หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1457-1460
บทที่ 1457 ซุ่มโจมตี
ร่างแสงห้าสายพุ่งผ่านน้ำสีเขียวมรกต
ผ่าเวิ้งน้ำออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งใช้เวลานานก่อนที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
พวกเขาก็คือพวกมู่เฉินนั่นเอง
“ด้วยความเร็วนี้ เราจะไปถึงที่หมายในเวลาประมาณครึ่งก้านธูป”
เมื่อได้ยินคำพูดของข่งหลิงเอ๋อ มู่เฉินก็พยักหน้า “พวกเจ้ามีแผนจะทำอะไรหลังจากถึงที่หมาย? จะเข้าไปจับแก่นโลหิตเลยหรือไม่?”
ข่งหลิงเอ๋อส่ายหัวด้วยสีหน้าหวาดเกรงตอบว่า “แม้ว่าเราจะใช้วิธีการบางอย่างเพื่อขัดขวางหวงเฉวียนจือ แต่ข้ากลัวว่าเขาจะตามมาทัน หากเราไม่กำจัดภัยคุกคามนี้ก่อนก็ไม่สามารถจับแก่นโลหิตได้อย่างสบายใจ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าตัดสินใจที่จะจัดการกับหวงเฉวียนจือก่อนเรอะ?” มู่เฉินยิ้ม
“จัดการ?” หลินชางหัวเราะขณะที่พูดต่อ “อย่ามองว่าเรามีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวน แต่เท่านี้ไม่เพียงพอที่จะจัดการกับหวงเฉวียนจือหรอก”
“ดูเหมือนว่าเขาสร้างเงาไว้ในพวกเจ้ามากเลยนะ” มู่เฉินยิ้ม
“หึ เจ้าคิดว่าชื่อของเขาในฐานะยอดอัจฉริยะกลางเวหาเป็นเรื่องโม้ขึ้นเรอะ?” เซียวเทียนเค้นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา
“พอแล้ว อย่าทะเลาะกัน” ข่งหลิงเอ๋อเป็นผู้หย่าศึกก่อนที่นางจะหันไปหามู่เฉิน “พวกข้าไม่คิดที่จะจัดการกับหวงเฉวียนจือ พวกข้าเพียงแค่ต้องการดักเขาเพื่อที่จะสามารถไปจับแก่นโลหิตได้ หลังจากที่แบ่งกันเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็จะออกจากสระยกเทพอย่างรวดเร็ว เมื่อออกจากสระยกเทพ ต่อให้หวงเฉวียนจือจะไม่พอใจก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้”
มู่เฉินพยักเพยิดถามว่า “พวกเจ้าคิดจะจับเขายังไง? แล้วต้องการให้ข้าทำอะไร?”
ข่งหลิงเอ๋อกำมือพร้อมกับคลี่ยิ้ม เข็มทิศสีทองก็ปรากฏขึ้น มันถูกสลักด้วยลวดลายซับซ้อนเอิบอาบความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง
“เข็มทิศค่ายกล?”
มู่เฉินหรี่ตาลง เขาจำแนกได้ทันทีว่ามีค่ายกลทรงพลังสลักอยู่ในนั้น
“เข็มทิศค่ายกลนี้บรรจุด้วยค่ายกลมิติที่อยู่ในระดับต้าจงซือขั้นเซียน แม้ว่าความสามารถในการโจมตีจะไม่สูง แต่ก็เหมาะที่จะดักจับศัตรู หากมีใครติดอยู่ในนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ต้องติดแหง็กในนั้นหลายวัน” ข่งหลิงเอ๋อยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าทั้งสามเตรียมการมาพร้อม
มู่เฉินพยักหน้าพลางพูดอย่างใจเย็น “แม้ว่าค่ายกลจะสะดวกสบาย แต่ก็มีข้อจำกัดมากมายและสามารถสร้างได้ในสถานที่เดียวเท่านั้น ช่วงเวลาที่ก่อตัวขึ้นก็จะปล่อยความผันผวนออกมา หวงเฉวียนจือไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ก้าวไปในกับดักแบบสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก”
ตัวเขาก็เป็นหลิงเจิ้นซือ ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับเข็มทิศค่ายกลโดยธรรมชาติ
“พี่มู่พูดถูก” ข่งหลิงเอ๋อพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “เหตุผลที่พวกข้าชวนเจ้าก็คือพวกเราจะซ่อนตัวและหาโอกาสที่จะซุ่มโจมตีเขา ข้าหวังว่าพี่มู่จะช่วยล่อหวงเฉวียนจือเข้าไปในค่ายกลได้”
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็พยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่กลัวหวงเฉวียนจือ แต่ก็ไม่จำเป็นที่ต้องสู้อย่างเด็ดขาดที่นี่ เพราะยังไงเขาก็ไม่ไว้วางใจกลุ่มของข่งหลิงเอ๋อ
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินเห็นด้วย ข่งหลิงเอ๋อก็ยิ้มและเดินทางต่อ
ตามเวลาที่บอกทั้งห้าก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของสายเลือดทรงพลังและน่ากลัวที่เบื้องหน้า
ช่างทรงพลังมากกว่าที่เขาเคยพบมาก่อน ต่อให้มีระยะห่างมากขนาดนี้ก็ทำให้รู้สึกใจสั่นเลยทีเดียว
ขณะที่ทั้งห้าคนค่อยๆ เข้าใกล้ ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดและเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่จากที่ไกล
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนหงส์ฟ้าสีแดงผสมนกยูง แม้ว่าปีกจะพับเข้าหาตัว แต่ก็มีขนาดหลายพันจั้ง รัศมีสายเลือดขนาดใหญ่ก็ปรี่ล้นออกมา
“มันกำลังสะสมรัศมีสายเลือดเพื่อพยายามบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” มู่เฉินมองดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เจ้าตัวใหญ่นี่น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดแล้วและมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อ
โชคดีที่แก่นโลหิตชั้นยอดไม่มีสติปัญญา แม้ว่าพวกมันจะมีรัศมีสายเลือดไร้ขอบเขต แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
“เรารีบจัดเตรียมค่ายกลกันเถอะ”
ข่งหลิงเอ๋อนึกได้ก่อนที่จะโยนเข็มทิศ ริ้วสีทองปลิวว่อน รัศมีสีทองพุ่งออกมาจากมวลน้ำ
ริ้วแสงนับไม่ถ้วนถักทอกันกลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ในเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ
นอกจากนี้การสร้างค่ายกลยังทำให้เกิดความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งทำให้สภาพแวดล้อมแปรปรวน
“วุ่นวายมากเกินไปแล้ว” หลินชางและเซียวเทียนขมวดคิ้วอดพูดขึ้นมาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าความวุ่นวายที่เกิดจากค่ายกลนี้เกินความคาดหมายของพวกเขา
ข่งหลิงเอ๋อก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากนางไม่ใช่หลิงเจิ้นซือ ดังนั้นจึงไม่รู้มาก่อนว่าความวุ่นวายจะมากขนาดนี้ หากเป็นเช่นนั้นหวงเฉวียนจือก็จะรู้สึกและระวังตัวล่วงหน้าได้
“ไม่เป็นไร สร้างค่ายกลปกปิดไว้รอบๆ เพิ่มก็พอ” ทันใดนั้นมู่เฉินก็หัวเราะพลางโบกมือ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็บินฉวัดเฉวียนออกไป ก่อตัวเป็นค่ายกลด้านนอกค่ายกลมิตินี้
เมื่อค่ายกลสร้างเรียบร้อย ความปั่นป่วนที่เกิดจากค่ายกลมิติก็สงบลงก่อนที่จะค่อยๆ รวมเข้ากับทะเลสาบและซ่อนตัวจากประสาทสัมผัสของทุกคน
“พี่มู่ประสบความสำเร็จสูงเกี่ยวกับค่ายกลด้วยเหรอ” ข่งหลิงเอ๋ออุทานด้วยความดีใจ
หลินชางและเซียวเทียนก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ ชายคนนี้มีความสามารถสมกับชื่อเสียงในมหาพันภพจริงๆ
“ก็แค่ค่ายกลขนาดเล็ก”
มู่เฉินยิ้มสบายๆ ก่อนที่จะส่ายหัว “เราก็เตรียมตัวกันเถอะ”
ข่งหลิงเอ๋อและอีกสองคนพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆ รวมตัวเข้าไปในน้ำ แม้แต่คลื่นหลิงก็หายไปด้วย
“จิ่วโยวไปจากตรงนี้ก่อน”
เมื่อคลื่นหลิงของพวกเขาหลอมรวมเข้าไปแล้ว มู่เฉินก็หันไปหาจิ่วโยวพลางเอ่ยด้วยเสียงต่ำ
จิ่วโยวไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกปิดคลื่นหลิงได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงต้องถอยห่างออกไป ไม่งั้นหวงเฉวียนจือพบตัวนางแน่
จิ่วโยวผงกหัวเอ่ยเตือน “ระวังตัวนะ”
คำพูดของนางไม่เพียงแต่เตือนมู่เฉินให้ระวังหวงเฉวียนจือแต่รวมถึงพวกข่งหลิงเอ๋อด้วย
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาไม่นับพวกข่งหลิงเอ๋อเป็นมิตรแท้ที่ไว้ใจได้อยู่แล้ว
“เอาป้ายหยกติดตัวไปด้วย ถ้ามีอะไรข้าจะได้รู้” มู่เฉินส่งป้ายหยกให้จิ่วโยวเงียบๆ แม้จะมีความเป็นไปได้น้อยที่พวกข่งหลิงเอ๋อจะสมรู้ร่วมคิดกับหวงเฉวียนจือ เพราะหวงเฉวียนจือไม่น่าทำอะไรบางอย่างที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมด้วยนิสัยหยิ่งผยอง แต่เขาก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากสถานการณ์ดำเนินไปในทิศทางนั้น เขาก็จะสามารถสังหารทุกคนที่นี่ได้ในทันที
จิ่วโยวรับป้ายไปก็ไม่พูดมากและออกไปจากที่นี่ทันที
หลังจากมองร่างนางหายไป มู่เฉินก็ผสานตัวเข้ากับทะเลสาบอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าพื้นที่แห่งนี้ก็สงบลงโดยมีเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ซึมซาบรัศมีสายเลือดที่น่ากลัว
ทว่าความเงียบก็คงอยู่ไม่นาน
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาความปั่นป่วนก็ดังก้อง ริ้วสีทองฉีกผ่านน้ำหนาแน่นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจแสงสีทองก็เดินทางหลายหมื่นลี้มาปรากฏในพื้นที่แห่งนี้ ภาพปีกหงส์ฟ้าคู่หนึ่งแผ่ออกที่เบื้องหลัง ภาพเงานั้นยืนเอามือไพล่หลังพร้อมกับแสงสีทองที่กำจายกลิ่นอายสูงส่ง
นี่ก็คือหวงเฉวียนจือ!
เมื่อมาถึงสายตาเขาก็จดจ่ออยู่ที่สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ทันที ก่อนที่พุ่งตัวลงมือ
ตู้ม!
แต่ตอนที่เขากำลังจะลงมือ ทันใดนั้นน้ำรอบๆ ก็ระเบิดพร้อมกับเสียงร้องแหลมดังก้องออกมา
แสงหลิงไร้ขอบเขตสร้างหายนะ ก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมพุ่งเข้าหาหวงเฉวียนจือ
การโจมตีรวมกันช่างดุร้าย อาจทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้รับบาดเจ็บหนักได้
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่หวงเฉวียนจือก็ไม่ตื่นตระหนก ตรงกันข้ามเขากลับหัวเราะ เสื้อคลุมสั่นกระพือก่อนที่เขาจะกระแทกฝ่ามือออก
ตึง!
มิติแตกสลายภายใต้ฝ่ามือเขา รอยแตกกระจายออกด้วยพลังทำลายล้างฉีกการโจมตีทั้งสามเป็นชิ้นๆ
มวลน้ำกวนตัว ภาพเงาทั้งสามก็สั่นไหวและปรากฏตัวขึ้น นี่ก็คือข่งหลิงเอ๋อ หลินชางและเซียวเทียนที่มีสีหน้าซีดขาว ความตกตะลึงผุดขึ้นในดวงตา พวกเขาไม่คิดว่าหวงเฉวียนจือจะแก้ไขการโจมตีผสานของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อมองไปที่พวกเขาทั้งสามคน หวงเฉวียนจือก็คล้ายกับจักรพรรดิเปล่งเสียงหัวเราะดังก้อง
“ข่งหลิงเอ๋อ หลินชาง เซียวเทียน พวกเจ้าดื้อดึงจริงๆ!”
บทที่ 1458 สามจอมยุทธ์ปะทะกับหงส์ฟ้า
หวงเฉวียนจือเอามือไพล่หลัง
ปีกหงส์ฟ้าสีทองกระพือช้าๆ แรงกดดันทรงพลังแผ่ออก
ทะเลสาบรอบตัวหวงเฉวียนจือผันผวน ขณะที่ข่งหลิงเอ๋อ หลินชางและเซียวเทียนเปิดเผยตัวออกมา พวกเขามองไปที่หวงเฉวียนจือด้วยการแสดงออกที่ไม่น่าดู
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการซุ่มโจมตีจะจับหวงเฉวียนจือได้โดยไม่ทันตั้งตัว แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาทำให้อะไรหวงเฉวียนจือไม่ได้เลย
“ตอนแรกข้าว่าจะให้พวกเจ้าสักสามส่วนเพราะเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” หวงเฉวียนจือยิ้มบาง ขณะมองไปที่ทั้งสามคน
“แกอยากอาหารมากเกินไป! ไม่กลัวกระเพาะแตกตายหรือไง?!” หลินชางตะคอก
“งั้นแกก็ประเมินข้าผิดไป” หวงเฉวียนจือยิ้ม
“ไม่ต้องคุยกันแล้ว ลุยเลย!” ข่งหลิงเอ๋อเป็นคนเด็ดขาด นางกังวลว่าหวงเฉวียนจืออาจกระจายการรับรู้ออกไป หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นก็จะเปิดเผยค่ายกลของพวกเขาออกมา
ตู้ม!
พร้อมกับเสียงของนาง สายรุ้งหลากสีก็กวาดออกจากร่างกายผสานเสียงร้องของนกยูง ภาพนกยูงงดงามปรากฏขึ้น ขณะที่ขนหลากสีพลิ้วไหว ความผันผวนของคลื่นหลิงน่าทึ่งก็แผ่ออกไป
เมื่อเห็นว่าข่งหลิงเอ๋อนำร่างหลักออกมา หลินชางก็เปลี่ยนร่างเป็นแร้งขนาดใหญ่ที่มีหัวเก้าหัว ดวงตาแหลมคมเปล่งแสงสีทองราวกับว่าสามารถทะลุผ่านสวรรค์ได้
เซียวเทียนก็นำร่างหลักออกมาเช่นกัน ซึ่งเป็นกระเรียนขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกร แม้แต่กรงเล็บก็เป็นกรงเล็บมังกรวูบไหวด้วยไอเย็นเยือก
ทั้งสามรู้ว่าหวงเฉวียนจือน่ากลัวเพียงใด ดังนั้นจึงนำร่างหลักออกมาด้วยไม่คิดจะให้หวงเฉวียนจือมีเวลาตั้งหลัก
กีด!
เสียงร้องแหลมดังขึ้น สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ทั้งสามเริ่มโจมตี นกยูงเก้าสีปลดปล่อยลำแสงจำนวนมหาศาลออกมา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทันทีหากถูกผูกมัดไว้
แร้งทองเก้าหัวดุร้ายกว่า กรงเล็บของมันกางออกแตกสลายมิติเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
กระเรียนมังกรฟ้าส่งเสียงร้อง ปลดปล่อยลมหายใจโจมตีด้วยด้วยความผันผวนของการทำลายล้าง
“หึๆ พวกข่งหลิงเอ๋อพยายามน่าดู การโจมตีเช่นนี้สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนต้องหน้าเปลี่ยนสีเลยทีเดียว”
ขณะที่การต่อสู้เริ่มขึ้น ภายนอกสระทุกคนก็มองไปที่กระจก พวกเขาสามารถมองเห็นการปะทะกันได้อย่างชัดเจน
แม้พวกเขาจะประหลาดใจที่พวกข่งหลิงเอ๋อจะร่วมมือกับมู่เฉินเพื่อต่อกรหวงเฉวียนจือ แต่เมื่อเห็นภาพเงาสิ่งมีชีวิตแก่นโลหิตที่กำลังจะบรรลุขั้นเซิ่ง พวกเขาก็เข้าใจทันที
ภายใต้สิ่งล่อใจแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่จะร่วมมือกับคนนอก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าการร่วมมือเช่นนี้จะจัดการกับหวงเฉวียนจือได้หรือไม่…
ภายใต้สายตากังวลของทุกคน หวงเฉวียนจือก็เริ่มเคลื่อนไหว
ท่าทางหวงเฉวียนจือไม่แยแสขณะที่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่เข้ามา เขาอ้าปากเปลวไฟสีทองพุ่งออกมาเผาลำแสงสีรุ้งทันที
ในเวลาเดียวกันเขาก็ยื่นมือออกไป ฝ่ามือปะทะกับกรงเล็บสีทอง
เคร้ง!
จังหวะที่ปะทะกันคลื่นกระแทกน่าสะพรึงก็พัดออกมา ทำให้ทะเลสาบเกือบแสนจั้งกระจายออกไปราวกับกลายเป็นพื้นที่สุญญากาศ
หวงเฉวียนจือตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อปะทะกับกรงเล็บ กลับกันแร้งทองเก้าหัวกลับส่งเสียงร้องน่าสังเวชขณะที่กระเด็นออกไปพร้อมกับเกล็ดกรงเล็บแตกออก
หลังจากจัดการแร้งทองเก้าหัวได้ หวงเฉวียนจือก็ก้าวออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะขณะที่เงยหน้าขึ้นมองลมหายใจมังกร แสงสีทองกะพริบในดวงตาเขา รัศมีพราวสองสายพุ่งออกมา
ชี่ ชี่!
เมื่อปะทะกับลมหายใจมังกร เสียงดังฉ่าเล็ดลอดออกมา ลมหายใจมังกรพ่ายแพ้ในพริบตา การโจมตีที่เหลืออยู่ทะลุปีกกระเรียนมังกรฟ้าไป
เพียงสิบกว่าลมหายใจอัจฉริยะทั้งสามก็พ่ายแพ้ ขณะที่หวงเฉวียนจือยืนอหังการมองสงบนิ่ง
“หวงเฉวียนจือสมกับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอัจฉริยะเผ่าเทพอสูรกลางเวหา!”
เมื่อเผ่าอื่นๆ เห็นฉากนี้ที่ด้านนอกสระยกเทพ พวกเขาก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า แม้ว่าชื่อเสียงพวกข่งหลิงเอ๋อจะโด่งดัง แต่ก็เผยให้เห็นช่องว่างพลังของพวกเขาหลังจากแลกกระบวนท่ากับหวงเฉวียนจือ
หวงเฉวียนจือสามารถแก้ไขการโจมตีทั้งสามได้อย่างง่ายดาย ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
“พวกเจ้าคิดว่าร่วมมือกันแล้วจะต่อกรกับข้าได้รึ?”
มองไปที่พวกข่งหลิงเอ๋อ หวงเฉวียนจือก็กล่าวด้วยรอยยิ้มจางว่า “เห็นแก่พวกเจ้าที่เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าเทพอสูรกลางเวหา ข้าจะไม่เอาเรื่องพวกเจ้า ไสหัวไปซะ”
“แก่นระดับเกือบจะบรรลุขั้นเซิ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะเพลิดเพลินได้”
คำพูดของเขาทำให้พวกข่งหลิงเอ๋อโกรธแค้นขึ้น แต่ก็ไม่สามารถตอบโต้ได้ เนื่องจากถูกข่มขู่โดยพลังของหวงเฉวียนจือ
“งั้นเหรอ? ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ภาพเงาหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังหวงเฉวียนจือพร้อมกับความผันผวนของมิติ
“ไอ้โง่!”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ได้เคลื่อนไหวทันทีหลังจากที่ปรากฏตัว ข่งหลิงเอ๋อก็สถบด่าในใจ หวงเฉวียนจือคือใคร? การฟื้นตัวจากความประหลาดใจเพียงชั่วครู่ มู่เฉินก็จะสูญเสียจังหวะการบุกก่อนทันที
เช่นเดียวกับที่ข่งหลิงเอ๋อคาดไว้ ท่าทางหวงเฉวียนจือเปลี่ยนไปอย่างเย็นชาเมื่อเสียงของมู่เฉินดังก้อง เขาขว้างฝ่ามือออกไปทางด้านหลังทันที แสงสีทองที่น่าสะพรึงกลัวรวมตัวกันก่อตัวเป็นชั้นสีทองที่ทำให้มิติแตกสลายภายใต้ฝ่ามือเขา
เผชิญหน้ากับฝ่ามือนั่น มู่เฉินก็ยิ้มอย่างไม่แยแส รัศมีแสงยุ่งเหยิงแผ่กระจายออกไปด้านหลังศีรษะเขาพร้อมกับลำแสงปะทะกับหวงเฉวียนจือ
วาบ!
เมื่อแสงยุ่งเหยิงกวาดผ่าน พวกข่งหลิงเอ๋อก็หดดวงตา เนื่องจากเห็นว่าภาพเงาของหวงเฉวียนจือหายไปภายใต้แสงยุ่งเหยิงและถูกกวาดเข้าไปในความสับสนวุ่นวายที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน
เมื่อแสงยุ่งเหยิงกวาดหวงเฉวียนจือเข้ามา มู่เฉินก็ก้าวไปข้างหน้าปรากฏในค่ายกลมิติก่อนที่ร่างเงาหนึ่งจะถูกโยนออกมาจากแสงยุ่งเหยิงเบื้องหลัง
“เปิดค่ายกล” ในเวลาเดียวกันเสียงของมู่เฉินก็ดังก้องอยู่ในโสตประสาทมของข่งหลิงเอ๋อ
ไม่ทันจะตกตะลึงกับฉากที่มู่เฉินจับตัวหวงเฉวียนจือได้ทันควัน ข่งหลิงเอ๋อก็สร้างตราประทับขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่ายกลขนาดใหญ่ปลดปล่อยความผันผวนถูกเปิดใช้งานทันที ขณะเดียวกันนางเหลือบมองมู่เฉินที่กำลังพยายามหลบจากวงรัศมีของค่ายกล ตราประทับก็เปลี่ยนไป ดวงตากะพริบวูบไหว ขบวนแถวค่ายกลแผ่กระจายออกด้วยความเร็วที่น่าทึ่งจนเกือบที่จะกลืนกินมู่เฉินไปด้วย
แต่เมื่อค่ายกลกำลังจะห่อหุ้มมู่เฉิน ค่ายกลปกปิดที่เขาตั้งไว้ก็ระเบิดแสงออกมาขัดขวางค่ายกลมิติไว้
ในช่วงสั้นๆ นั้นเองมู่เฉินก็ปรากฏตัวห่างออกไปอีกหลายพันจั้ง
เมื่อค่ายกลมิติถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์ ก็เกิดการฉีกออกเปิดเส้นทางมิติรุนแรง ร่างหวงเฉวียนจือถูกดูดเข้าไป แต่ก่อนที่เขาจะหายตัวไปทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของหวงเฉวียนจือที่สาดออกมา…
สายตานั่น ทำให้พวกข่งหลิงเอ๋อหนาวเยือก มีเพียงมู่เฉินที่ยังคงยิ้มเรียบเฉย
“มู่เฉิน เจ้าเป็นอะไรไหม?”
เมื่อหวงเฉวียนจือหายไป ข่งหลิงเอ๋อก็กลับมามีจริตจะก้านเฉิดฉาย ทะยานเข้ามาอย่างกังวลก่อนที่จะถาม
มู่เฉินมองไปที่ข่งหลิงเอ๋อด้วยรอยยิ้มลึกล้ำพลางส่ายหน้า
หลินชางและเซียวเทียนก็เข้ามาด้วยสีหน้าซีดขาว แต่เมื่อมองไปที่มู่เฉินก็ไม่มีความสงสัยใดๆ เหมือนในอดีต แววตากลับเต็มไปด้วยหวาดกลัว
พวกเขาทั้งสามไม่สามารถทำอะไรกับหวงเฉวียนจือได้ แต่มู่เฉินสามารถจับหวงเฉวียนจือได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กระบวนท่าเดียวก่อนที่จะโยนอีกฝ่ายเข้าไปในค่ายกล ความสามารถนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
ในตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงไม่กลัวหวงเฉวียนจือ เพราะตัวเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
“พี่มู่น่าเกรงขามจริงๆ ดูเหมือนว่าพวกข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป” หลินชางกล่าว
“ได้โอกาสพอดีน่ะ ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอก” ทว่ามู่เฉินส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่ออย่างใจเย็น “ไปจับเหยื่อเร็ว หวงเฉวียนจือไม่ใช่ง่ายที่จะรับมือ”
พอได้ยินคำพูดเขา พวกข่งหลิงเอ๋อก็พยักหน้า พวกเขามองดูสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วยดวงตาลุกโชน…
ในเวลาเดียวกันทุกคนที่อยู่นอกสระยกเทพก็ตกตะลึง ความเงียบกวาดตัวไปทั่ว
ไม่มีใครคาดคิดว่าหวงเฉวียนจือผู้ยิ่งใหญ่จะถูกโยนเข้าไปในค่ายกลโดยมู่เฉินในพริบตา…
‘ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!’
บทที่ 1459 แก่นโลหิตชั้นยอดเสมือนขั้น...
ด้านนอกสระยกเทพความเงียบโรยตัว
ผู้คนต่างตกตะลึงขณะเงยหน้ามองกระจกที่ฉายภาพด้วยความตกใจ เพราะก่อนหน้านี้หวงเฉวียนจืออยู่ยงคงกระพันจนเกินไป
“มู่เฉินไม่น่ากลัวเกินไปหรือ?” ในที่สุดก็มีคนฟื้นสติและอดไม่ได้ที่จะเบะปาก
หวงเฉวียนจือถูกจับได้ในการเคลื่อนไหวครั้งเดียว แม้ว่าจะมีส่วนที่ไม่ทันตั้งตัว แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามู่เฉินแข็งแกร่งมาก
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงสร้างเรื่องให้เผ่าฝูถูได้ เขามีความสามารถจริงๆ” ขณะนี้ทุกคนมองไปที่มู่เฉินในแง่มุมใหม่หลังจากที่ได้เห็นกลยุทธ์ของเขา พวกที่ได้แค่ฟังผลสำเร็จของมู่เฉินในตอนแรกก็ต้องยอมรับในความโดดเด่นของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้น
เทียนฮวงมองภาพนี้ด้วยความตกใจฉายบนใบหน้า เมื่อก่อนตอนที่เขาได้พบกับมู่เฉิน ชายหนุ่มไม่เป็นแม้แต่ฝุ่นในสายตาของเขา แต่ใครจะคาดคิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่ปีหนุ่มน้อยคนนั้นจะเติบโตมากจนแม้แต่เขาก็ได้แต่แหงนดูเท่านั้น?
“นับเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตจิ่วโยวที่ได้รู้จักกับเขา ดูเหมือนว่าพวกเราจะสายตาคับแคบเมื่อในอดีตที่พยายามแยกทั้งสองคนออกจากกัน” เทียนฮวงยิ้มอย่างขมขื่น
ขณะที่บทสนทนาเกิดขึ้นรอบสระยกเทพ หวงจิงก็มองไปที่กระจกโดยไม่มีระลอกคลื่นบนใบหน้า ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“มู่เฉินนั่นมีความสามารถจริงๆ” ผู้อาวุโสตระกูลหวงหดดวงตาอยู่เบื้องหลังหวงจิง
หวงจิงพยักหน้าจ้องมองไปที่กระจกขณะที่แสดงความคิดเห็นเบาๆ “แต่เขาประเมินความสามารถของอัจฉริยะเผ่าหงส์ฟ้าต่ำไป ถ้าเขาคิดว่าสามารถจัดการกับหวงเฉวียนจือได้ในลักษณะนี้”
ในมวลน้ำสีมรกต
มู่เฉิน จิ่วโยวและคนอื่นๆ ต่างมองไปที่สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีรัศมีสายเลือดพวยพุ่งออกมาจากร่าง พวกเขาอดไม่ได้ที่ลมหายใจขาดช่วง
หลังจากมองอยู่เป็นเวลานานมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “แม้ว่าแก่นโลหิตนี้จะแสดงสัญญาณของก้าวข้าม แต่กระบวนการก็ช้าเกินไป ถ้าจะรอให้มันสะสมเพียงพอคงต้องใช้เวลาหลายปี เราไม่มีเวลารอนานขนาดนั้น”
ข่งหลิงเอ๋อยิ้ม “พี่มู่พูดถูก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องช่วยให้มันเติบโตแล้ว”
ดวงตามู่เฉินวูบไหวพลางพยักหน้า “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเตรียมตัวมาพร้อมนะ”
ข่งหลิงเอ๋อพยักหน้าไปทางหลินชางและเซียวเทียน พวกเขาโบกมือทันที แก่นโลหิตเกือบร้อยชิ้นที่มีขนาดเท่าศีรษะหมุนรอบตัวพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าแก่นโลหิตเหล่านั้นถูกจับโดยพวกเขาและระดับไม่ได้ต่ำนัก เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็ปลดปล่อยรัศมีสายเลือดที่หนาแน่น
“ถ้ามันดูดซับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็จะมีพัฒนาการได้” ข่งหลิงเอ๋อยิ้ม
เมื่อมองไปที่รัศมีสายเลือดไร้ขอบเขตมู่เฉินก็ประหลาดใจ “พวกเจ้าทำอะไรกับพวกมันเหรอ?”
มู่เฉินรู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่คลุมเครือจากแก่นโลหิตเหล่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ข่งหลิงเอ๋อก็ตกใจ นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสาทสัมผัสไวขนาดนี้ นางผงกหัวทันที “พวกข้าได้ทำอะไรบางอย่างไว้ หลังจากที่แก่นโลหิตบรรลุเราก็จะสามารถทำให้มันบาดเจ็บและจับได้ง่ายขึ้น”
“เยี่ยม”
มู่เฉินกล่าวชื่นชม ความคิดของข่งหลิงเอ๋อช่างละเอียดถี่ถ้วน วิธีเช่นนี้ไม่ใหัโอกาสในการหลุดรอดของแก่นโลหิตเลย
แน่นอนว่าเป็นเพราะแก่นโลหิตเบื้องหน้าไม่มีสติปัญญาใดๆ ด้วย มิฉะนั้นมันจะไม่กลืนกินแก่นโลหิตเหล่านี้อย่างแน่นอน
ข่งหลิงเอ๋อส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มแล้วโบกมือ แก่นโลหิตจำนวนมหาศาลเหล่านั้นก็บินไปหาร่างขนาดมหึมา
เมื่อแก่นโลหิตจำนวนมากรวมเข้าด้วยกัน ก็ดึงดูดความสนใจของร่างขนาดมหึมานั่น มันส่งเสียงคำรามทันทีก่อนที่จะกลืนกินแก่นโลหิตเหล่านั้นไป
ตู้ม ตู้ม!
ภายใต้การเสริมพลัง รัศมีสายเลือดของร่างขนาดมหึมาก็เริ่มสั่นสะเทือน ส่งคลื่นกระแทกออกมา แม้แต่มิติยังบิดเบี้ยว
ทุกคนสามารถสัมผัสได้ว่ารัศมีของร่างมหึมานี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดแล้ว
ทว่าจู่ๆ ก็เริ่มช้าลงราวกับว่าติดขัดจนไม่สามารถก้าวออกไปได้
“ไอ้บ้าเอ้ย!”
คิ้วของข่งหลิงเอ๋อขมวดเป็นปมเมื่อมองภาพนี้ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากจ่ายราคาแพงระยับ เจ้าตัวนี้ก็ยังขาดขั้นตอนอยู่
“ทำยังไงดี?” มู่เฉินขมวดคิ้ว พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมาก ดังนั้นหากสุดท้ายได้เพียงแก่นโลหิตขั้นเซียนระยะปลายสุด ก็ไม่มีความหมายอะไร
ข่งหลิงเอ๋อกัดริมฝีปากลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพูดอย่างเด็ดขาด “คงได้แค่ทางเลือกสุดท้าย เราจะใช้แก่นโลหิตของมหาเทพอสูรเพื่อช่วยเร่งขั้นตอนสุดท้าย”
ขณะที่นางพูด หลินชางและเซียวเทียนก็ลังเล ท้ายที่สุดการสูญเสียแก่นโลหิตเป็นราคามหาศาลสำหรับมหาเทพอสูร เนื่องจากจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว
“ทุกอย่างคุ้มค่าถ้าเราได้มา!” ข่งหลิงเอ๋อพูดเสียงขรึม
หลังจากพิจารณาชั่วครู่ หลินชางและเซียนเทียนก็พยักหน้าก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยว
หลังจากลังเลชั่วครู่มู่เฉินก็เอ่ยว่า “จิ่วโยวมีส่วนช่วยได้เพียงเล็กน้อยเพราะนางยังอ่อนแอเกินไป ไม่เช่นนั้นนี่จะเป็นอันตรายต่อรากฐานของนาง”
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดของเขา นางก็พยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากัน หากจิ่วโยวให้ได้เพียงน้อยนิด พวกเขาก็ต้องเสียเยอะเพิ่มขึ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับพวกเขา ถ้ามู่เฉินไม่อยู่ที่นี่พวกเขาจะเค้นเอาสายเลือดของจิ่วโยวออกมาสักครึ่งหนึ่งเพื่อป้อนให่แก่นเลือดชั้นยอดชิ้นนี้ ทว่าตอนนี้พวกเขากลัวมู่เฉินมาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ถอยความคิดไป
“ถ้างั้นก็ทำตามที่พี่มู่ว่า”
เมื่อทั้งห้าคนตัดสินใจ พวกเขาก็กัดลิ้นตัวเอง เลือดกลั่นไหลรินซึ่งเปล่งประกายรัศมีออกมา
สายธารเลือดทั้งสี่ไหลไปสู่แก่นโลหิตซึ่งเป็นยาบำรุงชั้นดียิ่งนัก มันฉายท่าทางเป็นสุขทันที คำรามด้วยความตื่นเต้นเมื่อกลืนกินแก่นโลหิตสดเหล่านั้น
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
หลังจากซึบซาบแก่นโลหิตแล้ว รัศมีของแก่นโลหิตนี้ก็ได้รับการยกระดับอย่างรุนแรง แม้แต่เกล็ดสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนร่างกาย
นอกจากนี้ยังปลดปล่อยความผันผวนที่น่ากลัวซึ่งทำให้ใบหน้าของพวกมู่เฉินเปลี่ยนไป ขณะที่พวกเขามองดูร่างมหึมาอย่างกังวล
ดวงตาของพวกเขาวูบไหวด้วยแสงหลิง สามารถมองทะลุร่างของแก่นโลหิตได้และเห็นร่างกายของมันเริ่มเปลี่ยนไป
โดยปกติแก่นโลหิตชั้นยอดจะอยู่ในรูปของไข่มุก แต่เจ้าสิ่งนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นลูกทรงกลมสีดำที่ดูเหมือนเม็ดยา แทรกซึมรัศมีสายเลือดที่น่าสะพรึงกลัว
มากจนพวกเขารู้สึกได้ถึงภูมิปัญญาวูบวาบในดวงตาของมัน
“เร็วเข้า! อย่าปล่อยให้มันบรรลุ ไม่งั้นเราจะไม่สามารถปราบมันได้แน่!” มู่เฉินร้องตะโกนทันทีกับฉากนี้
อีกสามคนก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของร่างมหึมา ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าโดยไม่ลังเลและสร้างตราประทับขึ้น
ตึง ตึง!
เมื่อพวกเขาสร้างตราประทับ ร่างมหึมาก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง ความลับที่ซ่อนอยู่ในแก่นโลหิตถูกกระตุ้น
การระเบิดภายในร่างทำให้วิวัฒนาการของแก่นโลหิตชั้นยอดหยุดชะงัก มันส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด แม้แต่รัศมีสายเลือดก็อ่อนแอลง เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนัก
“ระเบิดแก่นโลหิตอีก!” ข่งหลิงเอ๋อร้องอีกครั้ง
แก่นโลหิตที่พวกเขาส่งออกไปถูกซ่อนด้วยกลวิธีบางอย่าง ซึ่งแก่นโลหิตนี้ยังไม่ได้รับการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถจุดชนวนได้อีกครั้ง
ตู้ม!
การระเบิดสี่ครั้งถูกกระตุ้นซึ่งดังก้องมาจากร่างมหึมา ครั้งนี้มันได้รับบาดเจ็บหนัก ร่างมหึมาลดขนาลง มันรู้สึกถูกคุกคามจนต้องการหนีให้เร็วที่สุด
“ตามมันไป!”
ข่งหลิงเอ๋อร้องลั่น ทั้งห้าก็ทะยานไล่ตามแก่นโลหิตเกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง
ครืนๆ!
ขณะที่มันพยายามหลบหนี โดยมีทั้งห้าคนติดตามอยู่ข้างหลัง พวกเขาก็ปล่อยการโจมตีไม่ยั้ง
การไล่ล่าครั้งนี้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ร่างมหึมาจะหดตัวลงสิบกว่าเท่า แม้แต่รัศมีสายเลือดที่น่ากลัวรอบๆ ตัวมันก็อ่อนแอลงจนถึงขีดสุด
เมื่อพวกมู่เฉินเห็นว่ามันไม่มีพลังที่จะหลบหนีอีกต่อไป พวกเขาก็ล้อมกรอบปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรง
ตู้ม!
ในที่สุดมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ลำแสงสีดำทะยานขึ้น ลูกกลมลอยอยู่เบื้องหน้าพวกมู่เฉิน…
เมื่อมองไปที่เม็ดยานี้แม้แต่มู่เฉินยังอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
บทที่ 1460 รอดักหลังอีกที
ขณะที่เม็ดยาลอยอยู่เบื้องหน้า
รัศมีสายเลือดที่น่าสะพรึงก็เปล่งออกมา เพียงแค่ดมกลิ่นก็ทำให้เลือดในร่างกายเดือดพล่านได้
เมื่อมองไปที่เม็ดกลมสีดำนี้ไม่เพียงแต่สายตาของมู่เฉินที่ลุกเป็นไฟ แต่พวกข่งหลิงเอ๋อก็ด้วยเช่นกัน ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
อารมณ์ตีกวนเป็นเวลานานก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆ ฟื้นตัว มู่เฉินยิ้ม “เราแบ่งตามสิ่งที่ตกลงกันไว้เลยเถอะ มีข้อขัดข้องไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา พวกข่งหลิงเอ๋อก็รู้สึกปวดใจ เพราะนั่นคือสี่ส่วนเลยทีเดียว รัศมีสายเลือดที่มีอยู่ภายในสามารถทำให้พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้เลย
แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกปวดใจแต่ก็ไม่กล้าผิดข้อตกลง หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของมู่เฉิน แต่ละคนพยักหน้ารับ
เมื่อเห็นการตอบสนองของพวกเขา มู่เฉินก็ไม่ไว้มารยาท มือของเขาวาดตราประทับ วังวนคลื่นหลิงถูกสร้างขึ้น ทำให้เม็ดยากลมเกลี้ยงสั่นสะเทือนก่อนที่กระแสขนาดใหญ่จะไหลเข้าสู่วังวน
พวกข่งหลิงเอ๋อก็เคลื่อนไหวเพื่อสกัดรัศมีสายเลือดเช่นกัน
กระบวนการนี้กินเวลาไปหนึ่งก้านธูป ก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ หยุดมองไปที่เม็ดยากลมตรงหน้าของตน
เพียงแต่ว่าเม็ดกลมของมู่เฉินแข็งแกร่งกว่าทั้งสาม
“สมกับเป็นแก่นโลหิตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง รัศมีอยู่เหนือความคาดหมายมาก” มู่เฉินมองไปที่เม็ดยากลมนี้ก็ถอนหายใจ ด้วยจำนวนสี่ส่วนของแก่นโลหิตชั้นยอดนี้ เขาสามารถรับประกันการวิวัฒนาการของจิ่วโยวได้
“ฮ่าๆ พี่มู่ ในเมื่อเป้าหมายสำเร็จแล้ว เราก็ขอลาไปก่อนนะ”
ข่งหลิงเอ๋อโบกมือเก็บเม็ดยาไว้ นางยิ้มให้กับมู่เฉิน ไม่ได้พูดเยอะ ร่างกลายเป็นสายแสงทะยานออกไป
หลินชางกับเซียวเทียนมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาที่สั่นไหวก่อนที่จะตามหลังข่งหลิงเอ๋อไปทันที
เมื่อเห็นทั้งสามจากไปอย่างรวดเร็ว จิ่วโยวก็หันไปหามู่เฉิน “ข้าว่าสามคนนั่นเจตนาไม่ดีแน่ พวกเราไปตอนนี้ด้วยเลยดีไหม?”
รอยยิ้มคลี่บนใบหน้า มู่เฉินมองทิศทางที่ทั้งสามออกไปตอบว่า “ไม่จำเป็น เราจะรอที่นี่”
“รอ?” จิ่วโยวอึ้งไป
ขณะที่หลินชางและเซียวเทียนตามหลังข่งหลิงเอ๋อไปอย่างใกล้ชิด
พวกเขาก็เหลือบไปทางด้านหลังและส่งเสียงพูด “เราจะปล่อยให้พวกมันได้สี่ส่วนนั่นไปจริงๆ หรือ?
ข่งหลิงเอ๋อตอบด้วยสีหน้าสงบว่า “พวกเจ้าลองมือได้เลย ถ้ามั่นใจที่จะจัดการกับเขาได้”
หลินชางและเซียวเทียนเงียบไป พวกเขาตกใจกับความสามารถของมู่เฉินมาก พวกเขาไม่มีความมั่นใจที่จะแย่งอาหารจากปากเขาหรอก
ทว่าพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะให้ส่วนแบ่งใหญ่กว่ากับมู่เฉิน
“เจ้าสองคนทั้งโง่และโลภมากเกินไป ไม่ช้าก็เร็วจะล้มลงเพราะความโลภของตัวเอง”
ข่งหลิงเอ๋อเค้นเสียงก่อนสายตาจะวูบไหว “เราจะออกจากที่นี่ก่อนแล้วข้าจะทำลายค่ายกลมิติ เมื่อถึงเวลานั้นหวงเฉวียนจือก็จะถูกปล่อยตัว เขาจะรู้สึกถึงของในมือมู่เฉินอย่างแน่นอน พวกเขาสองคนจะต่อสู้กันอย่างดุเดือด เราก็รอให้ทั้งสองคนบาดเจ็บก่อนที่จะเอาคว้าของดีมา”
หลินชางและเซียวเทียนรู้สึกลิงโลด พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าข่งหลิงเอ๋อจะมีกลอุบายเช่นนี้อยู่ในใจ
“นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด ให้มู่เฉินและหวงเฉวียนจือสู้กันเอง ก่อนที่เราจะเคลื่อนไหวจัดการบอกให้พวกมันรู้ว่าใครกันที่หัวเราะเป็นคนสุดท้าย!” พวกเขาสองคนหัวเราะเสียงดัง
ข่งหลิงเอ๋อยิ้มอย่างพอใจ ‘ถึงมู่เฉินและหวงเฉวียนจือจะอัจฉริยะแท้จริงแล้วไง? พวกมันก็ต้องยังตกอยู่ในกำมือข้าอยู่ดี ‘
“แปะ แปะ!”
แต่ขณะที่นางกำลังยิ้มพราย เสียงปรบมือก็ดังขึ้นเบื้องหน้า ทั้งสามตกใจเงยหน้าขึ้นก็เห็นพื้นที่บิดเบี้ยว ก่อนที่จะมีภาพเงาปรากฏขึ้น นี่ก็คือหวงเฉวียนจือที่ติดอยู่ในค่ายกล!
“แผนยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้” หวงเฉวียนจือยืนเอามือไพล่หลังมองดูทั้งสาม
“หวงเฉวียนจือ! แกหนีออกมาได้ยังไง?!” ข่งหลิงเอ๋อพูดด้วยความไม่เชื่อพลางฉายสีหน้าเขียวคล้ำ
“ข้าไม่ได้หนีออกมา ค่ายกลค่อนข้างลำบากจริงๆ ถ้าข้าตกอยู่ในนั้น” หวงเฉวียนจือยิ้มขณะพูดต่อ “แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ติดกับ นั่นเป็นเพียงร่างพิมพ์วิญญาณของข้าเท่านั้น”
“อะไรนะ?!” พวกข่งหลิงเอ๋อดวงตาหดลง คนที่พวกเขาใช้กำลังมากในการจับเป็นเพียงร่างพิมพ์วิญญาณของหวงเฉวียนจือเรอะ!
“ร่างพิมพ์วิญญาณไม่ง่ายอย่างที่พวกแกคิดหรอก มันถูกสร้างขึ้นด้วยเลือดกลั่นและขนนกของข้า ดังนั้นจึงมีพลังครึ่งหนึ่งของข้าเลยทีเดียว” หวงเฉวียนจือยิ้ม สายตาที่กวาดมองอย่างไม่แยแสทำเอาพวกข่งหลิงเอ๋อสะท้านจับจิต
ทั้งสามคนหน้าซีดเผือด ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจช่องว่างระหว่างตนเองกับหวงเฉวียนจือ ทันใดนั้นพวกเขาก็ระเบิดพลังงาน ต้องการออกจากสระยกเทพให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตราบใดที่พวกเขาออกจากที่นี่ หวงเฉวียนจือก็ไม่สามารถจัดการพวกเขาได้อีกต่อไป
“ฮ่าๆ ข้ารอมาตั้งนาน จะปล่อยให้พวกแกหนีไปได้ยังไง?” หวงเฉวียนจือยิ้ม พริบตาแสงสีทองก็ระเบิดขึ้น หงส์ฟ้าสีทองขนาดใหญ่โผทะยานออกไป พุ่งเข้าหาพวกข่งหลิงเอ๋อ
ลึกลงไปในมหาสมุทรมรกต
คลื่นหลิงก่อร่างเป็นม่านล้อมรอบมู่เฉิน ปิดกั้นน้ำในมหาสมุทร เขานั่งอยู่ที่ก้นมหาสมุทรโยนเม็ดยาสีดำเล่นในมือ ขณะมองไปยังระยะไกลด้วยดวงตาวูบไหว
“เราทำอะไรที่นี่” จิ่วโยวออกจะหงอยๆ เนื่องจากมู่เฉินไม่ให้เม็ดยาแก่นาง แค่นั่งนิ่งอยู่ที่นี่เท่านั้น
“รอหวงเฉวียนจือ” มู่เฉินยืดเอว
“อ้า?” จิ่วโยวตกใจมากก่อนที่จะถามทันควัน “เขาถูกค่ายกลดักจับไว้ไม่ใช่หรือ?”
มู่เฉินยิ้ม “นั่นน่าจะเป็นร่างเสมือนของเขา เจ้านั่นเจ้าเล่ห์เกินไป เขาทำเช่นนี้เพื่อให้พวกข่งหลิงเอ๋อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแก่นโลหิต ด้วยวิธีนี้เขาจึงไม่ต้องลงมือและทำเพียงรอ”
จิ่วโยวขมวดคิ้ว นั่นหมายความว่าพวกนางตกหลุมพรางของหวงเฉวียนจือไม่ใช่เหรอ?
“ถ้าข้าเดาถูก เขาน่าจะจัดการกับพวกข่งหลิงเอ๋ออยู่น่ะ” มู่เฉินยิ้ม
“ถ้างั้นเราไม่ควรไปตอนนี้หรือ?” จิ่วโยวถาม
“ทำไมต้องไป?” มู่เฉินยิ้มขณะที่โยนเม็ดยาไปทางจิ่วโยว “เจ้าเม็ดนี้ช่วยเจ้าวิวัฒนาการได้เท่านั้น สำหรับข้าเล็งอีกหกส่วนที่เหลือ”
“หวงเฉวียนจืออยากเก็บผลกำไร ดังนั้นข้าจะคิดแบบเดียวกันไม่ได้รึไง? หลังจากที่เขาได้รับหกส่วนนั่นแล้ว เขาก็จะมาตามหาข้า”
จิ่วโยวอ้าปากกว้าง มีแต่คนคิดซ่อนตัวจากหวงเฉวียนจือ ทว่าเจ้าน้องบ้าคนนี้กลับตั้งใจให้หวงเฉวียนจือไปช่วยแย่งหกส่วนนั้น ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหว…
ทว่านางต้องยอมรับว่ามู่เฉินที่สามารถรักษาความสงบต่อให้ต้องเผชิญกับการคุกคามของหวงเฉวียนจือช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอเหมือนเด็กน้อยในอดีต เขาสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองไปทั่วมหาพันภพเทียบได้กับยอดอัจฉริยะเหล่านั้น
“เอาล่ะขึ้นอยู่กับเจ้าว่าเราสามารถเก็บเกี่ยวหรือสูญเสียครั้งใหญ่กัน!” ริมฝีปากของจิ่วโยวโค้งขึ้น
หากพวกนางได้รับการเก็บเกี่ยวที่ดีก็จะสามารถได้รับเม็ดยาที่สมบูรณ์ ถ้าแพ้ก็ต้องส่งอีกสี่ส่วนที่เหลือและสายเลือดวิหคอมตะก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหลับตาลงราวกับว่าหลับไป
จิ่วโยวไม่ได้รบกวนเขา นางนั่งลงข้างๆ มองไปที่เม็ดยาในมือ
ความเงียบดำเนินไปหนึ่งก้านธูป ก่อนที่มู่เฉินจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปข้างหน้า “มาแล้ว”
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น ร่างกายก็เกร็งขึ้น
พร้อมกับเสียงของมู่เฉิน ผืนน้ำเบื้องหน้าก็แปรปรวน เงาปรากฏขึ้นก่อนที่จะโยนร่างสามร่างออกมา
ทั้งสามคนก็คือพวกข่งหลิงเอ๋อ ทว่าใบหน้าแต่ละคนดูไม่จืด ท่าทางจะได้รับบาดเจ็บหนัก
ขว้างทั้งสามออกไปราวกับขยะ สายตาหวงเฉวียนจือก็จ้องมองไปที่มู่เฉินและยิ้ม “อย่างที่ข้าคาดไว้ เจ้าไม่ได้วิ่งหนี”
“ทำไมข้าต้องวิ่งในเมื่อมีคนเอาของกำนัลมาให้ที่นี่” มู่เฉินยืดเอว
“น่าสนใจ…” หวงเฉวียนจือหัวเราะ แต่ม่านตาสีทองไม่มีรอยยิ้มสักริ้ว “แกทำกับข้าเหมือนพวกคนส่งของงั้นเรอะ? น่าสนใจจริงๆ”
“ถ้าแกส่งไอ้เม็ดที่เหลือและให้ข้าดึงสายเลือดวิหคอมตะของนาง ข้าจะยอมให้แกออกไปโดยดี” หวงเฉวียนจือพูดขณะมองไปที่มู่เฉิน “ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงที่แกสั่งสมมาจะกลายเป็นหินรองเท้าให้ข้าเท่านั้น”
มู่เฉินยืนขึ้นยิ้มให้หวงเฉวียนจือ “พล่ามบ้าไร ข้ากลัวว่าแกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสกัดสายเลือดของจิ่วโยวต่อหน้าข้าหรอก”
หวงเฉวียนจือพยักหน้า สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นไม่แยแส แสงสีทองกะพริบในดวงตา ปีกทั้งสองกระพือ รัศมีสังหารกวาดออกทำให้เกิดคลื่นน้ำไม่ถ้วน
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้… ข้าจะอัดแกให้ง่อยไปเลย”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น