเป้าหมายจะพุ่งมาที่เรา”


มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเหล่านั้นเด็ดเดี่ยวเพียงนี้ ถึงขนาดสร้างพันธมิตรเพื่อขัดขวางตำหนักมู่


ขณะที่มู่เฉินเงียบลงทั้งโถงก็เงียบสนิท


ทันใดนั้นแสงสายหนึ่งก็ทะยานเข้ามา มั่นถัวหลัวคว้าเอาไว้ กวาดสายตาชั่วครู่ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป


“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น


เสียงของมั่นถัวหลัวเย็นเยือกลง “มีข่าวว่าในสามวันข้างหน้าประมุขทั้งห้าของพันธมิตรเทียนหลัวจะจัดงานเลี้ยงในเมืองเทียนหลัวและพวกเขาส่งเทียบมาเชิญเจ้า”


“งานเลี้ยงหงเหมินล่ะสิ” เฉวียนเทียนเอ่ยเสียงต่ำ


“ทำยังไงดี?” มั่นถัวหลัวกล่าวขณะมองไปที่มู่เฉิน


มือถูบนโต๊ะทำงาน ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงไฟคลี่ยิ้มไม่เชิงยิ้ม แสงเย็นเริ่มรวมตัวกันในม่านตาสีดำ


“พวกเขากล้าดี ตอนแรกข้าอยากจะรอสักหน่อยเพื่อที่พวกเขาจะได้ล่าถอยไปด้วยตัวเอง ไม่คิดว่าพวกเขาจะใจร้อนอยากจะต่อสู้กับข้าขนาดนี้…”


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ช่วยทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริง”


เมื่อพูดจบรัศมีรุนแรงก็ระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน เสื้อผ้ากระพือจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว ราวกับจักรพรรดิผู้เกรี้ยวกราด

 

 

 


บทที่ 1470 พันธมิตรเทียนหลัว

 

ภายในโถง


คลื่นหลิงครางกระหึ่มดังกึกก้องทั่วชั้นบรรยากาศ


ความผันผวนของคลื่นหลิงที่ระเบิดจากร่างกายของมู่เฉิน ทำให้แม้แต่ใบหน้าของเฉวียนเทียนยังเปลี่ยนไป มู่เฉินน่ากลัวกว่าอดีตมาก ถ้าเขาสู้กับมู่เฉินตอนนี้ละก็ เขาอาจรับได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า


ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเย็นเยือกลงพลางเอ่ยเสียงเบา “ทำไมไอ้พวกพันธมิตรเทียนหลัวถึงเลือกท้าทายเจ้าในตอนนี้? ทั้งที่พวกเขากลัวเจ้าในอดีต”


มู่เฉินหรี่ตาลง เรื่องนี้ค่อนข้างผิดปกติ ถึงยังไงมารดาของเขาก็เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อยากเอาชื่อมารดามาเบ่ง แต่ชัดว่าประมุขทั้งห้าก็ยังหวาดกลัว


ทว่าตอนนี้พวกเขาคิดจะจัดการกับเขา พวกเขาไม่กลัวมารดาเขาแล้วหรือ?


“ตรวจสอบเรื่องนี้ ข้าต้องรู้ถึงเป้าหมายของพันธมิตรเทียนหลัว” มู่เฉินเคาะโต๊ะเบาๆ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวอีกฝ่าย แต่เขาไม่ได้เป็นคนบุ่มบ่าม เราต้องรู้จักศัตรูเท่ากับรู้จักตัวเองเพื่อความมั่นใจในการคว้าชัยชนะ


มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบา ๆ


 


การสอบสวนได้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว


วันถัดมาก็มีข้อมูลจำนวนมากมากองเบื้องหน้ามู่เฉิน เขาอ่านอย่างละเอียดไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่จะถอนสายตาไม่แยแสกลับ


“ก็ว่าทำไมจู่ๆ พวกเขาถึงกล้าหาญชาญชัย ที่แท้มีกองหนุนนี่เอง” มู่เฉินกล่าว


“ใคร?” จิ่วโยวถาม


“ตามรายงานมีคนจากเผ่าหมัวเฮอเข้าพบขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเมื่อเดือนก่อน” แววเยือกเย็นวาบผ่านในดวงตามู่เฉิน


“เผ่าหมัวเฮอ?” เมื่อได้ยินชื่อมั่วถัวหลัว จิ่วโยวและเฉวียนเทียนก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเผ่าหมัวเฮอจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้


“เราไม่มีเรื่องขุ่นเคืองอะไรกับเผ่าหมัวเฮอ ทำไมพวกเขาจึงพุ่งเป้าไปที่เจ้า?” มั่นถัวหลัวถามด้วยความสงสัย


มู่เฉินหรี่ตายิ้ม “ชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกครึ่งปี”


เมื่อได้ยินคำนั้นใบหน้าของทั้งสามก็ดูประหลาดใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำหนักมู่อย่างไร


“เผ่าหมัวเฮอถือครองร่างมหาเทพนิรัดร์และการชุมนุมนี้มีไว้เพื่อหาเจ้าของ” มู่เฉินตอบอย่างใจเย็นก่อนจะพูดต่อ “ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ฝากไว้ในเผ่าหมัวเฮอเพื่อดูแล แต่พวกเขามีความทะเยอทะยานอยากถือเป็นทรัพย์สินของตนเอง ดังนั้นจะยอมให้คนนอกเอาไปได้อย่างไร”


“ข้าได้ยินมาจากท่านแม่ว่าเผ่าหมัวเฮอจะตรวจสอบอัจฉริยะที่โดดเด่นนอกเผ่าที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์และใช้ทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุม”


“ข้าเชื่อว่าเพราะชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นของข้าในช่วงนี้ทำให้พวกเขาคิดจะขัดขวาง แต่เนื่องจากการดำรงอยู่ของท่านแม่ พวกมันเลยไม่กล้าโจมตีในที่แจ้ง ดังนั้นพวกมันจึงพยายามใช้พันธมิตรเทียนหลัวเพื่อขัดขวางข้า”


“ช่างน่ารังเกียจ!” จิ่วโยวพูดเสียงเย็นชา


วิธีของเผ่าหมัวเฮอน่ารังเกียจแท้จริง เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ให้พวกเขาเพื่อเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัยและเปิดเผยการฝึกฝนสำหรับร่างเทพสุริยะและร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อต้องการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม แต่ใครจะคิดว่าเผ่าหมัวเฮอจะถือว่าเป็นสมบัติของตนเอง ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ใส่ใจในหน้าที่ผู้ดูแลเท่านั้น พวกเขายังใช้วิธีลับเพื่อขัดขวางผู้เข้าร่วมงาน


การกระทำต่างๆ เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง!


ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเอ่ยเยาะเย้ย “ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาลของมหาพันภพ ครั้งหนึ่งเคยสร้างเทพจักรพรรดินิรันดร์ให้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ภายใต้การล่อลวงนี้ไม่น่าแปลกใจที่เผ่าหมัวเฮอจะหันมาใช้วิธีหมาลอบกัด”


“ตอนนี้เราควรทำอย่างไร? ข้าว่างานเลี้ยงดูท่าจะไม่ดีเลย” แม้แต่เฉวียนเทียนยังพูดด้วยน้ำเสียงกังวล


แสงคมชัดวูบวาบในดวงตาของมู่เฉินขณะคลี่ยิ้ม “ในเมื่อพันธมิตรเทียนหลัวเชิญเราไป ถ้าเราปฏิเสธ ชื่อเสียงที่สร้างขึ้นป่นปี้แน่”


ใบหน้าเขาฉายความเย็นชา ตอนแรกเขาอยากได้ช่วงเวลาสงบสุขที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้วค่อยเกลี้ยกล่อมให้คนเหล่านั้นยอมถอย แต่ในเมื่อพวกมันใจร้อน ก็โทษอะไรไม่ได้…


“ส่งข่าวไป ตำหนักมู่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงอีกสองวันข้างหน้า”


มู่เฉินหลับตาลงช้าๆ พร้อมกับเสียงเยือกเย็น ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะท้าทายกัน เขาก็ต้องหยิบแผนที่จะครอบครองทวีปเทียนหลัวขึ้นมาเร็วกว่าเดิม…


 


ข่าวพันธมิตรเทียนหลัวจัดงานเลี้ยง


มีการเชิญประมุขตำหนักมู่เข้าร่วมด้วย ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว


ทุกคนบอกได้ว่าเมื่อชื่อเสียงของมู่เฉินเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในมหาพันภพ สถานะของตำหนักมู่ก็ได้รับแรงผลักดันเช่นกัน


เผชิญหน้ากับตำหนักมู่ที่เติบโตขึ้นทุกวัน แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดที่สนับสนุนตัวแทนของตัวเองในทวีปเทียนหลัวก็ยั้งใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงเกิดการก่อตั้งพันธมิตรเทียนหลัว ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะครอบครองสามในสี่ส่วนของดินแดนทวีปเพื่อกดดันตำหนักมู่


สิ่งนี้ทำให้ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่ต้องการเข้าร่วมตำหนักมู่ในตอนแรกระงับความคิด เนื่องจากกลัวว่าตำหนักมู่จะเสื่อมถอยโดยพันธมิตรเทียนหลัว


ดังนั้นข่าวนี้จึงดึงดูดความสนใจของทุกคน เนื่องจากพวกเขารู้ว่างานเลี้ยงนี้อาจจะกำหนดตัวเจ้าเหนือแห่งทวีปเทียนหลัว


นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในรอบหมื่นปีที่ผ่านมาในทวีปเทียนหลัว เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าทวีปเทียนหลัวจะปรากฏผู้ปกครองเหนือหัวอย่างแท้จริงแล้ว


ทว่าใครจะเป็นเจ้าเหนือหัวระหว่างพันธมิตรเทียนหลัวและตำหนักมู่…ก็ต้องดูที่การปะทะแล้ว


แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือเรื่องใหญ่ในทวีปเทียนหลัวที่ทุกคนต้องให้ความสนใจ


 


เมืองเทียนหลัว กองบัญชาการใหญ่ของพันธมิตรเทียนหลัว


วังแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีโต๊ะกลมซึ่งมีร่างเงาทั้งห้านั่งล้อมรอบ แม้ว่าจะไม่มีคลื่นใดๆ ไหลเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา แต่ก็มีแรงกดดันที่น่ากลัวแทรกซึมเข้ามาทำให้มิติถึงกับผิดเพี้ยน


“มู่เฉินตำหนักมู่ตอบรับคำเชิญแล้ว…”


ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงพูดขึ้นพลางขมวดคิ้วขณะที่ลังเล “มู่เฉินเป็นขาโหด เมื่อไม่นานมานี้เขาเอาชนะหวงเฉวียนจือเผ่าหงส์ฟ้าได้ เราจะยั่วเขาจริงๆ หรือ?”


“ท่านตันหยาง เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน เหตุใดจึงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงตัวจ้อยด้วย?” ชายวัยกลางคนที่มีสายฟ้าแล่นแปลบปลาบในดวงตาเอ่ยขึ้น


ตันหยางกวาดสายตามองก็เยาะเย้ย “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงตัวจ้อย? งั้นท่านจื่อเหลยไปลองสู้สิ หากเจ้ารอดจากมือเขาได้โดยไม่บาดเจ็บ ข้าจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ”


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชายวัยกลางคนก็ชะงักไปก่อนที่จะเค้นเสียงขึ้นจมูก มู่เฉินเอาชนะได้กระทั่งหวงเฉวียนจือ ดังนั้นสามารถบอกได้ว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด จื่อเหลยรู้ศักยภาพตนเองและรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉิน


“เอาล่ะ หยุดทะเลาะกัน”


เสียงน่าขนลุกดังก้องทำให้อุณหภูมิโถงลดลงทันที เมื่อได้ยินเสียงนั้นตันหยางและจื่อเหลยก็หยุดการโต้เถียงมองไปที่จุดกำเนิดของเสียงนั้น


ภายใต้รัศมีน่าขนลุกชายชุดดำที่มีใบหน้าซีดเซียวและม่านตาสีเทาเปล่งประกายความตายออกมา


ชายชุดดำคนนี้ก็คือกุ่ยตี้แห่งประตูหลิงกุ่ยที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งห้าคน


กุ่ยตี้กวาดสายตามองไปที่ทั้งสี่พูดว่า “พวกเจ้าก็รู้ท่าทีของตำหนักมู่ มู่เฉินมีเป้าหมายอย่างชัดเจนกับตำแหน่งเจ้าทวีปเทียนหลัว ดังนั้นหากเราไม่ทำลายความทะเยอทะยานของเขาในตอนนี้ เราก็จะไม่มีปากมีเสียงในทวีปเทียนหลัวอีกต่อไป”


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนอื่นๆ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“แต่มารดาของมู่เฉินเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู…” ตันหยางเอ่ย


“ไม่ต้องกังวล เผ่าหมัวเฮอบอกว่าจะไม่ปล่อยให้เผ่าฝูถูยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ด้วยการสนับสนุนของเผ่าหมัวเฮอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร”


กุ่ยตี้กล่าวต่อ “นอกจากนี้เราไม่มีเจตนาที่จะฆ่ามู่เฉิน ตราบใดที่เขามา เราแค่ลงมือทำร้ายเขาให้ต้องพักฟื้นสักปีเราก็บรรลุเป้าหมายแล้ว หลังจากนั้นเผ่าหมัวเฮอจะช่วยเราในการปกครองทวีปเทียนหลัว”


เมื่อทั้งสี่คนได้ยินเช่นนั้นก็มีไฟลุกโชนในดวงตา พวกเขาหวังที่จะปกครองทวีปเทียนหลัวมานานแล้ว ดังนั้นหากพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากเผ่าโบราณ พวกเขาก็จะสามารถปิดปากของขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวได้


“งั้นก็ทำกันเลย!”


พวกเขาทั้งสี่สบตากันและกล่าวอย่างเคร่งขรึม


ถึงยังไงพวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับตำหนักมู่และมู่เฉินมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้วตำหนักมู่พึ่งพาเพียงมู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลังมากแค่ไหน พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเขาสามารถงัดข้อกับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าได้!


“หึ ถ้าอยากโทษก็โทษตัวเองที่ทะเยอทะยานเกินไป ทวีปเทียนหลัวไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะยึดครองได้!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)